เย็นวันอาทิตย์ มาอ่าน #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ กันต่อเถอะครับ หลังจากวันพุธที่กฤษสงสัยพี่ภูแล้ว เรื่องจะเป็นยังไงต่อไป หลอนไหม? หรือว่าโหดเลย ติดตามได้ละครับ
คนเรามีเหตุผลอะไรบ้าง
ที่ทำให้ต้องรีบหาเสื้อผ้าใหม่มาเปลี่ยน
มันก็มีเหตุผลเดียวเท่านั้นล่ะ
นั่นคือ เราใส่ชุดเดิมไม่ได้

และเหตุผลที่ ทำให้เราใส่ชุดเดิมไม่ได้
มัน อาจ จะ เป็น เพราะ ว่า
เสื้อผ้าเดิมมัน … เปื้อนเลือด หรือเปล่า?
ผมรู้ว่านี่มันโง่ แต่ก็อดไม่ได้
ผมรู้ว่านี่มันไม่เข้าท่า แต่ผมก็ต้านทานความสงสัยไม่ได้

ผมจับเสื้อพี่ภูพลิกกลับไปกลับมา
มองตามตะเข็บและเนื้อผ้าอย่างถี่ถ้วน
เหมือนผมพยายามหาร่องรอยของอะไรสักอย่าง
ร่องรอยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันควรเป็นอะไร รอยเลือด ร่องรอยการต่อสู้ เช่น รอยขาดของเสื้อ หรืออะไรแบบนี้? ถัดมา ผมไม่รู้ด้วยว่าผมหาไปเพื่ออะไร ถ้าสมมุติเจอจริงๆ มันช่วยอะไรให้ผมสบายใจได้เหรอ?
สงสัยว่าแฟนไปทำอะไรมา กับ รู้เลยว่าแฟนไปฆ่าคนมา คุณเลือกอย่างไหนล่ะ? สงสัยมันอาจจะเป็นอะไรก็ได้ อย่างมากสุด เราก็ระแวงต่อไป แต่ถ้ารู้เลยเต็มๆ ว่าเขาไปฆ่าคนมา … ถามจริง เราทำอะไรได้?

แจ้งตำรวจเหรอ?
หรือว่า … ช่วยเขาอำพราง?
เสียงสายน้ำในห้องน้ำยังไม่ขาดตอน เสียงฮัมเพลงของพี่ภูก็เช่นเดียวกัน เขายังคงเพลิดเพลินกับน้ำอุ่นอยู่ ผมยังมีเวลาคิดหาคำตอบให้กับความสับสนของตัวเอง

ในขณะที่หัวก็คิด …
มือก็พลิกเสื้อ และตาก็สอดส่อง
แม้จะตอบไม่ได้ว่า ทำไปทำไม แต่ก็ดีกว่าไม่ทำ
เพราะ ผม เกลียด การ ไม่ รู้
รู้ข่าวร้าย กับ ไม่รู้อะไรสักอย่าง
ผมเลือกที่จะรู้ดีกว่า

เอาล่ะ ดูซิ เสื้อ สะอาด ไม่มีรอย
กางเกง ก็แน่นอน เหมือนเสื้อ
ทีนี้มาถึงกางเกงใน …
ตามความคิดผม ... ตามตรรกะทั่วไป เวลาเราซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนฉุกเฉิน (หากจำเป็นจริงๆ) เราก็คงซื้อแต่เสื้อกับกางเกงถูกไหม คงไม่รวมถึงกางเกงในหรอก ดังนั้นหากมีร่องรอยอะไรสักอย่างทิ้งไว้ หาจากเสื้อ กางเกงอาจจะไม่เจอ
แต่ที่กางเกงใน …
มันอาจจะมีเบาะแสอะไรก็ได้
ผมกล้าๆ กลัวๆ หยิบกางเกงในพี่ภูขึ้นมาดู …

ไม่ว่ะ ไม่มีอะไร ตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นกางเกงในตัวใหม่หรือเก่า มันดูสะอาดไม่เหมือนของเก่า แต่มันก็ไม่มีกลิ่นใหม่โชยออกมา และไม่มีแท็กราคาติดไว้ (ผมไม่ได้ก้มดมมันหรอกนะ)
สรุปว่า ไม่มีอะไร ให้สงสัย
งั้นผมควร … วางใจ ใช่ไหม?
ก็ไม่มีร่องรอยอะไรที่บ่งบอกว่าพี่ภูไปฆ่าคนมานี่นา

เหมือนสมองซีกหนึ่งของผมจะวางใจ
แต่สมองอีกซีกก็แย้ง ส่งเสียงค้านโต้ทันที
“เดี๋ยวสิไอ้กฤษ แล้วทำไมเขาถึงรีบมาหานายล่ะ?
ทำไมไม่กลับไปที่คอนโด อาบน้ำก่อนแล้วค่อยมา
โทรให้นายไปหาที่คอนโดเขาก็ได้ สะดวกกว่าอีก

ทำไมต้องมาบ้านนาย?
ทำไมต้อง #หนี มาหานาย ?
มันมีเหตุผลอะไรให้เขากลับคอนโดไม่ได้?”
สมองของผมซีกที่เพิ่งวางใจ มันไร้คำตอบ คือผมหมายถึง ... ผมไม่มีคำตอบให้ตัวเองสำหรับคำถามนี้ ผมยอมรับว่าเรื่องนี้ มันไม่สมเหตุสมผล

การที่พี่ภูปุบปับโผล่มาหาผมที่หน้าบ้าน
แล้วบอกว่า เพราะคิดถึง … มันไม่สมเหตุสมผล
ผมวางเสื้อเขาลง หยิบมือถือมาเปิด
Search หาข่าวเมื่อตอนกลางวัน
นั่นไง ลิงก์ความคืบหน้าข่าว
/ ยังไม่พบตัวฆาตกร
คดีมีปากเสียงฆ่าแฟนเก่า

ตำรวจบุกค้นที่คอนโดย่านหรูแล้ว
แต่ไร้ซึ่งร่องรอยของผู้ต้องสงสัย

ตอนนี้ทางตำรวจกำลังขยายผลการตามหา
ความคืบหน้าเพิ่มเติมจะรายงานให้ทราบในภายหลัง /
เหมือนทุกอย่างมันลงล็อก

มันมีเหตุผลอะไรให้เขาต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า?​
ตอบ เพราะเขาใส่ชุดเก่าไม่ได้ไง

มันมีเหตุผลอะไรให้เขาใส่ชุดเก่าไม่ได้?
ตอบ เพราะชุดเก่ามัน … เปื้อนเลือดไง

มันมีเหตุผลอะไรให้เขาไม่กลับไปคอนโด?
ตอบ เพราะเขากลับไม่ได้ไง ที่นั่นมีตำรวจ
มันมีเหตุผลอะไรอธิบายเรื่องพวกนี้ทั้งหมด …?
ตอบ มีสิ … พี่ภูเป็น ฆาตกรฆ่าแฟนเก่าไง

เชี่ย … จริงดิวะ?
พี่ภูของผมนี่นะฆ่าคน?
เฮ้ย เดี๋ยวไอ้กฤษ ใจเย็นๆ ก่อนมึง อย่าเพิ่งกระโดดไปถึงจุดนั้น ผมบอกตัวเอง มันโอเวอร์เกินไป อันนี้มันไม่ใช่การคิดแล้ว มันคือ #ฟุ้งซ่าน ผมกำลังฟุ้งซ่านไปไกลแล้ว
หมอนินเคยบอกว่า ฟุ้งซ่าน กับ รอบคอบ
มันเริ่มต้นเหมือนกัน คือการคิดเยอะ คิดรอบ

ต่างกันที่ รอบคอบมีสติกำกับ
แต่ฟุ้งซ่านคือการคิดเยอะโดยไร้สติ

คิดเยอะ คิดรอบ + สติ = รอบคอบ
คิดเยอะ คิดรอบ + ไร้สติ = ฟุ้งซ่าน
เมื่อไรที่รู้ตัวว่าฟุ้งซ่าน วิธีการแก้คือ
แยกความคิด กับ ข้อเท็จจริงออกจากกันก่อน
แล้วปล่อยให้สติค่อยๆ กลับมาทำงาน

เอาล่ะ งั้นจับมันแยกฟากก่อน
ความคิดผม ตอนนี้มีอย่างเดียวคือ
ความสงสัยว่าพี่ภูเป็นฆาตกร ใช่ไหม?
ทีนี้ฟากข้อเท็จจริงกันบ้าง

หนึ่ง พี่ภูบอกว่าจะไปบอกเลิกกับแฟนเก่าวันนี้ แฟนเก่าที่พี่ภูเก็บเป็นความลับไม่บอกผมมาสักพัก จนกระทั่งเพิ่งมาบอกเอาวันนี้ และพี่ภูบอกว่าการเคลียร์กัน ผลออกมาไม่ค่อยดี
สอง วันนี้มีข่าวฆาตกรรมชายหนุ่ม โดยตำรวจสันนิษฐานว่าเกิดจากแฟนเก่า (ที่ต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกร) ตีจาก แล้วผู้ตายไม่ยอม เลยมีปากเสียงกันจนอีกฝ่ายพลั้งมือฆ่า ตอนนี้ตำรวจกำลังตามหาตัวผู้ต้องสงสัย
สาม จู่ๆ พี่ภูก็ปรากฏตัวที่หน้าบ้านผม แบบปุบปับ ให้เหตุผลว่าคิดถึงเลยรีบมาหาผม

สี่ พี่ภูใส่ชุดใหม่ทั้งตัว รีบด้วย ป้ายราคาก็ยังไม่เอาออกจากเสื้อกางเกงเลย เหมือนเร่งรีบ

หมดแล้ว … ข้อเท็จจริง
เชี่ยเอ๊ยยย ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
ผมจับแยกความคิดความสงสัย กับข้อเท็จจริงแล้ว ไม่เห็นมันจะลดความคิดฟุ้งซ่านได้เลย นี่ขนาดใช้สติไล่ไตร่ตรองทีละข้อๆ แล้วนะ ผมว่านี่มันไม่ใช่ความฟุ้งซ่านแล้วล่ะ มันคือเรื่องจริง

พี่ภูทำตัวน่าสงสัยจริงๆ
ผมว่า วันนี้พี่ภูไม่ปกติแน่นอน
เขามีความลับบางอย่าง ที่ปิดบังผม
ความลับที่เขาไม่กล้าเล่าให้ผมที่เป็นแฟนเขาฟัง … ผมเป็นแฟนอย่างเป็นทางการของเขาแล้วใช่ไหม? ใช่สิ เพราะอีกคนเป็นแฟนเก่าไปแล้วไง พี่ภูจัดการให้เขาเป็นแฟนเก่าไปเรียบร้อยแล้ว คนนั้นเปลี่ยนสถานะเป็นแฟนเก่าไปแล้ว

ไม่ว่าเขาจะอยู่ … หรือตาย …
เสียงฝักบัวหยุดไปแล้ว แต่เสียงฮัมเพลงของพี่ภูยังอยู่ เขาคงอาบน้ำเสร็จแล้ว และกำลังเช็ดตัวสินะ ผมมีเวลาอีกไม่นานที่จะตรวจสอบร่องรอยที่น่าสงสัย …
ไม่เอาน่า ผมบอกตัวเอง แกเป็นแค่เด็ก ม.5 นะกฤษ ประสบการณ์ด้านคดีฆาตกรรมที่แกเฉียดใกล้มากที่สุดคือตอนดูโคนัน และการดูโคนันทุกตอนก็ไม่ได้ช่วยทำให้เพิ่มทักษะการเป็นนักสืบได้นะเว้ย
อีกอย่างนะ … มันจะไปมีร่องรอยได้ยังไง? นี่มันชุดใหม่ทั้งหมด ถ้าเขาเกิดลงมือทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ร่องรอยแม่งก็ต้องอยู่ที่ชุดเก่าที่เขาถอดทิ้งไปแล้วสิ มันจะมีอยู่ที่ชุดใหม่ได้ไง

“อ้าว กฤษ โทษทีที่พี่ถอดเสื้อผ้าวางเกะกะ”
ยังไม่ทันจะตั้งตัว พี่ภูก็นุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมาจากห้องน้ำ
“เอ่อ … ไม่เป็นไรฮะ กฤษกำลังจะหาที่แขวนให้”
ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ขับไล่ร่องรอยความกังวลสงสัยออกไปจากหน้า

“ไม่ต้องหรอกครับ เอามานี่แหละ พี่จะใส่ต่อ”
เขายื่นมือมาขอเสื้อเขาที่อยู่ในมือผม
ตอนที่เราสบตากัน นั่นล่ะ มันคือจุดที่ความสงสัยในตัวผมระเบิด มันชนะปากที่เม้มสนิท และสติที่พยายามข่มเอาไว้ ผมโพล่งถามเขาออกไป “ทำไมพี่ภูถึงซื้อชุดใหม่มาใส่ครับ?”

“... เอ่อ ทำไมนายถึง?”
“พี่ภูยังไม่ได้แกะป้ายราคาออกเลยฮะ”
ผมตอบพลางยื่นเสื้อคืนให้เขา
พี่ภูรับไปแล้วพลิกดูที่ปกเสื้อ แล้วถอนหายใจยาว

“พี่รีบน่ะ” เขาดึงป้ายราคากับสติกเกอร์ออก สลัดมันสองที แล้วสวม หันมาสบตาผมด้วยแววตาที่ยากจะเดา “พี่มีปากเสียงกับแฟนเก่าอย่างที่เล่า เขาไม่ยอมฟังพี่ท่าเดียว เอาแต่โต้เถียง ไม่ยอมเลิก”
“พี่เห็นว่า คุยไปก็ไม่มีประโยชน์ เลยเดินหนี เขาก็คว้าจานข้าวโต๊ะข้างๆ สาดใส่พี่” พี่ภูติดกระดุมเสื้อเสร็จแล้วก็หยิบกางเกงไปใส่ต่อ “พี่เลยแวะร้านขายเสื้อผ้าแถวนั้นซื้อชุดใหม่ใส่ แล้วทิ้งชุดเก่าไปน่ะ”
ผมนิ่งฟัง นึกภาพตาม มันก็สมเหตุสมผลนะ มือผมที่เมื่อกี้นี้กำสนิทเริ่มค่อยๆ คลาย ไหล่ที่เมื่อกี้ตึงๆ ค่อยๆ ผ่อนลง ผมรู้สึกว่าความสบายใจค่อยๆ กลับมาสู่ในอกอีกครั้งช้าๆ ตามเรื่องเล่าของพี่ภู ก็มันสมเหตุสมผลนี่นา … สมเหตุสมผลมากกว่าความระแวงของผม
เสียงโทรศัพท์พี่ภูดัง
คราวนนี้ เราสองคนสะดุ้งพร้อมกัน
พี่ภูหยิบมาดู เบ้ปาก แล้ววางมันบนโซฟา

“เขาโทรมาน่ะ พี่ไม่อยากคุยตอนนี้”

ผมรู้ว่า เขา หมายถึงแฟนเก่าของพี่ภู
นี่ถ้าเขาโทรมาได้ มันก็แปลว่า เขายังไม่ตายสินะ
สรุปแล้ว พี่ภูไม่ได้เป็นฆาตกร ผมฟุ้งซ่านบ้าบอไปเอง
โทรศัพท์ดังอีกครั้ง
พี่ภูหยิบมากดตัดสายทิ้ง

“มีอะไรก็ให้ส่งข้อความมาแล้วกัน เดี๋ยวพี่ค่อยอ่านทีหลัง” เขาส่ายหน้า “แล้วกฤษเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เมื่อกี้นี้สีหน้าไม่ค่อยดีเลย หรือว่าโกรธเรื่องพี่ที่ไปคุยกับแฟนเก่า? แต่พี่บอกแล้วไงว่าพี่เลิกกับเขาแล้วนะ”
ผมส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอกฮะ … แค่เรื่องไร้สาระน่ะ ช่างมันเถอะครับพี่ภู”

พี่ภูจับไหล่ทั้งสองข้างของผม “ไม่มีเรื่องไหนไร้สาระหรอก ถ้าแฟนพี่ไม่สบายใจ อย่าเก็บไว้คนเดียวสิครับ เล่ามาเถอะ”
ไหนๆ ทุกอย่างก็คลี่คลายไร้ข้อสงสัยแล้วนี่นา ผมเลยเล่าให้ฟังทั้งหมด ทั้งเรื่องข่าวที่ผมได้ฟังวันนี้ เรื่องความกังวล ฟุ้งซ่านคิดนู่นนี่ และเรื่องที่ผมค้นเสื้อผ้าพี่ภูด้วย ผมยังเอามือถือเปิดให้พี่ภูดูลิงก์ข่าวเมื่อกี้นี้อีก
“ที่พี่ไม่กลับไปคอนโดตอนนี้ เพราะเขามีกุญแจคอนโดพี่ครับ พี่กลัวว่าเขาจะไปดักรอที่นั่น โทษทีที่พี่ไม่ได้บอกนายตั้งแต่ทีแรก”

เขาอธิบาย ตอนนี้เราสองคนนั่งพิงกันบนโซฟา หัวผมซบอยู่ที่ไหล่พี่ภู กลิ่นสบู่อาบน้ำเย็นๆ โชยมาจากซอกคอเขา “กฤษขอโทษนะครับพี่ภู ที่ฟุ้งซ่านบ้าบอ”
“พี่ก็ขอโทษนะครับ ที่ทำให้กฤษฟุ้งซ่านสงสัย”
เขาหันมาบีบจมูกผมทีหนึ่งเบาๆ “หมดเรื่องแล้วเนอะ เดี๋ยวพี่จะได้กลับบ้าน”

ผมลุกพรวด สีหน้าผิดหวัง
“อ้าววว กฤษนึกว่าพี่ภูจะอยู่ค้างกับกฤษเสียอีก”
เขาส่ายหน้า “ไม่ได้หรอกครับ พรุ่งนี้พี่มีเรียน เดี๋ยวคงกลับไปบ้านแม่ก่อน ดึกๆ ค่อยไปที่คอนโดอีกที เอาให้แน่ใจว่าเขาไม่ดักรออยู่ที่นั่น ไม่อยากเจอแล้ว” พอเห็นผมทำหน้าบูดเขาก็ลูบหัว
“ไม่เอาสิคนดี เดี๋ยววันหลังมาค้างด้วยนะครับ วันนี้ไม่ได้จริงๆ นะ” ผมพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ไม่คลายสีหน้า พี่ภูเห็นแล้วหัวเราะ “ไม่เอาดิกฤษ 5555 ไหนยิ้มให้พี่ดูหน่อยซิ”
“ก็ได้” แล้วผมก็ฉีกยิ้มแกล้งๆ ใส่เขา พี่ภูหยิกจมูกผมทีหนึ่ง “ไอ้เด็กบ๊องเอ้ยยยย” แล้วเขาก็หัวเราะ ผมแหวกลับ “กฤษอ่อนกว่าพี่ภูไม่กี่ปีเองนะ อย่ามาทำเหมือนกฤษเป็นเด็กสิ”
“พี่ว่านายเด็กนะ เด็กเป็นโคนันเลย อยู่ในโลกแฟนตาซีไปหมด ทุกอย่างเป็นฆาตกรรม 5555 เออนี่ พี่ว่านายเอาเรื่องนี้ไปเล่าลงในทวิตเตอร์ก็ดีนะ เขียนให้มันดูลึกลับหน่อยๆ แล้วตบตอนจบให้ตลกไปเลย”
“ได้เหรอพี่ภู กฤษเล่าเรื่อง ... นี้ … ได้เหรอ?” ผมละคำว่าเรื่องแฟนเก่าไป แต่ดูเหมือนพี่ภูจะเข้าใจ เขาพยักหน้า “เล่าได้สิ ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่นา แต่ถ้านายคิดว่าไม่อยากเล่าก็เรื่องของนายนะกฤษ”
ผมส่ายหน้า “เล่าครับ กฤษอยากเล่าลงทวิตเตอร์ คนอ่านต้องชอบแน่ๆ แต่ตอนนี้ …” ผมเดินเข้าไปเกาะแขนพี่ภู ซบไหล่ แล้วยกมือถือขึ้นถ่ายรูปเซลฟี่ของเราสองคน “กฤษต้องถ่ายรูปคู่เราไว้ลงประกอบด้วย”
“จ้าาาา” แล้วพี่ภูก็หอมหน้าผากผมทีหนึ่ง ผมกดถ่ายรูปอีกรอบ “พี่ไปก่อนนะกฤษ แล้วพี่จะส่งโทรมาส่งเราเข้านอน อย่านอนดึกล่ะ พรุ่งนี้ไปโรงเรียน รู้ไหม” ผมพยักหน้า “คร้าบบบบบบ ลุง สั่งซะเป็นคนแก่เลย”

แล้วพี่ภูก็กลับบ้านไป
ส่วนผมก็มานั่งหน้าคอมฯ
พิมพ์เล่าเรื่องลงบนทวิตเตอร์
แล้วมันก็เป็นไปตามคาด คนชอบ คนกดหัวใจ คนรีทวีตมากมาย มันกลายเป็นเรื่องตลกตามที่ผมตั้งใจ คนติดตามมากมายชอบมัน ตัวเลขรีทวีตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตัวเลขผู้ติดตามผมก็เช่นกัน

หัวใจของผมพองโต
ผมมีแฟนที่หล่อ เพอร์เฟคท์
ผมมีชื่อเสียง มีคนสนใจ อย่างที่ต้องการ
พี่ภูโทรมาส่งผมเข้านอนตอนห้าทุ่ม
ที่จริงผมก็ควรจะเข้านอนหลังจากวางสาย
แต่ก็ประสาคนติด social network นั่นล่ะ ผมเล่นต่อ

จนเกือบราวๆ ตี 2 ผมถึงเริ่มง่วง คิดว่าควรไปนอนได้แล้ว
ก่อนจะปิดมือถือแล้วเข้านอน ดันมี notification ขึ้นมา …
มีคนเมนชันถึงในเธรด
ผมเลยกดเข้าไปดูข้อความที่เขาโควททวีต

/ แล้วรู้ได้ไง ว่านั่นเป็นสายจากแฟนเก่าจริงๆ?
ถ้าสมมุติเขามีสองเบอร์ แล้วเซฟอีกเบอร์เป็นชื่อแฟนเก่า ตั้งเวลาโทรเข้า หรือ ฝากให้ใครโทรเข้ามา มันก็ดูเหมือนแฟนเก่าโทรเข้ามาหาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?

เขารับสายเหรอ? ถึงแน่ใจว่าเป็นแฟนเก่าโทรเข้ามาน่ะ แค่มีสายเรียกเข้า ไม่ได้แปลว่าอีกฝ่ายที่โทรเข้ามามีตัวตน หรือมีชีวิตไม่ใช่หรือไง /
คืนนั้น ผมนอนไม่หลับ
และพอตอนเช้ามาถึง ผมก็โทรนัดเจอหมอนินโดยเร็วที่สุด ...
พวกคุณเคยเป็นเหมือนผมไหม?
บางครั้งคิดมาก บางครั้งก็คิดน้อยไป

เคยถามตัวเองบ้างไหม? ว่าตรงไหน คือจุดกลางๆที่เราควรวางความคิดไว้ ตรงไหนคือจุดพอดีที่เราไม่ประมาทเกิน และไม่ฟุ้งซ่านเกินไป

ผมหาจุดนั้นไม่เจอ ...
อย่างน้อยก็ตอนนั้นนั่นล่ะ ที่ผมหาจุดกลางๆไม่เจอ
ตอนอยู่กับพี่ภู ผมบาลานซ์ความคิดไม่ได้เลย
บางครั้งผมก็ประมาทเกินไป บางครั้งก็ฟุ้งซ่านไป

และเรื่องที่ผมกังวลสงสัยมากมายในครั้งนี้ ตลกนะ มันไม่ใช่เรื่องที่ #ฟุ้งซ่าน เกินไป ผมเข้าใจผิดไปมาก ... แต่แท้จริงแล้วมันคือ ผม #ประมาท เกินไปต่างหาก

ผม ประมาท พี่ภู เกินไป
วันนี้เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ วันพุธมาตามอ่าน #พี่ภูน้องกฤษ กันต่อตอนเย็นๆ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะครับ สวัสดีครับ
วันพุธแล้ว กลับมาเล่า #พี่ภูน้องกฤษ ใน #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ต่อแล้วครับ ล้อมวงมาอ่านกันเร้ววววว
คืนนั้นผมนอนไม่หลับ
และผมนอนไม่หลับต่อมา ในอีกหลายคืน

วันนี้เป็นวันศุกร์

เป็นวันที่ผมจะต้องไปเจอหมอนิน
ผมขึ้นรถไฟฟ้าจากโรงเรียน
เปิดอ่านข่าวจากมือถือ

มันคือข่าวเดิม …
ข่าวที่ผมอ่านมาหลายรอบแล้ว
ข่าวที่ผมวนอ่านไป อ่านมาซ้ำๆ ย้ำกับตัวเอง
/ ตอนนี้ตำรวจกำลังพาผู้ต้องหา เข้าทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ณ ที่เกิดเหตุ หากมีความคืบหน้าทางคดีมากขึ้น จะรายงานข่าวเพิ่มเติม /

ผมปิดมือถือ ใช่ คดีนั้นจบไปแล้ว
ผู้ต้องหาโดนจับไปแล้ว
และก็ไม่ใช่พี่ภู

พี่ภู แฟนผมไม่ใช่ผู้ต้องหา
พูดให้ชัดๆ เขาไม่ได้ฆ่าแฟนเก่าเขา
ดังนั้น มันควรจะจบใช่ไหม?
แต่ทำไมผมกลับรู้สึกเหมือนไม่ล่ะ?

ทำไมผมกลับรู้สึกเหมือน ยังมีอะไรแปลกๆ ค้างอยู่ มันเหมือนเวลาที่เรากินข้าว กลืนข้าว แล้วข้าวติดคอน่ะ แม้เราจะกินน้ำกลืนข้าวลงคอไปได้ แต่มันจะมีความรู้สึกหลอนๆ คล้ายว่ายังมีข้าวติดคอค้างอยู่ในคออีกสักพัก
นั่นล่ะ คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม
ผมยังรู้สึกระแวงๆ หลอนๆ อยู่

ความระแวงเหมือนเชื้อโรคที่มีชีวิตจริงๆ หากเราปล่อยให้มันเข้ามาในใจเราได้แม้แต่นิด มันจะขยายตัวเองเกาะกินความรู้สึกเราไปได้เรื่อยๆ และแม้เราจะพยายามกำจัดมันด้วยอะไรก็ตาม มันอาจจะลดลงไปได้บ้าง
แต่มันไม่เคยหายไป
มันจะไปหาที่หลบอยู่เงียบๆในซอกใจ
แล้วค่อยขยายขนาดอีกครั้ง เพื่อกัดกินความรู้สึกเราต่อ
ตอนนี้ความรู้สึกของผม โดนความระแวงนี่แหละกัดกินอยู่
มันไม่ได้เริ่มต้นแค่เรื่องข่าวที่บังเอิญโผล่มาประจวบเหมาะในเวลานั้นหรอกนะ ที่จริงเมล็ดพันธุ์ของความระแวง มันเริ่มแทงรากในใจผม หลังจากที่รู้ว่าพี่ภูปิดบังผมเรื่องมีแฟนอยู่แล้ว

ผมจะไว้ใจเขาได้ไหม?
ผมจะไว้ใจพี่ภูได้หรือเปล่า?
ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่า
ความระแวง ไม่ได้รักษาด้วยการเคลียร์

ผมกับพี่ภูคุยกันเคลียร์เรียบร้อย
เขาไปเคลียร์กับแฟนเก่าเรียบร้อย

คดีที่ผมระแวงไปเองว่าพี่ภูเป็นฆาตรกร
ก็เคลียร์จบไปเรียบร้อย จับคนร้ายได้
แล้วไหนล่ะ? ความสบายใจ?
มันยังไม่เห็นกลับมาสู่ใจผมเลย
ความระแวงมันก็ยังอยู่ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างมันเคลียร์
นั่นล่ะ ผมถึงได้รู้ว่า การเคลียร์ทุกอย่าง ก็ไม่ใช่หนทางกำจัดความระแวง ผมตัดสินใจแล้ว ตอนที่รถไฟฟ้าจอดที่สถานี ว่าวันนี้ ผมจะคุยเรื่องนี้กับหมอนิน ผมไม่อยากให้ความระแวงมันแฝงอยู่ในใจผมนาน

การเคลียร์รักษาความระแวงไม่ได้
แต่ผมรู้ว่าหมอนินจะรักษามันได้ …
“วันนี้ กฤษดูมีเรื่องในใจนะครับ” หมอนินทัก หลังจากเริ่ม session พูดคุยไปได้เพียงห้านาที ผมพยักหน้า “ครับ มีเรื่องระหว่างผมกับแฟนน่ะครับ เลยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จนนอนไม่หลับมาหลายวันละครับ”

“อยากเล่าให้หมอฟังไหม?”
“ตั้งใจจะเล่าให้ฟังอยู่แล้วครับ”
“งั้นหมอลุกขึ้นไปชงชาแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวมา”​ แล้วหมอนินก็ลุกจากเก้าอี้ออกไปที่แพนทรีที่อยู่ห้องข้างๆ ผมนั่งทำสมาธิเรียบเรียงเรื่องราวว่าจะเล่าอะไรให้เขาฟังก่อนดี สายตาก็เหลือบไปเห็นตู้หนังสือที่อยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานหมอนิน

/ตารางนัด/
/รายชื่อผู้ป่วย/
/เวชระเบียนผู้ป่วย/
ทุกครั้งที่หมอนินทำการรักษา เขาจะหันไปหยิบแฟ้มคนไข้มาเปิด จดโน้ตไปบ้าง แล้วก็ฟัง แม้บนโต๊ะหมอนินมีคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ได้ใช้กับคนไข้ (เท่าที่ผมรู้นะ) เขาเคยบอกผมว่า เขาเป็นหมอ old school ชอบกระดาษมากกว่า

“ข้อมูลไม่หลุดออกไปง่ายๆ ด้วยครับ”
เขาเคยบอกผมอย่างนั้น
นั่นคืออีกสิ่งที่ผมชอบมากในตัวหมอนิน เขานึกถึงใจคนที่เขารักษาเสมอ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ การลงข้อมูลในคอมพิวเตอร์ แม้จะระวังมากขนาดไหน แต่ความระแวงในใจคนไข้จิตเวชมันเยอะนะ ผมน่ะไม่ค่อยกลัวหรอก เรื่องข้อมูลจะหลุดไป แต่ผมว่าคนไข้คนอื่นๆ เห็นแบบนี้คงอุ่นใจกว่า
ประตูเปิด หมอนินโผล่หัวเข้ามา
“น้องกฤษ กินชาด้วยไหมครับ?”
ผมหันไปตอบ “ได้ก็ดีครับหมอนิน”

“เอาชาอะไรดีครับ หมอมี อูหลง คาโมมายล์”
“เอาคาโมมายล์แล้วกันครับ”
“ได้ๆ อีกสามนาทีนะ”

แล้วเขาก็ปิดประตูออกไปอีกรอบ
สายตาผมกลับมาที่แฟ้มบนชั้นหนังสือหลังโต๊ะทำงานหมอนินอีกครั้ง ความคิดและคำถามหนึ่ง ผ่านแว่บเข้ามาในหัวผม …

ในนั้นมีชื่อพี่ภูด้วยสินะ
เป็นไปได้ไหมว่า ในแฟ้มเวชระเบียนนั้น …
จะมีข้อมูลของพี่ภู

ข้อมูลที่บอกว่า
พี่ภูมารักษาด้วยโรคอะไร
พี่ภูเป็นโรคจิตเวช แบบไหน?
จริงๆ คำถามนี้เคยแว่บมาในความคิดของผมบ้างแล้วนะ แค่ถามพี่ภูเองก็จบถูกไหม แต่ไม่รู้สิ มันเหมือนมีบรรยากาศแปลกๆ บางๆ กั้นระหว่างเราสองคน แม้เราจะสนิทกันมาก (สนิทแนบแน่นเลยล่ะ)

แต่มันมีบางเรื่อง ที่เราสองคนไม่เคยคุยกัน
เราไม่เคยพูดถึงโรคจิตเวชที่เราเป็นเลย
พี่ภูรู้เรื่องผมอยู่แล้วสิ ก็เขาตามทวิตผมนี่นา
แต่ผมสิ … ผมไม่เคยรู้เรื่องของพี่ภูเลย

ต้องบอกว่าผมไม่จำเป็นต้องพูด เพราะยังไงเขาก็รู้อยู่แล้ว แต่กับเขา ผมไม่เคยถาม เขาไม่เคยเล่า เราแทบไม่เคยพูดถึงคลินิกหมอนินกันเลยด้วยซ้ำ
เราเหมือนคู่รักคนดังบนทวิตเตอร์ทั่วไปที่พูดคุยกันแต่เรื่องของเรา เรื่องอื่นๆ รอบตัว แล้วทำเป็นหันหลังให้กับที่มาที่ทำให้เราสองคนเจอกัน

อย่าลืมนะ เราเจอกันในคลินิกจิตเวช
เราสองคน เป็นผู้ป่วยจิตเวชทั้งคู่
ถามหน่อยสิ ถ้าเป็นพวกคุณน่ะ
พวกคุณจะไม่อยากรู้เหรอ ว่าแฟนคุณ
เป็น โรค จิต แบบ ไหน ?
ผมจ้องสันแฟ้มบนชั้น …. เวชระเบียนคนไข้ ไม่น่าหยิบมาเปิดหรอก มันมีอยู่ 10 กว่าแฟ้ม บอกไม่ได้เลยว่าพี่ภูอยู่ในไหน ผมอยู่ในไหน โอกาสจั่วพลาดมีสูง ถัดไปคือ รายชื่อคนไข้ กับ ตารางนัด สองอันนี้ค่อยน่าหยิบมาเปิดหน่อย
แต่ตารางนัด ก็น่าจะมีแค่ชื่อเท่านั้น คงไม่ได้บอกว่าเป็นโรคอะไร ดังนั้น แฟ้มที่น่าหยิบมาเปิดมากที่สุดก็คงจะเป็นแฟ้ม /รายชื่อคนไข้/ หวังว่าหมอนินคงจะเรียงชื่อคนไข้ในนั้นตามลำดับตัวอักษรนะ
เมื่อกี้นี้หมอนินบอกว่า … อีกสามนาทีใช่ไหม?
นี่ผมว่ามันผ่านไปได้สักนาทีแล้วนะ
แปลว่า ผมเหลืออีกสองนาที

จะหยิบมาเปิด ก็ต้องรีบลงมือแล้ว
เอาไงดีวะ? ทำ หรือ ไม่ทำดีเนี่ย
ถ้าหมอนินรู้ โดนดุแน่ๆ
แต่ … ก็อยากรู้นี่หว่า
ผมไม่รู้หรอกนะว่า ทำไมถึงอยากรู้ ความอยากรู้ มันก็คือความอยากรู้ ไม่ได้คาดหวังว่า พอรู้แล้ว ไอ้ความระแวงกังวลมันจะหายไปไหน มันอาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เอาจริงๆ ไม่แน่ใจด้วยเหอะว่าเปิดมาเจอศัพท์ชื่อโรคแล้วจะเข้าใจหรือเปล่า แต่มันก็อยากรู้อ่ะ เคยเป็นใช่ไหม
ในระหว่างที่หัวผมยังสับสน ว่าจะหยิบมาเปิดหรือไม่เปิดดี แต่เท้าผมน่ะ มันไปแล้ว ผมลุกจากเก้าอี้ตัวเอง เดินไปที่ชั้นหนังสือข้างหลังหมอนิน มือก็เอื้อมไปหยิบแฟ้ม /รายชื่อคนไข้/ มาเปิด
คุณก็เคยเป็นใช่ไหม? บางครั้ง ความอยากรู้อยากเห็น ก็เป็นแรงที่จูงมือจูงเท้าให้เราทำอะไรโดยที่สมองเรายังไม่ทันได้ตัดสินใจสั่งการเลยด้วย รู้ตัวอีกที รายชื่อคนไข้หมอนินก็อยู่ตรงหน้าผมแล้ว
ผมไล่สายตาไปตามตัวหนังสือ เออ หมอนินเรียงชื่อคนไข้ตามลำดับตัวอักษรจริงๆ ง่ายละ ไหนนะ ภ.สำเภา ภ.สำเภา นี่ไง เจอแล้ว ผมไล่รายชื่อลงมา มีชื่อคนไข้ ตามด้วยภาษาอังกฤษ ที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นวินิจฉัยโรคที่พวกเขาเป็น
ภัทรษิตย์ (เขียนแปลกดี)
ภาณีม (ชื่อแปลกจัง)
ภีษฤทธิ์ (นี่ยิ่งแปลก)

มธุสร (อ่ะ ม.ม้าแล้ว)
เอ๊ะ … เดี๋ยวนะ …
ผมไล่กลับไปอ่าน หมวด ภ.สำเภา ใหม่อีกครั้ง คงเพราะว่าชื่อที่ขึ้นต้นด้วย ภ.สำเภา ไม่ได้มีเยอะมากนัก มันเลยสั้น ผมอาจจะไล่ตาผ่านชื่อพี่ภู ภูเบศร์ ไปก็ได้ ไม่เป็นไร ไล่ดูอีกที

ภัทรษิตย์ ภาณีม ภีษฤทธิ์
มธุสร ไม่มี ไม่มีชื่อ ภูเบศร์
พี่ภูไม่ได้อยู่ในรายชื่อคนไข้หมอนิน?

เพล้ง!!!
เสียงแก้วแตกจากหน้าประตูทำเอาผมสะดุ้ง รีบปิดแฟ้มแล้ววางมันกลับไปที่เดิม เดินไปที่หน้าประตู เปิดไปเจอหมอนินกำลังเก็บเศษแก้วที่พื้นอยู่

“น้องกฤษ หมอทำแก้วชาตกน่ะครับ”
แทบจะพูดได้ว่า ผมดีใจด้วยซ้ำที่เขาทำแก้วตก มันช่วยดึงสติผมให้กลับมา ดีแล้ว นี่ถ้าหมอนินเปิดประตูมาเห็นตอนที่ผมกำลังอ่านแฟ้มอยู่นี่ ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดีเลยเนี่ย

“เดี๋ยวกฤษช่วยเก็บไหมครับหมอนิน”
ผมก้มลงช่วยเขาเก็บเศษแก้วกระเบื้องจากพื้น
“ไม่เป็นไรครับ กฤษไปนั่งรอเถอะ เดี๋ยวหมอทำชาให้ใหม่นะ เดี๋ยวตรงนี้ให้แม่บ้านมาเก็บดีกว่า เดินระวังๆ ด้วย เผื่อจะยังมีเศษแก้วแตกอยู่อีก”
“ไม่เอาแล้วดีกว่าครับหมอนิน กฤษกินน้ำเปล่าดีกว่าครับ” พอเห็นว่าผมไม่เอาน้ำชาแล้ว หมอนินก็เลยเดินกลับเข้ามาที่ห้องทำงาน และจิบชาในแก้วตัวเองไป โดยที่ผมกินน้ำเปล่าจากแก้วตรงหน้า

“เอาล่ะครับ ไหนเล่าเรื่องที่ว่ามาหน่อยสิครับ”
หมอนินเริ่มต้นถาม แล้วผมก็เล่าให้เขาฟังทั้งหมด

...
“กฤษกำจัดความรู้สึกระแวงออกไปไม่ได้อ่ะครับ” ผมสรุปปัญหาตัวเองในตอนท้าย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองเล่าจบแล้วหรือยัง แต่เพราะไม่รู้จะเล่าอะไรต่อไปแล้วดี ผมจึงปิดท้ายมันด้วยการสรุปความรู้สึก
หมอนินเคาะปลายดินสอกับแฟ้ม “หมอว่า บางครั้งความระแวงก็เป็นสิ่งดีนะน้องกฤษ” เขาวางดินสอลง แล้วประสานมือตรงหน้า มองผมด้วยสีหน้าที่ไม่ยิ้ม แต่ก็ยังมีแววใจดี ผมนิ่งรอให้เขาอธิบายต่อ
“ความระแวง ทำให้เรารู้ว่า เราหวงแหน
ความระแวง ทำให้เรารู้ว่า สิ่งนั้นมีค่า

เพราะเรารัก หวง รู้คุณค่าของสิ่งนั้น
มันเลยทำให้เรากลัว ระแวง ฟุ้งซ่าน

กลัวว่ามันจะหายไป
กลัวว่ามันจะมีอะไรแอบแฝง
กลัวว่ามันจะ ไม่จีรังยั่งยืน สลายไป
เราระแวงว่าจะเป็นโรคนี้ นั้น
เพราะเรารักตัวเอง ห่วงสุขภาพตัวเอง

เราระแวงว่าจะมีคนมาปล้น มาทำร้าย
เพราะเรารักทรัพย์สิน เราห่วงบ้านเรา

เราระแวงว่าเขาจะมีความลับ หรือจากเราไป
เพราะว่าเรารักเขา เขามีคุณค่ากับเรามาก
ดังนั้น บางครั้ง
เราจึงรักษาความระแวงไม่ได้
เราทำได้เพียง ขอบคุณความระแวง

เพราะมันเตือนให้เรารู้คุณค่า
ของสิ่งที่เรามีมันอยู่ในมือ เราจะได้รักษามันไว้”

ผมพยักหน้าช้าๆ นึกตามที่หมอนินบอก …
มันก็จริงนะ หลายครั้งที่ผมคิดว่า อะไรมันจะดีขนาดนั้น อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้ คนที่ผมบังเอิญเจอที่คลินิกจิตเวช แล้วแอบปิ๊งจะปิ๊งผมกลับ แถมเขายังเป็นผู้ชายในแบบที่ผมชอบทุกอย่าง

บังเอิญจนผมเคยถามตัวเองว่า
Is this too good to be true?
บังเอิญจนเหมือนใครสักคนเซ็ตไว้
“ถ้าเราระแวง แปลว่าเราหวงแหน และไม่อยากให้มันหายไปไหน สิ่งที่เราระแวง มันมีค่ากับเรามาก ดังนั้น ความระแวง ไม่ได้แก้ไขโดยการเคลียร์ครับ แต่แก้ไขโดยการพยายามรักษามันไว้กับเรา” หมอนินสรุป แล้วปิดแฟ้ม
“เอาล่ะ หมอว่าหมดเวลาพอดีแล้ว ไว้เจอกันอีกทีสองสัปดาห์หน้าแล้วกันนะ” เขาเอาแฟ้มผมขึ้นไปไว้บนชั้นด้านหลัง แล้วหันมายิ้มแห้งๆ “หมอหิวแล้วด้วย เดี๋ยวว่าจะออกไปหาอะไรกินต่อ”

ผมลุกจากเก้าอี้ …
“หมอนินครับ ผมถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”
“ได้สิครับกฤษ มีอะไรสงสัยเหรอ?”
“พี่ภูเป็นโรคอะไรครับ ทำไมถึงมารักษากับหมอนิน?”

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว … อย่าขมวดคิ้วสิ อย่าว่าผมด้วย ผมรู้น่ะ ว่ามันห้ามถาม เรื่องคนไข้คนอื่น ผมรู้ว่าหมอมีจรรยาบรรณ ห้ามพูดถึงข้อมูลของคนไข้ กับคนอื่น แต่มันก็น่าลองดูสักหน่อยนี่นา จริงป่าว?
หมอนินรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นแฟนพี่ภู
เขาอาจจะยอมบอกผมสักนิดก็ได้
แฟนกัน ก็เหมือนคนๆ เดียวกันไง

“ขอโทษนะครับ หมอบอกไม่ได้” หมอนินส่ายหน้า ผมรีบยกมือไหว้ขอโทษ “ขอโทษฮะหมอนิน ผมไม่น่าถามเลยจริงๆ มันผิดจรรยาบรรณแพทย์เนอะ”
หมอนินรีบโบกไม้โบกมือ “เอ้ยย ไม่ต้องขอโทษครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่ … ภูเขาบอกกับกฤษเหรอ ว่าเขามารักษากับหมอ?”

พอหมอนินพูดมาถึงตรงนี้
ผมแอบงงนิดนึงนะ
“เอ่อ … ทำไมอ่ะครับ ต้องบอกด้วยเหรอ? ก็ผมกับพี่ภูเจอกันที่คลินิกหมอนินนี่นา” นั่นก็แปลว่าเขามารักษาโรคจิตเวชของเขาสิ แล้วไม่งั้นเขาจะมาที่คลินิกจิตเวชทำไมกันล่ะ

“เอ่อ … ที่หมอบอกไม่ได้ว่า ภูเขาเป็นโรคอะไร
เพราะเขาไม่ใช่คนไข้ของหมอครับ
ภู ไม่ได้มารักษากับหมอ
ภู ไม่ได้เป็นคนไข้ที่นี่ครับ”

………….
หึหึหึ เหวอใช่ไหม?
ผมก็เหวอเหมือนกัน ตอนหมอนินบอก
แต่เชื่อเถอะ มันมีอะไรมากกว่านี้ ให้คุณเหวอมากกว่านี้อีก

แล้วผมจะเล่าให้ฟังต่อในทวีตถัดไป สำหรับตอนนี้ รีทวีตสิ พวกคุณรู้อยู่แล้วว่าผมชอบตัวเลขรีทวีตที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมมันคนโรคจิต ช่วยผมหน่อย
ช่วยเติมไวน์แห่งความอื้อฉาว ใส่แก้วผมด้วย ผมจะได้ใช้มันดับกระหาย แล้วเล่าเรื่องราวของผมกับพี่ภูให้พวกคุณฟังต่อได้
.....

เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ มาตามอ่าน #พี่ภูน้องกฤษ ต่อได้วันอาทิตย์ค่ำๆเวลาแบบนี้นะครับ ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม รีทวีต เมนชั่น และรีพลายนะครับ

เริ่มหลอนเรื่อยๆแล้วใช่ไหม? ^^
โทษที วันนี้มาช้ามาก แหะๆ

#ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ตอนต่อมาแล้วครับ มาตามอ่าน #พี่ภูน้องกฤษ กันได้แล้วครับ
เอาล่ะ … เริ่มยังไงดีล่ะ?
เอางี้ พวกคุณเคยระแวงแฟนคุณไหม?

ผมว่าในทุกคู่ ในทุกความสัมพันธ์
ต้องมีสักครั้งล่ะ ที่เรา ระแวงคนรัก
แต่ 98% (เป็นตัวเลขที่ผมนึกเองนะ อนุมานเอา) ของการระแวง มันคือการที่เราวิตกว่าเขาจะมีคนอื่น เขาจะนอกใจเรา จะไม่รักเราเหมือนเดิม มันคือความกังวลแบบปกติของความสัมพันธ์ มันเป็น common concern ที่ทุกคู่มี

พวกคุณเคยไหมล่ะ
ที่ระแวงเพราะแค่ “กลัวเขา”
ตอนนี้ผมเริ่มระแวงพี่ภู และมันเป็นความระแวง ที่มาจาก #ความกลัว และผมบอกได้เลย มันไม่ใช่ common concern ในความสัมพันธ์ปกติแน่ๆ อย่างน้อยๆ ก็จากประสบการณ์ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของผม

ผมไม่เคยกลัวแฟนคนไหน
ระแวง น่ะใช่ ผมต้องเคยอยู่แล้ว
แต่ไม่เคย ระแวง เพราะกลัว มันต่างกัน
“ภู ไม่ได้มารักษากับหมอครับ
ภู ไม่ได้เป็นคนไข้ของที่นี่ครับ”

ประโยคสุดท้ายของหมอนินยังก้องอยู่ในความคิดของผมอยู่ แม้จะไม่ได้ยินเป็นเสียงที่หู แต่ผมรู้สึกว่ามันดังอยู่ข้างในจนยากที่จะทำเป็นไม่สนใจมันได้

ถ้าพี่ภูไม่ได้เป็นคนไข้หมอนิน
แล้ววันนั้นพี่ภูมาที่คลินิกทำไม?
มันมีความเป็นไปได้ 2 อย่างคือ หมอนินไม่พูดความจริง กับ พี่ภูไม่ได้พูดความจริง อ้อ ... มีอีกอย่างคือ ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมดผิดเอง
ซึ่ง … มันจะเป็นไปได้ยังไงกันวะ? ก็เห็นชัดๆ ว่าเราเจอกันที่คลินิก และคุณพยาบาลเรียกพี่ภูเข้าไปพบ แต่ก็เห็นชัดๆ อีกว่า หมอนินไม่ได้โกหก เพราะคำพูดกับหลักฐานมันไปในทางเดียวกัน
ในแฟ้มหมอนินไม่มีชื่อพี่ภู และหมอนินก็บอกว่าพี่ภูไม่ได้เป็นคนไข้ คือถ้าหมอนินโกหก ในแฟ้มก็ต้องมีชื่อพี่ภูสิ แต่นี่ไม่เลย หลักฐานมันชัดเจนว่า ไม่มีชื่อพี่ภูเป็นคนไข้ที่นี่ จริงๆ

โอย สับสนอะ
ผมจับต้นชนปลายไม่ถูก
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมเนี่ย
ทีแรกผมรู้สึกเหมือนเจ้าชายแบบในนิทาน มีฉากการพบกันกับคนรักในอุดมคติ แบบ cute meet โคตรๆ ในขณะที่ผมชอบเขา เขาก็ชอบผม แล้วเราก็รักกัน คบกัน social ให้ความสนใจคู่เรา เป็นที่กล่าวถึงมากมาย
แล้วจู่ๆ แฟนเก่าพี่ภูก็โผล่มา
แล้วจู่ๆ ผมก็มาสงสัยเรื่องที่พี่ภูปิดบัง
มันเหมือน … ผมโดนดึงลงจากปราสาท

ผมเหมือนเจ้าชายที่โดนลากจากยอดปราสาทลงมาเรื่อยๆ ด้วยเงาแห่งความระแวงที่ผมสู้ไม่ได้ มันมาอย่างรวดเร็ว อย่างไม่ทันให้ผมตั้งตัว มันมีแรงมหาศาล ดึงผมลงมาจากยอดปราสาทสูงสวยงามได้
ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าเงาแห่งความระแวงจะลากผมลงไปต่ำสุดถึงจุดไหน และยิ่งผมพยายามดิ้นสู้สลัดมันให้ออก มันกลับยิ่งเพิ่มแรง เพิ่มมือ เพิ่มความเร็ว ลากผมลงไปให้ดิ่ง ต่ำกว่าเดิมอีก
ตอนนี้ ผมรู้สึกเหมือนกำลังสำลักความระแวง
มันแทรกเข้าไปในทุกทวารของร่างกายผม …
แล้วก็ไปห่อหุ้มหัวใจ และความคิด

คุณก็รู้ ถ้าความรู้สึก และสติของเรา
ถูกพันธนาการด้วยความระแวงแล้วล่ะก็
เรา ไม่ มี ทาง หนี รอด จาก บ่วง นี้ ได้ เลย
“พี่ภูครับ” ผมมองรูปคู่ของเราจากมือถือ
พูดกับรูปภาพ เหมือนกับว่าเขาอยู่ตรงหน้า

เมื่อความระแวงแทรกเข้ามา

แม้เขาจะเป็นคนเดิม
แม้สัมผัสจะเป็นสัมผัสเดิม
แต่คุณรู้ไว้ได้เลยว่า มันจะไม่สุข เหมือนเดิม
และตอนนี้ ผมอยู่ตรงจุดนั้นล่ะ
“พี่ภูมีอะไร ที่ยังไม่ได้บอกกฤษอีกไหมครับ?
เพราะกฤษเอง ก็ …”

ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง

ผมสะดุ้งจนเกือบทำมือถือตก
เพราะมีข้อความจากพี่ภูเข้ามา

/ คนน่ารัก ทำอะไรอยู่ครับ ดึกแล้วทำไมยังไม่นอน? /
และมีสติกเกอร์ รูปหมีส่งจูบแนบมา
และเพราะผมเปิดหน้านั้นอยู่
มันจึงขึ้นมาว่าเป็น read ไปแล้ว
ดังนั้น ผมต้องตอบข้อความพี่ภูไป

/ อาบน้ำครับ อีกแป๊บจะนอนแล้วครับ ง่วง /
ที่จิงผมยังไม่ได้อาบน้ำหรอก ยังไม่ง่วงด้วย
/ ว้า … เสียดายจัง นึกว่าว่าง /
/ ทำไมเหรอครับพี่ภู? /
/ ก็เผื่อเด็กบางคน อยากมานอนคอนโดพี่ไง พรุ่งนี้วันเสาร์ /

/ คืนนี้พี่ภูไม่ได้นอนบ้านแม่เหรอครับ? /
/ ไม่ครับ มันไกลจากมหาลัยน่ะ พรุ่งนี้มีนัดเพื่อนทำงานกลุ่ม /
ที่จริงผมควรส่งข้อความไปว่า / เสียดายจัง อยากไปหา แต่ง่วงแล้วจริงๆ ครับ / เป็นการปฏิเสธ แต่ถ้าผมพิมพ์ว่า เสียดายจังอยากไปหา มันจะเป็นการเปิดช่องให้เขาหาทางให้ผมไปนอนค้างด้วยแน่ๆ หรือเปล่า?

เอาไงดีวะ?
ตอบแบบไม่น่าสงสัย
แต่ก็ต้องไม่เปิดช่องให้โอกาส
ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง

ระหว่างที่ผมยังลังเล
ข้อความใหม่จากพี่ภูก็เข้ามาพอดี

/ ไม่เป็นไร ไว้นัดกันอีกทีก็ได้ กฤษนอนเถอะนะครับ /
เฮ่อ … โล่งอกว่ะ เขาเป็นฝ่ายตัดบทแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

/ งั้น กฤษนอนก่อนนะครับ ฝันดีนะครับพี่ภู /
แล้วผมก็กดสติกเกอร์ good night ส่งให้เขา
โล่งอกไปที่เขาไม่เซ้าซี้ ปกติแล้วจะเป็นผมนี่แหละที่เป็นฝ่ายเซ้าซี้ และแม้บางทีจะเป็นเที่ยงคืนตีหนี่ง แต่ถ้าพี่ภูบอกว่าอยากเจอ ผมก็จะกระวีกระวาดออกไปจนได้ (แม่ผมไม่เคยสนใจหรอก ที่ผมออกจากบ้านดึกๆ ดื่นๆ)

กลับมาที่โจทย์คำถาม
แล้ว ผม ควร ทำ ยัง ไง ต่อ ?
ผมรักพี่ภู แต่ผมสงสัยพี่ภู
พี่ภูรักผม แต่พี่ภูมีอะไรปิดบังผม

และผมไม่รู้ว่า ก้อนความลับนั้น
มันเล็ก ใหญ่ ขนาดไหนกันแน่

ในความรัก ความสัมพันธ์
มันมีที่ว่างสำหรับความสงสัย และความลับ ด้วยเหรอ?
ผมหยิบสมุดบันทึกขึ้นมา เขียนลงไปในหน้าที่ว่างเปล่า “ผมรักพี่ภู แต่ผมสงสัยพี่ภู พี่ภูรักผม แต่พี่ภูมีอะไรปิดบังผม” พอเห็นมันเป็นตัวอักษรตรงหน้า ผมถึงได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า …

อย่างน้อย เราสองคนก็รักกัน
เป็นไปได้ไหมว่า ที่พี่ภูเก็บความลับไว้ เพราะเขากลัวว่า ความลับนั้นจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนมันพังลงไป เขาเลยไม่อยากจะบอก เพราะเขารักผมนี่
เหมือนผมไง ที่สงสัย แต่ไม่ได้ถาม ส่วนหนึ่งเพราะผมก็กลัวว่าถามไปแล้ว ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ภูจะไม่เหมือนเดิม กลัวว่าความจริงบางอย่าง จะทำให้เราสองคนไม่เหมือนเดิม
ผมรักพี่ภูนะ เขาสำคัญกับผมมาก ทีแรกอาจจะเหมือนรักกันฉาบฉวย เป็นคู่รักคนดังบน social ทั่วไป ยอมรับว่าที่แรก ผม enjoy มากที่มีคนมาตามคู่เราบน Twitter มีคนพูดถึง เป็นคู่ดัง
ผมมีความสุขที่ทุกครั้งเวลาหา #พี่ภูน้องกฤษ บนทวิตเตอร์ แล้วจะเจอมีคนเมนชั่นถึงบ่อยๆว่ากรี๊ดตามคู่นี้ บลา บลา บลา ต่างๆนานามากมาย

ถ้าตอนนี้ผมกำลังสำลักความระแวงเท่าไหร่
ตอนนั้นผมก็สำลักความสุขจากชื่อเสียง เท่านั้น
มันคือความสัมพันธ์ในอุดมคติที่ผมต้องการมาเติมเต็มภาพชีวิตที่ผมมี พี่ภูเหมือนเป็นชิ้นส่วนที่ผมต้องการมานานเพียงแต่ไม่รู้ตัวเองว่าต้องการ เขาทำให้ภาพชีวิตที่ผมต้องการสมบูรณ์
แต่ตอนนี้ มันมีอะไรมากกว่านั้น ผมรู้สึกว่า ผมกับเขาผูกพันธ์กันมากกว่าชิ้นส่วนที่มาเติมเต็มชีวิต เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว และถ้ามันต้องเปลี่ยนแปลงไป ผมก็ไม่อยากให้เกิดจริงๆ

ผมเชื่อว่า ที่พี่ภูเก็บความลับไว้
เพราะเขาต้องการรักษาความสัมพันธ์กับผม
ดังนั้นผมก็ต้องรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้เหมือนกัน
ผม ต้อง สะ กด ความ ระ แวง ไว้ ให้ ได้
ที่จริงเมื่อหัวค่ำตอนที่หมอนินพูดว่าพี่ภูไม่ได้เป็นคนไข้ ผมเกือบจะทวีตลงไปใน Twitter แล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ยั้งมือไว้ก่อน โขคดีจริงๆ เพราะคิดไปคิดมาทบทวนตอนนี้ ถ้าทำแบบนั้นไป เท่ากับทำลายภาพความสัมพันธ์ทั้งหมดของเราสองคนเลยนะ
ผมตัดสินใจแล้วว่า
เรื่องนี้ จะต้องไม่โผล่ในทวีตผม
เรื่องนี้ จะต้องไม่มาเปื้อน #พี่ภูน้องกฤษ

นั่นจึงเป็นสาเหตุว่า
ทำไมพวกคุณถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลย
ว่าระหว่างผมกับพี่ภู มีบางอย่างคั่นกลาง

บางอย่างที่ว่าคือ
ความระแวงของผม
และความลับของพี่ภู
มีเพียง เราสองคน เท่านั้นที่รู้
และเราก็ ... ต่างคน ต่างรู้ ด้วย

ผมไม่รู้ความลับพี่ภู
และพี่ภูต้องไม่รู้ว่าผม ... ระแวงเขา
ส่วนความระแวงที่เกิดขึ้น ผมจะทำยังไง ไว้ค่อยเป็น learning objective สำหรับวันถัดๆ ไปก็แล้วกัน ผมว่าสมองผมล้าและง่วงนอนแล้วล่ะ พรุ่งนี้วันเสาร์ ผมมีเรียนพิเศษตอน 10 โมง นี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว สมควรไป ...
ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง

ผมยังไม่ทันจบประโยคในความคิดตัวเองด้วยคำว่า นอน ก็มีเสียงข้อความดัง มันมาจากพี่ภู อีกแล้ว

/ ดึกแล้วนะเด็กน้อย ทำไมยังไม่ปิดไฟนอนอีกล่ะครับ? /
เหมือนเดิม ด้วยอารามตกใจนิ้วผมโดนหน้าจอ เลยทำให้เปิดเข้าไปอ่านเป็น read ผมเลยต้องตอบข้อความพี่ภูไป

/ คือกฤษเขียนไดอารี่น่ะครับ เลยยังไม่ได้นอน /

ผมรอจนเขา read แล้วพิมพ์ต่อ

/ พี่ภูรู้ได้ไงอ่ะ ว่ากฤษยังไม่นอน /
/ ก็ไฟ status มันขึ้นว่านายยัง online พี่ก็เลยลองส่งข้อความมาแซวเฉยๆ ครับ ไม่ได้คิดว่านายจะตอบพี่หรอก ง่วงก็ไปนอนได้แล้วไป พรุ่งนี้มีเรียนพิเศษใช่ไหม? /

/ ใช่ครับ เวลาเดิม /
/ งั้นพี่จะไปรับตอนเลิกเรียนนะ /
ผมลังเลนิดนึง หันไปมองหน้าสมุดบันทึกที่เปิดค้างไว้ “ผมรักพี่ภู แต่ผมสงสัยพี่ภู พี่ภูรักผม แต่พี่ภูมีอะไรปิดบังผม” …

ใช่ อย่างน้อยเราสองคนก็รักกัน
และคนรักกัน ต้องเจอกัน
ผมต้องรักษา #พี่ภูน้องกฤษ ต่อไป

/ ครับ มารับนะฮะ คิดถึงพี่ภูจะแย่ /
ผมพิมพ์ตอบกลับไป
/ ครับ ได้ครับ ไปนอนได้แล้วเด็กบ๊อง /
/ ครับพี่ภู กฤษคิดถึงนะฮะ /
/ พี่ก็เหมือนกันครับ /

ผมวางมือถือ ถอนหายใจยืดยาว
เอาเหอะ ให้มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้แล้วกัน
ผมเดินไปที่โต๊ะหนังสือริมหน้าต่าง หยิบขวดยานอนหลับขึ้นมาเปิดเท เตรียมจะกินยาแล้วนอน ก็บังเอิญหางตาเห็นเงาตะคุ่มๆ ที่ถนนหน้าบ้าน เงาเหมือนใครสักคนเพิ่งจะเดินผละออกไป
เงาใครสักคน …
ที่ผมว่า เหมือน พี่ ภู

เดี๋ยวนะ ...
ผมหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูอีกที

/ดึกแล้วนะเด็กน้อย ทำไมยังไม่ปิดไฟนอนอีกล่ะครับ?/

เมื่อกี้นี้เขาบอกว่า ...
เขาได้เดาว่าผมตื่นอยู่ เพราะ status online

แต่ ... เขารู้ได้ไง
ว่า ผม ยัง เปิด ไฟ
แฮร่!!!! วันนี้เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ พี่เขียนเอง พี่เริ่มรู้สึกแล้วล่ะว่าพี่ภูดูไม่ค่อยธรรมดาว่ะ กฤษดูน่าสงสารเหมือนกันแฮะ แต่เรื่องจะเป็นไงก็ตามอ่านอีกทีวันพุธนะครับ ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม รีทวีต เมนชั่น รีพลาย พุธหน้าสัญญาจะไม่เลทครับผม ^^
มีใครรออ่าน #พี่ภูน้องกฤษ อยู่หรือเปล่าครับ? #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ตอนต่อมาแล้วนะครับ ล้อมวงมาอ่านกันเร้วววววว
“เฮ้ยยย หลอนว่ะ”

โฟร์ เพื่อนสนิทผมเผลออุทานเสียงดังระหว่างที่นั่งอยู่ในห้องเรียนพิเศษ จนทั้งห้องหันมามองเราสองคนด้วยสายตาตำหนิ
“มึงนี่ เบาๆสิวะ คนอื่นเขาได้ยินหมด”
ผมค้อมหัวขอโทษคนอื่นๆในห้อง

“โทษๆที ก็มันหลอนจริงๆนี่หว่า พี่ภูของมึงอ่ะ”
“เฮ้ย กูยังไม่ทันบอกเลยว่าเงานั่นคือพี่ภู ...​กูแค่สงสัย”
โอเค การที่ผมบอกว่า ผมจะไม่เล่าเรื่องนี้ลงในทวิตเตอร์ ไม่ได้แปลว่าผมจะเก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียวนี่นา เวลาคุณกลัวคุณทำไงล่ะ? ลองนึกย้อนกลับไปตอนคุณเป็นเด็กแล้วดูหนังผี แล้วมันติดตามันกลัวน่ะ พอตกดึกคุณต้องเดินไปห้องน้ำคุณทำไง?
แน่นอน คุณต้องหาคนเป็นเพื่อน ตอนผมเด็กๆผมชอบดูหนังผี พอภาพติดตาหลอน ตื่นมากลางดึกจะเข้าห้องน้ำ ผมต้องตามพี่เลี้ยงให้เขาเดินไปส่งผมที่ห้องน้ำ ทั้งๆที่มันก็ไม่ไกลจากห้องนอน แถมไฟก็สว่าง แต่นั่นแหละผมก็กลัว

เหมือนกัน คราวนี้ในเมื่อผมกลัว
ไม่แน่ใจว่า ผมควรใช่คำว่ากลัวหรือยัง
เอางี้ เอาเป็นว่า ตอนที่ผมกำลังหวาดๆเรื่องพี่ภู ผมก็อยากได้เพื่อนสักคนมาระบายให้ฟัง และคนคนนั้นก็คือ โฟร์ เพื่อนสนิททั้งที่โรงเรียนผม (แน่นอน เราเรียนพิเศษที่เดียวกัน)
“แล้วจะเป็นใครไปได้ยังไงกันวะ ถ้าไม่ใช่พี่ภูของมึง”
“ก็ …” ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันแฮะ “ไม่รู้อ่ะ ขโมยแถวๆนั้นไหม?”

