Radish 🍙 Profile picture
Aug 19, 2021 318 tweets >60 min read Read on X
#ออลทาเค auคุณมือสไนเปอร์ขี้กลัวกับแก๊งบงเท็น

“นี่น่ะเหรอพ่อสไนเปอร์มือดีที่เขาล่ำลือกัน”

“ตัวเล็กชะมัด”

กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เป็นคำอธิบายมี่ฟังดูดีที่สุดในตอนนี้สำหรับทาเคมิจิ

ลำคอแห้งผากนั่งตัวสั่นงั่นงกอย่างน่าสงสารขดตัวอยู่มุมกำแพงในห้องประชุมเย็นเยือกของแก๊งอาชญากรใหญ่
นึกย้อนทบทวนตัวเองอยู่หลายครั้งระหว่างทางถูกจับตัวมาที่นี่ว่าไปเผลอรับงานกระตุกหนวดเสือพวกนี้มาแบบไม่รู้ตัวรึเปล่า แต่จนแล้วจนรอดแทบจะขุดสมองออกมาแหวกดูก็ไม่เห็นจะนึกออก

ทาเคมิจิค่อนข้างมั่นใจในการกรองงานของตัวเองพอสมควร เขาเรื่องมาก ขี้ระแวง แถมค่าตัวก็สูง
น้อยมากจริงๆที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยงในงานที่มีผลระยะยาว แล้วไหงถึงถูกตัวเบิ้มแห่งวงการโลกมืดหมายหัวได้ล่ะเนี่ย

คิดพลางทำตัวให้ลีบเล็กลงเข้าไปอีก กอดอาวุธคู่ใจในอ้อมแขนแน่นสายตากว่าเจ็ดคู่ที่จ้องเป๋งมาทางนี้ทำอยากจะกระโดดหน้าต่างหนีออกไปให้พ้นๆถ้าไม่ติดว่ามือเท้าถูกมัดอยู่ล่ะก็
ทางนั้นก็โคโคโนอิผู้กุมอำนาจทางการเงินของโลกฝั่งนี้

ทางนู้นก็กุนซือเลือดเย็นอาคาชิ ทาเคโอมิ

ตรงหน้านี่ก็พี่น้องนรก ไฮทานิรันและรินโด

ลิบๆนั่นก็ฮารุชิโยะ ซันสุ หมาบ้าจอมคลั่ง

มีแต่พวกคุ้นหน้าคุ้นตาในลิสต์บุคคลอันตรายระรานตาเต็มไปหมด

ตายแน่เขา คงไม่เหลือแม้แต่ขี้เถ้า
ฮือ อย่างน้อยก็ขอไปบอกลาเจ้าลัคกี้ที่บ้านก่อนได้ไหมครับ

“เฮ้ย แกน่ะ”

สะดุ้งโหยงเมื่อถูกเรียกด้วยเสียงไม่เป็นมิตร ไฮทานิที่คาดว่าจะเป็นคนน้องตามข้อมูลที่เคยอ่านย่อตัวให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับเขา ดวงตาติดจะดูดุดันกดมองคนตัวสั่นระริก

“ชื่ออะไร”

“ฮ ฮานะกาคิ ทาเคมิจิ…”
อึกอักเมื่อถูกจ้องตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่วางตา รินโดเอียงคอนึกตะหงิดใจบางอย่างก่อนเหลียวหันกลับไปมองคนที่รับหน้าที่จับเจ้าแมวตัวจ้อยมาที่นี่

“แล้วไหงถึงไม่ยึดอาวุธเจ้านี่ล่ะ เดี๋ยวมันลุกขึ้นมายิงพวกเราหัวระเบิดกันหมดหรอก”

พูดพลางชี้ๆไปที่ไรเฟิลกระบอกใหญ่ในอ้อมแขนสั่นเทา
“มันก็แค่ปืนเปล่าๆ ฉันปลดแม็กกาซีนออกแล้วแถมมัดไว้แบบนั้นทำอะไรไม่ได้หรอก”

“แต่ทำให้ความเสี่ยงเป็นศูนย์มันก็ดีกว่าไม่ใช่รึไง? ไม่สมกับเป็นแกเลยนะคาคุโจ”

รินโดพูดถูกทุกประการ

ดวงตาสองสีเหลือบมองคนที่ตนไปลักพามายิ่งกอดที่ยึดเหนี่ยวทางใจแน่นขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่พยายามจะยึดมันมาหรอกนะ

แค่ลองแล้วผลลัพธ์มันค่อนข้าง…น่าลำบากใจ เลยเลือกจะปล่อยไว้เช่นนั้น

“เอามานี่”

“ไม่ ไม่เอา อย่ามายุ่งนะ”

ทาเคมิจิยิ่งถดตัวหนีคนที่เข้ามายื้อแย่งของสำคัญในอ้อมกอด ฉุดกระชากกันอยู่นานจนฝ่ายตัวเล็กกว่าล้มหน้าคว่ำไปกับพื้นโครมใหญ่
ไม่รู้ว่าเพราะโดนมัดอยู่ถึงยันตัวกลับขึ้นมาไม่ได้หรือเพราะต้องการนอนพังพาบจริงๆกันแน่

ท่ามกลางสายตาเกือบสิบคู่ที่กำลังดูเชิงบุคคลอันเป็นที่เลื่องลือนักหนาถึงฝีมือความแม่นยำระดับจับวางกระสุนได้ เก่งกาจถึงขนาดกวาดศัตรูมากมายเรียบด้วยปืนกระบอกเดียว
ความสามารถระดับหาตัวจับยากขนาดนี้จะตอบโต้เช่นไรกันนะ?



“อึก…”

ไหล่บางของคนนอนคว่ำไหวระริก เงยหน้าขึ้นด้วยจมูกแดงก่ำจากการกระแทกกับพื้น

ตามด้วยหยดน้ำตากลมกลิ้งมากมายที่ร่วงหล่นออกมาจากดวงตาสีสวยเหมือนเขื่อนแตก

“เอาคืนมานะ ฮึก พวกคุณมันแย่ แย่ที่สุดเลย ไอ้พวกคนไม่ดี!”
เสียงตะโกนปนสะอึกสะอื้นทำทั่วทุกร่างนิ่งค้าง เวลาเหมือนถูกหยุดไปชั่วขณะ

“ผมไปทำอะไรให้นักหนา! อาวุธก็ให้ไปหมดแล้ว มือก็ยอมให้มัด ให้ความร่วมมือดีทุกอย่าง ฮือ..อยากจะได้อะไรอีก! ชีวิตผมเหรอ!?..”

“เดี๋ยวๆ ใจเย็น—“

“เออ อยากได้ก็เอาไปเลย!”
ไฮทานิคนน้องทำหน้าเหวอ ไปต่อไม่ถูกเมื่อโดนฟูมฟายใส่จนต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชายด้านหลัง

“ฮึก ดีเหมือนกันกลัวจะตายอยู่แล้วเนี่ย ขอแบบกลางหัวเลยนะ ถ้าใกล้ขนาดนี้ยังยิงไม่แม่นผมตามสาปยันชาติหน้าจริงด้วย!”

