#เมฆแต่งจบซักเรื่องหรือยัง 「 แปะ 」

#ออลทาเค — What goes around

ทาเคมิจิมีความสามารถในการสับเปลี่ยนมาตั้งแต่เด็ก

แน่นอนว่ามูลค่าของที่แลกต้องมีความเท่ากัน แต่ยิ่งสิ่งนั้นมีราคามาเท่าไหร่ ร่างกายก็ต้องรับภาระหนักมากเท่านั้น

มีครั้งหนึ่งเขาเคยลองสับเปลี่ยนอวัยวะคน
⚠️ ooc , การใช้ความรุนแรง , เลือด , แฟนตาซี , ความไม่สมเหตุสมผล , เรื่องเหนือธรรมชาติ , ฯลฯ

คิดพล๊อตไว้นานแล้ว แต่หยิบมาปัดฝุ่น ไม่ค่อยมีเวลาเลยตัดสินใจมาเขียนเท่าที่ทำได้ค่ะ กลัวเขียนช้าแล้วพล๊อตซ้ำ ㅠㅠ
คิดพล๊อตจบไว้แล้ว แต่ไม่รับประกันว่าจะบรรยายจบเมื่อไหร่ 👉🏻👈🏻

หรือใครเอาชัวร์ รออ่านทีเดียวเต็ม ๆ กดเพิ่มเข้าชั้นไว้ก่อนได้นะคะ readawrite.com/a/21ad5451c839…
ถ้าจะให้เล่าคงต้องเท้าความกันไกล

ฮานากาคิ ทาเคมิจิเกิดในครอบครัวที่ไม่ใคร่ใส่ใจบุตรของตนเองนัก ทั้ง ๆ ที่บ้านมีฐานะปานกลาง แต่กลับเลี้ยงลูกเหมือนยาจก

ไม่เคยได้ทานอาหารอุ่น ๆ จากฝีมือบิดามารดร มีเพียงคำที่บอกว่ามีมือมีเท้าก็เดินไปหากินในครัวเอง
เขาในวัยเด็กไม่รู้จักคำว่ากรุ่นโกรธ จึงทำตามอย่างไม่ต้องสงสัย

สองเท้าน้อยเดินเตาะแตะไปยังห้องครัวที่กว้างขวาง แม้จะเป็นในบ้านของตัวเองแต่กลับรู้สึกเหงาอย่างประหลาด

เขาเคยเห็นในหนังว่าตรงนี้เป็นสถานที่ที่ทุกคนจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แต่ทำไมเขากลับไม่เคยได้รู้สึกแบบนั้นบ้างนะ?

ทว่าความหิวที่มีอยู่ได้พรากความสงสัยในใจไปหมด

มือเล็กป้อมลากเก้าอี้ตัวเตี้ยมาเป็นฐานส่งตัว แขนสั้นพยายามยืดสุดกำลังจนคว้าจับคันโยกได้

ทันทีที่ปานประตูตู้เปิดออก ไอเย็นปะทะร่างกายจนแอบสั่นเล็กน้อย ของสดละลานตา
มีแต่ของที่มีประโยชน์เต็มไปหมด ติดตรงที่ว่า

เขาทำอาหารไม่เป็น

แหง๋ล่ะ เขายังเป็นเด็กอยู่เลย

เจ้าตัวน้อยคว้าเอาก้อนเนื้อบางส่วนมาพลางนึกในใจ 'ถ้าหากมีคนทำอาหารให้ก็คงจะดี ไม่สิ ขอแค่มันเป็นเนื้อปรุงสุกก็ได้ เขาทานเองได้อยู่แล้ว'

พึ่บ!
เพียงชั่วพริบตา เนื้อแดงเกรดดีที่เคยอยู่ในมือก็หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ มันถูกแทนที่ด้วยเมนูธรรมดาแต่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น

เมื่อประสาทสัมผัสรับรู้ถึงอาหาร ท้องก็ประท้วง มือเล็กไม่รีรอที่จะหยิบหมูชิ้นพอดีคำเข้าปากลิ้มความอร่อย

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาแลกเปลี่ยน
หลังจากนั้นเขาก็มักแอบสับเปลี่ยนของเล็ก ๆ น้อย ๆ กับสิ่งที่เขาอยากได้ เช่น ข้าวสารกับขนมปังที่เคยเห็นตามร้านเบเกอรี่ เฟอร์นิเจอร์กับเครื่องบินของเล่น

เคยคิดจะแลกเงินกับสิ่งของอยู่เช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าถ้าเขาไม่ได้สัมผัสของสิ่งนั้น หรือเป็นของ ๆ ตนเองก็จะไม่สามารถเปลี่ยนได้
เขายังไม่ค่อยเข้าใจความสามารถนี้เท่าไหร่นัก แต่มันก็เป็นประโยชน์ไม่น้อย

เย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน ขณะที่เขาเดินเตร่ไร้จุดหมายอยู่ข้างนอก เท้าเตะก้อนหินเตะดินไปเรื่อย กลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี สู้มองความวุ่นวายภายนอกยังดีกว่าเป็นไหน ๆ
เท้าจ้อยเดินไปเรื่อยจนเจอเข้ากับร้านมอ'ไซค์แห่งหนึ่ง

ป้ายร้านเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนว่า 'S•S Motor' กระจกโชว์ให้เห็นจักรยานยนต์ที่เรียงรายอยู่ภายใน เขาจ้องมันตาไม่กระพริบ ความเท่และความใหญ่โตกว่าของเล่นที่เคยเห็นทำเอารู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
เขายืนมองอยู่หลายนาทีจนกระทั่งมีคนเปิดปานประตูออกมาจากร้านนั้น

"มายืนทำอะไรตรงนี้" คนที่ทักด้วยหน้าตาหาเรื่องเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน เพียงแต่อีกฝ่ายมีผมและดวงตาสีอ่อน เกือบครึ่งของใบหน้าด้านซ้ายมีรอยแผลคล้ายโดนไฟไหม้

"อ่า... คือ แค่เห็นว่ามันเท่ดีน่ะ" เขาตอบกลับไป
ถึงจะตอบไปแบบนั้น สายตาข่มขู่ก็ยังถูกส่งมาไม่หยุดหย่อน แค่มายืนจ้องหน้าร้านเอง ทำไมต้องดุขนาดนั้นด้วยเนี่ย

จนเขาตัดสินใจจะถอยหลังเพื่อกลับบ้าน ก็มีสิ่งหนึ่งขัดขึ้นเสียก่อน

"ทำอะไรอยู่น่ะเซย์ชู" เสียงของชายที่นั่งหันหลังซ่อมเครื่องยนต์อยู่ร้องถาม
"เปล่าครับ แค่เห็นว่ามีเด็กแปลก ๆ มายืนอยู่หน้าร้านเลยเดินมาไล่"

ที่แท้ก็คิดแบบนี้นี่เอง เขาดูแปลกเหรอ? อีกอย่าง แค่สูงกว่าไม่ได้แปลว่านายโตกว่านะ!
"นิสัยไม่ดี..." เขามุ่ยหน้าบ่นอุบอิบกลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน แต่ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว อีกฝ่ายจ้องเขม็งหนักกว่าเดิมเพราะได้ยินประโยคเมื่อครู่เต็ม ๆ

"เอ้า ๆ เลิกขู่กันได้แล้วพวกลูกหมา ไปไงมาไงล่ะเรา ชอบมอ'ไซค์เหรอ?"

