ดังนั้น ข้าขอสาปท่าน หากฟูจวินพูดสิ่งใด ตัวท่านนั้นมิอาจขัดขืนได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม'
เพียงคำสาปนั้น มิได้น่ากลัวเลย เพราะฟูจวินมิเคยเหลียวแลหรือยอมสนทนาด้วย
แต่หากคำสาปกลับต้องแสดงผล เมื่อฟูจวินเอ่ย
เพียงเพราะเผลอพูดถึงคนในดวงใจ ท่านจึงขับไล่ไสส่ง
ดังนั้นข้าคงต้องไปตามที่ท่านได้สั่ง แม้ไม่มีคำสาป ข้าก็ขอสละชีพนี้ เพื่อไถ่โทษ
'หลานซีเฉิน'
'คุณชายเจียง ได้โปรดอย่าทำ'
'พี่เจียง โปรดหยุด'
''คำสั่ง มิอาจลบล้างได้.....''
#ซีเฉิง
#จื่อเตียนในมือมั่นสั่น

คำนี้ไม่เคยมีความหมายเลย ตั้งแต่แต่งเจ้ามาสกุลหลาน
ใช่ตอนนี้ประมุขเจียง หรือ เจียงเฉิงได้ตบแต่งเข้าสกุลหลานมาได้ร่วม 5 ปีแล้ว หลังจากเหตุการณ์ที่วัดกวนอิม
เนื่องจากทางผู้ใหญ่ก็เห็นสทควรในการแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูล
แต่สำหรับเขาแล้ว มันไม่ป็นเช่นนั้น
เพราะหนึ่งคนยอมตกลงแต่งด้วยความรัก
แต่อีกคนยอมตกลงแต่งเพราะการบังคับ
ตัวข้ารักท่านหมดใจ จึงยอมตบแต่ง คอยปรนิบัติรับใช้มิห่างกาย
ทำทุกอย่างเท่าที่คนอย่างข้าจะทำได้มาตลอดหลายไป
"ข้ามิได้รักเจ้า แชะมิมีวันรัก เจามิมีวันได้รับความรักจากข้า"
คำโหดร้ายพร้อมสายตาเหยียดหยาม ต่างจากคำกล่าวของใครๆที่ว่าท่านสูงส่ง งดงาม และสุภาพ แต่นั่นไม่ใช่กับข้า
ตัวข้ายอมทำเป็นไม่รู่ไม่เห็น ไม่ปริปากบ่น ไม่เถียง
ทำเป็นไม่เห็นเวลาท่านหยิบหมวกของคนผู้นั้นมาเชยชม
มองมิเห็นเมื่อท่านนำทันเข้ามานอนกอดในเรือนหอ
ทำไม่ได้ยิน ยามท่านละเมอเรียกเขายามหลับ หรือตั้งใจเรียกชื่อเขาต่อหน้าข้า
ทำเป็นรับได้เมื่อท่านเล่าเรื่องราวความรักของท่านกับเขา
แกล้งทำไม่เจ็บปวด ยามท่านหันกลับมา พร้อมคำว่า "สิ่งที่ข้าวาดฝันไว้พังทลายลงเพราะเจ้า"
....ตัวข้าผู้ทำลายฝันของท่าน...
ข้าจะชดใช้ให้ท่านอย่างไรดี
ชดใช้ด้วยชีวิตของข้าจะเพียงพอต่อฝันของท่านที่สลายไปหรือไม
.....ประมุขหลาน
ตึกๆๆๆๆๆ
ยามจื่อ (23:00-24:59)
เสียงตึงตังผิดวิสัยสกุลหลาน ทำให้ประมุขคนงามต้องตื่นจากความฝัน
เดินออกไปนอกเรือนนอนของตน
หาดเป็นเช่นตอนแต่งใหม่ๆ พวกเขาก็หลับนอนร่วมเรือน แต่เวลาผ่านไป ฟูจวินกลับให้แยกเรือนนอนโดยไม่ให้เหตุผล ซึ่งเขาก็มิอยากซักถาม เพราะรู้อยู่แก่ใจ
ตาคมสอดส่องตามหาต้นเสียง
จบพบศิษย์สกุลหลานจำนวนหนึ่ง ยืนออกันอยู่
"พวกเจ้าเสียงดังอันใด ใยมิเข้านอน ซือจุย จิ่งอี๋ อธิบาย"
น้ำเสียงเด็ดขาด ทำเอาศิษย์รุ่นใหม่ตัวสั่น
แต่กับจิ่งอี๋และซือจุย คำกล่าวนั้น มิต่างจากมารดาที่กำลังห่วงลูกน้อยนั่นแหละ
แต่ทำไมนะ ประมุขของพวกเขาจึงมองไม่เห็นความงานนี้เสียที นึกแล้วก็สงสารคนอื่นๆที่หมายปองประมุขเจียง แต่เจ้าตัวดันมีเจ้าของที่ไม่ต้องตนเองอีก เสียของมาก
ซือจุยรีบออกมาจากวง
"ขออภัยประมุขเจียง คือมีปีศาจปรากฏตัวขึ้น ศิษย์สกุลหลานสู้ได้ยากนัก"
ตามมาด้วยจิ่งอี๋
"พวกข้าไปหาประมุขหลานที่เรือนแล้ว มิพบผู้ใดเลย ท่านพบเขาหรือไม่"
เจียงเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตอบ
"มิเห็น พวกเจ้าไปที่เรือนโบตั๋นรึยัง"
ทุกคนเงียบลงทันที
"พวกข้ามิได้รับอนุญาติให้เขาไปขอรับ"
"งั้นพวกเจ้าไปก่อน เดี๋ยวข้าจะตามไปช่วยเอง" ว่าแล้วร่างงามก็หันกลับเข้าห้องเพื่อนเตรียมตัวทันที แต่โดนเสียงของจิ่งอี๋ดึงไว้
"ใยข้าจะไม่ไหว"
ศิษย์ทั้งหลายเมื่อได้ยินก็อดลอบยิ้มไม่ได้
แต่ก็ต้องรีบวิ่งกลับไป เพราะนิ้วของเจียงฟูเหรินเริ่มมีประกายแสงสีม่วงขึ้นมาเสียแล้ว
ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนุ่ม พลางนึกถึงสิ่งที่ตนพูด
เรือนโบตั๋น
เรือนสีทองอร่าม รายล้อมด้วยดอกโบตั๋นแสงงาม
มิมีผู้ใดเข้าใกล้ได้ แต่แต่คนตระกูลเดียวกัน แล้วมีหรือคนนอกอย่างเขาจะได้เข้าชม
สถานที่นั้น ที่ท่านให้ความสำคัญ และอาศัยมากกว่าเรือนหอของเราสองเสียอีก
แต่หากมันทำให้ท่านมีความสุข ข้าก็จะทำมิเห็น มิรู้สิ่งใด มิน้อยใจท่าน
ป่าลึก
ร่างโปร่งปรากฎตัวท่ามกลางความวุ่นวายของศิษย์สกุลหลานที่กำลังพยายามจับปีศาจตนหนึ่ง
"ถอยไป ข้าจัดการเอง" คำประกาศกร้าว ทำให้เหล่าศิษย์น้อย วิ่งมาหลบหลังเจียงเฉิงทันที
ดวงตาแดงก่ำจ้องมองร่างโปร่งบางราวกับจะกลืนกินไปทั้งร่าง
"ใยเจ้าถึงออกทำร้ายผู้คน" เจียงเฉิงเอ่ยถาม ไม่ละสายตาจ่กเจ้าปีศาจแม้วิเดียว
มันแสยะยิ้มก่อนย่างเข้าใกล้ร่างงาม
ที่ไม่มีทีท่าจะถอย
มือที่เต็มไปด้วยเมือกสีดำยกขึ้นมาเล็กน้อย
"ตัวท่าน ประมุขเจียง สง่างาม แข็งแกร่ง มั่นคงในความรัก"
มันหยุดไปครู่หนึ่ง เมื่อเจียงเฉิงมีท่าทีอึกอัก
"ตัวข้า กลืนกินความเจ็บปวดจากมนุษย์ ยิ่งเจ็บปวด ยิ่งหอมหวาน และข้าไม่เคยได้กลิ่นหอมหวานขนาดนี้จากที่ใด"
"หุบปาก"
"ท่านนั้นรักฟูจวินของท่านมากมาย แต่ดูสิ่งที่เขาทำให้ท่านสิ"
ปีศาจยิ่งยกยิ้ม เมื่อใบหน้างาม เริ่มหม่นหมองลง
"ข้าชอบกลิ่นหอมหวาน
หึหึ เจียงหวั๋นอิ๋น ท่านรักฟูจวินของท่านมากมายนัก มากมายจนข้านึกอิจฉา ดังนั้น คำสาบของข้า หากฟูจวินท่านเอ่ยสิ่งใด ท่านต้องทำตามแม้ชีวิตจะหาไม่55555"
"จับมัน!!!!" สิ้นคำของปีศาจ ร่างบางก็ล้มพับไปเสียงอย่างนั้น จนซือจุย และจิ่งอี๋
ไอวิญญาณหายไป พร้อมกับร่างของประมุขเจียงที่หลับไหลไม่ได้สติ
"เอาไงดีซือจุย"
"พาเจียงฟูเหรินกลับเรือน ตามประมุขหลาน และอาจารย์หลานมาด้วย"
"ข้าคิดว่าเรื่องนี้คงมิจบง่ายๆ"
ทางด้านฟูจวินอย่างหลานซีเฉินก็โผล่หน้ามาดูฟูเหรินเพียงวันเดียว และมันไม่ถึงสองเค่อด้วยซ้ำ (1เค่อประมาณ15นาที)
จากนั้นก็หายหน้าหายตาไปอย่างเคย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหายไปอยู่ที่เรือนโบตั๋นเป็นแน่
คิดแล้วก็ปวดใจ
อยู่กับผู้เป็นที่รักแต่เหมือนกับอยู่คนเดียว
ได้แต่งงานแต่อยู่กับความเจ็บปวด
มีฟูจวินของตน แต่ก็เหมือนของคนอื่น
ใยชีวิตท่านช่างอาภัพนัก
เรื่องของเจียงฟูเหรินถูกส่งให้ประมุขคนอื่นๆ รวมถึงเว่ยอู๋เซี่ยนที่กำลังท่องเที่ยว
และตามมาด้วยจินหลิงที่แทบจะทิ้งงานมาทันทีที่ได้ยินข่าวของจิ้วจิ่ว
เว่ยอิงที่กลับมา พบว่าฟูจวินของน้องชายโผล่หน้ามาดูแลไม่ถึงวันก็แทบจะบุกเข้าเรือนโบตั๋น ใช้ขลุ่ยฟาดประมุขหลานให้รู้แล้วรู้รอด แต่โดนหลานวั่งจีรั้งไว้ให้สงบ
จินหลิงเองก็ไม่ต่างกัน ประมุขหนุ่มยืนกรานจะพาจิ้วจิ่วของตนกลับหลันหลิงให้ได้
แต่หลานฉี่เหรินกลับไม่ยอม แต่งกันแล้ว จะให้แยกกันอยู่เลยก็กระไรอยู่ คนอื่นเขาจะนำไปเป็นขี้ปากกัน
เพื่อศักดิ์ศรีของน้าจินหลิงจึงยอมแต่โดยดี แต่ก็ยังมิล้มเลิกความคิด
แต่ไม่ว่าจะว่ายังไง เจ้าตัวก็ไม่ยอมห่างน้องชายเลย
"อีกมินาน ฟูเหรินก็จะฟื้น คุณชายอย่าได้กังวล การหลับครั้งนี้ เป็นเพียงเพราะฟูเหริน
เวิ่ยอิงขมวดคิ้วจนแทบเป็นปม
"จิตใจอ่อนแอ? มิใช่ว่าเจ่ออู๋จวินดูแลเจียงเฉิงดีหรอกรึ" หันไปถามสหายหน้านิ่ง
"หลานจ้าน ข้าชักมิไว้ใจเจ่ออู๋จวิน"
"อืม"
เวลาล่วงเลยอีกหลายวัน
"อือ...." เสียงเบาดั่งกระซิบดังขึ้นจากร่างของผู้ที่หลับไหลมานาน จนหลานจิ่งอี๋ที่มานั่งเฝ้าด้วยตนเองถึงกับตาลีตาเหลือกตะโกนเรียกคนด้านนอกเสียยกใหญ่ แต่โดนเสียงแหบพร่าดุซะก่อน
ความอบอุ่นเกาะกุมจิตใจ จนต้องเผลอเอนกายซบฝ่ามือเย็นเฉียบ ที่กลับทำให้อบอุ่นอย่างน่าประหลาด
"ท่านไปที่ใดมา ใยมิกลับมาเสียที"
ไม่ทันได้พูดอะไร เสียงตึงตังหน้าประตู พร้อมร่างสองร่างกระโจนเข้ามาในห้องทันที
"เจียงเฉิง!!!"
"จิ้วจิ่ว!!!!!"
เว่ยอิง และจินหลิงแทบโถมตัวเข้าใส่ แต่มีจิ่งอี๋กันไว้ได้พอดี
"พวกเจ้า!!! ไร้มารยาท จินหลิง ข้ามิเคยสอนให้เจ้าทำตัวเช่นนี้ อะ"
ความรู้สึกอุ่นชื้นที่ลำคอและแผ่นอก กับแรงสั่นเบาๆ ทำให้เจียงเฉิงเผยยิ้ม
"กลับมาแล้วนะ"
"ยินดีต้อนรับกลับ เจียงฟูเหริน!!!"
เสียงดั่งลั่นเรียกความสนใจของคนร่างบาง
เมื่อหันไปทางประตูก็พบเหล่าศิษย์สกุลหลาน
"พวกเจ้า..."