“ถ้าเป็นขโมยจริง มันก็เข้ามาแล้วสิวะมาจ้องๆทำไม”
“ไมรู้เว้ย” ผมพยายามบอกปัด “มาดูลาดเลาก่อนมั้งมึง”
เออ นี่ก็แปลกดี เมื่อคืนนี้ ผมระแวงเงาคนที่มาด้อมๆมองๆที่บ้าน พานสงสัยว่าเป็นพี่ภู จนผมไม่เป็นอันนอน กว่าจะเพลียจนหลับก็เกือบสว่าง ตื่นมาก็ยังหวาดๆกังวลๆอยู่
แต่พอมาเจอโฟร์เล่าให้มันฟัน พอมันเริ่มคล้อยตาม ปักใจว่านั่นเป็นพี่ภูแน่นอน ผมกลับพยายามหาข้อโต้แย้งว่าอาจจะไม่ใช่ เออ ความรู้สึกคนเราก็แปลกดีจริงๆ
“กูบอกแล้วใช่ไหม ว่าพี่ภูคนนี้น่าสงสัย”

โฟร์จ้องผมตาเขม็ง ผมพยายามก้มหน้าหลบ ทำเป็นสนใจชีทวิชาฟิสิกส์ ใช่ ตอนแรกๆที่ผมเริ่มคบกับพี่ภู โฟร์เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ไม่เห็นด้วย และก็แสดงออกอย่างชัดเจนโดยไม่สนความรู้สึกผม
ดีนะที่เราเป็นเพื่อนสนิทกัน
ไม่อย่างนั้นคงได้เลิกคบกันไปแล้ว
อ้าว แปลกเหรอ? ที่ผมเลือกผู้ชายก่อนเพื่อน?

แต่นั่นแหละผม
พอเห็นผมไม่ตอบโต้ โฟร์เลยพูดต่อ “มึงไม่คิดว่าแปลกหรือไงวะ? จู่ๆก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ เจอมึงที่คลินิก จ้องตา แล้วก็ยังอุตส่าห์ยืนรอมึงที่หน้าคลินิกต่ออีก แบบนี้มันไม่โรคจิตไปหน่อยเหรอไงวะ?”

โอ้โห… นี่ถ้าผมเป็นคนขี้ระแวง
ไอ้โฟร์เพื่อนผมนี่คงระดับอภิมหาระแวงแน่นอน
“คนทั้งโลกเขาก็เจอกันด้วยเรื่องบังเอิญไหม?”
ผมเถียงมันกลับอีกแล้ว

“ใช่ แต่มึงเพิ่งบอกว่า เขาไม่ได้เป็นคนไข้หมอนิน”
“อื้อ ใช่” ผมพยักหน้ายอมรับ

“งั้นก็แปลว่า อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
“เอ่อ … ไม่รู้ว่ะมึง”
“งั้นเขาจะไปคลินิกหมอนินทำไม?”
“กูไม่รู้ว่ะ”

“งั้นทำไมเขาไม่บอกมึงเรื่องนี้?”
“กูก็ … ไม่รู้ว่ะ”

คำพูดผมที่ตะกุกตะกักแต่แรก ยิ่งตะกุกตะกักเพิ่มมากขึ้นอีก มันเหมือนคำถามของโฟร์ กลายเป็นหินก้อนหนักๆที่ทุ่มถ่วงใส่คอผม คำแต่ละคำที่จะตอบโต้เขาหลุดออกมาจากปากผมได้ลำบากมาก
“กูบอกเลยนะ ไอ้หมอนี่ไว้ใจไม่ได้”
พูดจบโฟร์ก็วางปากกา กอดอก

ผมเม้มปากแน่นสนิท แล้วค่อยๆตอบ
“กูแค่อยากระบายนะเว้ยโฟร์ ไม่ได้อยากได้การตัดสิน”
“มึง ทุกโมเมนท์ในโลกนี้มันมีการตัดสินแนบมาด้วยเสมอ มึงอย่าทำเป็นอ่อนแอไร้เดียงสาไอ้กฤษ ลึกๆมึงก็รู้ว่ากูพูดถูก มึงแค่รักเขามาก เลยพยายามปกป้อง กูก็บอกแล้วว่าให้เป็นแฟนกับพี่ซัน”
พี่ซันคือพี่ชายของโฟร์ ที่เป็นหมอ กำลังเรียนเฉพาะทางด้านโรคกระดูก พอโฟร์รู้ว่าพี่ชายเขาเป็นเกย์เหมือนกัน ก็พยายามจับคู่ผมกับพี่ชายเขาให้ได้
“มึง เรื่องนี้จบไปแล้วป่ะ? กูกับพี่ซันไปกันไม่รอด เขาชอบคนแก่กว่า เขาไม่ชอบคนเด็กกว่าแบบกู” ผมเดทกับพี่ซันสั้นๆ ก่อนจะต่างคนต่างเงียบไป เขาบอกว่าเขาชอบคนแก่กว่า ล่าสุดเขาบอกว่ากำลังไล่จีบหมอรุ่นพี่สักคนที่รพ.
“ไม่คบกับพี่กู กูก็ไม่ว่าอะไร แต่คบกับคนที่ไว้ใจได้หน่อยเหอะ นี่อะไรวะ หลอนจะตายห่า” โฟร์ยังไม่จบเรื่อง มันคงเป็นอารมณ์ผสมกันด้วยระหว่างความผิดหวังเรื่องผมกับพี่ซัน แล้วก็ความไม่พอใจพี่ภูแต่ทีแรก

“หลอนเลยเหรอ? มึงพูดเกินไปป่าว?”
ผมค้าน แต่โฟร์กลอกตาใส่
“มึง ในหนังสยองขวัญน่ะ นางเอกมันก็ใสๆโง่ๆ ไม่ระแวงใครแบบมึงนี่แหละ เพราะมันอยู่ในเรื่องไง มันโดนกลลวงหลอกได้ แต่กูเนี่ยเป็นคนนอก เหมือนคนที่ดูหนัง กูมองออกแต่แรกอยู่แล้วว่าใครเป็นคนร้าย”

“นี่ตรงนั้นน่ะ!!! ไม่เรียนก็ออกไป”
ครูสอนพิเศษชี้มาทางผมสองคน
“ขอโทษครับ”
ผมกับโฟร์ก้มหน้าขอโทษพร้อมกัน

“มาเรียนเสียเงินก็ให้มันคุ้มเงินที่พ่อแม่จ่ายมาหน่อย ถ้าจะคุยก็ไปคุยกันข้างนอกครับ เสียงดังมันรบกวนเพื่อนคนอื่นๆที่เขาตั้งใจมาเรียน” แล้วครูก็หันไปสอนกฏของนิวตันต่อ
เป็นอันว่าบทสนทนาระหว่างผมกับโฟร์เลยถูกระงับไปก่อนโดยปริยาย เราสองคนกลับมาสนใจเนื้อหาบนกระดานที่ครูสอน อย่างน้อยผมก็พยายามมีสมาธิกับมันนั่นล่ะนะ
โฟร์เขียนอะไรยุกยิกๆบนกระดาษชีท แล้วยื่นให้ผมอ่าน “วันนี้แฟนกูจัดปาร์ตี้ที่บ้าน มีเบียร์ด้วย มึงไปไหม? ไปเหอะนะกูขอ” ผมเขียนตอบไปสั้นๆว่า NO

“Please please please”
โฟร์ยังไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจ แต่ผมต้องใจแข็งไว้
“กูต้องกินยาก่อนนอน หมอนินห้ามนอนดึก แล้วก็ห้ามดื่มแอลกอฮอลล์ด้วยเว้ย มันมีผลต่อยา กับโรคที่เราเป็น … มึงเข้าใจกูนะเว้ย”

“ก็ได้ กูเข้าใจ แต่กูไม่ OK”
นั่นคือคำตอบของมัน

ผมถอนหายใจ …
บางทีความสัมพันธ์มันก็ยากนะ

เพื่อนรักคุณ ไม่ชอบแฟน
ฟากหนึ่งก็แฟน ฟากหนึ่งก็เพื่อน
เวลามีปัญหา เราก็อยากระบายให้ใครสักคนฟัง แต่ระบายเรื่องแฟนกับเพื่อนไม่ได้ เพราะมันจ้องแต่จะตัดสินแฟนคุณ ในขณะที่ถ้าจะเก็บไว้ในใจ มันก็เหมือนจะระเบิดออกมาเสียให้ได้
นึกถึงตอนเป็นเด็ก ตอนที่เราไม่มีความอยากที่จะมีแฟน ตอนที่เราไม่รู้จักความรักแบบคนรัก ตอนที่เรารู้จักแค่ความรักแค่ในมิติของ เพื่อน โรงเรียน พ่อแม่ ความสัมพันธ์มันไม่ยากเลย มันง่าย ตรงไปตรงมา
พอโตมามีคนรัก มีความสัมพันธ์เพิ่ม มิติมันสับสนวุ่นวาย เหมือนชีวิตมีหลายแกน ครอบครัว เพื่อน โรงเรียน แฟน

ผมตอบไม่ได้ว่าพร้อมหรือยัง แต่ในเมื่อมีแฟนมาแล้ว ผมก็ต้องพยายามรักษามันไว้ให้ได้นั่นแหละ

มันคงเป็น process หนึ่งของการเติบโต
ที่เราจะเพิ่มแกนเข้ามาในชีวิต
แกนที่เป็นทั้งพลังใจให้เรา
แล้วก็เป็นภาระในเวลาเดียวกัน

แกนที่พร้อมจะสร้างความสุขให้เรา
แต่ก็พร้อมจะทำให้เรา … กังวล ทุกข์ใจได้

……..
เลิกเรียนปุ๊ป พี่ภูมารับปั๊ป
มาแบบ … ยืนรอหน้าประตูเลย

ผมกับโฟร์สะดุ้งนิดๆ ตอนเห็น พอโฟร์เห็นหน้าพี่ภูก็ขอตัวแยกไปก่อนเลยโดยที่ไม่ทักทาย พี่ภูไม่ว่าอะไร แต่ผมรู้ว่าลึกๆเขาก็คงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่เหมือนกัน ที่เพื่อนสนิทของแฟนไม่ชอบเขา
“พี่ดูไม่เป็นที่ต้อนรับของเพื่อนกฤษเลยนะครับ”
ตอนเขาพูด สีหน้าดูเศร้าจริง จนผมลืมไปเลยว่าเมื่อคืนนี้ผมยังระแวงเรื่องเขาอยู่เลย

“โฟร์มันเป็นคนแปลกๆครับพี่ภู”
ผมพยายามปลอบใจพี่ภูที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ถึงแปลกเขาก็เป็นเพื่อนสนิทนาย”
เขาหันมามองหน้าผม “พี่อยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนาย อยากให้คนในชีวิตนายยอมรับพี่นะ”

ผมยิ้มฝืนให้กำลังใจเขา
“สักวันแหละครับพี่ภู โฟร์มันคงยอมรับพี่เอง”
"ใช่สิ" เขาหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ผม
"พี่มันไม่ใช่แพทย์ประจำบ้านสาขาโรคกระดูกสุดเท่เหมือนพี่ชายเขานี่นา"

ผมกลอกตาหัวเราะ "พี่ภูอะ ไม่เอาดิ"
“เหนื่อยไหมครับ คนเก่งของพี่?”
พี่ภูรับกระเป๋าผมไปถือ

ผมพยักหน้า
“เหนื่อยฮะ เรียนสี่ชั่วโมงติด หัวหนักมากกก”

“อยากกินไรดีครับ?”
“ไอติมก่อนได้ไหม?”

“ป่ะ งั้นไปฮาเกนดาซกัน”
“เย้ ขอบคุณครับ”
แล้วพี่ภูก็จูงมือผมเดินไปสถานีรถไฟฟ้า สัมผัสอุ่นๆในมือเขา และรอยยิ้ม เรียกความรู้สึกอุ่นๆในใจให้กลับมาได้บ้าง ผมยอมรับนะว่าบางส่วนของหัวใจผม ยังเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
เขาไปคลินิกหมอนินทำไม?
ทำไมเขาต้องโกหกผม?
หรือเขาไม่ได้โกหก?
เมื่อคืนนี้คือเขาใช่ไหม?

แล้วก็อีกหลายประโยค
ที่ลงท้ายด้วยเครื่องหมายคำถาม
แต่ก็ต้องยอมรับด้วยเหมือนกันว่า รอยยิ้ม กับสัมผัสของเขา น้ำเสียงของเขา บวกกับความรักที่เราสองคนมีให้มัน มันค่อยๆผลักดันเอาประโยคคำถามเหล่านั้นไปรวมกระจุกที่มุมเล็กๆ … อย่างน้อยก็ตอนนี้ก่อนนะ

ผมยังสงสัยอยู่
ผมยังระแวงพี่ภูบ้าง
แต่ผมก็รู้ตัวว่า ผมรักเขา
ตกเย็นพี่ภูมาส่งผมที่บ้านตามที่ผมขอ แม้ว่าจะรู้สึกอุ่นใจกับเขาเหมือนเดิม แต่ผมก็ยังหวาดนิดๆ ถ้าจะต้องนอนค้างกับเขาที่คอนโด พี่ภูไม่ถามเลยสักนิดว่าทำไมถึงไม่ยอมค้างกับเขา พอผมบอกให้มาส่ง เขาก็มาส่งแต่โดยดี

หรือว่า เขาจะไม่มีอะไรจริงๆ?
หรือว่าผมนี่แหละกังวลไปเอง ?
“พรุ่งนี้เรียนพิเศษไหมครับ?”​ เขาถาม
“ไม่มีฮะ แต่ไปโรงเรียนทำงานกลุ่ม”

“อยากเจอพี่ไหมครับ?” เขายิ้ม
ผมรีบพยักหน้า “อยากเจอครับ”

“งั้นพรุ่งนี้พี่ไปรับเย็นๆนะ”
แล้วเขาก็ก้มลงมาจูบที่หน้าผาก ผมยืนรอส่งเขาจนเขาขับรถออกไป ผมถึงได้เดินกลับเข้ามาในบ้าน ไม่มีใครอยู่บ้านเหมือนเดิม อาหารเย็นถูกเอามาส่งไว้ในบ้านเรียบร้อยแล้ว มีโน้ตของแม่แปะอยู่ ซึ่งผมไม่ได้สนใจ
แม่มีธุระนู่นนี่นั่น
อะไรสักอย่าง และลงท้ายว่า ไม่อยู่บ้าน
ลงชื่อแม่ พร้อมกับคำว่ารักผม มันเป็นแบบนั้นเสมอ

ผมหยิบอาหารเย็นมาดูแว่บหนึ่ง
และเก็บมันเข้าตู้เย็นไป ไม่กิน

ผมกินอะไรมาแล้ว
ปล่อยให้มันบูดไปงั้นแหละ
เหมือนความสัมพันธ์ของผมกับแม่ไง
ผมเดินกลับขึ้นไปบนห้อง ความเพลียจากการเรียนฟิสิกส์ยาวทั้งวัน ประกอบกับเพิ่งอิ่มจากอาหารมื้อกึ่งบ่ายกึ่งเย็นกับพี่ภู และฤทธิ์ยาหลังอาหารอีก ผมรู้สึกว่าหนังตามันหนักจนพานจะปิดให้ได้

ทันทีที่ถึงเตียง
ผมก็ดิ่งตัวลงสู่นิทราภวังค์

………
ผมตื่นเพราะโทรศัพท์ดัง
มือผมควานเปะปะไปหยิบมารับสาย

“ว่า !?” เสียงผมเกือบเหมือนตะคอก
“กฤษ มึงดูทวิตเตอร์หรือยัง? มึงโอเคป่ะวะ?”

“เชี่ย ใครวะเนี่ย?” ผมถาม
“กูเอง โต๊ด เพื่อนมึง เชี่ย มึงเมาป่ะวะกฤษ?”
“กูไม่ได้เมาเว้ย กูเพิ่งตื่น”
ผมหันไปดูนาฬิกา เก้าโมง

“เมื่อคืนมึงไม่ได้ไปปาร์ตี้กับโฟร์ใช่ป่ะ?”
โต๊ดถาม

“หึ ไม่ได้ไป กูไม่ชอบดื่ม เมื่อวานกูหลับตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่ม”
“เชี่ย … งั้นมึงคงยังไม่รู้เรื่องบนทวิตของไอ้โฟร์ใช่ป่ะ?”

ทวิตของโฟร์ ?
ทำไม มันมีอะไร? ทำไมผมต้องรู้
“ไม่รู้อ่ะมึง มีไรวะ?”
สติผมค่อยๆตื่น ตาค่อยๆลืมขึ้น

“โฟร์มันทวีตเรื่องของ เพื่อนกับแฟนของเพื่อน คู่หนึ่ง …”
โต๊ดค่อยๆเล่าแบบตะกุกตะกัก

“แล้วไงวะ?” ผมถามต่อ
“มันเล่าๆแบบสยองๆ หลอนๆอ่ะ เหมือนว่า ฉากหน้าคู่นี้อาจจะดูเป็นคู่รักที่ใครๆอิจฉา แต่ว่าจริงๆเบื้องหลังมันมีความโกหก มีควานหลอนอยู่” โต๊ดเล่ามาถึงตรงนี้ ผมรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ ตัวเย็นวูบ
“โฟร์มันไม่ได้บอกชื่อเพื่อนหรอก
แต่ในนั้นมันใช้ชื่อย่อว่า
ก. กับ ภ.

และตอนนี้ในทวิตเตอร์
คนกำลังสงสัยว่า …

เป็นเรื่องของมึง ..
กับ พี่ ภู”

……
เอาล่ะสิ !!!! ทีนี้กฤษจะเป็นยังไงต่อไป อยากจะรู้ต้องตามอ่าน #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ วันอาทิตย์เย็นแล้วล่ะครับ มาดูกันว่าแฮชแท็ก #พี่ภูน้องกฤษ จะเละเพราะฝีมือโฟร์หรือเปล่า วันนี้ขอบคุณทุกการติดตาม รีทวีต เมนชั่น รีพลายนะครับ สวัสดีราตรีสวัสดิ์ครับ
#ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ตอนต่อมาแล้วครับ หลังจากตอนที่แล้วโฟร์ทำให้แฮซแทก #พี่ภูน้องกฤษ เละเทะไปแล้ว เรื่องราวจะเป็นไงต่อไป มาตามอ่านต่อได้แล้วครับ
ผมเปิดดูทวิตของโฟร์
ไล่ดูรีพลาย

/ กูว่า กฤษ กับ ภู แน่ๆ ว่ะ #พี่ภูน้องกฤษ /

/ นี่ก็ว่าใช่ มิน่ามันดูสวีทกันเกินไป #พี่ภูน้องกฤษ /

/ นี่ก็ติดตามนะ แต่ไม่ได้ตามกรี๊ด ตามดูความย่อยยับ 555 #พี่ภูน้องกฤษ /

/ ถ้าเราบอกว่า “กูว่าแล้ว” ติ่ง #พี่ภูน้องกฤษ จะตามมากระทืบกูป่ะ? /
และยังมีรีพลายต่อลงไปอีกเยอะ
นี่ยังไม่นับคนที่รีทวีต และโควททวีต
ทวิตภพกำลังสนุกสนานกับการฉีกทึ้งผมกับพี่ภู

และมันเริ่มต้นจาก ทวีตของโฟร์
โฟร์ที่เป็นเพื่อนรัก เพื่อนสนิทของผม

โฟร์ … มึงทำแบบนี้กับกูได้ไง
มึงเป็นเพื่อนสนิทกูนะเว้ย!
ยิ่งโทสะยิ่งพุ่ง ผมก็รู้สึกถึงหน้าตัวเองที่ร้อนขึ้น และสิ่งที่ร้อนกว่าอารมณ์และหน้าของผมคือขอบตา เคยใช่ไหม เวลาที่คุณโกรธมาก โมโหสุดๆ น้ำตาคุณจะเอ่อขึ้นมาพร้อมไหลได้ทันที

มันไม่ใช่น้ำตาของความเสียใจ
มันไม่ใช่น้ำตาของความเศร้าใจ
มันคือน้ำตาของความโกรธ … และผิดหวัง
โฟร์ … มึง

ผมรู้เลยว่าตัวเองหายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น
และแรงขึ้น แรงจนเหมือนจะทะลุอกออกมา
อาการ panic เริ่มโจมตีผมอีกแล้ว
ผมเดินไปที่โต๊ะ หยิบกระปุกยามาเปิด กรอก Rivotril ลงกลืนไปหนึ่งเม็ด ดีว่ามือผมยังไม่สั่น ไม่อย่างนั้นรีบร้อนขนาดนี้ผมคงทำกระปุกยาหกกระจาย ไม่วายต้องไปขอยาหมอนินใหม่แน่นอน

ผมเดินกลับมาที่เตียง
แม้จะรู้ว่ายิ่งเปิดดู มันยิ่งแย่
มันจะส่งผลไม่ดีต่ออาการ panic
แต่ผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ผมยังไล่ทวิต ดูรีพลายลงมาเรื่อยๆ หลายคนที่เข้ามารีพลายในแง่ลบ คือคนที่ติดตามผมกับพี่ภู ทั้งใน Twitter และ IG นี่สินะที่เคยมีคนบอกว่า เพียงเพราะเขาติดตามเรา ไม่ได้แปลว่าเขาชื่นชม เขาอาจจะรอดูความย่อยยับของเราก็ได้
และทันทีที่มีรอยร้าวเล็กๆ ตรงจุดไหนสักจุดบนพื้นผิวอันไร้ที่ติของคนที่พวกเขาติดตาม คนพวกนั้นก็พร้อมจะกระหน่ำมือและเท้าลงตรงจุดนั้นย้ำๆ หวังมันให้ร้าวมากขึ้น จนแตกสลาย พอใจเขาแล้ว ก็คงไปไล่ตามดูหายนะของคนอื่นต่อ
ทำไมอินเทอร์เน็ตมันช่างน่ากลัวแบบนี้ …
ทำไมมันถึงเต็มไปด้วยฝูงแร้ง ฝูงไฮยีนา
ทำไมมันถึงมีแต่สัตว์กินซาก …

ผมหายใจช้าลงแล้ว ชีพจรช้าลงแล้ว
แต่โทสะและความผิดหวังของผมมันไม่รามือ
ผมเขวี้ยงหมอนไปที่มุมห้อง แล้วกรีดร้องออกมาดังๆ
"ฮว้าาาาาากกกกกก"

ผมไม่สนว่าแม่จะอยู่ในบ้านไหม
ผมไม่สนว่าแม่จะตกใจหรือเปล่าที่ผมกรีดร้อง
ผมต้องระบายออกทางใดทางหนึ่ง ไม่งั้นคง …
เสียงโทรศัพท์ยั้งความคิดของผมไว้ หยิบมาดู เป็นเบอร์พี่นนท์ แฟน(คนล่าสุด)ของโฟร์โทรเข้ามา ส่วนใหญ่มันจะคบแต่กับเด็กมหาลัย โฟร์เปลี่ยนแฟนบ่อย ไม่เคยมีใครนานกว่าสามเดือนสักคน
บางคนโฟร์มันก็พามารู้จักกับเพื่อน แต่บางคนก็คบเป็นแฟนแบบเงียบๆ มิออกสื่อ มันบอกว่าออกสื่อแล้วเป็นการปิดโอกาสตัวเองทำให้คนอื่นเข้ามาหาไม่ได้ ผมไม่เคยสนับสนุน แล้วก็ไม่เคยคัดค้าน เรื่องส่วนตัว
พี่นนท์คือคนล่าสุด เป็นนักศึกษาทันตแพทย์ปี 3 คนนี้ผมรู้จัก พอจะได้พูดคุยกันบ้าง แล้วก็มีเบอร์ของพี่เขาด้วย ว่าแต่พี่เขาจะโทรมาหาผมทำไมกันวะ

ผมกดรับสาย

“ครับพี่นนท์”
“โฟร์อยู่กับกฤษไหมครับ?”
“เปล่าครับ ผมนึกว่ามันค้างกับพี่นนท์เมื่อคืน”
“เปล่าครับ เมื่อวานพี่ไม่ได้เจอโฟร์เลย”
“อ้าว แต่มันบอกกฤษว่าจะไปปาร์ตี้พี่นี่ครับ”

“โฟร์ไม่ได้มาปาร์ตี้พี่ครับ เมื่อคืนเขาบอกพี่ว่าอยู่กับกฤษ มาปาร์ตี้ไม่ได้พอพี่เห็นทวีตของโฟร์ที่ลงเมื่อคืน เลยกลัวว่านายสองคนมีอะไรหรือเปล่า พี่โทรหาโฟร์ เขาปิดเครื่อง เลยลองโทรหานาย”
“เปล่าครับ มันไม่ได้อยู่กับกฤษ แล้วตอนนี้กฤษก็ไม่อยากเจอหน้ามันด้วย”
ในเมื่อพี่นนท์เห็นทวีตนั่นแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนความรู้สึกโกรธระหว่างคุยกับเขาสินะ

แต่ถ้าโฟร์มันไม่ได้อยู่กับพี่นนท์
แล้วเมื่อคืนนี้มันไปไหนล่ะ? อยู่บ้าน?
“พี่นนท์โทรไปบ้านโฟร์มันหรือยังอะครับ? มันอาจจะอยู่บ้านก็ได้” ก็ถ้าไม่ได้อยู่กับผม ไม่ได้อยู่บ้านพี่นนท์ ก็เหลือแค่ที่เดียวเท่านั้นแหละ คือบ้านมัน โฟร์มันไม่ได้มีเพื่อนสนิทเยอะมากขนาดนั้นหรอก
“นายก็รู้ว่าโฟร์เขาปิดพ่อแม่เรื่องที่คบกับพี่ พี่ไม่กล้าโทรไปหรอก นายโทรให้พี่หน่อยได้ไหมอะกฤษ” โอย รำคาญว่ะ ทำไมผมต้องมาเป็นธุระให้เพื่อนทรยศกับแฟนของมันด้วยวะ แต่ถ้าปฏิเสธไปพี่นนท์ก็คงตื๊อให้ช่วยต่ออยู่ดี
ผมเลยตัดรำคาญ “โอเค ได้พี่ เดี๋ยวผมโทรถามพี่ชายเขาให้” อีกทางออกที่ดีคือโทรหาพี่ซัน โทรเข้าบ้านโฟร์มัน ไม่รู้จะมีคนรับสายหรือเปล่า เดี๋ยวนี้แทบไม่มีใครมี land phone กันแล้ว ยกเว้นบ้านมันนี่แหละ

“ขอบคุณนะกฤษ”
“ครับพี่” แล้วผมก็วางสาย
ยังไม่ทันจะได้กดหาเบอร์พี่ซัน
ปรากฏว่าพี่ซันก็โทรเข้ามาหาผมก่อน

เออ … อะไรจะบังเอิญแบบนี้วะ
เช้านี้มีแต่คนอยากโทรหาผมหรือไงเนี่ย
ทุกคน ยกเว้นแฟนผม …

“หวัดดีครับพี่ซัน” ผมรับสาย
“กฤษ … นายมาหาพี่ที่โรงพยาบาลได้ไหม?”
“มีอะไรอะฮะพี่ซัน กฤษไม่ว่างอะ”

“โฟร์โดนทำร้ายร่างกาย ตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย มีคนพามาส่งที่โรงพยาบาลเมื่อตีห้า”​

หืมมมม!!!!

……..
ผมวิ่งหน้าตื่นเข้ามาที่โรงพยาบาล ที่หน้าหอผู้ป่วยศัลยกรรมอุบัติเหตุ พี่ซันยืนรอผมตรงนั้น สีหน้ากังวล พอเห็นผมเขาก็ถอนหายใจ รีบเดินมาหา

“ไอ้โฟร์มันเป็นไงบ้างพี่?” ผมรีบถาม อารามห่วงเพื่อนก็ลืมไปเลยเรื่องที่มันทำกับผมบนทวิตเตอร์
พี่ซันส่ายหน้า “มันยังไม่ตื่นเลย นี่พ่อแม่อยู่ต่างประเทศ พี่ยังไม่ได้บอกใคร” ผมพยักหน้า “แล้วมันเป็นไรมากหรือเปล่าอะพี่ ทำไมยังไม่ได้สติอะ หรือเป็นไรรุนแรงไหม?”
“มีรอยโดนฟาดที่หัว มูลนิธิที่นำส่งบอกว่าเจอที่ริมถนนใกล้ๆ บ้านนี่แหละ พวกของมีค่าติดตัวหายไปหมดเลย เบื้องต้นเขาก็คิดว่าทำร้ายร่างกายเอาทรัพย์สินน่ะ” พี่ซันเดินไปนั่งตรงม้านั่งหน้าหอผู้ป่วย กุมขมับ
“ที่พี่โทรหากฤษ เพราะพี่จะถามว่า เมื่อคืนโฟร์มันออกจากปาร์ตี้กี่โมง? จะได้กะเวลาคร่าวๆ ได้ เพราะต้องให้ปากคำกับตำรวจ” พอผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พี่ซันก็ถาม
ผมส่ายหน้า “ผมไม่ได้ไปปาร์ตี้กับมันอะพี่ แล้วก็ …” ตรงนี้ผมลังเลไม่รู้จะพูดดีไหม แต่พี่ซันก็เป็นพี่ชายของโฟร์ ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วพี่ซันก็ต้องรู้อยู่ดี งั้นผมบอกเลยก็แล้วกัน

“โฟร์มันไม่ได้ไปงานปาร์ตี้ที่บ้านแฟนมันนะพี่”
“อ้าว แต่เมื่อคืนมันโทรบอกพี่ว่าไปกับนาย”
เอ๊ะ ... อีกคนแล้วเหรอ?
โฟร์โกหกกับพี่ซันอีกคนนึงแล้วเหรอ?

ผมส่ายหน้า “เปล่าพี่ กฤษไม่ได้ไปกับโฟร์ แล้วเมื่อเช้ากฤษคุยกับพี่นนท์ เขาก็บอกว่าโฟร์มันไม่ได้ไปที่ปาร์ตี้ด้วย ผมนึกว่ามันอยู่บ้านเสียอีก”

“เปล่า เมื่อคืนมันไม่ได้กลับบ้าน”
พี่ซันตอบผมด้วยสายตาว่างเปล่า
โฟร์โกหกพี่ซัน ว่าไปงานกับผม
โฟร์โกหกพี่นนท์ ว่าไปบ้านผม
โฟร์โกหกผมว่าไปปาร์ตี้บ้านพี่นนท์

คำถามที่ลอยคว้างในหัวผม และพี่ซัน
คือ … แล้วเมื่อคืนนี้ โฟร์มันไปทำอะไรที่ไหน
และคนเดียวที่ตอบได้ ตอนนี้ก็ยังนอนไม่ได้สติอยู่ …

……..
“พี่พายครับ น้องผมเป็นไงบ้าง?”

พี่ซันรีบวิ่งเข้าไปหาหมอรุ่นพี่คนหนึ่งที่มาดูอาการยังไม่ได้สติของโฟร์ เขาหยิบฟิล์ม CT scan สมองยื่นส่งให้พี่ซัน พี่ซันรับไปส่องกับไฟดู ผมแอบมองชื่อที่ปัก นพ. พระพาย
“ไม่มีเลือดออกในสมอง แผลที่หัวเป็นแค่แผลภายนอก กระโหลกศีรษะไม่แตกไม่มีรอยบุบอะไร ส่วนที่ยังไม่ตื่น …” หมอพายลากเสียงแล้วมองมาทางผม สลับกับหันไปมองพี่ซันอีกที
“ไม่เป็นไรพี่ นี่น้องกฤษ เป็นเพื่อนสนิทโฟร์มัน เล่าได้ไม่มีความลับหรอกพี่” พี่ซันแนะนำผมกับหมอพาย ผมยกมือไหว้ พี่หมอพายก็ยกมือรับไหว้ผม

บอกตรงๆ นะ ตอนที่พี่ซันแนะนำว่าผมเป็นเพื่อนสนิทโฟร์ มันก็เจ็บจี๊ดๆ ในอกนิดๆ นะ เพราะระหว่างผมกับโฟร์ยังมีประเด็นทวีตที่ยังไม่ได้เคลียร์กันอยู่
“Benzodiazepine level ในเลือดขึ้นน่ะ เลยยังไม่ตื่น พี่ว่าต้องรอสักพักให้ระดับยามันลดลงก่อน” แล้วพี่หมอพายก็ยื่นชาร์ทส่งให้พี่ซันดู เขาหยิบมาดูพลางขมวดคิ้ว “น้องผมโดนวางยาเหรอพี่?”
“มีอีกอย่างนะ ระดับแอลกอฮอล์ก็สูงด้วย” พี่หมอพายพูดต่อ “พี่ว่าคงไปดื่มเหล้าแล้วโดนเอายามาผสมในเหล้านั่นแหละ ดีนะที่มันไม่ได้สูงขนาดกดการหายใจ แค่หลับลึกเฉยๆ รออีกสักพักเดี๋ยวก็ตื่น”
“แต่ไม่รู้จะจำเหตุการณ์อะไรได้ไหมนะ” ประโยคนี้ของหมอพายทำให้ผมกับพี่ซันขมวดคิ้ว “คือคนไข้ที่โดนยากลุ่ม benzodiazepine น่ะมันจะมีภาวะ retrograde amnesia ด้วย จำเหตุการณ์อะไรไม่ได้หรอก ยิ่งบวกเหล้า แล้วศีรษะกระแทกด้วยแล้ว พี่ว่าคงนึกอะไรไม่ออก”
“ไอ้ยาเสียตัวที่เขามอมกันในผับ ก็คือยากลุ่มนี้เลยนี่แหละ ยาควบคุมแท้ๆ” พี่หมอพายส่ายหัว “ไม่รู้วัยรุ่นสมัยนี้ไปหาซื้อกันมาได้ไง ยาอันตรายชัดๆ” แล้วก็ถอนหายใจยาวเหยียด
“ขอบคุณพี่พายมากครับ” พี่ซันค้อมหัวให้หมอพาย พลางส่งแฟ้มคืน หมอพายรับแฟ้มไป “เฮ้ย เรื่องเล็กน่ะ มีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่ได้นะ เดี๋ยวขอตัวก่อนละกัน พี่มีเคสอื่นที่วอร์ดอีก” แล้วเขาก็หันมายิ้มและพยักหน้ากับผมก่อนจะเดินออกไป
“มันไม่ได้ไปปาร์ตี้แฟน มันไม่ได้ไปกับนาย” พี่ซันหันมามองผม “แล้วไอ้โฟร์มันไปแดกเหล้าที่ไหนกันวะ ทั้งเหล้าทั้งยา จนโดนทำร้ายร่างกายเอาของไปหมดเลย” แล้วเขาก็ส่ายหน้า “ไอ้โฟร์เอ้ยยย ไอ้น้องเวรตะไล ตื่นมานะกูจะกระทืบซ้ำให้”
ผมรู้ว่าพี่ซันไม่ได้หมายความตามนั้นหรอก น้ำเสียงเขาดูโล่งอกมากกว่าตอนที่รู้ว่าโฟร์ไม่ได้เป็นอะไรมาก เดี๋ยวก็ตื่น “นี่แปลว่าโฟร์มันอาจจะจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ด้วยอะสิพี่” ผมถามพี่ซัน

“พี่ก็ว่างั้นแหละ ถ้าเป็นอย่างที่พี่พายว่านะ”
“งั้นเราจะรู้ไหมล่ะ ว่าเมื่อคืนโฟร์มันไปไหน”
“คงไม่หรอก พี่ว่ามันปลอดภัย พี่ก็ดีใจแล้ว”
“......” ผมไม่มีคำตอบอะไรสำหรับเรื่องนี้

ใช่ สำหรับพี่ซัน การที่น้องชายปลอดภัยคือจบ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่เลยไง มันมีเรื่องต้องเคลียร์กันอีก เรื่องที่มันโกหกผม โกหกพี่ซัน โกหกพี่นนท์ ไปไหนก็ไม่รู้ แถมเรื่องทวิตแฉเรื่องของผมอีกด้วย
พูดถึงเรื่องทวิต … ฉิบหายล่ะ มัวแต่ยุ่งเรื่องไอ้โฟร์ ลืม ไม่ได้เช็คเลย ไม่ได้ไปแก้ต่างอะไรเลย แม่งป่านนี้ลามเป็นไฟลามทุ่งถึงไหนแล้ว
ผมหยิบมือถือมาจะเปิดทวิตเตอร์ … เออ เดี๋ยวก่อนนะ ผมควรจะโทรหาพี่ภูก่อนสิ เขาเล่นทวิต เขาต้องรู้แน่นอนว่ามีเรื่องนี้ และแค่อ่านก็รู้แล้วว่า โฟร์มันหมายถึงผมแน่นอน

เพิ่งจะหายเข้าใจผิดกันไปเรื่องนึง
ผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์มันสั่นคลอน
ระแวงสงสัย กับ ความรัก
มันคนละส่วนกัน

เรารักในขณะที่เราสงสัยได้
และผมไม่ต้องการเสียรักไป
ผมเปลี่ยนใจจากเปิดทวิตเตอร์เป็นโทรหาพี่ภู … โทรศัพท์ดังเนิ่นนาน แต่เขาก็ไม่รับสาย ผมลองโทรหาซ้ำๆ ตลอดทางที่นั่งแท๊กซี่กลับบ้านจากโรงพยาบาล แต่พี่ภูก็ไม่ได้รับสาย

นี่เขากำลังยุ่งเหรอ?
หรือว่าเขาเห็นทวิตแล้วโกรธผม
หรือว่า … หรือว่าอะไรล่ะวะ นึกไม่ออก
โอ๊ยยย ทำไมวันนี้มันเป็นวันวายป่วงจริงๆ วะเนี่ย ไอ้โฟร์ก่อเรื่องใส่ผม ยังไม่ทันจะได้ซักไซ้อะไร ก็ต้องมาเจอว่ามันโดนวางยา ทำร้ายร่างกาย นอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาล นี่พอจะโทรไปเคลียร์กับแฟน แฟนก็ไม่รับสาย

แม่งเอ๊ย วันเหี้ยอะไรเนี่ย
แล้วนี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าโฟร์มันตื่นมาแล้ว จะจำอะไรได้ไหม ถ้าโฟร์มันลืมไปหมด แล้วผมจะเคลียร์อะไรกับมันได้ล่ะ? ดีไม่ดี มันโมเมว่ามันจำไม่ได้ว่าทำ อาจจะเป็นคนอื่นแฮก Twitter มันก็ได้ ผมก็โดนดราม่าฟรีดิ
แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ผมถึงรู้สึกซีเรียสมากกับประเด็นที่โฟร์มันโกหกผม พี่ซัน กับพี่นนท์ หรือมันมีอะไรปิดบัง หรือเมื่อคืนนี้ มันมีนัดกะทันหันไปเจอใครสักคนหรือเปล่า?
ใครสักคน …
ที่มันไม่อยากให้ผมรู้
ใครสักคนที่มันต้องปิดพี่นนท์ และพี่ซัน

และใครคนนั้น …
อาจจะเป็นคนที่วางยา และทำร้ายมัน?

แท็กซี่จอดที่หน้าบ้านผมพอดี
ผมควักค่าโดยสารจ่ายให้ และเดินลงจากรถ

ที่หน้าประตูบ้าน พี่ภูยืนรอผมอยู่
“พี่ภู …”
ผมทำสีหน้าไม่ถูก

พี่ภูเงยหน้าจากมือถือ
ผมอยู่ใกล้พอที่จะเห็นว่าเขาเปิด Twitter
เขากำลังอ่านเรื่องที่โฟร์แฉผมลงในนั้น … แน่นอนอยู่แล้ว

“กฤษ …”
พี่ภูเดินเข้ามาหาผม

“กฤษมีอะไรสงสัยในตัวพี่เหรอครับ?”
ถ้าพวกคุณเป็นกฤษ
พวกคุณจะถามไหมล่ะ?

แต่จะถามหรือไม่ถาม คงต้องรออ่านต่อในวันพุธเย็นแล้วล่ะครับ วันนี้เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ กลับมาตาม #พี่ภูน้องกฤษ ได้อีกทีวันพุธเย็นๆ ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่าน รีทวีต เมนชั่น และรีพลายนะครับ สวัสดีครับ
มีใครรออ่านเรื่องของ #พี่ภูน้องกฤษ อยู่หรือเปล่าครับ? #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ตอนต่อมาแล้วนะครับ มาล้อมวงกันอ่านเร้วววว
ตัวเลขรีทวีตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ไปจ่ออยู่ที่ ห้าหมื่นรีทวีตแล้ว

ผมหมายถึง
ทวีตของโฟร์ เรื่อง ก. กับ ภ.
ป่วยการจะแก้ข่าวแล้วออกไปโวยวายตอบโต้ตอนนี้ รอให้มันซาไปก่อนดีกว่า แล้วผมค่อยหาทางจัดการเรื่องนี้ทีหลัง ยิ่งตอนนี้โฟร์โดนคนทำร้ายด้วย ผมไม่อยากให้มันเป็นประเด็นมากนัก เดี๋ยวคนจะพานนึกไปว่าผมนี่แหละทำร้ายโฟร์

แท็กซี่จอดที่หน้าบ้านพอดี
ผมปิดมือถือ จ่ายค่าโดยสาร
ว่าแต่ใครทำร้ายโฟร์กัน
คนที่น่าจะโกรธมัน ก็คงมีแค่ผมนี่แหละ
ซึ่งผมก็ไม่ได้เป็นคนทำอยู่แล้วไง

มีอีกคน ... ที่ก็คงจะโกรธเหมือนกัน
คนที่โกรธแน่ๆ กับทวีตของโฟร์
คนที่เมื่อคืนนี้ ไม่ ได้ อยู่ กับ ผม

พี่ภู ...

หรือว่า พี่ภู ...?
สิ้นเสียงความคิด ผมเงยหน้า
และตรงนั้น ที่หน้าประตูบ้าน
มีคนยืนรอผมอยู่ … พี่ภู
ขากำลังก้มหน้าอยู่กับมือถือ
พอผมลงจากรถ เขาก็เงยหน้าขึ้นมา
ผมอยู่ใกล้พอที่จะเห็นว่า มือถือเขาเปิด twitter

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขากำลังดูอะไร
แน่นอน เขาเห็นทวีตที่โฟร์แฉเรื่องที่ผมนอยด์
พี่ ภู เห็น ทวีต นั้น แล้ว ….
“กฤษ….” พี่ภูเดินเข้ามาหาผม
“กฤษมีอะไรสงสัยในตัวพี่เหรอครับ?”

……
นานมาแล้ว …
เมื่อตอนที่ผมรักษากับหมอนินใหม่ๆ
ผมเคยถามเขาคำถามหนึ่ง

“หมอนินครับ ถ้าแม่ทำแบบนี้กับผม มันแปลว่าอะไรครับ?”
แล้วผมก็เล่าให้ฟังเรื่องพฤติกรรมของแม่ ที่บางครั้งก็เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ แล้วผมก็จะวุ่นวายใจทุกครั้ง เพราะกลัวทำอะไรผิดไม่ถูกใจแม่
“ทำไมกฤษถามหมอล่ะครับ?”
“ก็เพราะหมอนิน เป็นจิตแพทย์ไงครับ”

ถ้าไม่ถามเขาแล้วผมจะถามใครล่ะ จริงไหม
แต่หมอนินหัวเราะ

“หมอหมายถึง ทำไมถามหมอครับ ทำไมไม่ถามแม่”
“ก็ ……” เออ นั่นน่ะสิ ทำไมผมไม่ถามแม่ล่ะ
“มันไม่มีหรอกครับ สัญญาณ น่ะ ไอ้ที่เขาบอกว่า ถ้าคนเราทำแบบนี้ แปลว่าในใจเขาคิดอย่างนั้น ถ้าเขาแสดงอาการแบบนั้น หรือพูดแบบนั้น แปลว่าในใจเขาคิดแบบนี้ เรื่องแบบนี้ ไร้สาระครับ ไม่มีจริง”
“ถ้าน้องกฤษหิว น้องกฤษจะทำอะไรครับ?”
“ก็ไปหาอะไรกินสิครับ” อันนี้ผมตอบโดยไม่ต้องคิด

“ถ้าน้องกฤษคันหลัง จะทำยังไงครับ?”
“ก็หาอะไรมาเกาครับ ผมเกาเองไม่ถึง”

“ถ้าน้องกฤษร้อน จะทำยังไงครับ?”
“เปิดแอร์ครับ หรือไม่ก็อาบน้ำ”
“นั่นไง แล้วทำไมถ้าสงสัยเรื่องในใจของแม่ ทำไมมาถามหมอ ทำไมต้องพยายามอ่านท่าทางของแม่ด้วยล่ะครับ ทำไมกฤษไม่ถามแม่ไปเลย”

“จำไว้นะครับ
ถ้าสงสัย ให้ถาม
อย่าพยายามอ่านใจ

มันทำได้แค่ในการ์ตูนครับ
การถามอย่างตรงไปตรงมา
จะทำให้เราได้คำตอบที่เราต้องการ”
คำสอนของหมอนินวันนั้น
ผมยังจำได้ดี …

และในตอนนี้ที่พี่ภูยืนอยู่ตรงหน้า
และถามผมตรงๆว่า ผมสงสัยอะไรในตัวเขาไหม

ใช่สิ ผมโคตรสงสัยเลย หลายเรื่องด้วย
แล้วทำไมผมต้องเก็บความสงสัย แล้วเอามาสันนิษฐานไปมา จนตัวเองพานจะนอยด์แล้วนอนไม่หลับ จนระแวงนู่นนี่นั่นด้วย ผมกับพี่ภูเป็นคนรักกันนี่นา … เราควรจะคุยกันได้ทุกเรื่องสิ

ผมพยักหน้าตอบเขา
“มีครับ กฤษสงสัยหลายเรื่องครับ”

พี่ภูพยักหน้า
“งั้นถามพี่มาสิครับ พี่พร้อมจะตอบทุกอย่าง”
“พี่ภูจะตอบกฤษหมดทุกเรื่องใช่ไหมครับ?”
“ถ้ามันทำให้คนรักของพี่สบายใจ พี่จะตอบทุกอย่างครับ”

ผมหยิบกุญแจบ้านขึ้นมา
“งั้น เข้าไปในบ้านกันก่อนเถอะครับ”

อย่างที่หมอนินบอกไว้
ถ้าหิวก็กิน ถ้าคันก็เกา ถ้าร้อนก็อาบน้ำ
ดังนั้นถ้าสงสัย ผม ก็ ต้อง ถาม …

……..
ผมรินน้ำให้เขาหนึ่งแก้ว
ตัวผมเองหนึ่งแก้ว

ทั้งที่รู้ว่า เราต่างไม่หิวน้ำ
มันคงเป็นพิธีกรรมบางอย่าง
ซึ่งผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าพิธีกรรมอะไร

เชือดเอาความจริง?
“ทำไมในข้อความพี่ภูถึงพูดคำว่า เปิดไฟ ครับ”

ผมเปิดด้วยคำถามแรก “ไอ้ที่พี่ภูบอกว่า รู้ว่ากฤษยังไม่หลับ เพราะ status บนข้อความยังขึ้นว่า online น่ะกฤษเข้าใจ แต่ทำไมพี่ภูถึงรู้ว่ากฤษยังไม่ปิดไฟครับ?”
เขาขมวดคิ้ว

“มันไม่มีความหมายอะไรเนี่ยนะ มันเหมือนคำสร้อยที่ติดกันไปด้วยมากกว่า พี่แน่ใจแค่ว่ากฤษยังไม่ได้นอน แต่ไม่ได้คิดอะไรเรื่องปิดหรือเปิดไฟ มันก็แค่ข้อความ”
พี่ภูคลายคิ้วที่ขมวด แต่ก็ส่ายหัว “พี่ไม่เข้าใจว่าทำไมกฤษถึงกังวลกับเรื่องนี้” แล้วเขาก็หันไปมองทางมือถือ ใช่ เพราะประเด็นนี้เป็นเรื่องที่โฟร์ก็เล่าลงในทวีตด้วย

ผมหันไปมองตาม
ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนนี้
ตัวเลขรีทวีตเรื่องหลอนนี้จะไปถึงไหนแล้ว
“ก็เพราะว่า คืนนั้น...” ผมลังเลที่จะพูดต่อ แต่เปล่าประโยชน์ที่จะกั๊กไว้ เพราะผมเล่าให้โฟร์มันฟังจนหมดเปลือก และโฟร์มันก็เล่าต่อหมดเปลือกอีกรอบ แต่บนทวิตเตอร์
“ก็เพราะว่า คืนนั้น ที่ข้างนอกหน้าต่าง กฤษเห็นเงาคนด้อมๆมองๆข้างนอกบ้าน แล้วกฤษก็เลยคิดว่า …” ผมไม่ได้พูดต่อ เพราะสีหน้าพี่ภูที่มองมาทางผมมันแสดงความเจ็บปวดอย่างชัดเจน เขาพยักหน้า

“กฤษเลยคิดว่า นั่นคือพี่
กฤษคิดว่าพี่มาแอบมองกฤษ
อย่าง นั้น ใช่ ไหม ครับ?”

เขาถาม
ผมพยักหน้าตอบช้าๆ
ความเจ็บปวดบนหน้าของพี่ภูชัดเจนกว่าเดิม

เขาหลุบสายตาลง พลางถอนหายใจออกช้าๆ “พี่ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี ให้กฤษหายระแวง แต่นั่นไม่ใช่พี่ ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้เข้านอน แต่พี่ไม่ได้ออกมาด้อมๆมองๆที่หน้าบ้านกฤษแน่นอน พี่ไม่รู้ว่าทำไมกฤษถึงได้ระแวงพี่ถึงขนาดนั้น
ตอนนั้นเพื่อนพี่ก็อยู่ด้วยกัน หรือกฤษจะให้พี่ต่อสายให้เพื่อนยืนยันไหมครับ? กฤษถึงจะพอใจ แล้วเชื่อสักทีว่าพี่ไม่ได้มาแอบซุ่มดูกฤษที่หน้าบ้าน"

พูดเสร็จพี่ภูก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ผมรีบยกมือห้าม
“เดี๋ยวฮะ ไม่ต้องครับพี่ภู กฤษเชื่อแล้ว อย่าโทรไปเลยฮะ” ถ้าเขาทำแบบนั้น ทั้งผมและเขาก็คงจะดูไม่ดีในสายตาเพื่อนพี่ภูแน่ๆ เรื่องของคนสองคนตอนทะเลาะกับตอนเคลียร์ มันไม่ควรให้คนอื่นเข้ามาเอี่ยวด้วย

“แสดงว่ากฤษเชื่อพี่แล้ว?”
เขาถาม

ผมพยักหน้า
“ครับ กฤษเชื่อพี่ภู”
“งั้นมีอะไรอีกที่สงสัย”
“พี่ภู … กฤษรู้ว่าเรื่องทวีตนี้ทำให้พี่ภูโกรธ เพราะกฤษก็โกรธโฟร์เหมือนกัน"

"ครับ พี่โกรธโฟร์" เขาตอบ
"โกรธมากขนาดไหนครับ?" ผมถามอ้อมๆแอ้มๆ
"มากขนาด...ต้องทำร้ายโฟร์หรือเปล่าครับ?”​

สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นตกใจทันที
“เดี๋ยว .. โฟร์เป็นอะไรเหรอ?”
“เขาโดนทำร้ายร่างกายครับ เมื่อคืนนี้ ตอนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาล” ผมเว้นวรรคนิดหนึ่ง หันไปมองทางมือถือแล้วกลับมาสบตากับพี่ภู “คิดว่าคงหลังจากที่ทวีตเรื่องนั้นแล้วน่ะแหละครับ”
"เดี๋ยวนะ พี่งงไปหมดแล้ว ตกลงโฟร์โดนทำร้ายร่างกาย ? แล้วเขาไม่ได้อยู่กับแฟนเขาหรือไงล่ะ"

“โฟร์มันโกหกกฤษว่าจะไปปาร์ตี้บ้านแฟน โกหกแฟนว่ามานอนกับกฤษ แล้วมันก็โกหกพี่ชายมันว่าไปปาร์ตี้บ้านแฟน” พอนึกถึงโฟร์ จู่ๆผมก็รู้สึกคอแห้งเสียอย่างนั้น ยกน้ำแก้วของตัวเองมาดื่มรวดเดียวหมด
“ยังไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อคืนโฟร์มันไปไหนครับ”
ผมสรุป

“แล้วทำไมถึงคิดว่าพี่จะเป็นคนตีหัวโฟร์ล่ะ?”
เขาถาม
ผมส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกันครับ ตอนนี้กฤษสับสนไปหมด” พลางหลุบสายตาลง ผมไม่กล้าพูดว่า เพราะถ้าเป็นผม ผมก็อาจจะโกรธมากถึงขนาดไปทำร้ายโฟร์ก็ได้เหมือนกัน

แต่นั่นมันผม ไม่ใช่พี่ภู มันมีเหตุผลอะไรดีๆให้ผมสงสัยคนรักของผมเหรอ? ทำไมผมถึงต้องสงสัยเขาด้วยในเมื่อเขาเป็นคนอ่อนโยนขนาดนั้น
พี่ภูเลื่อนเก้าอี้เขามานั่งข้างๆ แล้วบีบไหล่ผม
“กฤษพี่ยอมรับนะว่า ตอนที่อ่านทวีตพี่โกรธ ไอ้ทีแรกพี่ก็โกรธโฟร์ แล้วก็โกรธนายด้วย …

โกรธโฟร์ที่เขาเอาเราสองคนไปโพนทะนา
แล้วก็โกรธนายที่นึกสงสัยพี่ แล้วไม่ยอมถาม
แต่สุดท้ายนะ … พี่กลับโกรธตัวเอง
โกรธที่ทำไมพี่ทำให้แฟนของพี่ไว้ใจไม่ได้
สุดท้ายพี่ก็เลยต้องมาหานายเพื่อเคลียร์นี่ล่ะ”

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขา
ปมสงสัยที่ค้างในใจค่อยๆคลายออก
สายตาเขาที่จ้องผมกลับ มันไม่มีแววโกหกเลย
เมื่อกี้นี้ ตอนที่เขารู้ว่าโฟร์โดนทำร้าย
สีหน้าพี่ภูดูตกใจมาก และผมรู้ว่ามันไม่ได้เสแสร้ง

“พี่ภูยังโกรธกฤษไหมครับ?”
ผมถาม เขาส่ายหน้าแล้วลูบหัวผม

“พี่จะโกรธนายได้ไง เด็กโง่เอ้ย”
แล้วเขาก็ดึงผมไปพิงไหล่ กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยโชยมาแตะจมูก
“พี่ภูครับ ยังมีอีกเรื่องที่กฤษอยากรู้ ...​แต่ไม่แน่ใจว่าควรถามไหม? มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ผมผละจากไหล่เขาออกมา
พี่ภูหันมาทำหน้าประหลาดใจ “ยังมีเรื่องอะไรแย่กว่านี้อีกเหรอ? ทีแรกก็สงสัยว่าพี่แอมซุ่มตาม ต่อมาก็สงสัยว่าพี่ทำร้ายเพื่อนนาย นี่ยังมีอะไรแย่กว่านี้อีกล่ะ? บอกก่อนนะ พี่ไม่เคยนอกใจนายนะเว้ย”
ผมหัวเราะแห้งๆ “ไม่ใช่หรอกฮะ … คือเรื่องนี้มันเกี่ยวกับหมอนินน่ะครับ” ผมเอื้อมมือไปกุมมือเขาไว้ “พี่ภูไม่ได้ป่วยเป็นโรคจิตเวชใช่ไหมครับ? หมอนินบอกกฤษแล้ว ถ้าไม่ได้ป่วย พี่ภูไปที่นั่นทำไม?”
ผมไม่เก่งหรอกเรื่องอ่านสีหน้า
ถ้า มัน ไม่ ชัด

แต่ตอนนี้สีหน้าพี่ภูมันชัดมาก
เขา กำ ลัง อึด อัด ใจ
มันเหมือนคำถามที่ผมถาม ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำประณามหรือคำหยาบคายอะไรสักอย่าง สีหน้าของเขาถอยไปอยู่กึ่งกลางระหว่างไม่พอใจ ลังเล แต่ก็หวาดกลัวในที เหมือนเขากำลังตัดสินใจที่จะพูดอะไรสักอย่าง

“คือ …” แล้วเขาก็ค่อยๆเปิดปาก
“มัน …พี่ไม่ได้ป่วยหรอก แต่พี่ไปรับยาน่ะ”
“ไม่ได้ป่วย แล้วทำไมไปรับยาล่ะครับ?”
ผมถามต่อ

“มันเป็นยาของ ….”
แล้วเขาก็หันไปทางอื่น

ผมแอบเห็นว่า ที่ขอบตาของพี่ภู มีน้ำตารื้นขึ้นมานิดๆ เขาพยายามกระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่น้ำตาออกกไป แต่มันไม่ทันแล้ว ผมเห็นแล้ว
พี่ภูหันมามองหน้าผม
“สัญญานะ ว่าถ้าพี่บอกนายเรื่องนี้ นายจะไม่หนีจากพี่ไปไหน”

ผมไม่เข้าใจ … บอกตรงๆ
แต่ผมก็พยักหน้ารับปากเขา
“กฤษสัญญาครับ พี่ภูเล่ามาเถอะ”
"พี่ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ดีเหมือนอย่างที่นายเข้าใจหรอกนะ บ้านพี่ไม่ได้อบอุ่น มีความสุขเหมือนอย่างที่พี่บอกนายหรอก พี่ โก ห นาย มา ตลอด"
“ที่พี่ไปรับ ... มันเป็นยาของแม่พี่ครับ
แม่พี่เป็นผู้ป่วยติดยาเสพติดขั้นรุนแรง

และ แม่ คือ คน ไข้ ของ หมอ นิน
ไม่ ใช่ พี่ ครับ”
พูดจบ น้ำตาก็ไหลผ่านแก้มของเขา
แล้วพี่ภูก็ซบหน้าลงกับฝ่ามือ และร้องไห้

ณ. ตอนที่ปมสงสัยในใจผมคลายออก
ปมแผลในใจของพี่ภูก็ถูกขมวดแทนที่

เขายอมใช้กุญแจที่ชื่อว่า แผลในใจ
ไขประตูความลับ เปิดให้ผมหายสงสัย
แต่มันทำร้ายความรู้สึกของเขา …
เคยมีคนพูดว่า คำพูดเป็นนายของเรา
ถ้ามันหลุดออกจากปากแล้ว เราเอาคืนมาไม่ได้
ผมอยากให้ตัวเองไม่ได้ถามเรื่องนี้กับพี่ภูจริงๆ

แต่ผมทำไม่ได้ไง ผมย้อนเวลาไม่ได้
ผมทำได้เพียง ฟังเสียงเขาร้องไห้
และกอด ปลอบโยน เขา เท่า นั้น

……..
หึ หึ หึ
ผมรู้ว่าพวกคุณหลายคนจับพิรุธได้
ผมรู้ว่าตอนอ่านมาถึงตรงนี้ พวกคุณเอะใจ

มันมีบางตอนของบทสนทนา
ที่คุณอ่านแล้ว เอ๊ะ แน่ๆ ผมรู้ทัน

แต่ผมจะบอกให้นะ
ในฐานะคนที่รู้เรื่องนี้จนจบ
ไอ้ที่พวกคุณคาดเดาไว้น่ะ มันผิดหมด
อย่าเดาเลยครับ :)
รออ่านทวีตผมต่อไปเถอะ
รับรอง พวกคุณ ต้องเหวอกว่าที่คาดแน่ๆ

เพราะอย่าลืมนะ
ตอนจบของเรื่องนี้ พี่ภูตาย และผม ... ก็ตาย
วันนี้เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ #พี่ภูน้องกฤษ จะสับสนขนาดไหน มีปมบ้าบออะไรมาเพิ่มอีก ไว้รอตามอ่านได้วันอาทิตย์เย็นๆค่ำๆนะครับ ขอบคุณทุกการติดตามอ่าน รีทวีต เมนชั่น และรีพลายครับ สวัสดีครับ
เย็นวันอาทิตย์แล้วครับ #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ตอนต่อมาแล้ว มาติดตามกันว่า #พี่ภูน้องกฤษ จะเป็นยังไงกันต่อไป
“มันเป็นยาของแม่พี่ครับ
แม่พี่เป็นผู้ป่วยติดยาเสพติดขั้นรุนแรง
และ แม่ คือ คน ไข้ ของ หมอ นิน
ไม่ ใช่ พี่ ครับ”