เขาส่ายหน้าปฏิเสธไปแล้วยืนยันคำเดิม "ผมแค่เห็นว่ามันเท่ดี"
"หึ ๆ งั้นเหรอ เหมือนตอนที่ฉันเจอนายครั้งแรกเลยนะเซย์ชู ส่วนนาย เอ่อ ชื่อไรนะ"

"ฮานากาคิ ทาเคมิจิครับ"

"เอ้อ ทาเคมิจิ ขอเรียกแบบนี้นะ ไม่ถือใช่ไหม? นั่นแหละ จะเข้ามาดูข้างในก็ได้ แต่อย่าดูเพลินจนกลับบ้านเย็นล่ะ ฉันไม่อยากทะเลาะกับพวกผู้ใหญ่หรอกนะ"
"ครับ!" อยู่นี่สักพักแล้วกัน อย่างน้อยก็ดีกว่ากลับบ้านไปแล้วไม่เจอใครล่ะนะ

เขาตามทั้งสองคนเข้าไป เดินดูนู่นดูนี่ คนโตกว่าแนะนำว่าตัวเองชื่อซาโนะ ชินอิจิโร่ นี่เป็นร้านมอ'ไซค์ของตน ถ้าเบื่อจะแวะมาเล่นที่นี่ก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ในเวลาเรียน
ว่าแล้วก็หยิบขนมโยนมาให้เด็กที่เพิ่งรู้จักสองสามห่อ บอกว่าเอาไปแบ่งเซย์ชูด้วย

อ้อ ชินซังบอกว่าคน ๆ นั้นอายุมากกว่าเขาสองปี

ยอมรับก็ได้ว่าโตกว่า

เขาเดินไปนั่งข้าง ๆ คนที่ชื่อเซย์ชูก่อนจะยื่นขนมไปให้ "ชินซังให้เอามาแบ่งกัน"
อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะรับขนมไปไว้ในมือ ฉีกห่อแล้วกัดดังกร้วม

"นายชื่อฮานากาคิสินะ"

"อา ครับ"

"พูดปกติก็ได้ ฉันไม่ถือ คนที่นี่ทำตัวสบาย ๆ กันทั้งนั้น"

"อ อื้อ"
บทสนทนาจบลงแค่นั้น อีกฝ่ายดูง่วงงุนตลอดเวลา แต่พอเจ้าของร้านอย่างชินอิจิโร่กลับมานั่งซ่อมรถอีกครั้ง อีกฝ่ายจ้องตาไม่กระพริบ คล้ายเห็นประกายแวววาวอยู่ลาง ๆ คงชอบมอ'ไซค์มากเลยสินะ

ไม่ก็คงจะเคารพชินซังมาก เห็นคนโตกว่าพูดอะไร อีกฝ่ายก็เห็นดีเห็นงามด้วยไปหมด
เขามาที่ร้านนี้ทุก ๆ เย็นหลังเลิกเรียน แอบผูกข้าวที่ใช้พลังสับเปลี่ยนมากินที่นี่บ้าง แต่ทุกครั้งก็จะกะปริมาณมาเผื่อคนที่ร้านด้วยเสมอ

แน่นอนว่าทั้งสองดีใจมาก เพราะแต่ละคนมัวสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเสียจนลืมทานข้าวทานปลากันหมด เพราะเหตุนั้นวัตถุดิบในตู้เย็นก็เลยยุบลงไปเยอะกว่าปกติ
โชคดีที่ผู้ปกครองเขาไม่ใส่ใจและซื้อมันมาเติมเรื่อย ๆ

บางทีการโดนเมินก็มีข้อดีของมันสินะ

พออยู่ไปนาน ๆ เขาก็ได้ทราบว่าชินซังเป็นนักเลงเก่า วันดีคืนดีก็มีลูกค้าท่าทางอันธพาลมาหาเต็มไปหมด มาซ่อมรถบ้าง มาคุ้มกันบ้าง เป็นภาพที่แปลกใหม่ไม่น้อย
หรือว่าเขาจะเผลอมาอยู่กับคนอันตรายเข้าเสียแล้ว?

เพื่อน ๆ ที่แวะมาหาทราบว่าชื่อเบงเคย์ซัง วากะซัง แล้วก็ทาเคโอมิซัง พอเห็นเด็กที่ไม่คุ้นหน้าก็พากันแซวว่า 'นี่แกเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กหรือไง' เขาหัวเราะเล็กน้อยเพราะเห็นด้วยกับคำที่คนโตกว่าพูด
อ้อจริงสิ ชินซังบอกว่าตัวเองมีน้องด้วยนะอีกสามคน แต่ไม่ยอมพามา เพราะกลัวเด็กที่ชื่อว่ามันจิโร่จะทำของในร้านพัง

คงเป็นคนที่ซนน่าดู

จนกระทั่งวันหนึ่ง คล้ายเกิดเหตุการณ์เดจาวู มีเด็กมายืนจ้องหน้าร้านเหมือนกับเขาเป๊ะ
คนด้านนอกมีผมสีเงิน มันถูกเซ็ทขึ้นแบบเดียวกับแฟชั่นนักเลงในตอนนี้ ดวงตาสีม่วงกลมโต ผิวเข้ม ราวกับเป็นลูกครึ่ง

"ชินอิจิโร่!" และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักเจ้าของร้านด้วย

"ไง! ไม่เจอกันนานเลยนะอิซานะ"

"ฉันมีมอเตอร์ไซค์แล้ว ไปซิ่งกันหน่อยไหม?"

"เออ เอาสิ รอแป๊บนะ"
ชินซังถอดถุงมือที่ใช้ทำงานไว้แล้วเดินออกไป ทิ้งให้เขาอยู่กับเซย์ชูสองคน

ทันทีที่เสียงท่อและตัวรถพ้นสายตา เขาก็หันไปถามคนด้านข้าง

"นั่นใครน่ะ"

"น้องชายอีกคนนึงของชินอิจิโร่"

"อ๋า แต่ไม่เห็นเขามาที่นี่บ่อยเท่าเซย์ชูเลยนะ"
"หมอนั่นเข้าสถานพินิจ วันนี้คงขอออกมาทำธุระชั่วคราว มั้ง"

อึก

นี่เขาเผลอมาเจอกับพวกคนอันตรายเข้าจริง ๆ สินะ

"ถามได้ไหม อิซานะคุงไปทำอะไรมาเหรอถึงต้องเข้าสถานพินิจ"

"ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดมาก คงเป็นเรื่องต่อยตีแหละ บ้านซาโนะน่ะต่อสู้เก่งกันทุกคน อ่อ ยกเว้นชินอิจิโร่ไว้คนหนึ่ง"
"เห ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วทำไมถึงมีคนมาติดตามเยอะไปหมดเลยล่ะ" ก็ในเมื่อนักเลงใช้กำลังตัดสินใช่ไหมล่ะ ถ้าสู้ไม่ได้เรื่องแบบนี้ใครเขาจะมาเป็นลูกน้องกัน