"เจียงเฉิงงงงง ทุกคนคิดถึงเจ้ามากนะ อาจารย์อายังแอบบ่นถึงเจ้าเลย" เป็นเว่ยอิงที่เงยหน้ามาพูดทั้งน้ำตา
และดูจะมากเรื่อยๆจนชุดของคนบนเตียงเริ่มเปียก
ร้อนให้หลานจ้านมาดึงสหายรักออกไป
ตามมาด้วยหลานซือจุยที่มาประคองจินหลิงไปนั่ง
"ใช่ ฮึก ใช่เลยจิ้วจิ่ว ทุกคน ฮึก ทุกคนคิดถึงท่านมาก" พูดไปก็สะอึกสะอื้น เรียกรอยยิ้มจากคนในห้องได้ดี ประมุขจินตัวน้อยในวันวาน
"เจ้าลูกกระต่าย เดี๋ยวนี้ใยขี้แยนัก ข้าพียงหลับ มิได้ตาย" พูดพลางลูบกลุ่มผมนุ่มของหลานชาย
"พอแล้ว ข้ากลับมาแล้ว"
ว่าแล้วก็หันไปมองเจ้าเด็กทั้งหลายที่เกาะประตู ถ้าดูไม่ผิดจะเห็นจื่อเจินด้วยแฮะ
"จะเข้ามาก็เข้ามา" จบเสียงฟูเหรินคนงาม ศิษย์น้อยใหญ่ก็พุ่งเข้ามาหาทันที เรียกเสียงโวยวายจากเว่ยอิงและจินหลิงได้อย่างดี
นี่แหละความสุขเพียงหนึ่งในการเป็นฟูเหริน
จิ่งอี๋และซือจุย เล่าเรื่องคำสาปให้เว่ยอิงและหลานจ้านฟัง
ซึ่งพอฟังจบ เว่ยอิงก็แทบจะวิ่งเข้าป่าตามหาปีศาจตนนั้นในทันที
ดีที่เจียงเฉิงเรียกไว้ทัน
และบอกไว้ว่าไม่ต้องห่วง ถึงทุกคนจะไม่สบายใจ แต่เพราะคำขอจึงพยายามไม่พูดอีก แต่ก็ยังหา
วันนี้เป็นวันที่หิมะตกหนัก สำนักเซียนถูกอาบย้อมไปด้วยสีขาว
อากาศหนาวเหน็บไม่ได้ทำให้เจียงเฉิงอยากอยู่เฉยๆนัก
ขาเรียวยาว พาร่างโปร่งบางเดินตามทางเดินไปเรื่อยๆท่ามกลางความเงียบ
หนึ่งวันของการเป็นฟูเหรินนั้น เขาแทบไม่ได้ทำอะไร หากถามว่า ใยไม่คอย
จากวันที่เจียงเฉิงหายดี หลานซีเฉินก็เข้ามาเยี่ยม แต่ก็เหมือนเดิม ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่กลับให้ความรู้สึกว่าถูกขัดใจ คงจะถูกบังคับมา และอยู่เพียงไม่ถึงเค่อ ร่างสูงก็หายจากห้อง ไปอยู่ที่เรือนโบตั๋น
ราวกับไม่เคยมาร่วมประชุม
ตัวเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยคนรักไปทำสิ่งที่ต้องการ
เหมือนจะเหม่อนานไปสักหน่อย จนได้ยินเสียงเรียกจากข้างกาย
"หลานจิ่งอี๋ มีอันใด เวลานี้ใยยังมินอน" เอ่ยเสียงดุ แต่โดนมือเรียวยกห้ามเสียงก่อน
"ท่านอาจารย์หลานให้มาเรียกท่านเข้าพบขอรับ" เสียงนุ่มเอ่ย
เขาทำเพียงพยักหน้าเบาๆก่อนเดินออกไป แต่โดนมือรั้งไว้ จึงต้องหันกลับมา พบใบกน้ายู่ของเจ้าตัวที่ส่งมา
"ให้ข้าไปส่ง
เด็กที่เอาแต่ห่วงเขา
"ท่านยิ้มอันใดกะ...กัน" เสียงสะดุดเพราผ่ามืออบอุ่นที่เลื่อนมาวางบนศีรษะ ลูบเบาๆ แล้วเดินออกไป ปล่อยหนุ่มน้อยยืนมองอยู่ตรงนั้น
คล้อยหลังมือเรียวยกขึ้นลูบศีรษะตน ความอบอุ่นยังคงไม่ไปไหน เจียงฟูเหริน
และใครที่ริอาจมาทำให้ดวงตะวันต้องมอดดับ ศิษย์สกุลหลานนี่แหละ
...
ร่างโปร่งบางเดินเข้ามาในห้องก็พบกับอดีตประมุข
มือเรียวประสานเคารพทันที
"คารวะ อาจารย์หลาน"
"ไม่ต้องมากพิธีหรอกเจียงฟูเหริน" เสียงทุ้มเอ่ย ทำให้เจียงเฉิงพยักหน้า ก่อนเข้ามานั่งที่ตามที่อีกคนในห้องเชิญ
"เรียกข้ามา มีอันใดรึ"
"ข้าเพียงอยากรู้ว่า มาอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง ซีเฉินดูแลเจ้าดีหรือไม่"
คำถามเสียงแทงลงกลางใจ แต่ก็ต้องฝืนยิ้มส่งให้
"คารวะ อยู่ที่นี่ข้าสุขสบายนัก ต้องขอบคุณทุกคน" เอ่ยทั้งรอยยิ้ม
นั่นทำให้หลานฉี่เหรินยิ้มออกมาเช่นกัน
"งั้นก็ดีแล้ว
"ขอบคุณ หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัว คารวะ" ว่าจบก็รีบเดินออกไป แต่กลับโดนเรียกไว้อีกครั้ง
และเมื่อได้หันกลับ ก็พบกับรอยยิ้มอบอุ่น ที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น
"อาเฉิง เจ้ามิคิดหรอกรึ อยู่มาหลายปี ใยข้ามาถามเอาตอนนี้"
เหมือนเพิ่งคิดได้ ทำเอาเจียงเฉิง
หลานฉี่เหรินทำเพียงตบลงบนตัก ทำให้เจียงเฉิงเดินเข้าไปนั่งตรงหน้า ก่อนถูกมืออุ่นดันลงให้หนุนตักของตน
ในคราแรกก็นึกขัดขืน แต่ความอบอุ่นเหมือนครั้งวัยเยาว์ ทำให้ตนยอมนอนนิ่งๆ
นึกถึงเมื่อก่อน เขาชอบอ้อนอาเตี่ยอาเหนียงเพื่อนอนหนุนตัก
มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่น
คิดถึงทุกคน
"ข้าสังเกตเจ้ามาสักพักแล้วนะอาเฉิง เจ้าคิดถึงเฟิงเหมียนและอวี๋ฟูเหรินใช่รึไม่" น้ำเสียงอ่อนนุ่ม กับฝ่ามือที่ลูบศีรษะ พาให้น้ำตามันไหลออกมา
"เจ้าผ่านอะไรมามากนัก พักผ่อนเถิด หากกลัดกลุ้มกังวลใจอันใด มาหาข้าได้ เราเป็นครอบ-
เจียงเฉิงก็ไม่เข้าใจทำไมคนคนนี้ถึงได้ทำอะไรแบบนี้ให้เขา
ข้าแสดงออกถึงเพียงไหนกัน ท่านถึงต้องยื่นมือออกมาช่วย
คิดได้แค่นั้น ก่อนจะเข้าสู้ห้วงนิทราแสนหวาน พร้อมความอบอุ่นดั่งครั้งวัยเยาว์
ยามอิ๋น (03:00-04:59)
เจียงเฉิงตื่น
ดวงตาปรับให้ชินในความมืด ก่อนพบร่างของคนหลายคน นอนระเกะระกะตามพื้น
เริ่มด้วยหลานฉี่เหรินที่นั่งท่าเดิมตั้งแต่ตอนเขาหลับ แต่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังหลับอยู่ เขาจึงประคองร่างนั้นค่อยๆนอนลง ห่มผ้าที่เคยคลุมร่างตนให้
ถัดไป สองข้างกายเขา ด้านซ้ายมี
ส่วนด้านซ้ายมีจินหลิงที่นอนกอดเอวเขา และมีหลานซือจุยกอดเอวเจ้าตัวอีกที โดยทั้งสองใช้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
ภาพน่ารัก เรียกรอยยิ้มได้ดี และเจียงเฉิงเพิ่งสังเกต ถัดไปจากจิ่งอี๋ ก็เป็นเว่ยอู๋เซี่ยนและคุณชายรองหลาน
คงเป็นสองคนนี้ที่นำผ้าห่มมาให้ทุกคน แต่หมดเสียก่อน
ให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย คงต้องออกไปเอาผ้าห่มมาให้แล้ว
คิดได้ดังนั้นตึงค่อยๆลุกขึ้น ย่องออกไปด้านนอกทันที
หิมะยังคงไม่หยุดตกหนัก อากาศหนาวเย็นทำให้สองแขนต้องยกขึ้นมากอดตนเองเพิ่มความอุ่น
"ผู้ใดกัน!!!" เสียงไม่เบานักแข่งกับพายุจนร่างนั้นสะดุ้งโหยง แล้วล้มลงบนหิมะหนา
เจียงเฉิงรีบเดินเข้าหาร่างนั้นทันที ก่อนพบว่าเป็น เด็กหนุ่มร่างโปร่งบาง
ดวงตากลมใสสีเดียวกับเส้นผมเบิกกว้างด้วยความตกใจ
เจียงเฉิงรีบย่างเข้าหา หมายจะดึงร่างให้ลุกจากความ
"ขะ..ขออภัย ข้ามิมีเจตนาจะเข้ามาขโมยของ เพียงต้องการที่หลบหนาว" เสียงสั่นรีบกล่าว เมื่อเจียงเฉิงเดินเข้ามาหา เด็กหนุ่มพยายามถดตัวหนี แต่ก็โดนมือของเจียงเฉิงฉุดไว้ได้
"อย่ากลัว ขามิเอาผิด แต่ตอนนี้อากาศหนาวนัก เจ้าต้องการความอบอุ่น"
เสียงอ่อนโยนทำให้เด็กหนุ่มผ่อนคลาย ยอม
ผ้าห่มผืนหนาถูกห่อร่างไว้
"ข้าให้เจ้าพักเรือนนี้มิได้ ข้าจะพาเจ้าไปที่เรือนข้าแทน" เสียงนุ่มทำให้ผ่อนคลายลงได้มาก
"ขอบพระคุณจริงๆคุณชาย ข้ามิมีสิ่งใดจะตอบแทนท่านเลย"
"มิจำเป็น เจ้ามีนามว่าอันใด"
เด็กหนุ่มหยุดครู่หนึ่งก่อนเอ่ย
รูปร่างหน้าตางดงามนัก แต่ใยมาอยู่สภาพนี้
"ใยเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เป็นคนสกุลใดกัน"
เด็กหนุ่มหน้าสลดลง แต่ก็ตอบ
"ข้าเป็นคนเร่ร่อน ไร้ที่อยู่ ไร้สกุล ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดข้าหนีการจับกุมของพวกคนป่าเถื่อนมาเมืองนี้
ได้ฟังถึงกับใจหาย ใยเด็กเช่นเจ้าจึงมีเรื่องราวที่น่าเศร้านัก ถึงจะถูกสอนมาว่าอย่าไว้ใจใครง่ายๆ แต่พอได้ยินเรื่องราวนี้ หัวใจกลับกระตุก บีบรัด เหมือนตัวเขา ต่างกันเพียงเขายังเคยเห็นพ่อแม่ ถูกเลี้ยงดูอย่างสดวกสบาย ต่างจากเด็กคนนี้
สุดท้ายความสงสารก็ห้าม
"งั้น เจ้าอยากมาอยู่กับข้ารึไม่"
สิ้นเสียง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาย่างฉงน
เขาฟังผิดหรืออย่างไร
"สงสัยอันใด หากมิมีที่อยู่ ก็มาอยู่กับข้า ข้าจะดูแลเจ้าเอง" เสียงเงียบไปพร้อมน้ำตาไหลอาบสองแก้มเนียน
"ขอบคุณ ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณ บุญคุณนี้ ข้าจะมิลืม ข้าจะขออยู่รับใช้
"ขอท่านประมุขโปรดใจเย็น เด็กคนนี้มีนามว่าคุนหลุน ชีวิตน่าสงสารนัก ข้าเพียงอยากให้เขามาอยู่ในความดูแลของข้า"
เจียงเฉิงอธิบายด้วยเสียงเรียบนิ่ง
แต่เหมือนคนร่างสูงจะไม่ฟังเท่าไรนัก
"นี่ท่านพูดอะไร"
คำพูดเสียดแทงทำเอาเจียงเฉิงใจกระตุก
"มีข้าเป็นฟูจวินคนเดียวมิพอหรอกรึ จึงได้หาชายอื่นมาเช่นนี้"
"นายท่านโปรดใจเย็น ตัวข้ามิได้-"
"นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า"
คุนหลุนที่พยายามอธิบายต้องหุบปากฉับ
เจียงเฉิงมองภาพตรงหน้าด้วยความปวดใจ
ทำไมเขาจะไม่รู้ ว่าหลานซีเฉินเกลียดตนเพียงใด เพราะการแต่งงานที่ถูกบังคับ
และตัวเขาเองก็มิได้ปฏิเสธการแต่งงาน ไม่แปลกใจที่อีกคนจะไม่ชอบนัก
และอีกอย่างที่การันตีได้คือ
เห็นหน้าเป็นต้องเย็นชา หากมิจิกกัดเสียดสี ก็คงเป็นสายตาเย็นชามาตลอดห้าปี
อีกทั้งการแสดงออกชัดเจนว่าไร้ซึ่งความรักใดๆให้เขา
จัดการสร้างเรือนโบตั๋นในวันแต่งงานด้วยซ้ำ
และอีกเรื่อง หลานซีเฉินพยายามหาเรื่องมาหย่ากับเขาให้ได้
เอาเถอะ เจ็บเจียนตายครั้งเดียว ดีกว่าเจ็บซ้ำๆต่อไปเหมือนคนโง่ แล้วไง เขาไม่รักเราคนเดียว เรายังมีคนอื่นที่พร้อม
"ประมุขหลาน ตัวข้ามิเคยคิดอะไรเช่นนั้นแม้แต่น้อย"
"หึ งูพิษแบบเจ้า เชื่ออะไรได้เหรอ"
มือบางกำแน่น พยายามสงบอารมณ์ ไม่ยกจื่อเตียนขึ้นมาฟาดชายที่รัก
"หึ งูพิษแบบข้าเหรอ....หากข้าเป็นงูพิษ
ใบหน้างามยกยิ้มแสยะ เชิดหน้ามองฟูจวินอย่างไม่เกรงกลัว
"นี่เจ้า!!!" คนร่างสูงตะโกนออกมา มือเรียวชี้หน้าคนร่างบาง ใบหน้าและสายตาที่มองมา ราวกับจะเข้ามาฆ่าเขาซะให้ได้
'เจ็บ' คำคำเดียวที่อยู่ในหัวของเจียงเฉิง
แม้เกลียด ท่านไม่เคยมองข้าเช่นนั้นเลยฮวั่นเกอ
"ข้าคิดว่า ข้าคงกล่าวมิผิด จินกวงเหยา หลอกลวงท่าน ใช้ท่านเป็นเครื่องมือ หลอกให้โง่ตั้งนาน จากนั้นจึงหักหลัง หากมิเป็นงูพิษ จะให้เป็นอันใด อ้อ ข้าลืมไป เดิมทีเขาก็เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อยู่แล้ว"
"หุบปาก!!!!"
เจียงเฉิงทำเพียงแค่นยิ้ม ห้านน้ำตาอย่างสุดความสามารถ
เอาสิ ข้าเจ็บเหลือเกินฮวั่นเกอ ฆ่าข้าเลย ตอนนี้ ที่นี่ ฆ่าข้าหน้าเรือนโบตั๋น เป็นเครื่องสังเวยแก่รักของท่านกับเขา
อย่างน้อย มิได้ความรัก
เจียงเฉิงค่อยๆหลับตาลง ไอเย็นจากอากาศรอบข้าง เทียบไม่ได้เลยกับหัวใจของเจียงเฉิงที่โดนน้ำแข็งเข้าเกาะกินจนไม่เหลือ
น้ำตาไหลลงอาบใบหน้าเนียน สองมือยกขึ้นกำชั่วเยว่แน่นจนโลหิตสีสดไหลลงมาตามแขน
คุนหลุนตกใจ พยายามร้องเรียก
"นายท่าน นายท่านได้โปรด อย่าทำอะไรนายท่านเจียงเลย" เด็กหนุ่มเอ่ยขอทั้งน้ำตา พยายามเขย่าเจียงเฉิงให้ปล่อย
ร่างสูงมองด้วยความโกรธแค้น แต่หากฆ่าคนตรงหน้า ก็จะมีความผิด เขาโดนลงโทษ ห้ามมาเรือนโบตั๋นเป็นแน่
มือแกร่งกระชากชั่วเยว่
แต่ไร้ซึ่งเสียงร้องใดๆ
ดวงตาคมก้มต่ำ มองเหยียดคนที่เอาแต่นั่งก้มหนา
หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมาไม่ขาดสาย
"เจียงหวั่นอิ๋น เจ้ามันคนชั่ว กล่าวหาคนรักของข้ามิดูตัวเอง 'จะไปตายที่ไหนก็ไป' มิต้องมาให้ข้าเห็นหน้า
ปัง!!!
สิ้นเรียกประตูงามก็ปิดกระแทกดังลั่น ปล่อยคนสองคนนั่งอยู่ที่เดิม
คุนหลุนพยายามเข้ามาพยุง แต่ถูกเจียงเฉิงดันไว้ก่อน
"ข้ามิเป็นไร กลับเรือนเถอะ" เสียงแหบแห้งกล่าวเบาๆ ก่อนร่างโปร่งบางจะผุดลุกขึ้น ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ทำคุนหลุนใจหาย
แต่พอพ้นเขตเรือนโบตั๋นไป ร่างของเจียงเฉิงกลับหยุดนิ่งไม่ยอมขยับ
"นายท่านเจียง นายท่านเจียง!!!!!!!!!!"