หอบแฮกน้ำหูน้ำตาไหลจนดูไม่ได้
มีหรือมือสไนเปอร์อย่างเขาจะไม่เคยเตรียมใจถูกยิงในขณะที่ยิงคร่าชีวิตผู้อื่น

สิ่งที่ทาเคมิจิกลัวมากกว่าความตายก็การต้องทรมานก่อนตายนี่แหล่ะ

“รออะไรล่ะ ก็มีกันทุกคนไม่ใช่รึไงปืนน่ะ”

แววตาแน่วแน่ไม่สั่นไหวแม้น้ำตาจะยังไหลไม่หยุดไล่กวาดสบสายตาทุกคนในห้อง
ตายก็ตายเถอะ คงไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าที่ตรงนี้แล้ว

“เกิดอะไรขึ้น?”

โทนเสียงเรียบนิ่งไร้อารมณ์ใดเจือปนเรียกให้คนสติกระเจิงกลับมาสู่โลกความเป็นจริง

พายุอารมณ์พลันสงบลงอย่างน่าหลาดทันใดที่สบเข้ากับแก้วตาดำด้านที่ทอดทอดมาทางนี้
ทันทีที่พวกเราสบตากัน ทาเคมิจิคล้ายจะเห็นรอยยิ้มบางถูกจุดขึ้นบนมุมปากอีกฝ่ายก่อนจะหายไปเพียงกระพริบตา

““เหนื่อยหน่อยนะครับ บอส””

ทุกเสียงรอบตัวกล่าวออกมาพร้อมกับร่างที่ค้อมกายนอบน้อมแก่ผู้มาเยือนคนใหม่ นั่นทำให้ทาเคมิจิรู้ได้โดนทันทีว่าชายคนนี้คือใคร

บุคคลอันตรายลำดับที่หนึ่ง
ไมกี้ไร้เทียมทาน

คนเพียงผู้เดียวที่ต่อให้ตายชีวิตนี้เขาก็จะไม่ไปเดินเฉียดหรือธุระข้องเกี่ยวใดๆ กำลังยืนอยู่ตรงหน้าและใช้สายตาไร้ชีวิตสำรวจมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

ยังกับกำลังถูกตีราคา

“ผมไม่สูบบุหรี่ ปอดเลยน่าจะราคาดีเป็นพิเศษครับ”
เผื่อเจ้าตัวมีความคิดจะผ่าดูคุณภาพเลยเอ่ยดักไว้ก่อน แต่กลายเป็นว่าโดนเลิกคิ้วใส่ด้วยใบหน้าแปลกใจแทน

มือเรียวยื่นมาจับหน้าเปรอะคราบน้ำตาพลิกซ้ายขวาอยู่ซักพักก่อนเผยรอยยิ้มกว้าง

“ทาเคมิจจิใช่ไหม”

“? ค ครับ”

อันนี้คือถามชื่อไว้เผื่อเขียนบนซองอวัยวะเขาใช่ไหม
“ถูกใจแฮะ เอาคนนี้แหล่ะ”

“ห้ะ?”

ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรเป็นเรื่องเป็นราวร่างก็ลอยหวือขึ้นจากพื้นด้วยฝีมือของใครซักคนในห้อง ถูกแบกขึ้นไหล่โลกแกว่งไปมาจนชวนคลื่นไส้

“มอจจี้เอาทาเคมิจจิไปไว้ในห้องทีสิ ส่วนเรื่องรายละเอียดยิบย่อยให้โคโค่จัดการแล้วกัน”

อ้าว อันนี้คือเขารอดแล้วเหรอ
“ดูจากสีหน้าแล้วคงไม่ต้องแนะนำตัว”

“แล้วเจอกันนะ ทาเคมิจจิ”

.
.
.

รอดกับผีสิ

“เจ้าพวกนี้มันอะไรกันครับ…”

“ก็อย่างที่เห็น สัญญาว่าจ้างไง”

เหงื่อแตกพลั่ก นั่งตัวซีดอยู่หน้าแผ่นกระดาษที่หากจรดปลายปากกาลงไปคงไม่ต่างกับการขายวิญญาณให้แก่ปีศาจ
และร่างที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาก็คือปีศาจ

สถานที่แค่เปลี่ยนจากนรกเป็นห้องรับรองที่ดูหรูหราจนไม่กล้ากระดิกตัว แอบคิดในใจว่าคงจะดีซะกว่าถ้าเปลี่ยนชายตรงหน้าเป็นยมราชไปซะให้จบๆ

“ถ้าผมไม่เซ็นจะเกิดอะไรขึ้นครับ”

“ไม่รู้สิ ก็แล้วแต่อารมณ์ไมกี้”
“งั้นขอเปลี่ยนคำถามใหม่”

เม้มปากก่อนช้อนตาประสานกับดวงตาคมกริบอย่างกล้าๆกลัวๆ

“เกิดอะไรขึ้นกับคนก่อนหน้านี้ครับ”

โคโคโนอิกรีดยิ้มตาหยี เท้าคางกับโต๊ะจนคนขี้ระแวงเผลอสะดุ้งถอยหนี

อย่างกับลูกแมวตื่นที่

“นายเป็นคนแรกที่ไมกี้ถูกใจ ในบรรดาทั้งหมดที่ทุกคนหามา”
พูดจบก็ชูนิ่วขึ้นมาตรงหน้าเขาสองนิ้วเป็นเชิงให้ทาย

“รอดสองจากทั้งหมด?”

“เปล่า”

“แล้ว…”

“ส่วนมากตายภายในสองนาที”

โอเค ทาเคมิจิไม่หวังให้ตัวเองรอดไปจากตรงนี้แล้ว หวังให้ได้ตายสบายๆยังดูเป็นไปได้มากกว่า
เขาควรดีใจใช่ไหมที่ไม่ถูกยิงทิ้งภายในสองนาที…

ก้มหน้าก้มตาน้ำตาซึมอ่านสัญญาในมือไปอย่างจำยอม เดิมทีทาเคมิจินั้นเป็นสไนเปอร์ไม่สังกัดแก๊งไหนอยู่แล้วจะให้ทำสัญญาว่าจ้างก็ดูเป็นอะไรที่พอรับได้หากค่าตอบแทนไม่น้อยจนน่าเกลียดเกินไป
ที่จริงปัญหามันก็ไม่ได้อยู่ตรงค่าตอบแทน แต่เป็นความถี่ในการรับงานจะถูกกว่า

เขาไม่ได้มีรสนิยมอยากฆ่าคนเป็นผักปลา ออกจะรังเกียจมันด้วยซ้ำหากไม่เป็นวิธีเดียวที่จะเลี้ยงปากท้องได้

“เอ่อ…โคโคโนอิคุง”

“เรียกว่าโคโค่ก็ได้”

“งั้นโคโค่คุง พอจะบอกรายละเอียดตรงนี้เพิ่มได้รึเปล่าครับ”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ทาเคมิจิรู้แค่ว่าเหมือนตัวเองเป็นหนูตัวเล็กๆที่พยายามหาทางหลบหนีออกจากกรงขัง

ตัวอักษรที่เรียงร้อยบนแผ่นกระดาษพวกนี้จะดีกว่าก็ว่าดี แต่จะเรียกว่าแปลกก็คงไม่เกินจริง

"ข้อเสนอดีๆแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยหรอกนะ ฮานะกาคิ"