"ชินอิจิโร่เป็นคนที่น่านับถือ ถึงต่อสู้ไม่เก่งแต่มีความทะเยอทะยานและรักพวกพ้อง ฉันพูดไปนายก็คงไม่เข้าใจ แต่สักวันจะรู้เอง"
"สักวันนี่วันไหนเล่า"

มือของเซย์ชูเอื้อมมายันหัวทุยแบบตัดรำคาญ เป็นเจ้าหนูจำไมหรือไง

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ชินอิจิโร่และผู้ที่ตกเป็นประเด็นก็ขับรถกลับมาที่ร้าน เพียงแต่คราวนี้แตกต่างจากขาไป แววตาของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องแข็งกร้าว ไม่ร่าเริงเหมือนดั่งเคย
"กลับดี ๆ ล่ะอิซานะ วันนั้นฉันจะไปรับนะ แล้วไปฉลองกัน" เด็กผมสีเงินไม่ตอบ ทำเพียงขี่มอ'ไซค์ออกไปไกล คนโตกว่าได้แต่ยืนเกาหัวแกร่ก สงสัยว่าอาจจะโดนโกรธ ทว่าโกรธเรื่องอะไรกัน เมื่อบ่ายยังปกติอยู่เลย เขาพูดอะไรผิดไปหรือไงนะ

.

"แย่ล่ะ" เจ้าของร้านผมดำทำหน้าเครียด
"ทำไมเหรอครับ?" ทาเคมิจิเอ่ยถาม เมื่อจู่ ๆ คนที่นั่งหาอะไหล่รถมาประกอบเอ่ยอุทานเสียงเบา

"ของหมดสต๊อกน่ะ ฉันลืมเช็ค แถมลูกค้านัดมารับของวันนี้เสียด้วย"

"ลองโทรไปเลื่อนไหมครับ?"

"ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่ก็คงเสียชื่อร้านนิดหน่อย"
"เขาคงไม่ว่าหรอกครับ ชินซังเป็นถึงหัวหน้า BD รุ่นแรกเชียวนะ"

"ลูกค้านอกน่ะ ถ้าเป็นคนกันเองไม่เครียดขนาดนี้หรอก เห้อ ช่างเถอะ ฉันสะเพร่าเอง ขอตัวไปโทรหาลูกค้าก่อนนะ"

"อา ครับ..."

เขามองตามร่างโปร่งที่เดินไปหลังเคาท์เตอร์ ปากบ่นพึมพำหาเบอร์ลูกค้าไปพลางถอนหายใจไปพลาง
เขาอยากช่วยชินซัง... อีกฝ่ายทำให้เขาได้รู้สึกถึงความมีชีวิตชีวา ได้เจอเพื่อนใหม่ ได้เจอคนแปลก ๆ ที่อาจจะน่ากลัวไปบ้าง แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ชีวิต ดีกว่าบ้านที่ไม่มีใครสนใจ

ถ้าเขาใช้ความสามารถที่ตนเองมีคงไม่เป็นไร

อื้อ ไม่เป็นไร อย่าให้ความลับแตกก็พอ
เมื่อรวบรวมความกล้าสำเร็จ ทาเคมิจิจึงเอ่ยปากถามไปเสียงค่อย

"ชินซังพอจะมีตัวอย่างอะไหล่ที่หาอยู่ไหมครับ?"

"หือ? มีอยู่นะ" แล้วอีกฝ่ายก็ยื่นกระดาษที่มีรูป พร้อมชื่อรุ่นและราคาที่เขียนเอาไว้ด้านบน "จะเอาไปทำอะไรล่ะ"

"ผมแค่อยากดู"
เขารับกระดาษมาและพยายามหามุมที่อีกฝ่ายจะไม่เห็นการกระทำที่ราวกับเวทมนตร์เสกสิ่งของ

เด็กตัวเล็กเดินเลี่ยงมาบริเวณหลังร้านที่เต็มไปด้วยกล่องลังกระดาษและถังพลาสติกที่วางระเกะระกะ

ดวงตาสีเพทายสอดส่องสิ่งที่พอจะสับเปลี่ยนโดยมีมูลค่าเท่ากัน จนเหลือบไปเห็นกล่องที่บรรจุหัวน็อตไว้มากมาย
'อันนี้คงใช้ได้ แถมมีเยอะด้วย หายไปคงไม่โดนสงสัย แถมอะไหล่ที่ชินซังต้องการมีขนาดกลาง ๆ ร่างกายน่าจะพอรับไหว'

เด็กตัวน้อยพยายามลากลังมาไว้ใกล้ ๆ กันตามจำนวนที่ต้องการ ทว่ามีลังหนึ่งที่ดึงเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเคลื่อนตามมาเสียที เขาออกแรงจนหน้าดำหน้าแดง
อีกนิด... อีกนิดเดียว

ปึง!

อนิจจาเด็กประถมผอมแห้งแรงน้อยหรือจะลากของที่หนักกว่าตนเองได้ มือเล็กหลุดจากพื้นผิวที่ไม่อำนวยต่อการหยิบจับ เด็กน้อยเซจนไปชนเข้ากับชั้นวางของด้านหลังใกล้ ๆ กัน
ในขณะที่ยังไม่หายมึนและไม่ทันสังเกต ลังกระดาษที่บรรจุของไว้ด้านบนถูกวางอย่างหมิ่นเหม่ มันกำลังจะร่วงมาใส่ผู้เคราะห์ร้าย เพียงเสี้ยววินาทีก่อนมันจะตกใส่เด็กชาย

"ทาเคมิจิ!"

โคร่ม!

คนที่มาช่วยทาเคมิจิไว้คือชินอิจิโร่นั่นเอง

"ไม่เป็นไรใช่ไหม!?" อีกฝ่ายหมุนตัวเขาจนแทบจะเป็นลูกข่าง
"ผ ผมไม่เป็นไร หยุดก่อนได้ไหมครับ ผมเวียนหัวไปหมดแล้ว"

"โทษที ๆ คลาดสายตาฉันไปแป๊บเดียวก็ซนเชียวนะ"

ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องร้ายหรือดี ปกติถ้าชินอิจิโร่ไม่ว่าง คนที่คอยดูแลทาเคมิจิก็จะเป็นอินุอิ เซย์ชู
งั้นคงเป็นโชคดีของเด็กตัวจ้อยที่วันนี้ทางสะดวกทำอะไรได้ง่าย ๆ แต่ก็เป็นโชคร้ายเหมือนกัน ถ้าคนผมดำมาช่วยไม่ทัน

"อย่ามาเล่นแถวนี้ซี่ ของอันตรายมันเยอะนะ"

"ผมขอโทษ... ผมแค่อยากช่วยชินซังหาของ" มือเล็กชี้ไปด้านหลังตนเองปรากฎเป็นอะไหล่ที่เจ้าของร้านต้องการ
ใช่แล้ว ทาเคมิจิสามารถสับเปลี่ยนสิ่งของได้ทันเวลาก่อนที่ชิอิจิโร่จะเข้ามา

"เห้ย ยังมีอยู่เหรอ นายหาเจอได้ไง!"