ไม่ทันได้ไถ่ถาม ร่างทั้งร่างของเจียงเฉิงก็ล้มตึงลงบนพื้นทันที
ไอสีดำลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ มากมายเสียงจนคุนหลุนตัวสั่น
แม้จะกลัวตาย แต่คำสัญญายังคงอยู่ ข้าจะปกป้องท่าจนกว่าชีวิตจกหาไม่
แต่ไอสีดำน่ากลัวกลับปัดร่างของหนุ่มน้อยเสียกระเด็ด ก่อนพุ่งเข้าใส่ร่างเจียงเฉิงพร้อมกัน
"นายท่านเจียง!!!"
"อั่ค!!" เจียงเฉิง สำลักจนเลือดสีแดงฉานไหลรินออกจากปากบาง ก่อนสติ
สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือ ความเจ็บปวดที่หน้าอก กับรอยยิ้มที่คุ้นเคยของใครคนหนึ่ง
และความอบอุ่นจากบางสิ่งที่โอบรอบกายเขาไว้
ยามโหย่ว(17:00-18:59)
ทุกคนมาพร้อมกันที่เรือนนอนของฟูเหริน สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียดไม่ต่างกันเท่าไรนัก
ทุกสายตาจ้องมองไปยัง
จากวันนั้น เจียงเฉิงสลบไปเกือบห้าวันเต็มๆ และเพิ่งฟื้นมาได้สองวันก่อน พร้อมกับลายประทับรูปเมฆาสีดำที่หน้าอก
หลังจากทราบเรื่องราวที่หน้าเรือนโบตั๋นแล้ว หลานฉี่เหรินเป็นผู้ที่เอาแส้วินัยฟาดหลานชายด้วยเอง และออกคำสั่งห้ามหลานซีเฉินเข้า
และพอได้ทราบเรื่องของคุนหลุนแล้วก็ยินดีให้เจียงเฉิงรับคุนหลุนเข้ามาดูแล
และมอบสกุลให้ คราแรกมอบสกุลหลานให้ แต่คุนหลุนยืนยันจะใช้สกุลเจียงตามผู้มีพระคุณ จึงยอมตกลงให้คุนหลุนเป็นคนของสกุลเจียงในที่สุด
มีปัญหาก็แต่จินหลิงและจิ่งอี๋ ที่รู้สึกเหมือนโดนแย่งหน้าที่ จึงมีเรื่องเถียงกันบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นตบตี จะมีก็แต่งอลกันไป
คุนหลุนอายุมากกว่าจินหลิงระมาณ 5 ปี
ตอนนี้หมอหลวงเข้ามาตรวจสอบเรื่องตราประทับเป็นที่เรียบร้อย ได้ความว่า เป็นตราที่มีไอวิญญาณร้าย ซึ่งมาจากคำสาป
แสดงว่า คำสาปที่เจียงเฉิงเคยได้รับนั้น แสดงผลแล้ว
"พวกเจ้าห่วงเกินไป คำสั่งเพียงแค่มิให้ข้าไปเจอเขา ข้าแค่หลบเลี่ยงการเจอเขาเพียงเท่านั้น"
"ข้ารู้ แค่ข้าสังหรณ์ว่าไม่ได้มีแค่นั้นน่ะสิ" เว่ยอิงกอดอก ก้มมองเจ้า
ยิ่งเห็นยิ่งขัดใจ หากเขาต้องฆ่าเจออู๋จวินเพื่อล้างคำสาปให้น้องชาย เขาก็จะทำ
"เอาเถอะ ข้าสบายดี พวกเจ้าเถอะ ช่วงเย็นจะมีงานแล้ว ใยมิไปจัดเตรียมของอีก" ว่าจบทุกคนแทบวิ่งออกไปทันที เรียกรอยยิ้มได้ดีทีเดียว
"เจียงเฉิง"
"ฮวั่นเกอ."
ชาวเมืองออกมาสังสรรค์กัน รวมถึงชาวต่างเมืองเช่นกัน
"พี่เว่ย!!" เสียงสดใสดังขึ้น พร้อมกับร่างของเนี่ยหวายซังก้าวเข้าประตูมา
"หวายซัง มาแล้วรึ" เว่ยอิงที่ยกลังหัวไชเท้าเสร็จรีบเดินมาหาแขกทันที
ตั้งแต่หวายซังเป็นประมุข เต็มตัว
"งานเทศกาลเป็นอย่างไรบ้าง"
"ตอนนี้พวกข้าเตรียมงานใกล้เสร็จแล้ว พวกข้าจะทำแกงรากบัวตุ๋นซี่โครงไปแจกจ่ายล่ะ" เว่ยอิงยิ้มร่า ยกบัวจำนวนมาก ให้อีกคนดู
หวายซังทำหน้า ฉงนทันที
"เปล่า นี่คือบัวจากอวิ๋นมิ่ง ประมุขจินยอมถ่อไปเก็บมาให้จากท่าสัตบงกชเลยนะ เพื่อจิ้วจิ่ว เขายอมหมด" เว่ยอิงพูดไปกลั้นขำไป ยามนึกถึงหลานชายที่พอได้ยินว่าจิ้วจิ่วของตนจะทำแกงรากบัว แต่ที่นี่ไม่มีบัว ก็รีบสั่งคนของตัวเองไปเก็บบัวจากท่าสัตบงกชในทันที
"ข้าก็คิดเช่นนั้น555"
คุยกันไปสักพัก เหมือนเนี่ยหวายซังจะนึกอะไรขึ้นได้
"จริงสิพี่เว่ย ได้ข่าวว่าคำสาปของพี่เจียงออกผลแล้ว ท่านเป็นเช่นไรบ้าง" น้ำเสียงแสดงถึงความกังวลทำให้เว่ยอิงยกยิ้ม
"ตอนนี้ยังดีอยู่ จะดีหากไม่เจอหน้าประมุขหลาน หึ!!! เอาเถอะ
เอ่ยถามคนตัวเล็กกว่า หวายซังพยักหน้าแรงๆ พัดในมือถูกเก็บพับเรียบร้อย
"แน่นอนพี่เว่ย ข้าคิดถึงพี่เจียงนัก ข้าไปหาได้ใช่รึไม่"
สายตาออดอ้อนทำเอาเว่ยอิงหลุดขำ ประมุขเนี่ยรุ่นก่อนกับรุ่นนี้ ต่างกันราวฟ้ากับก้นเหว
"ได้แน่นอน เจียงเฉิงอยู่เรือนฝั่ง
ชี้แจงเสร็จสรรพ หวายซังก็วิ่งดุ้กดิ้กไปที่เรือนของฟูเหรินทันที
มือเล็กยกขึ้นเคาะตระเบาๆ ร้องเรียกครู่หนึ่งก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
"สงสัยจะหลับ" ก่อนมือบางจะเลื่อนประตูเปิด
"คุณชาย มีเหตุอันใดกับนายท่านเจียงรึไม่"
ชายหนุ่มในชุดสีเขียวใบไม้เดินเข้ามาพร้อมสำรับเล็กน้อย
"ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าเป็นคนรับใช้ของนายท่านเจียง" หวายซังมองเด็กหนุ่มหัวจรดเท้า
รูปงามมิหยอก ท่าทางรึก็เป็นมิตร คงไม่มีอะไรให้ห่วง
ดูเหมือนเด็กตรงหน้าจะไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ
"เชิญท่านชาย"
เจ้าตัวทำเพียงโค้งศีรษะให้แล้วเดินไปเปิดประตู
หวายซังที่เตรียมร้องเรียกคนในห้องถึงกับชะงักค้าง
ภาพตรงหน้าทำให้เขาตะลึง พัดงามถูกปล่อยลงพื้นจนเกิดเสียงดัง
ตรงหน้าเขา
ใบหน้างามเรียบนิ่ง หลับตาพริ้ม แต่เริ่มขาวซีด ลมหายใจรวยรินเสียจนแทบไม่เหลือ
ไม่ทันคิดอะไร ขาเล็กวิ่งเข้ารวบเจียงเฉิงขึ้นกระชากเอาผ้าที่ผูกกับคานบนเพดานออกจนหลุด
ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า เจียงฟูเหรินที่นอนหายใจรวยริน บนลำคอขาวมีผ้ารัดไว้เสียแน่น ใบหน้างามนั้นก็ขาวซีดราวกับศพ
"พี่เนี่ย!!!! เกิดอะไรขึ้น" เว่ยอิงที่ได้ยินเสียงรีบวิ่งขึ้นมาดู
"พี่..พี่เว่ย ...พี่เจียง..พี่เจียงจะฆ่าตัวตาย!!!"
"อะไรนะ!!!!"
ยามอิ่ว (17:00-18:59)
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวาย ทุกคนรวมถึงแขกอย่างหวายซังก็มานั่งประชุมกัน
"ไหนเจียงเฉิงเคยบอกไงว่า แค่ถูกไล่ แล้วใยต้องฆ่าตัวตาย" เว่ยอิงเริ่มเปิดบทสนทนา
ทุกคนขวมดคิ้ว ก่อนจ้องไปยังหนุ่มน้อยในชุดสีเขียวใบไม้
ก่อนซือจุยจะนึกอะไรออก
"หลุนเกอ ท่านจำคำกล่าวของประมุขหลานได้หรือไม่ คำสุดท้ายที่พูดกับเจียงฟูเหรินในวันนั้น"
"เขากล่าวว่า จะไปตายที่ไหนก็ไปขอรับ"
"เจ้าคนป่าเถื่อน ขาจะไปฆ่ามัน!!!" จินหลิงที่ได้ยินถึงกับเลือดขึ้นหน้า มันเป็นใคร ถึงกล้ามาพูดแบบนี้กับจิ้วจิ่วของเขา
"ใจเย็นๆก่อนน่าประมุขจิน" เป็นจิ่งอี๋ที่
เจ้าตัวทำเสียงฮึดฮัดแต่ก็ยอมนั่งลงบนตักของจิ่งอี๋แต่โดยดี
"สรุป ไล่ไปตายไม่ได้ไล่เฉยๆงั้นสิ ไอ้ประมุขป่าเถื่อน" เป็นจินหลิงที่พูดขึ้นมิได้เกรงใจผู้ใด แต่ก็ไม่มีใครคิดขัด
"เป็นข้าสินะ ที่ทำให้เด็กคนนั้นต้องมาทนทุกข์เช่นนี้" หลานฉี่เหริน
"อย่าได้โทษตัวเองเลยท่านอาจารย์" และเป็นเว่ยอิงที่ออกปาก
"เอาเถอะ ตอนนี้ยังไม่รู้วิธีแก้คำสาปที่แน่ชัด ข้าอยากให้ทุดคนช่วยกันดูแลเจียงเฉิงอย่างใกล้ชิด และอย่ากล่าวถึงประมุขคนนั้นโดยเด็ดขาด"
แล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันไปตระเตรียมงานต่อ โดยเนี่ยหวายซังอาสาดูแลเจียงเฉิงให้ก่อน
เวลาผ่านไปใกล้ถึงเวลางานเจียงเฉิงที่ตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ ซึ่งทุกคนตกลงกันว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่ใครจะรู้ ว่าเจียงเฉิงเองก็รู้ว่าตนได้ทำสิ่งใดลงไป
เพียงแต่ไม่พูดสิ่งใดเท่านั้น
ส่วนเว่ยอิงนั้นถูกจับมัดไว้ข้างประตูทางเข้า โดยมีเวินหนิงและหวายซังยืนคุมอยู่ด้วย
เจียงเฉิงมองแล้วก็เผลอหลุดขำ แต่ก็ต้องชักสีหน้า เดินเข้าครัวไปโดยไม่สนพี่ชายที่ร้องให้ช่วย
นอกเหนือจากหลานวั่งจีที่มาช่วยเป็นลูกมือ ยังมีคุนหลุนที่ตามติดเขาแจมาขอเป็นลูกมือด้วย เพื่อความอยู่รอดจึงต้องปรุงอาหารได้บ้าง เจียงเฉิงจึงให้มาช่วยในการหั่นสิ่งต่างๆเพราะเจียงเฉิงยังมีแผลที่ฝ่ามืออยู่
"คุณชายรอง ตั้งน้ำให้ข้าที"
เสียงในครัวค่อนข้างครึกครื้น การปรุงอาหารเสร็จอย่างรวดเร็วเพราะลูกมือที่ดีทั้งสอง
"พวกเจ้า หากหม้อไหนเสร็จแล้ว นำออกไปแจกจ่ายได้เลย" เจียงเฉินร้องบอกศิษย์สกุลหลานที่ยืนรออยู่ด้านนอก ไม่นานเกินรอเหล่าศิษย์รวมถึงคนอื่นๆก็เข้ามายก
และค่อนข้างจะหมดร็วเสียด้วย
"ว้าว เจียงเฉิงงงง ฝีมือเจ้านี่สูสีกับซือเจี่ยเลยนา" เว่ยอิงยกยิ้มขึ้นมาหลับแอบหลบไปกินแกงได้สามถ้วยแล้ว
"ฝีมือข้าหรือจะเท่าเจี่ย เทียบกันแล้วของข้าก็เป็นแค่น้ำแกงช้อนเดียว"
"ไม่จริงเลยนะจิ้วจิ่ว ข้าว่าอร่อยออก"
"เป็นถึงประมุขเลิกทำตัวเป็นเด็กทีเถอะ ข้าละเหนื่อยใจกับเจ้าจริงๆ"
"อาเฉิงอ่าาา อย่าบ่นหลานเลยนะ....."
แต่น้ำเสียงสดใสกลับต้องเงียบลงเมื่อเห็นร่างสูงสง่าเดินมาหยุดอยู่ด้านหลัง
มือเรียวกระชากร่างโปร่งเข้าหาตนทันที พร้อมกับสายตาไม่เป็นมิตรที่ส่งมาให้
ร่างสูงทำเพียงชายตามอง แล้วเอ่ย
"มิต้องห่วงคุณชายเว่ย ข้าแค่มาตรวจความเรียบร้อยของเขาตามได้รับสั่งจากท่านอา มิได้อยากเสวนากับเขาหรอก เมื่อเรียบร้อยดี ข้าก็ขอตัว"
หันหลังกลับทันทีที่พูดจบ
"แกงรากบัวนี้ข้าทำร่วมกับคุนหลุนและคุณชายรอง ท่านนำกลับไปทานด้วยเถอะ" ว่าแล้วก็ยกถ้วยแกงที่ปิดฝาอย่างดีส่งให้
ร่างสูงมองนิ่งๆแล้วกระชากเอามาถือ ก่อนเดินหายไป แต่มิวายทิ้งคำพูดเอาไว้
"ข้ามิรับปากว่าจะไม่นำไปเททิ้ง
"ไอ้คนไร้หัวใจ ไอ้ ไอ้...ไอ้!!!"
"เว่ยอิงพอเถอะ ข้าจะเข้าไปนำขนมกุ้ยฮวาในครัวมาแจกจ่ายพวกเจ้าก็รอที่นี่แล้วกัน"
พูดจบก็เดินหายเข้าครัวไปทันที ปล่อยคนทั้งหมดยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
"ให้ตายสิหลานจ้าน พี่ชายเจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ
"อืม..."
มองหน้าสหายรักแล้วถอนหายใจ หลานจ้านเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน
คงต้องรีบหาทางล้างคำสาป แล้วพาเจียงเฉิงกลับอวิ๋นมิ่งให้เร็วที่สุด
เจียงเฉิงจะได้ไปมีความสุขในที่ที่ไม่มีเจ้าประมุขประสาทกลับนั่น
คิดแล้วก็ยกยิ้ม แต่ก็ต้องหุบลงเมื่อเสียงโหวกเหวกดังขึ้น
ศิษย์สกุลวิ่งพลานไปทั่วจนหลางวั่งจีต้องเอ่ยปาก
"มีอันใด จึงต้องส่งเสียงโหวกเหวก"
"ท่านหานกวงจวินขอรับ ฟูเหริน ฟูเหรินท่าน!"