นั่นคือจุดเริ่มต้นเรื่อง
หลังจากนั้นพี่ภูก็เล่าเรื่องของเขา
เรื่องครอบครัวของเขา ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน …
“พ่อจากไปก่อน” พี่ภูสบตาผม ตายังช้ำเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา แม้คราบน้ำตาบนหน้าจะแห้งไปแล้วก็ตาม “พี่จำเรื่องพ่อได้ไม่มากนัก แต่มันเดาได้ไม่ยากว่าพ่อจากไปเพราะแม่ติดยา”
“แล้วเขาทิ้งพี่ภูไว้กับแม่น่ะเหรอครับ?” ผมนึกเหตุผลไม่ออก ว่าเพราะอะไรผู้ชายคนหนึ่งที่โตเป็นผู้ใหญ่จะทิ้งเด็กชายที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรไว้กับผู้หญิงที่ติดยาเสพติด มันอันตรายและไร้หัวคิดมาก
พี่ภูเม้มปากสนิท หันไปมองด้านอื่น เดิมแววตาของเขาแห้งแล้ง ก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนสายตาเป็นอ่อนโยนตอนที่หันมาเล่าให้ผมฟังต่อ “พี่ว่าเราคงเข้าใจเหตุผลของใครสักคนยาก เพราะเราไม่ใช่เขา เราไม่มีวันเป็นเขาด้วย เราวิจารณ์การตัดสินใจใครไม่ได้หรอก
แต่ถ้าให้พี่เดา ก็คงเพราะว่าแม่พี่มีเงิน มีความพร้อมที่จะดูแลพี่มากกว่า นายอาจจะเห็นว่าอยู่กับแม่ที่ขี้ยามันแย่ แต่ก็เป็นแม่ขี้ยาที่มีเงินเลี้ยงดู บางทีมันอาจจะดีกว่าอยู่กับพ่อที่ไม่ติดยา แต่ไร้ความสามารถที่จะเลี้ยงดูพี่ได้”
จริง ... บางครั้งเราต้องเลือก
และตัวเลือกมันไม่ใช่ ทางที่ดี กับ ไม่ดี
มันคือเลือกระหว่าง ระยำ กับ ระยำกว่า

เราทุกคนไม่ได้อยู่บนลานหินอ่อน
เราทุกคนไม่ได้เดินอยู่ในดงดอกไม้เสมอไป
บางทีเราอยู่บนโคลนเลน ไปซ้ายหรือขวาก็เลอะ
มีแค่เลอะ หรือเลอะกว่า
มีแต่จม หรือจมเร็วขึ้น แค่นั้น

ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ พี่ภูเล่าต่อ “พี่โตมาด้วยเงินจากบริษัทแม่ และผู้ดูแลที่เป็นพี่เลี้ยง พี่ได้ทุกอย่างที่อยากได้” แล้วเขาก็พ่นลมหายใจออกทางจมูกพรืด เหมือนหัวเราะในความช่างเสียดสีของตัวเอง “ก็เกือบทุกอย่างแหละนะ
พี่อยากมีแม่ แม่ที่เป็นแม่จริงๆ
พี่อยากมีพ่อ พ่อที่เป็นเสาหลักจริงๆ
นั่นล่ะมั้ง สิ่งที่พี่ไม่ได้ และเงินก็ซื้อไม่ได้”
“แล้วแม่พี่ภูก็รักษาอาการติดยาเหรอครับ?” ผมถาม เขาส่ายหน้า “ไม่เชิง แม่พี่พยายามเลิกยาหลายรอบมาก จนแม่ชอบเอามาพูดเล่นเป็นมุกตลกว่า เลิกยาน่ะง่าย แม่ลองทำได้ตั้งหลายรอบแน่ะ” แล้วพี่ภูก็หัวเราะ ผมหัวเราะร่วมด้วย แต่ก็แค่เบาๆ
“แม่ไม่เคยเลิกยาสำเร็จ
แม่มีแต่จะใช้ยามากขึ้น มากขึ้น
แล้วก็แรงขึ้น แรงขี้น จนแม่ถลำไปไกล

สมอง สติ ความคิดของแม่เริ่มได้รับผล
แม่เริ่มไปดูแลบริษัทตัวเองไม่ได้ ทำงานไม่ได้
หุ้นส่วน พนักงานคนอื่นๆ เริ่มได้กลิ่นปัญหาของท่านประธาน

แล้วก็มาถึงจุดที่สุดของปัญหา”
พี่ภูเอื้อมมือมากุมมือผม ผมจับมือเขาตอบ
สัมผัสได้ว่า มือเขามีเหงื่อชุ่ม และสั่น

“แม่ทำร้ายตัวเอง
และทำร้ายพี่ด้วย”​

แล้วน้ำตาก็ไหลผ่านแก้มเขาอีกครั้ง
พี่ภูสูดจมูกเสียงดัง กลั้นสะอื้นอยู่ชั่วหนึ่ง
ถึงได้กลับมาเล่าเรื่องราวถัดจากนั้นต่อมาได้
“หลังจากนั้นมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย มีขั้นตอนเยอะแยะที่พี่อยากลืม แต่สุดท้าย แม่ก็พ้นจากตำแหน่งบริหารในบริษัท เหลือไว้เพียงความเป็นเจ้าของผู้รับผลประโยชน์ และให้หุ้นส่วนอื่นๆ จัดการไป
และนั่นคือจุดที่แม่ต้องพบจิตแพทย์
เพื่อทำการบำบัด รักษาสมอง จิตใจที่เหลือ
พี่เปลี่ยนสถานะจากลูกชาย กลายเป็นคนดูแลแม่

พี่เปลี่ยนเป็นคนดูแลแม่
ให้แม่ได้พักผ่อนในที่ๆ สมควร
และคอยดูให้แน่ใจว่า
แม่จะไม่ทำอันตรายให้ตัวเอง และคนอื่น”
นี่มันคนละเรื่องกับที่ผมคิด …
ครอบครัวพี่ภู ไม่ได้เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้เลย

ผมเคยเห็นรูปเขาถ่ายกับแม่ ใส่กรอบวางอยู่ในคอนโดพี่ภู คอนโดที่พี่ภูบอกว่าแม่ซื้อให้เป็นของขวัญที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เพื่อที่พี่ภูจะได้ไปเรียนสะดวกไม่ต้องอยู่บ้านที่ไกลจากมหาวิทยาลัย
ดูจากรูป ผมนึกว่าแม่ของเขาเป็นผู้หญิงทำงานที่เก่ง คล่อง ค่อนข้างสวย และดูเฉี่ยว แม้จะติดที่ผอมไปหน่อยก็ตาม ผมไม่รู้เลยว่าความผอมจนเกือบจะเรียกว่าซูบซีดนั้น มาจากยาเสพติด ผมไม่รู้ด้วยว่า รอยยิ้มในรูปนั้น มันมาจากยาเสพติด หรือมาจิตใจแท้ๆ ของเธอ
ผมไม่เคยเห็นรูปพ่อพี่ภู
โอเค เข้าใจได้ ตามที่เขาเล่า

ผมบีบมือพี่ภูอีกครั้ง และสบตาเขา
มันคงยากที่จะผ่านเรื่องพวกนี้ให้ได้
โดยเฉพาะ ถ้าต้องผ่านมันเพียงคนเดียว

“พี่ภู เหนื่อยไหมครับ?”
ผมถามเขา

พี่ภูยิ้มอ่อนๆ แล้วพยักหน้า
“นายนึกไม่ออกเลยล่ะ ว่ามันเหนื่อยขนาดไหน”
“ก็คงจะอย่างนั้นครับ” ผมนึกถึงผมกับแม่ เราสองคนไม่ได้สนิทกันแบบที่ครอบครัวอื่นเป็น สายสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่ก็ไม่ได้ดีนัก แต่มันไม่ได้แย่แบบนี้แน่นอน อย่างน้อยแม่ก็ไม่ได้เป็นภาระ แบบภาระจริงๆ ที่ผมต้องดูแล เหมือนที่แม่พี่ภูเป็น
ทีหลังผมจะไม่บ่นเรื่องแม่อีกแล้ว
ดูจากที่พี่ภูเจอ ผมโชคดีกว่าเขาเยอะนัก

“พี่ก็ไม่ได้ผ่านเรื่องนี้คนเดียวหรอกนะ” พี่ภูลูบหัวผม
“แฟนเก่าพี่ก็ช่วยพี่ได้เยอะ”
“แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย แต่เขาก็เชื่อในตัวพี่ ว่าพี่จะทำทุกอย่างได้ เชื่อว่าพี่ผ่านทุกสิ่งเหล่านี้ไปได้ เขาเหมือนคนที่ทำให้พี่แข็งแรงขึ้นมาได้ จากคนที่แทบไม่มีแรงจะลุกขึ้นยืนได้เลยด้วยซ้ำ”
พี่ภูสบตาผมด้วยแววตาเจ็บปวด “มันถึงได้รู้สึกแย่มาก ตอนที่พี่ต้องบอกเลิกกับเขา” แล้วเขาก็เม้มปากแน่น ผมเดาอารมณ์พี่ภูตอนนั้นไม่ได้เลย แต่ค่อยก็ค่อยๆ คลายมุมปากที่ตึงและเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม “แต่มันก็คุ้มค่า ...
What took you here
won’t bring you there

อะไรที่พาเรามาถึงจุดนี้ได้
มันจะไม่ได้พาเราไปถึงจุดถัดไป

เราเดินทางมาถึงริมน้ำแล้ว
เราก็คงจะดื้อขี่ม้าต่อไปไม่ได้หรอก
เราต้องทิ้งม้า และมองหาเรือ เพื่อข้ามไป
พี่รักเขานะ พี่เคยรักเขา
แต่ตอนนี้สำหรับพี่ เขาเป็นอดีตไปแล้ว
เขาเป็นอดีตไปตั้งแต่พี่เจอปัจจุบันของพี่”

เขาบีบมือผมตอบ

“นั่นก็คือนายนะกฤษ นายคือปัจจุบันของพี่
พี่เลยจำเป็นต้องตัดเขาออกไป เพื่อให้ปัจจุบันมันชัดเจน”
“มันคงเจ็บสินะฮะ” ผมถามเขา พี่ภูพยักหน้า “เจ็บมากเลยล่ะ แต่มันก็เหมือนตอนที่พี่ผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ เราผ่าตัดมันออกไป เพื่อผลที่ดี เพื่อรักษาชีวิตเรา ไม่อย่างนั้นมันคงแตก และติดเชื้อรุนรง
แต่แผลที่เกิดจากการผ่าตัดเอามันออก ก็เจ็บ ดังนั้นไม่ว่าจะผ่าตัดเพื่อตัดส่วนดี หรือตัดส่วนร้ายที่เป็นอันตรายออกไป ยังไงมันก็คือการผ่า ยังไงมันก็เจ็บ ตัดเขาออกไปจากชีวิต มันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน

แต่พอตัดออกไปแล้ว
ก็คือตัดออกไปเลย ขาด กัน ให้ ชัด เจน
เขาเปลี่ยนรูปเป็นอดีตไปแล้ว
ส่วนนายคือปัจจุบันและอนาคตของพี่

เสียงของเขา กลายเป็นเสียงในอดีต
เสียงของเขา จะไม่มารบกวนเราอีกต่อไป
เสียงของเขา จะไม่มาทำให้เราหวั่นไหวในความสัมพันธ์

เพราะ … นายคือ #เสียง แห่งปัจจุบัน
ที่พี่ได้ยินเสมอ แม้ว่านายจะไม่อยู่ใกล้ๆ
นายคือ #เสียง แห่งอนาคต
ที่พี่รู้ว่าพี่จะได้ยินตลอดไป ไม่ว่าอะไรก็ตาม

นายคือ #เสียง ที่ดังอยู่ในใจพี่ตลอด
นายคือ #เสียง ที่พี่ได้ยินตั้งแต่ก่อนเจอหน้าด้วยซ้ำ
นายคือ #เสียง ที่พี่อยากได้ยินตลอดไป

อย่าหนีพี่ไปไหนเลยนะ”
แล้วพี่ภูก็บีบมือผมแรงขึ้น ผมก็บีบมือเขาตอบ มันไม่มีคำตอบรับ รับปากอะไรจากผม แต่สายตาที่มอง และสัมผัสที่ประสานมือ มันคือคำตอบที่ชัดเจน เขายิ้ม และยิ้มบนหน้าพี่ภูก็ส่งต่อมาถึงหน้าผมด้วย ผมยิ้มตอบ
“ทีนี้ เชื่อใจพี่ได้หรือยังครับ” เขาถามอีกครั้ง ผมพยักหน้า “ขอโทษนะครับ ที่กฤษระแวงพี่ภูก่อนหน้านี้ ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร นอนหลับก็ยาก ระแวงนู่นระแวงนี่ไปหมดเลย ฟุ้งซ่าน”
“ก็เจอแต่เรื่องแปลกๆ รอบตัว” พี่ภูให้เหตุผล “แต่พี่ยืนยันนะ ถึงพี่จะโกรธโฟร์ แต่พี่ไม่ได้ทำร้ายเขาแน่ๆ แต่กฤษจะระแวงนู่นนี่ พี่ก็ว่าไม่แปลกหรอกนะ เป็นพี่ พี่ก็คงระแวงเหมือนกัน แต่คราวหลัง สงสัยอะไรให้ถามนะครับ เราเป็นคนรักกัน ไม่ใช่คนแปลกหน้า เราถามกันได้ เราคุยกันได้ นะครับ”
เขาย้ำคำ ส่วนผมก็พยักหน้า
มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ พี่ภูจะทำร้ายโฟร์ได้ไง

“คืนนี้พี่ค้างกับกฤษได้ไหมครับ?”
“ก็ลองไม่ค้างดูสิ จะได้เป็นเรื่อง”

“คิดถึงพี่ล่ะสิ”
“เปล๊าาาาา พี่ภูต่างหากคิดถึงกฤษใช่ไหมล่ะ”

“งั้น … เดี๋ยวเราอาบน้ำกันไหม?”
“อาบด้วยกันเหรอครับ?”
พี่ภูไม่ตอบ แต่ยักคิ้ว
ผมก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ถอดเสื้อ

พี่ภูเดินเข้ามากอดผมจากด้านหลัง เอาคางวางที่ไหล่ ผมหยิบมือถือขึ้นมา selfie เรา พี่ภูรู้งานและรู้มุมมาก เขาไม่จ้องตากับกล้อง แต่กัดที่ต้นคอผมแทนตอนที่กดชัดเตอร์ถ่ายภาพ
“หืม … น่ารักอ่ะ” ผมดูรูปแล้วส่งให้พี่ภูดู
เขาพยักหน้า “จะลงใน Twitter ไหมล่ะ?”

แทนคำตอบ ผมทวีตมันตอนนั้นเลย
/ การกลับมาทบทวนกัน จะทำให้ความสัมพันธ์ strong ขึ้น #พี่ภูน้องกฤษ /

“ส่งให้พี่ด้วยนะ พี่จะเอาลง IG”
“ส่งแน่อยู่แล้วครับ แต่ตอนนี้ …”
แล้วผมก็ดึงคอเสื้อเขาลงมาจูบ
แล้วก็ค่อยๆ ลากให้เขาเดินตามเข้าไปในห้องน้ำ
แล้วก็ … นั่นแหละ มันก็เป็นไปตามที่คุณๆ เดานั่นล่ะ
เป็นอันว่า เรื่องราวยาวยืดของความระแวงระหว่างผมกับพี่ภูก็จบไป ทุกเรื่องคลี่คลาย ได้รับคำตอบทั้งหมด เมฆแห่งความวิตกถูกปัดเป่าให้หายไป ถ้าจะอธิบายด้วยศัพท์เทพนิยาย ก็ต้องพูดว่า happily ever after

แล้วเจ้าชายทั้งสอง ก็ครองรักกัน
อย่างมีความสุข ไป ตลอด กาล …
เสียดายนะ เสียดายจริงๆ …
เรื่องของ #พี่ภูน้องกฤษ ควรจะจบ ตั้งแต่ทวีตนี้
แต่เปล่าเลย มันคือจุดเริ่มต้น ของโศกนาฏกรรม

มันคือฟ้าสงบ ก่อนพายุ
ถ้าพวกคุณชอบอะไรที่จบแบบสุขๆ
หยุดอ่าน แล้วออกไปได้เลยครับ ผมไม่ว่าเลย
ปล่อยให้ภาพจำสุดท้าย เป็นความสุขแบบนี้ดีกว่า

แต่ถ้าคุณรับได้ … กับการที่เราสองคนตายตอนจบ
ถ้าคุณรับได้ กับการหักหลังที่เจ็บปวด
ตามมาสิครับ มันเริ่มต้นในคืนนี้ …
ถ้าจะพูดให้ชัดๆ …
มันเริ่มในคืนนั้น หลังจากหลายน้ำที่เราเสียไป
พี่ภูนอนหลับกรนสบายไปแล้ว แต่ ผม ยัง นอน ไม่ หลับ

ผมกระสับกระส่ายมาหลายคืนแล้ว
มันไม่ง่วง และต่อให้ง่วง ผมก็นอนได้ไม่ยาว
คืนนี้ก็เหมือนกัน ยิ่งมีคนนอนข้างๆ ยิ่งหลับยาก
ทางออกคือ หาอะไรดู หาอะไรทำ
ผมหยิบมือถือมาเปิดดู Twitter

ดีจัง มีคนรีทวีตรูปผมกับพี่ภูเยอะแยะ มีคนรีพลาย และโควททวีตไปเยอะเลย ทุกคนสนับสนุน #พี่ภูน้องกฤษ มีหลายคนออกมาบอกด้วยว่า ไอ้คู่ ก. กับ ภ. น่ะไม่น่าใช่พวกเราสองคนหรอก เพราะนี่ไง รักกันดีจะตาย

ผมยิ้ม พลางไล่ดูลงไปเรื่อยๆ
/ แหม รักกันเนอะ
ก็ขอให้รักกันให้นานๆ ละกัน /

/ สร้างภาพรักกัน
มันก็คงต้องเหนื่อยหน่อย
พยายามเข้านะ เรารอดูเธอตอแหล /

อันนี้ประชดได้แสบ
แต่ผมจะพยายามไม่สนใจนะ
คนประชด มาจากกลไกคือเขาอิจฉา

ผมกำลังจะปิดมือถือแล้วล่ะ แต่พอดีว่า …
มือถือพี่ภูที่นอนข้างๆ สว่างวาบขึ้นมา
ผมเห็นว่ามันเป็น notification ของข้อความที่ส่งเข้ามา และเพราะพี่ภูเซ็ทให้มันโชว์ข้อความด้วย ผมเลยเห็นข้อความนั้นบนหน้าจอ
/ ภู ... ผมยังรักคุณ
และผมไม่ต้องการเสียคุณไป

ถ้าตัวคุณไม่อยู่กับผม
ร่างกายคุณก็ต้องไม่อยู่กับใคร

ถ้าหัวใจคุณไม่ใช่ของผมแล้ว
ก็ต้องไม่มีใครในโลกนี้
ได้ หัว ใจ คุณ ไป

รอรับความย่อยยับได้เลย
เพราะผมไม่ปล่อยให้คุณมีความสุขแน่ /
ดูท่าว่า แฟนเก่า จะไม่ยอมเป็นแฟนเก่า
ดูท่าว่า เสียงแห่งอดีต จะไม่ยอมอยู่แค่ในอดีต
มันพยายามจะส่งเสียงมารบกวนปัจจุบันและอนาคต

ถามหน่อยสิ ถ้าเจอแบบนี้
พวกคุณจะทำยังไง?
วันนี้เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ ติดตามอ่าน #พี่ภูน้องกฤษ ได้อีกทีพุธหน้าค่ำๆ ขอบคุณทุการติดตามอ่าน รีทวีต เมนชั่น รีพลายนะครับ วันนี้สวัสดีครับ
#ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ตอนต่อไปมาแล้วครับ มาลุ้นเรื่องโศกนาฏกรรมของ #พี่ภูน้องกฤษ กันต่อครับ
“นี่นายช่วยไว้ใจพี่หน่อยได้ไหม?”
“งั้นพี่ก็เอามือถือมาให้ผมดูสิ”

“ทำไมอะ ถ้านายไว้ใจพี่ ทำไมต้องดู?”
“ก็ถ้าพี่ไว้ใจได้จริง ทำไมดูแค่นี้ไม่ได้”

“พี่ว่านายคุยไม่รู้เรื่องแล้ว”
“ผมก็ว่าพี่ไว้ใจไม่ได้เหมือนกัน”

“ฟังนะ เราเป็นแฟนกัน
ถ้าเราไม่ไว้ใจกัน มันไม่เหลืออะไรแล้วนะ”
“อ๋อ เหรอ? ถ้าไม่ไว้ใจกัน
แล้วเราจะไม่เหลืออะไรแล้ว?
แล้วความรักล่ะวะพี่ ความรักพี่ไม่นับเหรอ?”

“…….”
“เงียบแบบนี้หมายความว่าไง?”

“พี่ ....คือพี่”
“นี่จะบอกว่าพี่ไม่รักผมแล้ว?”
แล้วก็มีโฆษณามาคั่น
เป็นโฆษณาน้ำยาถูพื้นกลิ่นหอม
ซึ่งดูยังไงก็ไม่เข้ากับบริบทละครเมื่อกี้นี้

ผมนั่งพิงพี่ภูอยู่บนโซฟา
เรานั่งดูละครวายในโทรทัศน์
เมื่อกี้นี้ ไม่ใช่บทสนทนาของเรา มันในทีวี
“ละครอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นดีเลย”
พี่ภูบิดขี้เกียจ พลางหยิบรีโมทมาตั้งท่าเปลี่ยนช่อง

“เดี๋ยวดิพี่ภู กฤษอยากดูให้จบก่อนอ่ะ”
ผมยั้งมือเขาไว้

“ทำไมอ่ะเรา? เดี๋ยวนี้ติดละครเหรอ?”
พี่ภูวางรีโมท แล้วหันมาหอมหน้าผากผมทีหนึ่ง
“ก็กฤษอยากรู้ว่า สองคนนี้จะจบกันยังไงอ่ะครับ”
ตอนที่ผมพูด ผมไม่แน่ใจหรอกนะว่าหมายถึงในทีวี หรือหมายถึง ผมกับพี่ภู

“ไม่เห็นจะยากเลย” พี่ภูหัวเราะ
แล้วมือถือของเขาก็ดัง ผมแอบเห็นว่ามีข้อความเข้า
พี่ภูหยิบมาดูแว่บเดียว แล้วปิด
ผมเห็นเขาปรับมือถือให้เข้า mute mode
แล้วก็วางมันคว่ำหน้าจอกับโต๊ะหน้าทีวี

แล้วพี่ภูก็กลับมาพูดต่อ “คู่รัก ที่ไม่รัก และไว้ใจกันไม่ได้ มันจะเหลืออะไรล่ะ ถ้าขืนยังจะรั้งกันต่อไป สุดท้ายพี่ว่าก็ได้เกลียดกันไปเลย” พูดจบพี่ภูก็ยักไหล่ลุกจากโซฟา
นั่นน่ะสิ ... คู่รัก มันมีสองอย่าง
รัก + เชื่อใจ ที่ใช้เชื่อมใจกันไว้

ถ้าขาดไปอย่างหนึ่ง
อีกอย่างก็ต้องทำงานอย่างหนัก
เพื่อคงสถานภาพความเป็นคู่รักกันไว้

ผมแม่ง ... โคตรหงุดหงิดเลยว่ะ
เพราะข้อความนั้นจากแฟนเก่าพี่ภู มันเลยทำให้ความเชื่อใจของผมต่อเขา ที่เพิ่งเก็บกู้ซากมาบูรณะใหม่ได้หมาดๆ ต้องมีรอยร้าวอีกรอบ ข้อความที่เขาขู่อาฆาตในนั้น มันบอกว่า พี่ภูกับคนแฟนเก่าคนนั้น ยังติดต่อกันอยู่
เช้าวันนั้น ผมทำเป็นไม่พูดอะไร
ตอนตื่นนอนมา ผมแอบเห็นว่าพี่ภูเช็คข้อความ
เหมือนสีหน้ากระตุกนิดหนึ่ง แล้วก็เก็บมือถือไม่พูดอะไร

เขา ไม่ ยอม บอก ผม เรื่อง นี้
เขา ปิด เรื่อง นี้ ไว้ เป็น ความ ลับ
ผมไม่สงสัยเรื่องที่เขารักผมหรอกนะ
ผมก็รักเขา ผมสัมผัสได้ถึงรักที่เขาให้ผมด้วย
แต่รักก็ส่วนรัก ความลับก็ส่วนความลับ

ผมเกลียด ที่เขามีความลับ
เกลียดหนักกว่า ที่เขาทำเป็น ไม่มีความลับ
“คู่รักกันน่ะ มันต้องไม่มีความลับกันสิ”
พี่ภูเดินกลับมาที่โซฟา พร้อมกับน้ำอัดลมให้ผมหนึ่งกระป๋อง

“ขอบคุณครับ” ผมรับมาเปิดจิบไปหนึ่งอึก
“พี่ภูว่า คู่รักกันต้องไม่มีความลับใช่ไหมฮะ?”

“ถูก” แล้วเขาก็โอบไหล่ผม
“เหมือนเราสองคนไงครับ”
ผมยังไม่ทันจะอ้าปากพูดถามอะไร โฆษณาจบ ละครกลับมาเล่นต่อ ผมเลยปล่อยให้การทะเลาะกันบ้านแตกของตัวละครสองตัว สนองความหงุดหงิดที่มีอยู่ในหัวผมไปก่อน
ผมแอบเห็นว่า ไฟหน้าจอมือถือพี่ภูสว่างวาบๆเป็นพักๆ แม้จะไม่มีเสียง แม้จะไม่สั่น แต่ผมรู้ว่า มันกำลังมีข้อความเข้า และนั่นมันรบกวนสมาธิผมมากจนเกือบจะหันไปถามเขา
“เฮ้ยยย ใจเย็นเว้ย ยังก่อนกฤษ .. ยังไม่ใช่วันนี้” ผมบอกตัวเอง พี่ภูเป็นผู้ใหญ่ บางทีเขาคงจะละเรื่องนี้ไว้จัดการทีหลังให้เสร็จด้วยตัวเองแล้วค่อยมาบอกผมทีหลัง มันน่าจะเป็นอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่ผมพอจะอธิบายแก้ต่างแทนพี่ภูได้
ก็ ... หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น
อย่าให้ผมต้องเสียความเชื่อใจไปมากกว่านี้เลย

เพราะ รัก + เชื่อใจ มันเชื่อมผมกันพี่ภูไว้
และตอนนี้ รัก มันทำงานหนักกว่า เชื่อใจ เยอะแล้ว

…….
“น้องกฤษก็เลยขอนัดหมอฉุกเฉินสินะ”
“ใช่ครับหมอนิน ผมไม่ชอบตัวเองเลย”

ทางออกเดียวของผมคือ ระบายให้หมอนินฟัง
ตอนนี้ผมไม่เหลือเพื่อนสนิทคนไหนที่ไว้ใจได้อีกต่อไป หลังจากเหตุการณ์โฟร์เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ผมคิดว่าการเล่าให้ใครสักคนที่จรรยาบรรณเหนือเขาเขาระบุไว้เลยว่า “ต้องเก็บความลับ” คงไว้ใจได้สุดละ
แล้วเผื่อว่าเขาจะหาทางกู้ความเชื่อใจของผมที่มีต่อพี่ภูให้กลับมาได้ด้วย ผมรู้สึกว่าสมอง ... ความรู้สึก ส่วนนี้ของผมมันอ่อนแอเหลือเกิน อะไรนิดหน่อยก็ทำให้ตัวเองหวาดระแวงได้ตลอด เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้

“หมอมีมุมมองเรื่องแฟนเก่าอีกแบบน่ะ”
“ยังไงครับหมอนิน แชร์ให้ผมฟังได้ไหม?”
หมอนินพยักหน้า
“แต่มันเป็นมุมมองคนแก่นะ กฤษจะเข้าใจเหรอ?”

ผมหัวเราะ
“แหม หมอนินยังไม่แก่เสียหน่อย ผมอยากฟังฮะ”

“คืองี้นะ หมอมองว่าเรื่องของแฟนเก่า มันคือ เกมที่เขาเล่นค้างไว้”​
“เกม? ที่เขาเล่นค้างไว้ อย่างนั้นเหรอครับ?”
หมอนินพยักหน้า “ใช่ มันเปิดค้างอยู่ เขาต้องจบเอง ไม่เกี่ยวกับเราเลยสักนิด แม้ว่าบางครั้งมันจะส่งผลถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขาก็เถอะ แต่ถ้าเขายังไม่เล่า ยังไม่ขอให้เราช่วย มันก็ยังเป็นเกมส่วนตัวของเขา
สิ่งที่เราทำได้คือ คอยให้กำลังใจเขาเท่านั้นล่ะ เพราะเขาก็คงเหนื่อยกับการจัดการปิดเกมแฟนเก่าให้ได้ อย่าเพิ่งไปสงสัยอะไรเลย เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไรอยู่ก็ตาม เราคือคนที่เขาเลือกสำหรับปัจจุบัน
น้องภู เขาเลือกที่จะอยู่กับกฤษ
เขาใช้คำว่า “แฟนเก่า” กับอีกฝ่าย
นั่นแปลว่า เขาเลือกกฤษเป็นคนปัจจุบัน

ถ้าเป็นหมอ หมอไม่กังวลหรอกนะ
รอให้กำลังใจเขาตรงนี้ดีกว่า”
“สุดท้ายมันก็จบที่ไว้ใจใช่ไหมอ่ะครับ?”
ผมแอบรู้สึกเซ็งนิดๆ เพราะปัญหาที่ผมมีก็คือเรื่องไว้ใจนี่แหละ

“กฤษมีปัญหาเรื่องไว้ใจเหรอครับ?”
“ผมควรมีไหมล่ะครับหมอ?” ผมถอนหายใจพรืดใหญ่
“ทีแรกก็พี่ภู ต่อมาก็โฟร์ เพื่อนสนิท แล้วก็มีเรื่องพี่ภูอีกทีนึง หมอ ผมโดนไปสามหมัดเลยนะ ซ้าย ขวา ปลายคาง นี่ถ้าผมอยู่บนสังเวียน ผมน็อคเอาท์ไปแล้วนะครับ” พูดแล้วก็เซ็งนะ เซ็งทั้งคนรอบข้าง เซ็งทั้งตัวเอง
หมอนินพยักหน้า “หมอเห็นใจนะ แต่กฤษตีความเรื่องความเชื่อใจผิดไปเยอะ กฤษเอาความเชื่อใจ ไปแขวนไว้กับคนรอบข้าง ครอบครัวบ้าง เพื่อนบ้าง คนรักบ้าง กฤษรู้ไหมว่าความเชื่อใจ ควรจะแขวนไว้ที่ไหน?”

“แขวนคอตัวเองมั้งครับ”
ผมตอบประชดๆ
แต่หมอนินพยักหน้า
“ถูกครับ ความเชื่อใจ ควรแขวนไว้กับเรา
หมอหมายถึง เราต้องไว้ใจตัวเอง ที่จะเชื่อคนอื่น

ไว้ใจตัวเอง ว่าเราจะนิ่งพอ ว่าเราหนักแน่นพอ
ในระหว่างที่เขาอาจจะทำให้เราหวั่นไหวบ้าง

แต่มันเป็นขั้นตอนปิดเกมของเขากับอีกคน
สิ่งที่สำคัญ ก็คือเราไว้ใจตัวเองให้ได้ครับ”
ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่า session วันนั้นผมเก็ทมากน้อยแค่ไหน ผมเดินออกมาจากห้องบำบัดพร้อมคำถาม ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเคยไว้ใจตัวเองบ้างไหม? มันเป็นคำถามที่แปลกนะ และแปลกกว่าคือ ผมตอบตัวเองไม่ได้ด้วยว่ะ

…….
“โฟร์ เป็นไงบ้าง”

ผมแวะมาเยี่ยมโฟร์ที่บ้าน ตามคำชวนของพี่ซัน เขาบอกผมว่า โฟร์อยากเจอผมนะ แต่ไม่กล้าบอก คงเพราะรู้สึกผิดกับเรื่องนั้น
“เป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก อย่าแตกกันเพราะเรื่องผู้ชายเลยน่า” พี่ซันพูดก่อนวางสาย ผมแอบไม่เห็นด้วยนิดนึง ปัญหาระหว่างผมกับโฟร์มันไม่ใช่เรื่องผู้ชาย แต่มันเรื่องปากสว่างของโฟร์มันต่างหาก
แต่พี่ซันพูดถูกอย่างหนึ่ง
อย่างน้อยก็คบกันมาตั้งแต่เด็ก
สิ่งที่โฟร์ทำ มันไม่เกี่ยวกับน้ำใจของผม

ผมมีน้ำใจให้เพื่อนเสมอ
และครั้งนี้ ผมก็ต้องมีน้ำใจกับเพื่อน
โฟร์นั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟากลางบ้าน เป็นที่ประจำของมัน กิจวัตรที่ผมเคยชิน เมื่อก่อนผมมาเล่นเกมบ้านมันบ่อยมากนะ เพิ่งจะมีช่วงหลังๆ ... ก็ช่วงที่ผมติดทวิตเตอร์กับคบกับพี่ภูนั่นล่ะ ที่ผมไม่ค่อยได้มา
“เป็นไงบ้างวะโฟร์”
ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

“กฤษ ... กูขอโทษ”
มันกด pause แล้วหันมาสบตาผม

“ตกลงใครตีหัวมึงเนี่ย นึกออกป่ะ?”
“กูจำไม่ได้” โฟร์ส่ายหน้า “กูจำเรื่องวันนั้นแทบไม่ได้เลย”
โฟร์กัดริมฝีปากตัวเอง “แต่กูจำได้ว่ากูทวีตเรื่องของมึง และกูเสียใจ มันก็แค่ ...” โฟร์เหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่เขาก็หยุดลิ้นไว้ กลืนคำเหล่านั้นลงคอไป “ไม่มีข้อแก้ตัวว่ะ กูทำผิดจริง และกูเสียใจ”

“ปัญหามันไม่ใช่แค่นั้นว่ะโฟร์”
ผมกอดอก จ้องหน้ามัน
“มึงโกหกพี่ซันพี่ชายมึง
มึงโกหกพี่นนท์ แฟนมึง
แล้วมึงก็โกหกกู เพื่อนมึง

คืนนั้น มึงไปไหน ทำอะไร
มึงนึกไม่ออกจริงๆเหรอวะ?”

โฟร์สบตาผม หลุบสายตาลง แล้วส่ายหน้า
“กูจำไม่ได้จริงๆ กูขอโทษว่ะ”

ผมพยักหน้า “โอเค งั้นปล่อยมันผ่านไปเหอะ”
แล้วผมก็หยิบจอยอีกอันขึ้นมา กด start
“ป่ะ กูเล่นด้วย” ผมหันไปยิ้มให้มัน
"มึงหายโกรธกูแล้วเหรอ?" มันถาม

"โกรธน่ะโกรธอยู่" ผมตอบ "แต่กูก็ยังรักมึงเหมือนเดิม เดี๋ยวเวลาผ่านไปมากกว่านี้ กูก็คงหายโกรธเองแหละ แต่ตอนนี้เล่นเกมกันเหอะ ไม่ได้เล่นกับมึงมานานละ"
“เออ ดี เล่นคนเดียวเซ็ง” มันยิ้มตอบ
แล้วเราก็เริ่มเล่นเกมกัน เหมือนปกติที่เมื่อก่อนเราเลยทำเป็นประจำ
ผมหันไปมองสีหน้าโฟร์อีกครั้งระหว่างเล่นเกม เราสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ผมเห็นสีหน้าแทบทุกอารมณ์ของมัน เราสองคนเป็นเพื่อนประเภทที่แทบไม่ต้องคุยกันเป็นคำพูด ใช้วิธีสื่อสารกัน มองหน้ากัน ก็รู้แล้วว่าจะพูดอะไร
ผมถึงรู้ได้ไง ว่าเมื่อกี้นี้
โฟร์ มัน โก หก
ปริศนาอีกข้อ ...
ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า
คนที่อัพทวีตวันนั้น คือโฟร์จริงๆไหม?

เป็นไปได้ไหมว่า ... มันไปเจอใครสักคน
ใครสักคนที่เป็นความลับมากๆ
แล้ว ....
"เชี่ย กฤษ มึงใจลอย เดี๋ยวแพ้กูนะเว้ย"
โฟร์เอาศอกมากระทุ้งผม

"กูต่อให้มึงก่อนหรอกน่ะ"
ผมเถียงมันกลับ แล้วเล่นเกมต่อ
โทรศัพท์ผมดัง ข้อความเข้า
ผมกด pause แล้วหยิบมาเปิดอ่าน

มาจาก unknown user
/ พี่คงอยากจะเจ็บตัวเหมือนเพื่อนสนิทสินะ ถึงได้ยังหน้าด้านคบกันพี่ภูต่อไปเนี่ย ก็ได้ อยากพี่เอาแบบนั้นก็ได้ ผมจัดให้

จำใส่สมองใสๆกลวงๆของพี่ไว้เลยนะ
พี่ ภู เขา เป็น ของ ผม /
วันนี้เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ มาตามอ่านเรื่องของ #พี่ภูน้องกฤษ ได้อีกทีวันอาทิตย์เย็นๆ ขอบคุณทุกการติดตามนะครับ เรื่องนี้อาจจะต้องปูเยอะนิดนึงก่อนเข้าไคลแมกซ์ เพราะมันมีจุดที่ต้องทิ้ง ester egg เยอะน่ะครับ แหะๆ
ขอโทษครับ :( พี่ผิดอีกแล้ว พี่ขอโทษน้องๆทุกคนด้วยครับ พี่เพิ่งปิดต้นฉบับ #MyImaginaryBoyfriend #แฟนผมไม่มีตัวตน สำเร็จค่ะ กลับมาเล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ได้แล้วครับ แต่ก่อนเล่าขอแจ้งข่าวไม่สู้ดีนิดนึงนะครับ
#MyImaginaryBoyfriend #แฟนผมไม่มีตัวตน #กลองยาวพระพาย ออกไม่ทันงานหนังสือที่กำลังจะถึงนะครับ พี่ขอโทษด้วย เพราะพี่ส่งต้นฉบับช้า และ สนพ.เองก็มีคิวต้องทำหนังสือเยอะครับ คิวพี่เลยไปต่อท้ายมากๆ ออกหลังงานนะครับ จริงๆพี่ก็อยากจะให้ออกทันงาน แต่ก็ไม่ทันจริงๆ ขอโทษทุกๆคนด้วยครับ
เอาล่ะ มาอ่าน #พี่ภูน้องกฤษ กันต่อดีกว่าครับ
/ พี่คงอยากจะเจ็บตัวเหมือนเพื่อนสนิทสินะ ถึงได้ยังหน้าด้านคบกันพี่ภูต่อไปเนี่ย ก็ได้ อยากพี่เอาแบบนั้นก็ได้ ผมจัดให้

จำใส่สมองใสๆกลวงๆของพี่ไว้เลยนะ
พี่ ภู เขา เป็น ของ ผม /

ผมอึ้งๆไปนิดๆ กับข้อความนี้
และคงเพราะว่าผมอึ้งนานเกินไป
โฟร์เลยโผล่เข้ามาดูว่ามีอะไรในมือถือ
แต่ผมปิดหน้าจอได้ทัน
ผมไม่อยากให้มันเห็นข้อความนี้
เพราะในนี้มีพาดพิงถึงโฟร์มันด้วย

มันเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาได้หมาดๆ นี่หมอยังสั่งให้พักผ่อนอยู่เลย ผมไม่อยากให้เรื่องข้อความนี้ทำให้มันไม่สบายใจ ตอนนี้ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ด้วย เดี๋ยวโฟร์มันจะนอยด์
“อ้าว ข้อความอะไรวะกฤษ?” โฟร์ถาม
“ข้อความจากแฟนเก่าพี่ภูน่ะ” ผมยักไหล่

“อ้าวเฮ้ย งั้นมันส่งมาว่าไง ไหนดูหน่อย”
“ไร้สาระน่ะมึง มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก ประสาทอะ พวกอยากได้ของคืนอะไรแบบนี้ว่ะ เขาไม่เอาแล้วก็ยังจะตามล่าตามล้างเป็นผีบ้า” ผมตอบ
“อ้าวแล้วนั่นมึงทำอะไรอ่ะ?” โฟร์ถาม ตอนที่เห็นผมหยิบมือถือมาอีกครั้ง แต่เปิดทวิต “อ๋ออ เก็ทละ คือมึงจะทวีตด่ามันใช่ป่ะ? แคปข้อความแล้วด่ามันขึ้นทวิตไปเลย” โฟร์สนับสนุน แต่ผมส่ายหน้า
“เปล่า ไม่ใช่ว่ะ” ผมเปิดเลือกรูปของผมกับพี่ภูจากในแกลอรีที่ถ่ายเก็บไว้ ดีนะ เราสองคนชอบถ่ายรูปคู่กันเก็บไว้เยอะๆ เป็นคลังเลยล่ะ เวลาไม่รู้จะทวีตอะไร ก็เอารูปเราสองคนนี่แหละ มาทวีตไป

ผมเลือกรูปที่คิดว่าหวานกัน
แต่ไม่ดูหวานเกินไป ไม่ดูเสแสร้ง
สายตาของผมกับพี่ภู ดูมีความสุขจริง
แล้วผมก็ทวีต โดยที่ไม่ใส่ข้อความ
เสร็จแล้วก็กลับมาหยิบจอยเครื่องเล่นเกม
โฟร์มองตามแบบงงๆ “นี่มึงทำทำไมเนี่ย?” โฟร์ถาม
“กูจะบอกให้นะโฟร์” ผมกดสตาร์ท กลับมาเล่นเกมต่อ “คนที่เกลียดเราน่ะ พื้นฐานเลยมันมาจาก #ความอิจฉา มันไม่ทุกความเกลียดหรอกเว้ย แต่ก็เกือบ 100% ของเกลียดแหละ มันมาจากความอิจฉา เขาอิจฉาความสุขของเรา”

“ยิ่งเรามีความสุข
มันก็ยิ่งจุดไฟอิจฉาของเขา
พอไฟอิจฉามันเผาได้ที่ เขาก็จะเกลียด
พอเขาเกลียดจนทนไม่ไหว
เขาก็จะฟาดเอาความเกลียดใส่มาทางเรา
ยิ่งเรามีความสุขเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเกลียดเราเท่านั้น”

ผมหันไปสบตาโฟร์ “ถ้าเราเต้นตามเขา โกรธเขา ด่ากลับ เขาก็สะใจสิวะ เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือ ให้เรามีความสุขน้อยลง เขาถึงได้ฟาดไอ้คำพูดเกลียดๆใส่เรา”
“ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่า ความสุขของเรา มันทรมานอีกฝ่าย” ผมยักไหล่ กลับไปสนใจเกมบนจอต่อ “เราก็จะสุขให้มันมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น เอาให้อีกฝ่ายมันกระอักความเกลียดตายไปเลยโดยที่เราไม่ต้องด่ามันสักคำ”

“เชี่ย … กฤษ มึงเจ๋งว่ะ”
โฟร์มองผมอย่างทึ่งๆ
“กูไม่ได้เจ๋งหรอก กูมีประสบการณ์” ผมตอบ
“มึงเคยเจอแบบนี้มาแล้วเหรอวะ?” มันถาม
“เปล๊าาา” ผมตอบ “กูเคยเกลียดคนอื่นมาก่อน กูเลยรู้ว่า ที่กูเกลียดเขา เพราะกูอิจฉาเขา ตอนที่กูหยุดเกลียดเขา เพราะกูเจอความสุขในแบบของกู ก็เลยหยุดเกลียด มึงเคยได้ยินป่ะ? Learning by pain น่ะ กูเรียนรู้จากตัวกูเองนี่แหละ”
“เจ๋ง กูยอมรับ” โฟร์ยกนิ้วโป้งให้ “แต่มึงรู้ใช่ป่ะว่า มันก็อันตรายด้วย ถ้ามึงทำให้ใครเกลียดมากๆ มึงต้องยอมรับนะเว้ย ว่ามันจะมีผลข้างเคียงตามมาแน่ๆ และบางทีมันแย่นะเว้ย”
ผมหัวเราะ “กูพร้อมว่ะ บอกเลย” “อื้อหือออ” โฟร์อุทาน “มึงแม่งแน่ว่ะ เป็นกูกับพี่นนท์นะ กูเอาไปโวยวายใส่พี่นนท์เขาแล้ว” แล้วมันก็หัวเราะ​ “แต่นึกอีกที คงไม่มีหรอกว่ะ พี่นนท์แม่ง หล่อก็ไม่หล่อ อ้วนด้วย ใครมันจะมาแย่งพี่นนท์กับกูวะ”
ผมหัวเราะพลางส่ายหน้า โฟร์พูดเกินไป ผมว่าพี่นนท์แฟนของมันหล่อนะ ไม่ได้อ้วนด้วย แต่โฟร์ก็ชอบพูดแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งๆที่ตอนแรกที่เจอพี่นนท์ มันออกจะเครซี่พี่เขาจะตาย
“โวยใส่แฟนเรา มันก็ไม่มีอะไรป่ะวะ?” ผมเม้มปาก “กูกับพี่ภูมีเรื่องให้ระแวงกัน ระหองระแหงกันไปหลายทีละ นับๆดูก็ 2 ทีแล้วนะเว้ย กูไม่อยากให้มันเกิดเรื่องอีกเป็นครั้งที่สามว่ะ เหนื่อย กูก็เหนื่อย เขาก็เหนื่อย”

“กูว่า กูจะลองใช้อะไรใหม่ๆ”
ผมเปรยๆขึ้นมา โฟร์หันมาขมวดคิ้ว
“อะไรใหม่ๆของมึงคืออะไรวะ?” มันถาม
ผมยักคิ้วหนึ่งข้างใส่มัน “ #เชื่อใจ แฟนไงมึง”

“กูว่า เราไม่มีทางรู้จักใครได้ 100% ว่ะ” ผมพูดเหมือนกำลังสอนมัน “ถ้าเราคิดจะรู้จักเขาให้ครบ 100% แม่งต้องเหนื่อยมากแน่นอน และถ้าเกิดรู้จักครบ 100% แล้วบางทีถึงตอนนั้นเราคงไม่รักเขาแล้วแหละ
มันเลยมี #เชื่อใจ เกิดขึ้นมาให้เราใช้ไง
พอเราเชื่อใจเขา เราก็จะเลิกสนใจเรื่อง 100%

กูไม่อยากระแวงเขาอีกแล้ว
กูไม่อยากให้เพื่อนกูระแวงเขาด้วย”

พูดจบผมก็หันไปมองหน้าโฟร์
พูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนหน้าโฟร์หายไป
มันคงรู้ตัวแหละว่า หนึ่งในต้นเหตุ ก็คือมัน
“กู ...​ขอโทษนะเว้ยกฤษ”
“เฮ้ย ไม่เอาดิ มึงขอโทษแล้วไง แล้วไปแล้ว”

“มึง ยกโทษให้กูแล้วนะ” มันถาม
“แต่กูมีสิทธิ์เอามาพูดได้เรื่อยๆนะ” ผมแลบลิ้นใส่มึง

โฟร์หัวเราะ “เชี่ยเอ้ย กูไม่น่าพลาดเลยว่ะ”
ผมหัวเราะบ้าง “ถือว่าเป็นไพ่เหนือกว่าของกูละกัน”
โฟร์ยังคงบอกว่าผมเก่งนะที่คิดเรื่องนี้ได้ ผมไม่ได้บอกมันเองแหละว่าจริงๆแล้วผมคิดได้ก็ตอนที่ไปทำจิตบำบัดกับหมอนินเมื่อ session ที่ผ่านมา เอาเรื่องที่เขาสอนมาประยุกต์กับเรื่องนี้
เออนะ พอตัดใจคิดจะเชื่อใจเขาจริงๆ ไอ้ขั้นตอนที่ “ช่างมัน” กับข้อความนี้ มันก็ง่ายขึ้น มันเหมือนตัดความรำคาญออกไปได้เร็ว ทิ้งความเสียหายกับอารมณ์และจิตใจไม่มาก ดีแฮะ ผมชอบ

ความเชื่อใจ มันดีแบบนี้นี่เอง :)
ต่อไปนี้ ผมจะใช้มันบ่อยๆ

…………
แต่ข้อความจากมนุษย์ปริศนา
ยังคงส่งมา ไม่หยุดสักที

/หน้าด้านเนอะ ด่าแล้วก็ยังไม่รู้สึก
ถ้าตายเมื่อไหร่บอกนะ จะเอาหนังไปทำรองเท้า
หนาแบบนี้ คงทนทานดี ชอบ/
เหนื่อยไหมนะ ผมนึกสงสัย ที่เขาต้องสรรหาวิธีการมาด่าผมทุกวัน โดยที่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรนอกจากโพสท์รูปของผมกับพี่ภูตอบกลับไปบนทวิตเตอร์ เป็นสารที่สื่อว่า ผมมีความสุขดี และนั่นคืออาวุธที่ผมออกไปตอบโต้

/ enjoy while it lasts ก็แล้วกัน
คิดว่ามัน คงอีกไม่นาน /
โอ๊ะ ...​คราวนี้ มาแนวสาปแช่ง
คงอับจนหนทางหมดแล้วสินะเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า
ผมเก็บมือถือลงกระเป๋า ตอนที่รถพี่ภูแล่นเข้ามาจอดที่เวิ้งหน้าบ้าน สุดสัปดาห์นี้ แม่ผมไม่อยู่บ้าน (และผมก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าแม่ไปไหน) ส่วนพี่ภูบอกว่าไม่ต้องไปเฝ้าแม่ และไม่มีนัดกับเพื่อนๆ ผมเลยขอไปค้างที่คอนโดเขา และแทนคำตอบ พี่ภูขับรถมารับผมจากบ้านเองเลย
ระหว่างทางที่ขับรถไปบ้านเขา ผมก็เซลฟี่รูปเราสองคนลง IG และ twitter อีกรอบ แค่ผ่านไปสองช่วงไฟแดง คนก็มารีพลาย รีทวีต กดไลค์ กันเยอะแยะ ผมแอบยิ้มอย่างสะใจ เพราะหนึ่งในคนที่เห็น ต้องมีไอ้น้องคนนั้นอยู่แล้ว ..
เออ .. ผมเพิ่งรู้แฮะว่าแฟนเก่าพี่ภูเด็กกว่าเขา ที่จริงผมไม่เคยถามมาก่อนเลยว่า แฟนเก่าเขาเป็นใคร แต่เพราะในข้อความครั้งแรกที่ฮีส่งมาหาผมเรียกผมว่าพี่ ก็เลยรู้
แต่ดูจากการที่พี่ภูจีบผมแล้ว ก็ไม่แปลกหรอก พี่ภูเป็นคนที่บุคลิกอบอุ่น อ่อนโยน เป็นแฟมิลี่แมน ไม่แปลกถ้าเขาจะชอบคนที่เด็กกว่า ให้เขาดูแลได้ ผู้ชายแบบพี่ภูดึงดูดคนที่เด็กกว่าอยู่แล้วล่ะ

“ยิ้มอะไรน่ะเรา” พี่ภูหันมาถาม
ผมส่ายหน้า “เปล่าหรอกฮะ .. กฤษรักพี่ภูนะฮะ”
เขาหันมามอง ทำหน้าแปลกใจ
“วันนี้มาแนวไหนเนี่ย ทุกทีไม่ค่อยพูด จะอ้อนเหรอ?”

ผมไถลตัวจากเบาะตัวเองไปหอมแก้มพี่ภู
“ก็วันนี้อยากพูดไง รู้สึกว่าในใจมันเต็มๆ มีความสุข”

“ก็ดี พี่ชอบเวลานายอารมณ์ดีแบบนี้”
“กฤษก็ชอบตัวเองเวลาที่อารมณ์ดีแบบนี้เหมือนกันครับ”
ไฟเขียวพอดี พี่ภูออกรถไป
ผมรู้สึกได้ว่ามือถือผมในกระเป๋ากางเกงสั่น
คงเป็นข้อความเข้า อาจจะเพื่อน หรือ แฟนเก่าพี่ภู …

แต่รู้อะไรไหม? ผมไม่สนใจจริงๆ
ผมมีความสุขจริงๆแล้ว ไม่ใช่แค่ พูดว่า ตัวเองมีความสุขนะ
แต่ผมมีความสุขจริงๆ สุขที่เกิดจากการเชื่อใจ ไว้ใจคนรักนี่แหละ

………
เย็นนั้นเราสั่ง pokebowl มากินกันที่ห้อง ตอนแรกพี่ภูกะว่าจะพาผมออกไปหาอะไรกินข้างนอก แต่แค่ลำพังขามาคอนโดเขารถก็ติดจะแย่อยู่แล้ว เลยเปลี่ยนใจเป็นสั่งอาหารมากินกันดีกว่า
“เดี๋ยวพี่ล้างจานเองครับ”
พี่ภูลุกจากโต๊ะ ชิงหยิบจานไปที่อ่างล้าง

“เดี๋ยวกฤษล้างให้ดีกว่า”
ผมเกรงใจ เพราะค่าอาหารพี่ภูก็เป็นคนจ่าย
เขาหันมายิ้ม “ไม่เอาสิ นายเป็นแขกของพี่นะ พี่จะปล่อยให้แขกล้างได้ไงกันเล่า” ผมแกล้งทำหน้ามุ่ยใส่ “เป็นแขกเหรอ? ทำไมดูห่างเหินจัง กฤษไม่ได้เป็นแขกของพี่ภูสักหน่อย” แล้วผมก็ไปเกาะแขนเขา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอโทษที งั้นเป็นเมียพี่ก็ห้พี่ล้างจานแล้วกัน พ่อบ้านใจกล้าทุกคนเขาก็ล้างจานให้เมียหมดแหละ นายไปนั่งเล่นเถอะ” เขาโบกมือให้ผมออกไป แล้วก็เปิดน้ำเริ่มล้างจาน

“งั้นเดี๋ยวเราทำอะไรกันดีฮะ?” ผมถามพี่ภู
“อะไรก็ได้ นายอยากทำไรอ่ะ?”
“อยากดูหนังอะ” ผมบอก
“สงสัยต้องรอบดึกนะ ออกไปตอนนี้รถติดแน่ๆ”

“งั้น ดูจากบน netflix ไหมอ่ะครับ?” ผมเสนอ
“พี่ไมไ่ด้ subscibe netflix อ่ะครับ โทษที”

“งั้นพี่ภูมีบลูเรย์เรื่องอะไรไหมอ่ะ เอามาเปิดดูกันก็ได้”
“ไปดูในห้องพี่แล้วกัน เลือกเอาได้เลย ชอบเรื่องไหนก็หยิบมา”
ผมปล่อยให้เขาล้างจานต่อไป เดินขึ้นไปห้องนอนเขาบนชั้น 2 (คอนโดเขาเป็น duplex แบบ real duplex จริงๆ นึกออกไหม? ผมว่าแม่เขาที่ซื้อให้ต้องรวยมากๆแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย)
ในห้องพี่ภูมีชั้นหนังสือ 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นชั้นหนังสือจริงๆ แต่อีกชั้นเอาไว้เก็บแผ่นหนัง มีตั้งแต่หนังเก่าๆที่อยู่ในรูปแบบ DVD และหนังใหม่ๆที่เป็นแผ่นบลูเรย์ ผมไล่สายตาดูไปเรื่อยๆ
นี่ดูแล้ว นี่ก็ดูแล้ว นี่เคยดูแล้วเบื่อมาก อ่ะ นี่ก็ดูแล้ว ว้า ทำไมมีแต่หนังที่เคยดูแล้วเนี่ย ผมไล่ลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงชั้นล่างก็แล้ว ยังไม่เจอหนังเรื่องไหนที่น่าสนใจเลยสักนิด

อ๊ะ … นี่กล่องอะไรเนี่ย?
หรือมีแผ่นหนังอีกในกล่องนี้หรือเปล่า?
ผมหยิบลังกระดาษที่วางอยู่ชั้นล่างสุดของตู้หนังออกมา ตรงกล่องมีตัวหนังสือเขียนว่า “ของคุณ ภาวนา ให้ญาติเอากลับบ้าน” ผมเปิดกล่องออกดูโดยที่ไมไ่ด้คิดอะไร แล้วก็ลืมมารยาทไปชั่วขณะด้วยว่า นี่อาจจะเป็นของส่วนตัวที่ผมไม่ควรยุ่งก็ได้
แต่นึกออกไหม? พี่ภูเพิ่งพูดไงว่าผมเป็นเมีย แล้วมันมีอะไร มีความส่วนตัวประเภทไหนของผัว ที่เมียแตะต้องไม่ได้ด้วยเหรอ? อาจจะเพราะตอนนั้นในหัวผมคิดงี่เง่าอย่างนั้นก็ได้ เลยไม่ได้รู้สึกว่าการที่ตัวเองเปิดกล่อง เป็นการล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเขา
ผม แม่ง ... ไม่น่าเลยว่ะ
ย้อนคิดไปแล้ว มันคือวินาทีเปิดกล่องแพนโดร่านี่เอง
แต่สายไปแล้ว ...
ผมเปิดกล่อง

ในกล่องไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย มันมีกรอบรูปที่ว่างเปล่า 3 กรอบ ดอกไม้แห้งๆ 1 ช่อ สมุดบันทึก 1 เล่ม ที่บนหน้าปกสลักชื่อสถานพยาบาลแห่งหนึ่งไว้บนนั้น

ผมหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นมาเปิดอ่าน
“เขาบอกให้ฉันเขียน ฉันก็เขียน
แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่า ฉันควรจะเขียนอะไร
เบื่อ เบื่อมาก เบื่อ เบื่อ เบื่อ เบื่อ เบื่อ เบื่อ”

แล้วหน้านั้นทั้งหน้าก็มีแต่คำว่า เบื่อ อัดจนเต็ม
ผมรู้สึกแปลกๆ ไม่ใช่แปลกๆด้านดีแน่นอน ผมรู้สึกสยองนิดๆมากกว่า … คนบ้าอะไร เขียนคำว่าเบื่ออัดเต็มหน้ากระดาษ มันดูออกจะจิตๆนิดๆป่ะวะ

โอเค ผมก็เป็นคนไข้จิตเวช
แต่ไม่ใช่ … ไม่ใช่จิตเวชแบบนี้อ้ะ
ผมว่าแบบนี้มันดุ creepy ยังไงก็ไม่รู้
ลายมือนี้ไม่ใช่ลายมือพี่ภูแน่นอน มันสวยกว่าลายมือพี่ภู เป็นระเบียบมากกว่า ผมเดาว่าคงเป็นลายมือคุณภาวนา … อือ พี่ภูเขาคยอกว่า แม่เขาติดยาจนต้องบำบัดเข้าโรงพยาบาล เมื่อมองหลักฐานแวดล้อมประกอบแล้ว นี่คงเป็นสมุดบันทึกของแม่พี่ภูแน่ๆ
ผมเปิดไล่ดูไปเรื่อยๆ
บางหน้าก็เป็นรูป บางหน้าก็เป็นรอยยับ
บางหน้าก็โดนฉีกทิ้ง บางหน้าก็เปียกไปด้วยน้ำตา
ส่วนมากพูดถึงความทรมาน
และประโยคซ้อนความที่ผมอ่านแล้วงงๆ
แต่คนที่เป็นโรคจิตเวชจากยาเสพติด ... ผมว่าสมองคงโดนทำร้ายไปไม่น้อยเลยล่ะ บางทีความสามารถทางภาษาของเธออาจจะเสียไปแล้วก็ได้ เลยเขียนอะไรที่ไวยากรณ์แปลกๆแบบนี้
ผมเปิดไปเรื่อยๆ
พอหมดข้อความความทรมาน มันก็เป็นหน้าว่างๆ … ว่างยาวติดๆกันหลายหน้ามาก

ผมเปิดไล่มาเรื่อยๆ จนคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้ว แต่ในตอนที่ตัดสินใจจะปิดเก็บ ผมก็เปิดไปเจอลายมือเดิมเขียนบันทึกอีกครั้ง หลังจากเจอหน้าว่างมาเยอะติดๆกัน
“ยาหายไป 30 เม็ด
ฉันไม่ได้ใช้แน่นอน ฉันรู้ตัวดี
ฉันจำเม็ดยาได้ ฉันนับมันอยู่ทุกๆวัน

ยา หาย ไป ไหน ?

ฉันสงสัยว่าเป็นเขา
ฉันรู้เลยล่ะ ว่าเป็นฝีมือเขา
เขาเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกวัน ทุกวัน
ฉัน ไม่ เข้า ใจ

ฉันบอกทุกคนว่า เขาอันตราย ไว้ใจไม่ได้
แต่ไม่มีใครเชื่อเลย ทุกคนบอกว่าฉันเป็นบ้า
แต่ฉันไม่ได้เป็นบ้า ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่ลูกฉันแน่ๆ

เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ภู
เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ลูก ของ ฉัน”
แฮร่!!! เล่าไว้เท่านี้ก่อนนะครับ คราวหน้าวันอาทิตย์ไม่พลาดแน่นอน #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ตอนต่อไปมาวันอาทิตย์แน่ครับ ตอนนี้ปลดภาระปิดต้นฉบับออกจากบ่าไปเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและไม่ทิ้งกันนะครับ ขอโทษอีกครั้ง และขอบคุณจากใจครับ สวัสดีครับ
#ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ตอนต่อมาแล้วครับ มาล้อมวงอ่าน #พี่ภูน้องกฤษ กันต่อนะครับ
เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ภู
เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ลูก ฉัน

ผมไล่สายตาตามตัวหนังสือตรงหน้า
มันไม่มีทางที่ผมจะอ่านผิด หรือสะกดผิด
ลายมือคือลายมือเดียวกับที่เขียนตั้งแต่ต้นเล่ม ดังนั้นมันไม่ใช่ข้อความที่คนอื่นเขียนแน่นอน นี่คือข้อความที่คุณภาวนา เจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้เขียน นี่คือข้อความที่ “แม่” ของพี่ภูเขียน

เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ภู
เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ลูก ฉัน
ผมเปิดย้อนกลับไปที่หน้าแรกๆ ข้อความส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้ ไวยากรณ์จะเปะๆปะๆ เหมือนเขียนท้ายขึ้นหน้า หน้าไปต่อหลัง บางหน้าก็อย่างที่บอกถูกขยำจนยับ บางหน้ามีรอยขาด บางหน้าก็มีรอยน้ำตา
บางหน้ามีแต่คำว่า เบื่อ เต็มหน้า หรือไม่ก็มีรอยขีดปากกาวุ่นวายไม่เป็นตัวหนังสือเต็มหน้าไปหมด มันดูน่ากลัวนะ creepy พิลึก เพิ่งจะมามีข้อความหน้าหลังๆที่ผมเปิดเจอนั่นล่ะ ที่เขียนเป็นไวยากรณ์ภาษาคนหน่อย

แต่ข้อความมันที่จับใจความได้
ดันกลับน่าขนลุกกว่าเดิมเสียอีก
ผมเงี่ยหูฟัง ยังได้ยินเสียงล้างจานจากข้างล่าง พี่ภูยังคงยุ่งกับกองจานชามที่เรากินเสร็จเมื่อกี้นี้ ผมยังพอมีเวลา เก็บสมุดเล่มนี้ลงกล่องและทำเป็นเหมือนไม่ได้เปิด ไม่ได้เจอ ไม่ได้เห็น ไม่ได้อ่าน ผมวางสมุดลงกลับไปที่กล่องตั้งท่าจะปิด
แล้วถ้า …
แล้วถ้า คุณภาวนาเกิดพูดถูกล่ะ
แล้วถ้า พี่ภู ของผม ไม่ใช่ภูก ลูกชายคุณภาวนาจริงๆ

แล้ว นี่มันอะไรอ่ะ? แล้วพี่ภูเป็นใคร ?
แล้วนี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย?