"ผมเจอมันอยู่แถวนู้น" เขาชี้ไปมั่ว ๆ ในห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์เครื่องยนต์

"ขอบใจมากทาเคมิจิ! ฉันรีบไปซ่อมต่อก่อนนะ!"

อีกฝ่ายพูดด้วยใบหน้าและน้ำเสียงที่แจ่มใสขึ้นมาก
เขาดีใจที่อย่างน้อยก็ได้ตอบแทนอีกฝ่ายบ้าง แม้จะเล็กน้อยก็ยังดี

เขาทำแบบนี้อยู่หลายครั้งเพราะอีกฝ่ายสะเพร่ามากกว่าที่คิด ลืมสั่งอะไหล่บ้างล่ะ ของพังบ้างล่ะ วิดโดนจับได้หลายรอบอยู่เหมือนกัน ยิ่งในวันที่เซย์ชูอยู่ด้วยเขาต้องระวังเป็นพิเศษ
.

"อร่อย!" น้องสาวของชินซังที่ชื่อว่าเอมะเอ่ยปากชมหลังได้ทานอาหารของทาเคมิจิ "อิจฉาพี่ชินได้กินของอร่อยแบบนี้ทุกวัน"

"จริงด้วย ชินจังขี้โกง นี่วันหลังทาเคมิจิทำให้ฉันกินบ้างสิ" ชายผมขาวหางตาตกวาดแขนพาดบนไหล่เพื่อน ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเด็กชายตัวเล็ก
"พอเลยวากะ ให้เด็กทำอาหารให้กิน อายน้องมันไหม"

"ที่พูดมาเข้าตัวเองทั้งนั้นเลยนะชินจัง"

"นี่ไอ้ตัวเล็ก อย่าไปสปอยไอ้ชินมันมากนะ เสียคนหมดแล้ว อีกหน่อยต้องเป็นตาแก่ลงพุงแน่" คนต่อมาที่พูดด้วยคือพี่ชายที่มีรูปร่างกำยำ ดวงตาคล้ายโกรธขึ้งอยู่ตลอดเพิ่มความดุดันให้เป็นเท่าตัว
"ใครจะบ้ากล้ามเข้ายิมทั้งวันแบบแกล่ะวะ"

"พี่จะทะเลาะกันทำไมเนี่ย เดี๋ยวข้าวก็เย็นหมดหรอก"

"เอมะพูดถูก เด็กนี่ทำอาหารอร่อยชะมัด" ส่วนอีกคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการรุม อะแฮ่ม แซวชินอิจิโร่นั่งเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย

"เห้ย โอมิอย่ากินหมดสิวะ แบ่งกันโว้ย!"
เสียงหัวเราะครื้นเครงดังไปทั่วบ้านซะโนะ ชินซังบอกว่าโชคดีที่วันนี้มันจิโร่ไม่อยู่ไม่งั้นต้องวุ่นวายกว่านี้แน่ ๆ

เขามองภาพความสุขเหล่านั้นและอยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไป

.

ดั่งคำกล่าวที่ว่าความลับไม่มีในโลก ทาเคมิจิโดนกับดักเข้าเต็มเปา
เขากำลังทำการสับเปลี่ยนอะไหล่ให้ชินซังเช่นเคย หารู้ไม่ว่านั่นคือแผนของคนโตกว่า

"โห้ เก่งนี่ หาเจอจริง ๆ ด้วย"

"เรื่องหาของชินซังเรียกผมได้ตลอดเลยครับ!"

"ฉันดีใจที่นายขยันนะทาเคมิจิ แต่ขอโทษจริง ๆ ที่ต้องพูดมันออกมา อะไหล่นี้น่ะ ฉันไม่เคยสั่งมาหรอกนะ"

...
เหมือนโดนฟ้าผ่าลงตรงกลางใจ นี่เขาโดนล่อให้เผยความลับหรือ

"ช ชินซังเผลอสั่งมาแล้วจำไม่ได้เองหรือเปล่าครับ ฮ ฮ่า ๆ" เขาอาศัยช่องว่างในความขี้ลืมของอีกคนในการแก้ตัว

"ถึงฉันจะขี้ลืมแค่ไหน แต่ก็ไม่ถึงขนาดจำไม่ได้หรอกนะว่าอะไหล่นี้มันวางขายปีหน้าน่ะ"
ดวงตากลมโตรีบหลุบมองวันที่จัดจำหน่ายบนกระดาษ มันคือปีหน้าตามที่อีกฝ่ายบอกจริง ๆ "นายเอามันมาได้ยังไงทาเคมิจิ นายเป็นใคร ไม่สิ เป็น'ตัว'อะไร"

"ผม... ผม" ปากและตัวเริ่มสั่นระริกเมื่อสิ่งที่หวาดกลัวเกิดขึ้น

เขาโดนจับได้แล้ว
จะโดนรังเกียจไหม

จะโดนทิ้งไหม

จะถูกตราหน้าว่าเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า

จะถูกส่งไปขายไหม

หรือว่าจะโดนส่งไปทดลอง

สารพัดความคิดถูกกลั่นกรองเป็นหยดน้ำตา เขาสะอื้นจนตัวโยน หลับหูหลับตาร้องไห้ไม่ขอรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
"อ้าว เห้ย ร้องไห้ทำไม ฉันขอโทษ หยุดร้องก่อน ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ กินขนมไหม หรือว่าจะไปขับรถเล่นดี" ฝ่ามือหยาบกร้านที่พยายามลูบหัวปลอบเขาทำเอาเขื่อนน้ำตาแตกมากกว่าเดิม

ขนาดพ่อแม่แท้ ๆ ยังไม่ปลอบแบบนี้เลย ถ้าเขาร้องไห้ก็รอให้เขาเหนื่อยจนหยุดร้องไปเอง
"หยุดร้องก่อน นะ ถ้าพวกโอมิรู้ฉันโดนด่าแน่ ขอร้องล่ะ อย่าฟ้องเอมะด้วยนะ นะะ" อีกฝ่ายอ้อนวอนจนแทบจะยกมือขึ้นไหว้เหนือหัว

พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีอันตรายเขาจึงค่อย ๆ เลิกร้องไห้ จนเหลือแค่เพียงการสะอื้นฮัก

"จะไม่เอาผมไปขายใช่ไหม?"