ทันทีที่ได้ยิน เว่ยอิงรีบวิ่งเข้าโรงครัวทันที ภาพตรงหน้าทำเอาเข่าสองข้างทรุดลงที่พื้น
เจียงเฉิงนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นครัว ในมือข้างนึงถือมีด
ลมหายใจหอบโรยริน
เว่ยอิงรีบตะโกนเรียกให้ตามหมอหลวงก่อนเข้ามาประคองร่างน้องชาย
และได้ยินประโยคซ้ำๆที่ออกจากบาง
"ชีวิตข้า ชดใช้แด่ความรักของท่าน...ชีวิตข้า ชดใช้แด่ความรักของท่าน"
"เจียงเฉิง"
"ยังไงก็ต้องไป!!! ต่อให้ใครหน้าไหน หรือเป็นใหญ่มาจากไหนมาพูด ข้าก็ขอยืนยันว่าจะพาจิ้วจิ่วของข้ากลับหลันหลิงไปกับข้า!" เสียงดังตวาดลั่น
กำปั้นทุบลงบนโต๊ะไม้อย่างดีจนมันแทบหัก ซึ่งผู้ลงมือก็ไม่พ้น ประมุขแห่งหลันหลิง
ใครมันจะทำไม จิ้วจิ่วของเขาจะฆ่าตัวตายถึงสองครั้งสองคราว
"ใจเย็นๆก่อนเถอะขอรับ" คุนหลุนพยายามทำให้อีกคนในเย็นลง แต่เหมือนตอนนี้ ให้เอาอะไรมาฉุดก็คงไม่อยู่
ดวงตาคมตวัดมองชายหนุ่มที่มุมห้องเขม็ง
"จะให้ข้าเย็นได้ยังไง
ประโยคนี้ทำให้คุนหลุนชะงัก ใบหน้าเนียนสวยกัมลงต่ำ ไร้คำจะเอ่ย
เป็นจริงดั่งว่า เขาเองก็ไม่ยอมให้คนคนนี้ตายเด็ดขาด
"แล้วอย่างไร" เสียงทุ้มดังขึ้น ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ใน
เป็นเว่ยอิงที่กล่าวออกมานั่นเอง
"หลบหน้าแล้วอย่างไร ในเมื่อคำสาปมันก็ยังคงอยู่เช่นนี้ เราควรทำเช่นไรรึ" ว่าแล้วก็หันไปมองผู้อวุโสที่สุดในห้องที่เงียบมาพักใหญ่แล้ว
หลานฉี่เหรินที่มองตอบกลับมา ได้แต่ถอนหายใจ จนปัญญาเหลือเกิน
"หย่า...ข้ายืนยุนคำเดิม หย่าซะ"
นั่นทำให้หลานฉี่เหรินเครียดหนักกว่าเดิม แต่จะทำเช่นไร ในเมื่อเรื่องมันมาถึงตรงนี้แล้ว
"ได้ ข้าจะคุยกับซีเฉิน วั่งจี ไปเรียกพี่เจ้ามาพบข้า"
"ตอนนี้ระ-"
"ตอนนี้!!!!" ไม่ใช่ใคร แต่เป็นเว่ยอิงที่เผลอตะโกนออกมาด้วยตัวเอง ก่อนจะรู้ตัว
หลานวั่งจีเพียงพยักหนัาตอบรับ แล้วเดินหายออกไปทันที
"แต่คุณชายเว่ย เรายังไม่ได้คุยกับเจียงฟู....ท่านเจียงเฉิงนะขอรับ" หลานซือจุยที่นั่งฟังเงียบๆมาสักพักเอ่ยออกมาบ้าง
รีบเปลี่ยนคำแทบไม่ทัน เมื่อเว่ยอิงและจินฟลองตวัดสายตาใส่จนเขาร้อนๆหนาวๆ เพราะตอนนี้
"แล้วอย่างไร ยังไงข้าก็จะให้หย่า" เอ่ยอย่างไม่สนใจ จินหลิงมองชายหนุ่มรุ่นพี่แล้วสบัดใบหน้าหนี
เขารู้ดี ว่าหากหย่าแล้ว เขาจะไม่ให้น้าของตนมาเหยียบที่นี่อีก
และไม่ได้พบกับหลานซือจุยและหลานจิ่งอี๋อีก
แต่เพื่อจิ้วจิ่วแล้ว เขายอมแลกความสุข เพื่อชีวิตของคนคนนี้ เพราะเจียงหวั่นอิ๋นผู้นี้คือสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว
และอีกข้อที่เขาคิดไว้คือ
หลานจิ่งอี๋นั้น มีความผูกพันกับน้า
ข้าขอโทษหลานจิ่งอี๋ เจ้าด้วยอาเยวี่ยน
ดวงตาใสหม่นหมองลงเมื่อนึกถึง
จนเมื่อฝ่ามืออุ่นของใครบางคนวางทับบนศีรษะ จนต้องเงย
เป็นจิ่งอี๋ที่ลูบศีรษะเขาอยู่
"ข้าเข้าใจ ว่างๆ ข้าจะไปเยี่ยมนะ ข้า...ข้า....ฝากเขาด้วย อย่าให้เขาเจ็บปวดอีก สัญญากับข้านะจินหลิง"
"....ข้าสัญญา"
"ท่านอา มีอันใด" เสียงทุ้มเรียบมาพร้อมร่างสูงสง่าที่ก้าวเข้ามาในห้อง
หลานซีเฉินทำความเคารพอย่างสวยงามตามมารยาท
"นั่งก่อน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า" หลานฉี่เหรินว่าพลางผายมือไปทางที่นั่ง
คนร่างสูงทำตามอย่างว่าง่าย
"เอาล่ะข้าจะคุยกับเจ้าเรื่องการหย่ากับ-"
"ทุกคน" ไม่ได้พูดจบผระโยค เสียงอ่อนระโหยก็ดังแทรกขึ้น พร้อมปรากฏ
"เจียงเฉิง!! ทำไมไม่นอนพัก" เว่ยอิงที่เห็นร่างน้องชาย รีบปรี่เข้าไปประคองทันที แล้วพยายามพากลับห้อง
แต่เจียงเฉิงที่มองเห็นใบหน้าของสามีที่อยู่ในห้อง จึงเดินเข้ามา ไม่สนคำร้องของพี่ชาย
หลานฉี่เหรินทำสีหน้าลำบากใจไม่น้อย แต่สายตาของจินหลิงและหลานชาย
"ไหนๆเจียงเฉิง เจ้าก็มาแล้ว ข้าก็จะชี้แจงให้พวกเจ้าได้เข้าใจพร้อมกัน"
เสียงพูดหยุดไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นสายตาของเจียงเฉิงที่ประกายหม่นหมองและสับสนกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
แต่ก็ต้องจำใจเอ่ยออกไป
"เนื่องจากการแต่งงานครั้งนี้มิได้เกิดจากความรัก
"ข้าหย่า" เสียงดังแทรกขึ้นมาอย่างหนักแน่น หลานซีเฉินจ้องมองอาของตนอย่างแน่วแน่ ต่างจากเจียงเฉิงที่ใจกระตุกแรงเสียจนปวด
"นี่มัน...." พยายามเปล่งเสียง แต่เหมือนจะไม่มีแม้แรงจะพูด เมื่อได้ยินคำของสามี
"มีปัญหาอันใดรึ 'ประมุขเจียง' ในเมื่อเราไม่ได้รักใคร่ ใยต้องอยู่ร่วมเรือนให้ต้องเกลียดขี้หน้ากันต่อ"
"นี่เจ้า สามหาว!!!!!" จินหลิงแทบลุกขึ้นไปต่อยใบหน้านั้นให้หายแค้น แต่มือของเจียงเฉิงจับไว้เสียก่อน
"สามหาวอันใดรึประมุขจิน ข้ากล่าวความ
"ขออภัยท่านประมุขหลาน นายท่านเจียงเพียงช่วยเหลือและเมตตาข้า" คุนหลุนที่นั่งฟังเอ่ยขึ้น จะให้ผู้มีพระคุณเสียหายไป
แต่คนร่างสูงทำเพียงยิ้มเยาะ
"ข้ามิได้กล่าวถึงเจ้า ใยต้องร้อนตัวไปด้วยเล่า เจียงคุนหลุน" เสียงใสกล่าวพลางส่งยิ้ม
ที่จินหลิงบอกได้เลยว่า มิเคยพบใครยิ้มได้น่ารังเกียจเพียงนี้
แต่แรงบีบที่ข้อมือพาให้ใจอ่อนยวบ ปัดความเกลียดชังทิ้งไป แล้วสนใจร่างบอบบางที่นั่งก้ม
ท่านน้าของเขากำลังกำมือแน่น กายบางสั่นไหวเบาๆ ทำให้รู้ว่ากำลังพยายามอดกลั้นบางอย่างอยู่เป็นแน่
"พอเถอะ...."
"จิ้วจิ่ว..."
"พอเถอะจินหลิง.....ประมุขหลาน ท่านหลานฉี่เหรินขออภัยแก่หลานชายของข้าด้วย"
"แต่จิ้วจิ่ว" จินหลิงเงียบลงทันที เมื่อเจียงเฉิงหันมา
รอยยิ้มที่ทั้งอ่อนแรง และแหลกสลาย รอยยิ้มของผู้ที่ไม่เหลือสิ่งใด บอบบางดั่งแก้วที่เต็มไปด้วยรอยร้าว.....หากแตะแรงเพียงนิด คงแตกสลายไปแน่ๆ
"เรื่องการหย่า ข้าตกลง"
"ดี" เป็นเสียงของหลานซีเฉินที่ดังขึ้นก่อนใครๆ
ยามอุ้ย (13:00-14:59)
เรือนนอนของฟูเหริน
เจียงเฉิงเดินออกมาจากเรือน นั่งลงนิ่งๆ ปล่อยความคิดให้จมดิ่งไป พัดไปกับสายลม
การหย่าเป็นไปอย่างง่ายดาย ตามที่คนผู้นั้นต้องการ
ดวงตาสีนิลหม่นหมองมองไปยังประตูเรือน
เรือนแห่งนี้ไม่เคยเป็นของเขาเลย เขาเป็นเพียง
คิดแล้วก็ยิ้มกับตัวเอง น่าสมเพชนัก อยู่ร่วมกันมา5ปี ท่านมิเคยมาเหยียบเรือนนี้ด้วยซ้ำ
กริชเล่มเล็กถูกดึงออกมาจากเสื้อ สอง
มือประคองด้ามจับไว้มั่น หันปลายมีดเข้าสู่หัวใจ
พร้อมรอยยิ้มอาบน้ำตา
"ฮวั่นเกอ
คมมีดพุ่งเข้าหา หมายตัดขั้วหัวใจผู้เป็นนายของมันทันที
"อาเฉิง!!!!" เสียงดังลั่นพร้อมอ้อมกอดของคุนหลุนปะทะแผ่นหลัง ท่อนแขนแกร่งโอบรัดรอบเอวบาง ส่วนมืออีกข้างยื่นออกมาข้างหน้า กุมรั้งมือบางที่คิดปลิดชีพตนเองหน้าเรือนของฟูเหริน
แรงกอดรัด เป็นไปตามแรง
"ได้โปรด....ได้ปรด ฮึก...ฮือออ ให้ข้าชดใช้ให้ความรักของเขาเถอะ ปล่อยข้า ฮึก"
น้ำตาไหลอาบแก้มเนียนทั้งที่ยังคงซึ่งรอยยิ้ม แรงรั้งมีดมากขึ้น แต่ยังมิอาจสู้แรงจากผู้ที่กอดรัดจากด้านหลัง
ความชื้นทำให้รู้ว่าคนที่กอดตนนั้นกำลังร่ำไห้
"อย่าทำแบบนี้ได้โปรด อย่าทำร้าย
"ให้ข้าชดใช้ ฮึก...ได้โปรดให้ข้าชดใช้!!! ฮืออออออ"
เสียงร่ำไห้ปะปนไปกับเสียงหยดน้ำจากสายฝนที่เทลงมาโดยไม่ให้รู้ตัว
หยาดน้ำตาผสมไปกับน้ำฝน หากใครบอกว่าสายฝนนี้คือน้ำตาที่ท่านเสียไป ข้าก็จะเชื่อ
"ได้โปรด ฮึก...ได้โปรด...ให้ข้า...ชดใช้ อาเหยา"
"ข้าปล่อยท่านตายไม่ได้...ได้โปรด...อย่า...อย่าตามข้าไปเลย อาเฉิง...ข้ารักเจ้า มีชีวิตเพื่อข้านะ..."
ข้าอยู่กับท่านเสมอ อย่าไปเลยนะ อาเฉิงของข้า
อีกมุมหนึ่ง ใครบางคนมองภาพตรงหน้า พร้อมหัวใจที่บีบรัดอย่างไม่เข้าใจ
"ท่านพี่ ใยยังมินอน" เสียงทุ้มดังขึ้นจากหน้าเรือนประมุข
หลานซีเฉินมองดูก็พบกับน้องชายที่กำลังเดินเข้ามา
เขายกยิ้มแล้วทักทายตามปกติ
"พี่ยังมิง่วง วั่งจีมีอันใดจะคุยกับพี่รึ" พูดด้วย แต่ไม่มองหน้า แค่นี้ก็พอทำให้รู้ได้แล้วว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไร
"ท่านพี่กำลังกังวล"
"ท่านกังวลว่าพี่สะใภ้จะไป" ไม่รอให้พูดจบ หลานวั่งจีรีบแทรกขึ้นอย่างผิดวิสัยคนสกุลหลาน
ชายร่างสูงทำเพียงนั่งนิ่งๆ และตอบมาด้วยทำเสียงเย็นยะเยือก
"ใยข้าต้องสนคนแบบนั้น"
"หากไม่สน ท่านจะไม่ทานมัน" ว่าแล้วก็ชี้ไปทางถ้วยแกงที่วางอยู่บนโต๊ะที่ห่างออกไป
"ข้ามิได้ทาน ศิษย์สกุลหลานต่างการเล่า"
"กฏสกุล ห้ามโกหก ศิษย์สกุลอยู่ที่ลานฝึกทั้งวัน และครบทุกคน ใช้เวลาใดมาทาน"
ความเงียบปกคลุมห้องทันที
เมื่อไม่มีทีท่าว่าพี่ชายจะตอบอะไรมา เขาจึงต้องเปลี่ยนเรื่อง
"ท่านรู้" สองคำเรียบๆ เรียกสติจองคนที่นั่ง
"รู้อันใด"
"เจียงคุนหลุน ท่านรู้ว่าเขาคือใคร"
หลานวั่งจีเห็นความวูบไหวในดวงตาของร่างสูงตรงหน้า แต่ก็เพียงแวบเดียว แต่คนที่โตมาด้วยกันขนาดนี้ ไม่เห็นคงเป็นเรื่องแปลก
"ข้ามะ-"
"ห้ามโกหก ขารู้ว่าท่านรู้.....และพี่สะใภ้...ก็..อาจรู้" น้ำเสียงยังคงลังเล
"ท่านกำลังกลัว" แต่ก็พูดออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ในน้ำเสียงแฝงด้วยความหนักแน่น
"ข้ารึ...กลัวสิ่งใดกัน" หลานซีเฉิน ทำเพียงยิ้มส่งให้น้องชาย
"กลัวจะสูญเสีย.....ซึ่งข้าแน่ใจว่าไม่ใช่คนที่ท่าน..รอ"
ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนเดินออกจากเรือน
มุมปากยกยิ้มแสยะ หัวเราะกับตนเอง
"ข้าหรือ กลัวที่จะสูญเสียเจ้าคิดผิดแล้ว....."