หรือว่า ผมควร … อ่านต่อ?
“กฤษ เลือกได้หรือยังครับว่าจะดูเรื่องไหน?” เสียงพี่ภูดังมาจากชั้นล่างดึงสติ ผมรีบปิดกล่องและดันมันกลับเข้าไปไว้ที่เดิมทันที ทิ้งคำถามและความลังเลเมื่อกี้ให้ค้างในอากาศเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมาคว้าแผ่นบลูเรย์แผ่นแรกที่เจอแล้วรีบกลับลงไปชั้นล่าง
“ได้แล้วฮะ ดูเรื่องนี้แล้วกัน”
ผมส่งแผ่นหนังให้พี่ภู เขารับไปดูพลางขมวดคิ้ว

“หืม… ไหนว่าไม่ชอบเรื่องนี้ไง?”
ผมเพิ่งเห็นว่าแผ่นที่ผมหยิบมาให้เขาคือเรื่อง Love,Simon
เรื่องที่เขาเคยชวนผมดูแล้ว แต่ผมบอกไปว่าแค่อ่านเรื่องย่อก็ไม่อยากดูแล้ว ผมไม่ชอบอะไรที่มันโรแมนติกคอเมดี้ ไม่ว่าจะชายหญิง หรือ ชายชาย

“เอ่อ…” ผมนึกหาข้อแก้ตัว “ก็ ไหนๆก็คิดว่าจะไม่ดูแน่ๆในชีวิตนี้ ก็ดูสักครั้งกับพี่ภูแล้วกัน ใครถามจะได้บอกได้ไงว่าดูแล้ว แล้วก็ไม่ชอบ”
ผมเกาะแขนอ้อนเขา
“ดูหนังที่น่าเบื่อ แต่ถ้าดูกับแฟนมันก็โอเคนะ ใช่ไหมฮะ?”

พี่ภูหันมาหอมที่หน้าผากผมทีนึง “วันนี้อ้อนจัง มาแปลกนะเรา แต่ดีนะ พี่ชอบ ทีหลังอ้อนเยอะๆนะครับ พี่ชอบเสียงกฤษเวลาอ้อน มันน่ารักดี” เขาหยิกแก้มผมหนึ่งที แล้วก็เดินไปที่โซฟา เปิดแผ่นเล่นหนัง
ผมเดินตามไปนั่งข้างๆเขา พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยพี่ภูก็ไม่สงสัยคำโกหกของผม รอดตัวไป ทีนี้ที่ต้องทำก็คือพยายามตั้งสมาธิกับหนังตรงหน้าก่อน เอาให้ตรงนี้ผ่านไปก่อนแล้วกัน เรื่องความสงสัยอะไรนั่นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง
แล้วเราสองคนก็ดูหนัง
บอกตรงๆนะ ตลอดเรื่อง ผมไม่รู้อะไรเลย
ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวละครไหนคือตัวเอก

ตรงหน้าผมมันมีแต่ภาพสมุดบันทึกเมื่อกี้นี้ลอยไปลอยมา ข้อความแปลกๆ รอยปากกา รอยดินสอขีดๆยุ่งเหยิง รอยขยำกระดาษ รอยฉีก รอยน้ำตา และข้อความนั้น
“เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ภู
เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ลูก ฉัน”

เชี่ยเอ้ย … แม่งมีเรื่องให้คิดอีกละ แล้วคืนนี้จะนอนหลับไหมเนี่ย คิดแล้วก็หันไปมองคนข้างๆ พี่ภูดูมีความสุข ผ่อนคลาย หลังพิงโซฟาสบายๆ มือหนึ่งวางบนพนักโซฟาและมือหนึ่งก็โอบไหล่ผม สายตาจ้องอยู่ที่หนัง
ในบันทึกบอกว่า “เขาเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกวัน”
ตรงไหนของผู้ชายคนนี้กันหรือ ที่น่ากลัว
ผมไม่เห็นสักตรงเลย จริงๆนะ

“มองหน้าพี่ทำไม มีอะไรติดป่าว?”
เขาหันมาขมวดคิ้วใส่ผม

“เปล่าาาา” ผมรีบกลบเกลื่อน
“ก็แบบ พี่ภูหล่อกว่าพระเอกในเรื่องอีก”
เขาหัวเราะ “เอาอีกละ อ้อนพี่อีกละ”
ผมหัวเราะตอบบ้าง “ก็จริงนี่นา หล่อจริงๆ”

พี่ภูยักไหล่ “พี่ก็รู้ตัวบ้างอ่ะนะ ไม่อย่างนั้นนายไม่มองพี่ตาไม่วางตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันหรอก”
ผมย่นจมูกใส่ความขิงของแฟนผม “แหม พี่ภูเองก็จ้องกฤษเหมือนกันเหอะน่า เราเลิกเถียงเรื่องนี้กันไปแล้วไม่ใช่เหรอ จะกลับมาวนเรื่องนี้อีกทำไมเนี่ย”

“ปะ ดูหนังกันต่อเหอะ”
แล้วพี่ภูก็กระชับมือที่โอบไหล่ผมแน่นขึ้น
ผมหันไปมองมือนั้น …
และหันไปมองหน้า สันกราม ตา จมูก
ไม่มีสักตรงของพี่ภู ที่ดูน่ากลัวหรือน่าระแวง

เขาดูเป็นผู้ชายปกติๆคนหนึ่ง
ผู้ชายที่มีเสน่ห์ ดูอบอุ่น น่าเข้าหา
ไม่ต่างจากวันแรกที่ผมได้เจอเขาเลย
ยิ่งรู้จัก ยิ่งรู้สึกว่าเขามีแต่สิ่งดีๆมากมาย
ผมว่านะ … มีแต่คนเสียสติเท่านั้นล่ะ ที่จะมองว่าพี่ภูของผมคนนี้น่ากลัว และเพราะแม่เขาเสียสติ … งั้นผมไม่แปลกใจแล้วล่ะ ผมยักไหล่ ให้กับความสงสัยของตัวเองแล้วก็พยายามดูหนัง(ที่ผมไม่น่าจะชอบ) กับเขาต่อไป ผมหายสงสัยสนิทใจแล้วล่ะ :)

……….
ซะที่ไหนกันล่ะ …
พวกคุณคิดว่ามันง่ายเหรอ?
เวลาที่เราสงสัยอะไรเราดับความสงสัยได้ง่ายๆเหรอ?

บอกตัวเองว่า ไม่เห็นมีอะไรน่าสงสัย
แล้วก็ปล่อยผ่านมันไป แล้วสนใจเรื่องอื่น
คุณคิดว่า ในความเป็นจริง มันทำได้อย่างนั้นเหรอ?
อาจจะได้ แต่เชื่อเหอะว่ามันแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะเมื่อคืน หลังหนังจบ เข้านอน ในตอนก่อนที่ผมจะหลับตาในอ้อมกอดของพี่ภู ตาผมก็เหลือบไปมองที่ชั้นวางแผ่นหนัง … ด้านล่าง
ที่ที่ผมรู้ว่า มีกล่องนั้นวางอยู่
ที่ที่ผมรู้ว่า มีสมุดบันทึกปริศนานั้นเก็บไว้
ที่ที่ผมรู้ว่า มีข้อความแห่งความน่าสงสัยซ่อนอยู่

พี่ภูกอดผมหลับ แต่ผมน่ะกอดความสงสัย
แม้เมื่อคืนตาผมจะหลับได้ แต่ในสมองก็วุ่นวายพอควร

“เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ภู
เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ลูก ฉัน”
ตื่นเช้ามา แม้จะอาบน้ำแปรงฟัน ล้างหน้าแล้วก็เถอะ แต่ข้อความประโยคนั้นยังคงลอยคว้างอยู่ในอากาศตรงหน้า ความสงสัยยังเหมือนหมอกบางๆที่ยากจะจางจากห้วงคิดของผม
ความสงสัยนี่หลอนเสียยิ่งกว่าหลอน กำจัดยากยิ่งกว่าคราบสกปรกเสียอีกนะ ถึงจะล้างหน้าแรงๆ สระผมแล้วมันก็ไม่หายไปจากหัว ขนาดพยายามหาเหตุผลข้อเท็จจริงมาหักล้าง มันก็ยังไม่หายไปอีก
ให้ตายเหอะ เกลียดความรู้สึกแบบนี้จริงๆ วันนี้ผมควรจะมีความสุขมากสิเว้ย ผมมีแฟนหล่อ เพอร์เฟคท์ ได้นอนค้างกับเขา ตื่นเช้ามาในซีนที่แบบถ้าถ่ายรูปลง IG ทุกคนจะต้องมีแต่อิจฉา ผมควรจะดื่มด่ำกำซาบกับความสุขนี้ให้ได้ 100%
แต่เปล่าเลยเว้ย ความสงสัย มันทำให้ผมสุขกับมันได้ไม่ถึง 50% ดีด้วยซ้ำ จะสติ จะสมาธิ ข้อเท็จจริง หรือนั่งมองหน้าพี่ภูนานๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความสงสัยบ้าบอจากข้อความไม่กี่บรรทัดเมื่อวานหายไปได้เลย
ก็รู้นะว่าแม่พี่ภูเป็นโรคจิตเวช จากการใช้ยาเสพติด อาจจะมากไปจนเกินขนาดทำให้สมองโดนทำลาย ดูจากข้อความ และปกของสมุดบันทึกก็รู้ว่ามันเป็นบันทึกที่ใช้ช่วยในการบำบัดโรคจิตเวช
แน่นอนแบเบอ คุณภาวนา แม่พี่ภูเป็นโรคจิตเวชแน่นอน นั่นก็เป็นข้อความที่คนเป็นโรคจิตเขียนลงสมุดบันทึกแหละ มันก็อาจจะเกินความจริงไป

แต่การบอกว่า เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกฉัน
มันเกินกว่าการเป็นโรคจิตเวชไปหน่อยไหม?
การที่ปฏิเสธ บอกว่าลูกตัวเองไม่ใช่ลูกของเขา แปลกไปไหม?
เคยได้ยินมาว่ามันมีโรคจิตเวชชนิดหลงผิดขนาดที่จำคนในบ้านไม่ได้ จำสับสน แล้วก็ระแวงว่ามีคนอื่นปลอมมาเป็นสมาชิกในครอบครัวจ้องจะทำร้าย แต่แม่พี่ภูจะเป็นถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?
พี่ภูอยู่ในครัว กำลังทำแพนเค้กมื้อเช้าให้อยุ่ ดูสิ เห็นป่ะ? แฟนดีแบบนี้หาได้ที่ไหน? ผมเคยมีแฟนมาก่อน ไม่ปฏิเสธ ผมเสียซิงไปก่อนจะเจอพี่ภูนานพอสมควร แต่มันไม่ใช่ประเด็น ตอนนี้พี่ภูคือแฟนที่ดีที่สุดของผมตั้งแต่ที่เคยมีมา

เขาเนี่ยนะ น่ากลัว?
กลิ่นแพนเค้กหอมๆ ลอยออกมาจากครัว อีกแป๊ปพี่ภูคงยกออกมาให้กินแล้วล่ะ ผมหันไปมองรอบๆบ้าน เออว่ะ เพิ่งสังเกตได้อย่างหนึ่ง … ที่นี่ไม่มีรูปแม่พี่ภูเลย ในกล่องเมื่อคืนก็มีกรอบรูปเปล่าๆ แต่ไม่มีรูปข้างใน

มันเกี่ยวอะไรกับ …
“แพนเค้ก มาแล้วครับบบบ”
ยังไม่ทันได้จบประโยคในความคิด
พี่ภูก็ยกแพนเค้กหอมกรุ่นออกมาตัดจังหวะก่อน

“น่ากินจังฮะ”
ผมยิ้ม ลุกไปหยิบช้อนส้อมมาให้เขาและผม

“ลองชิมก่อน ค่อยชมก็ยังไม่สายนะ”
เขาหยิบน้ำผึ้งมาเทราดให้ทั้งของผมและเขา
ผมตักเข้าปากไปหนึ่งชิ้น อื้ม อร่อยไม่ต้องสงสัย มันอาจจะไม่ใช่แพนเค้กฟลัฟฟี่ที่หยุ่นๆดึ๋งๆแบบที่เดี๋ยวนี้นิยมกัน มันเป็นแพนเค้กธรรมดาๆ แต่ผมยอมแลกไม่กินฟลัฟฟี่แพนเค้กแล้วกินแพนเค้กฝีมือพี่ภูดีกว่า

“หืมมมม อร่อยมากกก”
ผมตักคำที่สองใส่ปาก เต็มคำ
“ค่อยๆกินนะ ถ้าอยากกินอีกเดี๋ยวพี่ทำเพิ่มให้”
“แค่นี้ก็เยอะแล้วฮะ แล้วมันเป็นแป้ง กฤษกลัวอ้วน”

“โอ้ยยย เด็กเอ้ย” แล้วพี่ภูก็หัวเราะ
“จะเอาอะไรไปอ้วนกันเราน่ะ อายุนิดเดียว”

“ไม่รู้ล่ะ กลัวไว้ก่อนดิ” ผมเถียง
อืม … เขาดูอารมณ์ดีอยู่นะ ถามตอนนี้ .. คงได้
“พี่ภูฮะ” ผมตัดชิ้นที่สามเข้าปาก
“ทำไมไม่มีรูปพี่ภูกับแม่ในบ้านนี้เลยล่ะฮะ?”

เหมือนใครสักคนกดนาฬิกาหยุดเวลา
พี่ภูหยุดกึก ทั้งๆที่แพนเค้กกำลังจะเข้าปากเขา
ผมรู้สึกเหมือนอากาศในห้องก็หยุดไหลด้วยซ้ำไป
เขาเงยหน้าจากจานแพนเค้กช้าๆ
วินาทีนั้น ผมนึกว่าเขาจะไม่พอใจ
แต่เปล่าเลย … เขายิ้มอ่อนๆ เหมือน เศร้าๆ

“หลังๆพี่กับแม่ห่างกันครับ”
ผมไม่แน่ใจว่านี่คือการตอบคำถามไหม?
แต่มันเป็นการดึงเราสองคนไปสู่บทสนทนาอีกเรื่องทันที
“พี่ภูบอกว่า แม่เป็น … โรคจิตเวช”
ผมเขยิบเก้าอี้ไปนั่งใกล้ๆเขา “แม่พี่ภูเป็นไงเหรอครับ?”
พี่ภูหันมามองผม วางช้อนส้อมที่กินค้างลง “ไหนๆพี่ก็เคยบอกนายไปแล้วเรื่องแม่ งั้นพี่ว่าเล่าให้หมดก็คงไม่เป็นไรหรอก” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองไปทางอื่น เหมือนค้นความทรงจำก่อนจะเริ่มเล่าให้ฟัง
“สมองแม่พี่เสื่อม เนื่องจากยาเสพติดที่เกินขนาด นอกจากเกินแล้ว มันยังมีหลายตัวอีกด้วย” น้ำเสียงที่เล่ามันไม่ได้เศร้า แต่ก็ไม่ได้ปกติ
มันเป็นน้ำเสียงที่บอกว่า เขาผ่านเรื่องนี้มาได้แล้ว แต่ไม่ได้ผ่านมาได้ด้วยดีหรอก ตอนที่ฟัง ผมสัมผัสได้ว่ามันมีแผลเป็นบางอย่างที่มองไม่เห็นบนน้ำเสียงนั้น แผลเป็นที่ไม่ชัด แต่ถ้าแตะแล้ว … มันเจ็บ
“แม่จำพี่ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ระแวงทุกคนรอบตัวไปหมด บางทีก็เขวี้ยงปาข้าวของใส่พี่ วิ่งออกไปตะโกนบอกคนข้างบ้านว่า นี่ไม่ใช่ลูกเขา หาว่าพี่เป็นคนนอกปลอมตัวมาอยู่ในบ้านเขา จ้องจะทำร้ายเขา”
เล่าถึงตรงนี้ พี่ภูมองหน้าผม “หมอบอกว่า มันเรียกว่า capgrass delusion เป็นการหลงผิดว่าคนในครอบครัว เป็นคนอื่นที่ปลอมตัวมา บางคนรักษาได้ แต่กรณีแม่พี่ที่เกิดจากสมองเสียหาย หมอบอกว่า”

เสียงเขาท้ายประโยคหายไป
คำที่เหลือค้างอยู่ในคอของพี่ภู
แต่ผมรู้ ว่าคำที่เหลือคืออะไร
ผมเอื้อมมือไปแตะไหล่เขา ได้แต่หวังว่าความรู้สึกของผม จะส่งผ่านสัมผัสระหว่างเราไปได้บ้าง ผมอยากช่วยดูดซับอดีตที่แย่ๆของเขา และเติมความรู้สึกเชิงบวกให้เขาบ้าง

“กฤษขอโทษนะฮะ ที่ถาม” ผมขอโทษ
“ไม่เป็นไรหรอก” พี่ภูส่ายหน้า “นายควรจะได้รู้สักวัน”
“แล้วตอนนี้แม่พี่ภู…?”
“แม่พักอยู่ในที่ของเขาแล้วล่ะ เป็นส่วนตัว เหมาะสม และไม่มีใครรบกวน”

“พี่ภูคิดถึง แม่ ไหมครับ?” ผมไม่ได้พูดขยายต่อว่า ผมหมายถึงแม่คนเดิมของพี่ภู แม่คนก่อนที่จะเป็นโรคจิตเวชเพราะยาเสพติด แม่คนที่เป็นแม่จริงๆ แต่ผมคิดว่าพี่ภูเข้าใจสารที่ผมอยากจะสื่อ
“คิดถึง แต่ไม่เหงาครับ”
เขาลูบหัวผม “เพราะพี่มีนายแล้วไง”

แล้วพี่ภูก็ลุกขึ้นหยิบจานออกไป
“พี่อิ่มแล้วล่ะ กฤษล่ะอิ่มหรือยัง?”
ผมพยักหน้า “อิ่มละครับ”
“งั้นเดี๋ยวอาบน้ำแต่งตัวกันเหอะ พี่จะไปส่งนายที่บ้านนะ” ผมใจแป้วเลย นี่เพิ่งเช้าวันอาทิตย์ ผมนึกว่าเราจะมีเวลาด้วยกันตลอดวันนี้อีกวันเสียอีก ทำไมพี่ภูจะส่งผมกลับบ้านแล้วอ่ะ
“เมื่อกี้นี้มีข้อความมา พี่ต้องไปดูแม่หน่อยน่ะครับ อาจจะต้องค้างกับแม่อีกหลายวันเลยด้วย” เหมือนพี่ภูจะรู้คำถามในใจผม เขาเลยหันมาอธิบายขยายความ ก่อนจะเปิดน้ำล้างจานและกระทะทอดแพนเค้ก
ผมพยักหน้ารับรู้ “กฤษ เข้าใจฮะ”​ ถึงจะผิดหวังไปบ้าง แต่นี่มันก็เรื่องในครอบครัวเขาอ่ะเนอะ แล้วนี่ก็ไม่ใช่สุดสัปดาห์สุดท้ายในชีวิตเสียหน่อย ผมกับพี่ภูยังมีเวลาด้วยกันอีกเยอะแยะ ไม่เป็นไรหรอกน่า

อีกครึ่งชั่วโมงถัดมา
เราสองคนก็พร้อมออกจากห้อง
“ลืมอะไรอีกหรือเปล่าครับเนี่ย?”
พี่ภูหันมาถามผม ก่อนจะปิดประตูล้อกห้อง

ผมนึก ….
“อุ้ย … ลืมจริงๆด้วยฮะพี่ภู”
ผมหัวเราะแหะๆ ส่วนพี่ภูหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้า

“รอแป๊ปนึงนะฮะ”
“งั้นพี่รอหน้าประตูนี่แหละ”
ผมวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนเขา หยิบของใส่กระเป๋าแล้วรีบลงมาหาพี่ภู “พร้อมละฮะ” ผมบอกเขา “ไม่ลืมอะไรแล้วนะ?” พี่ภูหัวเราะ “แน่ใจนะ คราวนี้พี่ปิดประตูจริงๆแล้วนะเว้ย” ผมรีบพยักหน้าตบกระเป๋าเป้สำทับเป็นการย้ำ “ไม่ลืมแล้วล่ะฮะ”
“ป่ะ งั้นไปกัน เดี๋ยวพี่ไปส่งบ้าน”
“ครับพี่ภู” แล้วเขาก็จูงมือผมลงลิฟท์

ระหว่างที่ลิฟท์ลงมา ผมกระชับเป้สะพายบ่า เหมือนกลัวว่าของที่อยู่ข้างใน จะดิ้นหลุดออกมา ทั้งๆที่จริงๆแล้ว มันไม่ใช่ของที่มีชีวิตอะไรเลยในกระเป๋า มีแต่เสื้อผ้า อุปกรณ์ชาร์จมือถือ เครื่องเล่นเกมส์พกพาของผม
แล้วก็ … สมุดบันทึก เล่มนั้น
เล่มนั้นแหละ สมุดบันทึก ของคุณ ภาวนา

……...
วันนี้เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ ไว้มาอ่านกันต่อพุธหน้าค่ำๆ ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม #พี่ภูน้องกฤษ นะครับ แล้วเจอกันวันพุธฮะ
ใครรออ่าน #พี่ภูน้องกฤษ #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ อยู่บ้างครับ ขอโทษด้วยที่หายไปนาน กลับมาแล้วนะครับ วันนี้เป็นตอนสุดท้ายของ season 1 และสัปดาห์หน้าเราจะต่อ season 2 เลยนะครับ (อ้าว แล้วจะแบ่งทำไม ... เดี๋ยวอ่านไปจะรู้เองครับ)
ป่ะ ... กลับมาอ่านกันต่อเหอะ
#ผมรักคุณผมฆ่าคุณ
#ILoveYouToDie season1 ต่อ 2

เชคสเปียร์เคยกล่าวไว้ใน twelfth night ว่า
“การเดินทางจบ เมื่อเราพบกับความรัก”
Well ผ่านมา 400 กว่าปี เราทุกคนคงประจักษ์ในข้อโต้แย้งนี้ไปแล้วว่า ไม่จริงเลยสักนิด การเดินทางไม่เคยจบหลังจากพบความรัก กลับกัน มันยิ่งเป็นการเดินทางที่วิบากสาหัสกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ครึ่งใจของผม เชื่อเชคสเปียร์
อีกครึ่งใจของผม แย้งเชคสเปียร์
ในหัวผมมีสองฟากอีกครา ฟากที่เชื่อ และฟากที่แย้ง
มองย้อนไปแล้ว ผมอยากให้ฟากที่เชื่อชนะสงครามกลางสมองเสียจริง มันจะได้จบไปแบบนั้น เรื่องของผมกับพี่ภู มันจะได้จบไปแบบง่ายๆ มีความสุข และกล่อมให้พวกคุณคนอ่านหลับฝันดี พร้อมกับความคิดว่า รักแท้แค่เชื่อใจกัน
แต่มันไม่ใช่ไง …
การเดินทางมันวิบากขึ้น เมื่อพบความรัก
แท้จริงแล้ว #ความเชื่อใจ มันคือวงกตที่ลวงให้เราหลงทางต่างหาก
ในความรักน่ะ ..
เราควรระแวงไว้ตลอดต่างหาก
ชีวิต เรา ถึง จะ ปลอด ภัย

จำคำผมไว้นะ
ระแวงไว้ตลอดเวลา
ตั้งคำถามไว้ตลอดเวลา
เอาล่ะ เรื่องเล่าองก์ที่1 มันกำลังจะปิดฉากลงในตอนนี้ ที่จริงมันไม่เชิงจบไปแบบนั้นหรอก เอาเป็นว่า ตอนนี้ วันนี้ ผมจะปิดองก์ให้จบในส่วนของผมแล้วกัน เฉพาะส่วนของผม นะ …
ครั้งที่แล้วมันถึงไหนนะ …?
อ๋อ ใช่ ลงลิฟท์ แล้วมีสมุดบันทึกในกระเป๋า
เอาล่ะ And then , what happened ?

…….
เราลงลิฟท์มาพร้อมกัน
ผม พี่ภู และ สมุดบันทึกของคุณภาวนา
ผมรู้สึกเหมือนมีระเบิดที่หนักอึ้งอยู่ในกระเป๋า

นี่ผมกำลังวนลูป เชื่อใจ - ไม่เชื่อใจ อีกรอบหรือเปล่า?
นั่นคือคำถามที่ถามตัวเอง ระหว่างที่ลิฟท์ลงมาที่ชั้นจอดรถ
ผมรู้ว่าข้อความข้างในมันไร้สาระ ข้อความของหญิงที่จิตวิปลาส สมองโดนทำลายจากยาเสพติด แต่ไม่รู้สิ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างบอกผมว่า ในข้อความนั้น มันมีอะไรมากกว่า … แค่ความวิกลจริต

ผมได้กลิ่นความลับ
ผมรู้สึกได้ถึงความลับ
ผมคิดว่ามันน่าจะมีความลับ
เคยได้ยินจากไหนหนังสักเรื่อง ว่าถ้ามันดูเหมือน , ถ้ากลิ่นมันเหมือน , ถ้ารู้สึกว่ามันเหมือน นั่นแหละ มันเป็นตามที่เราสงสัย ผมว่ามันมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ มากกว่าที่พี่ภูเล่าให้ฟัง
ผมเหลือบตามองพี่ภูที่ยืนข้างๆ ระหว่างทางลงลิฟท์ เขาฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี เมื่อกี้นี้พี่ภูบอกว่า เดี๋ยวต้องไปหาแม่ … คุณภาวนา เจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้

คนที่เขียนว่า
เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ภู
เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ลูก ฉัน
ถ้าตั้งต้นที่หญิงคนนี้บ้า
คนเราจะบ้าได้ถึงขนาดไหนกันนะ?
สมองคนเราจะผิดปกติได้สุดทางขนาดไหน
ถึงจะสับสนและปฏิเสธว่าลูกตัวเองเป็นคนอื่นไปได้

มันเป็นไปได้จริงเหรอ?
แล้วถ้าเรื่องที่คุณภาวนาเขียนเป็นจริง
แล้วคนคนนี้ พี่ภูคนนี้ … เป็นใครกันล่ะ ?
คอผมแห้งผาก น้ำลายพานจะกลืนไม่ลง ตอนที่นึกถึงตัวอักษรที่เขียนประโยคสั้นๆนั้นในสมุดบันทึก ผมไม่รู้ว่าคนวิกลจริต จะเขียนหนังสือด้วยไวยากรณ์ที่ถูกต้องได้ไหม หรือหน้าตาตัวอักษรจะเป็นยังไง
แต่ผมสัมผัสได้ถึงความกลัวที่อัดแน่นในประโยคสองประโยคนั้น ตอนที่คุณภาวนาเขียน มันคงต้องมาจากอารมณ์ที่อัดแน่นที่สุดก่อนจะกลั่นออกมาเป็นตัวอักษร 13 พยางค์

สองประโยคนั้น …
มันถูกเขียนด้วย #ไวยากรณ์แห่งความกลัว
ชัดเจนมาก ว่าคุณภาวนา … กลัว พี่ ภู คน นี้
“ใจลอยเชียว คิดอะไรน่ะเรา?”
ประตูลิฟท์เปิดพอดีตอนที่พี่ภูหันมาถามผม

“ไม่มีอะไรหรอกฮะ แค่เสียดายน่ะ ที่ไม่ได้ใช้เวลากับพี่ภู” ผมรีบปั้นเรื่องหันไปตอบด้วยสีหน้าปกติ เคยบอกแล้วนี่ ผมแสดงเก่ง

“มา พี่ถือกระเป๋าเป้ให้”
“ไม่ต้องหรอกฮะ มันเบาๆน่ะ กฤษถือเองได้”
เขาเปิดประตูรถให้อย่างเคย ผมก้าวขึ้นไปบนรถ ดึงประตูปิดตามมา เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว ค่อยเปิดดูสมุดเล่มนั้นแล้วกัน ผมอาจจะเปิดข้ามไปหลายหน้า บางทีในนั้นอาจจะมีอะไรเพิ่มเติมอีก
“อ่ะนี่ เอาไว้กินกลางวัน” พี่ภูยื่นกล่องใส่อาหารให้ “พี่ทำให้เราตะกี้นี้น่ะ ชดเชยที่พี่อยู่ด้วยทั้งวันไม่ได้นะครับ” แล้วพี่ภูก็หอมที่หน้าผากผมหนึ่งที ก่อนจะลูบหัวผม
ความอบอุ่นจากมือเขา มันแทรกผ่านทางสัมผัส ซึมเข้าสู่ใจของผม พร้อมๆกับคำถามว่า คุ้มไหม ?
คุ้มไหม ? ที่จะค้นสมุดบันทึก แล้วได้ข้อมูลเล็กๆน้อยๆ ข้อมูลที่ไม่ได้มากพอที่จะเอามาต่อกันเป็นเรื่อง ข้อมูลที่มากที่สุดก็ทำได้แค่ทำให้ผมคันๆ สงสัยๆ ตะขิดตะขวงในใจ แล้วก็ไม่มีคำตอบอะไรที่มากกว่านั้น ข้อมูลที่ทำให้ผมยิ่งกระหายอยากรู้เพิ่มอีก
คุ้มไหม ? ที่จะแลก กับความสุขตอนนี้
ความสุขที่จะอยู่กับผู้ชายคนนี้
ความสุขของการที่ไม่ระแวง

คุ้มไหม? ผมสงสัย
เอาความสุข แลกกับ ความอยากรู้
แถมเป็นเรื่องของ ครอบครัวคนอื่นด้วย
เผื่อสนองนิสัยความอยากเผือกของผมนี่น่ะนะ
เรื่องของเขากับแม่ ก็สายสัมพันธ์หนึ่ง
แต่เรื่องของเขากับผม ก็อีกสายไม่ใช่เหรอ?
ผมควรจะเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องนี้ด้วยเหรอ?

ไม่ใช่ความสุขกับผู้ชายคนนี้หรอกหรือที่ผมต้องการ แล้วผมจะเอาสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข ไปแลกกับสิ่งที่ทำให้ผมคันคะเยอ อยากรู้นู่นรู้นี่เพิ่มเติมเหรอ?
ตอนนี้ผมค้างอยู่ตรงทางแยกแล้วล่ะ
ไม่มีทางที่สาม มีแค่สองทางเท่านั้น

หนึ่ง ไปต่อ ค้นให้สุด หยุดที่ความสงสัย
สองหยุดแค่นี้ แล้วเอนจอยกับความสุขที่มี
หยุดตอนนี้ยังทันนะเว้ยกฤษ ถ้าหยุดแล้วอีกเดี๋ยวก็ลืม ก็หายคัน แล้วก็มีความสุขกับพี่ภูต่อได้ แต่ถ้าไม่หยุดตอนนี้ แล้วกลับบ้านไปเปิดสมุดบันทึกต่อ มันมีแต่จะคันอยากรู้เพิ่มขึ้น มีแต่จะเกาเพิ่มขึ้น และสุดท้าย มันก็จะกลายเป็นแผลอักเสบ …
เพิ่งจะเทศนาสอนไอ้โฟร์มันหยกๆเรื่องความเชื่อใจ ไม่ทันไร ผมกลับทำทุกอย่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองสอนเพื่อนไปเนี่ยนะ … ไอ้กฤษเอ้ยยย มึงนี่นา

“พี่ภูครับ เดี๋ยวฮะ !”
มือพี่ภูกำลังจะเข้าเกียร์อยู่แล้วตอนที่ผมโพล่งขึ้นมา
“กฤษ ลืมของอีกแล้วอ่ะ ของสำคัญด้วย” ผมยิ้มแหยๆ พี่ภูหัวเราะและส่ายหน้า “เรานี่น้าาาา อ่ะ นี่” แล้วเขาก็ยื่นกุญแจ กับคีย์การ์ดให้ “ชุดสำรอง พี่กะจะให้นายอยู่แล้วแหละ ทีหลังเวลามาห้องพี่จะได้เปิดขึ้นไปหาข้างบนได้เลย ไม่ต้องให้พี่ลงมารับ”
ผมรับกุญแจและคีย์การ์ดสำรองมาจากเขา
“ขอบคุณฮะพี่ภู” นี่มันเกิดกว่าที่ผมจะคาดไว้

“พี่จอดรออยู่ตรงนี้นะ นายขึ้นไปเอาของคนเดียวได้ใช่ไหม?”
ว่าแล้วพี่ภูก็เปิดเพลงในรถ หยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดเล่นเกมส์ ผมพยักหน้า

“ครับ รับรองไม่นานฮะ”
แล้วผมก็ออกจากรถ ขึ้นลิฟท์กลับขึ้นไป
บางครั้งนะ #ความเชื่อใจ มันซื้อได้
บางครั้งนะ #ผีแห่งความระแวง มันไล่ได้
ด้วยไอเท็มง่ายๆ อย่าง #กุญแจคอนโด นี่ล่ะ
มันไม่ใช่แค่กุญแจคอนโด แต่มันคือ บัตรผ่านสู่ทุกสิ่งของเขา มันเหมือนบัตรเชิญให้ผมเข้ามาอยู่โลกใบเดียวกับเขา โลกที่เรียกว่า “โลกส่วนตัวของพี่ภู” ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกลายเป็นประชากรของโลกนั้นไปแล้ว

ระหว่างทางที่ลิฟท์ขึ้นไปห้องเขา
ผมเปิดกระเป๋าสบตากับสมุดบันทึกเล่มนั้น
มีสักกี่ครั้งกันในความสัมพันธ์
ที่แฟนยอมให้กุญแจคอนโดกับคุณ
ยอมให้คุณมาหาตอนไหนก็ได้
เปิดพื้นที่ส่วนตัวให้คุณเต็มที่

สำหรับผม นี่คือครั้งแรก

และมันมีราคาสูงมากพอ ... มากพอที่จะซื้อ ความเชื่อใจ และปลดล้อกความหวาดระแวงทั้งหมดที่เกาะกุมใจผม
“เราไม่มีธุระอะไรต่อกันแล้วนะ”

ผมพูดเบาๆ ไม่ได้เจาะจงว่าหมายถึงสมุดเล่มนี้ .. หรือหมายถึงคุณภาวนา

ข้อความที่คุณเขียนมา มันจะตราในความทรงจำผม ใช่ … แต่มันจะไม่สั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ภูอีกต่อไป
มันจะไม่ทำให้ผมอยากรู้
มันจะไม่ทำให้ผมระแวง สงสัย
นั่นล่ะที่ผมบอกว่า เราไม่มีธุระต่อกันแล้วนะ

ผมรุ้สึกเหมือนเป็นคนใหม่
ผมรู้สึกเหมือนใจมันเต็มขึ้นมาจนฟู
ผมรู้ว่าสิ่งที่เข้ามาเติมมันคืออะไร … ความเชื่อใจไงล่ะ
การเดินทางไม่ได้จบ ตอนที่เราพบความรัก แต่เขาวงกดมันจบสิ้น ตอนที่เราพบกับ #ความเชื่อใจ
ลิฟท์หยุดที่ชั้นห้องพี่ภู
ผมหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูห้องเขา
แล้วก็เอาสมุดบันทึกเล่มนั้น … กลับไปไว้ที่เดิมของมัน

………..
ตัวเลข reply และ retweet ตรงข้อความทวิตนี้มันเยอะจนทำให้ผมหยุดอ่านทวีตของน้องกฤษ

ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นที่กฤษเล่าเรื่องระหว่างเขากับภูก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรม มันก็มีคนรีพลายบ้าง รีทวีตบ้างประปราย แต่ตัวเลขรีทวีตมันจะไปเยอะที่ต้นเธรด ตอนต้นของเรื่องเล่าทั้งหมดนี่
แต่ทำไม ทวีตนี้ มันมีคนรีเยอะจัง เยอะจนผมต้องหยุดอ่าน และกดเข้าไปดู ว่ามันมีอะไรหรือเปล่า ทำไมคนรีอันนี้กันเยอะแยะ หรือมันมีอะไรแตกต่อไปอีกด้านไหม
/ เฮ้ยๆ มีใครรู้ timeline ของ #พี่ภูน้องกฤษ บ้างวะ? เหตุการณ์มันคุ้นๆ เหมือนในอีกทวิตนึงเลยอ่ะ /

นี่คือ รีพลายแรก
ผมกดอ่านตามลงมาเรื่อยๆ
/ หมายถึงแอคนั้นป่ะ? เออ คล้ายจริงนะ เรารู้ว่า กฤษมาเล่าเรื่องย้อนหลังตั้งแต่ต้น เรื่องที่เล่ามันเกิดขึ้นมาก่อนแล้วเป็นสัปดาห์ ไม่ก็เป็นเดือนแล้ว เราว่ามันเข้ากันได้กับทวิตนั้นว่ะ /

/ หมายความว่าไงอ่ะ ตามไม่ทัน ช่วยอธิบายที /

/ นี่ก็ตามไม่ทัน รอส่วนบุญใครก็ได้มาอธิบายที /
ความอยากรู้ของผมทวีขึ้นตามลำดับที่ไล่อ่านลงมา

/ คือมันมีแอคนึง เล่าเรื่องเขากับแฟนขี้สงสัย ทีแรกอ่านก็ไม่ไรหรอก แต่มันมีตอนที่ว่าด้วยเรื่อง แฟนเขาเอาสมุดบันทึกของแม่กลับมาคืนที่ห้อง มันตรงกับเรื่องของ #พี่ภูน้องกฤษ พอดี เลยคิดว่าแอคที่เล่าเรื่องนี้ น่าจะเป็นแอคของภู /
นั่นไงล่ะ ...
/ เคยอ่าน เราว่ามันออกจิตๆว่ะ น่ากลัว หลังๆเลยไม่ได้อ่าน /

/ เหยดดดดด คนรีเยอะมาก สัส /

/ ชี้เป้าหน่อยยยยยย บอกบุญพลีสสสสส นี่อยากเผือกมากกกก /
ผมกวาดตาลงมา ข้างล่างนั้น มีคนทวีตลิงค์ไปสู่แอคเคาท์ที่ว่า …

ผมพักสายตาจากหน้าจอ เอานิ้วมือนวดเบาๆบนเปลือกตากับหัวตา รู้สึกว่าจ้องหน้าจอคอมนานไปจนตาแห้งไปหมดแล้ว
ผมพับหน้าจอคอมปิด แล้วลุกขึ้นไปหยิบน้ำตาเทียมมาหยอด บรรเทาอาการตาแห้ง นี่ผมนั่งอยู่หน้าคอม อ่านทวีตของน้องกฤษ คนไข้ของผมมานานเท่าไหร่แล้วนะ … น้องกฤษ น้องภู เด็กสองคนที่ผมรู้จัก ที่จากโลกนี้ไปแล้วทั้งคู่
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้
ผมชินกับความตายของคนใกล้ตัวอยู่แล้ว
แต่ ไม่ ใช่ ฆ่า กัน ตาย แบบ สอง คน นี้ …

เด็กชาย สองคน ที่รักกัน
เด็กชาย สองคน ที่เคยสดใส
กลายเป็น เด็กชาย สองคน ที่ฆ่ากัน
ผมเดินเข้าห้องน้ำ วักน้ำเย็นๆลูบหน้า มันเป็นหน้าที่ของจิตแพทย์ ที่จะเห็นอกเห็นใจคนไข้ แต่มันเกินความสามารถของเราเกินไปที่จะ “เข้าใจ” ในทุกความคิดของคนรอบตัว
ความเข้าใจมันเป็นสมบัติส่วนบุคคล จะให้คนเข้าใจเราทั้งหมดมันไม่ได้ และเราก็ไม่สามารถเข้าใจคนอื่นได้ทั้งหมด 100% ได้เช่นเดียวกัน เราทำได้เพียงเห็นใจ และศึกษา
ผมเดินกลับมาที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ เปิดหน้าจอกลับขึ้นมา ปกติแล้วผมเป็นคนค่อนข้างปล่อยวางอะไรง่ายมากนะ เพราะผมขี้เกียจ พูดตรงๆเลย พออะไรต้องใช้ความพยายามเยอะหน่อย ผมปล่อยวางทันที
แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ …
ผมกลับมาที่ทวีตนั้นของน้องกฤษ
ทวีตที่มีคน reply และแปะลิงค์นำไปสู่อีกแอคเคานท์

เอาล่ะ … ผมจะพักจากการอ่านทวีตน้องกฤษไปก่อน
ผมจะลองไปอ่านอีกแอคเคานท์ดูแล้วกัน
แอค ที่คนเริ่มคิดว่า … เป็นของภู

ผมกดดู … แล้ว retweet มัน

…….
จบ season 1

ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ นะครับ แต่ #พี่ภูน้องกฤษ ยังไม่จบครับ สัปดาห์หน้าจะมาต่อ season 2 ทันที แต่จะเป็นเรื่องเล่าจากอีกฟากหนึ่งแล้ว จากแอคเคาน์ลึกลับที่คนเริ่มปักใจว่าเป็นของพี่ภู

จะหลอน จะจิตขนาดไหน
รอตามอ่านนะครับ
สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ :)
#ILoveYouToDie
#ผมรักคุณผมฆ่าคุณ
season 2 Pilot มาแล้วครับ

ครั้งที่แล้ว จบ season 1 ไปที่หมอนินหยุดอ่านทวิตของน้องกฤษ และไปคลิกรีทวีต และกำลังจะอ่านแอคเคานท์ลึกลับอีกอันที่คนสงสัยว่า คล้ายพี่ภูใช่ไหมครับ วันนี้เราจะอ่านทวิตนั้นไปพร้อมๆกับหมอนินครับ พร้อมเนอะ ไปกัน
เด็กน้อยของผมนี่น้า ..
ซุกซนจริงๆ อยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน
ดูสิ อยากรู้ในสิ่งที่ไม่ควรไปยุ่ง ไม่น่าเล้ยยย

นี่ดีนะ โขคของผมยังดี
ที่เขาเอาสมุดบันทึกเล่มนั้นไปเก็บที่เดิม
ผมไม่ต้องการให้ความระแวง มากั้นเราสองคน
ผมมองดูภาพจากกล้องวงจรปิด
เด็กน้อยของผม กลับเข้าไปในห้องนอน
เปิดกล่องลับใบนั้น และวางสมุดกลับไปที่เดิม

ผมยิ้ม ... น่ารักมาก เด็กน้อย
เป็นเด็กดี ว่าง่าย เชื่อใจพี่แบบนี้ล่ะ ดีแล้ว
เชื่อพี่นะ พี่รักนาย พี่ต้องการนาย เด็กน้อยของพี่
ผมปิดภาพจากกล้องวงจรปิดจากห้องนอนที่แสดงบนมือถือ เด็กน้อยของผมไม่รู้หรอกว่าผมซ่อนกล้องไว้เต็มบ้าน แม้กระทั่งในห้องน้ำ ไม่อย่างนั้นผมจะรู้เหรอว่า นังแม่จิตวิปลาสของผมทำระยำอะไร ซ่อนยาไว้ตรงไหน จดบันทึกอะไร
แต่เด็กน้อยไม่จำเป็นต้องรู้
เพราะเด็กน้อยต้องเชื่อใจผม
นั่นคือหน้าที่ของเด็กน้อย .. เชื่อ ใจ ผม

เพราะ “ร่าง” ที่เต็มไปด้วยความเชื่อใจ
มันดีกว่า “ร่าง” ที่เต็มไปด้วยความระแวง
ติ๊ง ....

เสียงข้อความเข้ามาในมือถือ
/ ขอเข้าห้องน้ำแป๊ปนะฮะ พอดีปวดหนัก /

ผมยิ้ม เด็กเอ๋ยเด็กน้อย น่าเอ็นดูจริงๆ
/ ไม่เป็นไร พี่นั่งเล่นเกมส์รอได้ครับ / ผมพิมพ์ตอบ
ผมเปิดกล้องในห้องน้ำดู เขานั่งส้วมจริง แล้วก็เล่นมือถือตามประสาเด็ก ผมรู้สึกว่ามุมปากยกเป็นรอยยิ้มจางๆ พักหลังๆนี้ ผมว่าผมเองยิ้มโดยไม่รู้ตัวหลายครั้งนะ เด็กน้อยของผมทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นจริงๆ
ดีกว่า เด็กคนอื่นๆ ที่ผ่านๆมาเยอะ ...
เด็กคนอื่นๆ ที่ไม่ยอมเชื่อผม
เด็กคนอื่นๆ ที่ขัดคำสั่งผม
เด็กคนอื่นๆ ที่ใช้ไม่ได้

พวกเด็กไม่น่ารัก
พวกเด็กที่ไม่ผ่านมาตรฐาน
พวกเขาเป็น “ร่าง” ที่ใช้ไม่ได้
ไม่เหมือนคนนี้ ...
“ร่าง” ที่ผ่านทุกอย่าง
“ร่าง” ที่พร้อมสำหรับขั้นถัดไป
“ร่าง” ที่ “เสียง” ตรงกับสิ่งที่ผมตามหา

ผมปิดภาพจากกล้องในห้องน้ำ แล้วเปิดคลิปวิดีโอจากกล้องในห้องนอนที่ผมตั้งอัดไว้ วีดีโอตอนที่เราสองคนกำลังเล่นรักอย่างร้อนแรงสนุกสนาน
ผมใช้คำว่าเล่นรัก มันฟังดูมีอุณหภูมิมากกว่า sex และผมก็รักน้องเขาจริงๆ ถ้าจะให้พูดนะ ดังนั้นการใช้คำว่าเล่นรัก มันก็ถูกอยู่แล้ว รู้อะไรไหม? หลังจากผ่านจุดตรงนี้ไปได้ ... ผมจะรักน้องเขามากกว่านี้อีก
ผมเสียบหูฟังเข้ากับโทรศัพท์ เร่งเสียงจากคลิป หลับตาลง เอนพนักพิงนอน ฟังเสียงเด็กน้อยของผมครวญครางอย่างมีความสุขภายใต้ร่างกายของผม เสียงมันชวนให้อุณหภูมิกายเพิ่มขึ้น และชวนให้บางอย่างข้างล่างผมนั่น ... มีปฏิกริยา
ผมไม่ได้อยากดูฉากนั้น
ผมไม่ได้อยากเห็นร่างเปลือยของเขา
ผม แค่ อยาก ได้ ยิน เสียง ของ เขา เท่า นั้น

ผมรัก “เสียง” นี้ของเขาจริงๆ
ผมรัก “เสียง” นี้มานานแล้ว
มันเป็น "เสียง" ที่ผมรู้จักมานาน

ผมรัก “เสียง” นี้
ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงนี้
จาก ปาก ของ น้อง เขา เสีย อีก ...
มันเป็นเสียงที่ผมตามหามาตลอด เสียงที่ผมเฝ้าตามหา เสียงที่ดังอยู่ในหัวผมมาช้านาน เสียงที่มีแต่ผมเท่านั้นที่ได้ยิน เสียงเดียวในโลกนี้ ... ที่เข้าใจผม อยู่ข้างผม ช่วยเหลือผมให้ผ่านวันแย่ๆมาได้ ...
“เสียง” ... ที่รอให้ผมปลดปล่อย
“เสียง” ... ที่รอคอยการออกมาสู่โลกนี้
“รอแป๊ปนะ ... ผมเจอร่างสำหรับคุณแล้ว”
แล้วผมก็หลับตาพริ้ม ฟังเสียงครางในคลิปต่อไป ...

…..
ตกเย็น ...

ผมส่งน้องเขากลับบ้านไปแล้วเมื่อสาย
เด็กดีของผมเดินกลับเข้าบ้านอย่างว่าง่าย
ดีแล้ว เด็กน้อย เชื่อฟังพี่แบบนี้แหละ อย่างอแง

พี่ มี เรื่อง ต้อง ทำ
พี่ มี ธุ ระ ต้อง จัด การ
เรื่อง ที่ นาย ไม่ จำ เป็น ต้อง รู้
ผมจะไม่เล่าหรอกนะ ว่าวันนั้น ผมทำธุระอะไรบ้าง มันไม่ใช่กิจที่ผมจะเล่าผ่านช่องทางนี้ เอาเป็นว่าเมื่อหมดวัน และผมกลับมาถึงคอนโดแล้ว ผมแทบจะหมดแรง ทำได้เพียงถอดเสื้อผ้า แล้วคลานขึ้นเตียง
วันนี้ “เสียง” เงียบไป
วันนี้ “เสียง” ไม่ค่อยคุยกับผมเท่าไหร่
แต่ผมรู้ว่า “เสียง” ยังอยู่กับผม ไม่ได้ไปไหน

ไม่เป็นไร ผมเปิดมือถือ เปิดคลิปเดิม
เสียบหูฟัง และเล่นมันต่อไป
ผมเหมือนคนเสพติดเสียง
และคุณรู้ใช่ไหม? นิยามของการเสพติด คือต้องการ และต้องการมากขึ้น เรื่อยๆ ทีแรกผมต้องการแค่เสียง แต่ในไม่ช้า ผมก็รู้ว่า ผมต้องการมากกว่านั้น และ “เขา” ที่อยู่ใน “เสียง” ก็ต้องการมากกว่านั้นเหมือนกัน
ผมและเขา ต่างเสพติดกันและกัน
ผมต้องการเขา เขาต้องการผม
และคนที่ต้องลงมือทำให้มันเกิดขึ้น
คือ ผม เท่า นั้น

และ ผม กำลัง ทด ลอง อยู่
ก่อนหน้าที่จะเป็นน้องคนนี้ ผมผ่านมาแล้ว สองสามคน
มันเป็นสองสามคนที่ ผมไม่ค่อยอยากจะจำนัก

โดย เฉพาะ กับ คน แรก ...
คน ที่ ผม ฝาก ความ หวัง ไว้ เยอะ
เขาไม่ใช่แฟนคนแรกของผมหรอกนะ แฟนคนแรกของผมเป็นอีกคนหนึ่งแต่เพราะ “เสียง” เขาไม่ใช่ “ร่าง”เขาก็เลยไม่ใช่ด้วย แม้จะดีกับผมขนาดไหน แต่พวกคุณรู้ใช่ไหม ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่
“ร่างแรก” เป็นคนแรกที่ผมพบว่า “เสียง” ของเขาใช่ เสียงของเขาเข้ากันได้กับสิ่งที่ผมตามหา ผมไม่รอช้า รีบทำตามแผนการที่สร้างอยู่ในหัวผมมานานแล้ว แต่ ...

มันเป็นความล้มเหลวว่ะ
ผมคง #ปลดปล่อย เขาผิดวิธี
หรือไม่อย่างนั้น เขาก็แค่ ร่าง ... ที่ไม่ใช่
"คุณ" เลยข้ามมาที่โลกฝั่งนี้ไม่ได้ ...
ทันทีที่ร่างของเขาสิ้นลมหายใจ ... ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันได้ผล แค่ให้ยาเกินขนาดไปแค่นั้นเอง ยาของนังแม่จิตวิปลาสนั่นมันคงเกรดดีจัด เข้มข้นถึงใจ ผมว่านะ เด็กนั่นเลยขึ้นสวรรค์ไปพร้อมๆตอนที่เมายาน้ำแตก
คงเพราะว่าเขาติดยา
“ร่าง” นั้นเลยใช้การไม่ได้
ขั้นตอนการปลดปล่อย จึงไม่สำเร็จ
ผมพาคุณมาสู่โลกฟากนี้ไม่ได้ ... ผมขอโทษ

หลังจากความล้มเหลว ทุกอย่างสมูธเกินคาด แม้จะมีคนที่ต้องกลับดาว แต่พ่อแม่เขาไม่ติดใจห่าอะไรสักอย่าง ก็นะ ลูกชายติดยา ก็ต้องกลับดาวด้วยวิถีของคนติดยานั่นแหละ
แต่ไม่มีคนรู้หรอกว่ายามาจากไหน และยามาจากมือใคร ไม่มีใครคิดจะถามหรือสงสัยผมด้วยซ้ำ ผมผละจากนั้นมาได้ง่ายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

you know ? like get away with murder
คนถัดมา ...

มันดื้อเกินไป อยากรู้ อยากเห็น ไม่ต่างกับน้องคนปัจจุบันของผมเลย แย่กว่าตรงที่ไม่รู้จักพัฒนาจิตสำนึกแห่งการเชื่อใจ บ้าบอมาก อยากรู้นู่น อยากรู้นี้ จนผมยอดถอดใจ ถอยออกมา แต่สลัดแล้วแม่งก็ไม่ยอมปล่อย จนต้องตัดการติดต่อกับมันทุกทาง
มันหลงผมจนเกินกว่าที่คิดไว้
นี่ก็นับเป็น another failure อีกครั้งของผม

ฉิบหาย กู
ผมกลายเป็นเกลียดมันเข้าไส้ไปเลย นี่พอมาคบกับน้องคนนี้ คนปัจจุบัน เด็กดีตัวน้อยของผม มันยังตามมารังควานบ้าบออีก ให้ตายเถอะ ผมต้องเตือนตัวเองหลายครั้งไม่ให้เผลอจัดการอะไรมันลงไป ผมไม่อยากได้ความล้มเหลวเพิ่ม
แต่ถ้าต้องทำ ผมก็ทำได้

ผมไม่เสียดายนะ แม้เสียงเขาจะใช่
แต่ถ้าอยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุข
ผมไม่เอาดีกว่า

เด็กดื้อบางคนนะ แค่จับมาตีก้น ด่าสั่งสอน ผมว่ายังเสียมือ เสียเวลา เสียปาก ควรปล่อยให้มันไปห่าแตกในทางของมันไปเหอะ สมสู่กับหมาหรือคนในชนชั้นเดียวกันไป ผมไม่อยากรับรู้แล้ว
เอาจริงๆ ในชีวิตนี้ ก็มีแต่แฟนคนแรกของผมเท่านั้นล่ะ ที่ยังรู้จักและอยู่ในชีวิตของกันและกัน เขาดีเสียจนผมรู้สึกผิดที่ต้องเลิกกับเขา

แต่มันช่วยไม่ได้นะ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่
และผมมีหน้าที่ต้องทำ

ผมมี “เสียง”นั้นที่ผมต้องรับผิดชอบ
ผมมี​ “เสียง” นั้น ที่รอให้ผมปลดปล่อย
และคราวนี้ ... ผมมีร่างที่เหมาะสมแล้ว

คราวนี้ มันจะไม่ล้มเหลว
“ร่าง” ที่เต็มไปด้วยความเชื่อใจ
“ร่าง” ที่สะอาดปราศจากยาเสพติด

“ร่าง” นี้แหละ ที่ “เสียง” ใช่
“ร่าง” ที่พร้อมแล้วสำหรับขั้นถัดไป
“ร่าง” ที่จะ #ปลดปล่อย คุณออกมาได้
ผมฟังเสียงเด็กน้อยในคลิป ...
ผสมกับการสัมผัสตัวเองด้านล่าง

ทันทีที่จินตนาการถึงการ #ปลดปล่อย คุณ
ทันทีที่คิดถึงการพาคุณ มาสู่โลกฟากนี้ ...
ผมถึงจุดสูงสุดของอารมณ์

ผมแฉะ ผมสุขสม
“เอาล่ะ เด็กดีของพี่”

ผมมองผ่านหยาดมุกมณีที่ติดบนมือของผมไปที่ภาพของเด็กน้อยในคลิป ที่นอนกอดผมหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมบนเตียง

เขาช่างเหมาะกับคำว่าเด็กดีจริงๆ น่ารัก เชื่อฟัง และเชื่อใจ ไร้ตะเข็บริ้วรอยแห่งความระแวง
“อีกไม่กี่วันนี้ พี่ต้องให้นายช่วยแล้วล่ะ”
แล้วผมก็ยิ้มอย่างมีความสุข

พี่ ต้อง การ ร่าง ของ นาย

…….
ตอนแรก pilot ของ #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ season 2 จบแล้วนะครับ มาตามอ่าน #พี่ภูน้องกฤษ ตอนถัดๆไปได้วันอาทิตย์นี้นะครับ เอ๊ะ .. พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าเรื่องนี้มันจะแนว Psycho Thriller นะครับ อาจจะดาร์คแบบจิตๆไปนิด แต่รับรองว่ามีทวิสต์จนเหวอแน่ๆ
ขอบคุณทุกการติดตามนะครับ แล้วเจอกันอีกทีวันอาทิตย์ค่ำๆ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
มีใครรอ #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ อยู่บ้างครับ อาทิตย์ค่ำๆ มาแล้วตามสัญญาฮะ มาอ่านต่อกันดีกว่า ว่าทวิตลึกลับนั้น จะเล่าอะไรชวนหลอนต่อไป
ประตูห้อง ICU เปิดผางออก
แพทย์เจ้าของไข้เดินออกมาหาพวกเรา

“แม่เป็นไงบ้างครับหมอ?”
ผมรีบผุดลุกจากเก้าอี้นั่งรอตรงเข้าไปถาม

“ตอนนี้ แม่คุณอาการคงที่นะครับ แต่..”
หมอมีท่าทีเหนื่อยล้า และก็ดูลำบากใจในที

“แต่อะไรครับหมอ?”
น้ำเสียงผมห้วนจนหมอผงะถอยหลังไป
“สมองคนไข้ขาดออกซิเจนนานเกินไปครับ ได้รับความเสียหายมาก อาการถือว่าก้ำกึ่งนะครับ คงต้องรอดูต่อไป และถ้าหากผ่านไปได้ ก็ยังต้องดูผลที่ตามมาต่อครับ” เขารวบรวมสติค่อยๆตอบผม

“นั่นแปลว่าอะไรครับหมอ ?”
“ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ แม่ของคุณอาจจะอยู่ในสภาพมีชีวิตแต่จะไร้สติ นอนเหมือนเจ้าหญิงนิทราน่ะครับ แต่ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก็ ...”

“ครับหมอ ...”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ถอยกลับลงไปนั่งที่เก้าอี้
“ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ” ไม่ใช่ผม แต่เป็นเลขาและตัวแทนทางกฏหมายของแม่ที่ยืนข้างๆผมเป็นคนปิดท้ายการสนทนา หมอพยักหน้าให้เขาแล้วเดินจากไป คุณเลขาหย่อนตัวลงนั่งที่ม้านั่งข้างๆ
“กลับบ้านก่อนไหมครับ เดี๋ยวผมให้รถไปส่ง” เขาเอื้อมมือมาแตะบ่าผมเบาๆ “ตอนนี้คุณแม่คุณมีหมอดูแล้ว นั่งรออยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกครับ ICU ไม่ให้เข้าเยี่ยมตอนนี้ ผมว่าคุณกลับไปพักผ่อนที่บ้านดีกว่า”
ผมมองเขากลับด้วยสายตาว่างเปล่า คุณเลขาเม้มปากและพยายามฝืนยิ้มให้ผม เพื่ออะไร? เขาคิดว่าผมต้องการยิ้มปลอมๆจากคนแปลกหน้างั้นเหรอ?
ผมมองผ่านไปถึงดวงตาเขาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตานั้น มันดูเหนื่อยล้าไม่แพ้คุณหมอที่ดูแลแม่เมื่อกี้นี้เลย เ“เดี๋ยวผมอยู่จัดการเรื่องอื่นทางนี้ต่อเองครับ ไหนจะต้องติดต่อผู้ถือหุ้นคนอื่นๆด้วย” เขายังคงพูดต่อไป
ไอ้ “อย่างอื่น” ที่เขาว่า ...
มันหมายถึงการปิดข่าวแม่ผม
ทำยังไงก็ได้ ไม่ให้คนในสังคมรู้เรื่องนี้

เรื่องที่ แม่ผม เข้าโรงพยาบาลกะทันหัน
เพราะเล่นยาเสพติดเกินขนาด จนหยุดหายใจ
แม่ผม ...

ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท
ผู้ติดยา เข้าๆออกๆโรงพยาบาลจิตเวชเป็นว่าเล่น
สุดท้าย ก็โดนยาที่ตัวเองเล่นนั่นล่ะ ส่งเข้าแผนก ICU

สัง คม ต้อง ไม่ รู้ เรื่อง นี้
ข้อความนี้มันชัดเจนบนหน้าของเลขา
แม้เขาจะไม่ได้พูดมันออกมาจากปากก็ตาม
“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้คุณเลขา เขายกมือรับไหว้ผม “ผมเรียกให้รถมารอที่หน้าโรงพยาบาลแล้ว คุณลงไปก็จะเจอเลยครับ”

ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ หันไปสบตาเขาอีกครั้ง “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะจัดการธุระทุกอย่างให้คุณเอง ให้สมกับที่แม่คุณไว้ใจผม”
เฮอะ ... ไดอาล็อกยังกะโขกออกมาจากหนัง ผมพยักหน้าอีกครั้ง แล้วเดินไปกดลิฟท์

รถจอดรออยู่ที่หน้าโรงพยาบาลพร้อม ที่จริงไม่ต้องให้รถไปส่งก็ได้นะ ผมเดินกลับเองก็ได้ บ้านกับโรงพยาบาลห่างกันแค่นี้เอง แต่เอารถมาก็ดีเหมือนกัน ผมอยากรีบกลับไปบ้านเร็วๆ ยังต้องเก็บแรงไว้ทำอย่างอื่นอีก
“กลับบ้านเลยนะครับคุณ” คนรถถาม
“ครับ กลับบ้านเลยครับ” ผมตอบเขาไป

“คุณผู้หญิงเป็นยังไงบ้างครับ?”
“หมอบอกว่าอาการคงที่ครับ”

“ขออย่าให้คุณเธอเป็นอะไรเลยนะครับ”
“ผมก็หวังไว้อย่างนั้นเหมือนกันครับ”
แล้วผมก็หยิบหูฟังมาเสียบ เป็นเชิงบอกให้รู้ว่าผมไม่ต้องการสนทนาอะไรต่ออีกแล้ว ที่จริงผมไม่ได้เปิดฟังเพลงหรอก แต่ผมไม่อยากสนทนากับเขา การแกล้งทำเป็นฟังเพลงนี่เป็นอวัจนะภาษาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการตัดบทสนทนา
รถแล่นไม่ถึงสิบนาที
ผมก็กลับมาถึงที่หน้าบ้าน
พอรถแล่นจากออกไป ผมไขกุญแจเข้าบ้าน

ทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่มีแม่แล้ว...