"ไม่แน่นอน"

"รังเกียจผมหรือเปล่า"
"ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย"

"ผม... ประหลาดหรือเปล่า"

"นายไม่ได้ประหลาด นายแค่มีความสามารถที่พิเศษกว่าคนอื่น แต่ต้องเล่าให้ฉันฟังนะว่ามันคืออะไร ขืนใช้สุ่มสี่สุ่มห้าแล้วมีคนรู้เข้าอาจจะเกิดเรื่องแย่ขึ้นก็ได้"

"ค ครับ" อย่างน้อยเขาก็อุ่นใจ ที่ไม่โดนชินซังรังเกียจ
เขาเล่าไปว่ามีพลังนี้ตั้งแต่เด็ก เขาเรียกมันว่าการสับเปลี่ยน เพียงแต่ของที่แลกต้องมีมูลค่าเท่าเทียมกัน

เขาไม่รู้ว่ามันมีเงื่อนไขในการใช้อื่นอีกหรือเปล่า รู้เพียงแค่ว่าหากสลับของที่เกินความสามารถ ร่างกายจะต้องรับภาระ เช่น กำเดาไหล หรือสลบไปเป็นวัน
เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยอยากได้รถบังคับที่ลงไปนั่งได้ เมื่อลองหาของสับเปลี่ยน แค่กะพริบตาภาพก็ตัดไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเช้าวันใหม่เสียแล้ว แถมยังไม่ได้รถในฝันอีกต่างหาก

"สามารถแลกกับสิ่งมีชีวิตได้ไหม"

"ไม่รู้ครับยังไม่เคยลอง"

"เอาเถอะ แค่รู้ว่าลองที่แลกมาเท่ากันฉันก็สบายใจ"
อีกฝ่ายหยัดตัวขึ้นและยีศีรษะเขาด้วยความเอ็นดู "ขอบใจนะที่ลำบากมาโดยตลอด แต่อย่าใช้มันเยอะนัก เรายังไม่รู้ว่าการแลกเปลี่ยนของนายต้องการค่าตอบแทนหรือเปล่า ยิ่งมีร่างกายมาเกี่ยวด้วยยิ่งต้องระวัง" ชินอิจิโร่หาผ้าเปียกมาให้เด็กตัวเล็กเช็ดหน้าเช็ดตา
"อ้อ เรื่องนี้อย่าไปบอกใครล่ะ ยิ่งรู้น้อยยิ่งดีที่สุด"

"ครับชินซัง!"

ที่เซย์ชูบอกว่าชินอิจิโร่น่าเคารพนี่ คงจะเป็นแบบนี้สินะ ความรู้สึกที่ว่าแค่มีคน ๆ นี้อยู่ จะต้องผ่านเรื่องร้ายไปได้แน่ ๆ

ขอบคุณเซย์ชูที่เห็นเขา ขอบคุณชินซังที่ใจดีและไม่เกลียดกัน

ขอบคุณจริง ๆ
.

เรื่องราวคล้ายจะดี เขาได้พบเพื่อนของเซย์ชูที่ชื่อฮาจิเมะบ้าง แต่ก็ไม่บ่อย พ่อแม่ยังคงไม่สนใจเขาเช่นเคย ไม่ว่าจะกลับเย็นหรือกลับดึกขนาดไหน

เพียงแต่มีวันหนึ่ง ทาเคมิจิกำลังจะทำการสับเปลี่ยนเช่นปกติ ทว่าสิ่งที่เขาไปจับดันเป็นสิ่งของต้องห้ามที่ตนไม่รู้มาก่อน
⚠︎︎ การด่าทอจากบุพการีที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ (ใครไม่โอเคควรปัดข้ามนะคะ อ่านต่อหลังสัญลักษณ์ ↻ เลย)

"อย่าสะเออะแตะของ ๆ ฉัน" สายตาเย็นเหยียบถูกส่งมาให้คนที่เป็นลูกในไส้

"แม่... ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นของแม่" เด็กชายรีบชักมือกลับจากของที่กำลังจะจับ
"เคยบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าฉันกลับมาต้องไม่เห็นหน้าแก"

"ผมขอโทษ จะไปเดี๋ยวนี้..." ทาเคมิจิก้มหน้างุด รีบเดินเลี่ยงไปอีกทิศที่เป็นทางกลับห้องนอน

"ฉันรู้ว่าแกไปทำอะไรมาบ้าง" ขาเล็กที่ก้าวเดินหยุดชะงัก "และจะเอาอาหารไปให้หมาที่ไหนกินมันก็เรื่องของแก แต่อย่ามายุ่งกับของ ๆ ฉัน!"
จากที่ตั้งใจว่าจะหลบไปอย่างเงียบ ๆ กลับต้องหันมาที่เดิม "พวกเขาไม่ใช่หมา! แม่จะว่าเพื่อนผมแบบนี้ไม่ได้!"

"ทำไมฉันจะว่าไม่ได้ ก็แค่อดีตนักเลงหัวไม้ไร้การศึกษา แกไปอยู่กับมันเดี๋ยวก็เป็นไม่ต่างจากมัน" ริมฝีปากสวยงามที่ให้เขามา พ่นวาจาเชือดเฉือนดูถูกคนไม่รู้จักโดยง่ายดาย

"แม่!"
"หยุด! อย่ามาขึ้นเสียงใส่ แล้วก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่ด้วย ฉันไม่อยากมีลูกขี้ขโมยแบบแก"

คล้ายสัญญาณในหูถูกตัดขาด ผมได้ยินเสียงวิ้งอยู่ในหัว

ลำพังไม่เคยเลี้ยงดูเอาอกเอาใจผมไม่ว่า จะเมินเฉย จะทำเหมือนผมไม่มีตัวตนก็ไม่เคยคิดโกรธเคือง แต่จะมาว่าเพื่อน... ว่า'ครอบครัว'ของผมไม่ได้!
ไร้คำพรุสวาทออกจากกลีบปาก มีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มอย่างเงียบงัน แววตาฉายอารมณ์กรุ่น

"เฮอะ นี่ไง ฉันพูดผิดที่ไหน ปีกกล้าขาแข็งแล้วงั้นสิถึงกล้ามองด้วยสายตาแบบนี้ ถ้าไม่ติดว่าไม่อยากไปขึ้นโรงขึ้นศาลฉันไม่เลี้ยงแกไว้หรอก"

"ผมก็ไม่ได้อยากอยู่กับคุณเหมือนกัน"
"ดี งั้นแกออกไปจากบ้านฉันซะ เงินน่ะให้ทุกเดือน ถือว่าบริจาค แต่ถ้าไม่พอก็ไม่ต้องแสล๋นหน้ามาหาล่ะ"

ประโยคหลังจากนั้นผมไม่ทนฟังอีกต่อไป ขาเล็กวิ่งออกจากบริเวณบ้านให้เร็วที่สุด ตรงไปยังสถานที่ที่ใช้พักพิงมาตลอดหลายเดือน
ผมไม่เคยถามเขาว่าให้ผมเกิดมาทำไม หรือทำไมถึงไม่เลี้ยงดูลูกเหมือนบ้านอื่น ผมไม่อยากรับรู้อะไรที่จะบั่นทอนจิตใจไปมากกว่านี้แล้ว



ทาเคมิจิวิ่งจนมาถึงร้านมอ'ไซค์ของอดีตผู้นำ Black Dragon ช่างโชคดีเหลือเกินที่ดึกแล้วแต่ไฟร้านยังเปิดสว่างโร่
ชินอิจิโร่ยังคงก้มงก ๆ เงิ่น ๆ อยู่ที่ตัวรถคันหนึ่ง

"ชินซัง..." เด็กชายเรียกคนที่นับว่าเป็นพี่ชายด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

"หือ? อ้าว ทาเคมิ..จิ..." ร่างโปร่งหันหน้ามาพบกับใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กที่พบกันได้ไม่นาน มันหนักกว่าครั้งที่เขารู้ความจริงของอีกฝ่ายเสียอีก "เป็นอะไร ใครทำนาย"
"ผม... ผม ฮึก" คล้ายภาพฉายซ้ำในวันวาน เขาร้องไห้เหมือนโลกจะถล่ม อีกฝ่ายทำเพียงเดินมาจูงมือให้เขาเดินเข้าไปในร้าน

"ร้องออกมาให้พอ แล้วเรามาคุยกันดีไหมว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้านายไม่อยากพูดถึงมันก็ไม่เป็นไร" มือเรียวลูบหัวทุยปุและกอดเด็กน้อยไว้หลวม ๆ
(หลังจากนี้อาจจะไม่ได้อัพถี่ ขอไปเคลียร์งานก่อนค่ะ orz)
"สักวัน..."