ถึงอย่างนั้น สายตากบัวจ้องมองไปที่ถ้วยแกงว่างเปล่า
"ข้าไม่น่ากินเลย"
เรือนฟูเหริน
คุนหลุนพาร่างของเจียงเฉิงที่สลบไสลไปมานอนบนเตียง จัดแจงเช็ดตัว
พร้อมดึงกริชเล่มงามออกจากมือบาง
กริชด้ามทองประกาย ประดับประดาด้วยอัญมณีน้ำงาม สลักด้วยลายของดอกไม้ชนิดหนึ่ง
มือสวยวางกริชลงบนโต๊ะข้างเตียง แล้วไล้เกลี่ยน้ำตาที่ไหลลงมาจากหางตา
บีบนวดขมับเบาๆให้คิ้วสวยคลายออกจากกัน
จัดแจงห่มผ้าให้มิดชิด
ก็มีมือของใครบางคนกระชากร่างของเขาอย่างแรง ก่อนรู้สึกถึงของแข็งกระแทกแผ่นหลัง
ปัง!!!!
"คะ..คุณชายเว่ย นี่มันอะ-"
"เจ้าเป็นใครกันแน่" น้ำเสียงเย็นยะเยือกส่งผ่านมาพร้อมสายตาเสียงแทง
มือเรียวขย้ำเสื้อเขาเสียจนแทบ
"ท่านพูดอันใดกัน ข้ามิเข้าใจ" ดวงตาวูบไหวไม่ทำให้เว่ยอิงใจอ่อน กลับกันกลับประกายโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม
"ข้าถามว่า เจ้าเป็นใครกันแน่"
"ข้าเป็นเพียงเด็กหลงทาง ไร้สกุล"
"แล้วทำไมข้าถึงเห็นวิญญาณของจินกวงเหยาอยู่กับเจ้า!!!!!"
หมัดพุ่งเข้าใส่ผนังไม้เฉียดใบหน้า
แต่เหนือจากหมัดนั้น
"ท่า...เห็น?" คำพูดไม่น่าเชื่อ ทำใฟ้เว่ยอิงขมวดคิ้ว
ยอมคลายมือออกเล็กน้อย
"ข้าเห็น.....อธิบายมา เรื่องที่เจียงเฉิงถูดสาปเป็นเพราะพวกเจ้าใช่หรือไม่"
"ไม่ใช่.....ไม่ใช่พวกข้า" ก้มหน้าตอบเสียงอ้อมแอ้ม
"ตัวข้า แท้จริงเป็นเด็กไร้บ้านไร้สกุลจริงตามที่ข้าเคยกล่าว แต่ข้านั้นเป็นผู้ที่สามารถมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมิเห็นได้ในบางครั้ง ท่านจินกวงเหยารู้ และเคยเลี้ยงดูข้ามาก่อน เมื่อตายไปเขาจึงมาปรากฏตัวให้ข้าพบ"
"เพื่ออะไร"
"ฝากข้า..ดูแลคนสำคัญ
"เจ่ออู๋จวินรึ"
"ไม่...ไม่ใช่เขา เขาไม่เคยรักท่านประมุขหลานในเชิงนั้นเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว แต่คนที่เขาอยากให้ข้าดูแล...คือนายท่านเจียง"
ใยจินกวงเหยาต้องเป็นห่วงเป็นใยอาเฉิงด้วย เหมือนหนุ่มน้อยจะรู้ความคิด
"นายท่านเจียงสำคัญสำหรับทุกคน ยกเว้นเขาคนนั้น"
ขอไปจัดการอะไรให้เข้าที่สักช่วงหนึ่ง แล้วจะกลับมาน้าาา
คนที่งง จงงงต่อไปก่อนนะคะ//หลบเกิบ
และยังขอยืนยันว่า.
เรื่องนี้ #ซีเฉิง คู่หลักนะคะ😂😂😂
ส่วนน้องหลุนจะเป็นไง รอติดตาม อยาาเพิ่งเกลียดน้องนะคะ😅
แต่คุนหลุนไม่มีท่าทีน่าสงสัยว่าเป็นเป็นอันตรายต่อเจียงเฉิง จึงยอมให้อยู่กับเจียงเฉิงได้ แต่ต้องถูกจับตาดูเสมอ
จนถึงเวลาเดินทางกลับ
เจียงเฉิงฟื้นขึ้นมา และดูท่าจะจำเหตุการณ์ก่อน
จำไม่ได้แม้แต่ว่าตนได้เอ่ยถึงใครบางคน
ทุกคนจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีก ส่วนเรื่องของคุนหลุนนั้น มีเพียงเว่ยอิงและ หลานจ้านเท่านั้นที่รู้เรื่อง
"เจียงฟะ...ประมุขเจียง ท่านจะไปจริงๆรึขอรับ"
"มิไปมิได้หรือขอรับ"
"อย่าไปเลยนะขอรับ"
เสียงโหวกเหวกโวยวายจากเหล่า
เจ้าตัวทำแค่ลอบยิ้มแล้วขู่
"รั้งข้าไว้เพื่อสิ่งใด ใช่ว่าจะมิได้เจอกันอีก พวกเจ้าก็มีแขนมีขา จะไปเยือนอวิ๋นเมิ่ง ไปพบข้ามิได้เลยรึ ข้ากลับไปสะสางงาน มิได้ไปตาย พวกเจ้านั่นแหละ ข้ามิอยู่ ตั้งใจฝึกด้วย หากได้ข่าวว่า
เพียงแค่นั้น เหล่าศิษย์น้อยใหญ่ก็ยอมปล่อยประมุขแห่งท่าสัตตบงกชกลับไปยังบ้านเกิด ด้วยสายตาละห้อย
แต่ก่อนจะออกเดินทาง กลับปรากฏร่างสูงสง่าของคนคุ้นเคยขึ้นเสียก่อน
คุนหลุนที่เห็นหลานซีเฉินรีบเบี่ยงตัวเข้ามาบังร่างของเจียงเฉิงไว้ทันที
มองร่างบางด้วยสายตาเย็นชา แล้วยื่นบางสิ่งให้อดีตภรรยา
พู่หยกสีฟ้าคราม ที่ได้รับมาเมื่อวันแต่งงานเข้าเป็นฟูเหริน ของขวัญชิ้นแรกและชิ้นเดียวที่ได้จากชายตรงหน้า
....แต่มันไม่ใช่ของเขา มันเป็นของฟูเหรินตัวจริง
"มันมิใช่ของข้า เก็บไว้มอบแก่ฟูเหรินของท่านเถิด"
มิยื่นมือไปรับ แต่ร่างสูงกลับยัดมันใส่มือของเขาด้วยตนเอง
"ข้ามิให้ฟูเหรินของข้าใช้ของร่ามกับผู้ใดหรอก และข้าให้เจ้าแล้ว ดังนั้นมันเป็นของเจ้า จะไปใยมิดูของให้ดี อย่าทิ้งเป็นภาระพวกข้า"
เว่ยอิง
ติดกับดักตนเองเสียแล้วประมุขหลาน
"เจียงเฉิง เขาให้มาแล้วก็รับไปเถิด เดี๋ยวข้านำไปทำลายเอง แล้วก็ประมุขหลาน จะรั้งน้องชายข้าอีกนานไหม พวกข้าต้องเดินทาง นี่ก็ใกล้มืดแล้ว"
"ใยมิรอเช้าก่อน..."
"หึ ข้าเห็นว่ามีผู้ที่ต้องการให้พวกข้าออกไปให้เร็วที่สุด อยู่ๆไปก็จะพลอยเกลียดขี้หน้าเพิ่ม ดังนั้น ข้ามิอยู่ต่อจะดีกว่า เจียงเฉิง กลับ!!" พูดจบก็กระชากแขนน้องชายขี่กระบี่ไปทันที
ปล่อยเหล่าศิษย์สกุลเจียงขนของกลับกันเอง
คุนหลุนมองคนร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาเหนื่อยอกเหนื่อยใจ พลางมองเห็นพู่หยกสีม่วงอ่อนประดับแอบๆไว้ที่ผ้าคาดเอวของประมุขหลาน ทั้งๆที่เมื่อตอนเข้ามาใหม่ๆ มิเคยได้เห็น
หรือว่า
"รู้ตัวตอนสายเหรอ...น่าสมเพชนะขอรับ"
ว่าแล้วก็ไปดูแลเรื่องการ
อวิ๋นเมิ่ง
เว่ยอิง หลานจ้าน และเจียงเฉิงมาถึงเรียบร้อย
เว่ยอิงรีบพาน้องชายเข้าไปในห้องนอนทันที
กลิ่นอายแห่งความคิดถึงทำให้เจียงเฉิงดูผ่อนคลาย
ความคุ้นเคยและอบอุ่นทำให้เขาสงบลงมาก
สองพี่น้องและหนึ่งเพื่อนพี่ชายเดินชมไปทั่วดั่งว่ามิเคยได้มา
เข้ากราบไหว้บรรพบุรุษ
และเป็นเวลาที่คุนหลุนและศิษย์สกุลกลับมาถึงพอดี
วันนั้นจึงเกิดการฉลองการกลับมาของประมุขตระกูลเสียยกใหญ่
ทำให้ตระกูลเจียงที่เคยเงียบสงบกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
ต่างจากอีกที่
อวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่
แต่ยังมีผู้ที่มิยอมหลับไหลตามกฏ
หลานซีเฉินมิอาจข่มตาหลับลงได้
เพราะเหตุใดมิอาจทราบ
ทั้งที่ควรจะเป็นวันที่ดีที่สุด แต่ใยในใจกลับวูบโหวง ดั่งว่าขาดสิ่งใดไปสักอย่าง
แต่เมื่อนึกถึงสิ่งสำคัญที่หายไป นึกเท่าใดก็นึกมิออก ทุกครั้งที่หลับตาลง
จนสุดทายจึงต้องฝ่าฝืนกฏสกุล
ร่างสูงลุกขึ้นหากเตียงนอน พาร่างสง่าเดินไปตามทางเดินอย่างไร้จุดหมาย หวังให้ความเย็นสบายของอากาศช่วยให้ง่วงขึ้นบ้าง
แต่ยิ่งเดินยิ่งไม่มีทีท่าจะง่วงแม้แต่น้อย
จนกระทั่ง
เรือนที่มิเคยมาเหยียบตลอดห้าปีที่ผ่านมา
แต่ใยขาถึงพาร่างมาหยุดอยู่ที่นี่
ประตูเรือนที่มีสัญลักษณ์ของสัตตบงกชเก้ากลีบ และเมฆาขดประดับรอบๆอย่างงดงามและลงตัว
เรือนฟูเหริน
เขามิอยากหลับนอนร่วมกับฟูเหริน จึงสั่งให้สร้างเรือนฟูเหริน
แยกกันอยู่อย่างชัดเจน แต่เขาก็แทบมิได้อยู่เรือนเหมันต์ เพราะไปอยู่เรือนโบตั๋นซะส่วนใหญ่ มีนานๆครั้งที่กลับมานอนที่เรือนเหมันต์ แต่มิเคยมาเรือนนี้แม้แต่ครั้งเดียว
ซึ่งฟูเหรินก็มิเคยร้องขอสิ่งใด ทำให้เขามิต้องใส่ใจมากนัก
เจียงเฉิงไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด
คิดแล้วก็อมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เหตุการณ์ที่ประมุขแห่งท่าสัตตบงกชคอยรับใช้ในเรื่องต่างๆลอยเข้ามาในหัว ก่อนภาพจะตัดไปเมื่อเขาปฏิเสธความหวังดีทั้งหมดนั้นทุกครั้งไป
มือเรียวไล้ไปตามลากสลักรูปสัตตบงกช
ก่อนผลัก
ในห้องยังคงเรียบร้อย เหมือนไม่เคยมีใครอยู่ แต่ก็ไร้ฝุ่นหรือใยแมงมุม สิ่งของน้อยนิดวางอย่างเป็นระเบียบ เตียงนอนสีขาวสะอาดเรียบร้อย ชวนให้ประมุขหนุ่มเดินเข้าไปหา
หย่อนกายนั่งลงช้าๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดตีตื้นขึ้นมา ....ช่างคุ้นเคย
กว่าจะรู้ตัวก็เผลอล้มตัวลงนอน
กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกบัวพาให้ผ่อนคลายและอบอุ่น
เพียงไม่นาน ความง่วงก็เข้าครอบงำ และเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
3 เดือนต่อมา
อวิ๋นเมิ่ง
"อาเฉิงอ่า ช่วงนี้เจ้าจะปวดหัวมากไปแล้วนะ" น้ำเสียงงอแงรอบที่เท่าไรไม้รู้ของวัน
เว่ยอิงเดินมาเกาะแขนผู้เป็นน้องชาย พลางขมวด-
"นั่นสิขอรับนายท่านเจียง ให้ท่านหมอมาตรวจสักครั้งเถอะขอรับ" ตามมาด้วยคุนหลุนที่เอ่ยตามมา
"ข้าแค่เวียนศีรษะ มิได้จะตาย พวกเจ้ากังวลเกินไป" ส่วนคนโดนบ่นก็แค่หลับตาแล้วว่าออกมา
ช่วงนี้เจียงเฉิงมักมีอาการเวียนศีรษะอยุ่บ่อยครั้ง จนแทบมาดูแลการฝึกไม่ได้ เพียงเจอแดดนิดหน่อย
ยังไงก็ผิดปกติ
"เป็นเพราะคำสาปรึเปล่า ขอเถอะเจียงเฉิง ให้หมอมาดูอาการเถอะ" เว่ยอิงยังไม่ยอมแพ้ เกาะแขนเกาะขางอแงต่อไป
"ข้าเห็นด้วยขอรับจิ้วจิ่ว" ตามด้วยจินหลิง
"พวกข้าก็คิดเช่นนั้น" และตามต่อด้วยจิ่งอี๋ซือจุยและเวินหนิง ที่ดูจะมาอยู่อวิ๋นเมิ่งมากกว่ากูซูด้วยซ้ำ
ไหนจะโอวหยางจื่อเจิน และประมุขเนี่ยที่มาเล่นที่นี่บ่อยเสียจนคิดว่าป็นบ้านตนเอง แถมมาอีกคือขุนพลผีเวินหนิง
นี่รึเปล่า สาเหตุให้ข้าวิงเวียนศีรษะทุกวัน
"ก็ได้ๆ พอใจพวกเจ้ารึยัง" ส่งสายตาดุไป แต่พวกนั้นกลับ
วันนั้นเว่ยอิงให้หมอเข้ามาตรวจน้องชาย
ทุกคนที่นั่งลุ้นจนเกร็งอยู่หน้าห้อง จนหมอเดินออกมาก็แทบกระโจนใส่
"ท่านหมอ น้องชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง" เว่ยอิงรีบถามไถ่อาการทันที
ทุกคนพยักหน้าตาม ด้วยสายตาคาดหวังจนหมอเหงื่อตก
"เอ่อ ท่านประมุขให้ข้ามาตามพวกท่านไปฟังร่วมกัน
"เอาล่ะ จากที่ตรวจ เป็นไปตามที่ท่านชายได้คาดการณ์ เป็นผลข้างเคียงของคำสาปจริงดั่งว่า"
"แล้ว เป็นอะไรมากหรือไปขอรับ" จินหลิงที่นั่งกอดเอวคนเป็นน้ารีบหันมาถาม
หมออวุโสเม้มปากแล้ว
"มิได้อันตรายนัก แต่พวกท่านจะเชื่อหรือไม่"
"มีอันใดรึขอรับ" คุนหลุนเอ่ยถามด้วยความกังวล แล้วหันไปหาเจียงเฉิงที่ทำหน้าเครียดอยู่บนเตียง
"ข้ากำลังตั้งครรภ์"
ทุกอย่างเงียบลงทันใด
"ห้ะ" และเป็นหวายซังที่ทำลายความเงียบ
"หมอขอตัว" ว่าแล้วก็ลุกหายไปจากห้องทันที
"เจียงเฉิง...เมื่อไร"
คนถูกถามเม้มปากแน่น จ้องมองเข้าไปในดวงตาพี่ชายด้วยความปวดร้าว
"วันงานเทศกาลระหว่างรึดูวันนั้น"
(ปัญหารุมเร้า เราก็จะแต่งค่ะ!!