อย่างกับโฆษณาชวนเชื่อของพวกนักต้มตุ๋น
สมแล้วที่ได้ชื่อว่าอัจฉริยะทางด้านการเงิน ไม่มีช่องว่างใดๆให้เขาได้ต่อรองเลย

เมื่อหมดหนทางจึงได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้และจำยอมเซ็นให้จบๆไป จะได้กลับไปให้อาหารสุนัขที่บ้านซะที

คิดในแง่ดีอย่างน้อยก็ถือว่าเป็นเกียรติที่ได้ปะทะฝีปากกับโคโคโนอิ ฮาจิเมะ
ถึงเขาจะโดนลักพาตัวมาและสุดท้ายจะแพ้ราบคาบเลยก็เถอะ

"คิดว่านายจะใช้สมองน้อยกว่านี้ซะอีก"

ดูจากที่ฟูมหายในห้องประชุมเมื่อกี้

"ฮ่ะฮ่ะ ผมจะถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน"

หัวเราะแห้งขณะมองตามปลายนิ้วเรียวกรีดเก็บกระดาษทุกแผ่นอย่างคล่องแคล่ว
ไม่รู้เหตุใดโคโค่ถึงหลุดยิ้มขำออกมาเมื่อได้ยิทาเคมิจิตอบไปแบบนั้น

ร่างโปร่งผุดลุกขึ้น จับสันกระดาษเคาะลงกลางศรีษะปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มนิ่มเบาๆก่อนหันหลังเดินจากไป

"นั่นเป็นคำชมอยู่แล้ว เจ้าโง่"
คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่าสีหน้าของโคโคโนอิตอนนี้มีประกายความถูกใจในดวงตาเรืองรองมากแค่ไหน

หรือไม่ก็ต้องเป็นใครสักคนที่ยืนอยู่อีกฟากของประตูห้องรับรองมานานพอจะได้เห็นโคโค่เดินออกไปอย่างสองพี่น้องไฮทานิตอนนี้
พิมพ์พ์ผิดเพียบ..เขินเลยไปนอรดีก่ท
รินโดขมวดคิ้วมุ่นมองตามแผ่นหลังของเพื่อนร่วมงานไปจนลับสายตาท่ามกลางความฉงนที่เริ่มก่อตัว

เขาหันไปสบตากับพี่ชายที่ดูเหมือนจะรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่ก่อนพรูลมหายใจ วกกลับเข้าประเด็นที่ยืนบ่นก่อนหน้า

“แล้วทำไมพวกเราต้องเป็นคนขับรถให้ด้วยเนี่ย”

“ ก็น่าสนใจดีออกไม่ใช่รึไง”
“เฮอะ”

“อย่าลืมไปขอโทษเขาล่ะ ดูท่าจะต้องร่วมงานกันอีกนาน”

“ให้มันจริงเถอะ”

ยักไหล่ตอบขณะผลักประตูเข้าไป ใครจะคิดว่าร่างเล็กๆสั่นกลัวจนน่าหงุดหงิดแบบนั้นจะไปต้องใจไมกี้ได้ล่ะ ในเมื่อคนก่อนๆก็ถูกเก็บในชั่วพริบตาอย่างกับเด็ดกลีบดอกไม้ทิ้งเป็นว่าเล่น
“…ไฮทานิ”

ทันทีที่ก้าวพ้นขอบประตูปฏิกิริยาแรกที่ได้กลับมาคือร่างที่ถอยกรูดกลับไปชิดผนังอีกฟาก ใบหน้าซีดเผือดอย่างกับเห็นผีเกือบไปกระตุกเส้นข้างขมับรินโดแล้วถ้ารันไม่เอ่ยขัดขึ้นมาซะก่อน

“ไง เจอกันอีกแล้วนะคุณสไนเปอร์ตัวน้อย”

คราวนี้กลายเป็นรินโดที่เหมือนเห็นผีเข้าจริงๆ
อารมณ์ไหนของพี่เนี่ย…

หันขวับมองรอยยิ้มนุ่มนวลที่ดูยังไงก็น่าเกลียด กดหัวคิ้วลงอย่างคนไม่อยากจะเชื่อสายตา

ทั้งที่เมื่อกี้ยังยืนดูเข้าแกล้งเจ้าคนขี้แยนิ่งๆอยู่เลย ตอนนี้สับสวิตช์กลายเป็นหนุ่มพราวสเน่ห์ไปซะแล้ว

“พี่…ที่นี่ไม่ใช่บาร์นะ” กระซิบลอดไรฟันเสียงเบา
ถ้าอยากหลีสาวก็ไปทำที่อื่น ร่างตรงหน้าคือมือปืนฝีมือกฉาจจะให้ไปพูดจ๊ะจ๊าด้วยมันก็ออกจะน่าลำบากใจไปหน่อย

“รู้น่า”

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟังกันเท่าไหร่ คนตัวสูงก้าวไปใกล้ร่างยืนตัวสั่นงั่นงก ยื่นมือออกไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

“ไม่ต้องกลัว พวกเราจะเป็นคนพาเธอกลับบ้านเอง”
ทาเคมิจิกระพริบตาปริบ เมื่อได้ยินคำว่าบ้านก็ลังเลอยู่ไม่นาน ยอมจับมือกว้างแต่โดยดีแม้จะติดระแวงสายตาฉุนเฉียวของผู้เป็นน้องข้างหลังอยู่บ้าง

ทันใดที่เจ้าลูกแมวขนฟูยอมไว้ใจ ข้อมือก็ถูกจับหมับกระชากให้ลอยเข้ามาชนกับแผงอกใต้เสื้อสูทราคาแพงจนมึนงง
ทาเคมิจิเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มไมตรีจิตยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปจากใบหน้าคมคาย หากแต่ดวงตานั้นวาวไปด้วยความสนุกสนานอย่างผู้ล่าได้เห็นเหยื่อตัวจ้อย

“แต่ก่อนหน้านั้น— ”

“ช่วยมาเล่นสนุกด้วยกันหน่อยสิ”

อันตราย

ขนอ่อนลุกชันไปทั้งตัว สั่นหัวดิ๊กพยายามดิ้นออกจากวงแขนที่โอบล็อคเอวสุดชีวิต
“ปล่อยนะครับ! คิดจะทำอะไรน่ะ!?”

“หืม? ในสัญญาก็น่าจะมีบอกไม่ใช่เหรอ”

ร่างที่กำลังดิ้นขลุกขลักชะงัก แทบจะกรอเทปความทรงจำกลับไปย้อนอ่านสัญญาที่ว่าทุกบรรทัดใหม่

“แย่จัง…แบบนี้คงต้องทวนความจำกันซักหน่อย”
รันผลิยิ้มบาง ลากไล้ปลายนิ้วร้อนผ่านแนวหลังคอขาว สางผมนุ่มแถวท้ายทอยเล่นระหว่างรอน้องชายเดินไปหยิบบางอย่างออกมาจากลิ้นชัก

ทาเคมิจิสั่นเป็นลูกกวางหน้าแดงเถือกเมื่อถูกสันจมูกหยอกล้อคลอเคลียกับใบหู ไม่ว่าจะย้อนกลับไปอ่านมันกี่ครั้งเขาก็ไม่เห็นจำได้ว่ามีสัญญาที่มันหวาบหวิวแบบนี้ด้วย
นี่เขาสะเพร่าอ่านไม่ละเอียดงั้นเหรอ

สติกระเจิงไปไกลพร้อมกับร่างที่หยุดดิ้นหนีทำให้ไฮทานิคนพี่เผยสีหน้าพอใจไม่น้อย สบสายตาคนน้องที่เดินกลับมาพร้อมกับบางอย่างในมือ

รันกดศรีษะทุยจมไปกับอก ให้หลังคอขึ้นสีปล่อยโล่งสู่สายตาติดจะเบื่อหน่ายของรินโด

ทำตัวเป็นหมาหยอกไก่
“กัดฟันแน่นๆนะคะคนสวย”

กระซิบเสียงหวานกอดรัดร่างเขาแน่นขึ้นจนเริ่มรู้สึกอึดอัด ทาเคมิจิไม่ทันได้ถามอะไรความรู้สึกเจ็บแปล๊บแทบน้ำตาซึมก็พุ่งเข้าสู่โสตประสาท

“อึก!”