"?"

"สักวันผมจะเล่าให้ฟังนะ" วันที่ผมเข้มแข็งพอ จนสามารถพูดมันออกมาได้เหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

"ถ้านายอยากโยนมันทิ้งและไม่พูดถึงอีก ฉันก็ไม่ว่า ไม่ต้องฝืนหรอก"

เขาคิดถูกจริง ๆ ที่ไว้ใจชินซัง
จะบอกว่าไว้ใจคนง่ายก็ได้ แต่ในวันที่พายุโหมกระหน่ำ หากมีคน ๆ หนึ่งให้ที่พักพิงกับคุณเสมอ โดยไม่ถามหาค่าตอบแทน คุณจะไม่ซึ้งใจหรือ?

คน ๆ นั้นที่เขาหมายถึงก็คือชินซัง
"คือ... ผมมีเรื่องจะรบกวนชินซังครับ" ถึงจะลำบากใจ แต่ก็ต้องพูดออกไป เพราะอีกจุดประสงค์ที่มานี่ก็คือหวังขอพึ่งพิงคนโตกว่า

"ว่ามาเลย ถ้าฉันทำได้น่ะนะ"

"ผม... ขอค้างที่นี่สักคืนได้ไหมครับ..." เด็กน้อยพูดเสียงอ้อมแอ้มเหมือนกลัวโดนดุ
โอเค พี่ใหญ่บ้านซาโนะพอจะเดาปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ออกหน่อย ๆ แล้ว

ชินอิจิโร่ไม่เอ่ยปากว่า มีให้เห็นถมเถไป เด็กที่หนีออกจากบ้านเพราะมีปัญหากับคนในครอบครัวหรืออะไรก็ตามแต่ เขาเคยให้ความช่วยเหลืออยู่บ้าง โดยเฉพาะรุ่นน้องในแก๊งกับผองเพื่อนตัวแสบ
"ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอก" แขนที่มีมัดกล้ามพอประมาณยกขึ้นกอดอกเหมือนกำลังคิดบางสิ่ง "แต่มันอันตราย ถ้ามีขโมยเข้าร้านนายจะแย่เอา"

"ผมจะล็อคร้านให้แน่นหนาเลย"

"ฉันว่านายเลือกโฟกัสผิดประเด็น เอางี้ ไปนอนบ้านฉันดีกว่า ที่ตั้งกว้าง แถมคนอยู่เยอะ ปลอดภัยกว่าโข"
"เอ๋ แต่แบบนั้นมันมากไปนะครับ"

"มากไปตรงไหน งั้นถือเสียว่าเป็นค่าข้าวที่ทำมาให้กินแล้วกัน เดี๋ยวโทรไปบอกเอมะให้เตรียมห้องก่อนนะ" ชินอิจิโร่ไม่รอให้คนเด็กว่าปฏิเสธ เขายันตัวลุกขึ้นไปหามือถือที่วางไว้ที่ไหนสักแห่งในร้าน
ทาเคมิจิที่ไม่มีโอกาสได้โตแย้งก็คิดอยู่ในใจว่าเขาจะหาทางตอบแทนคืนให้ได้

ในขณะที่รอเจ้าบ้านคุยกับน้องสาว ดวงตาเล็กกวาดไปรอบ ๆ ร้าน อุปกรณ์ยังวางเกลื่อนพื้นไปหมด สงสัยชินซังจะซ่อมรถคันนี้เป็นคันสุดท้ายก่อนกลับบ้านสินะ
เมื่อสำรวจคร่าว ๆ จนไม่รู้จะมองอะไรต่อ เขามองออกไปด้านนอกร้านที่เกือบมืดสนิท มีแสงจะเสาไฟเป็นหย่อม ๆ ส่องพอให้เห็นทาง ทาเคมิจิกลับสังเกตเห็นบางสิ่ง

ชายตัวสูงนั่งคร่อมอยู่บนรถคล้ายมอ'ไซค์ของแก๊งซิ่ง ในมือถือปืนพกตั้งท่าเล็งมาทางร้านที่เขาอยู่

!!
เด็กน้อยรีบตะโกนเรียกคนโตกว่าทันใด

"ชินซั—!"

ปัง! เพล๊ง!

แสงสว่างในร้านดับพรึ่บ เมื่อหลอดไฟที่เปิดอยู่ดวงเดียวถูกยิงจนแตก เขาได้ยินเสียงที่ชินซังร้องเรียกชื่อเขาและเสียงดับเครื่องยนต์ดังพร้อม ๆ กัน

"ทาเคมิจิ! ทาเค—"
"ผมอยู่นี่ครับ!" เด็กน้อยรีบวิ่งไปตามทิศทางที่คาดว่าคนโตกว่าอยู่

"นายไม่เป็นอะไรนะ!? มันเกิดอะไรขึ้น?"

"ผมไม่เป็นไร ผมเห็นคนถือปืนเล็งมาทางนี้ ผมกำลังจะเรียกชินซังแต่ก็ไม่ทัน เขายิงมาซะก่อน"
"นายหนีออกไปทางประตูหลัง- ไม่สิ แอบอยู่ในนั้นดีกว่า ไม่รู้ว่ามันยังมีพวกมาอีกไหม ฉันให้เอมะโทรเรียกตำรวจแล้ว อยู่ในนั้นจนกว่าฉันจะไปเรียกนะ ถ้าไม่ใช่ฉันห้ามเปิด ตกลงไหม?"

"ครับ" กลุ่มผมดำผงกเป็นสัญญาณตอบรับ ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ที่อีกคนบอกและปิดประตูให้เบาที่สุด
⚠︎︎ Swear words

ใบหูแนบประตูเงี่ยฟังสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก

"แกเป็นใคร? ไม่รู้รึไงร้านนี้ใครเป็นเจ้าของ" เสียงชินซังพูดนี่

"ฮ่า ๆ รู้สิวะ ไอ้เวรชินอิจิโร่!" น้ำเสียงสูงต่ำ เอาแน่เอานอนไม่ได้ตอบกลับ

"ถึงกับตั้งชื่อให้ แกคงแค้นฉันไม่น้อยเลย"
"หลายเดือนที่พวกเราจับตาดูแก จนในที่สุดก็ได้จังหวะเหมาะ ๆ ต้องขอบใจไอ้เด็กเตี้ยตาฟ้า ตอนแกอยู่กับมันช่องโหว่เต็มไปหมด"

ผมเหรอ?

เป็นเพราะผมเหรอ ชินซังถึงโดนเล่นงาน?