นิยายนี่แหละสิ่งฮีลใจของเรา)
แงงงง
หลังจากที่เจียงเฉิงได้ไล่ทุกคนออกไปทำหน้าที่เตรียมตัวทำของแจกจ่ายแล้ว ก็นั่งพักอยู่บนเตียงเช่นเดิม
ทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา
นี่เขาทำร้ายตัวเองอีกแล้ว อยากหลุดพ้นจากบ่วงที่รัดหัวใจอยู่ตอนนี้เสียจริง
นั่งเหม่อได้ไม่นาน เสียงประตูก็ดังขึ้น เรียกสติของเจียงเฉิง
ไม่ทันได้เอ่ยปากบ่น ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาก่อน
"หวั่นอิ๋น"
"ฮวั่นเกอ" ร่างสูงสง่าย่างเข้ามาในเรือน พร้อมปิดประตูอย่างมิดชิด
ใบหน้าขาวแดงระรื่ออย่างผิดวิสัย ทุกย่างก้าวล้วนไม่มั่นคง
ดวงตาฉ่ำเยิ้มที่มองมาอย่างกระหายทำให้คนบนเตียงสะท้าน
"ทะ..ท่านเมารึ"
ไม่มีทางให้หนี
"อาเหยา" เสียงอ้อแอ้ และกลิ่นที่คุ้นเคยทำให้รู้ ว่าชายตรงหน้าทำผิดกฏสกุลไปแล้ว
เจียงเฉิงพอจะเดาได้ ว่าเหตุใดประมุขหนุ่มถึงได้แหกกฏสกุลเช่นนี้ การถูกห้ามให้อยู่กับสิ่งที่รักนั้นทรมานมาก ตัวเขารู้ดี
แต่ใยต้องมาหาเขาที่นี่
"ข้ามิใช่
พูดไม่ทันจบดี ร่างของคนเมาก็โถมเข้าใส่ร่างบางอย่างแรงจนเจียงเฉิงล้มลงบนเตียง
ว่ากันว่าพลังแขนของคนสกุลหลานมิธรรมดา เจียงเฉิงได้เข้าใจก็วันนี้
เพราะเขาที่มั่นใจในพลกำลังพอสมควร กลับไม่สามารถขยับแขนที่ถูกกดอยู่ได้เลย
ใบหน้าคมขยับลงมา ซุกไซร้
"ปะ..ประมุขหลาน หยุดเถิด" น้ำตาค่อยๆไหลลงมาอย่างช้าๆ
มิใช่หวาดกลัว แต่เจ็บปวด คนตรงหน้ากำลังทำกับร่างกายเขา แต่เห็นเป็นร่างกายของผู้อื่น
ขาเรียวพยายามถีบเข้าที่ท้องของคนตัวใหญ่ แต่กลับถูกเข่าของคนด้านบนกดทับเอาไว้ซะก่อน
ลำคอขาว
รอยฟันและรอยดูดเริ่มเช่นชัดมากขึ้นเสียจนเจียงเฉิงเริ่มเจ็บ
จนรู้ตัวอีกทีมือทั้งสองก็ถูกผ้าคาดหน้าผากประจำตระกูลหลานพันรอบข้อมือเสียแน่น
คนไร้สติผละออกจากลำคอแดงเถือก ไล่ไปที่ติ่งหูขบกัด ไล้เลียอย่างแผ่วเบา แล้วไล่ลงมายังเนินอกแน่น
และผลอิงเถาเล็กๆสีหวานเสียจนอยากลิ้มลอง
ริมฝีปากหนาครอบลงบนผลไม้สีหวาน ดูดดุนจนเจียงเฉิงน้ำตาเล็ดด้วยความเจ็บ
คนร่างสูงดูดแรงราวกับว่าอยากให้น้ำนมไหลออกมา
จนตอนนี้เขารู้สึกระบมหน้าอกไปหมด
ก่อนสะดุ้งเฮือก เมื่อมือหนาบีบขยำสะโพกทั้งสองข้างอย่างไม่ออมแรง ริมฝีปากผละออก ไล้ต่ำลงมาถึงท้องน้อย ไล้วนไปทั่วจนร่างบางสะท้านไปทั้งกาย
ขาเรียวถูกจับอ้าออกกว้างจนเผยให้เห็นช่องทาง
กายหนาเข้าแทรกระหว่างสองขาบาง ปลดผ้าคาดเอว แล้วโยนมันทิ้งราวกับสิ่งไร้ค่า
ภาพตรงหน้าทำร่างเล็กสั่นเกร็ง พยายามร้องตะโกน แต่ถูกวิชาปิดปากไว้เสียก่อน
ทำได้เพียงนอนให้น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้ม
บางอย่างที่ทั้งร้อนและแข็งเสียดสีอยู่ที่บริเวณช่องทาง
คนร่างสูงโน้มกายลงมาใกล้ กระซิบเสีบงแผ่ว
"เป็นของข้าเถอะนะ"
"อื้อ!!!"
ความเจ็บปวดเกินต้านทาน มิเทียบความเจ็บปวดที่จิตใจ
.....
เจียงเฉิงลอบมองหน้าท้องของตนเองด้วยสายตาเหม่อลอย
ใยต้องทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขไว้กับข้า
ข้ามิเข้าใจท่าน....มิเคยเข้าใจเลย
"นายท่านเจียง!!!" เสียงตะโกนลั่นพร้อมข้อมือที่ถูกกระชาก เรียกสติเขาให้กลับมา
เมื่อมองไปหาเจ้าของฝ่ามือก็พบคุนหลุนที่ทำสีหน้าแตกตื่นอยู่
มือเรียวกำข้อมือของเขาเสียแน่นจนเจ็บ
"ท่านจะทำสิ่ง
ตัวเขาที่ลงมานั่งที่พื้นตั้งแต่เมื่อใดมิอาจทราบ
นี่เขา.....จะฆ่าตัวตายอีกแล้วหรือ
พลันน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม
ข้าจะทำร้ายชีวิตอีกชีวิตไปพร้อมกับข้าหรืออย่างไร
ต่อให้เป็นสิ่งที่กำเนิดจากท่าน ข้าจะมิรังเกียจ
ข้าจะรัก ข้าจะดูแลเด็กๆให้เติบโต และได้ออกมาดูโลกกว้างใหญ่นี้
พวกเจ้าต้องโตขึ้นมาอย่างสง่างาม
ขอเพียงอีก 6 เดือน 6 เดือนเท่านั้นลูกแม่
เมินเฉยต่อท่าทีของคนอีกคนในห้อง ก้มมองหน้าท้อง
มือบางวางลงเบาๆอย่างถนุถนอม ลูบเบาๆเหมือนให้ความอบอุ่นแก่เจ้าตัวน้อย
"คุนหลุน"
"ขอรับ"
"เรียกทุกคนมาที"
คุนหลุนออกทำแผลให้ ก่อนไปเรียกทุกคน ให้เขานั่งอยู่บนเตียง โดยรับปากว่าจะไม่ทำอะไร
ลองหันไปทางกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่อีกฟากของห้อง
สะท้อนภาพบิดเบี้ยวของตัวเขา....ใช่
บิดเบี้ยวเสียจริง
และนอกเหนือจากนั้น ภาพที่สะท้อนออกมาคือ ตราเมฆาสีดำที่เริ่มจางลงแล้ว
มือสวยยกขึ้นลูบมันเบาๆ พลางนึกถึงใครอีกคนที่มีส่วนให้เกิดเด็กน้อยในร่างกายของเขา
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง
ทุกคนก็เขามาอยู่ในห้อง
เว่ยอิงเดินเข้ามานั่งบนเตียงข้างกายเขา
เลื่อนฝ่ามือลูบเบาๆที่หน้าท้องผ่านเนื้อผ้าบาง
เจียงเฉิงพยักหน้าเบาๆ
"ข้าเลี้ยงพวกเขาได้ ข้าจะดูแลพวกเขาเอง"
เอ่ยเสียงหนักแน่นให้ทุกคนพลางยิ้มตาม
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ตะหงิดใจเด็กหนุ่ม
"จิ้วจิ่ว หมายความว่าไงว่า 'พวกเขา'"
"นั่นสิท่านประมุขเจียง"
จินหลิงและจิ่งอี๋รีบพูดทันทีเมื่อเจียงเฉิงพูดจบ ทำให้คนในห้องเริ่มคิดตาม
"นั่นสิพี่เจียง" ตามด้วยเนี่ยหวายซังกล่าวต่อ โดยมีเวินหนิงพยักหน้าตามอยู่ด้านหลัง
"ข้าได้
"ห้ะ!! ครรภ์แรกก็แฝดสามเชียวรึ" เว่ยอิงตะโกนออกมาอย่างตกใจ ก้มมองหน้าท้องของน้องชายสลับกับใบหน้าของสหาย
เชื้อพี่เจ้าจะแรงเกินไปแล้ว!
"ท่านจะรับไหวหรือขอรับ" ซือจุยที่รับร่างของจินหลิงที่ทำท่าจะเป็นลมไว้หันมาถาม ข้างๆคือจิ่งอี๋
"ไม่ไหวก็ต้องไหว ยังไงเด็กสามคนนี้ก็ลูกข้า เลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ดีซะอีก จะได้มีผู้สืบตระกูลต่อ"
"เอาเถอะๆ เอาเป็น ถ้าพวกเขาเกิดมา เราจะช่วยกันดูแล ข้าจะเลี้ยงให้เก่งไม่แพ้ใครในยุทภพเลย"
"อย่าพาลูกข้าออกนอกลู่นอกทางเชียว"
"เจียงเฉิงอ่าาาา"
"เจียงเฉิงงง แล้วชื่อ..." เว่ยอิงเริ่มเข้ามาแซะ ช้อนตามองอย่างออดอ้อน
ทำคนท้องเบื่อ สายตาหน่ายใจตวัดมองแล้วถอนหายใจ
"ที่เรียกพวกเจ้ามานี่ไง ลูกคนโต ข้าให้เจ้าและคุณชายรองหลานตั้ง"
"Yes!!! รับรองเลยเจียงเฉิง
"อืม"
เจียงเฉิงมองแล้วก็หัวเราะ ก่อนหันมาเจอสายตาอีกสามคู่ที่จ้องมาอย่างคาดหวัง
เหนื่อยใจ
"มิต้องมามองข้าด้วยสายตาน่าสงสาร ลูกคนกลาง ซือจุย จินหลิง จิ่งอี๋ ข้าให้พวกเจ้าตั้ง"
พูดจบเจ้าเด็กทั้งสามก็กระโดดโลดเต้นทันที
"ส่วนคนสุดท้าย
เสียงอ่อนโยนเรียกน้ำตาจากหนุ่นในอาภรณ์สีเขียวได้ดี
"ข้าจะตั้งชื่อให้คุณชายน้อยให้ดีที่สุดขอรับ!!!"
รอยยิ้มขำ จ้องมองเหล่าคนที่ดีใจที่จะได้ตั้งชื่อหลาน ทุกคนต่างยินดีที่จะมีเจ้าตัวน้อยออกมาวิ่งเล่นให้หัวใจกระชุ่มกระชวย
แล้วก็พลันนึกถึงใครอีกคน
กูซู
ผ่านมาสามเดือน ทุกสิ่งที่นี่ดูเงียบเหงาเสียยิ่งกว่าเก่า
คุณชายรองหลาน ทั้งยังศิษย์เอกทั้งสองก็หายหน้าหายตาไปอยู่อวิ๋นเมิ่งเสียหมด
ทำให้ที่นี่ดูเหมือนดั่งว่ามิมีผู้ใดอยู่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ
เรือนสีฟ้าสผมม่วงที่เกิดขึ้นมาใหม่
เรือนเก่าของฟูเหรินคนงามที่หย่าร้างออกไป แต่มีคิดทำลายทิ้งหรือเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ซ้ำยังถูกดูแล และซ่อมแซมตกแต่งจนงดงามขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
สิ่งของด้านในที่น้อยนิดถูกเพิ่มขึ้นมามากมาย แต่สิ่งของเดิมก็ยังคงอยู่ที่เดิม เพราะมิอยากให้ถูกเคลื่อนย้าย
แต่ก็มีของหลาย
ไม่ว่าจะเป็นเตียงอีกหลังหนึ่งและโต๊ะทำงานของประมุข
เพราะตอนนี้ ประมุขหลาน ได้เข้ามาอยู่ที่เรือนแห่งนี้แทนเรือนของตนเสียแล้ว
และเป็นผู้สั่งการซ่อมแซมเรือน
จนเรือนบงกช กลายเป็นเรือนที่งดงามแทบที่สุดของเรือนทั้งหมด
"ท่านประมุข"
"ได้ข่าวอาเฉิงอย่างไรบ้าง"
หลานฉี่เหรินทำใจยอมรับ ปล่อยให้บัวงามได้ออกไป ใช้ชีวิตอย่างอิสระ รักษาจิตใจให้แข็งแรง
ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่แปลกนัก เมื่อหลานชายคนโต ที่ควรจะกลับมาร่าเริง กลับไขว้เขวหนักขึ้น
หนักเสียยิ่งกว่าตอนถูกห้ามเข้าเรือนโบตั๋นเสียอีก
อาหารหรือก็แทบไม่ดื่มไม่กิน ร่างกายอ่อนแรงจนน่าใจหาย
มันทำให้อาจารย์หลานหนักใจไม่น้อย
แต่ก็แปลกเข้าไปอีก เมื่ออยู่ๆหลานชายก็หายหน้าเข้าเรือนของอดีตฟูเหริน หมกตัวอยู่ในนั้นถึงสามวัน
ไม่ว่าจะพูดเช่นไรก็มิมีเสียงตอบรับกลับมา
กลับมาทำงานอย่างมิขาดตกบกพร่อง
ดื่มกินได้อย่างคนปกติ
ร่างกายกลับมาสมบูรณ์แข็งแรงอย่างรวดเร็ว
รวมไปถึงรอยยิ้มอ่อนโยนที่คนสกุลหลานรู้สึกห่างหายไปนาน
อีกทั้งยังสั่งให้คนมาปรับปรุงซ่อมแซมเรือนของอดีตฟูเหรินเสียจนกลับมาใหม่เอี่ยม
และตั้งชื่อใหม่คือ "เรือนบงกช"
ย้ายเตียงย้ายสิ่งของจากเรือนประมุข ไปอยู่ที่เรือนบงกช
ไหนจะสั่งให้คนนำบัวมาปลูกไว้รอบๆเรือนอีก
ทำเอาหลายคนถึงกับงุนงงและตกตะลึงไปพร้อมๆกัน
แต่ก็ยังดีที่ประมุขสกุลกลับมาสานต่อ
แต่อีกสิ่งที่ทำให้หลานฉี่เหรินต้องงุนงงไปอีก
เพราะตั้งแต่ที่หลานชายออกมาจากเรือนฟูเหรินหลังจากเอาแต่หมกตัวในนั้น
ก็จะพบชายหนุ่มที่มาพร้อมอาภรณ์และหน้ากากครึ่งใบหน้าสีดำสนิท
และยังไอวิญญาณหรืออะไรสักอย่างที่ลอยอยู่รอบตัวชายคนนี้
ชายชุดดำนั้น มักจะคอยอยู่
เรียกได้ว่า คนรับใช้คนสนิทเลยก็ว่าได้ แต่หลานฉี่เหรินกลับไม่ไว้ใจนัก แต่เนื่องจากเป็นความประสงค์ของประมุข เขาก็ขัดอะไรไม่ได้
ภาวนาเพียงแค่ อย่าสร้างเรื่องร้ายให้สกุลเขาก็เพียงพอ
ทางด้านหลานซีเฉิน
หลักจากวันที่เผลอเดินเข้าเรือนของฟูเหรินวันนั้น
แถมยังทำให้ตัวเขาเองรู้สึกได้ว่า ยามใดที่ได้กลิ่นบงกชนี้แล้ว เหมือนกับว่ากำลังถูกอ้อมกอดอันอบอุ่นกอดเอาไว้ เหมือนได้ยินเสียงปลอบประโลมให้ใจสงบ
ช่วยดึงเขาขึ้นจากความทุกข์แสนสาหัส
เหมือนกับมีคนโอบอุ้ม
เหมือนกับเจ้าของกลิ่นมิมีผิด
ยิ่งห่างไกลยิ่งคะนึงหา หลานซีเฉินนั้น หลังจากวันนั้นที่เขาเข้าไปในเรือนฟูเหริน
ทุกครั้งที่หลับตาสู่ห้วงนิทรา เขามันจะฝันเห็นภาพของอดีตฟูเหริน ในสถานที่ต่างๆ
เริ่มตั้งแต่วันที่เข้าเป็นศิษย์
ไล่มาจนถึงวันที่ตบแต่ง
รอยยิ้มสดใสยามปรนนิบัติรับใช้เขา
ยามที่ตั้งใจทำอาหารให้กับเขาที่กำลังเศร้าโศก
ยามเตรียมน้ำให้อาบ
ยามที่วิ่งเข้ามาหาเขายามเขากรีดร้องจากฝันร้ายที่จมปลัก
และฝันมักจะจบแบบใดแบบหนึ่งเสมอ วันที่เขาและเจียงเฉิงหย่ากัน
ใบหน้าอาบน้ำตาของฟูเหริน ยามที่ถูกพี่ชายต่างสายเลือด
แต่สิ่งที่เหมือนกันเสมอก็คือ ทุกครั้งใบหน้างามนั้นจะมีน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มเสมอ
และมันเป็นความฝันที่หลอกหลอนตัวเขามาตลอด
ทุกครั้งที่ตื่นมาจากฝันนี้ เป็นต้องเรียกให้คนรับใช้ไปตามดูอดีตฟูเหรินตลอดมา
ไม่เข้าใจตนเองจริงๆ แต่หากมิได้ฟังเรื่องราวของเจียงเฉิง จิตใจเขามักจะว้าวุ่นจนทำงานเป็นมิได้ตลอด
ทำให้เรื่องราวของเจียงเฉิงเป็นดั่งเพลงกล่อมเขาไป
จนบางครั้ง ต้องให้คนไปวาดรูปมาก็มี
ในตอนนี้ เขากล่าวได้ไม่เต็มปากว่าเริ่มชอบประมุขเจียง แต่ก็มิอาจเอ่ยได้เต็มปากว่ายังเกลียดอยู่เช่นกัน
เขารู้สึกสับสนไปหมด หรือจะเป็นอย่างที่คุนหลุนเคยกล่าวเอาไว้
'รู้ตัวเมื่อสาย น่าสมเพช'
เขาน่ะเหรอ รู้ตัวอะไรกัน ไม่เข้าใจเลย...