ใบหน้ากลมซีดเผือดเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก เผลอฝังหน้ากับเสื้อสูทเนื้อดีกำมันจนยับยู่เพื่อระบายความเจ็บ
และในที่สุดก็ได้เข้าใจว่าสัญญาที่ว่าคืออะไรเมื่อหันกลับไปมองคนด้านหลังพร้อมกับความรู้สึกเจ็บจี๊ดบนหลังคอ

ปืนฝังเครื่องติดตาม

หันขวับกลับมามองรอยยิ้มใสซื่อของคนเข้ามาอ้อล้อกับตนสลับกับรอยยิ้มล้อเลียนมุมปากของคนน้อง

อยากจะมุดดินหนี

นี่เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย ให้ตายเถอะ
ในเอกสารที่เซ็นไปก็เหมือนจะมีอะไรแบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่ช่วยบอกกันดีๆไม่ได้เหรอ จำเป็นต้องถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ไหม

ผิวแดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิมด้วยความขวยเขิน รีบผละตัวออกห่างจากอ้อมกอดกลิ่นหอมชวนมัวเมา ซึ่งคราวนี้รันก็ยอมปล่อยเขาออกมาง่ายๆโดยไม่ได้รั้งเอาไว้
“นิสัยไม่ดี”

บ่นงุบงิบ เบ้ปากน้ำตาคลอกับความเจ็บเมื่อแตะหลังคอ ทาเคมิจิสาบานเลยว่าจะไม่เข้าใกล้ตัวอันตรายทั้งสองอีกแล้ว

ซึ่งใบหน้าบูดบึ้งติดระแวงนั่นทำให้พี่น้องไฮทานิแทบจะลงความเห็นพร้อมกันเลยว่าเพื่อนร่วมงานใหม่แกล้งสนุกชะมัด

“อย่าคิดจะหนีล่ะ ถ้าพยายามเอาออกมันจะช็อตเธอ”
ไอ้กับแค่ถูกช็อตเขาไม่กลัวหรอก แต่หลังจากนั้นน่ะสิคงได้ถูกรุมทึ้งเป็นเศษเนื้อแน่

บงเท็นไม่มีที่ยืนให้กับคนทรยศ เป็นคำพูดที่ได้ยินผ่านหูบ่อยครั้งสมัยเข้าวงการมาใหม่ๆจากปากเหล่ารุ่นพี่มือสไนเปอร์ที่ไปสังกัดแก๊งต่างๆ
เคยคิดอยู่หรอกว่ามันจะขนาดไหนกันเชียว จนได้เห็นหนึ่งในนั้นกลายเป็นศพไร้หัวไม่เหลือเค้าเดิมจนระบุตัวตนเกือบไม่ได้ ถึงเข้าใจว่าไม่ควรแหย่เท้าเข้ามายุ่งในที่แห่งนี้แม้แต่ปลายเส้นขน

ภาวนาให้นายเหนือหัวที่นี่ไม่ใช้งานเขาหนักนัก ทาเคมิจิยิ่งอ่อนไหวกับงานที่ต้องฆ่าคนพร่ำเพรื่ออยู่
“อ่ะ เอานี่ไป”

กระเป๋าใบใหญ่หน้าตาคุ้นเคยถูกยื่นคืนให้ระหว่างหย่อนตัวนั่งลงบนเบาะรถคันหรูเพื่อตรงกลับบ้านตามคำสัญญา สไนเปอร์ตัวน้อยตาวาวปิดความดีใจไว้ไม่มิดเมื่อสิ่งที่ถูกยึดไปกลับสู่อ้อมแขน

“หนักเป็นบ้า นี่แกแบกปืนหนักๆแบบนั้นเดินไปไหนมาไหนได้ยังไงกัน ตัวก็แค่นี้”
ปากบ่นไปแต่ก็แอบทิ้งตัวบนเบาะข้างคนตัวเล็กที่รีบร้อนเปิดกระเป๋าออกมาเช็คดูของสำคัญข้างใน ขณะที่ปล่อยให้พี่ชายทำหน้าที่เป็นสารถีรินโดก็นั่งมองนิ้วมนลูบไปตามกระบอกปืนคู่ใจเงียบๆ

จนวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างเริ่มขยับซักพักจึงลองเปิดปากหาเรื่องชวนคุยดู

“ชอบขนาดนั้นเลย?”
มองมือที่กำลังขยับอยู่หยุดนิ่ง แววตายังเจือปนไปด้วยความหวาดระแวงฉายแววหวั่นใจที่จะตอบ

“รินโดไม่ทำอะไรหรอก เห็นแบบนั้นน่ารักกว่าที่คิดนะ”

“เงียบไปเลยพี่”

แหวใส่คนขับรถจำเป็นจนได้เสียงหัวเราะเอ็นดูกลับมา คลายบรรยากาศอึดอัดไปได้ไม่น้อย
ทั้งสองดูผ่อนคลายขึ้นมากจนทาเคมิจิเริ่มคล้อยตามไปด้วย

“ไม่ต้องมาแอบยิ้มเลย จะตอบไม่ตอบ ไม่ตอบฉันจะนอนแล้ว”

เอนตัวกระฟัดกระเฟียดพาลไปทั่วเหมือนเด็ก ความน่ากลัวก่อนหน้าพลันหายไปหลายส่วน เห็นแบบนั้นจึงเป็นครั้งแรกได้รอบวันที่รอยยิ้มถูกยกประดับบนใบหน้านวลของคนขี้กลัว
“ไม่ได้ชอบหรอกครับ…แค่ขาดมันไม่ได้น่ะ”

เจ้าของดวงตาโค้งตกทั้งสองชำเลืองมองคนตัวเล็ก พอจะเข้าใจได้ทันทีว่ามันหมายถึงอะไร

ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่ก้าวเข้ามาในบ่อโคลนด้วยความเต็มใจ

เกินกว่าครึ่งก็เพราะความจำเป็นทั้งนั้น
“ไม่อยากเปลี่ยนงานบ้างรึไง”

“ถ้ามันเลิกกันง่ายๆก็ทำไปนานแล้วครับ”

ก็จริง

การร่วงหล่นลงมานั้นแสนง่ายดายเหมือนแค่หายใจทิ้ง

ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเหล่าผู้คนใต้เงาอย่างเราๆอีกแล้ว

“แต่อย่างน้อยถ้าแกมาอยู่บงเท็นก็คงสบายขึ้น พวกเราน่ะแข็งแกร่งจะตายไป”