"ได้เวลาชำระหนี้แค้น"
"เห้ย ๆ มันจะเกินไปหน่อยมั้ง อยู่ดี ๆ ก็มาพังร้านคนอื่น แล้วก็ยืนพร่ามนานสองนาน สรุปแกเป็นใครวะ" ชินอิจิโร่พยายามประวิงเวลารอความช่วยเหลือมาถึง

"เมื่อต้นปีลูกน้องในแก๊งฉันไปมีเรื่องกับ BD ของแก มันถูกแทงระหว่างที่ตีกัน ไม่เคยสอนคนในแก๊งหรือไงวะว่าอย่าใช้อาวุธ ไอ้กระจอก"
"ถึงจะลาวงการมานาน แต่ฉันมั่นใจว่าพวกรุ่นน้องไม่มีใครพกอาวุธทั้งนั้น นั่นมีดของฝ่ายแกเองหรือเปล่า จริงสิ เหมือนจะมีคนมาเล่าให้ฟังอยู่ว่าพวกรุ่นเจ็ดโดนหาเรื่อง ฝั่งนู้นเล่นสกปรก แต่โชคดีที่ไม่มีใครเป็นไร"

"..."

"แล้วไง? เห็นพวกมันเก่งกว่าเลยจะมาเอาคืนฉันที่ต่อยตีไม่เก่งงั้นสิ?"
"..."

"แถมโบ้ยความผิดอีก ทุเรศว่ะ"

"อย่าอยู่เลยมึง!"

โครม

เสียงของตกและเสียงหมัดกระทบดังระงม ทาเคมิจิไม่รู้เลยว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบ เขาภาวนาในใจขอให้ตำรวจมาถึงเสียทีก่อนที่มันจะแย่ไปกว่านี้

"อ๊ากก!"

"ชินซัง!"
อารามตกใจ ร่างเล็กเปิดประตูออกผ่างเพราะกลัวผู้มีพระคุณจะเป็นอันตราย โดยไม่สนข้อห้าม แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้รู้ว่าเขาคิดผิด

ชินอิจิโร่ยืนตระหง่าน ในมือกำประแจแน่น ฝ่ายที่มาหาเรื่องนอนกองอยู่บนพื้นกุมมือร้องโอดโอย

อดีตหัวหน้า BD หันมามองเขาด้วยความตกใจ
"ทาเคมิจิ! บอกแล้วว่าอย่าออกมา"

"ผมขอโทษ ผมกลัวชินซังเป็นอะไรไปก็เลย..."

"กลับเข้าไ—"

ปัง!

ร่างของชินอิจิโร่ล้มลงหลังเสียงปืนลั่น เลือดไหลเจิ่ง มันขยายเป็นวงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

ทาเคมิจิช็อคจนพูดไม่ออก ลิ้นแข็งค้าง ดวงตาเบิกกว้าง ไม่มีสติว่าควรทำอะไรต่อไป
"ฮ่า ๆ ๆ ! ขอบใจมากไอ้เปี๊ยก เกือบแพ้มันซะแล้ว แกนี่ตัวนำโชคจริง ๆ ถ้าจะแค้นที่พลาดท่าก็ไปแค้นในนรกเถอะไอ้เวรชิน"

อีกแล้ว

เขาอีกแล้ว

เขาทำให้ชินซังโดนยิง ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกจะจัดการกุ๊ยนั่นได้อยู่แล้ว
ทาเคมิจิเหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของคนเจ็บ เขาขอโทษอีกฝ่ายเป็นล้านครั้งในใจ

เขาไม่น่ามาหาชินซังเลย

ไม่น่าเลยจริง ๆ

เขามันตัวซวย

ในขณะที่เด็กน้อยคิดโทษตัวเอง อริที่ไม่มีใครรู้แม้แต่ชื่อยกเท้าขึ้นแล้วเตะไปที่ท้องชินอิจิโร่เต็มแรง

"อัก!"
"สิ้นฤทธิ์แล้วสิ ไม่เห็นปากดีแบบเมื่อกี้เลย ไหนพูดอีกดิ๊ใครทุเรศวะ"

ถุย

คนที่กวนโมโหไม่ตอบแต่ถ่มน้ำลายใส่อริแทน ดวงตาฉายแววไม่ยอมแพ้ แต่ฟันขบริมฝีปากจนปริแตกเพราะความเจ็บจากพิษบาดแผล

ชายฉกรรจ์หน้าถมึงทึง เขาเลือดขึ้นหน้าขาดสติ กระทืบชินอิจิโร่ซ้ำ ๆ จนโลหิตไหลออกมามากกว่าเดิม
!!

"หยุดนะ!"

ทาเคมิจิวิ่งไปคั่นกลางอย่างไม่กลัวเกรงจนผู้บุกรุกชะงักไปครู่หนึ่ง "อย่าสะเออะ อยากตายอีกคนหรือไง"

"...หนีไ.." คนถูกปกป้องพยายามไล่เด็กตรงหน้าเสียงแผ่ว ศัตรูกำลังฉุนได้ที่เจ้าตัวอาจเป็นอันตรายไปด้วย
แก้วตาสีอ่อนเหลือบมองคนด้านหลัง เปลือกตาปิดสนิท เลือดซึมจนแทบจะย้อมเสื้อทั้งตัว สภาพระโหยโรยแรงทำให้เขาร้อนใจกว่าเดิม

"ชินซั— อ่อก!"

ร่างบางถูกเตะจนตัวปลิว จุกจนลุกไม่ขึ้น มันมองเขาตาขวาง "เกะกะจริงโว้ย" ก่อนจะยกเท้าขึ้นเตรียมกระทืบเจ้าของร้าน สานต่อเรื่องที่ถูกขัดจังหวะ
แย่แน่

ทาเคมิจิฝืนความเจ็บ เค้นเรี่ยวแรงวิ่งไปรั้งขาชายฉกรรจ์ไว้ ก่อนจะอ้าปากฝังคมเขี้ยวสุดแรง

"อ๊าก! ไอ้เด็กผี! ปล่อยโว้ย!" ยิ่งอีกฝ่ายสะบัดขาเพื่อให้เขาหลุดมากเท่าไหร่ เขายิ่งเพิ่มแรงกัดมากเท่านั้น จนเนื้อเริ่มปริ โลหิตข้นไหลเป็นสาย
เมื่อเห็นว่าการเหวี่ยงไม่ได้ผล มันจึงเริ่มทุบตีเด็กชายเพื่อให้ตนเองเป็นอิสระ

ทาเคมิจิอดทนไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายไปเด็ดขาด แม้จะสะบักสะบอม ช้ำเลือดหนอง หากมันรอดไปได้นั่นหมายถึงความตายของอีกคน
"แฮ่ก แฮ่ก โอ๊ย เมื่อไหร่จะหลุดวะ" ชายแปลกหน้าต่อยจนหมดแรง แม้ร่างกายของเด็กน้อยจะบอบช้ำ ใบหน้าเริ่มบวมปูดก็ยังไม่มีท่าทียอมแพ้เลย "ยิงทิ้งเลยดีไหม"