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำสนิท หน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้าด้านบน กับบรรยากาศมืดมัว
พร้อมกับข้อเสนอบางอย่าง
"ข้าจะช่วยท่าน หากแต่ข้าต้องการบางสิ่ง"
เสียงทุ้มเย็นเยียบ แต่ไร้ซึ่งการบังคับ
"ข้าต้องการดูดกินความทุกข์จากท่าน
ในเมื่อข้อเสนอนั้นมิได้เป็นภัยร้าย และยังดีต่อตัวเขาอีกด้วย
ตัวเขาจะหลุดพ้นจากความทุกข์
ทำให้เผลอตอบตกลงไปในที่สุด เป็นไปตามคำกล่าว
ความทุกข์ของเขาค่อยๆหายไป และชายชุดดำที่
เจ้าตัวไม่บอกชื่อแซ่ เพียงให้เขาเรียกคำเรียก "เสิ่นเว่ย"
ตัวเขาตั้งใจทำงานมากขึ้น โดยใช้เรื่องราวของประมุขแห่งท่าสัตตบงกชเป็นกำลังใจ
ผ่านการบอกเล่าจากเสิ่นเว่ย
ฟังไปมากๆเข้า จนกลายเป็นเสพติด จากเสพติดกลายเป็นคะนึงหา
ยิ่งได้ฟังเรื่องราว
คนที่เขาเป็นคนไล่ออกไปด้วยตนเอง
และคิดว่าคงถึงเวลาแล้ว สำหรับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
สำหรับฟูเหรินและตัวเขาเอง
สำหรับ.......
"คำขอโทษ"
"เสิ่นเว่ย ข้าจะไปอวิ๋นเมิ่ง"
"ขอรับ"
แต่อีกทาง
ชายในชุดดำที่สงบเยือกเย็น จะเผยรอยยิ้มแสะออกมา
"รู้ตัวเมื่อสาย จะทำสิ่งใดได้ แต่ข้าจะช่วยท่านเอง ประมุขหลาน"
อวิ๋นเมิ่ง
เป็นอีกวันที่สดใสสำหรับศิษย์สกุลเจียง เด็กๆพากันตื่นเช้า อาบน้ำชำระกาย แล้วออกมาที่ลานฝึกพร้อมหน้ากัน จนผิดสังเกต
เสียงตะวาดลั่นพร้อมแส้จื่อเตี้ยนที่ส่องสว่างเปรี๊ยะให้เสียวสันหลังเล่น
นี่เขาท้องอยู่นะ ปลุกคนท้องให้โมโหแต่เช้าใช่เรื่องไหมเจ้าลิงพวกนี้!!!
ร้อนให้เว่ยอิงที่เป็นหัวโจกรีบเข้ามาปลอบ
บางคนหลบได้ก็โชคดี แต่คนหลบไม่ทันก็ร้องโอดโอยกันไป
นี่ขนาดใช้พลังไปเพียงนิดเดียวยังเจ็บแสบเพียงนี้ นึกถึงปีศาจที่โดนฟาดๆเต็มๆแล้วก็เสียวสันหลังวาบๆ
คนท้องอารมณ์ขุ่นใช้สายตาตวัดมองพี่ชายตัวดีที่ตอนนี้ไปหลบหลังสหายรักเป็นที่เรียบร้อย
ก่อนมองไปทางอื่นๆ ศิษย์น้องใหญ่เริ่มโผล่ออกมาจากที่ซ่อน
รวมไปถึงจินหลิง ซือจุย จิ่งอี๋ เนี่ยหวายซัง ไม่เว้นแม้แต่เวินหนิงยังต้องหลบหลังเสาสำนัก
"แหะๆ
ค่อยๆแซะหายเข้าหาคนท้องอารมณ์เสีย พาว่าที่คุณแม่ไปนั่งพักให้อารมณ์ดี
"อย่ามากความ มีอะไรก็ว่ามา ข้าจะไปทำงาน"
เสียงสายฟ้าทำเอาทุกคนแทบวิ่งเข้าที่เดิม
เสียงเว่ยอิงจบก็ตามมาด้วยเสียงเฮลั่นลานฝึก
จนเจียงเฉิงเผลอยิ้มออกมา ทำอะไรเป็นเด็กกันจริงๆเจ้าพวกนี้
"เจ้าจะรีบไปใย ลูกข้าเพิ่งจะเข้าเดือนที่ห้าเท่านั้น" บ่นไปแต่ก็ลอบยิ้มให้กับความขี้เห่อของคนทั้งหลาย
"ไม่ได้สิจิ้วจิ่ว เดี๋ยวมีใคร
"เจ้าเป็นเด็กน้อยขี้หวงไปตั้งแต่เมื่อใดกัน" ว่าไปพลางลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างเบามือ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากทุกคนในที่นั้นเป็นอย่างมาก
ว่าแล้วก็พบว่าเหล่าศิษย์คนอื่นมายืนรอฟังอย่างเป็นระเบียบเช่นเดิม
ที่แท้ ตื่นเช้าเพียงนี้ เพื่อมาฟังชื่อลูกข้านี่เอง ไร้สาระเสียจริง หึหึ
"ยิ้มอะไรนั่น เอาเถอะ ข้าจะบอกแล้วนะ หลานชายคนโตของข้า ข้ากับหลานจ้านตั้งมาเองกับมือ
ว่าแล่วก็เกาะไหล่สหายสนิทที่ยืนทำหน้านิ่ง
"จิ้วจิ่วๆ ฟังของพวกข้าบ้างสิ พวกข้าคิดมาดีกว่าน้าเว่ยอีก" เสียงเจื้อยแจ้วพร้อมร่างชองจินหลิง จิ่งอี๋ และซือจุยเดินเข้ามา
แถมมาด้วยเจ้าเซียนจื่อที่โตขึ้นมากวิ่งมากระดิกหางข้างๆเก้าอี้
"คุนหลุน พาเซียนจื่อออกไปก่อน" เมื่อทนฟังเสียงพี่ชายไม่ไหว จึงต้องพาเจ้าสัตว์เทพสี่ขาผู้น่ารักออกไปก่อน
"เอาล่ะ ลูกชายคนรองของช้า มีนามว่าอะไรกัน" พูดยิ้มๆ มองเจ้าเด็กสอามคนที่ส่งสายตาตื่นเต้นออกมาอย่างปิดไม่มิด
"ข้าบอกเอง ข้าๆ"
"ข้าต่างหากที่จะบอก" เสียงของเจ้าหลานตัวแสบดังแทรกขึ้นมา เหิดเป็นสงครามขนาดย่อมอีกตามเคย ซึ่งซือจุยห้ามไม่เคยได้
"พูดพร้อมกันก็จบ เจ้าลูกกระต่ายพวกนี้" คนท้องแทบหมดควาทอดทนเอาจื่อเตียนออกมาฟาดให้รู้แล้วรู้รอด
เหนื่อยใจ
"ก็ได้ ชิ"
"เชอะ" ว่าแล้วก็สะบัดหน้าใส่กัน แต่สุดท้ายก็หันมายอ้มให้กันอยู่ดี เรียกรอยยิ้มให้ผู้ใหญ่และคนอื่นๆได้อย่างดี
"เอาล่ะบอกชื่อลูกข้ามาหน่อย"
"จิวซิน เจียงจิวซิน!!!" เสียงสามเสียงประสานกันพร้อมสายตาเปล่งประกาย
ทำเอาเจียงเฉิงเกือบหลุดขำ
ลูกคนที่สอง
"เด็กคนนี้คือโชคชะตาและหัวใจของท่านประมุขนะขอรับ" ซือจุยส่งยิ้มมาให้ โดยมีเจ้าสองลิงยิ้มตามอยู่ข้างๆ
"ขอบใจพวกเจ้ามาก เป็นชื่อที่ดีมากเลย จริไหมอาเลี่ยน อาซิน" มือเรียวลูบเบาๆที่หน้าท้องนูน เมื่อรู้สึกถึงแรงขยับเบาๆ ราวกับยินดีในชื่อทั้งสอง
"เอาล่ะ
เจ้าตัวส่งยิ้มแล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ
"ข้าเองก็ตั้งเรียบร้อยแล้วขอรับ นายน้อยมีนามว่า
ทั้งลานฝึกเกิดเป็นความเงียบ ตั้งใจฟังชื่อนายห้องแห่งท่าสัตตบงกช
ทำเอาคุนหลุนเหงื่อตก เงียบอะไรกันขอรับ!!!
"ว่ามาเถอะ" เจียงเฉิงที่
คุนหลุนยิ้มแหยๆ แล้วเริ่มเอ่ยต่อ
"ข้าให้นามนายน้อยว่า เหม่ยเหยาขอรับ เจียงเหม่ยเหยา"
"อาเหยา" คำพูดจากเจียงเฉิง ทำเอาทุกคนเงียบลงอีกครั้ง จ้องมองหนุ่มในชุดเขียวที่ยืนส่งยิ้มให้นายท่านของตน
"หยกแสนงามรึ ไพเราะ
มือบางลูบเบาๆบนหน้าท้องอีกครั้ง ดวงตาฉายแววสุขใจ จนทำให้คนอื่นพลอยโล่งใจไปด้วย
แต่รอยยิ้มกลับหุบฉับทันที เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น
"อาเฉิง....เด็กทั้งสาม เป็นลูกใคร"
"เจ๋ออู๋จวิน!!!!!"
หลานซีเฉิงยืนนิ่ง จ้องมองใบหน้างดงามคุ้นเคนอย่างต้องการคำตอบ
ดวงตาของเจียงเฉิงวูบไหวทันทีที่ได้เห็นอดีตฟูจวิน
ความคิดถึง ความรักที่ตัดไม่เคยขาดตีตื้นขึ้นมาจนพาลให้น้ำตาแทบไหลออกมา
เว่ยอิงที่เห็นก็รีบเอาตัวเข้าบัง
สายตาคมแสดงออกถึงความไม่เป็นมิตรอย่างที่สุด
และเขาพร้อมฆ่าอีกคนทันทีที่คิดจะทำอะไรน้องชายคนนี้
ไม่เว้นแม้แต่จินหลิงและจิ่งอี๋ที่เอาตัวเข้าบังประมุขเจียงไว้
ส่วนคุนหลุนที่สังเกตชายชุดดำด้านหลังอีกคนได้ จึงรีบวิ่งมาขวางทันที
ดวงตาสีขนกาจับจ้องร่างในชุด
"มาทำไม" น้ำเสียงไม่ค่อยจะต้อนรับของเว่ยอิงดังขึ้น ไม่ต่างจากจินหลิงที่วิ่งไปบังน้าของคนจนแทบมิด
เวินหนิงที่เห็นท่าไม่ค่อยดี จึงรีบมาบังอีกคน
"หวั่นอิ๋น" เสียงเบาราวกระซิบ ดวงตาคมสั่นไหวไม่เข้าใจ
ทำไม...ได้ยังไง เพียงไม่กี่เดือน...
"อย่ามาเรียกชื่อนั้น!!!!" เป็น
ขนาดศิษย์สกุลอย่างจิ่งอี๋ยังมองด้วยสายตาเคียดแค้น
"อาเฉิง...ลูกเจ้า....กับใคร...."
"พรายน้ำ" เว่ยอิงว่าออกมาพลางยิ้มเยาะ ทำเอาคนร่างสูงขมวดึ้ว
"หมายความว่าอย่างไรกัน คุณชายเว่ย"
"เจียงเฉิงของข้าท้องกับพรายน้ำโง่ๆตนนึง"
เสิ่นเว่ยมองตามสายตาของคนร่างสูงไปหาร่างบางบนเก้าอี้ท่ามกลางเหล่าองครักษ์
แล้วหันมาหาผู้เป็นนาย
"เด็กทั้งสาม คือลูกของเขา...และท่าน" สิ้นคำ ทำเอาหลานซีเฉินเบิกตากว้าง
"เมื่อใด" มิต้องรอให้คำถามจบ เรื่องราวที่หลงลืมเพราะความมึนเมา
หลานซีเฉินที่ได้รับรู้เรื่องราวที่ตนก่อไว้ ก็แทบจะเข่าทรุดลงไปเสียตรงนั้น
"ละ....ลูกข้า...."
"เหอะ!!! รู้ตัวแล้วเหรอ!!!" ก้อนหินเล็กๆถูกปาเข้าใส่ใบหน้าคม โดยผู้ปาก็ไม่พ้นพี่ชายต่างสายเลือดของอดีตฟูเหริน
มองเลยไปก็พบกับใบหน้าเศร้าโศกของประมุขแห่งท่า
"อาเฉิง.....ลูกเรา"
"ไม่...ไม่ใช่ลูกท่าน" เสียงดังขึ้น
ร่างของเจียงเฉิงค่อยๆเดินลงมา ยืนต่อหน้าประมุขแห่งแดนเมฆา
"เด็กทั้งสามคือลูกของข้า"
"อาเฉิง ได้โปรดให้ข้ารับผิดชอบเด็กทั้งสาม....รับผิดชอบต่อเรื่องทั้งหมด รับผิดชอบลูก รับผิดชอบเจ้า'
น้ำเสียงเว้าวอนทำร่างบางใจ
นัยน์ตาสีเข้มสั่นไหว มือไม้อ่อนเสียจนเผลอกำชายเสื้ออีกคนไว้
ทั้งๆที่อีกเพียงนิดก็อาจตัดใจได้ แล้วใยท่านต้องมายามนี้ ยามที่ข้ากำลังอ่อนแอ
แล้วข้าจะปฏิเสธท่านอย่างไร
พลันหยาดน้ำสีใสก็ไหลลงจากดวงตาหวาน
คนท้องมักอ่อนไหวง่าย คงจะจริงอย่างที่เขาพูด
"ได้โปรดอาเฉิง..."