“ฮ่ะฮ่ะ คงงั้นมั้งครับ”
ในเมื่อโบยบินกลับขึ้นไปไม่ได้ก็ต้องสวมห่มคราบเดรัจฉานเพื่อมีชีวิตรอด ต่อไป บงเท็นก็ใช่เปลือกที่แย่เลยสำหรับทาเคมิจิ

แต่ก็นั่นแหล่ะ ยิ่งมากอำนาจยิ่งมากเรื่องวุ่นวาย

“ยังไงผมก็ปฏิเสธพวกคุณไม่ได้อยู่แล้วนี่”

น้ำตาแทบซึมเมื่อคิดถึงสัญญาว่าจ้างสุดจะหน้าเลือดนั่น
ไหนจะคำขู่ต่างๆนาๆอีก มันไม่ถูกต้องตั้งแต่ลักพาตัวเขาไปเพื่อบังคับให้ทำสัญญากับแก๊งแล้ว

ติดต่อนายหน้ากันไม่เป็นรึไง ไม่ก็ฝากข้อความไว้ก็ได้

กอดอาวุธในอ้อมอกแน่น สิ่งพึ่งพาทางใจเพียงอย่างเดียวก็ดันกลายเป็นปืนที่เข่นคร่าชีวิตผู้คน ตลกร้ายชะมัด

“แล้วจะเริ่มทำง— ”

ปัง!!
เสียงกระจกหลังรถแตกดังสนั่นแทรกผ่านบทสนทนาพร้อมกับหยาดเลือดไหลรินข้างแก้มเจ้าของเส้นผมยาวสีไลแลค ทาเคมิจิเบิกตากว้างตื่นตระหนก

“รินโดหมอบลง!”

แทบทันทีกับผู้เป็นพี่ที่ตะโกนออกมาก่อนเหยียบคันเร่ง ไฮทานิคนน้องคว้าศรีษะเจ้าแมวทึ่มทื่อกดลง ไม่พูดพร่ำปลดไกปืนยิงโต้ตอบอย่างชำนาญ
“ชิ ขยันรนหาที่ตายกันได้ทุกวี่ทุกวัน”

รินโดกลอกตาเบื่อหน่ายเหมือนพูดเรื่องทั่วไปขณะที่เปลี่ยนซองกระสุน ทาเคมิจิมองภาพความวุ่นวายน้ำตาคลอเบ้า กอดกระเป๋าแน่นขดตัวใต้เบาะ ไม่กล้าแม้แต่กระดิกตัว

“พวกเราที่เหลือล่ะ?”

“น่าจะโดนเก็บไปหมดแล้ว”
“ห่วยเป็นบ้า กลับไปจะหักกระดูกแม่งให้หมดเลย”

“ก็เอาสิ ถ้ายังมีใครรอดมาให้หักได้ล่ะก็นะ”

ปรอทอารมณ์พุ่งทะลุเพดานแทบจะทันที รันกระตุกยิ้มเมื่อเห็นน้องชายไฟติด ตบพวงมาลัยเลี้ยวเข้าตรอกซอกซอยอันคุ้นเคยดี

“กี่คัน”

“สี่ รถสอง มอเตอร์ไซค์สอง”
ไม่ทันเอ่ยจบมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็ตีขนาบข้างเข้าใกล้ตำแหน่งคนขับ ปลายกระบอกปืนถูกเล็งมาทางไฮทานิคนพี่

และตามด้วยเสียงลั่นไก

กลับกลายเป็นว่ารันชิงลงมือยิงก่อนด้วยปืนในมือที่ไม่ได้จับพวงมาลัยอีกข้าง ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือแววตาเยือกเย็นไม่ได้ละออกจากเส้นทางเลย

“ตอนนี้สามแล้ว”
สาบานได้เลยว่าทาเคมิจิเห็นรอยยิ้มละไมบนใบหน้าอ่อนโยนนั่นไม่กระดิกเปลี่ยนสักองศาเดียว

นี่เขามาอยู่กลางดงสงครามอะไรกันเนี่ย

สั่นเป็นเจ้าเข้าได้ไม่นานคนข้างๆก็คว้าหมับเข้าที่ลาดไหล่ เขย่าๆจนหัวคลอนไปหมด

“กระสุนฉันหมดแล้ว! แกยิงสกัดพวกมันไปก่อนนะ จะไปหากระสุนสำรอง!”
“ห้ะ!? ค ครับ!”

รถโคลงเคลงอาจเป็นปัญหาสำหรับคนอื่นแต่ขึ้นชื่อว่านักแม่นปืนหาตัวจับยากแล้วมันแทบไม่ส่งผลอะไรกับทาเคมิจิ

ปัญหาหลักในตอนนี้ของเขามีเพียงท่าทางในการเล็งที่ไม่อำนวยต่อแรงดีดปืนขนาดใหญ่อย่างไรเฟิลเลย ยิงไปก็มีแต่จะเปลืองกระสุนเปล่าๆ
“คือว่า..”

ท่าทางละล่ำละลักเรียกให้สายตาติดหงุดหงิดตวัดกลับมามอง

“อะไร? ฉันรีบอยู่อย่าพึ่งกวน”

ดูจากท่าทางแล้วเจ้าตัวคงไม่รู้ว่าปืนของเขามันเป็นประเภทซุ่มยิงแบบได้ทีละนัด

ให้ยิงสกัดน่ะ…ไม่ไหวหรอก มีหวังถูกสอยร่วงก่อนพอดี

แต่ถ้าหวังผลล่ะก็ไม่แน่
“ยืมตัวหน่อยได้ไหมครับ”

นี่คงเป็นสีหน้าตลกที่สุดเท่าที่ทาเคมิจิได้เห็นมาจากคนตรงหน้าแล้ว

“เอาจริงดิ มันเวิร์คแน่เหรอ”

เขาก็อยากจะถามกับตัวเองเหมือนกันแต่ว่าคงไม่มีเวลาขนาดนั้น

แผ่นหลังแนบชิดกับอกแกร่งสองมือประคองปืนคู่ใจพาดบนเบาะพิงโดยมีร่างอีกคนยันตัวไม่ให้กระเด็นไปด้านหลัง
มองเผินๆเหมือนเขากำลังนั่งตักอีกฝ่ายอยู่ ซึ่งวินาทีเป็นตายแบบนี้ก็ไม่มีเวลามาเขินอายอะไรแล้ว

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวในฐานะสไนเปอร์ของฮานะกาคิ ทาเคมิจินั้นคือการที่เขาตัวเล็กเกินไป

หากไม่ได้ตั้งยันปืนให้มั่นคงไว้กับพื้นตัวก็แทบจะกระเด็นไปกับแรงดีด
และตอนนี้ข้อเสียนั่นกำลังถูกทดแทนด้วยคนข้างหลัง

“นิ่งๆนะครับ”

ไม่ปฎิเสธหรอกว่านี่มันโคตรจะล่อแหลม ไม่รู้จะตื่นเต้นตรงไหนก่อนดีจนมือสั่นกว่าปกติไปมาก

แต่ทันใดที่ปลายนิ้วได้แตะไกปืนสมาธิก็ถูกรวมรวมไว้ยังจุดๆเดียว
โลกหมุนช้าลง ประสาทสัมผัสเปิดออก มองเห็นแม้กระทั่งเศษกระจกที่ปลิดปลิวออกไปนอกตัวรถ