"อย่า! ถ้าแค้นนักก็มาลงที่ฉัน อย่ายุ่งกับเด็ก!" ชินอิจิโร่พยายามพูดด้วยเสียงดังสุดเท่าที่จะทำได้
"จะตายอยู่แล้วยังทำเท่อีก เออ ไปแน่ แต่ขอกำจัดตัวยุ่งยากก่อน" ได้ยินเสียงขึ้นลำปืน ทาเคมิจิลับตาแน่น เขาสับเปลี่ยนไม่ทันหรอก ความไวของมนุษย์หรือจะสู้ลูกปืน

ในขณะที่คิดว่าตายแน่ แต่เหมือนพระเจ้าจะยังเห็นใจ

"ฉิบ!" เสียงไซเรนของรถพยาบาลหรือตำรวจมิอาจทราบ คนร้ายร้อนรนหาทางเอาตัวรอด
เมื่อรู้ว่าความช่วยเหลือมาถึงแล้ว ทาเคมิจิจึงผ่อนแรงลงทำให้มันสามารถหนีไปได้

ร่างกำยำพุ่งตัวไปที่รถมอ'ไซค์หวังหลบหนี ทว่าสายไปเสียแล้ว รถมากมายล้อมรอบทิศไว้ มันได้แต่แสดงความจำยอมยกมือขึ้นเหนือศีรษะ มีหลักฐานเป็นปืนที่ตกอยู่ด้านข้าง
เด็กผมดำที่เห็นว่าคนร้ายหนีไปไหนไม่รอดก็โล่งอก แต่ดีใจได้ไม่นานก็ต้องกลับไปใจเสียอีกรอบ เมื่อครั้นหันไปมองชินอิจิโร่ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ขยับแล้ว

"ชินซัง!"

ร่างบางเขย่าตัวคนโตกว่าหวังเรียกสติ แต่ไม่มีสัญญาณใดตอบกลับ

"ฝาก..."
ทาเคมิจิเริ่มยิ้มออก เคราะห์ดีที่อีกคนยังพอมีแรงเปล่งเสียง แต่ประโยคที่พูดออกมากลับน่าใจหายนัก

"ฝากปลอ..บ น้องฉันหน่อยน..ะ.." ชินอิจิโร่กล่าวทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา ราวกับนั่นเป็นแรงเฮือกสุดท้ายของเขาแล้ว
"ขอโ..ษ ผม..อโทษ" เด็กน้อยเริ่มร้องไห้ เสียงสะอึกสะอื้นจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ พี่ชายบ้านซาโนะไม่มีแรงพอที่จะยกมือลูบหัวปลอบโยนคนเสียขวัญ ทำได้แค่เพียงพูดปลอบ

"แกไม่ผิด... อย่าโทษตัวเองเลย..."
เขาไม่รู้ว่าเด็กตัวเล็กจะได้ยินไหม เล่นร่ำไห้ปานจะขาดใจขนาดนั้น หากเขาไม่รอดจริง ๆ คิดไม่ออกเลยว่าจะสั่งเสียอะไรดี หัวสมองมันตื้อเสียจนไม่สามารถประมวลผลได้ แต่ถ้าต้องจากลาคงจะเป็นคำนี้สินะ

"ลาก่อน... ทาเคมิจิ"
สิ้นประโยคที่เบายิ่งกว่าเสียงผีเสื้อกระพือปีก แขนที่ผ่านการทำงานมาอย่างหนักตกลงข้างลำตัว ทาเคมิจิร้องไห้มากกว่าเดิม จนเจ้าหน้าที่เข้ามารับตัวจนเจ็บ เขาก็ยังไม่หยุดร้อง

ร่างบางเดินตามเปลออกไปข้างนอก ก่อนจะขึ้นรถเพื่อไปโรงพยาบาล เขาทันเห็นเอมะ คุณปู่ซาโนะ แล้วก็เด็กชายอีกคน
นั่นคงเป็นน้องของชินซัง

ทุกคนจดจ้องมาทางนี้ ทำให้สายตาของเขาประสานเข้ากับเด็กแปลกหน้า แววตาใจสลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่เห็นก่อนประตูรถจะปิดลง

.

ทาเคมิจิตกอยู่ในภวังค์ ในหัวย้อนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาโดยมีบุรุษพยาบาลนั่งทำแผลให้อยู่ไม่ห่าง
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่บ้านซาโนะเขายังจำได้ไม่ลืม

หรือว่าจะเป็นตอนที่ทุกคนนั่งทานอาหาร ชินซังกับวากะซังแย่งข้าวกันจนมันเกือบหก สุดท้ายเบงเคย์ซังก็ต้องมาจับแยกก่อนที่จะไม่มีใครได้กินมันเลย โดยมีโอมิซังทำสีหน้าเหนื่อยใจอยู่ข้าง ๆ
หรือจะเป็นตอนที่ชินซังพาเขาไปขี่รถเล่นพร้อมเซย์ชูครั้งแรก

หรือตอนที่นักเลงทุกคนโค้งหัวทำความเคารพอดีตหัวหน้า BD ช่างเป็นภาพที่น่าเกรงขาม

และอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน

ทั้งหมดนั่น ถ้าไร้ชินอิจิโร่ก็ไร้ความหมาย

เพราะชินซังเป็นมากกว่าหัวหน้า มากกว่าเพื่อน มากกว่าพี่ชายสำหรับทุกคน
เขาไม่อยากให้มันหายไป

เขาอยากเห็นมันอีกครั้ง

ขอร้องล่ะครับพระเจ้า ถ้าท่านมีจริง ผมยอมแลกทุกอย่าง ผมขอใช้พลังที่ผมมีสับเปลี่ยนอะไรก็ได้ ขอแค่ชินซังมีชีวิตรอด

ราวกับคำขอนั้นส่งไปถึง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บที่ช่วงท้อง เจ็บจนเหมือนโดนกระชากบางอย่างออกไป แล้วสติก็ดับลงในที่สุด

• • •

Missing some Tweet in this thread? You can try to force a refresh
 

Keep Current with ชิบะ เมฆ ☁️🦈 ft.ฝึกงาu

ชิบะ เมฆ ☁️🦈 ft.ฝึกงาu Profile picture

Stay in touch and get notified when new unrolls are available from this author!

Read all threads

This Thread may be Removed Anytime!

PDF

Twitter may remove this content at anytime! Save it as PDF for later use!

Try unrolling a thread yourself!

how to unroll video
  1. Follow @ThreadReaderApp to mention us!

  2. From a Twitter thread mention us with a keyword "unroll"
@threadreaderapp unroll

Practice here first or read more on our help page!

Did Thread Reader help you today?

Support us! We are indie developers!


This site is made by just two indie developers on a laptop doing marketing, support and development! Read more about the story.

Become a Premium Member ($3/month or $30/year) and get exclusive features!

Become Premium

Don't want to be a Premium member but still want to support us?

Make a small donation by buying us coffee ($5) or help with server cost ($10)

Donate via Paypal

Or Donate anonymously using crypto!

Ethereum

0xfe58350B80634f60Fa6Dc149a72b4DFbc17D341E copy

Bitcoin

3ATGMxNzCUFzxpMCHL5sWSt4DVtS8UqXpi copy

Thank you for your support!

Follow Us on Twitter!

:(