"ข้าจะปฏิเสธท่านอย่าไร ฮึก......ใยต้องมาหาข้ายามนี้..ฮือออ......"
(ก็จะมาที่ละนิดละหน่อยนะคะ พอดีเค้าเปิดเรียนแล้วววว แหะๆ😂😂)
เว่ยอิงดันร่างน้องชายไปให้สหายรัก โดยที่หลานจ้านก็รับร่างของเจียงเฉิงไว้ได้พอดี
แล้วตัวเองก็เดินไปประจันหน้ากับชายร่างสูงที่ยืนทำหน้าไม่เข้าใจอยู่
"หึ คิดว่าทำอะไรไว้ขนาดนั้นแล้ว
เว่ยอิงดันร่างน้องชายไปให้สหายรัก โดยที่หลานจ้านก็รับร่างของเจียงเฉิงไว้ได้พอดี
แล้วตัวเองก็เดินไปประจันหน้ากับชายร่างสูงที่ยืนทำหน้าไม่เข้าใจอยู่
"หึ คิดว่าทำอะไรไว้ขนาดนั้นแล้ว
ดวงตาแฝงความอันตรายถูกส่งไปให้คนตรงหน้า
รอยยิ้มเหยียดปรากฏบนใบหน้างาม
"คุณชายเว่ย ข้า.."
"หรือจะบอกว่าไม่ไตั้งใจ" เสียงแข็งกร้าวตัดขึ้นขณะที่พูดทำให้คนพูดชะงัก
จริงอย่างที่คนตรงหน้าพูด เขาไม่ได้ตั้งใจอย่างที่ว่า
"หึ ประมุขหลานเอ๋ย ประมุขหลาน ผู้คนยอมรีบนับถือกับทั่วยุทภพ ประมุขหลานผู้สง่างาม ประมุขหลานผู้มีคุณธรรม ประมุขหลานผู้ใจกว้าง ประมุขหล่นผู้โอบอ้อมอารีย์" ร่างที่กำลังพูดเดินไปรอบๆตัวของร่างสูงด้วยใบหน้า
ส่วนอีดคนก็ทำได้แค่ยืนนิ่งๆรับฟังอย่างตั้งใจ
"โอ้ ใครรึจะมีรูปกายและจิตใจที่แสนประเสริฐได้เทียบเท่าประมุขหลานผู้สูงส่งผู้นี้ได้ เหอะ" คำพูดเงัยบหายไป ดวงตาสดใสเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวกระทันหันจนน่ากลัว
เศษไม้ในมือถูกใช้
ท่ามกลางความตกตะลึงของคนในที่นั้น
หลานวั่งจีใช้มือบดบังดวงตาใสที่อาบไปด้วยหยาดน้ำตาไว้แน่น
กายบางในอ้อมแขนกระตุกสั่นเบาๆชวนสงสาร
ถึงหลานซีเฉินจะเป็นพี่ชายที่เขาเคารพรักมากมายเพียงใด
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
ตัวเขาทำได้เพียงยืนเฉยๆ มองดูผลของการกระทำของอีกคนเพียงแค่นั้น
.
มือขาวยกขึ้นแตะแก้มข้างที่โดนกิ่งไม้บาด
เลือดสีสดไหลลงมาตามรอยบาด หยดลงบนผืนผ้าที่เว่ยอู๋เซี่ยนยกมารองที่ใต้คางเขาเมื่อไรก็มิทราบ
สิ่งที่ได้มาก็คือดวงตาแข็งกร้าวก่อนตามมาด้วยรอยยิ้มสดใส ที่ไม่ต้องเกาก็รู้ว่าฃม่มีความจริงใจอยู่แม้แต่น้อย
"สงสัยอะไรกันประมุขหลาน ผ้านี่ข้าให้ท่าน อย่าเข้าใจผิดว่าข้าเป็นห่วง"
ขายาวพาร่างโปร่งขยับถอยออกจากชายร่างสูง
รับร่างแตกสลายเข้าสู่อ้อมกอด ปลอบประโลมด้วยอ้อมกอดแห่งครอบครัว
ก่อนหันไปหาชายอีกคนที่ยืนถือผ้าซับโลหิตด้วยใบหน้าสันสน
ปากบางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงร่างเริงตามวิสัย
"พอดีผ้านั่น ข้าให้ท่านซับเลือด เพราะมิอยากให้เลือด
เจ้าชักจะเบาเกินไป
ความเงียบเกาะกินพื้นที่ทั่วบริเวณ เวินหนิงทำการไล่ศิษย์น้องใหญ่ออกไป จนตอนนี้ก็เหลือเพียง ซือจุย จิ่งอี๋ คุนหลุน เวินหนิง หวายซัง เสิ่นเว่ยและหลานซีเฉินเท่านั้น
จิ่งอี๋และซือจุยมองหน้ากันเล็กน้อย
"ประมุขหลาน เชิญท่านกลับกูซูเถิด" เสียงอ่อนน้อมเสมอต้นเสมอปลายของซือจุยดังขึ้น
ส่วนจิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่สายตาที่มองมานั้นก็รู้แล้วว่า ไม่พร้อมต้อนรับประมุขอย่างเขา
"ประมุขพวกเจ้าหูหนวกรึไง ไล่ยังมิไปไหนอีก" เป็นเสียงของ
เสิ่นเว่ยชักกระบี่ออกมาทันทีแต่ถูกมือของผู้เป็นนายห้ามไว้ก่อน
"ขอลาประมุขจิน" สิ้นเสียง ร่างในชุดขาวก็เดินกลับออกไปทันที
แต่คิดว่าเขาจะยอมเหรอ
ภรรยาของเขา เขาปล่อยมานานพอแล้ว
ถึงเวลาทวงคืน
เสิ่นเว่ยที่เห็นท่าทางจองผู้เป็นนายจึงเอ่ยออกมา
"ยังไง"
"ข้ามีวิธี และมันจะได้ผลแน่นอน เพียงท่านเชื่อใจข้า"
ร่างสูงมองชายในชุดดำที่จ้องกลับมาไม่ต่างกัน
"ข้าเชื่อใจเจ้า พาหวั่นอิ๋นกลับมาหาข้าให้ได้"
"รับคำสั่ง"
ยามอิ๋น(03:00-04:59)
หลังจากเรื่องราวที่ผ่านมา หลานจ้านจึงพาปีะมุขคนงามกลับมายังเรือนนอน สั่งใไศิษย์สกุลนำกำยานยาสลบมาจุด เพียงไม่นานประมุขน้อยก็หลับไป พร้อมใบหน้าอาบน้ำตา
แอ้ดดดด
เสียงเปิดประตูเบาหวิวพร้อมร่างโปร่งที่เดินเข้ามาพร้อมอ่างน้ำเล็กๆในมือ
ผ่านมาเกือบจะครึ่งปี ใยต้องกลับมาเอาตอนนี้กันนะ
คิดไปก็ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆซับไปตามใบหน้าสวยที่หลับไหลไม่ได้สติอยู่บนเตียง
พยายามเช็ดอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะกลัว กลัวว่าร่างตรงหน้าจะแตกสลายไปเสียก่อน
แล้วก็มองไปที่หน้าท้อง
เจียงเฉิงนั้น ยังไม่มีอาการแพ้ท้อง เขาไม่แน่ใจว่าพ่อของเด็กจะแพ้ท้องแทนหรือไม่ ก็คงต้องดูแลกันต่อไป
มีปัญหาก็แต่พ่อของเด็ก สายตาที่ใช้มองก่อนจะกลับทำให้คุนหลุนนึกกลัว
สายตาที่ไม่ยอมใคร ความทะเยอทะยาน และความต้องการแฝงชัดในดวงตาคู่นั้น
เขานึกไม่ออกเลยว่าอีกคนจะ
ตัวเขาเองก็ทำได้เพียงแค่เฝ้าระวังและปกป้องคนสำคัญเท่าที่ร่างนี้จะสามารถทำได้
"เกอ...ฮวั่นเกอ ฮึก..." เสียงแผ่วเบาราวกระซิบจากร่างของคนบนเตียงยิ่งทำให้คุนหลุนเจ็บปวดหัวใจยิ่งกว่าเดิม
มือขาวไล่เกลี่ยปอยผมนุ่มให้เข้าที่เข้าทาง
"จากนี้ ขอท่านจงมีแต่ความสุขเถิด อย่าได้มีอะไรมาทำร้ายท่านอีกเบลย" กระซิบเสียงะบาก่อนจะยกผ้าห่มผืนหนาคลุมร่างบอบบางให้มิดชิด เก็บผ้าและอ่างน้ำก่อนเดินออไป
กรึบ
เสียงประตูปิดลงเบาๆ แต่เพียงไม่นานมันกลับถูก
ด้านหลังของชายหนุ่มชุดดำคือ ร่างของคุนหลุนที่นอนสลบไสลอยู่บนพื้น
อ่างน้ำกลิ้งกระจายอยู่บนพื้นไม้พร้อมโลหิตสีแดงสดไหลลงมาตามมุมปากบาง
ร่างสูงใช้เท้าเขี่ยร่างบนพื้นออกให้พ้นทาง พลางย่างก้าวเข้าหาคนในห้อง
แต่เหมือนจะชะล่าใจไปหน่อยทำให้คนหลับสลึมสะลือตื่นขึ้นมา
"คุนหลุน นั่นเจ้ารึ...อือ!!!!" ไม่ทันได้ปรับสายตาให้ชินกึบความมืดดี มือปริศนาก็คว้าหมับเข้าที่ใบหน้าส่วนล่าง
ดจียงเฉิงพยายามแกะมือใหญนั้นออกไป แต่ยิ่งข่วนยิ่งตี หรือพยายามแกะมากเท่าไร มือนั้นกลับ
น้ำตาค่อยๆไหลออกมาตามอารมณ์อ่อนไหวของคนกำลังท้อง
สายน้ำอุ่นหระทบลงบนมือของคนปริศนา ทำให้มือนั้นค่อยๆผ่อนแรงลง แต่ก็ยังคงไม่ปล่อย
ใบหน้าใต้ผ้าคลุมค่อยๆก้มลงมาหาใบหน้าเปื้อนน้ำตา
ถ้อยคำกระซิบแผ่วเบา พร้อมริมฝีปากของคนด้านบนที่ฉวยลงมา
ริมฝีปากของชายปริศนาบดคลึงริมฝีปากบางอย่างกระหาย ขบกัดดูดดึงจนร่างด้านใต้เผลอเผยริมฝีปากออกมาให้ชายปริศนาได้เข้าไปสำรวจ
"อือ....." ราวกับว่าร่างกายถูกสูบพลังออกไปแย่างรวดเร็ว มือไม้อ่อนเปลี้ยจนต้อง
ลมหายใจถูกสูบออกไปเรื่อยจนต้องยกแขนทุบอกของคนคนนั้นประท้วง แต่อีกคนกลับไม่ยอมผละออก หลับกันยิ่งบดคลึงริมฝีปากของเขาแรงขึ้น พร้อมการปรับองศาใบหน้าจนลิ้นร้อนนั้นแทรกลึกเข้ามายิ่งกว่าเดิม
เจียงเฉิงหมดแรงจะต่อต้านใดๆ สมองเริ่มเบลอเนื่องจากขาดอากาศหายใจ
"หลับไปก่อนนะ อาเฉิงของข้า"
"หลุน...คุน...คุนหลุน...เจียงงคุนหลุน!!!"
เสียงตะโกนโฟวกเหวกโวยวายทำให้คุนหลุนที่กำลังหลับค่อยๆตื่นขึ้นมา
ความเจ็บปวดที่หลังคอทำเอาเขานิ่วหน้า ก่อนปรับสายตาให้ชินกับแสงแดด จนพบว่าตนเองยืนอยู่ท่านกลางเหล่าคนมากมาย
หนึ่งในนั้นคือเว่ยอู๋เซี่ยนที่ยืนทำหน้า
"นายท่านเว่ย...นี่ข้า" เอ่ยออกไปด้วยเสียงแหบแห้งจนนึกตกใจตัวเอง
"คุนหลุน เจ้ามานอนทำอะไรตรงนี้ แล้วเจียงเฉิงล่ะ เจียงเฉิงไปไหน!!!"
น้ำเสียงร้อนรนพร้อมแรงเขย่าจนคนบนพื้นไม้มึนหัวไปหมด
แต่คำคำหนึ่งกลับเหมือนดึงสติกลับมา
"เจียงเฉิง....อาเฉิง...นายท่านเจียง!!!"
ความทรงจำในค่ำคืนไหลหลั่งมาดั่งสายน้ำ
เขาจำได้เพียงว่า ตนนั้นเข้ามาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ประมุขคนงาม แต่ตอนเดินออกไปนั้น เขาก็พบกับชายในชุดดำ
ซึ่งคุนหลุนแน่ใจว่าไม่ใช่เสิ่นเว่ย เพราะรูปร่างที่เล็กและการโจมตีเองก็ไม่เหมือน
เขาพยายาม
มองเข้าไปในห้องนอนก็พบเพียงเศษผ้าสีกลีบบัวร่วงหล่นอยู่บนพื้น
นี่มันเรื่องอะไร
อีกด้าน สถานที่แห่งหนึ่ง
ร่างบอบบางของประมุขแห่งท่าเรือค่อยๆลืมตาตื่นเพราะแสงแดงอ่อนๆและเสียงนกร้องขับขาน
สายลมเย็นสบายพัดผ่าน
ดวงตาใสมองไปรอบกาย ตอนนี้เจียงเฉิงกำลังนอนอยู่ในกระท่อมเล็กๆกลางหุบเขา
ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม
สงบ ร่มเย็น อากาศอสนบริสุทธิ์
เหมาะกับคนท้องจริงๆ
แต่ใครพาเขามากัน
คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มประติดประต่อเรื่องราว
เขาตื่นมากลางดึกเพราะเสียงของบางอย่าง แต่อยู่ๆก็ถูก
ถูกระดมจูบจนแทบสิ้นลมหายใจ ก่อนภาพจะตัดไป
คิดแล้วก็อดหน้าแดงก่ำไม่ไ ถูกใครหน้าไหนก็มิทราบจูบจนสลบไปทั้งแบบนั้น
ขาเรียวยาวค่อยๆขยับลุกจากเตียงนอน
แต่เพราะไม่ได้เดินมานาน ทำเอาขารียวทรุดลงกับพื้น
เจียงเฉิงเบิกตากว้างทันที
แย่แล้ว ลูก!!!!
แต่อยู่ๆกลับมีมือของใครบางคนฉุดรั้งร่างเขาเข้าสู่อ้อมกอด
น้ำเสียงตกใจดังขึ้นทันที
"อาเฉิง เจ้าทำอันใด!!!!"
น้ำเสียงดังข้างหูช่างคุ้นเคย ทำให้เจียงเฉิงรีบหันไปหาคนด้านหลังอย่างรวดเร็ว
รอยยิ้มที่ส่งมา พาให้น้ำตาไหล
สองแขนบาง โอบกอดรอบกายคนด้านหลังทันที
"ฮือออ อาเหยา อาเหยาเจ้ากลับมาแล้วฮือออออ"
สองแขนของอีกคนกอดตอบพร้อมถ้อยคำกระซิบปลอบโยน
"ข้ากลับมาแล้ว อาเหยาของเจ้ากลับมาหาเจ้าแล้ว"