นัดที่หนึ่งพุ่งตรงออกไปเจาะเข้ากลางหน้าผากตำแหน่งข้างคนขับที่ระดมยิงมาทางพวกเขาไม่หยุด

ปลดลูกเลื่อนอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจคนนั่งนิ่วหน้าเจ็บจากการโดนกระแทกจากไหล่เล็ก
ลืมสนใจแม้กระทั่งว่าถูกแขนแข็งแรงโอบรอบเอวอย่างถือวิสาสะ

นัดที่สองทะลุเข้าไหล่ขวาคนขับและไม่นานก็ตามด้วยนัดสุดท้ายที่ล้อรถ

รถหนึ่งคันเสียหลักชนผนังข้างตรอกไป เหลืออีกหนึ่งคันถ้วน

“ใช้ได้นี่”

เสียงผิวปากเอ่ยชมดังขึ้นจากคนที่พึ่งเก็บมอเตอร์ไซค์อีกคันไปหมาดๆ
ไม่มีเสียงใดตอบกลับ ดวงตากลมโตที่สะท้อนเพียงภาพเป้าหมายต่อไปเพียงเท่านั้นกำลังทำรันและรินโดขนลุกเกลียวด้วยความตื่นเต้น

นี่มันสนุกเป็นบ้า ไม่ได้รู้สึกเนื้อเต้นขนาดนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ

อยากจะเห็นอีกฝ่ายโลดแล่นอยู่ใต้ชื่อบงเท็นใจแทบขาดแล้วสิ
กระสุนนัดต่อไปพุ่งออกจากรังเพลิงเจาะเข้ากระโหลกคนขับฝั่งศัตรูไปง่ายดายเหมือนจับวาง ไม่มีนัดใดถูกยิงออกไปอย่างเสียเปล่า

ยมทูตตัวน้อยเตรียมจะปลิดชีวิตสุดท้ายเพื่อปิดงานขณะปลดลูกเลื่อนอีกครั้ง
พลันแรงกระชากจากการเหยียบเบรคกระทันหันรั้งให้ร่างเล็กหงายหลังล้มโครมใส่คนตัวสูงกว่าที่สภาพไม่ต่างกัน

“ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ย!!??”

รินโดเปิดปากโวยวายลั่น ท้ายทอยเจ็บจี๊ดจากการถูกกระแทกทั้งสภาพวงแขนยังคงประคองคนสมาธิไม่ยอมหลุดไม่ให้เจ็บตัว
แต่แล้วก็ต้องพลันหุบปากฉับลงทันทีเมื่อสายตาของผู้เป็นพี่ที่มองทอดออกไปมีอายความโกรธไหววูบอยู่ในนั้น

เกิดอะไรขึ้น

รถที่ขับตามมาติดๆถูกระดมยิงจนหยุดนิ่งไปไม่ห่างจากจุดที่พวกเขาจอดอยู่ กลุ่มชายฉกรรจ์อาวุธครบมือในชุดสูทคุ้นหน้าคุ้นตานั้นทำให้รินโดเริ่มปะติดปะต่อทุกอย่างได้
เจ้าพวกนั้นมัน…

“อ้าว? เหลือน้อยกว่าที่คิดอีกแฮะ”

และร่างสูงที่ปรากฏตัวขึ้นเป็นเครื่องยืนยันความจริงทุกอย่างได้เป็นอย่างดี

“อาคาชิ!!!”

เสียงตะโกนกราดเกรี้ยวพร้อมกับฝ่าเท้าถีบกระแทกประตูรถออกมา ไม่เกินความคาดหมายของหนึ่งในระดับสูงของบงเท็นเลยแม้แต่น้อย
“ไฮทานิ— ขอบใจที่เหนื่อยนะ”

ตอบโต้ด้วยเสียงไม่ทุกข์ร้อน ท่าทางสบายๆแทบจะทำเส้นอารมณ์คนใจร้อนขาดผึงในทันที

“ฝีมือแกสินะ!”

กระชากคอเสื้อเข่นเขี้ยวกัดฟันกรอด สายตาแทบจะกินเลือดกินเนื้อไม่ได้ทำจอมวางแผนสะทกสะท้าน
อาคาชิเพียงตอบโต้โดยการคีบบุหรี่ออกจากริมฝีปาก ยิ้มบางอย่างไม่ถือสา

“น่าๆ อย่าพึ่งโมโหกันเลย…เดี๋ยวอายุสั้นหมดพอดี”

“แกสิจะได้อายุสั้น! นี่ใช้ฉันกับพี่เป็นเหยื่อล่อใช่ไหม!?”

“ก็มันเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดนี่นา”

“แก!!” “ พอได้แล้วรินโด”
รันที่เดินสมทบถอนหายใจ เขาเข้าใจความรู้สึกน้องชายดีแต่ที่นี่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเคืองโกรธกัน

“พี่ก็คิดเหมือนกันไม่ใช่เหรอว่ามันแปลกน่ะ!?”

การที่พวกมันเข้าถึงตัวระดับผู้บริหารได้ง่ายขนาดนั้นกลับหัวดูยังไงก็ไม่ปกติ

“รินโด นายกำลังทำให้ฮานะกาคิกลัวนะ”

“!”
หันขวับมองคนที่ตนหิ้วเข้าเอวติดมือมาด้วย ทั่วทั้งร่างเล็กสั่นกลัวจนคนอุ้มยังรู้สึกได้ ดวงตาที่เคยสงบนิ่งคลอไปด้วยน้ำตาใกล้หยดอยู่รอมร่อ

ทั้งที่เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลยแท้ๆ

“แม่ง..!”

กระฟัดกระเฟียดเดินผละออกไป ไม่วายได้ยินเสียงก่นด่าดังออกมาไม่ขาดสาย
รันยิ้มอ่อนอกอ่อนใจ ถึงจะโมโหแค่ไหนน้องชายของเขาก็ยังเป็นห่วงสมาชิกใหม่มากกว่า เห็นทีคงถูกใจสไนเปอร์ตัวเล็กไม่น้อยไปกว่าเขาเลย

ก่อนรอยยิ้มจะจางหายไปเหลือเพียงแววตาเย็นเยือก

“หวังว่าจะมีเหตุผลดีๆที่ทำแบบนี้นะ คุณที่ปรึกษา”

“แน่นอน รับรองว่าคุ้มค่าเหนื่อยแน่”
คล้ายมีสายฟ้าผ่าลงคั่นกลางระหว่างพวกเขา

อาคาชิจัดเนคไทและปกสูทให้เข้าที่เข้าทางลอบมองแผ่นหลังของคนที่เดินโมโหออกไป ลากสายตาไปยังร่างที่เป็นหนึ่งในข้อพิสูจน์ในวันนี้

ดูเหมือนข่าวลือจะน่าเชื่อถือกว่าที่คิด

จะลองคาดหวังดูสักนิดแล้วกัน
ทางฝั่งคุณสไนเปอร์ขี้กลัวตอนนี้กำลังถูกลูบหน้าลูบตาปลอบเก้ๆกังๆจนอยากจะร้องไห้ยิ่งกว่าเดิม พอเบะปากจะปล่อยโฮคนปลอบก็ยิ่งลนลาน