นั่นก็แปลว่า ...
ผมไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากเศร้าสร้อยนี้อีกต่อไป
แม่ซึ่งตอนนี้นอนอยู่ในห้อง ICU ตามตัวคงมีสายระโยงระยาง มีมอนิเตอร์ที่ร้องตื๊ดๆบอกจังหวะหัวใจของแม่ และเครื่องช่วยหายใจที่ตีลมเข้าปอดแม่เป็นระยะๆ ผมรู้สึกแน่นในหน้าอกนิดๆ ตอนที่จินตนาการภาพแม่ในห้อง ICU ...

ด้วย ความ ยิน ดี
สมควรแล้วล่ะ ...
ที่ นั่น มัน เหมาะ กับ คน อย่าง เธอ แล้ว

มุมปากผมค่อยๆยกเป็นรอยยิ้ม ผมหัวเราะกับตัวเองระหว่างเดินขึ้นบันไดไปห้องนอน ไม่มีใครอยู่นี่ ผมปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ดๆ และโยนมันทิ้งตรงเชิงบันได ตอนนี้บ้านนี้เป็นของผม ผมจะทำอะไร ถอดผ้าตรงไหนก็ได้
ผมปลดเข็มขัด ปลดกางเกง
ถอดกางเกงใน ระหว่างทางเดินไปเรื่อยๆ

เมื่อถึงห้องนอน ผมเปลือยเปล่า
หน้าผมยังยิ้ม และเสียงหัวเราะยังลอยรอบตัว

สมควรแล้วล่ะ นังแม่โสโครก ขี้ยา
เธอทำตัวเองแท้ๆ ผมแทบไม่ต้องลงแรงอะไรมากเลย รู้ไหม ทันทีที่ผมโทรหาคุณเลขา และรถพยาบาล บอกว่าเห็นแม่นอนสลบบนพื้น ทุกคนเข้าใจทันทีว่า แม่ เสพ ยา เกิน ขนาด

มันช่างเป็น perfect framing จริงๆ
ไม่มีใครสงสัยผมเลย สักคน
ทุกคนดูเห็นใจผมด้วยซ้ำ
หนุ่มน้อย ... ผู้อาภัพ ที่อยู่กับแม่ขี้ยา แม่ที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท มีเงินมากมาย แต่ไร้ความสุข จนติดยา และพาตัวเองสู่วังวนอันตกต่ำ เสพยาเกินขนาดจนมีภาวะหยุดหายใจ หนุ่มน้อยลูกชายที่กำลังตกใจ กลัว ระร่ำระลักโทรตามรถพยาบาลให้มาดูอาการแม่ที่นอนไม่ได้สติ
ทุกคนเห็นใจผมทั้งนั้นล่ะ ผมดูน่าสงสารไปเลย
มันคือกรอบที่ถูกวางไว้อย่างเหมาะเจาะแล้ว
ผมวางทุกอย่างไว้แต่แรกแล้ว

รู้อะไรไหม ?​

ถ้าคุณจัดวางองค์ประกอบให้ถูกที่ ถูกเวลา
มันจะกลายเป็นภาพ ที่เล่าเรื่องในตัวมันเอง
โดยที่เราไม่ต้องอ้าปากเล่าอะไรทั้งสิ้น
ผมคงทำไม่ได้
ถ้าไม่มี #เขา คอยช่วย
“เขา” ช่วยผมวางกรอบไว้
“เขา” ช่วยให้กำลังใจผม
“เขา” เป็นคนบอกกับผมเองว่า

ไม่ เป็น ไร หรอก
ที่ จะ ฆ่า แม่ ทิ้ง ซะ ...

“เขา” ซึ่งเป็นคนรักของผม
คนรัก .. ที่อยู่คนละโลก กับผม
แน่นอน คนละโลกกับพวกคุณด้วย

ผมทิ้งตัวที่เปลือยเปล่าลงบนที่นอน
ยิ้มหัวเราะกับชัยชนะของวันนี้
“รู้ไหม มันเป็นไปตามที่คุณบอกผมจริงๆด้วย”

ผมมองเพดานห้อง มันมีดาวเรืองแสงติดไว้ ตั้งแต่ผมยังเด็กๆ เมื่อก่อนมันติดไว้เยอะเลย แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไป กาวบางส่วนเสื่อม มันก็หลุดร่วงลงมาบ้าง เหลือไว้แค่ 1/3 ของของเดิมที่เคยมี
ในระยะทางที่เราเติบโต
เราอาจจะได้อะไรใหม่ๆเข้ามาในชีวิต

แต่โดยที่เราไม่รู้ตัวนะ
เราเสียหลายอย่างออกไปจากชีวิต

ดาวเรืองแสงบนเพดาน
เป็นสิ่งที่พิสูจน์คำพูดของผมได้ดี

ผมเสียไปเยอะ ..
เพื่อจะเติบโตมาจนถึงตอนนี้
“เห็นไหม เราบอกแล้ว ว่ามันได้ผล”

เสียงในหัว ที่คุ้นเคย และแสนรัก ตอบผมกลับมา
นี่ไงล่ะ ... #เขา ของผม

พอได้ยินเสียงเขา ผมยิ่งยิ้มหนักกว่าเดิม
“คุณนี่ โคตรฉลาดเลยอ่ะ”

“ก็เราบอกแล้วไง เชื่อเราแล้วดีเอง”
คราวนี้ #เขา น้ำเสียงสนุกสนาน กลั้วหัวเราะด้วย เหมือนผมเลย
“ผมโคตรรักคุณเลย” ผมบอกเขา
“เราก็รักนายเหมือนกัน” เขาตอบผมกลับ

“ผมขอโทษด้วยนะ ที่ #ร่างแรก ไม่สำเร็จ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่ะ เราทดลองใหม่ได้”
เมื่อสิบวันก่อน การทดลองสร้างสะพานเชื่อมเพื่อดึง #เขา ... คนรักต่างโลกของผม ให้ข้ามโลกมาอยู่ฟากเดียวกับผม ไม่ประสบผลสำเร็จ

“ร่างแรก” ที่ใช้ทำการทดลอง ตายเปล่า

#ร่างแรก ซึ่งก็คือ แฟนคนหนึ่งของผม
ในขณะที่ไม่มีใครติดใจอะไรเรื่องที่ “ร่างแรก” ตาย เพราะเดิมเขาก็เป็นเด็กเล่นยา (เหมือนแม่ผมในร่างที่เยาว์วัยกว่า และเป็นผู้ชาย) จะตายเพราะยาก็ไม่เห็นแปลกอะไร

มีแต่นังแม่สาระแนของผมเท่านั้นล่ะ
ที่สงสัยว่าผม เป็นคนทำร้ายแฟน

มันเลยเป็นที่มาของอีเวนท์คืนนี้ไง ...
ผมเลยต้องส่งให้แม่ไปนอน ICU
เสียดายก็แค่ แม่ยังไม่ตายสนิทเท่านั้น
เอาเหอะ หมอยังบอกว่า ก้ำกึ่ง ยังพอลุ้นน่ะ

เสียงโทรศัพท์ดัง
เป็นเบอร์คุณเลขาของแม่นั่นเอง
ผมคว้ามันมากดรับ “สวัสดีครับ”

“คุณครับ ผมโทรจากโรงพยาบาล
ตอนนี้คุณแม่คุณ.​....”​

และผมก็สะดุ้งตื่น ...
อีกแล้ว ... ฝันเรื่องเดิมอีกแล้ว
ฝันเป็นความทรงจำเรื่องเดิมวันนั้น ...

เคยอ่านหนังสือจิตวิทยา เขาบอกว่า ความฝันที่แท้จริง เป็นภาพขาวดำ และเราจะจำมันไม่ได้ เราจะจำได้แค่อารมณ์เท่านั้น ว่าเศร้า โกรธ สุข ฯลฯ แต่เราจะจำเรื่องราวในฝันไม่ได้
ถ้าเราจำได้ และภาพในนั้นมันเป็นภาพสี นั่นคือ สิ่งเลียนแบบฝัน มันคือจินตนาการ ไม่ก็ความทรงจำในสมองของเรา ที่ฉายขึ้นมาเป็นภาพให้เราดูเล่นซ้ำๆ ตอนที่เรากำลังนอนหลับ

มันเป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกว่า
ใจ เรา กำ ลัง ฟุ้ง ซ่าน ด้วย
ผมลุกจากเตียงไปที่ห้องน้ำ วักน้ำเย็นๆมาล้างหน้าหนึ่งที นึกทบทวนอารมณ์ตัวเองในวันนี้ ไม่สิ ผมไม่ได้ฟุ้งซ่านเสียหน่อย ผมกำลังอารมณ์ดีเลยล่ะ อารมณ์ดีเพราะ #ร่างที่สาม ที่ผมกำลังเตรียมไว้ เชื่อใจผมสนิทแล้ว
นั่นแปลว่า มันพร้อมแล้ว
สำหรับการสร้างสะพานเชื่อม
เพื่อให้ #เขา ข้ามมาสู่โลกฟากนี้

#เขา .. คนรักคนเดียวของผม
ผมมีแฟนเยอะ ที่ผ่านมา ผมมีแฟนเรื่อยๆ
น้องคนปัจจุบันที่ผมเพิ่งไปส่งบ้านวันนี้ คนที่กำลังจะเป็น #ร่างที่สาม ก็แฟน

แต่ผมมี คนรัก แค่คนเดียว
นั่นก็คือ #เขา เท่านั้น
#เขา เป็นเสียงในหัวของผม
ผมไม่เคยเห็นเขา แต่ผมได้ยินเสียงเขา
แต่ผมมั่นใจว่าเขามีตัวตน อยู่ที่ไหนสักแห่ง

ผมรู้ว่า ... เขาอยู่ต่างโลก
ผมรู้ว่า เขาอยู่ในโลกคู่ขนาน
เราสองคนสื่อสารกันได้ ผ่านเสียงในหัว

มันคือ #พรหมลิขิต
เรื่องมันโรแมนติกดีนะ

ทีแรกที่ผมได้ยิน มันเป็นเพียงเสียง noise คล้ายๆกับเวลาที่คุณเปิดวิทยุฟังในรถ แล้วมันจูนหาคลื่นยังไม่ได้ แบบนั้น มันซ่าๆ มันฟังน่ารำคาญ ถ้ารอบตัวเงียบก็จะไม่ได้ยินเสียงนั้น แต่ถ้าอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ มันก็จะชัดเจน
ตอนแรกผมนึกว่า หูผมผิดปกติ
ไปหาหมอหูก็แล้ว ตรวจก็ไม่เจออะไรผิดปกติ
ผมเลยต้องทนอยู่กับไอ้เสียง noise ในหูนี่ไป
แต่พอต้องอยู่กับมันไปนานๆ ผมก็เริ่มรู้สึกว่า ในเสียงซ่าๆนั้น มันมีเสียงคนพูดอยู่ด้วยว่ะ และยิ่งพอตั้งใจฟัง มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ความซ่าค่อยๆหายไป เสียงที่เป็นศัพท์เริ่มฟังชัดขึ้น

ผมบอกไม่ได้ว่า #เขา เป็นเพศไหน
นั่นคือเหตุผมที่ทำให้เรียกเขาว่าเขา แต่ถ้าคุณถามผมนะ ผมเชื่อว่าเขาเป็นผู้ชาย อย่าถามเหตุผล มันคือความรู้สึก คุณหาเหตุผลกับความรู้สึกไม่ได้ มันอาจจะถูกหรืออาจจะผิด แต่มันคือสิ่งที่ส่งตรงมาจากสมอง
ผมว่า ความรู้สึก คือปรากฏการณ์การใช้เหตุผลของสมอง
มันคือ การตัดสินใจ โดยจิตใต้สำนึกของสมองเรา
ความรู้สึก คือเหตุผลขั้นสูงสุดของสมอง

และนั่น คือตอนที่ผมได้รู้จักกับ #เขา
คนรัก ต่างโลก ของผม ที่มีแค่ #เสียง

พวกคุณไม่คิดว่าโรแมนติกเหรอ?
หรือพวกคุณคิดว่ามันหลอน ?
คุณคิดว่าการหลงรักเสียงในหัวตัวเอง มันหลอนใช่ไหมล่ะ? รู้อะไรไหม? ผมไม่สนใจหรอกว่าพวกคุณคิดยังไง พวกคุณสิต้องสนใจสิ่งที่ผมจะเล่าต่อ

เรื่องผม กับ #เสียงในหัว
#เสียง ที่รักผม
#เสียง ที่เข้าใจผม
#เสียง ที่อยู่ในหัวของผม

ใช่ ... เสียงนี้ ดังอยู่ในหัวผมคนเดียว
พวกคุณ คุณ คุณ และ คุณ ไม่ได้ยินเสียงนี้หรอก

และเสียงนี้แหละที่สอนผมว่า

หา ร่าง มา ให้ เขา ซะ สิ
เขา ต้อง การ มา สู่ โลก ฟาก นี้
ฆ่า เด็ก ที่ มี #เสียง เหมือน #เขา ซะ
"ร่าง" ที่มีเสียง เหมือนกับ #เขา
คือสะพานที่จะนำเขา มา สู่ โลก ฟาก นี้ ของ ผม

และเมื่อนั้นล่ะ
ผม กับ #เขา

จะได้รักกัน อย่างมีความสุข
วันนี้เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ ขอบคุณทุกการติดตามอ่านฮะ เจอกันตอนถัดไปวันพุธค่ำๆอีกเช่นเคยนะฮะ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
รออ่าน #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ใช่ไหมล่าาาา มาเล่าต่อแล้วนะครับ วันนี้ยังคงเป็นเรื่องเล่าจากแอคเคานท์ปริศนาอยู่นะ ไปอ่านกันเลย
ผมไม่เคยอยู่คนเดียว ...
อย่างน้อยก็ตั้งแต่ #เขา เข้ามา

ทุกครั้งที่คนเห็นว่าผมอยู่คนเดียว
ที่จริงผมมี #เขา อยู่ในหัวกับผม .. ทุกที่
คืนนี้ ที่ผมนอนเปลือยอยู่บนเตียงก็เช่นกัน

“ผมหวังว่าครั้งนี้จะได้ผล” ผมพูด
“เราก็หวังอย่างนั้น” เขาตอบ
“แล้วถ้ามัน ...”
ผมไม่กล้าพูดให้จบประโยค

“อย่าไปคิดถึงมันสิ มันเป็นลาง”
#เขา ผู้เป็นเสียงในหัว ช่วยปลอบประโลมให้ผมคลายกังวล
“แต่กับน้องคนนี้ ... มันยากนะ”

เพราะถ้าจู่ๆเขาก็เป็นอะไรขึ้นมา ผมว่ามันไม่ง่ายเหมือนกับ #ร่างแรก แน่นอน น้องคนนี้เขาไม่มีประวัติเสพยา เป็นคนดังบนทวิตเตอร์ คนรู้จักมากมาย แม่เขาแม้จะงานยุ่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับขนาดทิ้งขว้าง
ถ้าจู่ๆ เขาเกิด “ตาย” ขึ้นมา
บทสรุปจบมันคงไม่ง่ายเหมือนที่ผมเคยเจอ

“งั้นเราก็มีทางเดียวเท่านั้น
คือ ทำ ให้ มัน สำ เร็จ”

เสียงของ #เขา เข้มขึ้น แข็งขึ้น ..

ผมรู้ ... เขาหงุดหงิด
ผมไม่กล้าพูดอะไรต่อ แม้ตอนนี้ ผมก็ยังกลัวเขา
แม้ว่าตอนนี้เราจะรักกัน แต่ผมก็ยังกลัวเขา
เพราะเวลาเขาโกรธ ผมจะปวดหัวอย่างรุนแรง ผมจะกระวนกระวาย อยู่อย่างสงบๆไม่ได้ ตัวผมจะร้อนไปหมด มือไม้ผมจะสั่น ใจผมจะเต้นรัว หายใจลำบาก แน่นในอกไปหมด เหมือนเขาสามารถจุดไฟในตัวผมได้ เวลาเขาไม่พอใจ
เขาครองร่างกายผมได้
เขาสั่งการร่างกายผมได้

ผมไม่รู้กลไกที่เขาทำ
และนั่นทำให้ผมทั้งรักและกลัวเขา
“ใช่ๆ” ผมรับคำเขา เสียงสั่นๆ
“จะไปยากอะไร ก็แค่ทำมันให้สำเร็จ”

โทรศัพท์ดัง เป็นระฆังช่วยผมจริงๆ
คนโทรเข้าคือ แฟนคนแรก ของผม
คนที่ผมเคยบอกว่า ดีกับผมมาก แต่ไม่ใช่นั่นล่ะ

ผมหยิบมารับสาย
“รู้ได้ไงเนี่ย ว่าผมยังไม่นอน?”

ปลายสายหัวเราะ
“ผมรู้จักคุณมานานพอนี่นา”
#เขา ... เสียงในหัวผม ถอยตัวออกไป
#เขา รู้ว่านี่เป็นบทสนทนาส่วนตัว
#เขา ปล่อยเวลาให้ผมคุยได้

เขาไม่ได้บอกหรอก
แต่ผมรู้ได้นะ รู้ในแทบจะทันที
เวลาที่เขาเข้ามาอยู่ในหัว กับเวลาเขาออกไป
“คุณสบายดีใช่ไหม?”

ผมถามสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นต้องถาม แต่มันดูเหมือนเป็นพิธีกรรมทางศาสนา ระหว่างเราสองคนมากกว่า สบายดีไหม? เป็นยังไงบ้าง? อะไรทำนองนี้ เราเลิกพูดคำว่ารักกันไปแล้ว แต่เราพูดประโยคอื่นที่แสดงความห่วงใยกัน
ผมว่า “สบายดีไหม?”​
มันคือเศษซากที่เหลืออยู่
หลังจากคำว่า “รัก” มันสลายหายไป

มันไม่มีหรอก “รัก” ที่พังแล้วไม่เหลืออะไร
เราอาจจะเลิกพูดคำว่า “รัก” กัน
แต่เราพูดคำที่เหลือในซากได้
“สบายดีไหม?” หรือ “เป็นห่วงนะ”
มันฟังไม่รื่นหู เพราะมันเป็นซากของรัก
แต่มันก็ยังดีกว่าการไม่พูดคุยอะไรกันเลยไม่ใช่หรือ?

“สบายดี แล้วนายล่ะ?” เขาถามผมกลับ
“อื้อ ดี ...” ผมเว้นวรรคเล็กน้อย “มีเรื่องให้คิดบ้างน่ะ”
“อ๋อ ... เรื่องการตามหา #เสียง ใช่ไหม? แต่นายก็บอกแล้วนี่นา ว่านายหาเจอแล้ว”

ถูกต้อง เขารู้ ...
เขารู้ว่าผมกำลังตามหา #เสียง

ผมบอกเขานะ ตอนเราจะเลิกกัน
ผมบอกว่าเขาไม่ใช่ เพราะ #เสียง เขาไม่ใช่
ผมบอกนะว่าผมกำลังตามหา #เสียง ที่เหมือนกับ #เขา
ผมบอกหมดแหละว่า ต้องการร่างที่มีเสียงเหมือนกับ #เขา คนรักของผมที่อยู่ต่างมิติ ที่ติดต่อกันได้ผ่านทางเสียงในหัว ผมแค่ไม่ได้บอกว่า “วิธีการ” สร้างสะพานเชื่อมให้ข้ามมาโลกฟากนี้ ต้องทำยังไง

ผมไม่ได้โกหกแฟนเก่าผมนะ
ผมแค่บอกไม่หมดแค่นั้นเอง
แฟนเก่าผมคนนี้เชื่อผมนะ ไม่เหมือนคนอื่นๆในโลกนี้ (แม้กระทั่งแม่ผม) คนอื่นหาว่าผมบ้า หาว่าผมเพ้อ คิดไปเองบ้างล่ะ เพื่อนสนิท แม่ผม ถึงขนาดจะจับไปส่งโรงพยาบาลบ้า เฮอะ การที่เขาไม่เข้าใจผม ไม่ได้แปลว่าผมเป็นบ้าเสียหน่อย
แต่การไม่ยอมรับฟังเรื่องราวของคนอื่นต่างหาก นั่นเรียกว่า บ้า คนอื่นๆมันบ้ากันหมดแหละ เพื่อนผม แม่ผม คนอื่นๆในโลกนี้ ยกเว้นก็แต่แฟนเก่าผมคนนี้นี่แหละ ที่เขายอมฟัง รับฟัง และเชื่อ สิ่งที่ผมเล่า

“ใช่ผมตามหาเจอแล้ว ขอบคุณนะ ที่เชื่อผม”
“แล้วเจอแล้วนี่นา จะทำยังไงต่อไปล่ะ?”
“ก็คง ... พยายามสร้างทางเชื่อม”
“อื้ม ... ก็ขอให้สำเร็จแล้วกันนะ”

“ผมถามอะไรหน่อยสิ”
“ว่ามา ถ้าไม่ยากจะตอบ 555”

“ถ้าเราต้องทำผิด เพื่อคนรัก คุณจะ ...”
“ผิดขนาดไหนล่ะ ใหญ่ เล็ก”

“ขนาดความผิดสำคัญด้วยเหรอ?”
ผมสงสัย ผมว่าความผิดมันก็คือความผิดนะ ไม่มีเล็ก ไม่มีใหญ่
“โอเค งั้นช่างมัน ไม่เล็ก ไม่ใหญ่”
ตอนเขาตอบ ผมนึกภาพว่าเขาคงยักไหล่ ปล่อยผ่านไปแน่ๆ

“ผมว่า ถ้าเรามีเหตุผลมากพอ ถ้าเราต้องทำ เราควรตัดคำว่า ผิด หรือไม่ผิดออกไปครับ เพราะต่อให้มันผิด เราก็ยังมีเหตุผลที่ควรทำอยู่ดี” เขาตอบ ...
ผมตื้นต้น .. ที่เขาเอาใจช่วยผม
แม้ว่าผมจะบอกเลิกเขา ตีจากเขามา
แต่เขาก็ยังคงดีกับผม ปรารถนาให้ผมมีความสุข
“ขอบคุณนะ .. คุณเป็นแฟนเก่าที่ดีที่สุดของผมเลย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เขาหัวเราะอย่างร่าเริง “เราไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆเสียหน่อย เราแค่ ... เราแค่มี sex กัน แล้วเราก็คุยกันได้ เรารู้สึกดีๆต่อกัน แต่... ขอบคุณนะ ที่ให้เกียรติเรียกผมว่าแฟน”
“ขอโทษที่ผม ...”​
“ไม่เป็นไรน่า บอกแล้วไง ผมเข้าใจ”

เขาไม่ยอมให้ผมจบประโยคขอโทษ ด้วยการแทรกการให้อภัยทะลุกลางประโยคเสียก่อน นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมซาบซึ้งในตัวเขามาก
“ถ้าสำเร็จ ผมพา #เขา ข้ามมาโลกฟากนี้ได้ ผมจะพาเขาไปเจอคุณนะ” ผมบอกแฟนเก่า ปลายสายยังคงหัวเราะต่อ “อื้ม ผมจะรอเจอนะ ผมอยากให้นายสมหวังจริงๆ ผมไปทำธุระต่อล่ะ โชคดีนะ” แล้วเขาก็วางสายไป
คนทั้งโลก หาว่าผม บ้า
มีแต่แฟนเก่าผมคนนี้เท่านั้นที่เชื่อ
ผมว่า คนทั้งโลกต่างหากที่ บ้า
ผมนี่ล่ะ คนปกติ ที่สุดแล้ว

คนปกติที่ไหนก็ต้องทำเพื่อคนรัก
ตอนนี้ผมทำเพื่อ #เขา คนรักของผม
ดังนั้น ผมนี่แหละ คนปกติ ผมไม่ได้เป็นบ้า

ผมจะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นให้ได้
ว่าผม ไม่ ได้ บ้า
แผนการที่ผมเตรียมมาอย่างดี แผนที่ผมเตรียมมาตั้งแต่ก่อนจะเจอน้องคนนี้ด้วยซ้ำ น้องคนที่จะเป็น #ร่างที่สมบูรณ์ ร่างนี้ เขาคิดว่าวันนั้นที่คลินิก คือการเจอกันครั้งแรกของเราสองคน เขาคิดว่านั้นคือ cute meet ที่เห็นได้ในหนังรัก

เขาคิดว่านั่นคือ เรื่องบังเอิญ
และนั่นคือ พรหมลิขิต
แต่ ผิด แล้ว
มัน ไม่ ใช่ เรื่อง บัง เอิญ
ผม จัด ฉาก ทุก อย่าง ให้ เกิด
ผมรู้เรื่องเขาหมดแหละ เขาไปไหน เขาเรียนที่ไหน คบใครเป็นเพื่อน ผมรู้กระทั่งรายชื่อแฟนเก่าที่ผ่านๆมาของเขา .... รสนิยมเห่ยเป็นบ้าเลยเด็กน้อย แต่ก็ดี ง่ายดี ดูออกง่าย มันทำให้แผนการของผมไม่ลำบาก เวลาที่เขาชอบหนุ่มพิมพ์นิยม
ตารางไปหาหมอของเขาผมยังรู้เลย นี่บอกอะไรให้พวกคุณรู้ไว้นะ หยุดลงเรื่องส่วนตัว ลงในทวิตเตอร์กับเฟซบุ๊คเหอะ เรื่องที่คุณแปะ อารมณ์ที่คุณเล่า มันบอกถึงจุดอ่อนของคุณทั้งนั้น
พวกคุณนี่ก็บ้าเนอะ คนสมัยก่อน เขาต้องเก็บซ่อนจุดอ่อนตัวเองไว้ให้ลับสุด แต่สมัยนี้พวกคุณโพสท์มัน ทวีตมันอย่างโจ่งแจ้ง แล้วยังมาแหกปากขอความเป็นส่วนตัวบนพื้นที่สาธารณะอีก

เหมือนไปแก้ผ้าที่กลางห้าง
แล้วไปแหกปากขอความเป็นส่วนตัว
เฮอะๆ พวกคุณนี่มันบ้าเข้าขั้นจริงๆ ผมว่า
และนั่นแหละ น้องเขาก็เหมือนพวกคุณ พิมพ์ทุกอย่างที่คิด braodcast ทุกโมเมนท์ที่เกิด ผมใช้เวลาไม่กี่วัน ผมก็รู้หมดแล้ว ทำยังไงถึงจะชนะใจน้องเขาได้ ควรจะไปอยู่ที่ไหน เวลาไหน พูดคำไหน เมื่อไหร่ ยังไง ง่ายยิ่งกว่าเค้กสักชิ้นเสียอีก
ผมหยิบสุด to do list ขึ้นมา
ขีดฆ่าบนข้อ 9 “ทำให้เชื่อใจ”
ผมทำสำเร็จไปแล้ว
แผนการผมแม่งโคตรเพอร์เฟคท์ แผนการสุดยอด 10 ขั้นของผม

1 ถึง 9 เสร็จสิ้นแล้ว อีกข้อเดียว แผนการที่ถูกวางไว้ก็จะเสร็จสิ้น แผนการตั้งแต่วันแรกที่ผมได้ยินเสียงน้องคนนี้ เสียงที่ตรงกับ #เขา ในคลิปนั้น
ผมเก็บคลิปนั้นไว้ใน moment ของผมในทวิตเตอร์ บางครั้งผมก็เปิดดูนะ เพื่อเตือนให้ตัวเองรู้ว่า ผมเดินทางมาไกลแค่ไหนแล้ว ในแผนการอันแสนสมบูรณ์อันนี้

ผมหยิบมือถือมาไถทวิตเตอร์
เปิด moment ดูมันอีกครั้ง
“หวัดดีครับ วันนี้ผมกับโฟร์จะพาไปดูร้านคาเฟ่ลับ

นี่ดูนี้นะ ตรงหน้าผมมันก็เป็นตึกฟิตเนสธรรมดาๆ ตรงทางขึ้นอาคารจอดรถ ลองดูทางซ้ายมือนะครับ ซอกเล็กๆนี่แหละ ดูไม่มีอะไรเลย แต่พอเราเดินผ่านเข้ามา .... มันมีคาเฟ่เล็กๆซ่อนในนี้ด้วยเว้ยยยยย”
ในคลิปไม่เห็นหน้าเขา ... แต่ไม่จำเป็น
ผมไม่เคยเห็นรูปเขามาก่อน แต่ก็ไม่จำเป็น
แค่เสียงของเขาในคลิป มันก็พอแล้วที่จะบอกว่า ใช่

เขานี่แหละ ... #ร่างสุดท้าย
สร้างทางเชื่อมให้ #เขา ที่ผมรอคอย
เด็กน้อย ผู้ไม่รู้อะไรเลย
เด็กน้อยที่ #เสียง ตรงกับ #เขา ในทุกโน้ตเสียง
เขาจะเป็น #ร่างสมบูณ์ ในแผนการของผม
จะเป็น #ร่างสมบูณณ์ ให้กับ #เขา

ผมมอง to do list 10 ข้อ
9 ใน 10 ขีดฆ่าไปหมดแล้ว สำเร็จแล้ว
เหลือข้อสุดท้ายเท่านั้น ผมจ้องพิจารณามัน ..
แล้วผมก็หัวเราะ ราวกับเป็นบ้า
ขอโทษจริงๆ ผมบอกแล้วว่าไม่ได้บ้า
แต่ผมหัวเราะเหมือนคนบ้า
เพราะ ... อีกไม่นาน ผมจะได้ขีดฆ่าบนข้อนั้น
สำเร็จภารกิจพาคนรักข้ามภพมาเจอกัน
ข้อสุดท้ายใน to do list อันแสนสมบูรณ์

/ จัดการ ให้ร่างนั้น ไร้วิญญาณ /
วันนี้เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนละกันนะครับ ไว้มาตามเรื่องราวของ #พี่ภูน้องกฤษ ได้อีกทีวันอาทิตย์ค่ำๆ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะครับ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
ไหนใครรออ่าน #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ บ้างครับ มาเล่าต่อแล้ว วันนี้มีปริศนาชวนพีคหลายฉากเลยครับ มาอ่านกันเหอะ
ผมเกลียดโรงพยาบาล
หลายคนก็ไม่ชอบนะ ผมว่ามันไม่แปลก
แต่เขาแค่ระดับ #ไม่ชอบ ส่วนผมน่ะ #เกลียด

คนอื่นๆมีเหตุผลเยอะแยะ
กลิ่น เสียง บรรยากาศ ความหดหู่
แต่ผมเกลียด เพราะผมเกลียด แค่นั้นจบ

โชคดีมาก นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ผมจะต้องมา
อย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้เข้ามารับการรักษาอะไร เรื่องราวระหว่างผมกับหมอ และการรักษาจบไปนานแล้ว ไม่มียา ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการพบปะไถ่ถาม เป็นยังไงบ้างอีกต่อไป

นั่นก็เพราะ ...
ยา ทำให้ #เขา ห่างจากผม
ยา ทำให้ #เขา ไม่คุยกับผม
ยา ทำให้ ผม กับ #เขา ห่างกัน
ถ้าต้องเลือกระหว่างยา กับ เขา
ทำไมผมต้องเลือกด้วยล่ะ ชัดออกขนาดนี้
วันนี้ผมมาด้วยธุระสำคัญสองเรื่อง เรื่องแรกน่ะจัดการไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องที่สอง ผมกำลังรอให้คนที่ผมนัดมาพบ ซึ่ง ... ผมดูจากนาฬิกาแล้ว ใกล้จะถึงเวลาที่อีกฝ่ายจะมาแล้ว ผมยังพอมีเวลาอีกนิด คิดแล้วก็เดินไปที่ร้านกาแฟในโรงพยาบาล
“สวัสดีครับ อเมริกาโน่ร้อนครับ” ผมสั่ง กาแฟที่นี่ไม่ได้ดีนัก แต่ก็ไม่ถึงขนาดแย่กินไม่ได้ อย่างน้อยก็ดีกว่านั่งอยู่แบบปากว่างๆ พนักงานสาวหน้าใสเงยหน้าขึ้นมารับออร์เดอร์

“อเมริกาโน่ร้อนนะคะ 75 บาทค่ะ”
“ไม่ต้องทอนนะครับ”
ผมยื่นธนบัตร 100 บาทส่งให้เธอ เธอไหว้ขอบคุณก่อนรับเงินไป “ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นเลยนะคะ เมื่อก่อนมาบ่อยเลย” ผมพลันเงยหน้าขึ้นมาทันที “จำผมได้?”

“ร้านสอนให้จำหน้าลูกค้าประจำค่ะ”
เธอยิ้มสดใสจนผมคลื่นไส้ เสแสร้งเสียจนเอียน
“อ๋อ ... ครับ คือแม่ผมเขา ...”
แล้วผมก็ยักไหล่ เป็นการจบประโยค

เธอพยักหน้า แล้วเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มชวนอาเจียน เป็นสีหน้าราวกับเห็นหมาโดนรถชน “อือ... เข้าใจค่ะ ฉันจำแม่คุณได้ เห็นคุณเข็นท่านในรถเข็นบ่อยๆ”
ผมว่า ... เธอพูดเยอะเกินไปแล้ว ผมปิดบทสนทนาด้วยการพยักหน้า แค่นั้นและ เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ

“มีคนจำเธอได้” #เขา พูดในหัวผม
“ก็แค่บาริสต้าน่ะ” ผมตอบ
“มันไม่ควรจะมีใครจำได้สิ เธอควรจะต้องไร้ตัวตน คนจำไม่ได้ มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนเราไม่ใช่หรือไง อย่าบอกนะว่าเธอลืมแล้ว” #เขา หงุดหงิด คราวนี้ผมผิดจริง ผมจะไม่ชี้แจงอะไร ได้แต่ขอโทษ

“ผมขอโทษ แต่มันจะจบแล้ว ผมสัญญา”
ผมจำไม่ต้องมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้อีกต่อไป หลังธุระนี้
“เราก็หวังว่ามันจะจบแล้วจริงๆ”
#เขา สำทับ น้ำเสียงเบาลง

“ผมไม่ชอบมาโรงพยาบาลนี้เลย”
“เราก็ไม่ชอบ ... เราไม่ชอบเวลาเธอมาโรงพยาบาล ไม่ว่าโรงพยาบาลไหนก็ตาม”
“อเมริกาโน่ร้อนมาแล้วล่ะคุณปรเมศร์”

พนักงานจำชื่อผมได้ ไม่ใช่แค่หน้าผม ใช่ ที่โรงพยาบาลนี้ผมชื่อ ปรเมศร์ แต่มันไม่ใช่ชื่อจริงๆของผมหรอก คุณรู้ไหม ถ้าคุณมีเงินมากพอ คุณจะชื่ออะไรก็ได้เวลาเข้าโรงพยาบาล ผมมีชื่ออีกเป็นสิบ สำหรับโรงพยาบาลอื่นๆ
ผมพยักหน้าขอบคุณ แล้วพนักงานร้านกาแฟก็เดินจากไป พอเห็นว่าลับสายตาไปแล้วผมถึงได้ยกกาแฟมาจิบ “ผมสัญญา ว่าจะมาที่นี่ครั้งสุดท้าย” ผมพึมพำกับ #เขา ระหว่างที่กาแฟดำค่อยๆไหลผ่านลงคอ

“มันคือส่วนหนึ่งของแผนใช่ไหม?”
#เขา ถาม

“ใช่ครับ” ผมวางแก้วกาแฟ
“มันเป็นส่วนหนึ่งของแผน”
เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อน
ไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่าใครเดินมา
จังหวะมันใช่ น้ำหนักการเดิม มันก็ใช่

ผมคุ้นเคยกับเจ้าของเสียฝีเท้านี้
ผมนัดให้เขามาเจอผมที่นี่เองล่ะ
“ทำไมต้องนัดมาที่โรงพยาบาลด้วยเนี่ย”

เสียงฝีเท้าหยุดที่ข้างหลังเก้าอี้ผม ตามด้วยเสียงทักทายค่อนข้างห้วนๆ รู้ได้ว่าอารมณ์ไม่ดี แหงล่ะ ใครจะอารมณ์ดี ถ้าถูกเรียกให้มาพบที่โรงพยาบาล
แต่ผมมีธุระที่นี่ด้วย
ดังนั้น ก็ต้องนัดเจอกันที่นี่ล่ะ
ผมจะได้ประหยัดเวลาในการทำธุระ
ผมยังมีเรื่องอื่นอีกที่สำคัญกว่า รอ ให้ ทำ
“อย่าขี้นเสียงใส่ผมสิ อย่าลืมนะว่าคุณอยู่ในฐานะอะไร และผมอยู่ในฐานะอะไร”

ผมหันไปปรามอีกฝ่ายในที และย้ำคำแสดงให้เห็นด้วยว่า ใครกันแน่ที่ถือไพ่เหนือกว่าในการพบปะครั้งนี้

“เอ่อ .. ขอโทษ ... ค่ะ”
เธอคงนึกได้ เลยเอ่ยขออภัย
ผมพยักหน้า ยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า
“ไม่เป็นไรครับ ทีหลังระวังหน่อยนะครับ”

“สวัสดีค่ะคุณภู”
เธอทักผมอย่างเป็นทางการ

“สวัสดีเช่นกันครับ ... “
ผมพยักหน้า และเรียกชื่ออย่างเป็นทางการของคู่สนทนา

“คุณ ภาวนา ...

เอาล่ะ ผมว่าเรามาคุยธุระส่วนสุดท้ายกันได้แล้ว”

……
ทุกอย่างเสร็จสิ้น การเจรจาเรียร้อย
ที่จริงมันเรียกว่าการสั่งงานจะเหมาะกว่า

แล้วผมก็ขับรถออกจากโรงพยาบาล
ธุระสำคัญสองอย่างของผมเสร็จหมดจด
ตอนนี้ทางของผมกับ #เขา ก็สะดวกแล้ว ไม่มีอะไรขวาง สองธุระสุดท้าย เป็นเหมือนขั้นตอนการเอาหินขวางทางออกไป พร้อมๆกับปรับถนนให้มันราบเรียบ พร้อมสำหรับการพุ่งไปข้างหน้าตามแผน

เมื่อกลับถึงคอนโด
ผมส่งข้อความไปหา น้อง ...
#ร่างสมบูรณ์ ที่ผมแสนจะคิดถึง

/เป็นไงบ้าง คิดถึงพี่ไหม?/
รอไม่ถึงสิบวินาที ข้อความก็ตอบกลับมาทันที

/คิดถึงครับ หายไปสองวันเลยอ่ะ นึกว่าลืมผมไปแล้วเสียอีก/
/ใครจะลืมแฟนได้ล่ะครับ พี่มีธุระต้องทำน่ะ/

“หึ หึ หึ ...​แฟนเหรอ?”
เสียงของ #เขา แทรกขึ้นมาระหว่างที่ผมพิมพ์แชท

“ผมก็แค่ทำตามบทน่ะ เพื่อคุณไง”
ผมรู้สึกผิดนิดๆตอนตอบ #เขา
ไม่ได้รู้สึกผิดต่อ น้อง คนนั้นหรอกนะ รู้สึกผิดต่อ #เขา ต่างหาก ที่ผมต้องไปเรียกคนอื่นว่าแฟน ต้องแสดงเป็นว่ารักเขา ทั้งๆที่แท้จริงแล้ว คนที่ผมอยากอยู่ด้วยที่สุดคือ #เขา ต่างหาก

คุณเคยรัก ช่อดอกไม้ ที่เอาไปให้แฟนเหรอ?
ผมเดาว่าไม่น่าจะเคยนะ ... หรือเคยก็แค่บางคน
สำหรับผม น้อง คนนี้ เหมือนช่อดอกไม้
ที่ผมกำลังจะเอาไปกำนัลให้คนรักของผม
น้อง คนนี้ เป็นได้แค่ ช่อดอกไม้ นี่แหละ

/อาการคุณแม่เป็นไงบ้างฮะ?/
/สบายดีครับ ไม่ต้องห่วง นี่อยากเจอพี่ไหมน่ะเรา? /

แต่ผมน่ะอยากเจอ
เพราะผมรู้ว่าร่างนั้น พร้อมแล้ว
สำหรับการสร้างสะพานเชื่อมโลกให้ #เขา
ผมอยากเจอน้องคนนี้ไวๆ
ผมจะได้เริ่มต้นขั้นถัดไปสักที

/เอ่อ ... พอดีสองสามวันนี้ ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบฮะ/

ผมได้กลิ่นแห่งการปฏิเสธ ...
ผมว่าผมไม่กลิ่นแปลกๆในบทสนทนา
แต่ ผมว่ากลิ่นแห่งความเชื่อใจก็ยังไม่จาง
/แปลว่า ยังไปเจอนายไม่ได้เหรอ? /
/ขอโทษทีนะฮะ แต่อยากมีสมาธิอ่านหนังสืออะ/

/ทำไมล่ะ มีพี่แล้ว อ่านหนังสือไม่ได้เหรอ/
/โหย ... ใครมันจะมีสมาธิเวลาอยู่กับแฟนล่ะฮะ/

/แต่พี่คิดถึงนายนะ พี่อยากเจอนี่นา/
/ผมไม่ไปไหนหรอกน่า ยังไงก็ได้เจอครับ/
/นิดนึงก็ไม่ได้เหรอ?/
ผมงัดลูกไม้อ้อนใส่ พร้อมส่งสติกเกอร์

/โห ...​อย่าทำให้ผมรู้สึกผิดดิพี่ ผมคิดถึงพี่จริงๆ แต่การสอบมันก็เป็นหน้าที่ของผมอ่ะฮะ/
เขาตอบกลับมาเป็นสติกเกอร์ทำหน้าลำบากใจ เหงื่อตก และต่อด้วยสติกเกอร์กระต่ายน้อยร้องไห้
โอเค ผมยอมแพ้ก็ได้
ไม่ต้องรีบก็ดีเหมือนกัน ผมเหนื่อยอยู่
ต่างคนต่างแยกกัน พักผ่อนตามอัธยาศัยก่อนแล้วกัน

ผมพิมพ์ตอบกลับไป
/งั้นเตรียมสอบเถอะครับ มันเป็นหน้าที่/
/พี่ไม่โกรธผมใช่ไหมครับ/
/พี่จะโกรธนายทำไมที่นายตั้งใจเรียน เด็กเอ๋ย/
/เย้ดีจัง งั้นเดี๋ยวสอบเสร็จเจอกันเลยนะครับ/
/ได้ครับ/

ยังไม่ทันจะพิมพ์อะไรต่อ ก็มีสายเรียกเข้ามาก่อน ดูจากเบอร์แล้วเป็นโรงพยาบาลที่ผมไปมาวันนี้ ทางนั้นคงจะโทรมาแจ้งเรื่องที่ผมไปขอร้องไว้สินะ ผมกดรับสาย
“สวัสดีครับ ขอสายคุณปรเมศร์ครับ”

“ครับ ผมปรเมศร์พูดครับ” ผมตอบไป เกือบลืมไปแล้วว่า กับโรงพยาบาลนี้ ผมใช้ชื่อ ปรเมศร์

“เอกสารทำลายหมดแล้วนะครับ แฟ้มผู้ป่วยทุกแฟ้มของคุณ วิภาวี วงศ์สะอาด คุณแม่ของคุณปรเมศร์” เจ้าหน้าที่รายงาน
“ผมต้องขอบคุณมากนะครับ ที่ทางโรงพยาบาลเข้าใจถึงความจำเป็นของครอบครัว” ผมเอ่ยตอบไปตามมารยาท

“ว่าแต่คุณปรเมศร์ได้เจอลูกพี่ลูกน้องหรือยังครับ?” คำถามนี้ของเจ้าหน้าที่ทำเอาผมชะงักกึก ... ไอ้ที่กำลังจะกดวางสายเป็นอันสะดุด

“ลูกพี่ลูกน้องอะไรครับ ?”
ผมถามกลับไป พยายามรักษาน้ำเสียงให้ปกติ เดี๋ยวนะ ลูกพี่ลูกน้องอะไรวะ ... ผมไปมีลูกพี่ลูกน้องตอนไหน ถ้าพูดให้ถูกคือ ไอ้นายปรเมศร์ มันจะไปมีลูกพี่ลูกน้องได้ไง มันชื่อสมมุติ
“เมื่อบ่าย หลังจากคุณปรเมศร์ออกไป มีคนเข้ามาหาถามหาคุณ วิภาวี วงศ์สะอาด ครับ เขาบอกว่าเป็นหลานชายเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ อยากเจอคุณป้าเขามาก”

“เหรอ ครับ ... เขาบอกว่าเป็นหลานชายเหรอ?”
“ใช่ครับ แต่ไม่ต้องห่วงครับ ทางเราไม่ได้ให้เขาดูแฟ้มประวัติหรอกครับ เพราะคุณปรเมศร์บอกว่าให้ทำลายแฟ้มทั้งหมดแล้ว เราก็ทำตามที่คุณปรเมศร์บอกครับ”

“ก็ดีแล้วครับ” ผมถอนหายใจ
แม้จะโล่งอก แต่ก็ยังไม่วายสงสัย
วิภาวี วงศ์สะอาด จะมีหลานชายได้ยังไง
ใน เมื่อ เธอ คน นี้ ไม่ มี ตัว ตน อยู่ จริง

“เขายังเอารูป ที่เขาถ่ายคู่กับคุณปรเมศร์ให้ผมดูเลยนะครับ เขายืนยันว่า เขาเป็นหลานชายคุณวิภาวี วงศ์สะอาดจริงๆ แล้วก็อยากเจอคุณป้าของเขามากด้วย แต่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรหรอกนะครับ”
เดี๋ยวนะ ... รูปคู่กับผม

“เขามีรูปคู่กับผมเหรอครับ?” ผมถาม “ใช่ครับ รูปถ่ายของเขายืนคู่กับคุณปรเมศร์เลย ผมเลยแน่ใจว่าเขาเป็นหลานชายของคุณวิภาวีแน่ๆ แต่ก็ทำตามขั้นตอนครับ เรารักษาความลับของคนไข้ทุกคน”

“ครับ ขอบคุณครับ”
ผมวางสาย แล้วรีบเปิดโทรศัพท์เช็ค
ไม่นะ มันต้องไม่ใช่อย่างที่ผมคิดสิวะ

มีคนอ้างว่ารู้จัก ชื่อปลอมผม
มีคนอ้างว่ารู้จัก วิภาวี วงศ์สะอาด
มีคนอ้างว่าอยากเจอ วิภาวี งงศ์สะอาด

แถมคนคนนั้น ... มีรูปที่ถ่ายคู่กับผม
ตอนนี้มือผมสั่น ...
มือผมสั่น มากเลยล่ะ
ตอนที่หน้าจอมือถือแสดงผมการค้นหา

โรงเรียนของ น้อง คนนั้น ไม่มีสอบ
มัน ไม่ มี การ สอบ ที่ เขา พูด ถึง
เขา ไม่ ต้อง อ่าน หนัง สือ

น้อง คน นั้น โกหก ผม
เอาล่ะสิ .... จะเป็นไงต่อไปเนี่ย?

แต่คงต้องมาตามอ่านในครั้งถัดไปแล้วล่ะครับ วันนี้เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ ขอบคุณทุกการติดตาม แล้วเจอกันวันอาทิตย์นะครับ สวัสดีครับ
มีใครรออ่านความหลอนต่อใน #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ หรือเปล่าครับ? #พี่ภูน้องกฤษ กลับมาแล้วนะครับ (วันนี้แอบมาเร็วหน่อย แหะๆ) มาล้อมวงอ่านกันเถอะฮะ
.......
ทวิตจบแค่นั้น …
ผมกดเลื่อนลงมาดู ไม่มีอะไรต่อ

จะมีก็แต่รีพลายหลายสิบอัน ซึ่งทุกคนคงเหมือนกันกับผมนั่นล่ะ คือไล่อ่านมาอย่างเพลิน กำลังตื่นเต้น เหมือนหนังลากมาจนถึงจุดไคลแมกซ์ เหมือนไถลสเก็ตวิ่งลงทางลาด มาด้วยความเร็วสูง
แล้วจู่ๆ … ก็โดนเบรกหัวทิ่ม
ทางขาด ไม่มีทางให้วิ่งไปต่ออย่างนั้น
ไม่ลงจบ ไม่เฉลย ไม่อะไรทั้งนั้น หายดื้อๆ

ผมกดเข้าไปอ่านรีพลายดู
เผื่อจะมีอะไรเพิ่มเติมจากในนั้นบ้าง
/ อ้าวเฮ้ย จบแค่นี้? /
รีพลายที่หนึ่ง

/ อยากฟังต่อ เล่าอีกดิ /
รีพลายที่สอง

/ น้องคนนั้นโกหกแล้วไงต่อวะ เล่าดิ กำลังพีค /
รีพลายที่สาม

/ ลากความจิตมาจนสุด แล้วหยุดที่ค้างเนี่ยนะ T^T /
รีพลายที่สี่
ผมไล่สแกนดูทั่วๆ
ไม่มีการต่อเธรดนี้อีกแล้ว
แอคเคานท์ลึกลับ หยุดเล่าเรื่องไปเฉยๆ
และทุกคนก็เหมือนกับผมคือ หาตอนต่อไปไม่เจอ
ด้วยความที่เป็นจิตแพทย์ ผมคาดว่า เจ้าของแอคเคานท์คงเป็นโรค Schizophrenia (โรคจิตเภท) อาการของเขาครบถ้วน มีความคิดแปลกๆ เชื่อแบบนั้นฝังหัว คิดว่าตัวเองปกติ แต่คนอื่นต่างหากที่ผิดปกติ
แถมยังมี auditory hallucination (ภาวะหูหลอน หูแว่ว ได้ยินเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน) อีกด้วย … จะแปลกก็แต่ว่า เขาหลงรักกับเสียงหูแว่วที่เขาได้ยิน ซึ่งในประสบการณ์ที่ผมรักษาคนไข้มา … ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้นะ

จะว่าน่ากลัว แปลกประหลาดก็ใช่
แต่ก็น่าสนใจ น่าศึกษา ด้วยเหมือนกัน
สายตาผมมาหยุดที่รีพลายหนึ่ง
เป็นรีพลายที่เพิ่งมาตอบเมื่อสักครึ่งชั่วโมงนี่เอง

/ กลับไปอ่านทวิตของกฤษต่อดิ เราว่ามันต่อกัน เฉลยทุกอย่างอยู่ในนั้น #บอกบุญคนเผือก #พี่ภูน้องกฤษ เอาให้สุดทาง จบให้บรรลัย เอาให้คนอ่านอ้าปากค้างไปเลย /
เออ ...​จริงด้วย ที่ผมมาอ่านทวิตนี้ก็เพราะว่ามันแยกออกมาจากเธรดเล่าเรื่องของน้องกฤษนี่นา ถ้าทวิตนี้มันเกี่ยวกับเรื่องของน้องกฤษ ... ตอนต่อมันก็คงอยู่ในนั้น
ในทวีตนั้นมี เธรดต่อไปอีกข้อความหนึ่ง
/ เริ่มสงสัยแล้วว่ะ นี่เรื่องจริงป่าววะเนี่ย? แม่งสยอง /

มีคนมารีพลายต่อ
/ แต่ภูแม่งตายจริงนะเว้ย กฤษแม่งก็ตาย /

/ เรื่องแต่งแม่งจะลากมาจนตายจริงเหรอวะ? /

/ ไหนๆมีคนบอกบุญแล้ว กลับไปอ่านทวีตของกฤษต่อแล้วกัน /
ผมไม่อ่านรีพลายที่เหลือแล้ว
มันคงไม่มีเบาะแสอะไรให้คิดต่อไปมากกว่านี้
กลับไปที่ทวีตเดิมของกฤษต่อ จะได้รู้ว่าเกิดอะไรหลังจากนี้

ผมกดปิดหน้าต่างนั้น
แล้วกลับไปสู่หน้าจอเดิมเมื่อกี้
หน้าจอที่ … เป็นทวีตของน้องกฤษ

……….
ผมกลับมาอยู่ในห้องนอนพี่ภู
มองสมุดบันทึกเล่มนั้นอีกครั้ง
ก่อนจะปิดกล่องและสอดมันไว้ที่เดิม

เสร็จสิ้น จบเสียที …
สมุดบันทึกของคุณภาวนา ที่ผมภาวนาว่าจะไม่คิดถึงมันอีกต่อไป ผมเข้าสู่ช่วงใหม่ของชีวิตแล้ว คือการเชื่อใจ และผมจะรักษามันไว้แบบนี้ให้ตลอด พิสูจน์แล้วว่าส่วนประกอบที่ทำให้ความสัมพันธ์หวาน คือความเชื่อใจ

ตอนนี้ผมโคตรโล่งใจ
ความรู้สึกหนักๆ ในอกหายไป
ผมหายใจได้ลึกกว่าที่เคยผ่านๆ มา
นี่สินะ คือความสบายใจ
นี่สินะ คือความโล่งใจที่ได้จากเชื่อใจ

เอ่อ … แต่ผมปวดท้องว่ะ
แหะๆ ไม่เกี่ยวกับความเชื่อใจ
ธรรมชาติของลำไส้ มันเรียกร้องได้ไม่จำกัดเวลา

ผมส่งข้อความหาพี่ภู
/ ขอเข้าห้องน้ำแป๊บนะฮะ พอดีปวดหนัก /

พี่ภูตอบกลับมา
/ ไม่เป็นไร พี่นั่งเล่นเกมรอได้ครับ /
โอเค ! ผมเข้าห้องน้ำ ปิดประตูล็อก
ถึงแม้ว่าผมจะอยู่คนเดียวในห้องพี่ภูก็เหอะ
แต่ผมติดนิสัยปิดประตู และล็อกกลอนตอนเข้าห้องน้ำ
ระหว่างที่ให้ธรรมชาติทำงานของมันไป ผมก็เปิดมือถือเล่นเกม ดูนู่นนี่ไปตามประสา พวกคุณทุกคนก็เป็นแหละ สมัยนี้ มือถือเป็นอุปกรณ์จำเป็นเวลาเราเข้าห้องน้ำ ผมนึกไม่ออกแล้วว่าชีวิตตอนที่ไม่มีมือถือ ผมเข้าห้องน้ำได้ไง
/ หน้าด้าน เราจะรอดูวันที่นายโดนพี่ภูทิ้ง ตักตวงความสุขให้เต็มที่ระหว่างที่แกยังเป็นตัวจริงชั่วคราวไปก่อนเหอะ บอกไว้เลยนะว่า พี่ภูเขาไม่เคยหยุดหรอก ถ้าเขาไม่ได้หยุดที่เรา เขาก็ไม่ได้หยุดที่นายเหมือนกัน

นาย มัน ชั่ว คราว

แน่จริงอย่าเงียบสิ ตอบกลับมาสิ อย่ามัวแต่หดหัว /
ให้ตายสิวะ …
เวลามีความสุข
มันต้องมีมารผจญตลอด

บล็อกไปก็เท่านั้น มันก็หา user หรือเบอร์ใหม่ส่งข้อความมาก่อกวนผมอีกที คือจะบอกว่าข้อความมันทำอะไรผมไม่ได้ … ก็ไม่เชิงหรอกนะ มันไม่ได้สั่นคลอนอะไรผมหรอก แต่มันน่ารำคาญ นึกออกไหม เหมือนแมลงหวี่ที่ตอมใกล้ๆ หู
ถึงมันไม่ได้สั่นคลอนเรา
แต่มันทำให้เรารำคาญ อยู่ไม่สุข
และบางครั้งนะ เราก็เผลอเอามือไปตบมัน

/ ชั่วคราวแล้วไง ตอนนี้เราก็อยู่ในบ้านเขาอยู่ดี นายเคยมีโอกาสได้คีย์การ์ด กับ กุญแจห้องคอนโดเขาไหมล่ะ บางทีคนที่อยู่หลังเส้น #ชั่วคราว อาจจะมีนายคนเดียวนะ เราว่าเราข้ามเส้นนั้นมาแล้ว /
ผมพิมพ์ข้อความนี้แล้วกดส่ง
รู้ล่ะว่า เราควรเพิกเฉยต่อเหล่าแมลงหวี่
แต่บางที เราก็ควรสั่งสอนแมลงหวี่เหล่านี้บ้าง
โอ๊ะ มีสายเข้า เป็นเบอร์ 02 แปลกๆ ปกติเบอร์พวกนี้ผมกดรับหมด คุณเข้าใจใช่ไหม? ถ้าคุณเป็นคนดังทางทวิตเตอร์ บางทีจะมีเอเจนซี่ติดต่อเข้ามาซื้อโฆษณาจากเรา นั่นเป็นเหตุผลให้ผมรับสายหมด

“สวัสดีครับ กฤษครับ”
“อยู่ในบ้านพี่ภูใช่ไหม?
จงเงียบ แล้วฟังเราดีๆ นะกฤษ
อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น อย่า ขยับ ด้วย

มี คน ดัก ฟัง เสียง นาย ได้
บน หัว นาย มี กล้อง จับ ภาพ อยู่”
ผมอยากถามเขากลับว่า ใคร ผมไม่ควรเชื่อฟังคนแปลกหน้าแปลกเบอร์ด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงเชื่อเขา …
ปากผมนิ่งสนิท ตัวผมแทบไม่ขยับ แค่ลำพังจะหายใจ ผมยังค่อยๆ ผ่อนลมเลยด้วยซ้ำ พอไม่มีเสียงเกมจากมือถือ ไม่มีเสียงพูดแล้ว ห้องพี่ภูเงียบจริงๆ ด้วยแหละ เงียบจนผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นเลย
“เราแกล้งทำเป็นส่งข้อความกวนประสาทนาย ให้นายตอบเรากลับนี่แหละ พอดีนายตอบมาว่าอยู่บ้านพี่ภู เราเลยรีบโทรหาเลย … เพราะมันไม่ปลอดภัยนะเว้ย”

“ฟังนะ นาย ต้องเชื่อเรา นะกฤษ
นาย กำลัง โดน จับตา มอง
พี่ภู กำลัง จับตา มองนาย
กล้องแอบถ่ายอยู่ด้านบนห้องน้ำ มุมใกล้ๆ ประตู มันอยู่เหนือฝ้าเพดาน นายค่อยๆมองด้วยหางตาได้ แต่ถ้านายมองเต็มๆ พี่ภูจะเห็นว่านายจ้อง แล้วมันจะจบเห่”
ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปทางเหนือประตูด้วยหางตา แม่ง ยากฉิบหาย แต่ผมเห็นจริงๆ ว่ะ มันมีส่วนของฝ้าเพดานที่แง้มไว้ เล็กๆแต่ผมว่าก็มากพอจะวางกล้องได้ … คนในสายไม่ได้โกหก

ทำไมก่อนหน้านี้ผมไม่สังเกตเลยวะ !
“เราไม่รู้ว่ากล้องมันจับเสียงได้ไหม ดังนั้น นายเงียบอย่าเพิ่งพูดอะไรดีกว่า อือๆ อาๆ ไปตามเรื่องตามราวก็พอ แล้วตั้งใจฟังเราดีๆ นะ โอเคปะ?”

“อือ ...” ผมตอบ

“นายกำลังอยู่ในอันตรายนะเว้ย”
“หื้มมมม?” ผมแปลกใจ
คือ … ก็เคยได้ยินประโยคแบบนี้นะ จากในหนัง แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินกับตัวเอง เวลาได้ยินจริงๆ แล้วเสียงคนพูดมันจริงจังมาก ผมบอกความรู้สึกไม่ถูกเหมือนกันแฮะ
“เราคือแฟนคนที่สองของพี่ภู คนก่อนหน้านายคนนึงนั่นล่ะ เราเพิ่งเจออะไรบางอย่าง และเราคิดว่า มันเกี่ยวข้องกับ … การตายของแฟนคนแรกของพี่ภู”

เขาทิ้งช่วงคำพูด ก่อนจะลดเสียงลงเบาๆ

“เราเชื่อว่า … การตายครั้งนั้น
มันจะเกี่ยวกับเราสองคนด้วย”
ประโยคนี้ของเขา ทำเอาผมกลั้นหายใจไปหนึ่งเฮือก
แฟนเก่าพี่ภูตายเหรอ? …

งั้นที่คุณภาวนาเขียนไว้ในบันทึกก็จริงน่ะสิ ?
แล้วการตายของแฟนเก่าพี่ภู เกี่ยวอะไรกับผม ?
ผมไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ เกี่ยวได้ไง ?
เฮ้ย … นี่มันอำกันเล่นหรือเปล่า?
พี่ภูแกล้งให้เพื่อนมาอำผมหรือเปล่าเนี่ย
นี่ผมเริ่มไม่สนุกแล้วนะเว้ย ล้อเล่นมันต้องมีขอบเขต

“เชื่อเรานะ นายไม่ปลอดภัยจริงๆ”
“อือ … ฮึ?” ผมหยั่งเชิงเขาด้วยน้ำเสียง

“นี่กฤษ นายเพิ่งมาถึงบ้านพี่ภูเหรอ?”
“หึ” ผมปฏิเสธด้วยน้ำเสียง
“งั้นนายกำลังจะกลับใช่ไหม?”
“อื้ออออ” และตอบรับด้วยน้ำเสียง

“งั้นดี เดี๋ยวเราจะส่งที่นัดเจอให้นาย หาเวลามาเจอเราตามนัดด้วยนะ คุยกันยาวๆ แบบนี้ไม่ปลอดภัย เดี๋ยวพี่ภูจะถามนายได้ว่าใครโทรมาหา แล้วนายจะปิดบังไม่เนียน”
“อือออออ” ผมลากเสียง แม้ปลายสายจะทำให้ผมเชื่อเขาระดับหนึ่ง (ด้วยเรื่องซ่อนกล้องไว้บนฝ้าเพดาน) แต่ให้ไปเจอเขาเนี่ยนะ? ถ้าเขาเกิดกุเรื่องทั้งหมดมา เพื่อพาเพื่อนมารุมกระทืบผมล่ะ ? ก็เป็นไปได้ปะ
“ไม่ดีกว่า” ผมตอบด้วยคำพูด มันคงหาน้ำเสียงมาแทนประโยคนี้ลำบาก “อ้าว ... โอเค นายคงไม่เชื่อใจเรา เอางี้นะกฤษ นายกำหนดสถานที่เองเลยก็ได้ เอาที่ๆ นายสบายใจ กำหนดเวลามาด้วยก็ได้ เราจะไปเจอ แบบนี้โอเคไหม?”
“อือ … ได้” ผมตอบ แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เลือกไปเจอสถานที่ๆ ผมรู้จักดีกว่า อย่างน้อยก็มีทางหนีทีไล่ เผื่อมันเตรียมคนมาแกล้งผม อย่างน้อยก็หนีได้ทัน เผื่อเรื่องทั้งหมดมันเป็นการแหกตาแกล้งกัน …

แต่ ถ้า มัน เป็น เรื่อง จริง ล่ะ ...
ผมเหลือบมองกล้องที่ซ่อนไว้บนฝ้าเพดานอีกครั้ง เพราะคำพูดของคนในสาย กับบันทึกของคุณภาวนา … มันสอดคล้อง ไปด้วยกันได้นะ

“แล้วจะส่งข้อความไป”
ผมปิดบทสนทนา เตรียมวางสาย

“นาย ต้อง เชื่อ เรา นะ กฤษ
เรา สอง คน ตก ที่ นั่ง เดียว กัน
เรา สอง คน ไม่ ปลอด ภัย
พี่ภูที่นายรู้จักน่ะ ...