“ย อย่าร้องดิ”

รินโดเหงื่อตกเอ่ยเสียงแผ่ว อารมณ์ฉุนเฉียวพลันถูกแทนที่ด้วยความลำบากใจ

เขาเคยปลอบใครที่ไหน มีแต่โดนพี่ชายปลอบ
“ฮึก”

“ไม่ร้องๆ ฮึบไว้เร็ว”

คิดอะไรไม่ออกนอกจากตบปุลงกลางเส้นผมนุ่มฟู แม้ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆถึงร้องไห้ก็เถอะ แต่นี่ก็สุดความสามารถรินโดแล้วเหมือนกัน

ตะกี้ยังยิงเอาๆอยู่เลย ไหงกลับเป็นเจ้าขี้แยคนเดิมแล้วล่ะเนี่ย

“อึก ผม…”

“อยากกลับบ้าน”
ได้ยินแบบนั้นก็ผ่อนลมหายใจ ช้อนร่างยืนกกกอดปืนกระบอกเดิมขึ้นแนบอก เดินตรงกลับไปหาพี่ชายที่กำลังก้าวมาทางนี้เช่นกัน

“ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนกันใช่ไหม”

“ไม่ แค่กระสุนเฉี่ยวหน้าไปนิดหน่อย”

“แล้วเธอล่ะ?”

ก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อสำรวจเด็กตาแป๋วที่ตอนอยู่ยังสั่นเป็นลูกกระต่าย
“ให้ผมกลับบ้านเถอะนะครับ”

แม้จะตอบไม่ตรงคำถามแต่รันก็ยิ้มรับด้วยความใจดี

“ได้สิ ครั้งนี้พวกเราจะไปส่งให้ถึงบ้านเลย”

ว่าพลางลูบหัวทาเคมิจิ ย้อนคิดถึงภาพยามอีกฝ่ายแสดงฝีมือให้ประจักษ์ก็เนื้อเต้นจนอยากให้วันที่ได้ทำงานร่วมกันมาถึงเร็วๆแล้วสักที
ซึ่งทุกสีหน้านั่นก็สะท้อนอยู่ในดวงตากลม ปากนิ่มเม้มเข้าหากันก้มงุดหนีฝ่ามือใหญ่ด้วยความรู้สึกไม่เคยชิน เรียกเสียงหัวเราะนุ่มแผ่วเบาด้วยความเอ็นดู

น้ำตาที่คลอหน่วยแห้งเหือดลงเพียงชั่วอึดใจ

นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มีใครมาทำตัวอ่อนโยนด้วย…
ถึงแม้จะเพราะผลประโยชน์หรืออะไรก็ตามมันก็ไม่ได้รู้สึกน่าสะอิดสะเอียนอย่างที่เคยเจอ

เขาอาจตัดสินใจถูกที่ตกลงเข้าร่วมกับบงเท็นก็ได้ใครจะรู้…

“เอาล่ะ ได้ว่าเวลาส่งเจ้าหญิงกลับปราสาทแล้ว”

“น่าเกลียดอย่างพี่เป็นเจ้าชายไม่ได้หรอกนะ”

“ปากร้ายจังเด็กคนนี้”
ว่าพลางหยิกแก้มน้องชายด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่ดูเหมือนจะเล็งผิดไปโดนแผลที่พึ่งได้มาหมาดๆเลยเกือบโดนงับนิ้วกลายเป็นคนเจ็บเพิ่ม

ทาเคมิจิกอดปืนในอกแน่นขึ้นทันที่ที่รินโดเริ่มวิ่งไล่พี่ชายสายเลือดเดียวกันทั้งที่ยังอุ้มเขาอยู่เพื่อเอาคืน
อย่างกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเฉียดตายกันมา นึกสงสัยถึงคุณสมบัติของผู้บริหารที่นี่ว่าต้องบกพร่องด้านความรักตัวกลัวตายด้วยรึเปล่า

ก็ทำได้แค่สงสัย พูดออกไปมีหวังได้ไปนอนเล่นคุยกับปลาที่ก้นทะเลแน่

คิดเสร็จก็นอนกอดปืนเงียบๆให้อีกคนอุ้มวิ่งไปมาอย่างว่าง่าย
คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยเพื่อสลัดความกลัวต่อไฮทานิทั้งสอง โดยเฉพาะคนพี่

และไม่นานหลังจากนั้นในที่สุดสไนเปอร์ตัวน้อยที่ได้ออกไปผจญโลกกว้างมาทั้งวันก็ได้กลับสู่รังอันแสนปลอดภัยของตนเอง

รันและรินโดทำตามที่สัญญากับเขาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แทบจะอุ้มไปส่งที่ห้องด้วยซ้ำหากไม่โดนห้ามปราม
ทั้งสองดูแปลกใจไม่น้อยที่ตึกขนาดเล็กซอมซ่อข้างตรอกย่านโคมแดงคือที่ซุกหัวนอนของสไนเปอร์หนุ่มชื่อดังที่ใครๆต่างก็ต้องการตัว

ทั้งที่ก็ดูไม่ได้อัตคัดขัดสนใดๆแท้ๆแต่กลับอยู่ในที่ที่เหมือนอาคารร้างแบบนี้

ทาเคมิจิจึงยิ้มแห้งแล้วให้เหตุผลไปว่าเพราะมันปลอดภัยจากสายตาพวกระดับสูง
ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว…

อยากจะร้องไห้ เขาอุตส่าเก็บตัวอยู่ใต้เงาของแสงสีมาได้ตั้งนาน อย่าให้รู้นะว่าใครมันแอบเอาข้อมูลเขาไปปล่อยขาย จะตามไปเอาคืนให้สาสม

การร่ำลาใช้เวลาไม่มากนักในที่สุดก็ได้กลับคืนสู่พื้นที่อันคุ้นเคย
เหยียบย่างบันไดขึ้นไปยังชั้นสูงสุดด้วยความเคยชิน ที่สูงและโล่งกว้างยังคงทำให้รู้สึกปลอดภัยได้เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

ทุกชั้นที่เดินผ่านเงียบสงบชวนวังเวง ผนังปูนเปลือยไร้การตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแทบเรียกได้ว่าไม่มี

ตึกแคบๆที่มีเพียงคนๆเดียวเป็นเจ้าของ
ความเย็นแทรกซึมเข้าสู่ผิวยามโดนลมปะทะใบหน้าคือสิ่งที่ทำให้คนตัวเล็กใจชื้นได้มากที่สุดหลังจากอยู่ในที่แคบๆมานาน

เขากวาดตามองโดยรอบก่อนทิ้งตัวข้างกำแพงเย็นชืดเมื่อเห็นว่าสภาพทุกอย่างบนชั้นดาดฟ้ายังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนก่อนหน้าจะถูกลักพาตัวไป
เรี่ยวแรงวันนี้ถูกใช้ไปมากจนหนังตาหนักอึ้งทิ้งตัวลงแทบลาโลกโดยทันที สไนเปอร์คนเก่งเมินเฉยเสียงประท้วงของกะเพาะ นั่งชันเข่ากอดปืนคู่ใจไว้ไม่ห่างตัว

ดำดิ่งลงสู่ห้วงความมืดไปพร้อมกับดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ เก็บรวบรวมความคิดและอารมณ์มากมายจมไปกับสติเลือนลาง
‘อย่าฆ่าฉันเลย ได้โปรด’