เขา ไม่ ใช่ คน แบบ ที่ นาย คิด”

แล้วเขาก็วางสายไป
เหลือแต่ผม กับเสียงกดชักโครก
วันนี้เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ ขอบคุณทุกการติดตามอ่าน เจอ #พี่ภูน้องกฤษ กันอีกครั้งวันพุธค่ำๆนะครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ สวัสดีครับ
วันอาทิตย์ วัน #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ จุดที่ปริศนาหลายๆอย่างค่อยๆเริ่มคลี่ตัวออกมา จะเริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแล้วครับ #พี่ภูน้องกฤษ จะเดินไปสู่จุดจบของตัวเองยังไง มาอ่านกันฮะ
“หวัดดี ขอบคุณนะที่มาเจอ”

ผมเงยหน้าจากมือถือ … ที่จริง คนที่ควรจะพูดประโยคนี้คือผมต่างหากไม่ใช่เขา เพราะคนที่นัดเจอน่ะผม แม้ว่าจะนัดเจอเพราะเขาเป็นคนขอก็เถอะ
เขาตัวพอๆ กับผม หน้าตาไม่ได้ดีมาก แต่จัดว่าน่ารัก แม้จะมองจากมุมของผมที่เป็น ... รับ เหมือนกับเขา ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าเขาน่ารัก และเสียงของเขา คุ้นหูอย่างประหลาด

ตอนฟังผ่านโทรศัพท์ก็ไม่ชัดหรอก
แต่พอมาฟังตรงหน้าแบบนี้
ผม คุ้น กับ เสียง นี้ มาก
“ผมกฤษ” แม้ว่าการแนะนำตัวจะไม่จำเป็น แต่ผมก็ทำ เขายิ้มพลางดึงเก้าอี้ตรงข้ามผมลงนั่ง ผมไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มนั้นแปลว่าอะไร ที่แน่ๆ มันไม่ได้เป็นยิ้มประกาศสงคราม นั่นทำให้ผมอุ่นใจระดับหนึ่ง

และหวังว่าความอุ่นใจนี้
จะคงอยู่ตลอดการพบปะสนทนาครั้งนี้
ผมไม่อยากประกาศสงครามกลางร้านกาแฟ
“ผมชื่อโมเลกุล” แล้วเขาก็กลอกตาทีนึง “ผมรู้ว่าแปลก เรียกผมสั้นๆ ว่าโมแล้วกัน นี่อยู่กับชื่อนี้มา 17 ปีก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมพ่อแม่ตั้งชื่อเล่นให้ว่าโมเลกุล บ้าบอ” แล้วเขาก็แค่นเสียงหัวเราะ
ผมยิ้ม และไม่มีคอมเมนต์อะไรกับเรื่องนี้ ชื่อจริงกับชื่อเล่นของผมชื่อเดียวกัน ผมก็ไม่รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่ผมก็อยู่กับมันมานานพอๆ กับเขาโดยไม่มีคำถามว่าทำไม แม่ตั้งชื่อผมแบบนี้

“หวัดดีโม”
“หวัดดีกฤษ”
“เราข้ามบทสนทนาที่ไม่จำเป็นไปเลยได้ไหม?” ผมยิงเข้าสู่ไคลแมกซ์ของการสนทนาวันนี้ทันที แม้ไม่อยากประกาศสงคราม แต่ผมไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะมา make friend กับใครอยู่แล้วในวันนี้ ผมมาเพื่อรู้สิ่งที่ผมอยากรู้

ใช่ผมอยากรู้ อยากรู้เรื่องที่โมกำลังจะบอก
แต่ผมไม่บอกเขาหรอกนะว่าผมอยากรู้ และนั่นยากมาก เพราะน้ำเสียงของผมมันกลบให้เนียนยากเหลือเกิน แต่ก็นั่นล่ะ ถึงผมไม่อยากรู้ โมก็คงอยากเล่าอยู่แล้ว อย่าลืมสิ เขาเป็นคนขอร้องเพื่อจะเจอผมเอง

“ได้ นายกำลังอยู่ในอันตราย”

โมทิ้งตัวลงนั่งพิงพนักเก้าอี้ และหยุดประโยคไว้แค่นั้น
บริกรเดินเข้ามาวางเมนู และบอกว่าอีกสักครู่จะมารับออเดอร์ ต่อเมื่อเธอเดินคล้อยหลังไปแล้ว โมถึงได้พูดต่อ “นาย กับ ผม เราสองคน อยู่ในอันตราย”

ไม่ต้องมีกระจกวางตรงหน้า
ผมก็รู้ว่าคิ้วผมขมวดอัตโนมัติ

“อันตราย ยังไง?”​
“พี่ภู เป็นอันตรายกับเราสองคน”

ผมส่ายหน้า พ่นลมหายใจออกจมูก
“กะอีแค่เขาซ่อนกล้องไว้ในห้องน้ำแค่นั้น นายบอกว่ามันเป็นอันตราย?” ท้ายประโยค เสียงผมสูงขึ้นเล็กน้อยเป็นการหยั่งเชิงถาม

“เว่อร์ไปหรือเปล่า? เออ แล้วอีกอย่างนะ ทำไมนายรู้ว่าตอนนั้นผมอยู่ในห้องน้ำ?”
ใช่ เพราะตอนที่ผมรับสาย
เขาบอกให้ผมเงยหน้าดูฝ้าเพดาน
แปลว่าตอนนั้น เขารู้ว่าผมอยู่ในห้องน้ำ
“ในห้องน้ำเสียงมันก้อง แค่นายฮัลโหลเราก็รู้แล้วไหม ว่านายอยู่ในห้องน้ำ” โมยักไหล่ บริกรเดินเข้ามารับออเดอร์พอดี เขาหันไปสั่งชามะนาว … เครื่องดื่มกลางๆ ดี เหมือนคนที่อยู่ระหว่างทาง ไม่โตเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ไกลกว่าจะบอกว่าตัวเองเป็นเด็ก
โอเค นั่นสมเหตุสมผล
เขาเป็นคนช่างสังเกตกว่าที่ผมคิด
เขา ดู เป็น คน ฉลาด กว่า ที่ ผม คิด
ตอนแรกที่รู้จักเขา (ผ่านการระรานของเขา) ผมนึกว่าเขาจะเป็นเด็กโง่ๆ หัวรั้น และไม่เอาใคร นิสัยเด็กๆ แต่ดูแล้วไม่มีอะไรถูกสักอย่าง (ยกเว้นอาจจะเรื่องรั้นๆ) ผมว่าเขาฉลาดและดูน่าคบอยู่ (ถ้าไม่มีเรื่องที่เขาระรานผมแต่แรกนะ)
“ตอนเราคบกับพี่ภู เราเจอกล้องนั้น พอเราถาม เขาก็บอกแค่ว่าเอาไว้กันขโมย” ชามะนาวถูกยกมาเสิร์ฟ โมดูดมันหนึ่งอึกแล้วเล่าต่อ “แต่เราว่าขโมยจะเข้าห้องน้ำเหรอ? บ้าบอ”
ผมพยักหน้า “เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามเรื่องปลอดภัย อันตรายอยู่ดีปะ?” นี่ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้กวนตีนอยู่นะ แต่ฟังเองยังรู้สึกเลยว่ามีดีกรีความกวนตีนอยู่ ระยะทางระหว่างจุดนี้ถึงจุดตีกันกลางร้านกาแฟ เริ่มแคบลงแฮะ

โมหรี่ตามองผมแว่บหนึ่ง
“รู้จักแฟนเก่าพี่ภูบ้างไหม?”
ผมส่ายหน้า
“ไม่อะ นายเป็นคนแรก”

“เรารู้จักคนนึง ชื่อวิช”
“แล้วยังไง?”

โมไม่ตอบ แต่เปิด Google ค้นอะไรสักอย่าง แล้วยื่นมือถือเขามาให้ผมดู มันเป็นข่าวมรณกรรมของเด็กวัยรุ่น ที่เสพยาเสพติดเกินขนาด

“นี่วิชเหรอ?” ผมถาม
“ใช่สิ” โมตอบ
“เราก็ยังไม่เข้าใจ”
“งั้นฟังนี่ต่อแล้วจะเข้าใจ”

เขาเปิดคลิปจาก Twitter
ในนั้นเป็นคลิปจากแอคเคานท์วิช
แล้วโมก็กด play “หวัดดีเพื่อนๆ”​

เขาให้ผมฟังแค่นั้น
เสร็จแล้วโมก็เปิดคลิปอีกอัน
“หวัดดีเพื่อนๆ” เป็นเสียงของเขาเอง
แล้วโมก็เปิดคลิปอีกอัน
ซึ่ง เป็น คลิป ของผม …
“หวัดดีเพื่อนๆ” แล้วเขาก็กดหยุด

“เรา สาม คน
เสียง เหมือน กัน”

ไม่ต้องให้เขาพูด
ข้อสรุปนี้ก็เกิดในใจผมแล้ว
ที่ตอนแรกว่าเสียงเขาคุ้นๆ มันไม่ใช่แค่คุ้น ...

มัน เหมือน ฟัง เสียง ตัว ผม เอง ต่าง หาก
“พี่ภู ไม่ได้รักเรา ไม่ได้รักวิช แล้วก็ไม่ได้รักนาย” โมเก็บมือถือแล้วกอดอก “เขารักเสียงของพวกเราสามคนต่างหาก” แล้วก็หรี่เสียงลงจนเกือบกระซิบ ยื่นหน้าข้ามฟากโต๊ะมาจ้องหน้าผม

“นายอาจจะไม่เชื่อ
นายอาจจะรู้สึกว่า นี่มันแปลกเกินไป
แต่ข้อเท็จจริงมันกองตรงหน้านายแล้วนะเว้ย
เขา ไม่ ได้ รัก พวก เรา
เขา รัก #เสียง ของ พวก เรา

แล้ววิธี รัก ของเขา
มันจะเริ่มแปลกๆ อันตราย
หลังจากที่เราผ่านจุดที่ เชื่อใจ เขา”
รอยยิ้มบนหน้าของโมเปลี่ยนไป มันยังไม่ใช่ยิ้มประกาศสงครามอยู่ดี แต่เหมือนเป็นยิ้มเดิมพัน เหมือนเวลาที่คุณลงพนันหมดหน้าตัก พร้อมกับถือไพ่ที่คิดว่าเหนือกว่าในมือ แต่ก็ยังกังวลบ้าง นั่นแหละยิ้มเขาเป็นแบบนั้น
“เราไม่ผ่านจุดนั้น เราเป็นคนขี้วิตก กังวล โวยวาย สุดท้ายพี่ภูก็เลิก ทิ้งเราไปเอง เขาบอกว่าเขาไม่ชอบเด็กเจ้าปัญหาไม่รู้จักเชื่อใจ แบบวิช ตอนนั้นแหละที่ทำให้เราคิดว่า เขาคงแค่ยึดติดกับแฟนเก่า”
โมยกชามะนาวมาจิบอีกครั้ง “เราก็ประสาเด็กพาลน่ะนะ รีบกลับไปหาเลยว่าแฟนเก่าเขาทำไม ยังไงเหรอ เขาถึงได้ยังฝังใจกับแฟนเก่ามากนัก แต่ไปๆ มาๆ เรากลับเจอว่า แฟนเก่าเขาโดนฝังไปแล้วต่างหาก แบบ literally literal เลยนะ โดนฝัง”
ผมนิ่ง ไม่ได้ถาม แต่ก็ยังไม่เชื่อ
ผมไม่ได้ปฏิเสธ แต่ผมก็ไม่ได้เปิดใจ
ผมรับฟัง แต่ผมก็ไม่ได้ ประทับเรื่องนี้ลงสมอง
“มันแปลกนะ มันแปลก คนที่เพิ่งรักษาตัวเองจากการติดยาหายขาดจนชีวิตดีขึ้น กลับไปเสพยาจนเกินขนาดแล้วตาย เราว่ามันแปลก”

โมเคาะนิ้วเป็นจังหวะกับโต๊ะ มองทะลุนัยน์ตาผม
“นายไม่คิดว่าแปลกเหรอ?”

“คนเคยเสพ กลับไปเสพซ้ำ มันแปลกตรงไหน?”
ผมแย้ง
“ไอ้เคยเสพ กลับไปเสพน่ะ ไม่แปลกหรอก”
นิ้วของโมที่เคาะเป็นจังหวะบนโต๊ะหยุด

“แต่เสพจนเกินขนาดแล้วตายต่างหากที่แปลก ถ้านายเสพยามาก่อน นายต้องมีประสบการณ์สิ นายต้องรู้สิว่าเสพเท่าไหร่ได้ เท่าไหร่เกิน”

“คนที่คุ้นเคยกับยา
แต่ดันเสพจนเกินขนาด
มันไม่ชวนให้คิดว่าแปลกเหรอ?”
“งั้นนายคิดว่า พี่ภูเป็นคนทำเหรอ?”
ผมถาม

“ตำรวจไม่คิด คนอื่นไม่คิด เราก็ไม่คิดนะ” โมทิ้งจังหวะ จนผมเกือบจะอ้าปากถาม แต่เสี้ยววินาทีในจังหวะนั้น เขาก็คายประโยคสุดท้ายออกมา “แต่เราสงสัย”

“และเรา ก็รู้ว่า …
นาย ก็ เริ่ม สง สัย เหมือน เรา”
ผมพยายามซ่อนสีหน้า แต่คิดว่าคงไม่สำเร็จ สายตาของโมมองทะลุเข้าไปในถึงความทรงจำอันน่าสงสัยที่นอนหลับสนิทในหัวของผม คำพูดของคุณภาวนา ในสมุดบันทึก
/ ยาหายไป 30 เม็ด
ฉันไม่ได้ใช้แน่นอน ฉันรู้ตัวดี
ฉันจำเม็ดยาได้ ฉันนับมันอยู่ทุกๆ วัน

ยา หาย ไป ไหน ?

ฉันสงสัยว่าเป็นเขา
ฉันรู้เลยล่ะ ว่าเป็นฝีมือเขา
เขาเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกวัน ทุกวัน
ฉัน ไม่ เข้า ใจ

ฉันบอกทุกคนว่า เขาอันตราย ไว้ใจไม่ได้
แต่ไม่มีใครเชื่อเลย ทุกคนบอกว่าฉันเป็นบ้า
แต่ฉันไม่ได้เป็นบ้า ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่ลูกฉันแน่ๆ

เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ภู
เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ลูก ฉัน /
ตรงที่บอกว่า “ฉันสงสัยว่าเป็นเขา” กับ “ยาหายไป 30 เม็ด” … ถ้ายานั้นมันไปโผล่ที่ร่างกาย วิช ล่ะ? ถ้าความสงสัยว่าเป็นเขา ของคุณภาวนา หมายความถึง กรณีที่วิชตายเพราะเสพยาเกินขนาดล่ะ … จุดเชื่อมโยงมันมีสิ่งเดียวเท่านั้น … คือพี่ภู

มันสอดรับกันเกินไป
มันลงตัวจนเกินไป …
“ผมน่ะรอดตัวแล้ว”

โมหยิบกระเป๋าสตางค์ ควักแบงค์ร้อยออกมาวางไว้ข้างๆแก้วชามะนาว เขาเตรียมทำท่าเหมือนจะลุกเดินจากไป “แต่นายเลือกเองแล้วกันนะจะไป หรือจะอยู่ต่อ แล้ว รอตาย … แบบวิช”

“เฮ้ย เดี๋ยวสิ”
ผมเรียกเขาไว้ก่อน
“เราจะรู้ได้ไงว่านี่ไม่ใช่แผนนายแกล้งเรา ให้เราเลิกกับพี่ภู เพื่อนายจะได้กลับไปหาพี่ภูอีกน่ะ”

ปากผมถามนะ แต่เชื่อไหม ในหัวผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยสักนิด ไม่มีแม้สักเสี้ยวเลยที่ผมคิดว่าโมเขาจะวางแผนแบบนั้น
เขายิ้มอ่อนๆ เหมือนสงสารในตัวผม “ไม่ใช่แค่วิชหรอกนะ นายลองไปหา วิภาวี วงศ์สะอาด ดูก็ได้ เผื่อนายจะเข้าใจอะไรมากขึ้น”

“ใครกันน่ะ วิภาวี วงศ์สะอาด”
ผมงง ตัวละครใหม่อะไรอีกวะ
“มี #คนคนหนึ่ง ให้คีย์เวิร์ดนี้ผมมา
ผมลองหาแล้ว แต่ผมยังหาไม่เจอ
แต่ไม่สำคัญหรอก ผมเชื่อไปแล้ว

แต่ถ้านายยังไม่เชื่อ …
ผมว่านายควรลองหาคนนี้ให้เจอนะ
วิภาวี วงศ์สะอาด … นายจะเข้าใจเพิ่ม”​

แล้วเขาก็เดินออกไป
อีเหี้ยยยย … อะไรอีกวะเนี่ย
ทีแรกก็วิช ต่อมาก็วิภาวี วงศ์สะอาด
แถม โมยังหลุดถึง #คนคนหนึ่ง ด้วย
คนคนหนึ่ง ใครวะ ให้เบาะแสห่าเหวอะไร
ทำไมต้องให้เบาะแสไปหา เฉลยมาเลยไม่ได้หรือไงวะ
แม่ง ไม่น่ามาเจอเลยว่ะ

ผมหงุดหงิด โทสะที่เมื่อกี้นี้อยู่กลีบไหนของสมองก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็เติบโตขึ้นมาจนห่มคลุมทุกความคิดในหัวผมเสียสิ้น ตอนนี้หงุดหงิดโม และที่ยิ่งทำให้หงุดหงิดทวีไปอีกคือ ไม่รู้ว่าหงุดหงิดอะไร
โมเหรอ? หรือตัวผมเอง? หรือ #คนคนนั้น ที่โผล่มาให้เบาะแสกับโม แล้วไม่บอกอะไรต่อ แถมยังบอกให้โมเอาเบาะแสนี้มาทำให้ผมยิ่งสับสนว้าวุ่นอีกด้วย แม่งเอ้ย
ผมเรียกพนักงานเก็บเงิน ระหว่างที่รอ ก็เปิดหาอะไรดูใน IG ไปเรื่อยเปื่อย วันนี้ของด Twitter หนึ่งวันนะ ถ้าเข้าไประหว่างที่หงุดหงิด มีหวังทวีตอะไรบ้าๆ บอๆ แน่นอน ผมไม่อยากดูแย่ในนั้น

แล้วก็โดยอัตโนมัติ
ผมเปิดเข้าไปในดูใน IG พี่ภู
พอย้อนกลับขึ้นไปเก่าๆ
เออว่ะ ก่อนผม เขามีรูปคู่กับ โม
ก่อนหน้านั้น เขามีรูปคู่กับ วิช
และก่อนหน้าวิช … ไม่มีรูปคู่กับใคร
ผมไล่ไปดูไปเรื่อยๆ ยอมรับนะ ว่าหน้าหล่อๆ ของพี่ภู รอยยิ้มของเขา ช่วยให้ความหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน เคลือบแคลงของผมค่อยๆ แผ่วลงไป เขารักผมนะเว้ย เขาเชื่อใจผมด้วย ไม่ใช่ผมเชื่อใจเขาอย่างเดียว นี่ไง คีย์การ์ด กุญแจคอนโดคือข้อพิสูจน์
เรื่องเสียงที่เหมือนกัน
เรื่องวิชที่ตายเพราะเสพยา
เรื่องบันทึกของคุณภาวนาเล่มนั้น
มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ … มันอาจจะเป็นเรื่องหินกรวดขี้ปะติ๋วในการเดินคู่กันของผมกับพี่ภูก็ได้ ความเชื่อใจมันควรจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า คือมีอุปสรรค แต่เราก็จะเคาะ จะเกลี่ยให้มันออกไปจากเส้นทางของเรา
ผมตัดสินใจ ไม่เชื่อโม
มันมีมูลบ้าง แต่ไม่มีน้ำหนัก
เพราะตอนนี้ พี่ภูมีน้ำหนักในใจผมสุด
ปล่อยเขาไปเถอะ ให้เขาอยู่ในโลกแห่งความสงสัย ไม่เคยได้ยินหรือไง หยุดสงสัย แล้วได้ความสุข ปัญหาอยู่ที่เขา อยู่ที่วิช อยู่ที่คุณภาวนาต่างหาก ไม่ใช่อยู่ที่พี่ภูเสียหน่อย ผมกับพี่ภูไม่ได้มีปัญหาอะไรกันนี่หว่า
จนกระทั่งผมไล่มาถึงรูปพี่ภูที่ถ่ายคู่กับแม่ … คุณภาวนา

พี่ภูลงเมื่อสองสามวันก่อน ข้างล่างเป็น caption น่ารักๆ “พาคนป่วยมาหาหมอตามนัด ดูเหมือนพี่สาว แต่ที่จริงนี่แม่นะ”​ เห็นไหม แม้จะมีรอยร้าวในครอบครัวบ้าง แต่เขาก็รักแม่
คุณภาวนาดูสวยงามตามวัย ชุดที่เธอใส่ดูรู้ว่าเป็นคนมีฐานะ ใส่ใจในการแต่งตัว ดูไม่เหมือนคนป่วยเลย สิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่าเธอมาหาหมอ และอยู่ในรพ. คือสายรัดข้อมือที่เธอใส่อยู่ …

เอ๊ะ … เดี๋ยวนะ
ผมขยายถ่างรูปนั้นดู
ด้วยกำลังขยายมากสุดที่ IG จะอนุญาต
ตรงสายข้อมือนั้น ...
ไม่ได้เขียนว่า ภาวนา

แต่มันเขียนว่า
วิภาวี วงศ์สะอาด

……….
จุดหักเหมาถึงแล้ว คงต้องรอไปอ่านต่อในพาร์ทถัดไปแล้วล่ะครับ ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ นะครับ #พี่ภูน้องกฤษ ใกล้จบแล้ว ^^ สวัสดีครับ
ขอโทษทีมาช้าไปหน่อยครับ #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ตอนไคลแมกซ์มาแล้วครับ มาล้อมวงกันอ่านเหอะครับ
“ขอโทษนะครับ เราให้ข้อมูลไม่ได้”​
เจ้าหน้าที่ปฏิเสธผมด้วยรอยยิ้ม

“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะครับ?” ผมถาม
“การรักษาความลับของคนไข้เป็นจรรยาบรรณของแพทย์ และของโรงพยาบาลครับ”

“แต่ผมเป็นหลานคนไข้นะครับ”​
ผมยังคงพยายามต่อไปอย่างไม่ลดละ หยิบเปิดมือถือให้เจ้าหน้าที่ดูรูปที่ผมถ่ายคู่กับพี่ภู
“นี่เป็นรูปที่ผมถ่ายกับพี่ภู ที่เป็นลูกชายของคุณ วิภาวี วงศ์สะอาด ไงครับ” ตอนที่โชว์รูปให้ดู บอกตรงๆ ผมก็กลัวโป๊ะเหมือนกันนะ แต่เจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมจึงพูดต่อ
“ผมเป็นญาติ พอดีผมไปอยู่ต่างประเทศมานาน กลับมาก็ติดต่ออะไรไม่ได้ เลยมาถามจากที่นี่น่ะครับ จำได้ว่าตอนนั้นคุณป้าเข้ารับการรักษาที่นี่”

รู้น่า ว่ามันฟังดูงี่เง่ามาก
แต่ผมโกหกไม่เก่งนะเว้ย แต่งเรื่องไม่เก่ง
นี่ก็พยายามปั้นเรื่อง หาเหตุผลอย่างที่สุดแล้ว
ก็ได้แต่หวังว่ามันจะเนียน
แต่ตอนนี้ เนียนไม่เนียนก็คงไม่เกี่ยวแล้ว
เพราะมันไม่ได้ผล เขาไม่ให้ข้อมูลคนนอก
“ครับ ทราบครับ เห็นจากรูปคู่กับคุณปรเมศร์แล้ว แต่ทางเราก็ให้ข้อมูลไม่ได้จริงๆ ครับ อยากให้คุณเข้าใจด้วยว่า เราทำตามนโยบายของโรงพยาบาล กฏหมาย และจรรยาบรรณครับ” แม้จะสุภาพ แต่มันก็เป็นคำปฏิเสธอยู่ดี
“ยังไงก็ไม่ได้เหรอครับ? ผมคิดถึงคุณป้ามากเลยนะฮะ”
ผมลองเป็นครั้งสุดท้าย ใช้สายตาออดอ้อน

“ไม่ได้จริงๆ ครับ ขอโทษด้วยนะครับ”
ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ได้ผล ไม่เซอร์ไพรส์เท่าไร
ผมเดินออกมาจากเคาน์เตอร์โรงพยาบาลอย่างผิดหวัง เอาน่า อย่างน้อยก็ได้ข้อมูลว่าพี่ภู กับ แม่ (ซึ่งชื่อ ภาวนา หรือ วิภาวี วงศ์สะอาด กันแน่ ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้ว) มาใช้บริการที่นี่อย่างแน่นอน
แต่ทำไมพี่ภูต้องใช้ชื่ออื่น
ทำไมเป็นปรเมศร์ ทำไมไม่ใช่ภูเบศร์
แสดงว่าวิภาวี วงศ์สะอาด ก็น่าจะเป็นชื่อสมมุติ
“หรือเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่ามารักษาโรคจิตเวช …” นั่นก็พอฟังสมเหตุสมผล แต่เดี๋ยวนี้ ยังมีคนอับอายเรื่องเป็นโรคจิตเวชอยู่อีกเหรอ? สมัยนี้มีแต่คน “อยากเป็น” โรคจิตเวชเถอะ แทบจะวินิจฉัยกันเองโดยไม่เจอหมอแล้ว
อุตส่าห์มาที่นี่
นึกว่าจะได้ข้อมูลเบาะแสอะไร
สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวกลับไปอยู่ดี

ทีแรกก็ว่าจะปล่อยผ่านเรื่องที่โมเล่าแล้วเชียวนะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่า ชื่อ วิภาวี วงศ์สะอาด มันไปตรงพ้องกับในรูปของพี่ภูจริงๆ แบบนี้เรื่องที่โมเล่า ก็ดูเหมือนจะมีมูลอยู่บ้าง
ผมไม่ได้บอกว่าผมเชื่อเขาทั้งหมดนะ มันแค่พอมีมูลให้ผมคุ้ยต่อไปได้ และผมไม่ได้คุ้ยเพราะสงสัยพี่ภูด้วย ผมคุ้ยเพราะว่าผมอยากจะพิสูจน์ว่าไอ้สิ่งที่โมมันพูดมาทั้งหมดน่ะ ไร้สาระ ต่างหาก

แต่สุดท้ายก็เจอทางตันอยู่ดี
ไม่มีข้อมูอะไรให้ผมหาทางไปต่อได้
ทุกเบาะแสที่ได้มา พาผมมาถึงจุดทางตัน
ผมเดินเข้าร้านกาแฟในเขตโรงพยาบาล คอแห้ง ผมอยากได้น้ำอะไรหวานๆ เย็นๆ กินสักหน่อย ที่มันไม่ใช่กาแฟ หวังว่าเขาจะมีพวกอิตาเลียนโซดา หรืออย่างน้อยก็ชามะนาวนะ แม้ผมจะไม่ชอบก็เถอะ แต่ก็ดีกว่าการกินกาแฟตอนนี้

“เอ่อ มีอิตาเลียนโซดาไหมครับ?”
“มีค่ะ มีพีช กับ มะม่วง รับรสไหนดีคะ?”
“เอา พีชแล้วกันครับ”
“พีชอิตาเลียนโซดา 70 บาทค่ะ”

ผมวางมือถือบนเคาน์เตอร์ แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์มาเปิด จังหวะที่วางมือถือ หน้าจอของผมมันก็วาบขึ้นมาเป็นภาพ BG ที่เป็นผมยืนอยู่กับพี่ภู ก็รูปเมื่อกี้นี้นั่นแหละที่โชว์ให้คุณเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลดู แล้วเขาเรียกว่า คุณปรเมศร์
“อ้าว … คุณคนนั้นนี่นา รู้จักกันเหรอคะ?”
พี่พนักงานร้านกาแฟทัก เมื่อเห็นภาพผมกับพี่ภู

“เอ่อ ... หมายถึง ใครครับ?”
“คนในรูปน่ะค่ะ เขามาโรงพยาบาลนี้บ่อยๆ ฉันจำได้”
“อ่อ … เขาเป็น” ผมทิ้งจังหวะนิดนึง “เขาเป็นพี่ชายผมเองครับ ลูกพี่ลูกน้องน่ะ” ถ้าเธอคนนี้จำพี่ภูได้ ผมอาจจะใช้ประโยชน์จากการถามข้อมูลได้ ดังนั้นต้องดึงตัวตนปลอมๆ ออกมาคุยก่อนว่าผมเป็นลูกพี่ลูกน้อง
“พี่ชายผมมาบ่อยเหรอครับ?” ผมถาม
เธอพยักหน้า “บ่อยค่ะ เขาพาแม่มารักษา เป็นคนน่ารักมากเลย นั่งประกบแม่ตลอดเลยล่ะค่ะ”

ผมพยักหน้าตาม
“อือ … ใช่ฮะ พี่เขาเป็นคนห่วงแม่น่ะ”
“อิตาเลียนโซดาได้แล้วค่ะ วันก่อนก็เห็นเขาเพิ่งมาค่ะ หลังจากไม่ได้เห็นเขานานแล้ว” แล้วเธอก็ยื่นแก้วเครื่องดื่มส่งให้ผม “คุณแม่ที่เขาพามารักษาเสียไปแล้วน่ะค่ะ”

มือผมค้างกลางอากาศระหว่างที่เอื้อมไปหยิบแก้วอิตาเลียนโซดา “หืม … ว่าไงนะฮะ?”
“อ้าว … ไม่ทราบเหรอคะ? ก็คุณแม่ของลูกพี่ลูกน้องของคุณน่ะค่ะ ที่พาเขาพามารักษาที่นี่ เสียไปแล้วค่ะ วันก่อนเขามาจัดการเอกสารที่คั่งค้างที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ นัดทนายกับทีมมาคุยกันที่ร้านกาแฟนี้ด้วย พอดีพี่แอบได้ยินน่ะ”
“น่าเสียดายนะ เขาหล่อดี พี่ชอบมองเวลาเขามา ต่อไปคงไม่ได้เจออีกแล้วล่ะ” แล้วนางก็หันไปทำอย่างอื่นต่อ ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่ตรงเคาน์เตอร์กาแฟตรงนั้น

แม่พี่ภูตายไปแล้วเหรอ?
แล้วทำไมพี่ภูบอกว่า … ไปหาแม่ล่ะ
พี่ภูโกหกผมเหรอ? … ทำไมอ่ะ?
ผมนึกถึงสมุดบันทึกเล่มนั้น
ผมนึกถึงความกลัวที่แทรกในทุกตัวอักษร
ผมนึกถึงอารมณ์ของคุณ ภาวนา ที่เขียนบันทึก
/ ฉันรู้เลยล่ะ ว่าเป็นฝีมือเขา
เขาเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกวันๆ

ฉัน ไม่ เข้า ใจ

ฉันบอกทุกคนว่า เขาอันตราย ไว้ใจไม่ได้
แต่ไม่มีใครเชื่อเลย ทุกคนบอกว่าฉันเป็นบ้า
แต่ฉันไม่ได้เป็นบ้า ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่ลูกฉันแน่ๆ

เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ภู
เด็ก คน นี้ ไม่ ใช่ ลูก ฉัน /
วิช ตาย …
คุณภาวนา น่าจะตาย …
โม บอกว่าการตายของวิช น่าสงสัย

ทีแรก เรื่องสมุดบันทึกของคุณภาวนา
ผมปล่อยผ่านไปแล้วนะ ไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยเลย

แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่แล้ว
มันคือสมุดบันทึกของคนที่ตายไปแล้ว
และก่อนตาย คนๆ นั้นกำลังกลัว หวาดระแวง
เธอ หวาดระแวงลูกชายตัวเอง
เธอ กลัวว่าเขาจะทำอันตรายกับเธอ
แล้วเธอ … ก็ตายไปจริงๆ

และที่มันจี๊ดที่สุดในชุดข้อเท็จจริงนี้คือ
พี่ ภู โก หก ผม เรื่อง แม่ ของ เขา
พี่ภูบอกว่า แม่เขายังอยู่ พี่ภูบอกว่า เขาต้องมาหาแม่เขา ทั้งๆ ที่ แม่ของเขา ตายไปแล้วนี่นะ ตอนนี้ แม้ข้อชวนสงสัยจะเยอะไปหมด แม้ความจริงจะยังไม่ปะติดปะต่อมากนัก แต่มันข้อหนึ่งที่กระจ่างชัดที่สุดสำหรับผมตอนนี้
พี่ภู ไว้ใจ ไม่ได้
เขามี บางอย่าง ที่ปิดบังผม
และ ไอ้บางอย่างที่ปิดบังผมไว้ … มันน่ากลัว

เสียงข้อความเข้า …
ถึงจะไม่ดัง แต่มันทำเอาผมสะดุ้ง
พอหยิบมือถือมาดู ชื่อคนส่ง ทำเอาผมมือเย็น

พี่ภู ….
ผมกดเข้าไปดูข้อความ

/ เป็นไงบ้าง คิดถึงพี่หรือเปล่า? /
ทำไมข้อความมาตอนนี้? ตอนที่ผมกำลังมาตามขุดคุ้ยเขาเนี่ยนะ? มาตอนที่ผมเจอเบาะแสสำคัญ … ราวกับเขารู้การเคลื่อนไหวของผม ผมลนลานมือสั่น เหงื่อแตก จะตอบอะไรดีวะ หรือไม่ตอบดี แต่ถ้าไม่ตอบ เขาก็จะสงสัยแน่ๆ

/ คิดถึงครับ หายไปสองวันเลยอ่ะ นึกว่าลืมผมไปแล้วเสียอีก /
พิมพ์ตอบแล้ว ผมก็นึกภาวนาขอให้เขา read แล้วเงียบไป แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ แป๊บเดียวเสียงข้อความก็เข้า พี่ภูตอบกลับมาอย่างไว

/ ใครจะลืมแฟนได้ล่ะครับ พี่มีธุระต้องทำน่ะ /
ธุระ … ผมหันไปมองรอบๆ โรงพยาบาล ธุระที่นี่เหรอ? ธุระเกี่ยวกับเอกสารของแม่ที่ตายไปแล้วเหรอ? ธุระอะไร ธุระสร้างเรื่องหลอกผมหรือเปล่า? ธุระปิดบังเรื่องราวทั้งหมดงั้นเหรอ …
ผมเริ่มกลัวแล้วล่ะ
ผมว่า ผมไม่รู้จักเขาสักนิด
ความกลัวที่เคยอยู่ในหัวคุณภาวนา
ตอนนี้มันค่อยๆ ย้ายมาครอบงำผมแล้ว ...​

ผม กลัว พี่ ภู จับ ใจ
เขา เป็น ใคร ? เขา ทำ อะไร ?
ที่แน่ๆ มันไม่น่าจะใช่เรื่องดีๆ แน่นอน
เอาล่ะ คำถามถัดมา ผมควรทำยังไง?
ลุยต่อ? หรือว่าพอ แล้วเข้าเกียร์หนี?

/ อาการคุณแม่เป็นไงบ้างฮะ? /

ผมลองพิมพ์ถามกลับไปดูเป็นการหยั่งเชิง ดูสิว่าเขาจะตอบว่ายังไง จะยอมบอกผมไหมว่าแม่ตายไปแล้ว … หรือโกหกต่อ อย่างน้อย มันจะช่วยให้ผมตัดสินใจก้าวถัดไปของผมได้
ตอนที่กด send ในใจผมนึกขอนะ ขอให้เขาตอบกลับมาเป็นความจริง ขอให้ทุกสิ่งที่ผมกำลังระแวง เป็นแค่ความฟุ้งซ่าน ขอให้จริงๆ แล้วไม่มีอะไร เป็นเพียงเพราะผมอ่านนิยายสอบสวนมากไป … ผมขอ

เสียงข้อความเข้า หน้าจอกระพริบ
ผมกดเข้าไปดูคำตอบที่จะบอกทางที่ผมควรเลือก

/ สบายดีครับ ไม่ต้องห่วง /
ไม่เลย … เป็นอีกครั้ง ที่คำขอของผมมันไม่เป็นตามที่ขอ เขาโกหกกลับมา ราวกับว่าแม่ที่กลายเป็นเชิงตะกอนไปแล้วของเขายังมีชีิวิต ยิ้มหัวเราะมีความสุขอยู่กับเขา … พี่ภู พี่เป็นใครกันครับ พี่ต้องการอะไร

/ นี่อยากเจอพี่ไหมน่ะเรา? /
เชี่ย!!!! เอาแล้วไงกู ยังไม่ทันจะได้คำตอบ ข้อสรุปห่าเหวอะไรเลย พี่ภูถามแล้วว่าอยากเจอไหม จะให้ทำยังไงดีวะ ตอนนี้ผมกลัวเขาไปแล้ว ผมไม่รู้แล้วว่ากำลังคุย กำลังดีล … กำลังรักกับใคร อะไร ผมไม่รู้กระทั่งว่า จริงๆ แล้วเขารักผมไหม
เอาไงดีวะ เอาไงดี
หัวผมมันสับสนนะ แต่มือผมไวกว่า
ในขณะที่ยังไม่รู้จะทำอะไร มือผมพิมพ์ตอบกลับไปแล้ว
/ เอ่อ ... พอดีสองสามวันนี้ ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบฮะ /

เชี่ยเอ้ยยยย ไอ้กฤษ โกหกไม่เนียนเลยมึง สอบห่าอะไรช่วงนี้เดือนนี้วะ!!! พี่ภูเขา read ไปแล้วด้วยจะ unsend ก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่ภาวนาขอให้เขาเชื่อแล้วกัน
/ แปลว่า ยังไปเจอนายไม่ได้เหรอ? /
เขาพิมพ์กลับมาถาม ผมรีบตอบ

/ ขอโทษทีนะฮะ แต่อยากมีสมาธิอ่านหนังสืออะ /
คุณพระคุณเจ้า ช่วยให้เขาเชื่อผมทีเหอะนะ

/ ทำไมล่ะ มีพี่แล้ว อ่านหนังสือไม่ได้เหรอ /
พี่ภูยังจะ พยายามอ้อนผมอีกแฮะ
/โหย ... ใครมันจะมีสมาธิเวลาอยู่กับแฟนล่ะฮะ/
ผมพยายามพิมพ์ตอบกลับไปให้เหมือนอารมณ์ปกติทั้งๆที่ตอนพิมพ์ตอบน่ะ ตาพร่ามือสั่นไปหมด ดีนะที่เขาส่งข้อความมา ไม่ได้โทรมา ไม่งั้นล่ะผมได้ทำความแตกแน่ ๆ

/แต่พี่คิดถึงนายนะ พี่อยากเจอนี่นา/
ยังจะมาเจอให้ได้อีกเหรอวะ โอ้ยยยย
/ผมไม่ไปไหนหรอกน่า ยังไงก็ได้เจอครับ/
ผมพยายามตัดให้ได้ วันนี้เขาดูแปลกกว่าทุกวัน ปกติพี่ภูจะไม่ตื๊อผมขนาดนี้ ถ้าผมบอกว่าเจอไม่ได้ เขาก็จะโอเค วันนี้แปลกมาที่พยายามจะเจอผม มากจนผมกลัว
ยิ่งพอผมได้รู้เรื่องตรงหน้า
ยิ่งผมได้รู้เรื่องคุณภาวนา และ วิช
ผมว่า ความแปลกนี้ มันดูเป็นความ creepy
/นิดนึงก็ไม่ได้เหรอ?/
พร้อมกับข้อความ พี่ภูส่งสติกเกอร์มาด้วย มันอาจจะดูน่ารัก ขี้อ้อน คนอื่นๆเจอคนหล่ออย่างพี่ภูอ้อนขนาดนี้ คงละลายไปแล้ว แต่คงไม่ใช่สำหรับผมตอนนี้ เพราะที่มันดูน่ารัก ผมว่ามันดูสยอง สยองจนผมขนลุก

ผมไม่รู้ว่า ถ้าเขามาเจอผม
เขาจะทำอะไรกับผมบ้าง …
เหมือนที่เขาทำกับวิชไหม?
หรือเหมือนกับที่เขาทำกับ … คุณภาวนาไหม?
ผมยังไม่อยากกระโดดไปสรุปว่า เขา .. ฆ่าสองคนนั้น

แต่ดูจากรูปการณ์ทุกอย่างตรงหน้า
มันมีทางคิดเป็นอื่นไปได้อีกอย่างนั้นเหรอ?
ผมต้องหาวิธีไม่ให้เขามาเจอผมให้ได้ในวันนี่ก่อน
/โห ...​อย่าทำให้ผมรู้สึกผิดดิพี่ ผมคิดถึงพี่จริงๆ แต่การสอบมันก็เป็นหน้าที่ของผมอ่ะฮะ/ ผมตอบข้อความแล้วต่อด้วยสติกเกอร์กระต่ายน้อยร้องไห้ ขอให้ผ่านวันนี้ไปก่อน ขอให้ผมคิดหาทางออกให้ได้ก่อน
/งั้นเตรียมสอบเถอะครับ มันเป็นหน้าที่/
/พี่ไม่โกรธผมใช่ไหมครับ/

/พี่จะโกรธนายทำไมที่นายตั้งใจเรียน เด็กเอ้ย/
/เย้ดีจัง งั้นเดี๋ยวสอบเสร็จเจอกันเลยนะครับ/
ผมถอนหายใจออกยาวเหยียดอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็ผ่านไปได้เปลาะหนึ่ง ผมซื้อเวลาได้ อย่างน้อยก็มีเวลาให้คิดหาทางออก ผมพิมพ์ตอบกลับเขาไป /ได้ครับ/ แล้วปิดมือถือ
“เครียดอะไรหรือเปล่าคะ?” บาริสต้าเดินมาถาม คงเพราะเห็นสีหน้ากับเหงื่อที่ผุดกลางหน้าผากของผม “เอ่อ ไม่มีอะไรฮะ ขอบคุณครับ” ผมรีบตอบกลับ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อ แล้วลุกเดินออกจากร้านกาแฟ
ใจก็นึกภาวนา ขอให้ไม่มีใครที่นี่จำผมได้ทีเถอะ เพราะถ้าผมจะกลบเกลื่อนเรื่องที่ผมมาตามสืบเรื่องของพี่ภูให้เนียน สิ่งแรกสุดคือ ต้องไม่มีใครจำผมได้ และต้องไม่มีใคร รายงานให้พี่ภูรู้ .. ว่าผมมาที่นี่

…..
22 : 30 ผมเพิ่งถึงบ้าน

วันนี้มันเยอะมากเกินไปจริงๆ
ผมตะลอนไปนู่น ไปนี่แบบไร้จุดหมาย
เหมือนพยายามจะเคลียร์หัวตัวเองให้โล่ง

แต่มันไร้ความหมาย ไม่เกิดอะไรเลย
ผมไขประตูเข้าบ้าน ทุกอย่างมืด เงียบตามปกติ
แม่ไม่อยู่บ้านนี้จนผมชินแล้ว บ้านเงียบ ถ้าไม่มีผม
ผมเดินไปที่โต๊ะกลางบ้าน
เปิดไฟ วางกุญแจ กระเป๋าลงบนโต๊ะ
และกำลังจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่พอดี

“ไหนบอกว่า อยู่บ้านอ่านหนังสือไงครับ”
หัวใจผมหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ
ผมค่อยๆหันไปช้าๆ มีคนยืนอยู่ที่มุมห้อง
เขาค่อยๆเดินออกมาจากเงาสลัวๆริมม่าน

เดินออกมายืนอยู่กลางแสงจากโคมไฟ
พร้อมรอยยิ้มที่ผมไม่อาจเดาความหมาย …พี่ภู

“โกหกพี่เหรอเด็กน้อย … ไม่น่ารักเลยนะครับ”

……
เล่ามาถึงตรงนี้ไว้ก่อนแล้วกันนะครับ ไว้มาตามอ่านตอนพีคของ #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ กันอีกทีครั้งหน้านะครับ ขอบคุณทุกการติดตามฮะ #พี่ภูน้องกฤษ ใกล้ถึงตอนจบแล้วครับ
มาแล้วววววววว #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไคลแมกซ์ ใครที่ลุ้น #พี่ภูน้องกฤษ มาตามอ่านกันได้แล้วครับ
ผมพยายามดิ้น
แต่มันไม่เกิดผลอะไรเลย
พี่ภูมัดผมกับเก้าอี้ไว้อย่างแน่นหนา

จากมุมนี้ผนเห็นเพียงหลังเขา
ผมไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่บนโต๊ะ
รู้แต่ว่าพี่ภูกำลังลำเลียงของออกมาจากกระเป๋า
เขาฮัมเพลงไปด้วย …
เพลงอะไรก็ไม่รู้ เขาดูอารมณ์ดี
มองจากมุมนี้ ผมเห็นเพียงรอยยิ้มที่มุมปากเขา

ผมว่าเขาอารมณ์ดีจริงๆ
แต่มันกลับยิ่งทำให้สถานการณ์นี้น่ากลัว
“พี่ภู จะทำอะไร”​
ผมทำเป็นใจดีสู้เสือถามเขา

พี่ภูหยุดฮัมเพลง หันมาสบตามผม
“ไม่คิดจะถามก่อนเหรอ ว่าพี่เข้ามาบ้านกฤษได้ไง?”
“ ……. “

ผมลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย พี่ภูคงเดาความในใจผมออกจากสีหน้า รอยยิ้มของเขายังไม่คงจาง ตอนที่เดินเข้ามา เขาย่อตัวลงจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับผม ที่ถูกมัดอยู่กับเก้าอี้
“พี่เอากุญแจนายไปปั๊มมาไงเด็กน้อย”

แล้วเขาก็ลูบหัวผม พยางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แม้หน้าพี่ภูจะเป็นหน้าเดิม กลิ่นลมหายใจเขาก็ยังเป็นกลิ่นเดิมที่คุ้นเคย แต่ผมเบือนหน้าหนี พยายามห้ามตาไม่ให้น้ำตาไหลจนปวดขอบตา
“นายน่ะชอบวางของเรี่ยราด ไว้ใจคนง่ายเกินไป มีกี่ครั้งกันที่นายวางมือถือ กุญแจ กระเป๋าสตางค์ไว้ในบ้านพี่? ให้เดานะ นายจำไม่ได้หรอก เพราะนายทำทุกครั้ง”
พี่ภูล้วงกุญแจขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง แกว่งให้ผมดูตรงหน้า “พี่ก็แค่เอามันไปทาบทำรอยไว้บนดินน้ำมัน แล้วก็ให้ช่างทำกุญแจเขาทำจากรอยขึ้นมา ก็เท่านั้น ไม่ยากอะไรเลย แค่นี้พี่ก็ได้กุญแจบ้านนายแล้ว เข้าออกตอนไหนก็ได้”
ผมนึกด่าตัวเองที่สะเพร่า แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าแฟนตัวเองจะกลายเป็นผู้ชายโรคจิตที่น่ากลัวแบบนี้ เชื่อเหอะ พวกคุณถ้ามีแฟน ไปบ้านแฟน ก็วางของเรี่ยราดเหมือนกันไม่ต่างจากผมหรอก
“ไม่ต้องร้องหรอกนะ รอบบ้านนายตอนนี้ไม่มีใครอยู่สักคน กล้องวงจรปิดในบ้าน พี่ก็ไปปิดหมดแล้วตั้งแต่ตอนที่เข้ามารอนาย”

พี่ภูยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นอีก
“ตอนนี้เหลือแค่เราสองคนเท่านั้นล่ะ”
จมูกเขาสัมผัสที่แก้มผม เขาไล่มันขึ้นลง พลางสูดลมหายใจเอากลิ่นกายของผมไป กลิ่นกายที่ผสมกลิ่นความกลัว มันซึมออกมาจากทุกอณูขุมขนของผม ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวผมกำลังสั่นเทา
สัมผัสที่เคยทำมานับร้อยครั้ง
แต่ครั้งนี้ กลับน่ากลัว จนอยากอาเจียน
ผมกลัวแม้กระทั่งการที่พี่ภูหอมแก้มผมแผ่วเบา

ผมเม้มปากแน่น กักลมหายใจ
แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน ….
นึกออกใช่ไหม ในหนังสยองขวัญน่ะ เวลาที่ตัวเอกหนีฆาตรกร หรือหนีผี แล้วต้องไปซ่อน ตัวละครจะพยายามกลั้นลมหายใจโดยการเอามือมาปิดปากตัวเองไว้ ผมคนหนึ่งล่ะที่เวลาดูฉากพวกนี้แล้วขัดใจ

ก็แล้วทำไมไม่หายใจให้เบาๆล่ะ จะได้ไม่ต้องเอามือปิดปาก …
เมื่อก่อนผมคิดอย่างนั้น ต่อเมื่อมาเจอกับตัวเองตอนนี้ผมถึงได้รู้ว่า จังหวะการหายใจ เราควบคุมไม่ได้หรอก ในตอนที่สติเรากระเจิงด้วยความกลัวแบบนี้ ในตอนที่ความตายมายืนรอตรงหน้าแบบนี้

มันคือระบบประสาทอัตโนมัติ
มันคือ flight or fighting
มันควบคุมไม่ได้
เมื่อเราเข้าสู่สถานะคับขัน
เราทำได้สองอย่าง หนี หรือ สู้
ระบบอัตโนมัติจะทำให้หัวใจเราสูบฉีดเลือด
รูขุมขนจะเปิด เหงื่อจะไหล การหายใจจะถี่รัว
ผมรู้ว่า ตอนนี้ร่างกายผม พร้อมหนี
แต่มันหนีไม่ได้ ผมถูกตรึงไว้กับเก้าอี้
เมื่อความอยากหนีถึงขีดสุด แต่หนีไม่ได้
อารมณ์ทั้งหลายจะกลั่นตัวกลายเป็น #ความกลัว
ยิ่งกลัว เรายิ่งหายใจแรง
ยิ่งกลัว เรายิ่งควบคุมจังหวะไม่ได้
ยิ่งกลัว ยิ่งสติเรากระเจิงมากเท่าไร
เสียงลมหายใจของเรา จะดังขึ้นเท่านั้น
“กลัวเหรอ? ไม่เอาน่า พี่ไม่ได้จะทำร้ายนายเสียหน่อย แค่ไม่อยากให้นายหนีไป ไม่อยากให้นายวุ่นวายตอนพี่เตรียมการเท่านั้นเอง” พี่ภูลุกขึ้น เดินกลับไปที่โต๊ะกลางบ้านอีกครั้ง คราวนี้ผมเห็นแล้วว่ามีอะไรบนนั้น
มันมีเข็มฉีดยา และหลอดไวอัลยา แต่เป็นยาอะไร จากจุดนี้ แสงแค่นี้ ผมมองไม่เห็นจริงๆ รู้แต่ว่ามันเล็กมาก หลอดใส ไม่ใช่สีชา แต่มีอะไรไรสักอย่าง คาดสีแดงไว้บนฉลากยา เดาว่ามันไม่ใช่เรื่องอะไรดีๆแน่นอน

สีแดง ถ้าอยู่ในโรงพยาบาล
อยู่ในสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับยา
มันคือ สี แห่ง อัน ตราย
“จริงอยู่นะ #ร่างสมบูรณ์ ต้องมีความเชื่อใจถึงจะเพอร์เฟคท์” เขาหันมามองผมอีกครั้ง ยักไหล่ “แต่ตอนนี้ความเชื่อใจนายหายไปแล้ว ไม่เป็นไร พี่ว่ายังไงครั้งนี้มันก็ยังได้ผลอยู่ดี เพราะนายเป็นเด็กดีตัวน้อยๆของพี่ไง”

รอยยิ้มปิดท้ายประโยค
มันยิ่งสำทับความกลัวผมให้เพิ่มขึ้น
“พี่ภู จะทำอะไร? #ร่างสมบูรณ์ คืออะไร?”

ตอนที่พูดว่าจะทำอะไร … ผมหมายถึง ทำอะไรกับตัวผม และตอนที่เขาพูดว่า #ร่างสมบูรณ์ ผมรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีเลยว่า มันจะเกี่ยวกับ ร่างของผมนี่แหละ แต่น่าจะเป็น ร่างที่ไร้วิญญาณ
พี่ภูเดินกลับมาหาผมที่เก้าอี้ ในมือเขามีเนคไท้เส้นหนึ่ง เขาจัดแจงมัดมันที่ต้นแขนผม รอบที่หนึ่งหลวมๆ เสร็จแล้วเขาก็ดึงมันให้แรงขึ้น แรงขึ้น จนผมรู้สึกราวกับว่าผ้าเนคไท้มันกำลังกินเนื้อที่ต้นแขนผม

“พี่ภู กฤษเจ็บครับ”

น้ำตาผมเอ่ออยู่ที่ขอบตา
จมูกตีบตัน ผมต้องหายใจทางปาก
“อีกนิดก็ไม่เจ็บแล้วครับกฤษ …” เขาเงยหน้าจากแขนสบตากับผมแล้วยิ้ม … เชื่อไหม ตั้งแต่คบกันมา วันนี้เป็นวันที่พี่ภูยิ้มเยอะที่สุดตั้งแต่คบกันเลย แต่กลับกลายเป็นวันที่ผมกลัวรอยยิ้มของเขามากที่สุดเช่นกัน

“ขอบคุณนะกฤษ”
พูดจบพี่ภูก็ตบบ่าผมเบาๆ
น้ำตาผมไหลผ่านแก้ม ผมพยายามส่ายหน้า
“ไม่เอา ไม่เอาอะพี่ภู กฤษไม่เอา”
เขาไม่สนใจน้ำตาของผม เดินกลับไปที่โต๊ะ หยิบเข็มฉีดยาที่ดูดยาไว้แล้วขึ้นมา
“เจ็บนิดเดียวครับกฤษ”

เขาพูดกับผม แต่ตาของพี่ภูมองที่เข็มฉีดยา ไอ้ฉากหนังสยองขวัญทั้งปวงที่ผมเคยดูผ่านมา เทียบไม่ได้เลยกับฉากตรงหน้า มันไม่ต้องมีเสียงตึ่งโป๊ะ ไม่ต้องมีมุมมืด แต่มันทำผมจวนเจียนหัวใจหยุดเต้นได้เลย
“พี่ภู …” ผมพยายามกลั้นสะอื้น “พี่ภูไม่เล่าให้กฤษฟังเสียหน่อยเหรอครับ ว่าเรากำลังจะทำอะไรกัน เผื่อมันจะมีทางออกที่ ….” ผมมองเข็มฉีดยาในมือเขาแล้วกลืนน้ำลายกลั้นสะอื้นอีกครา “เผื่อมันจะมีทางออกที่ดีกว่านี้”
เขาหัวเราะพรืด ส่ายหน้า
แล้ววางเข็มฉีดยากลับลงไปที่โต๊ะ
เดินมาทางผม ดึงเก้าอี้มานั่งประจันหน้ากัน

“ก็ได้” เขาพยักหน้า คลี่ยิ้มออกมาช้าๆ อย่างเยือกเย็น “พี่จะเล่าให้ฟังว่าเราสองคนเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ยังไง นายรู้จักกลศาสตร์ควอนตัมไหมล่ะ?”
ผมนิ่ง … ชีวิตผมในมือเขา
เกี่ยวอะไรกับกลศาสตร์ควอนตัน ?

“ควอนตัมคือสิ่งที่เล็กกว่าอะตอม พี่จะไม่เล่ารายละเอียดให้นายฟังมากหรอกนะ แต่เอาเป็นว่าควอนตันมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ มันเป็นมีที่มาของทฤษฏีเทเลพอร์ต และการติดต่อทางจิต แม้เราจะอยู่กันคนละฟากของจักรวาล”
เล่าถึงตรงนี้ พี่ภูหยุดพัก
แล้วจ้องเข้ามาในตาผม

“หรือ อยู่ กัน คน ละ มิ ติ
ด้วยทฤษฏี กลศาสตร์ ควอนตัม
เรา ก็ จะ สามารถ ติด ต่อ กัน ทาง จิต ได้ ”
ความรู้สึกอัดอัด ยิ่งทับทวี แม้จะไม่มีอะไรผูกปิดปาก แต่ผมพูดไม่ออก ปากผมแข็ง ลิ้นผมนิ่วราวกับเป็นอัมพาต ผมโดนสะกดด้วยสายตาของพี่ภูที่จ้องมา
“บางครั้ง เราจึงได้รับการติดต่อจากคนที่อยู่อีกมิติหนึ่งได้ มันเป็นคอวนตัมง่ายๆที่หลายคนไม่เข้าใจ แต่พี่เข้าใจไง” แล้วพี่ภูก็ยักคิ้ว มองผมราวกับเขาเป็นอัจฉริยะและผมเป็นเด็กอนุบาล “นายไม่เข้าใจล่ะสิ” เขาถาม

ผมพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า
“กฤษไม่เข้าใจ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราสองคน”
“เพราะพี่คือคนพิเศษไง พี่คือคนที่ได้รับการติดต่อจากคนอีกมิิติหนึ่ง ผ่านช่องว่างที่กลศาสตร์ควอนตัมอำนวย” แล้วพี่ภูก็เคาะนิ้วชี้ของเขาที่ขมับตัวเขาเองเบาๆ “ในหัวพี่นี่แหละ มันสามารถติดต่อกับคนที่อยู่อีกมิติหนึ่งได้”
ถึงตอนนี้ผมมั่นใจแล้ว ..
พี่ ภู เป็น บ้า ไป แล้ว แน่ ๆ
เขาเป็นคนบ้า นี่ไม่ใช่ความคิดที่ปกติ
มันคือตรรกะของคนบ้า คนไข้โรคจิตเภท

ผมเคยอ่านผ่านตามาบ้าง
เขามีครบทุกอย่าง ได้ยินเสียงแว่วในหู
มีตรรกะแปลกๆที่เชื่อว่าเป็นจริง เชื่อฝังหัว
พี่ภูเป็นคนไข้โรคจิตเภทจริงๆ
และเป็นคนไข้โรคจิตเภท ที่กำลังจะฆ่าผม
“พี่รู้จักกับ #เขา ตั้งแต่อายุ 14 - 15 เขาอยู่กับพี่ตลอดนะ แม้กระทั่งในวันที่แย่ วันที่แม่เลวๆของพี่ทำร้าย เขาก็คอยปลอบใจ” พี่ภูหยุดพักหายใจ หรี่ตามองผม “รู้ไหมน่ะ ว่าแม่พี่ร้ายกับพี่มากนะ ทั้งทำร้าย ทั้งด่าทอ ตั้งแต่เล็กจนโต
หึ หึ หึ
มันก็เพราะยาเสพติด
แม่พี่รักยาเสพติดมากกว่าพี่

เพราะอย่างนี้ไง พ่อถึงหนีไป
ทิ้งพี่ไว้กับแม่เลวๆ คนนี้

แต่นั่นแหละ … มันจบแล้ว
พี่ส่งผู้หญิงคนนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมแล้ว
#เขา ที่ช่วยพี่คิด
#เขา ช่วยวางแผนทั้งหมดให้พี่
#เขา อยู่ในหัวกับพี่ ตอนที่พี่จัดการเรื่องนี้ ”

ผมรู้สึกถึงความเย็บวาบที่ไล่ผ่านจากหัวลงสู่เท้า พี่ภูจัดการฆ่าแม่ตัวเองอย่างนั้นเหรอ? ด้วยคำแนะนำของเสียงที่ไม่มีตัวตนในหัวเนี่ยนะ … เฮ้ย .. นี่มันไปกันใหญ่แล้วนะเว้ย
“พี่ภู …. คุณภาวนาตายแล้วเหรอครับ?”

“ก็เป็นเดือนแล้ว” เขายักคิ้ว “ตายในชื่อ วิภาวี วงศ์สะอาด ชื่อที่หล่อนคิดเอง ตั้งเอง ใช้เอง แต่มันสะดวกพี่ แม่เป็นคนหน้าบางไง ไม่อยากให้ใครรู้ว่ารักษาอาการติดยา เลยต้องตั้งชื่อสมมุติ และบังคับให้พี่ใช้ชื่อสมมุติด้วย”
ชื่อสมมุติ ปรเมศร์ … คุณปรเมศร์
ที่โรงพยาบาลนั้นรู้จักพี่ภูในชื่อ ปรเมศร์

“ใช่ พี่ชื่อปรเมศร์เวลาไปที่โรงพยาบาลนั้น นี่ว่าอุตส่าห์ให้ทุกอย่างเป็นความลับแล้วเชียวนะ แต่นายก็ยังไม่วายหามันจนเจอ” ผมรีบส่ายหน้าเลิ่กลั่กปฏิเสธ
แต่พี่ภูหัวเราะ “อย่ามาทำเป็นตอแหลหน่อยเลยกฤษ” เขาเสียงแข็งใส่ผม “วันนี้นายไปที่โรงพยาบาลถามหาคุณวิภาวี วงศ์สะอาด คนที่โรงพยาบาลโทรมารายงานพี่”

มิน่าล่ะ … ฮึ่ย เจ็บใจตัวเองนัก
ผมน่าจะรู้นะว่าเขาต้องรายงานพี่ภู
ผมน่าจะฉุกใจคิดแต่แรกก่อนจะไปที่นั่น
“พี่เลยรู้ไง ว่านายโกหกพี่เรื่องอ่านหนังสือและยังไม่อยากเจอ” พี่ภูเอานิ้วมาไล้ที่แก้มผม ผมเบือนหน้าหนีสุดเท่าที่ร่างกายที่ถูกพันธนาการบนเก้าอี้จะทำได้ หลับตาปี๋ “นายแค่กลัว ไม่กล้าเจอพี่เท่านั้นเอง”
“ตอนนี้คุณภาวนาที่อยู่หน้าฉาก คือเลขาของแม่พี่ คนที่แม่เอาออกหน้าแทนเวลาประชุมงานบ่อยๆ เป็นลูกพี่ลูกน้องไกลๆ ที่พี่สามารถคุมเขาได้ แถมยังมีทนายของแม่ช่วยพี่อีกด้วย
ดังนั้น บทบาทของคุณภาวนาก็ยังคงดำเนินต่อไป ตัวละครตัวนี้ยังมีชีวิต เพียงแต่เปลี่ยนนักแสดงเท่านั้น และคนกำกับสั่งการ …. ก็คือพี่เอง

แน่นอน #เขา อยู่เคียงข้างพี่
อยู่ในหัวพี่เสมอ คอยช่วยเหลือพี่ ”
ผมเคยได้ยินว่าคนไข้จิตเภทบางคนก็น่ากลัว
แต่ไม่คิดว่าจะน่ากลัวขนาดนี้ ไม่คิดว่าอันตรายขนาดนี้

“พี่ภู พี่ภูปล่อยกฤษไปเถอะ กฤษสัญญาว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้เลยจริงๆ กฤษสาบานก็ได้” ผมกลั้นสะอื้นขอร้องเขาสุดชีวิต แม้จะรู้ว่าความหวังริบหรี่ก็ตามทีเถอะ
“ถ้าปล่อยนายไป สิ่งที่พี่วางแผนมาทั้งหมดก็จบสิกฤษ” แล้วพี่ภูก็หัวเราะ ส่ายหน้า “ไม่ได้หรอกเด็กน้อย ทุกอย่างมันถูกกำหนดมาจนถึงจุดนี้แล้ว พี่ปล่อยนายไปไม่ได้หรอก นายคือกุญแจสำคัญที่สุดในชีวิตของพี่เลยนะ”
“เพราะ #เขา ต้องการร่างกาย
#เขา ต้องมีร่างอยู่ที่โลกฟากนี้
เพือที่จะข้ามสะพานมิติ มาอยู่กับพี่

นาย ต้อง เป็น สะพาน เชื่อม
พี่หมายถึง … ร่างของนาย

ร่าง ที่ ไม่ มี วิญ ญาณ ของ นาย
นั่น ล่ะ คือ สิ่ง ที่ พี่ ต้อง การ”

……
ยังไม่ถึงจุดที่พีคสุดของไคลแมกซ์นี้นะครับ แต่สัปดาห์นี้ขอพักก่อน เดี๋ยววันพุธจะกลับมาเล่าตอนต่อไปแน่ๆครับ (ต้นฉบับเสร็จแล้วดังนั้นไม่พลาด ไม่เลื่อนแน่นอน แล้วเจอกับ #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ได้อีกทีวันพุธนะครับ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
มีใครรออ่าน #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไหมครับ พุธเย็นแล้ว มาตามอ่าน #พี่ภูน้องกฤษ กันเถอะ ว่าตกลงแล้วใครกันแน่ที่จะกลายเป็นร่างที่ไร้วิญญาณ
สวัสดีทุกคน
ผมกฤษนะ

ผมยังอยู่ … ยังไม่ตาย
ผมยังถูกมัดไว้กับเก้าอี้ที่เดิม
โดยมีคนบ้าพล่ามไม่หยุดตรงหน้า

คนบ้าที่ .. เมื่อวานนี้ ยังเป็นคนรักของผม
คนบ้าที่ … เมื่อคืนก่อนนี้ ยังนอนกกกอดผม
คนบ้าที่ …. เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ยังบอกรักผม
แต่ตอนนี้ เขาเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคย
ตอนนี้เขาเป็นคนบ้าที่ผมเคยรู้จัก
ตอนนีเขาเป็น … อะไรก็ไม่รู้

#เขา ไม่เคยบอกพี่หรอกว่าต้องทำยังไง แต่พี่รู้ได้ด้วยตัวเอง สิ่งเดียวที่พี่สัมผัสได้จาก #เขา คือเสียง ดังนั้น หากร่างไหนที่เสียงตรงกับ #เขา ร่างนั้นล่ะ คือสะพานเชื่อมได้”
“คนแรก…. ร่างแรกที่พี่ภูใช้ คือวิช ใช่ไหมครับ”

น้ำตาผมแห้งไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ท่ามกลางความกลัวที่จุกล้นที่ลิ้นปี่จนจวนเจียนจะอาเจียน ความกลัวของผมค่อยๆระเหิดหายไปพร้อมๆกับน้ำตา เหลือไว้แต่คราบที่แก้ม

“ช่าย วิชคือคนแรก”
พี่ภูยิ้มมุมปาก หรี่ตามองผม
“ค้นเก่งนี่เรา บทจะค้น ก็ค้นแหลกเลยเหมือนกันนะ ทำไมไม่ค้นตั้งแต่ทีแรกที่เราเจอกันล่ะ? อ๋อ … หรือว่ามัวแต่หลงหน้าหล่อๆของพี่ล่ะสิ เด็กหนอเด็ก” แล้วพี่ภูก็หัวเราะเยาะผม
“นายมัน shallow หลงคนที่หน้าตาโปรไฟล์ พี่สร้าง account twitter ไว้เป็นตัวล่อให้คนเข้ามา นายก็เป็นคนหนึ่งที่หลงรูป หลงโปรไฟล์เข้ามาติดกับ นายมันก็ …” น้ำเสียงเขาดูแคลนผมสุดๆ “เด็กตื้นเขินทั่วไป”
“วิช คือคนแรกที่พี่เจอว่า เสียงเหมือนกับ #เขา แน่นอนพี่ไม่รอช้าเลย พี่จีบเขา เราเป็นแฟนกัน แต่เพราะพี่รีบไปหน่อย การเตรียมร่างไม่เสร็จสมบูรณ์ พี่เดาว่า … พี่อาจจะเตรียมผิดวิธี”

พี่ภูกัดริมฝีปาก สายตาสอดส่ายไปมา เหมือนมองหาสิ่งอะไรที่ไม่อยู่ตรงหน้า ลมหายใจเขาถี่ขึ้น
#เขา ไม่ได้บอกพี่ว่าต้องเตรียมยังไง มันถึงได้พลาดไง ไม่ใช่ความผิดพี่นะเว้ย แต่ดีหน่อยตรงที่ร่างนั้นมันโสมมเต็มขั้น

ทุกคนคิดว่า มันตายเพราะเสพยา
ไม่มีใครสงสัยเลยว่า เขาโดนฆ่า”
พี่ภูถอนหายใจ เดินไปอีกฟากของห้อง ทิ้งตัวลงกึ่งนั่งกึ่งไหลนอนที่บนโซฟา ยกขาข้างหนึ่งพาดหน้าตักแล้วกระดิก

“เสียดายจริงๆ ถ้าพี่รู้วิธีที่ถูกต้องในการพา #เขา ข้ามมิติมาฟากนี้ได้ มันคงสำเร็จไปตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว เสียดายร่างนั้นจริงๆ”
นี่ผมกำลังเจอกับอะไร …
นี่ผมกำลังคุยกับใคร …
นี่ผมเคยคบกับใคร …

ทำไมผมไม่เคยรู้ตัวมาก่อน
ทำไมผมไม่เคยเอะใจสงสัยก่อน
เขาเป็นคนบ้าเต็มขั้นจริงๆ บ้าและน่ากลัว

เขาไม่คิดถึง ชีวิต คนแล้ว
เขาคิดถึงแต่ สิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น
นี่ผมเคยนอนข้างๆคนที่อันตรายที่สุดแบบนี้ … ได้ไง
“คนถัดจากวิช พี่ไม่พูดถึงแล้วกันนะ ไม่ไหว” เขาส่ายหน้ายักไหล่ “แล้วพี่เจอกับคลิปของนาย คลิปที่นายพาเพื่อนๆไปร้านกาแฟหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ พี่ได้ยินเสียงนาย”​ พี่ภูยกขาที่วางพาดลง เปลี่ยนท่านั่งแล้วหันมามองผมเต็มตา
“เสียงนาย ดึงดูดให้พี่เข้าหา
หลังจากนั้นพี่ก็วางแผนเข้าหานาย

นายคิดว่า .. ที่เราเจอกัน มันบังเอิญอย่างนั้นเหรอ?
นายคิดว่า .. ที่พี่ทำตัวสุภาพเขินๆคือตัวจริงพี่งั้นเหรอ?
นายคิดว่า .. ที่เราลงล้อกด้วยกันทุกอย่าง มันบังเอิญ?
เด็กน้อย …
ฉากโรแมนติกทุกอย่าง มันสร้างได้ครับ
ถ้าเรารู้จุดอ่อนของเป้าหมายที่เราจะจู่โจม”

แล้วเขาก็แกล้งเปลี่ยนสีหน้าแววตา
ทำท่าเหมือนหนุ่มหล่อขี้อาย ที่แอบมองผม
มันคือบทบาที่เขาสวมในวันแรกที่เราเจอกันในคลินิก
มัน คือ การ แสดง
มัน คือ การ ตบ ตา
พี่ ภู ไม่ ได้ เป็น แบบ นั้น จริง

ขอบตาผมร้อนอีกรอบ
น้ำตาที่หายไปเมื่อกี้ กลับมาอีกครา
นี่ที่ผ่านมาทั้งหมด มันเป็นการวางแผนทั้งนั้น?

“พี่ภู ไม่ได้รักกฤษเลยเหรอครับ?”
ตอนที่ถาม น้ำตาหยดที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ไหลผ่านแก้มผมอีกครั้ง มันอุ่นจนผมรู้สึกเกือบร้อน มันแสบ มันเจ็บ มันไม่เกี่ยวกับน้ำตา แต่มันคือความรู้สึกที่รู้ว่าที่ผ่านมา มันคือการหลอกลวง

“รักสิ ทำไมพี่จะไม่รัก”
พี่ภูลุกขึ้นจากโซฟา เดินมาใกล้ผม
“พี่รักนายในฐานะสะพาน ที่จะทำให้พี่ได้เจอกับ #เขา เสียที ร่างที่สมบูรณ์ที่พร้อมจะให้เขามุดผ่านอุโมงค์มิติควอนตันมาสู่ฟากนี้ได้ ทำไมพี่จะไม่รักนายล่ะ นายมีค่ามากที่สุดสำหรับพี่เลยนะ รู้ตัวไหม” เขาตบบ่าผม แล้วส่งยิ้มยะเยือก
“พี่ภูเป็นคนทำร้ายโฟร์คืนนั้นใช่ไหม?”
“ก็ทำไมพี่ต้องทำร้ายมันด้วย?”

เขาย้อนถามผมกลับ “คนปากหมาแบบนั้น ไม่ต้องพี่หรอก มันสร้างศัตรูไว้เองเป็นร้อยเป็นพัน ทำไมพี่ต้องไปทำร้ายมันด้วยล่ะ พี่ไม่ได้ทำหรอก แต่พี่สะใจ ที่ใครสักคนทำแทนพี่”
“พี่ภู พี่ภูอย่าทำต่อเลยนะ พี่ภูกำลังป่วยอยู่นะ การที่ได้ยินเสียงหลอนในหู มันคือการป่วยนะพี่ พี่รักษาให้หายได้นะ แค่ไปหาหมอ แล้วเรื่องทุกอย่างมันจะจบแบบดีนะพี่”
“เฮอะ นายนี่เหมือนแม่พี่ไม่ผิดเลย เอะอะอะไรก็บอกว่าป่วย ป่วย ป่วย”

สายตาเขาที่มองผมเปลี่ยนไป มันกึ่งดูแคลน กึ่งเกลียด ผมไม่รู้ว่าเขาเกลียดผมหรือเกลียดสิ่งที่ผมพูด .. หรือแค่เกลียดที่สิ่งที่ผมพูดซ้ำกับแม่เขา

พี่ภูเดินเข้ามาประชิดผมอีกรอบ
ก้มหน้าลงมาอยู่ในระดับสายตา
“นายคิดจะเข้าใจคนอื่นบ้างไหม?
เข้าใจแบบที่เข้าใจความคิดเขาจริงๆเลยน่ะ
ไม่ใช่เอาตรรกะตัวเองไปซ้อนทับแล้วบอกว่าเข้าใจ

คนชอบพูดกันจัง เข้าใจ เข้าใจ เข้าใจ
ถามจริงเหอะ นายเข้าใจความหมายของ #เข้าใจ บ้างไหม?
คำว่า #เข้าใจ น่ะ มันหมายถึง ยอมรับตรรกะเขาต่างหากเว้ย”
พี่ภูจิ้มนิ้วเขาที่ขมับผมอย่างแรง จนเกือบจะเหมือนเฉดหัว กล้ามเนื้อคอผมเหยียดตึงจากแรงเขาที่จิ้มดันลงมาที่หัวผม นี่ไม่ใช่พี่ภูที่ผมคุ้นเคย นี่มันพี่ภูที่เป็นบ้าไปแล้ว

กลายเป็นว่า พี่ภูที่ผมคุ้นเคย คือภาพปลอม
และพี่ภูที่หยาบคายร้ายกาจตรงหน้านี้ ..
คือภาพจริงของพี่ภู
“คนนู้นก็บอกว่าพี่ป่วย คนนั้นก็บอกว่าพี่ป่วย นี่นายอีกคนบอกว่าพี่ป่วย ทำไมไม่คิดบ้างวะ ว่าพี่เป็นคนที่พิเศษกว่าพวกนายต่างหาก การที่พี่ได้ยินเสียงที่พวกนายไม่ได้ยิน ไม่ได้แปลว่าพี่เป็นบ้านะเว้ย
พี่คือคนที่ถูกเลือกแล้ว
พี่ถูกเลือกโดย #เขา แล้ว
พวกนายมันก็แค่คนปกติทั่วไป
แต่พี่ไม่ใช่ พี่คือคนพิเศษกว่านั้น”

เขาเดินกลับไปที่โต๊ะกลางบ้าน หยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา “พูดต่อไปก็เปล่าประโยชน์แล้ว ไม่รู้ว่าพี่มัวแต่เสียเวลากับนายทำไม ทั้งๆที่ #เขา ก็กำลังรอให้พี่สร้างสะพานเชื่อม”
พี่ภูเดินตรงมาจับที่แขนผม ข้างที่โดนมัดด้วยเนคไท้ ผมลืมไปเลยว่าแขนข้างนี้โดนมัน มันเจ็บจนชาไปหมด ท่ามกลางบทสนทนาที่เหมือนจะยาวนาน แต่กินเวลาแค่ช่วงสั้นๆ ความรู้สึกเจ็บที่เกิดจากความจริง มันมากจนกลบความเจ็บจากการโดนพันธนาการไว้
เขาไม่เคยรักผมเลย
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรกับผมด้วยซ้ำ
สิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่หัวใจของผม

แต่เขาต้องการร่างกายผม
เพื่อคนอื่น คนอื่นที่ไม่มีตัวตน
คนอื่นที่เป็นเพียงเสียงแว่วในหูเขา

เขามัน บ้า
เขามัน โหดเหี้ยม
เขามัน กลับตัวไม่ได้อีกแล้ว
ผมจะไม่ยอมหรอกนะ
ผมจะไม่ยอมเป็น วิช คนที่สอง
ผมจะไม่ยอมตายไปแบบนี้โดยที่ไม่ทำอะไร

“นี่คือ KCl ไม่ใช่ยาพิษอะไรหรอก” พี่ภูนั่งยองๆลงข้างๆแขนผม “มันจะทำให้หัวใจนายเต้นผิดจังหวะ แล้วก็หยุดไป แต่ไม่ต้องห่วงนะ นายจะไม่ตายหรอก เพราะทันทีที่นายหลุดจากร่าง #เขา ก็จะเข้ามาแทนที่”
พี่ภูยักคิ้วให้ผม “แล้ว #เขา กับพี่ก็จะใช้ชีวิตกันอยู่ที่โลกฟากนี้อย่างมีความสุข ไม่มีใครรู้หรอกว่าข้างในตัวนายน่ะ มันไม่ใช่กฤษคนเดิมอีกต่อไปแล้ว”

แล้วเขาก็จูบที่หน้าผากผมอย่างแผ่วเบา
แม้ไม่ได้บอกออกมา แต่ผมก็รู้ได้ว่า
นี่ คือ จูบ อำ ลา
“กู๊ดไนท์นะครับ เด็กดีของพี่ นายเป็นเด็กที่น่ารัก
ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่นายเคยทำให้
ขอบคุณสำหรับร่างกาย
ฝันดีนะครับ

แล้วไม่ต้องเจอกันอีกแล้วนะครับ
พี่จะจำนายไว้เงียบๆในใจ
ได้เวลาไปแล้วล่ะ”
ผมสูดลมหายใจเข้าปอด
ตั้งสติ ควบคุมร่างกาย ผมต้องทำได้
นี่เป็นโอกาสสุดท้าย ทางรอดเดียวของผม
มีแค่รอบเดียว ไม่มีรอบสอง ต้องสำเร็จเท่านั้น

“หยุดก่อนภู นายกำลังเข้าใจผิด นายกำลังทำพลาด”
ผมพยายามคุมจังหวะหายใจ ทำน้ำเสียงให้ไม่สั่น สวมบทบาทคนอื่น แผนการเอาชีวิตรอดของผม จะเป็นยังไงก็ขึ้นกับสามสี่ประโยคข้างหน้าที่อยู่ในหัวผมนี่ล่ะ

ได้ผล เขาหยุด แล้วมองผมอย่างสงสัย
ผมใช้จังหวะนี้ที่เขาลังเล ยิงต่อทันที
“เรามีเวลาคุยไม่นาน อุโมงค์ควอนตันมันไม่เสถียรพอ เราแค่จะมาบอกนายว่า วิธีที่นายกำลังจะใช้ เพื่อให้เราข้ามมา มันผิดหมด นายกำลังจะทำพลาดซ้ำสอง เหมือนที่เคยทำกับ #ร่างแรก

เข็มฉีดยาตกจากมือพี่ภู
สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นยิ้มดีใจ
เขาจับไหล่ผมอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา
“นี่ #คุณ ใช่ไหม? คุณมาได้ยังไง?”
เขาระล่ำระลักถามน้ำเสียงตื้นตัน

ใช่ … ผมกำลังสวมบท #เขา
ในเมื่อพี่ภูฟังแค่ #เขา จากมิติอื่น
และในเมื่อ #เขา ใช้เสียงเดียวกับผม

ทางออกเดียวของผม
ก็คือแสดงเป็น #เขา ให้สมบทบาท
ให้พี่ภูเชื่อ และเบนความสนใจจากการ​ ฆ่า ผม
ผมมองตอบเขา พยายามไม่ให้สายตากระตุก พยายามไม่ให้จังหวะหายใจมีพิรุธ stay calm ทำเหมือนกับว่าผมไม่ตื่นเต้นอะไร บอกตัวเองว่า ผมนี่ล่ะคือ #เขา ที่มุดอุโมงค์ควอนตัมมาคุยกับพี่ภู ผมค่อยๆนับในใจ ทำสมาธิ
1 2 3 4
ใจเย็นนะกฤษ อย่าเพิ่งพูด

5 6 7 8 9
จับสีหน้าเขาก่อน ค่อยๆพยักหน้า

10 11 12 13 14
ทีนี้ ค่อยๆคลี่ยิ้ม อย่างดีใจตื้นต้น เหมือนว่าในที่สุดก็ได้เจอกันเสียที

“ในที่สุด เราก็ได้เห็นหน้านายเสียทีนะภู”
แล้วผมก็ยิ้มกว้างขึ้นอีก น้ำเสียงผมราบเรียบจนแม้กระทั่งผมเองยังทึ่งเลยที่เสแสร้งได้แนบเนียนขนาดนี้ บางทีพรสวรรค์ในการเสแสร้งแสดงออก มันอาจจะถ่ายทอดมาจากแม่ผมก็ได้
“คุณ คุณจริงๆด้วย” ขอบตาพี่ภูรื้นขึ้นด้วยน้ำตา เขาดึงผมไปกอดอย่างนุ่มนวลทนุถนอม ไม่เหมือนเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ที่แทบจะเฉดหัวผมให้ล้มกลิ้ง

มันไม่ใช่กอดสำหรับผม มันเป็นกอดสำหรับคนที่ไม่มีตัวตนคนหนึ่ง คนที่อยู่ในสมองของคนบ้า ที่ชื่อพี่ภู มันเป็นกอดที่ทั้งอบอุ่นและเจ็บปวด
“เราไม่มีเวลา เรามาได้สั้นๆภู ฟังเราดีๆ”

ผมสลัดความรู้สึกที่มีต่ออ้อมกอดจากเขาออกไป ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องทำคือเอาชีวิตรอด อาวุธผมมีเพียงสองอย่างเท่านั้นคือ เสียงที่เหมือน #เขา และ สติ ผมต้องใช้ดีๆ

“โอเค ผมฟังคุณอยู่ บอกมาเลย”
พี่ภูดูกระตือรือร้นมาก โอกาสผมมาแล้ว
“การเดินทางเพื่อไปอยู่ด้วยกัน เรา … ทำไม่ได้”
ผมพยายามแทรกสีหน้าลำบากใจ และน้ำเสียงที่อัดอั้น

“อ้าว … คุณเดินทางมาไม่ได้ แม้จะมีร่างรองรับ?”​ พี่ภูทำหน้าผิดหวัง ผมเม้มปาก และค่อยๆพยักหน้าอย่างลำบากใจ เพื่อให้สมบทบาท “เราไม่มีทางข้ามมาฟากนี้ได้มากกว่านี้อีกแล้ว …”
พี่ภูค่อยๆทรุดตัวลงกับพื้น
สีหน้าว่างเปล่า ราวกับทุกอย่างพังทลาย
แว่บหนึ่ง ผมรู้สึกสงสารเขามากนะ

แต่ สิ่งที่เขาเสียใจ
มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลย
เขาเสียใจให้สิ่งไม่มีตัวตน …

“แต่ … มันยังมีทางออกสำหรับเราสองคน”
ภารกิจผมยังไม่จบ มันไม่ใช่แค่ทำลายความฝันของเขาหรอกนะ … สิ่งที่ผมจะทำต่อไปนี้ต่างหาก คือสิ่งที่ยากที่สุดของภารกิจนี้แล้ว

ดวงตาของพี่ภูกลับเป็นประกายอีกครับ เขาผุดลุกขึ้นมาจับไหล่ผมเขย่าอย่างลืมตัว “ทางออกอะไร ยังไง คุณรีบบอกผมเลย ผมจะทำทุกอย่างตามที่คุณบอกเลย”
“นาย ต้อง เป็น คน เดิน ทาง”

นั่นแหละ คือประโยคที่ยากสุดของภารกิจ
ผมพูดมันออกไป ด้วยสายตาคงที่ น้ำเสียงปกติ

“นาย ต้อง เดิน ทาง ข้าม มิติ
ไป เจอ เรา ที่ อีก ฟาก
มัน ถึง จะ ได้ ผล

นาย ต้อง เป็น คน ตาย
ไม่ ใช่ ให้ เรา ตาย"

…….
คิดว่า ... เกมส์พลิกไหม?
แต่จะพลิกหรือไม่พลิก คงต้อรอคำตอบตอนวันอาทิตย์แล้วล่ะครับ

วันนี้พี่เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ เจอกับ #พี่ภูน้องกฤษ อีกทีวันอาทิตย์นี้นะครับ ขอบคุณทุกการติดตาม สำหรับวันนี้สวัสดีครับ
รออ่าน #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ กันอยู่หรือเปล่าครับ รอลุ้นกันอยู่ใช่ไหมว่าเกมส์จะพลิกหรือเปล่า #พี่ภูน้องกฤษ กลับมาแล้วครับ วันนี้ยาวนะบอกก่อนเลย ไปอ่านกันเถอะครับ พี่พร้อมเล่าแล้ว
“หมายความว่ายังไง
ผมต้องเป็นฝ่ายเดินทางข้ามมิติ”
พี่ภูถามทวน

ผมทำเป็นไม่ตอบ
แต่ใช้วิธีจ้องหน้าเขาแทน
ผมว่าในหนัง มีหลายฉากที่ทำแบบนี้
เพราะมันเป็นอวัจนะภาษาเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายเข้าใจสาร ต่อเมื่อทิ้งเวลาไปสักพักนั่นละ คู่สนทนาจะค่อยๆ ได้คำตอบขึ้นมา สังเกตจากสีหน้าหรือคิ้ว มันจะค่อยๆ คลาย
นั่นล่ะ … ตอนนี้คิ้วพี่ภูค่อยๆ คลาย สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นตกใจ ก็ได้เวลาที่ผมจะต้องพยักหน้าตามบท เพื่อเป็นการคอนเฟิร์มว่าสิ่งที่เขาคิดไว้นั่นล่ะ มันถูกแล้ว

“หมายความว่า ผมต้องตาย? เหรอ?”
จังหวะออกเสียงของพี่ภูช้าลง และสั่นทันที
“อย่าเรียกว่าตายสิ” ผมส่ายหน้า แต่สารที่ผมส่งไปในประโยคมันก็คือ yes นั่นล่ะ “ให้เรียกว่าการเดินทาง นายไม่เชื่อใจเราหรือไง?”

“เปล่า แต่ผมนึกว่า ” พี่ภูตะกุกตะกัก “ที่ผ่านมา ผมนึกว่าคุณอยากมาอยู่กับผมที่ฟากนี้เสียอีก ผมไม่เคยได้ยินคุณบอกเลยว่า ผมต้องเป็นฝ่ายเดินทางไปหาที่ฟากนู้น”
“ก็แล้วมันได้ผลไหมล่ะ?” ผมเสียงแข็งขึ้น กระตุกให้เขารู้ว่า ผมมีเวลาไม่มากนะ และผมกำลังหงุดหงิดที่เขามีข้อสงสัยนู่นนี่นั่น ต่อเมื่อเขาเงียบผมจึงได้พูดต่อ
“ก็เพราะที่ผ่านมา มันไม่ได้ผลไงล่ะ และนายกำลังจะทำพลาดโดยการฆ่าคนโดยเปล่าประโยชน์อีกหนึ่งคน เราเลยต้องเสี่ยง ใช้เส้นทางที่ยังไม่เสถียร เพื่อสื่อสารกับนาย”
“นายมีทางเลือกนะ
หนึ่ง เดินทางเพื่อมาเจอกับเราที่ฟากนี้และอยู่ด้วยกัน
สอง นายใช้ชีวิตอยู่ที่ฟากนั้นต่อไป เราต่างคนต่างอยู่แบบนี้”
ผมไม่ยอมให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาเงียบนิ่ง แปลว่ากำลังใช้ความคิด และเป็นช่องว่างให้ผมใส่คำพูดในความคิดของเขาเพิ่ม มันก็คล้ายกับสะกดจิต อย่าให้เขามองเห็นทางออกอื่น นอกเหนือจากทางออกที่ผมเสนอ
ตอนนี้ ... มันคือวินาทีตัดสิน
ถ้าเขายอมเชื่อ วันนี้ เขา จะ ตาย
ถ้าเขาไม่ยอมเชื่อ วันนี้ ผม จะ ตาย

ไม่ชีวิตผม ก็ชีวิตเขา
มันต้องมีใครสักคนตาย ในวันนี้
บทสรุปความรักของผมกับพี่ภู
ถ้าไม่ใช่ #ผมรักคุณ ก็ #ผมฆ่าคุณ นั่นล่ะ

“วันอื่นไม่ได้เหรอ คุณ?”
เขาเริ่มต่อรองแต่ผมส่ายหน้า
“ทำไมล่ะ ทีฆ่าคนอื่น ให้เราเป็นคนเสี่ยงเดินทางข้ามมิติ นายกลับจะเร่ง แต่พอให้นายเป็นคนเดินทางข้ามมิติเอง นายกลับขอประวิงเวลาไปก่อน ตกลงนายรักเรา หรือนายรักตัวเองกันแน่
อย่าลืมนะ การที่เราจะเดินทางจากโลกเราไปฟากนาย เราก็ต้องตาย เหมือนกัน สรุปนายอยากให้คนรักของนายตาย เพื่อเสี่ยงเดินทางงั้นเหรอ?

นี่เหรอคนที่เราจะฝากชีวิตเราไว้ด้วย แค่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์ นายก็ให้เราเป็นคนเสียสละ เฮอะ … น่าทุเรศเป็นบ้า เราไม่น่ารักนายเลย”
ผมใส่อารมณ์ในทุกพยางค์ แอบขนลุกกับความสมจริงสมจังในบทที่ด้นสดของตัวเอง บางครั้งพรสวรรค์ในการเสแสร้งมันก็ทะลักออกมาในวินาทีพลิกผันระหว่างเป็นกับตาย

เพื่อให้อยู่รอด เราพร้อมทำทุกอย่าง
มันจริงตามนั้นทุกคำ
ผมพร้อมที่จะเสแสร้ง สร้างเรื่อง เพื่อให้พี่ภูเชื่อ ละเว้นชีวิตผม และตอนนี้ผมกำลังวางเดิมพันที่หนักขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนจบของเกมนี้ มันไม่มีหรอก ตอนจบที่วินวิน

ตอนจบที่รอดชีวิตกันสองคน มันไม่มีหรอก
ไม่คนใดก็คนหนึ่ง ผมจะรอดก็ต่อเมื่อพี่ภูตาย
แต่ถ้าผมตายก็แปลว่าพี่ภูชนะในเกมนี้
“นายรักเราไหม?”
ไม่แน่ใจว่าตอนถามพี่ภู ผมถามเพื่อตัวเอง หรือ ถามแทน #เขา

“รักสิ ผมรักคุณมากนะ”

แต่มันคือคำตอบต่อ #เขา ที่พี่ภูตอบมา ...​ ไม่ใช่คำตอบสำหรับผม แม้ว่าตรงหน้าพี่ภูจะเป็นผมเต็มสองตา แต่ผมไม่เคยอยู่ในสายตาพี่ภูเลยสักนิด ผมกลืนความเจ็บปวดลงคอ และสวมบทบาท #เขา ต่อไป
“เราก็รักนายเหมือนกัน
มันมีทางเลือกแค่นี้เท่านั้นล่ะ
เดินทางมารัก หรือ อยู่ที่นั่น แล้วเลิกรัก”

ผมบีบคั้นเขาด้วยสายตา
ผมหมดแรงจะพูดและปั้นน้ำเสียงแล้ว
ที่เหลือก็แค่ภาวนา ให้คำพูดก่อนหน้านี้ มันทำงานต่อ
ขอให้คำพูดนั้นก่อเป็นความรู้สึกหนักอึ้งท่วมท้นในใจพี่ภู มากพอที่จะทำให้พี่ภูตัดสินใจ หยุดฆ่าผม และออกไปฆ่าตัวเองซะ แล้วเดินทางไปสู่อีกฟากของมิติควอนตัมบ้าบออะไรนั่น เพื่ออยู่กับคนรักที่ไร้ตัวตนของเขา

ถ้าไม่รักผมแล้ว … ก็ไปซะ
ถ้าไม่เคยรักผมเลย … ก็ ตาย ซะ
ผมหลับตาลง ผ่อนลมหายใจ
1 2 3 4 มันต้องได้ผลสิ ต้องได้ผล
5 6 7 8 9 ไม่ชีวิตเขา ก็ชีวิตผม ในวันนี้
10 11 12 13 14 ผมวางเดิมพันหมดหน้าตักแล้ว

นี่คือการวางเดิมพันชีวิต
วินาทีนี้มันก็คือ เวลาหมุนรูเล็ต
แล้วรอดูผลว่า ลูกเหล็กจะกลิ้งไปตกช่องไหน

“ผมรักคุณ ผมจะเดินทางไปหาคุณ”
แม้น้ำเสียงจะเบา แต่คำตอบจากพี่ภูมันชัดเจน ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาจ้องเขา เม้มปากแน่นก่อนจะค่อยๆ คลายออกเป็นรอยยิ้ม พยายามให้มันดูเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและตื้นตันที่สุดในชีวิตเท่าที่ผมจะเสแสร้งได้
แม้ภายในผมจะรู้ว่าชนะเกมนี้แล้ว
แต่มันเป็นชัยชนะที่เจ็บปวดและเศร้าที่สุด
เขาเลือกที่จะตาย ไปหาอีกคน แทนที่จะเลือกผม

แต่ผมต้องไม่หลุดจากบทบาทนี้ ผมยังต้องสวมหน้ากากของ #เขา ต่อไป แม้ใจจะอยากวิงวอนให้เขาล้มเลิกความคิดและเปลี่ยนใจ ใช้ชีวิตอยู่กับ #ผม ที่ฟากนี้
แต่มันคือการตัดสินใจที่แน่วแน่แล้วของพี่ภู ที่เลือกจะไปอยู่กับ #เขา

“เราจะรอนายที่ฟากนี้ สัญญาว่าเราจะมีความสุขด้วยกัน”

ไม่รู้ว่าเพราะบทบาทมันสมจริง หรือเพราะคำพูดที่ผมคิดปั้นมันกระทบใจ ตอนที่พูด ขอบตาผมแดง ร้อน และน้ำอุ่นๆ มันเอ่อขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆ ไหลลงมาตามแก้มอีกครั้ง
“เราเหนื่อยแล้ว เราจะไปรอนายที่นู่น
สัญญานะ ว่านายจะมาหาเรา
เราจะรอรักนายที่นี่”

“ผมสัญญา ผมจะรีบไปหาคุณเดี๋ยวนี้
ผมจะไม่ให้คุณต้องรอผมนานแล้ว
สัญญานะ ว่าเราจะอยู่ด้วยกัน”​

ผมพยักหน้า …
พี่ภูก็พยักหน้า …
เขาเดินเข้ามาหาผมที่ถูกพันธนาการกับเก้าอี้ ย่อตัวลงช้าๆ ผมรู้ว่าพี่ภูกำลังจะทำอะไร ผมปรือตาลงช้าๆ ผ่อนลมหายใจ ในขณะที่เขาโน้มตัวเข้ามาประทับริมฝีปาก สำหรับพี่ภู มันคือจูบกับ #เขา คนนั้น
แต่สำหรับผม มันคือจูบอำลา
มันคือจูบบอกเลิก ปิดฉากความสัมพันธ์
ไม่มีอีกต่อไปแล้ว #พี่ภูน้องกฤษ … ไม่มีอีกแล้ว

เขาลุกขึ้น แล้วเดินออกไป
ทิ้งผมไว้บนเก้าอี้ไม้ ในสภาพที่ถูกมัด

“คุณอยู่กับผมระหว่างทางได้ไหม?”
เขาหันมาถาม

“...”
ต่อคำถามนี้ ผมไม่แน่ใจว่าควรตอบอย่างไร
พี่ภูเดินไปหยิบมือถือของเขา กดโทรออก แล้วมือถือผมที่เขาแย่งไปเมื่อกี้นี้ก็ดังขึ้น พี่ภูหยิบมันขึ้นมาแล้วกดรับสาย เปิดสปีกเกอร์โฟน และวางไว้บนตักผม

“ตอนผมออกเดินทางไปหาคุณ
ผมอยากให้มีเสียงคุณนำทางไปตลอด
อยู่กับผม จนถึงวินาทีออกเดินทาง จะได้ไหม?”
นั่นแปลว่า … ผมต้องคุยสายกับพี่ภู ในระหว่างที่เขากำลังฆ่าตัวตายสินะ และถ้าเขาใช้วิธีการเอามือถือมาให้คุย แสดงว่าเขาจะต้องไปฆ่าตัวตายที่อื่นที่ไม่ใช่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ?

“ได้ … ได้สิ” ผมตอบ

“ขอบคุณ รอผมนะ ขอเวลาเตรียมตัวหน่อย”

แล้วพี่ภูก็ลุกขึ้นเดินออกไป
พอคล้อยหลัง ผมได้ยินเสียงเขาปิดประตูบ้าน ในวินาทีที่ผมกำลังจะถอนหายใจอยู่แล้ว เสียงเขาก็ดังผ่านสปีกเกอร์โฟนขึ้นมา

“ผมอยู่บนรถแล้วนะ”
น้ำเสียงพี่ภูสั่นๆ อยู่บ้าง … ผมพอจะเข้าใจ ใครบ้างล่ะจะกล้าหาญถ้ายืนอยู่ตรงหน้าประตูความตาย
“แล้วนี่นายจะ ทำยังไงต่อ?” แม้พี่ภูจะไม่อยู่ตรงหน้า แต่ผมก็ยังคงสวมบท #เขา ไว้อย่างแนบเนียน ละครฉากนี้ยังไม่จบสมบูรณ์

“ผมมีวิธีของผม อีกเดี๋ยวผมก็จะไปเจอคุณที่ฟากนู้นแล้วนะ”
ผมได้ยินเสียงสตาร์ทรถ เขาจอดรถที่ไหน? แล้วจะขับรถออกไปไหน? ออกไปชนกับรถคันอื่น? หรือพุ่งลงเหว ลงทะเล ไม่สินี่มันกรุงเทพฯ นะเว้ย กว่าจะไปหาเหวหรือทะเลเจอ มันคงอีกนาน … หรือจะพุ่งลงทางด่วน?

“ผมอยากได้ยินเสียงคุณไปเรื่อยๆ คุยกับผมหน่อย”
น้ำเสียงเขาทั้งอบอุ่น ปนหวาดกลัว
“ได้ ...“ ผมนึกหาประโยคที่เหมาะสมกับบทสนทนา แต่บทสนทนาไหนกันล่ะที่เหมาะสมกับคนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย ผมนึกไม่ออกจริงๆ “นี่นาย … นายจะทิ้งเด็กคนนี้ไว้จริงๆ เหรอ? เราหมายถึง ร่างนี้น่ะ”

“เขาไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ผมไม่ต้องทำอะไรเขาแล้ว เพราะทางที่ถูกต้องคือผมต้องออกเดินทางไปหาคุณ”
ผมได้ยินเสียงพี่ภูถอนหายใจ “ปล่อยเขาไปน่ะดีแล้ว กฤษเป็นเด็กที่ดีคนหนึ่ง ทีแรกผมก็ลังเลว่าจะฆ่าเขาดีไหม …

แต่เพื่อคุณผมยอมทุกอย่าง
ผมฆ่าเขาได้ เพื่อคุณ …

แต่ ... ดีแล้ว ที่ผมไม่ต้องฆ่าเขา
มันก็ดีแล้ว ที่เปลี่ยนเป็นผมที่ออกเดินทาง
ขอบคุณมากเลยนะ ที่มาบอกผมก่อนสายไป
ผมเหนื่อยนะ #คุณ เวลาที่ผมต้องฆ่าใครสักคน มันเหนื่อย ... ตอนแรกที่คุณบอกว่าผมนี่แหละที่ต้องตาย ผมกลัว แต่พอได้ตั้งสติคิดสักพัก ตอนนี้ผมรู้สึกว่า หายเหนื่อยแล้ว

ผมไม่ต้องทรมาน อีกแล้ว
ผมไม่ต้องวางแผนทำร้ายใครอีกแล้ว
แค่อีกนิดเดียว ผมก็จะออกเดินทาง ไปเจอคุณ
ผมหายเหนื่อย โล่งอก อย่างประหลาด
ผมเชื่อคุณแล้วล่ะ นี่เป็นทางที่ถูกต้องจริงๆ”

ผมรู้สึกเหมือนท้ายๆ ประโยค พี่ภูจะพูดช้าลงเรื่อยๆ โทนเสียงเหมือนจะยานคางนิดๆ เหมือนคนที่กำลังง่วงนอนใกล้จะหลับ … เขาทำอะไรน่ะ? รถเขาจอดที่ไหน? เขาขับออกไปแล้วหรือยังจอดอยู่?
“นายอยาก … อยากจะพูดอะไรกับร่างนี้ไหม?”

ไม่แน่ใจว่า ประโยคนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนบทสนทนาให้ไหลลื่นต่อไป เพื่อให้ผมรอดชีวิต หรือว่ามันเป็นส่วนลึกของความต้องการของผมกันแน่ แต่ผมถามเขาไปแล้วล่ะ มันย้อนคืนไม่ได้อีกแล้ว

“ยินดีกับชีวิตปกตินะกฤษ“​
“แค่นี้เหรอ? สั้นๆ แค่นี้?”
ผมไม่ได้ดราม่าหรอกนะ แต่เราสองคนคบกัน แม้เว่าเขาจะมีเป้าหมายอื่นที่ไม่เกี่ยวกับหัวใจผม แต่สงสัยจริงว่า มันไม่มีสักเสี้ยวหนึ่งของซีกใจเขาเลยเหรอ? ที่รักผม ที่ผมเป็นกฤษ ไม่ใช่ร่างที่เสียงตรงกับคนรักที่ไม่มีตัวตนของเขา …

“นายไม่ได้รัก ร่างนี้เลยเหรอ?”
“ผม ... รัก คุณ นะ ครับ”
“…“ ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมไม่รู้ว่าคำรักนี้มันตอบคำถามที่ผมถาม หรือแค่พี่ภูพูดกับ #เขา ที่ไม่มีตัวตน คนที่ผมแสร้งสวมบทบาทเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่กันแน่
“ร้องเพลงให้ผมฟังหน่อย ผมอยากหลับไปพร้อมๆ กับเพลง”​ เสียงวิทยุในรถเงียบไปแล้ว ตอนทีเขาพูด เสียงเขาง่วงงุนยิ่งกว่าเดิม แม้จะมีคำถามมากมายในหัว เขาทำอะไรกับตัวเอง เขาอยู่ที่ไหน เขารักผมไหม … ผมที่เป็นกฤษ
แต่ … ผมตัดสินใจทำตามที่เขาขอ
ถ้าเขากำลังจะฆ่าตัวตายจริงๆ
ผม ... กฤษ คนนี้จะส่งเขาเอง

#เขา ที่พี่ภูรัก ไม่มีตัวตน
#เขา ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรที่นี่
แต่ผมรู้ ผมรู้ว่าคนที่ผมรักเป็นบ้า
ผมรู้ว่า คนที่ผมรัก … ไม่ได้รักผม
ผมรู้ว่า ผมจะรอด ก็ต่อเมื่อเขาตายเท่านั้น
เกมนี้ผมชนะแล้ว
นี่คือบทเพลงส่งเขาสู่เส้นทางคนแพ้
นี่คือบทเพลงที่ฉลองชัยชนะให้ผมรอดชีวิต
นี่คือบทเพลง ปิดฉากความสัมพันธ์ของผมกับเขา

“Love in your eyes, sitting silent by my side
Going on, holding hands, walking through the nights”

“Proud of you นี่นา ดีจังผมชอบเพลงนี้ …”
เสียงพี่ภูเหมือนเด็กกึ่งหลับ กึ่งตื่น …ตอนฟังเขา ผมกลืนก้อนความรู้สึกอะไรสักอย่างลงคอ มันฝืด มันฝืน แต่ผมทำเป็นไม่รู้สึกถึงมัน และยังคงร้องเพลงกล่อมต่อไป

“Hold me up, hold me tight, lift me up to touch the sky
Teaching me to love with heart, helping me open my mind”
มันก็เพลงกล่อมเด็กธรรมดาๆ เพลงหนึ่ง แต่พอมาร้องในเวลานี้ สถานการณ์นี้ ผมรู้สึกว่าเนื้อเพลงบางส่วนมันน่าขนลุก มันจะฟังเป็นส่งให้หลับก็ได้ … หรือส่งให้ตายก็ได้เช่นกัน

“I can fly, I'm proud that I can fly
To give the best of mine, 'till the end of the time”
และตอนนี้ ผมกำลังใช้เพลงนี้
ส่ง พี่ ภู ให้ ไป ตาย …

“Believe me I can fly, I'm proud that I can fly
To give the best of mine, the heaven's in the sky”
ผมได้ยินเสียงหายใจของเขา พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ด้วย พี่ภูคงนอนในรถ แล้วก็เอาโทรศัพท์วางไว้ข้างๆ สินะ ผมถึงได้ยินเสียงจังหวะหายใจของเขา ระหว่างที่ร้องเพลงไป หูผมก็ฟังเสียงหายใจของเขาไปด้วย
“Stars in the sky, wishing once upon the time
Give me love, make me smile, 'till the end of life”

ผมแน่ใจแล้ว ว่าพี่ภูทำอะไร เขาสตาร์ทรถ และปล่อยให้ไอเสีย เข้ามาในรถ เพื่อที่จะได้เกิดภาวะขาดออกซิเจนในเลือดและหลับตายไป เป็นวิธีการที่ฉลาดและไม่ทรมาน
และผมได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรปะทุ
และผมได้กลิ่นควันไฟอะไรสักอย่าง
ข้างนอกบ้าน ... มีไฟไหม้ ...

“Hold me up, hold me tights, lift me up to touch the sky
Teaching me to love with heart, helping me open my mind”
ปากผมยังร้องเพลงในขณะที่ผมพยายามเอี้ยวตัวหันหลังกลับไปมองกระจกหน้าบ้าน แม้จะไม่ชัดมากพอ แต่ผมเห็นรางๆได้ว่า เยื้องกับบ้านผมไปนิดหนึ่ง มีประกายไฟลาม

เขาไม่ได้แค่ ขังตัวเองไว้ในรถกับไอเสีย
แต่เขาตั้งเวลาเผารถตัวเองไว้ด้วย
และเขาตาย … ใกล้ๆ ผมนี่เอง
พี่ภูช่างแน่วแน่จริงๆ
แน่วแน่ที่จะเดินทางไปหา #เขา คนนั้น
แน่วแน่ที่จะทิ้งผมไว้ที่ฟากนี้ ไม่ใยดีอะไรทั้งนั้น

ผมยังคงร้องเพลงต่อไป
เพื่อส่งพี่ภู สู่การเดินทางสุดท้าย

“I can fly, I'm proud that I can fly
To give the best of mine, 'till the end of the time”
ลาก่อน ความสัมพันธ์ของผม
ลาก่อน เรื่องราวดีๆ ระหว่างเรา
ลาก่อน … พี่ภูของผม

“Believe me I can fly, I'm proud that I can fly
To give the best of mine, the heaven 's in the sky”

แม้จะพยายามกลั้นแล้ว แต่น้ำตาก็ไหล
แม้จะพยายามสุดแล้ว แต่ผมก็สะอื้น
Can't you believe that you light up my way No matter how that ease my path
I'll never lose my faith

แต่พี่ภูไม่พูดอะไร เขาคงไม่ได้ยินเสียงสะอื้นผมแล้ว เขาคงเข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับไหลสุดท้ายของเขาแล้ว มันคือ “การเดินทาง” ที่เขาปรารถนา ท่ามกลางฝันหวาน และเปลวไฟ
ผมพร้อมแล้ว ...
ที่จะปล่อยพี่ภูไปจากผม

See me fly, I'm proud to fly up high
Show you the best of mine, 'till the end of the time
ผมได้แต่หวังว่า นิมิตสุดท้ายตอนที่เขาหลับ ก่อนเขาจะออกเดินทาง … เขาจะได้เห็นตัวเองมีความสุขกับ #เขา ที่พี่ภูรัก … ไม่ต้องเห็นภาพตัวเขาเองกับผมก็ได้ ผมให้อภัยเขาแล้ว ผมขอส่งเขาเท่านี้

ผมร้องเพลงท่อนสุดท้าย ...
“Believe me I can fly
I'm singing in the sky
Show you the best of mine
The heaven in the sky

Nothing can stop me spread my wings … so wide”

เสียงระเบิดตูมดังลั่น …
ไฟคงไปถึงถังน้ำมันรถแล้วเกิดระเบิด
เสียงสัญญาณกันขโมยหลายบ้านดั่งกระหึ่ม เสียงคนละแวกนั้นกรีดร้อง
เสียงร้องของผมจบ …
พร้อมๆ กับลมหายใจของพี่ภู
เราจบกันแล้ว และเขาก็จบชีวิตด้วย

"พี่ภู ไม่รัก กฤษ ...
แต่ กฤษ รักพี่ภู นะครับ"

น้ำตาผมไหลผ่านแก้มช้าๆ
แล้ว ... ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ภู ก็โรยม่านปิดฉากลงด้วยการตายของเขาบนรถที่ไฟไหม้จนแทบไม่เหลือซาก ทิ้งไว้แค่แหวนที่เขาใส่ประจำให้ตำรวจชี้บ่งศพได้
ส่วนผม ก็รอดชีวิตต่อไป แม้มันจะมีความวุ่นวายตามหลังจากนั้นมาอีกมากมาย หลังจากที่แม่กลับมาบ้านแล้วเจอผมถูกมัดไว้ แต่ผมคงไม่เล่าเรื่องพวกนี้หรอก มันน่าเบื่อ
แล้วรายละเอียดปลีกย่อย พวกคุณก็คงได้อ่าน ได้ฟังกันในข่าวหมดแล้วล่ะ ใช่ไหมล่ะ? ลูกชายประธานกรรมการบริษัทใหญ่ ฆ่าตัวตายในรถหรูโดยการอัดไอเสียเข้ารถและตั้งเวลาเผารถ ข่าวใหญ่เสียขนาดนั้น จองพื้นที่สื่อแทบทุกช่อง
ผมที่ดังอยู่แล้ว
กลายเป็นคนดังมากขึ้น

แต่ไม่ใช่ดังในเรื่องที่ดีเลย ... เรื่องพี่ภูกับผมกลายเป็นข่าวใหญ่ และเพราะเหลือแต่ผมเท่านั้นที่มีชีวิต ทั้งตำรวจ นักข่าว และอะไรมากมาย ต่างให้ความสนใจ ทุกคนมุ่งประเด็นไปเรื่องไหวพริบของผมที่ทำให้รอดตายได้ ...
แต่ไม่มีใครนึกถึงความรู้สึกของผมที่เสียคนรักไป

มันจบแล้ว ผมกับพี่ภู
ไม่มีแล้วแฮชแท็ก #พี่ภูน้องกฤษ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ
เอาล่ะครับ …
มาถึงคำถามสำคัญแล้วล่ะ
พวกคุณคิดว่า …
ที่ผมเล่าเรื่องมาตั้งแต่ต้นจนถึงตรงนี้

ผมเจอกับพี่ภู เรารักกัน แต่ที่จริงเขาเป็นบ้า เขาวางแผนมาตั้งแต่แรก เขาคิดจะฆ่าผมเพื่อเอาร่าง ผมเป็นเหยื่อที่น่าสงสาร เป็นผู้รอดชีวิตที่หัวใจแตกสลาย เพราะสูญเสียคนรักไป

เรื่องราวพวกนี้ที่ผมเล่ามา ...
ตรง ไหน กัน เหรอ?​

คือ จุด ที่ ผม เริ่ม #โกหก พวก คุณ

จับ ผิด ผม ได้ ไหม ล่ะ ครับ ?
หึหึหึ :)

ถ้าคุณคิดว่าพี่ภูน่ากลัว
ผิดแล้วครับ … ผิดแล้ว ผิดหมดเลยครับ
เรื่องน่ากลัว มันจะเริ่มหลังจากบรรทัดนี้ไปต่างหาก

ตามอ่านต่อสิครับ
:) พีคใช่ไหมล่ะ โดนหลอกใช่ไหมล่ะ
เรื่องนี้ยังมีจุดพลิกได้อีกครับ

แต่คงต้องหยุดเล่าไว้เท่านี้ก่อนนะครับ กลับมาอ่าน #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ได้ใหม่วันพุธ (ต้นฉบับสำหรับลงวันพุธใกล้เสร็จแล้วครับ) สำหรับวันนี้ #พี่ภูน้องกฤษ ลาไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ
มา มา มา

มาอ่านตอน bridging ก่อนเข้าสู่ season 3 ของ #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ กันเถอะครับ มาอ่านโฉมหน้าที่แท้จริง ตัวร้ายที่แท้จริงกันดีกว่า เริ่ม !!!!
เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ

พี่ภูน่ะ ตายจริง คุณภาวนาตัวจริงก็ตาย
วิชก็ตายจริง ตัวละครที่ผมเล่าว่าตาย ตายจริงหมด
พวกคุณเห็นอยู่แล้วนี่ ออกจะเป็นเรื่องใหญ่ในหน้าข่าว

แต่ … สิ่งที่ผมโกหก ไม่ใช่เรื่องพี่ภู
มันเป็นเรื่องของตัวผมเอง …
ตั้งแต่ตรงไหนน่ะเหรอ ?
อืม … พวกคุณจำตอนที่ผมค้นแฟ้มในห้องทำงานหมอนินได้ปะ? ที่ผมบอกว่าผมค้นหาแฟ้มพี่ภู มองหาชื่อภูเบศร์แล้วผมไม่เจอเลยน่ะ …

ผม โก หก ตั้ง แต่ ตอน นั้น

ผม เล่า เรื่อง จริง ผสม กับ โก หก
จริงในส่วนพี่ภู และ โกหกในส่วนของผม
ที่จริงผมไม่ได้เสแสร้งเก่งเมื่อกี้นี้หรอก
ผมเสแสร้ง เล่นละครเก่ง มาตั้งนานแล้ว
พี่ภูโดนผมหลอก พวกคุณ … ก็โดนผมหลอก

ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เรื่องของผมกับพี่ภู
ถูกคิดคำนวณ วางแผนเอาไว้หมดแล้ว
มันคือละครฉากใหญ่ที่ผมกำกับ โดยที่พี่ภูนำแสดง
ผมเขียนฉากการตายอันยิ่งใหญ่ ของเขา
ผมเขียนฉากจบความสัมพันธ์อันสุดเศร้าของเรา
ตั้งแต่วันที่ผมเปิดเจอแฟ้มในห้องทำงานหมอนินแล้วล่ะ
ตอนนั้น แฟ้มที่มีชื่อพี่ภูน่ะ ผมเจอ ชัดเจนเด่นหราขนาดนั้น จะไม่เจอได้ไง วางไว้เหมือนล่อให้อ่านเถอะ ผมเปิดอ่านทันที ดีนะที่หมอนินลายมืออ่านง่ายจนไม่เหมือนหมอ แถมเขียนไว้กระชับเข้าใจง่ายอีกด้วย
พี่ภู เป็นโรค Schizophrenia หรือโรคจิตเภท ผมคุ้นชินกับศัพท์นี้อยู่แล้ว ตั้งแต่เริ่มเป็นโรคจิตเวช ผมอ่านเรื่องราวของพวกนี้ทั้งหมด เท่าที่หาอ่านได้
ลักษณะของคนไข้โรคนี้คือ หลงผิด เชื่ออะไรผิดๆแบบแก้ไม่ได้ แม้จะใช้ตรรกะเหตุผลอย่างไร เขาก็ไม่ฟังยืนยันจะเชื่อตามนั้น สิ่งที่เขาเชื่อมักจะแปลกๆ เหนือธรรมชาติ

และอาการสำคัญอีกอย่างคือ
Auditory hallucination
ภาษาไทยคือ หูแว่ว
มีเสียงหลอนในหู
มีเสียงคนคุยกับเขาในหู
สื่อสารกับเสียงที่ไม่มีตัวตน

แฟ้มหมอนินน่าสนใจมาก ในนั้นบันทึกไว้เลยว่า

/ ผู้ป่วยมีแนวโน้มจะรักกับเสียงหลอนที่อยู่ในหู*** น่าสนใจมาก ไม่เคยเจอ subject ที่หลงรักเสียงในหูได้ มีแต่ทะเลาะหรือรังเกียจ แปลกมาก
ผู้ป่วยเชื่อว่า เสียงในหูเป็นคนต่างมิติและก็รักเขาเช่นกัน มีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรง หรือทำร้ายคนอื่นได้ หากเพื่อเป็นการพาคนรักของเขาให้เดินทางมาสู่โลกฟากนี้ /
ขีดเส้นใต้ตรงคำว่าแนวโน้ม ผมเปิดผ่านๆดูต่อไป คำว่าแนวโน้มจะใช้ความรุนแรง โผล่ขึ้นประปรายในหลายๆ visit ที่พี่ภูมาเจอหมอนิน
แล้วก็มีภาษาอังกฤษแปลกๆ ที่ผมอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจนัก น่าจะเป็นศัพท์แพทย์ไปเลย มีตรวจร่างกาย แล้วก็มียารักษา ผมพลิกไปพลิกมา เหมือนมีการเปลี่ยนยาหลายทีอยู่เหมือนกัน บางช่วงยาน้อย บางช่วงเยอะ
มีคำว่า confess สารภาพอะไรสักอย่าง แต่เพราะรีบอ่านเลยข้ามไป อย่าลืมนะ ผมเปิดอ่านแข่งกับเวลา หมอนินออกไปเอาน้ำชามาให้ มีเวลาไม่นานที่จะอ่านแฟ้มพี่ภู อะไรข้ามได้ข้ามไปก่อน …
สายตาผมมาหยุดที่ประวัติหน้าสำคัญ ผมว่ามันสำคัญมาก เพราะหมอนินเปลี่ยนสีปากกา และมีการใช้ปากกาไฮไลท์ขีดสีไว้ชัดเจน มีการแปะกระดาษโพสท์อิทเอาไว้ด้วย

ข้อความนั้น ทำเอามือผมสั่น
ไม่ใช่ความกลัวหรอกนะ แต่ผมทึ่ง
นี่ผม เจออะไรที่น่าตื่นเต้น น่าสนุก และ …
ผมไล่สายตาลงมา

ถัดจากนั้นลงมา มีการขีดฆ่ายาที่ใช้เดิม และเปลี่ยนตัวอย่าง เพิ่มยาบางตัวเข้าไป และยาเดิมบางตัว มีการเพิ่มขนาดเข้าไปด้วย แปลว่าอะไรรู้ไหม? ถ้าการรักษาเปลี่ยนไปในทางเพิ่มขึ้นแบบนี้ คืออาการแย่ลง
และประวัติที่บันทึกไว้ก่อนหน้านั้น
มันคือเหตุนำไปสู่การตัดสินใจว่าอาการแย่ลง
และหน้านั้นนั่นล่ะ คือ จุดสำคัญที่ผมจะเอามาใช้ได้
ผมรีบเอามือถือออกมาถ่ายรูปหน้านั้นเก็บไว้ มันต้องมีประโยชน์ในการ #วางแผน ของผม แล้วก็รีบเก็บแฟ้มขึ้นชั้น หันไปยิ้มกับหมอนิน เหมือนกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลย ดีมากที่ทันเวลา
ตอนที่ผมจิบชา ผมสวมบทคนที่กำลังกังวล ประหม่าสับสน ถามคำถามโง่ๆใส่หมอนิน และแกล้งทำเป็นตกใจตอนที่หมอนินบอกว่า ที่จริงพี่ภูไม่ได้เป็นคนไข้ของเขาสักหน่อย
ผมรู้อยู่แล้ว ว่าหมอนินโกหก ตามจรรยาบรรณของแพทย์ เขาต้องรักษาความลับคนไข้ มันง่ายกว่าที่จะแกล้งเฉไฉไปเรื่องอื่นว่าพี่ภูไม่ได้มารักษากับเขา ไม่ใช่คนไข้เขา ผมเข้าใจหมอนินส่วนนี้ ผมเลยสวมบทบาทให้สมจริง

หมอนินนี่ก็โง่เนอะ เป็นจิตแพทย์แท้ๆ
ดูไม่ออกเลยรือไง ว่าผมกำลังเล่นละคร
ในตอนนั้นน่ะ ในใจผมลิงโลด
ผมได้ประเด็นสำคัญสุดมาแล้ว

พี่ภู เป็นคนบ้า และรักกับ เสียงในหัว

ตอนนั้นผมรู้แล้วว่า ผม รัก กับ คน บ้า …
เป็นคุณ คุณจะทำยังไงล่ะ ถ้ารู้แบบนี้?

หนี เลิก พยายามเข้าใจ และช่วยเขา?
ทางเลือกทั้งหมดข้างบน ไม่ใช่ผม

ผมเลือกที่จะ … ใช้ประโยชน์
เพื่อ ดึง เอา ความ สน ใจ มา สู่ ตัว ผม
ไม่เอาน่า พวกคุณก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ผมชอบน่ะ คือความสนใจ ผมชอบให้คนสนใจ ผมชอบชื่อเสียง ผมชอบให้คนติดตาม ไอ้ที่ผมเล่น twitter นี่ก็ไม่ใช่เพื่อให้มี follower เยอะๆหรือไงกันเล่า
เชื่อเสียง ความสนใจ มันคือสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจผม มันคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตผมมีความหมาย มันคือยาเสพติดประเภทหนึ่งของผม พวกคุณรู้ความหมายของยาเสพติดใช่ไหม?

เราจะต้องการมันมากขึ้นเรื่อยๆ
และเราจะไม่มีวันพอ เราจะอยากได้อีก
แน่นอน ยาเสพติดที่เรียกว่า #ความสนใจ ก็เหมือนกัน
ผมอยากได้มากขึ้น มากขึ้น เรื่อยๆ และถ้าคุณสังเกตนะ ผมทำแบบนี้มานานแล้วนะ มีการเปลี่ยนแปลงตัวเองบน twitter มาตลอด เพื่อเปิดรับความสนใจให้มากขึ้น
คิดสิ ตอนแรก พอเรื่องเล่าจากความเป็นคนป่วยจิตเวชของผมมันเริ่มซา ผมก็มองหาความรัก ผมบ่นๆพ่นๆเรื่องเหงา แล้วก็มาเจอกับพี่ภู เรื่องเล่าในความคู่จิ้นก็มารับช่วงต่อ พวกคุณก็ยังสนใจผมต่อไป
นั่นไง เห็นไหม ?
เริ่มมองออกแล้วใช่ไหม?
ว่าผมไม่ได้รักอะไรเลยสักอย่าง
นอก จาก ความ สน ใจ จาก ผู้ คน

เรียกผมว่า โรคจิตสิ
เพราะผมเป็นโรคจิตอยู่แล้ว
คำพูดพวกคุณไม่ได้สะเทือนผมเลย

แต่เรื่องเล่าของผมต่อจากนี้ไปต่างหาก
ที่จะสะเทือนโสตประสาท และขวัญของพวกคุณ
ผม ใช้ ประ​ โยชน์ จาก ความ เป็น คน บ้า ของ พี่ ภู
และ ผม ใช้ มัน เพื่อ สร้าง ความ สน ใจ

หลังจากที่ผมได้ข้อมูลจากแฟ้มหมอนิน
แผนการในใจของผมก็เกิดขึ้น

คนบ้า ที่ไล่ล่า หาร่างให้คนรัก
เด็กน้อย ไร้เดียงสา ที่ตกเป็นเหยื่อ
และเหล่าคนดู ที่ลุ้นกับแทบตาย ให้เด็กรอด
มี story ไหนสมบูรณ์แบบเท่านี้อีก
มี story ไหนที่จะดึงความสนใจได้มากกว่านี้อีก
นี่แหละ story ที่ผมกำลังต้องการ นี่แหละ ตัวละครที่ผมมองหา

รู้จัก 3 เหลี่ยมแห่งดราม่าไหม?
รูปสามเหลี่ยม มุมสามมุม
เหยื่อ ตัวร้าย คนดู
ง่ายๆแค่นี้เอง
พวกคุณคือคนดู คุณยืนอยู่ในมุมคนดู คุณจะเห็นแค่สองมุมเท่านั้นในสายตา คือมุมเหยื่อ และมุมตัวร้าย สิ่งที่ผมต้องทำก็แค่ รีบวิ่งไปอยู่ที่มุมเหยื่อ

คนที่เหลืออยู่ 1 คน ซึ่งก็คือพี่ภู
ก็จะตกอยู่ในจุดที่เป็นตัวร้าย
เสร็จแล้ว ง่ายไหมล่ะ
มันเป็นสามเหลี่ยม กลไกทางจิตวิทยา ในมุมของคนดู ถ้าคนคนนึงเป็นเหยื่อ อีกคนก็ต้องเป็นคนร้าย พวกคุณแค่โดนข้อความของผมทริคให้คิดไปตามนั้น

ทีหลังนะ เวลาจะมีปัญหากับใคร
เวลาจะมีดราม่ากับใครน่ะ
เอาหลักการนี้ไปใช้

หาคนดู ให้ได้
แล้วรีบวิ่งไปจุดเหยื่อ
คนที่เหลือ ก็รับบทตัวร้ายไป
โดยที่ไม่รู้เลยว่า
ไอ้คนที่รีบวิ่งไปที่มุมเหยื่อ
อย่างผมนั่นล่ะ คือ คน ที่ ร้าย ที่ สุด

เกม นี้ พี่ภู คือ เหยื่อ
ผมน่ะ คือ ผู้ ล่า ที่ ชนะ
อ้อ แล้วก็แน่นอน พวกคุณน่ะ

คือ คน ดู ที่ โง่ โดน ผม หลอก
กฤษ ถอดหน้ากากออกเต็มขั้นแล้ว

เขาเล่าแล้วว่าจุดเริ่มต้นอยู่ตรงไหน แต่เขาเริ่มยังไง เขาทำยังไง เราคงต้องรออ่านกันวันอาทิตย์นี้แล้วล่ะครับ วันนี้พี่เล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ เจอกันอีกทีอาทิตย์ค่ำๆ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
ว่าร้ายแล้ว กฤษ ยังร้ายได้มากกว่านี้อีกนะครับ ครั้งที่แล้วถอดหน้ากากไป วันนี้กฤษจะเล่าอะไรให้พวกเราฟังอีก มาตามอ่านใน #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ กันเถอะครับ
รู้ไรป่าว ?

ผมรู้เรื่อง วิช ตั้งนานแล้ว
ผมรู้ด้วย ว่าพี่ภู เป็นคนฆ่าวิช
ผมรู้ด้วย ว่าพี่ภูคิดว่าที่มันพลาด

เพราะ วิช ขาด #ความเชื่อใจ
และพี่ภูกำลังมองหาคนที่เสียงเหมือนกันคนใหม่ (ร่างใหม่) ที่จะสามารถเชื่อใจพี่ภูได้มากกว่าที่วิชเคยเป็น ถูก พี่ภูกำลังมองหา #ร่าง ใหม่ ตอนที่เขาเจอผมพอดี
สถานการณ์โคตรน่าสนุกสุดๆ ถ้าผมสามารถทำให้ตัวเองไปตกเป็นเหยื่อพี่ภูได้ แบบที่มีแผนรองรับไว้ทุกอย่าง เพื่อพลิกสถานการณ์แล้วเป็นฝ่ายจัดการพี่ภูได้เอง มันก็จะเป็น story ที่โคตรสนุกแน่นอน
เอาล่ะ ก่อนอื่น ถ้าผมจะ frame ตัวเองให้อยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับวิช ให้พี่ภูเล็งจะเอาชีวิตผม ผมก็ต้องหาทางแสดงให้เขาคิดว่า ผมเชื่อใจเขาเต็มที่ แล้วมันก็จะเป็นตัวเร่งปฏิกริยาให้เรื่องมันน่าติดตามมากขึ้น

ออ … ผมเล่าข้ามไปสินะ
ผมควรพวกพวกคุณก่อนว่า "ทำไมผมรู้เรื่องพวกนี้"
ก็ในหน้าที่ผมถ่ายรูปมาจากแฟ้มหมอนินน่ะ
มันเขียนชื่อ วิช อยู่ในนั้น

หมอนินสันนิษฐานเอาจากเรื่องที่พี่ภูเล่าให้ฟัง หมอนินเองไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่เขาก็บันทึกเอาไว้ก่อนในรูปแบบเหมือนบันทึกส่วนตัวมากกว่าเวชระเบียน
/ ทีแรกนึกว่าเป็นคนละวิชกัน
ทีแรกนึกว่าการฆ่าคน .. เป็นเพียงจินตนาการของภู
แต่พอได้เห็นในข่าวทีวี … ว่ามันเกิดขึ้นจริงแล้ว

ผมว่าภูน่ากลัว

อาการของเขาค่อนข้างน่ากลัว คาดเดายาก
ในทุกครั้งที่มาเจอ เขาจะเหมือนคนปกติทั่วไป
แต่คาดเดาสิ่งที่เขาคิดในหัวไม่ได้เลย
เขาซ่อนความคิดอันตรายไว้เนียนมาก
และผมสงสัยว่า ผมจะหยุดเขาได้ไหม

ระหว่างผม กับ เสียงในหัวของเขา
สิ่งไหนจะเป็นคนชนะกันแน่นะ … /
หมอนินตัดข่าวของ วิช มาแปะไว้ด้วย
มันทำให้ผม google หาข้อมูลเพิ่มได้

และข้างล่างสุด เป็นการสั่งยาชุดใหม่ทั้งหมด น่าจะเป็นความพยายามของเขาที่จะต่อสู้กับ “เสียงในหัว” ของพี่ภูสินะ …

แต่ก็เห็นได้ชัดว่า หมอนินแพ้ราบคาบ
อาการพี่ภู ความน่ากลัวของเขา
มีแต่แย่ลง เรื่อยๆ
เพราะหลังจากวิช ก็เป็นกรณีคุณภาวนา …

ใช่ ตอนที่ผมค้นแฟ้มห้องหมอนินน่ะ ผมแอบเห็นแฟ้มของคุณภาวนาด้วย แต่ทีแรกมันไม่มีเวลาอ่านไง

ผมเลยทำเป็นไปหาหมอนินอีกรอบ ถ้าพวกคุณจำได้ ที่ผมไปปรึกษาเรื่องประเด็นความเชื่อใจ นั่นแหละ
มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หมอนินไปเข้าห้องน้ำ
และช่วงนั้นล่ะ ที่ผมแอบขโมยแฟ้มคุณภาวนาอ่าน

ผมแอบตกใจเหมือนกันนะ เพราะในแฟ้มบอกว่า คุณภาวนาเสียชีวิตแล้ว ในนั้นหมอนินก็บันทึกไว้อีกเหมือนกันว่า เขาสงสัยว่าจะเป็นการกระทำของพี่ภู ผ่านคำสั่งที่เป็นเสียงในหัวอีกเช่นกัน
/ ไม่แตกต่างกับกรณี วิช แต่คราวนี้มันถูกเตรียมการไว้ดีกว่าเยอะ คนในบริษัทของคุณภาวนาถูกดึงมาช่วยกันปิดเรื่องนี้ด้วย
สุดท้าย ชื่อคนตายคือ วิภาวี วงศ์สะอาด ไม่ใช่ ภาวนา เป็นการตายที่เงียบที่สุด ผ่านไปเหมือนไม่เกิดอะไรเลย เธอทำตัวเองแท้ๆ

ถ้าไม่ใช้ชื่อแฝงแต่แรก
เรื่องราวมันคงจบไปได้แล้วล่ะ
เธอเป็นคนยื่นมีดให้ภูฆ่าตัวเธอชัดๆ
และผมว่าเรื่องมันเลยเถิดไปใหญ่แล้ว
คนมัวแต่สนใจเรื่องปิดบังการตาย

จนลืมไปนึกถึงสาเหตุการตาย
ถ้าจะให้ถูกมันควรเรียกว่า ฆาตรกรรม …
ผมยังไม่มีหลักฐาน ผมทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยไป
เพราะหากผมลงมือทำอะไร ...
มีดนั้น ... อาจจะย้อนมาถึงตัวผมได้
ผมว่า มันควรถึงจุดที่ผมยอมแพ้ได้แล้ว
ผมสู้เสียงในหัวของเขาไม่ได้ ผมล้มเหลวในฐานะแพทย์
แม้ว่าจะดูเห็นแก่ตัว แต่ผมขอรามือจากศึกครั้งนี้ ผมคงไม่รักษาเขาอีกต่อไป /
แฟ้มคุณภาวนาจบแค่นั้น

แล้วเรื่องราวสองแฟ้มก็สอดประสานกันสนิท … แฟ้มของพี่ภู กับแฟ้มคุณภาวนาผมได้ข้อมูลมากพอแล้ว พี่ภูฆ่าวิช และคุณภาวนา หมอนินสงสัย (เหมือนจะรู้แหละ) แต่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงรามือถอยออกมาเท่านั้น
เอาล่ะ โจทย์ของผมครบแล้ว
ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มีแล้ว

ผมต้องการสร้างละครฉากใหญ่
ผมต้องการให้ตัวเองอยู่ในสถานะเหยื่อ
ผมต้องการให้พี่ภูรับบทเป็นตัวร้ายโรคจิต
ทีนี้ก็เข้าสู่ขั้นตอนการเขียนบท และกำกับ เริ่มจากสถานการณ์ปัจจุบันตอนนั้น … ผมหมายถึงตอนที่แผนผมอยู่ในหัว แต่ยังไม่ได้เล่าให้พวกคุณฟังนั่นแหละ ผมต้องเริ่มจากการทำให้พี่ภูน่าสงสัยขึ้นมาก่อนถูกไหม
จำ “ดึกแล้วทำไมไม่ปิดไฟนอน” ได้หรือเปล่า? :) นั่นล่ะ คือจุดแรกที่ผมฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความระแวงไว้ในเรื่องราวที่ผมเขียน ให้พวกคุณทุกคนเกิดความระแวงในตัวพี่ภูไปด้วยกันกับผมระหว่างที่ผมเล่า
รู้ไหม ที่จริงในบทสนทนาของผมกับพี่ภู ไม่มีประโยคนั้นนะ ผมปั้นมันขึ้นมาเองล้วนๆ แล้วก้าวถัดไปก็คือการกระจายเรื่องนี้ โดย ปาก คน อื่น
คุณรู้ไหม เรื่องฉาวๆ มันจะกระจายไวมาก ถ้ามีคนที่สามมานินทา โฟร์ เพื่อนปากเสียของผมนี่แหละ ตัวละครเสริมที่แสนดีนักเชียว ผมก็แค่ใส่หน้ากากกังวล เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้มันฟัง แล้วนับถอยหลัง 3 2 1
พรึ่บ !!! โฟร์เอาไปเม้าลงใน twitter
555555 ช่างเป็นตัวเบี้ยที่ซื่อตรงจริงๆ
หวังอย่างไร ได้อย่างนั้นครบถ้วน
แล้วพวกคุณที่อยู่ในทวิตเตอร์ ก็ตั้งข้อสงสัย #พี่ภูน้องกฤษ ทันที ขอบคุณที่ร่วมสนุกตามแผนผมด้วยนะครับ พวกคุณนี่จูงจมูกง่ายฉิบหายเลย ผมเฝ้าตามอ่านอย่างสนุกเป็นบ้าเป็นหลัง thank you 3 times
มิหนำซ้ำ ผมถูกแจ็คพอต ได้ของแถม
โฟร์โดนใครก็ไม่รู้ตีหัว หลังเรื่องในทวิต
ยิ่งเพิ่มดีกรีความน่าสงสัยให้พี่ภูอีกหลายเท่า

ปลาตัวที่หนึ่งติดเบ็ด
นั่น คือ พวก คุณ :)
ตอนนั้นน่ะ เมล็ดแห่งความสงสัยแทงรากงอกในใจพวกคุณแล้ว แล้วก็เริ่มผลิใบแตกยอดอ่อนเรียบร้อย พี่ภูกลายเป็นคนที่น่าสงสัยและออกจะดูน่ากลัวๆในสายตาพวกคุณเรียบร้อยตอนอ่านมาถึงตรงนั้น
ถัดมา เหตุการณ์ข่าวลือนี้ มันซื้อสถานการณ์ให้ผมกับพี่ภูได้คุยกัน ตามที่ผมเล่าให้พวกคุณฟังนั่นแหละ เราได้เปิดใจคุยกันเรื่องความเชื่อใจ แล้วผมก็แสดงให้เขาเห็นว่า ผมเชื่อใจเขา
เจ๋งไหมล่ะ สร้างสถานการณ์ความแคลงใจ
เพื่อให้เป็นเวทีสรุปจบที่ความเชื่อใจ
ใช้สิ่งหนึ่ง ซื้ออีกสิ่งที่ตรงข้ามกัน

ผมขายความเชื่อใจสำเร็จ
พี่ภูรู้ว่า เขาทำให้ผมเชื่อใจได้

ปลาตัวที่สองติดเบ็ด
นั่น คือ พี่ ภู :)
เพราะ เขาไม่รู้หรอกว่า ตอนที่เขาคิด ว่าผมเชื่อใจ
นั่นคือ เขากำลังเชื่อใจผม ว่า .. ผมเชื่อใจเขา

บันได framing ละครของผมเริ่มแล้ว
ในความคิดของพี่ภูตอนนั้น …. ร่างผม ใกล้พร้อมแล้ว แต่มันยังไม่สุกงอมดีหรอกนะ มันต้องมีบันไดขั้นถัดๆไปอีก และผมนี่แหละ จะ framing ให้เขาขึ้นมาตามบันไดนั้นเอง
ในตอนที่เขาคิดว่า แผนการของเขาสำเร็จไปอีกขั้น อีกขั้น เข้าใกล้ความสำเร็จแล้วนั้นน่ะ พี่ภูไม่รู้หรอกว่า ที่จริงแล้ว เขากำลังเดินไปตามบันได ขั้นถัดไป ถัดไป ที่ผมวางกรอบเอาไว้ต่างหาก
หลังจากที่เขาเชื่อผมแล้ว ...​
เขาไม่ได้เดินตามแผนตัวเองอีกต่อไป
เขาเดินตามบทละครที่ผมตีกรอบไว้ต่างหาก
ผมจะบอกอะไรพวกคุณให้นะ คนที่ร้าย แต่มีความต้องการชัดเจนน่ะ จัดการง่าย เพราะเขาพร้อมจะใช้ความร้ายเพื่อจุดหมายเพียงอย่างเดียว ถ้าเราคำนวณทิศทางได้ดี เราก็ชนะอยู่แล้วใสๆ คนพวกนี้ ไม่น่ากลัวหรอก
เพราะ คนที่น่ากลัว รับมือยากน่ะ
คือคนที่ไม่เปิดเผยเป้าหมายต่างหาก
คนแบบ … แบบผมนี่ไง :)
เขียนเองยังกลัวกฤษเองเลยอ่ะ

พี่ว่ากฤษเริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆในทุก ep แต่วันนี้ขออนุญาตเล่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ มาติดตามแผนร้ายของนายกฤษได้อีกทีวันพุธค่ำๆ ขอบคุณทุกการติดตาม สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
#ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ กลับมาแล้วครับ แผนร้ายของนายกฤษ ดำเนินมาถึงตอนจบแล้ว จะมีอะไรให้พลิก ให้เหวออีกไหม ลองตามไปอ่าน #พี่ภูน้องกฤษ กันครับ
ตอนนี้นักแสดงพร้อมแล้ว
เวทีพร้อม คนดูก็พร้อมแล้ว
เหลือก็แค่สั่งแอคชั่นฉากสุดท้าย
ฉากตายของพี่ภู ที่ผมเพิ่งเล่าไปนั่นล่ะ

ทบทวนกันหน่อย ก่อนจะเข้าสู่ช่วงท้ายของโชว์นี้
องค์ประกอบที่ผมปลุกปั้นมามีอะไรบ้างนะ
หนึ่ง พวกคุณเชื่อว่าพี่ภูน่าสงสัย โรคจิต
สอง พี่ภูคิดว่าผมเชื่อใจเขา
สาม คนดูจำนวนเยอะๆ

ใช่ … ที่จริงมีองค์ประกอบที่สามด้วยนะ
สิ่งที่กระตุ้นให้คนดูเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว

ก็ … ทวีตลึกลับ โรคจิต ๆ อันนั้นไง องค์ประกอบที่สาม
ทวีตที่พวกคุณรีกันเยอะๆ แล้วคิดว่าพี่ภูเขียนน่ะ
ช่วยผมได้มากในการเพิ่มจำนวนคนดู
อ้อ… พอพวกคุณอ่านมาถึงตรงนี้
ผมถามอีกทีสิ คุณยังคิดว่า พี่ภูเป็คนทวีตอีกเหรอ?
ผมคงไม่ต้องเฉลยใช่ไหม ว่า มัน เป็น ฝี มือ ใคร :)

ฮ่า ฮ่า ฮ่า เห็นไหม
พวกคุณแม่งโดนหลอกง่ายจัง
สนุกเนอะ สนุกใช่ไหม หัวเราะกับผมสิ
เอาล่ะ นำสู่ฉากสุดท้ายดีกว่า เพื่อให้พวกคุณจะได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ผมขอ wrapup ย่อๆนะ พี่ภูเป็น #เหยื่อ ของผม เขาคือปลาตัวใหญ่ที่ติดเบ็ดล่อของผม
เขาเป็นคนไข้โรคจิตเภท เขามีระบบตรรกะแตกต่างกับเรา เขาไม่เข้าใจกฏหมาย ไม่เข้าใจจารีตสังคมหรอก เขารู้เรื่องนะ แต่เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เอามันเป็นสรณะ สิ่งที่เขายึดถือหนึ่งเดียวคือตรรกะของเขา

จะว่าเขาโหดร้ายก็ไม่ใช่นะ

เอาจริงๆผมว่าคนไข้จิตเภท หรือคนบ้าน่ะ ซื่อตรงด้วยซ้ำไป
เขาคิดยังไง อยากทำอะไรเขาก็ทำตามนั้นซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเอง ซึ่งโอเค บางครั้งมันกลายเป็นทำร้ายร่างกายคนอื่น หรือฆ่าคน

แต่อย่างน้อย … เขาก็ไม่อำพรางความต้องการของตัวเอง
ไม่เหมือนผม … และอันที่จริง ก็ไม่เหมือนพวกคุณด้วย
ถามจริง มีกี่ครั้งกัน ที่พวกคุณแสดงสีหน้าตรงกับความรู้สึกตัวเองเต็มที่ ? ในตำราวิชาประสาทวิทยาบอกว่า สีหน้าเราเสแสร้งได้ 70% อีก 30% ทำไม่ได้ ผมเชื่อว่า ตลอดเวลาที่พวกคุณตื่น พวกคุณพยายามใช้ 70% ของคุณอย่างเต็มที่

เราต่างก็เสแสร้งในชีวิตจริงๆ ไม่มาก ก็น้อย
ทีนี้เข้าใจหรือยัง? พวกเราต่างหากที่อันตราย

คนบ้าแบบพี่ภู อันตรายสู้พวกเราไม่ได้หรอก
หมอนินเข้าใจผิดอย่างแรง
เขากลัวผิดคนแล้ว

คนทีหมอนินควรจะจดลงไปในแฟ้มคนไข้ว่า อันตราย ควรถอยห่าง และถอนการรักษา น่าจะเป็นผมมากกว่าพี่ภู พี่ภูน่ะแค่คนที่งมงายในความรักของเสียงที่ไร้ตัวตน
แต่ผม คือคนที่เสพติดชื่อเสียงความสนใจ
ชนิดที่ไม่สนใจว่าทำยังไงถึงจะได้มันมา
ผมรู้ตัวดี ว่าผมกำลังเสพอะไร

ผมรักตัวเอง และรักความโด่งดังทางอินเตอร์เน็ท
ผมรักมันเสียจนก้าวข้ามเส้นของความกลัว
ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อได้ความสนใจ
และคนที่ทำให้ผมอันตรายถึงขนาดนี้
ก็ คือ พวก คุณ ที่ ตาม อ่าน นี่ แหละ

ถ้าคุณตามอ่านมาถึงตอนนี้
ถ้าคุณติดตาม คอยลุ้น มาจนบรรทัดนี้
พวกคุณก็เป็นพวกที่เสพติดความหายนะของคนอื่น
พวกคุณหล่อเลี้ยงความกระหายของตัวเอง ด้วยเสียงกรีดร้อง น้ำตา และความหวาดกลัวของคนอื่น สิ่งเหล่านั้นทำให้คุณพอใจ เพลินเพลิน สนุกสนาน นี่ไม่เรียกว่าพวกคุณอันตรายหรอกหรือ
แต่ผมไม่ถือนะ ผมไม่แคร์ ผมชอบด้วย
ผมคือผู้ผลิตสื่อ ที่มีรสแห่งหายนะอันกลมกล่อม
เพื่อป้อนให้พวกคุณ เหล่าผู้เสพติดอันงมงาย ได้เสพมัน

พี่ภู เหยื่อของพวกเรา
เป็นเพียง คนไข้โรคจิตเภท ที่มีแต่ความรักเต็มหัวใจ
เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับคนรักที่เขาคิดว่า “มีตัวตน”
เขาคือ main course อาหารจานเด็ด
ของผม และพวกคุณ ในค่ำคืนนี้
เอาล่ะ เสพมันเสียสิ

เมื่อเขาคิดว่าร่างผมพร้อมแล้ว ขั้นถัดไปคือ เขาก็ต้อง “จัดการ” กับผมเพื่อให้ร่างของผมเป็นสะพานเชื่อมโลกให้คนรักของเขา ถูกไหม
แต่เขาจะเริ่มเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และการที่ปล่อยให้เขาเป็นคนกำหนดวันเวลาสถานที่เอง มันเสี่ยงเกินไป ละครผมมันจะไม่พีคถ้าปล่อยไปแบบนั้น

ดังนั้น … ผมนี่แหละ
ต้อง เป็น คน กำ หนด เอง
ผมเล่าให้พวกคุณฟังว่า โมโทรมานัดผมใช่ไหม?
นั่นก็เป็นอีกจุดที่ผมโกหกพวกคุณ
โม อยู่ ของ เขา ดี ๆ อยู่ แล้ว

ผมเป็นคนส่งข้อความไปนัดโมต่างหาก ผมแกล้งส่งไปบอกเขาว่า ตอนนี้เราตกที่นั่งเดียวกันแล้วนะ พี่ภูทิ้งผมไปแล้ว เราเลิกกันแล้ว โมเลยมาเจอผม เพื่อนร่วมชะตากรรม เพื่อปลอบใจ
ส่วนไอ้เรื่องกล้องอะไรนั่นน่ะ โมไม่ได้เป็นคนบอกผมหรอก ผมรู้เองทั้งนั้น บทสนทนาระหว่างผมกับโมที่เล่าให้พวกคุณฟังน่ะ ผมแต่งขึ้นเองทั้งหมดเลย เพื่อทำให้ โม รับบท ผู้ให้ข้อมูลอันสำคัญแก่ผม
ส่วนผม ก็รับบท เหยื่อไร้เดียงสา ที่ความเชื่อมั่นค่อย ๆ สั่นคลอนจากข้อมูลของคนที่พยายามป้อนเข้ามามากมาย ภาพความเชื่อใจของผมที่มีต่อพี่ภู ค่อย ๆ สั่นคลอน ในขณะที่พวกคุณทวีความลุ้นระทึก

พูดถึงโมนิดนึงก็แล้วกัน
เขาดูมีไหวพริบนะ แต่ไม่ฉลาดพอ
พูดง่ายๆนะ เขาไม่ฉลาดเท่าผม แปลกเหรอ?
เขาแค่ทำตัวสู่รู้เกินไป มันแค่ผิดที่ ผิดเวลา ก็เลยทำให้พี่ภูเฉดเขาทิ้งจากลิสท์ในใจ แล้วก็พูดตรงๆนะ ผมว่าเขาไม่ได้หน้าตาน่ารักอะไรมากมายนัก ไม่ได้มีเสน่ห์อะไร
เขามีแค่เสียงที่เหมือนผม แต่โปรไฟล์ หน้าตา รูปร่าง สู้ผมไม่ได้สักอย่าง ไม่แปลกหรอกที่พี่ภูทิ้งเขาง่ายๆ ถึงเขาไม่ทำตัวจุ้นจ้าน ผมว่าพี่ภูก็คงไม่อยากได้เขามาเป็นร่างให้ #คนรัก หรอก

บทบาทของโม ในฐานะผู้ให้ข้อมูล คือสะพานสำคัญที่นำผมไปสู่การตามหา วิภาวี วงศ์สะอาด ….
ที่จริงผมได้ข้อมูลนี้มานานแล้ว เรื่องชื่อปลอม การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การเสพยาเกินขนาดแล้วตาย ทั้งๆที่เลิกยาไปนานแล้ว ลืมไปแล้วหรือไง ผมอ่านแฟ้มหมอนินมาแล้ว
ข้อมูลเหล่านี้ผมรู้หมดแล้ว แต่ผมเอามาเล่าเฉยๆเลยไม่ได้หรอก มันต้องมีสะพานเชื่อม มันต้องมีฉากรองรับ มันต้องมีผู้ส่งสาร และ โม ทำหน้าที่นั้นเสร็จสรรพเรียบร้อย ขอบคุณมา ณ ทีนี้ด้วยนะ โมผู้น่ารัก :)
นั่นทำให้ผมมีบทรองรับอันชอบธรรมที่จะเดินไปที่โรงพยาบาลนั้น และทำเป็นขอข้อมูลของคุณวิภาวี วงศ์สะอาดได้ การเล่นบทให้ไม่เนียน มีพิรุธ จนเจ้าหน้าที่ต้องโทรไปหาพี่ภูน่ะ ผมบอกตรงๆนะ มันยากกว่าการเล่นให้เนียนๆอีก
คุณน่าจะรู้แล้วว่า ผมน่ะเกิดมาเป็นนักแสดงโดยธรรมชาติ ผมเล่นเนียนโดยไม่ต้องพยายาม ดังนั้นพอต้องพยายามเล่นให้ไม่เนียน ให้ดูมีพิรุธมันก็เลยยาก แต่ผมก็ทำได้ เจ้าหน้าที่จับพิรุธ และโทรหาพี่ภู ผมแอบเห็นจากร้านกาแฟ
อ้อ … พี่สาวร้านกาแฟ ก็บทบาทสมมุติ
เธอมีตัวตนจริงๆ ร้านกาแฟก็มีจริงๆ
แต่ผมไม่ได้คุยกับเธอ
ในตอนที่กำลังขบคิดอยู่พอดีว่า ข้อมูลจุด twisted ของเรื่อง ที่สุดควรจะมาจากใคร ผมเดินเข้าไปในร้านกาแฟที่โรงพยาบาลพอดี แล้วเธอก็ถามผมว่า “รับอะไรดีคะ?”

/ ตัวละครสักตัว ที่เป็นคนส่งสาสน์พลิกเรื่องครับ /

ในหัวผมคิดแบบนั้น แต่ปากน่ะตอบไปแค่ว่ากาแฟดำเย็นครับ
เธอช่างมาได้ถูกที่ถูกเวลาพอดี และด้วยประโยคนั้น เธอก็เลยมาเป็นส่วนหนึ่งในละครของผม ขอบคุณนักแสดงสมทบหญิง
เท่านี้สถานการณ์ทุกอย่าง ก็ล้อมกรอบให้พี่ภูต้องรีบไปหาผมที่บ้านแล้ว ผมรีบกลับบ้าน ปลดรหัสดิจิตัลกันขโมยออก แค่ล็อกกุญแจบ้านไว้เฉยๆ ผมรู้ว่าพี่ภูมีกุญแจบ้านผม แต่เขาไม่รู้รหัสกันขโมย ถ้าเขาแอบเข้ามาแล้วรหัสเตือน ทุกอย่างจะผิดแผน
พอทางสะดวกสำหรับพี่ภู ผมก็ออกไปนอกบ้านอีกรอบ ตรงนี้ผมไม่ได้เล่าให้พวกคุณฟัง แค่บอกว่าหลังจากออกจากโรงพยาบาลผมก็เตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ไร้จุดหมายแล้วค่อยกลับบ้านค่ำๆใช่ไหม ที่จริงผมแอบกลับบ้านมาก่อน แล้วค่อยออกไป
ผมเตรียมบ้านให้พร้อม สำหรับการบุกรุกของพี่ภู
พร้อมสำหรับละครสะเทือนขวัญ ฉากสุดท้าย
ผมแอบรออยู่แถวๆบ้านนั่นล่ะ จนกระทั่งเห็นรถพี่ภูมาจอดแอบตรงซอยตรงข้าม ไม่ไกลจากบ้านผมนัก ผมปล่อยให้เขาเข้าไปในบ้าน จัดนู่น จัดนี่สักพัก แล้วค่อยอัพสเตตัสใน facebbok กับ twitter ว่ากำลังจะกลับบ้าน แล้วค่อยเดินเข้าไป
แล้วทุกอย่าง ก็เป็นไปตามที่พวกคุณอ่านนั่นแหละ
สิ่งที่เหนือความคาดหมายมันมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอก
หนึ่ง ผมไม่คิดว่าพี่ภูจะเชื่อผมง่ายขนาดนั้น

ที่จริงผมแอบพกปืนอยู่ในกระเป๋าด้วย (อย่าถามนะ ว่าผมได้มายังไง ไม่บอก) พี่ภูซื่อขนาดที่ว่าตอนจับผมมัดกับเก้าอี้หลวมๆ ผมแอบกำเชือกส่วนหนึ่งตอนเขามัดปมซ้อน แค่นี้มันก็ทำให้ปมหลวมแล้ว อยากหลุดเมื่อไหร่ผมก็ทำได้
ผมว่าชีวิตนี้เขาคงไม่เคยมัดใครจริงๆจังๆมาก่อน ไอ้ตอนที่เขาทำร้ายแม่ กับวิชน่ะ คงเพราะทั้งสองคนเมาด้วยกระมัง เลยต่อสู้ดิ้นรนหนีไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ผมแน่ๆ
ผมเตรียมบทเอาไว้ว่า ผมจะดิ้นเชือกหลุด แล้วใช้ปืนขู่เขา ไม่ก็แค่ยิงให้เขาบาดเจ็บแล้วจับส่งตำรวจหรืออะไรก็ตาม แต่ไม่นึกว่า บทจะพาไปไกลขนาดที่ผมใช้คำพูดสั่งให้เขาไปตายได้
คุณเอ๋ยยยย ตอนที่พี่ภูเชื่อ แล้วยอมเดินออกไปตายนะเว้ย ผมงี้ขนลุกซู่เลย เหมือนคาดหวัง 100 แต่เขาเล่นให้ผมระดับ 1,000,000 น่ะคุณ สุดๆไปเลย ผมงี้ตื่นเต้นดีใจจนเกือบจะน้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้ม

สอง ผมไม่คิดว่าพี่ภูจะเล่นใหญ่ขนาดเผารถ
นั่นยิ่งช่วยให้ทุกอย่างสมเหตุสมผลมากขึ้น ผมไม่ต้องดิ้นหลุดจากเชือกที่รัดข้อมือไปโทรตามใคร เพราะถ้าทำแบบนั้น คงมีคนถามได้แหละว่า ดิ้นหลุดมาได้ไงอะ ถ้าดิ้นหลุดได้ ทำไมไม่ดิ้นหลุดแต่ทีแรก
ผมถือโอกาสตอนนั้น ปลดเชือกแล้วก็เอาปืนไปซ่อน กลับมามัดข้อมือตัวเองไว้แบบเดิม รอให้รถตำรวจ พยาบาลมาในที่เกิดเหตุ และแม่ผมกลับมาเจอผมในสภาพถูกมัดกับเก้าอี้และหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจากการขาดน้ำ
คุณเอ๋ย ผมต้องฝืนกินยาขับปัสสาวะเพื่อฉี่ให้ขับน้ำออกไป สภาพผมมันจะได้สมกับบทบาทที่ขาดน้ำอยู่หลายชั่วโมงก่อนแม่กลับบ้านมาพบ อย่าว่าแต่พี่ภูเล่นใหญ่เลย ผมก็เล่นใหญ่เหมือนกัน ใจหนึ่งก็อยากออกไปดูสภาพรถและศพนะ ว่าตายสนิท แต่ว่า … ไม่ดีกว่า
แล้วเรื่องของผม กับพี่ภู ก็ปิดฉาก
ด้วย การ ตาย ของ พี่ ภู
และ ผม ที่ อยู่ รอด

ปิดฉากด้วยชัยชนะของผม
แต่เดี๋ยวก่อน …. มันยังไม่สุดหรอก
หนังมันไมไ่ด้จบตอนขึ้นจอดำจริงๆหรอก
หนังเดี๋ยวนี้ มันจบสุด ตอนมี end credit ต่างหาก
และหลังจากนี้ ที่ผมกำลังจะเล่าให้คุณฟัง มันคือ end credit
จริงไหมครับ #คุณ
เราต้องมีฉาก end credit ใช่ไหมครับ?
ผมรู้ว่า #คุณ ต้องบอกว่าใช่ แน่นอนอยู่แล้ว
งั้นผม ไปเตรียมเล่าฉาก end credit ก่อนดีกว่า
อ้อ … ที่ผมคุยด้วยเมื่อกี้นี้น่ะ #คุณ ที่ผมสนทนาด้วยน่ะ ไม่ได้หมายถึงพวกคุณ ที่เป็นผู้ชม ผู้อ่านหรอกนะ พวกคุณที่กำลังอ่านอยู่น่ะ คือ ผู้ชม แต่ #คุณ ที่ผมคุยด้วยเมื่อกี้นี้น่ะ มัน ไม่ ใช่
#คุณ ของผม คือคนรักที่แท้จริงของผม ไม่ใช่พี่ภู
#คุณ คือ เสียงที่สนทนากับผมมาช้านานแล้ว
#คุณ คือ คนที่ผมไม่เคยได้เห็นแต่ได้ยินเสียง

#คุณ คือ เสียงที่อยู่ในหัวผม
ผม ก็ มี เสียง ใน หัว เหมือน กัน
อ้าว เฮ้ยยยยย นึกว่าจบ
สรุปว่าต้องไปรออ่าน end credit ต่ออีกสินะ

งั้นมารอ end credit ของ #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ในครั้งหน้านะครับ วันนี้ไม่ไหวจะเล่าแล้ว เพลียจริง ไข้ขึ้นจัง พรุ่งนี้ยังต้องอยู่เวร แล้วเจอกันตอนหน้านะครับ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
End credit สุดท้ายของกฤษ มาแล้วครับ #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ end credit ปิดฉากของกฤษ มาแล้วครับ มาอ่านตอนจบของกฤษกันได้ล่ะครับ ไป!
หลังจากพี่ภู จากไป
แม่ส่งผมไปบำบัดกับหมอนิน อย่างด่วน
แหงล่ะ ทุกคนคิดว่าจิตใจผมต้องย่ำแย่มากแน่ๆ

พวก เขา แค่ ไม่ รู้
หน้านี้ผม คือเล่นตามบท
“ตอนนี้น้องกฤษเป็นไงบ้างครับ?” หมอนินถามผมด้วยคำถามที่โคตรกว้าง สมแล้วที่เป็นจิตแพทย์ คำถามกว้างๆ ปลายเปิดสุดๆ ให้ผมดีไซน์ตัวเลือกในการตอบเอง
“ก็ … ผมว่าผมดีขึ้นนะครับ” ผมสวมบทเหยื่อที่น่าสงสาร ปากฝืนยิ้มพอประมาณ แต่นัยน์ตาเศร้า ตอบเขาด้วยบทพิมพ์นิยมที่ทุกคนคิดว่าผมต้องตอบประโยคนี้

บอกแล้วว่า หน้านี้ผมคือ เล่น ตาม บท
“ยาที่หมอปรับให้ น้องกฤษโอเคใช่ไหมครับ?”​ เขาถามถึงยาใหม่ที่ให้ผม หลังจากเรื่องพี่ภู หมอนินปรับเป็นยาตัวใหม่ทั้งหมดให้ ผมพยักหน้าตอบ “โอเคดีครับหมอ ช่วยผมได้มากเลย”
โกหกน่ะสิ … ผมไม่ได้กินยาหรอก จะกินทำไม ในเมื่อผมไม่ได้ป่วยด้วย “โรค” ที่หมอเข้าใจเสียหน่อย ผมไม่ได้มีความป่วยอะไรเสียหน่อยในจิตใจ

ผมไม่ได้เสียใจด้วยซ้ำเรื่องที่พี่ภูจากไป ผมแค่เล่นละครให้สมจริง แล้วจะให้ผมกินยาทำไมกันเล่า ตั้งแต่ทีแรกที่มาหาหมอ ผมก็บ้างไม่บ้างอยู่แล้ว
“แล้ว น้องกฤษจะทำยังไงกับชีวิตต่อไปครับ?”
“ก็ … ทำตัวตามปกติ สอบเข้ามหาลัยมั้งครับ”

เขาพยักหน้า ยิ้ม
“ดีแล้วครับ หมออยากให้น้องกฤษกลับมาเป็นปกติ”
ผมสงสัย … คำว่าปกติของหมอคืออะไร? คือตอนนี้ผมปิดปกติเหรอ? ไม่นะ ผมปกติดี ผมแค่เล่นละครว่าผมผิดปกติต่างหาก เผลอๆผมจะปกติมากกว่าหมอนินด้วยซ้ำไป

“ทุกอย่างจบไปแบบนี้ หมอว่ามันดีในแบบของมันนะ” พูดจบหมอนินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก วางมือบนโต๊ะ
“ปล่อยให้เรื่องมันจบและซาไปแบบนี้ แล้วใช้ชีวิตแบบปกติดีกว่า”

“ทำไมหมอนินมองว่าเรื่องนี้จบแล้วล่ะครับ?”​ ผมเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง ไม่เชิงจิตวิทยาหรอก ผมแค่อยากรู้ว่าเขาคิดยังไง ถึงได้กล้าพูดว่า เรื่องนี้มันจบไปแล้ว …

อย่าลืมนะ พี่ภูไม่ใช่คนดำเนินเรื่องนี้
ผมต่างหากที่ทำ และพี่ภูเป็นเพียงเบี้ยที่ใช้เดินเรื่อง ในเมื่อผู้กำกับเรื่องนี้อย่างผม ยังไม่ได้สั่งให้หยุด แล้ว เรื่อง มัน จะ จบ ได้ อย่าง ไร

“ถ้าชีวิตยังไม่จบ เรื่องมันก็ไม่จบหรอกครับหมอ”
ผมปิดท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
แน่นอน เพราะผมกำกับเรื่องนี้
แต่เขากลับหัวเราะเบาๆ และส่ายหน้า

หมอนินทำราวกับว่าผมเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาที่สุดในโลก ผมเกลียดสีหน้าเวลาที่หมอนินทำเหมือนเอ็นดูผม และตั้งท่าจะสอนมาก เขาไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่ากริยานั้นเหมือนเขากำลังข่มคนอื่นอยู่ มันหยาบคายสำหรับผม
“ชีวิตยังไม่จบ ก็จบเรื่องได้ครับกฤษ ตอนจบของทุกเรื่อง เราเลือกได้เสมอ มันไม่เกี่ยวกับชีวิตของเราเลยนะครับ ชีวิตของเรา ประกอบไปด้วยหลายเรื่อง เรื่องดี เรื่องร้าย เรื่องที่ไม่ดีไม่ร้าย
ถ้าเราอยากจบเรื่องไหน เราเลือกได้ เราไม่จำเป็นต้องรอให้เราจบชีวิตก่อนหรอกครับ อย่างตอนจบแบบนี้ ที่ภูเขาจากไป แล้วกฤษกับมาใช้ชีวิตปกติ หมอว่า จบดีแล้วครับ”

ผมไม่ชอบที่เขาเน้นคำว่า #จบ บ่อยเกินไป
ทุกครั้งทีปากหมอนินขยับเป็นคำว่าจบ ผมจะรู้สึกเหมือนมีหินก้อนหนึ่งเติมลงไปยอดภูเขาแห่งความไม่พอใจที่ก่อตัวในใจผม ยิ่งเขาพูด ผมยิ่งหงุดหงิด

“ดียังไงกันครับหมอ” ผมยังถามเขาต่อไป และพยายามข่มใจ ไม่แสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียง แม้ในใจผมจะหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆก็ตาม
“ก็ความวุ่นวายมันเกิดจาก hashtag #พี่ภูน้องกฤษ นี่ครับ ตอนนี้ไม่มี hashtag นี้แล้ว เรื่องก็จบลง คนในอินเตอร์เน็ทเดี๋ยวนี้เขาลืมง่าย เดี๋ยวความสนใจก็พุ่งไปที่เรื่องอื่นแล้วล่ะครับ

หมอว่า … แบบนี้มันดีต่อโรคของกฤษเองด้วยนะ”

หึ … แล้วก็วกกลับมาเรื่องนี้
ดีต่อโรคที่ผมเป็น …
ทั้งๆที่ในความเป็นจริง
หมอ นิน ไม่ รู้ ด้วย ซ้ำ ว่า ผม เป็น โรค อะ ไร

ผมโกหกเขามาตลอด ผมแกล้งแสดงอาการ เฟคเล่าความรู้สึกภายในของผมทุกอย่าง เพื่่อลวงให้หมอนินเข้าใจว่าผมเป็นโรคอื่น เก่งไหมล่ะ ผมหลอกจิตแพทย์ได้ ผลงานชิ้นโบว์แดงเลยเชียวนะ
หมอนินเข้าใจว่าผมเป็นโรค hysterionic personality disorder (โรคที่ต้องการความสนใจจากคนรอบข้าง) แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้เป็น ผมแค่ชอบความมีชื่อเสียงความสนใจเฉยๆ แหม… พวกคุณก็เป็น ทุกคนก็เป็นน่า นี่ไม่ใช่โรคเสียหน่อย
ผมรู้ว่าผมไม่ได้ป่วยจิต
มันห่างไกลกันตั้งเยอะนะคุณ
ผมเป็นคนธรรมดาที่ฉลาด แค่นั้นเอง

/ หมอนินกำลังจะบอกว่า
เราสองคน จะไม่เป็นจุดสนใจแล้ว
หมอนินมันคิดว่า เป็นแบบนี้ ดีต่อเราสองคน /

#คุณ พูดกับผมในหัว
ผมไม่ได้ตอบ เพราะตอนนี้อยู่ต่อหน้าหมอนิน
ผมให้เขารู้ไม่ได้หรอกว่า ผมมีเสียงในหัวเหมือนกัน

คือ … จะว่าเหมือนกันก็ไม่ถูกหรอก
เสียงในหัวผม ไม่ใช่ เสียงในหัวแบบพี่ภู
แบบพี่ภูน่ะ มันคือ #คนบ้า แต่สำหรับผมน่ะ #คนพิเศษ
ผมเป็นคนพิเศษ
และความพิเศษของผมคือ
ผม ติด ต่อ คน ใน โลก วิญญาณ ได้

คือ ตอนแม่ท้องผมน่ะ
แม่ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวในท้องหรอก
แม่มี “อีกคน”​อยู่ในท้อง นอนข้างๆผมด้วย …

โชคร้ายที่ เขาหลุดไป
แต่ก่อนจะหลุดไป เขาทิ้งบางส่วนไว้ในผม
และส่วนนั้นล่ะคือ #คุณ ที่ผมพูดถึง
ผมรู้จักเขา เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมได้เห็นรูปอัลตร้าซาวน์ตอนแม่ตั้งท้องผม มันมีวงไว้สองวง เขียนว่า fetus1 , fetus2 มันเป็นรูปที่แม่แอบเก็บไว้ในลิ้นชักลึกที่สุด ผมหาเจอตอนที่แอบค้นห้องแม่เล่นตอนแม่ไม่อยู่
บนรูปนั้น มีชื่อแม่ชัดเจน ปีที่ทำระบุบนอัลตร้าซาวน์เป็นปีเดียวกับที่ผมเกิด แต่เป็นตอนต้นปี ซตพ. นั่นคือรูปถ่ายผมตอนอยู่ในท้องแม่ พร้อมกับ … ฝาแฝดของผมอีกคนหนึ่ง
หลังจากวันนั้น ผมก็เฝ้าคิดถึงแต่เรื่องนี้วนไปวนมาในหัว และในคืนที่ 4 ที่ผมวนคิดเรื่องนี้ #คุณ ก็เริ่มต้นคุยกับผม และนั่นคือจุดที่เราได้รู้จักกัน
เนื่องจากเขาไม่ได้มีโอกาสเกิดมาในโลกนี้ เลยไม่มีชื่อที่เป็นทางการ ผมเลยเรียกเขาว่า #คุณ เพราะไม่รู้จริงๆว่าถ้าเขาไม่หลุด ได้เกิดมา เขาจะเกิดก่อนผม หรือหลังผม จะเรียกว่าพี่ หรือน้อง ก็คงยาก
ทีแรกคุณเขาก็แค่คุยกับผมเล่นๆ แต่ไปๆมาๆ ผมรู้สึกว่า คุณเขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจผมมากที่สุด รู้ทุกอย่างที่ผมต้องการ เลยไม่ยากเลยที่สุดท้ายเราสองคนก็ตกหลุมรักกัน
จะอ้วกก็ได้นะผมไม่ว่า ผมกับฝาแฝดที่ตายไปก่อนผมเกิดเรารักกัน ว่าแต่ทำไมคุณต้องอ้วกด้วยล่ะ ในเมื่อพวกคุณๆๆๆๆ น่าจะเคยพูดมาก่อนว่า รักมันไม่มีกฏเกณฑ์ แต่พอผมจะรักกับวิญญาณฝาแฝดตัวเอง พวกคุณดันอยากจะอ้วก
ผมไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ผมไม่เปิดเผยเรื่องนี้ให้หมอนินฟังด้วย เพราะถ้าเขารู้ เขาก็จะบอกว่าผมเป็นโรคจิตเภท แบบเดียวกับที่เขาบอกว่าพี่ภูเป็นนั่นล่ะ ซึ่งผมรู้ไงว่า ผมไม่ใช่ ผมไม่ได้บ้า ผมเป็นคนพิเศษ
แม่อยากให้ผมหาจิตแพทย์ ได้
ถ้าผมเป็นโรคจิตสักโรค แม่จะสบายใจ ได้
งั้นผมก็เลยแกล้งเป็นโรคสักโรค หลอกหมอนิน
ตกลงทุกคนโง่หมด แม่โง่ หมอนินโง่ พวกคุณโง่
ทุกคนโดนผมหลอกจนเปื่อยสนิท ยินดีด้วย

“หมออยากให้กฤษ กินยาต่อนะครับ”
“ได้ครับหมอนิน” ผมพยักหน้า
“ถึงเรื่องจบไปแล้ว แต่การรักษาไม่จบเนอะ” แล้วเขาก็ยิ้มเอียงคอ ทำหน้าปัญญาอ่อนใส่ผม ราวกับว่าผมเป็นเด็กน้อยอย่างนั้นล่ะ เกลียดฉิบหาย อยากลุกไปต่อยหน้ากวนๆนั่นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“ครับ … แต่หมอนินครับ” ที่จริงผมคิดว่าจะไม่พูดอะไรต่อแล้วเชียง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหมอนินย้ำคำว่า #จบ อีกรอบ มันเลยทำให้ความหงุดหงิดผมปะทุขึ้นมา

“ครับกฤษ? มีอะไรเหรอ?”​
“แล้วถ้าเรื่องมันไม่จบล่ะครับ?”
เขาขมวดคิ้ว … ทำหน้าเหมือนคนที่ลืมปิดไฟก่อนออกจากบ้านแล้วเพิ่งนึกได้ตอนที่ขับรถไปไกลเกินกว่าจะกลับได้แล้ว สักพักคิ้วก็คลายลง แล้วทำหน้าเหมือนเลยตามเลย
“ถ้ามันไม่จบ … มันคงมีใครอีกสักคนที่ตายละมั้งครับ หรือกฤษว่ายังไงล่ะ? แต่หมอว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ภูเขาตายไปแล้ว คนบงการเรื่องทั้งหมดจบชีวิตไปแล้วครับ
หมอว่าสาเหตุเดียวเรื่องมันยังไม่จบ คือคนบงการ ที่อยู่เบื้องหลังยังไม่ตายครับ เหมือนในหนังทุกเรื่องแหละ ที่จริงพลังในการกำหนดตอนจบ คือความตายของคนบงการครับ

ดังนั้น สำหรับเรื่องครั้งนี้ …
หมอว่ามัน #จบ แล้วล่ะครับ”
แล้วหมอนินก็เก็บเอกสารใส่แฟ้ม ปิด และหยิบไปวางที่ชั้นหนังสือเหมือนเดิม “เราเจอกันอีกสองสัปดาห์นะครับกฤษ” ผมพยักหน้า หยิบกระเป๋าและเดินออกมา ลืมไปว่าไม่ได้ยกมือไหว้หมอนิน แต่ผมก็เข้าลิฟท์ไปแล้วล่ะ
/ ถ้าหมอมันบอกว่า จบ
ถ้าหมอมันย้ำนักหนาว่า จบ
งั้นเราสองคน ทำให้หมอมันรู้ดีไหม
ว่า เรื่อง นี้ มัน ยัง ไม่ จบ /

#คุณ ในหัว พูดกับผม
และครั้งนี้ ผมพยักหน้า พูดตอบเขา
“ใช่ … ถ้าหมอนินมั่นใจมากว่าเรื่องนี้จบไปแล้ว เราจะทำให้เขารู้ว่า เรื่องนี้มันยังไม่จบ” ผมเดินออกจากลิทฟ์ เปิดประตูสู่ถนน กลิ่นไอเย็นของฝนที่กำลังจะตกปะทะหน้า เสียงผู้คน เสียงการจราจรบนถนน แม้จะดัง แต่เสียงในหัวผม มันก็ยังชัดเจน
/ ใช่ ทำให้หมอนินมันรู้ว่า ไม่จบ /
“เพราะคนที่กำกับเรื่องนี้ที่แท้จริงคือเรา”

/ ถูก อำนาจในการจบเรื่องนี้ อยู่ในมือเรา /
“เรื่องจบได้ก็ต่อเมื่อเราสั่งจบ ไม่ใช่หมอนินบอก”

/ งั้นเราจบเรื่องนี้ให้อลังการที่สุดดีกว่า /
“เห็นด้วย เอาให้อลังการที่สุด เอาให้ทุกคนเหวอ”
/ เอาให้ทุกคนรู้ว่า พวกเขาคิดผิดทั้งหมด /
“ใช่ เอาให้ทุกคนรู้ว่า พวก เขา คิด ผิด ทั้ง หมด”

/ นายคิดเหมือนเราใช่ไหมกฤษ /
เสียงของ #คุณ ตอนที่ผมถามกลั้วหัวเราะ

แต่ผมหัวเราะออกมาดังๆ และตอบเขา
“ใช่ เราคิดเหมือนนาย … ตอนจบที่ตัวร้ายเปิดเผยตัวเอง”
และนี่ไง ครับ
ตอนจบที่ตัวร้ายเปิดเผยตัวเอง
ตั้งแต่ต้นที่ผมเล่าให้พวกคุณฟัง คือการปู

ปูเพื่อนำมาสู่ ฉากนี้แหละครับ
ฉากที่ผม เล่าเรื่องราวทั้งหมด เปิดเผยแผนทั้งหมด
และหลังจากนี้ คือการรูดม่านปิดฉาก ขึ้น end credit ของจริง
ขอเชิญ กดลิงก์ ข้างล่างนี้ครับ
มันจะนำไปสู่ YouTube live ของผม
ไปดูฉากจบ ที่แท้จริง ของเรื่องนี้พร้อมกันครับ

END CREDIT ที่แท้จริง
ปิดฉากผมกับพี่ภู
ตอนจบ ที่พวกคุณทุกคน จะจำเป็นตำนาน

และก่อนกดไปดู อย่าลืมนะครับ
อย่า ลืม รี ทวีต ผม ก่อน :)

อย่า ลืม ชื่อ ผม #กฤษ นะ ครับ
เพราะ คน ที่ ยิ่ง ใหญ่ ที่ สุด
ก็ คือ ผม คน นี้ นี่ แหละ

…..
แล้วข้อความก็จบตรงนั้น …

นั่นคือทวีตสุดท้ายของน้องกฤษ คนไข้ของผม ผมเริ่มต้นการอ่านทวีตน้องกฤษ แวะไปแอคเคานท์ลึกลับ ที่ทำให้ผมคิดว่าเป็นน้องภูในตอนแรก … และเพิ่งเฉลยอีกทีว่านั่นคือน้องกฤษนั่นล่ะ ไม่ใช่ภู
กฤษ … เป็นคนทำเรื่องทั้งหมด
ภูเป็นเพียง เหยื่อของกฤษเท่านั้น
รวมถึง .. รวมถึงผมด้วย

ต่อจากทวิตสุดท้าย ก็เป็นลิงก์นำไปสู่ YouTube live ถ้าตอนนี้กดไปดู จะเห็นว่าทาง youtube เอาวีดีโอไลฟ์นั้นออกไปแล้ว ไม่มีอะไรให้ดู แต่ถ้ากดดูรีพลายในทวิตนี้ต่อ ก็จะเห็นรูปที่คนแคปทันมาแปะไว้
รูปดาดฟ้า ที่ว่างเปล่า
ท้องฟ้าสีครามสดใส
และรองเท้าหนึ่งคู่

กฤษถ่ายทอดสดตัวเองโดดลงจากดาดฟ้าด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ผมเปิดทันเข้าไปดูพอดีเมื่อเช้า และนั่นคือที่มาที่ทำให้ผมอ้วก และมีอาการ panic attack
หมอยอมรับแล้วครับกฤษ

กฤษทำได้จริงๆ อย่างที่บอกไว้
เรื่องนี้จะจบ ก็ต่อเมื่อเขาบอกให้จบ
ผมแพ้ กฤษเป็นคนกำหนดตอนจบตัวจริง
ผมถอนหายใจยาวเหยียด พับคอมพิวเตอร์ ลุกขึ้นเดินเข้าครัวรินน้ำมาจิบ หลับตาพักสายตา และเอานิ้วนวดหัวคิ้วเบาๆ ทั้งๆที่เรื่องมันเกิดในเวลาไม่นาน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันยาวนานเหลือเกิน
เริ่มต้นที่คนไข้สองคนของผมรักกัน แล้วไปจบตอนสุดท้ายที่ว่าคนไข้ของผมทั้งสองคน … ฆ่ากัน เด็กชายสองคนที่อยู่ในวัยสดใส เด็กชายสองคนที่ใครๆก็อิจฉาในความรัก

แล้วก็จบกันที่ ต่างคนต่างไม่เหลือชีวิต
ความรักมันเปราะบางเหลือเกิน
แข็งแรงแต่ก็เปราะบาง
ชั่วขณะหนึ่ง คือรัก ...
เสี้ยววินาทีหนึ่งถัดมา คือฆ่า ...

ผม รัก คุณ
แล้ว ผม ก็ ฆ่า คุณ
แบบ นี้ อย่าง นั้น เหรอ ?​

กฤษกับภู ไม่เชิงฆ่ากัน แบบ “ฆ่ากัน” หรอก
แต่มันก็ไม่ได้แตกต่างกันในเชิงนัยยะ
ภู กับ กฤษ ที่รักกัน ในตอนแรก หันมาฆ่ากัน ผมไม่แน่ใจว่าสองคนนี้รักกันไหม ภูต้องการร่างกายกฤษมาเพื่อเป็นสะพานเชื่อม ส่วนกฤษต้องการใช้ภูเป็นเบี้ยในเกม เพื่อสร้างเรื่องให้คนสนใจ มันเริ่มจาก คนโรคจิตสองคนมาเจอกันแท้ๆ …
ผมคิดไม่ออกแล้ว …
มันเกินกว่าที่ผมจะเคยเจอมาในชีวิตจิตแพทย์เกินไป
โทรศัพท์ดังอีกครั้ง ดูจากเบอร์แล้ว คุณตำรวจโทรมา

ผมกดรับสาย “ครับคุณตำรวจ”

“ผมใกล้จะถึงคอนโดหมอนินแล้วนะครับ ใน google map บอกว่าอีกประมาณ 20 นาที เดี๋ยวผมจอดรับคุณหมอ หรือจะให้ผมขึ้นไปหาที่ห้องดีครับ?”
อาการปวดหัวตึ้บๆ เริ่มถามหา ผมกัดฟันตอบ “ขึ้นมาหาที่ห้องดีกว่าครับ ผมอยู่ห้อง 2525 ขอตัวล้างหน้าเคลียร์หัวแป๊ปนึงก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวเจอกัน”

“ได้ครับหมอ ไม่รีบ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะครับ”
ผมแอบถอนหายใจห่างๆโทรศัพท์แล้วตอบไปด้วยนำ้เสียงที่พยายามสดใสให้มากที่สุด “ไม่เป็นไรครับ หน้าที่พลเมืองดี แล้วถ้าไม่ใช่ผมให้ข้อมูล ก็คงไม่มีคนอื่นอีกแล้วล่ะครับ”

“ใช่ครับ เพราะคุณหมอรู้จักสองคนนี้ดีที่สุดนี่ครับ” คุณตำรวจบอก
ผมกัดริมฝีปาก … ใช่ ผมรู้จักสองคนนี้ดีที่สุด “ใช่ครับ ผมรู้จักภูและกฤษ ดีที่สุด” แล้วผมก็วางสาย เดินไปที่ห้องทำงาน หยิบแฟ้มของสองคนมาวางกางบนโต๊ะ
“สวัสดีครับน้อง น้องภู น้องกฤษ”​

ผมกล่าวทักทายแฟ้มทั้งสอง
แล้วค่อยๆเปิดมัน …

ทีละหน้า ทีละหน้า …
ผมไล่สายตาตามลายมือตัวเอง
มองแฟ้มน้องกฤษทีหนึ่ง มองแฟ้มภูทีหนึ่ง

“หมอไม่เคยคิดมาก่อนเลย … “
มือผมหยุดกึกที่หน้าสุดท้ายของทั้งคู่ สายตานิ่ง สนิทที่ตัวอักษรสุดท้าย
“หมอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า …

พวก นาย สองคน
จะเดินตามแผนของหมอ
ง่าย ดาย ถึง ขนาด นี้ “

รอยยิ้มค่อยๆ ผุดบนหน้าผม
บรรทัดสุดท้ายบนแฟ้มของกฤษ
มันมีลายมือผมเขียนข้อความไว้ว่า

/ กำจัดกฤษ ...
ปั่น หัว เขา ด้วย คำ ว่า #จบ
แล้ว เขา จะ ลง มือ จบ เรื่อง เอง ../
แฟ้มนั้นบอกว่า
ภูเป็นโรคจิตเภท

และแฟ้มของกฤษ
ก็บอกว่ากฤษเป็นโรคจิตเภท

สองคนนี้ คือ .. คือคนไข้ schizophrenia ที่มีอาการแสดง แปลกแตกต่างจากคนไข้อื่นๆ ... สองคนนี้ คือคนไข้ที่ ..

น่า จับ มา ทด ลอง
ผมเปิดเครื่องทำลายเอกสาร ค่อยๆหยิบกระดาษจากในแฟ้มของสองคนนี้ หย่อนลงไปทีละแผ่นๆ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมมีแฟ้มสำรอง แฟ้มตอแหล แฟ้มดัมมี่ ที่จะเอาไว้ให้ตำรวจดูประกอบหลักฐานให้ปากคำของผมอยู่แล้ว
ถูก .. แฟ้มนั้นล่ะ แฟ้มที่บอกว่าภูเป็นโรคจิตเภท และบอกว่ากฤษเป็นโรค hysterionic personality disorder แฟ้มที่กฤษค้นเจอ แฟ้มที่ผมทำเป็นหยิบมาเปิดจดทุกครั้งที่รักษาเขาสองคนนั่นล่ะ

มัน คือ แฟ้ม ปลอม มัน คือ ตุ๊ก ตา ตัว ล่อ
มัน คือ อุปกรณ์ ชิ้นแรก ที่ ใช้ ฆ่า สองคนนั้น
อุปกรณ์เริ่มต้น ให้สองคนนี้ ฆ่ากัน
ตามบที่ผมคิดไว้ไง #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ
ส่วนแฟ้มจริงๆ นี่ ..
แฟ้มที่ลงเรื่องทุกอย่าง ความลับทุกอย่าง
ความลับของภู ความลับของกฤษ (ที่เขาคิดว่าปิดผมได้)
คือ แฟ้ม นี่ ที่ ผม กำลัง ทำ ลาย นี่ แหละ

ไม่ต้องห่วงนะ ..
ถึงทำลายไป ผมก็จำได้
เดี๋ยวผมจะเล่าให้พวกคุณฟัง
หึ หึ หึ …
เรื่องเล่าของภู จบแล้ว
เรื่องเล่าของกฤษ ก็จบแล้ว
ยังขาดแต่เรื่องของผม … หมอนิน

และนี่ต่างหาก คือการรูดม่านปิด
ตอนจบที่แท้จริง
ภู นายเป็นได้แค่ตอนจบ
กฤษ นายก็เป็นได้แค่ end credit

แต่เรื่องเล่าของผมนี่สิ ... งานเบื้อหลังของจริง :)
ฮั่นแน่ นึกว่าจะจบแล้วใช่ป่ะ? นึกว่ากฤษโดดตึกจบแล้วเรื่องก็จบล่ะสิ 5555 ปรากฏว่ามีตอนจบซ้อนหลัง end credit อีกแฮะ แสดงว่า #ILoveYouToDie #ผมรักคุณผมฆ่าคุณ ยังไม่จบซะทีเดียวนะครับ มาฟังเบื้อหลังที่สยองกว่าจากหมอนินในตอนหน้าแล้วกัน ขอบคุณทุกการติดตามนะฮะ วันนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ

• • •

Missing some Tweet in this thread? You can try to force a refresh
 

Keep Current with Patrick III Rangsimant

Patrick III Rangsimant Profile picture

Stay in touch and get notified when new unrolls are available from this author!

Read all threads

This Thread may be Removed Anytime!

PDF

Twitter may remove this content at anytime! Save it as PDF for later use!

Try unrolling a thread yourself!

how to unroll video
  1. Follow @ThreadReaderApp to mention us!

  2. From a Twitter thread mention us with a keyword "unroll"
@threadreaderapp unroll

Practice here first or read more on our help page!

Did Thread Reader help you today?

Support us! We are indie developers!


This site is made by just two indie developers on a laptop doing marketing, support and development! Read more about the story.

Become a Premium Member ($3/month or $30/year) and get exclusive features!

Become Premium

Don't want to be a Premium member but still want to support us?

Make a small donation by buying us coffee ($5) or help with server cost ($10)

Donate via Paypal

Or Donate anonymously using crypto!

Ethereum

0xfe58350B80634f60Fa6Dc149a72b4DFbc17D341E copy

Bitcoin

3ATGMxNzCUFzxpMCHL5sWSt4DVtS8UqXpi copy

Thank you for your support!

Follow Us on Twitter!

:(