คือคำพูดที่ส่งผ่านแววตาเหยื่อทุกคนที่ถูกลำกล้องนี้เหนี่ยวไกลใส่

เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพดวงตาที่เผยธาตุแท้และความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจทับซ้อนอยู่ในเลนส์กล้องเล็กๆขนาดไม่กี่เซนจนกองสูงมานานปี
การปลิดชีวิตในนัดเดียวนั่นคือความเมตตาสูงสุดที่ทาเคมิจิจะมอบให้ได้ในฐานะสไนเปอร์

รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าโด่งดังขึ้นมาเพราะความใจอ่อนนั้นเป็นต้นเหตุซะแล้ว

ความรู้สึกผิดที่มากล้นก็ยิ่งเอ่อนองจากปากแก้ว ในเมื่อตามความจริงแล้วมันไม่ต่างกับการเหยียบย่ำบนซากศพเพื่อความสนุกเลย
จากที่เคยรับงานเท่าที่ไหวก็เปลี่ยนเป็นนานๆจะรับมาสักงานแค่พอเลี้ยงปากท้อง

เงินที่ได้มาส่วนใหญ่ก็บริจาคไปหมด ถึงเป็นเงินสกปรกที่ได้จากการเข่นฆ่าแต่มันก็ทำให้เด็กบางคนมีข้าวกินไปอีกหลายมื้อ ต่อลมหายใจไปได้อีกหลายชีวิต คงเป็นวิธีไถ่บาปไม่มากที่เขานึกออก
หากบงเท็นต้องการใช้ฮานะกาคิ ทาเคมิจิเป็นอาวุธสังหารมีชีวิตล่ะก็…เขาควรทำยังไงดี

คงไม่ง่ายที่จะหนีเหมือนครั้งก่อนๆ อำนาจมากล้นในมือปีศาจเลือดเย็นแทบจะทุบทำลายทุกอย่างได้เพียงแค่รู้สึกขัดหูขัดตา

ไออุ่นจากมือกว้างยังคงติดตรึงในห้วงสัมผัส มันเกือบทำเขาเผลอไผลจนไขว่คว้าไว้แล้ว
ต้องรีบวิ่งหนีไปให้ไกลก่อนที่ถอนตัวไม่ขึ้น ท่องกับตัวเองว่าความใจดีนั่นคงเป็นแค่เปลือก อย่าได้คิดลุ่มหลงไปกับมันอีก

สถานที่สำหรับคนอย่างเขาไม่เคยมีอยู่จริงตั้งแต่แรก

หยดน้ำตากลมกลิ้งร่วงหล่นจากหางตา วงแขนก่ายกอดปกป้องตัวเองจากความหนาวเย็นที่เสียดแทง
ผลอยหลับไปพร้อมกับความเหนื่อยล้า โอบล้อมด้วยกลิ่นอายโดดเดี่ยวอย่างเช่นทุกครา

.
.
.
.

อุ่น

ไออุ่นเบาบางจากผ้าห่มผืนนุ่มปลุกให้แพขนตาชื้นปรือเปิดออก

ทาเคมิจิไม่ยักจะจำได้ว่าตัวเองห่มผ้าก่อนนอนด้วย ลืมไปด้วยซ้ำว่าเดินกลับมานอนบนเตียงนุ่มๆเมื่อไหร่
ไม่สิ ไม่ใช่แค่จำไม่ได้

บ้านเขามีเตียงซะที่ไหนล่ะ

คิดได้ปุ๊บก็เด้งตัวลุกพรวดตวัดผ้าห่มจากเตียงหลังใหญ่ออก โชคดีที่อาวุธไม่ได้หายไปไหน ปืนกระบอกเดิมถูกยกขึ้นเตรียมพร้อมโจมตีตามสัญชาติญาณ

แต่ตั้งท่าไม่ได้เท่าไหร่ร่างผอมก็ตัวเซกลับไปฟุบกับฟูกเหมือนเดิม
สไนเปอร์หนุ่มตื่นตระหนกเบิกตากว้างขณะพยายามรีบยันตัวกลับขึ้นมาอีกครั้ง

สมดุลร่างกายมัน…

“ผลข้างเคียงของยาสลบน่ะ นอนเฉยๆซักพักก็หาย”

จู่ๆเสียงทุ้มก็พุ่งผ่านความเงียบมาไม่บอกกล่าวทำไหล่บางสะดุ้งเฮือก
หันขวับตามทิศต้นตอเสียงจนพบกับชายหนุ่มเจ้าของรอยแผลเป็นขนาดใหญ่พาดผ่านใบหน้ากำลังยืนมองมาทางนี้อยู่ไม่ไกลพร้อมกับแก้วกาแฟในมือ

แก้วตาสองสีสงบนิ่งนั่นทาเคมิจิจำได้ดี

“อรุณสวัสดิ์ วันนี้คงไม่พยายามจะทุบกระจกห้องออกไปเหมือนครั้งก่อนใช่ไหม”

“เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคงต้องมัดมือนาย”
“…”

อ้าปากพะงาบเป็นปลาขาดน้ำ นิ้วสั่นระริกยกขึ้นชี้คนตรงหน้า

นี่มันเดจาวูชัดๆ!

“คุณ…อีกแล้ว?”

“คาคุโจ ฮิตโตะ ยินดีที่ได้รู้จัก หลังจากนี้คงได้เจอกันบ่อยๆ”

“นี่คุณลักพาตัวผมมาอีกแล้ว???”

“ถ้าหมายถึงการถูกพาไปไหนมาไหนโดยไม่ได้รับการยินยอมจากเจ้าตัวล่ะก็— ”
จิบกาแฟด้วยทีท่าไม่ทุกข์ร้อน เอ่ยต่อด้วยเสียงโมโนโทน

“ใช่ ฉันทำอีกแล้ว”

เกิดมาจนอายุจะย่างเข้าสามสิบไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาอยากเอาหัวโขกกำแพงเท่าวันนี้

มีวิธีอีกเป็นร้อยที่จะพาตัวเขามา…แต่บงเท็นก็ยังคงยืนยันในจุดยืนขององค์กรมืดขนาดใหญ่ที่จะทำอะไรแบบการเคาะประตูบ้านไม่ได้
“ขอร้องเลยนะครับ…ครั้งหน้าอย่างน้อยก็ช่วยโทรมาบอกก่อน”

รู้ไหมว่าคนมันขวัญอ่อน ถ้าเผลอตกใจจนลั่นไกขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง

“โทรบอกก่อนมันก็ไม่เรียกว่าลักพาตัวสิ?”

สบตากัน สมองประมวลจนได้ยินเสียงลมหายใจ

เออ ก็จริง
หน้าร้อนวูบไปชั่วครู่ ทาเคมิจิละล่ำละลักไปต่อไม่ถูกปล่อยไก่ไปตัวใหญ่จนทำหน้าเหรอหราให้อีกคนชวนนึกขบขันเล่น

รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นบนมุมปากที่เคยเรียบตึง คาคุโจก้าวเข้าไปใกล้ฝ่ายกึ่งนั่งกึ่งนอนทุลักทุเลบนเตียง กำรอบแขนผอมบางดึงเบาๆเพื่อจัดท่าท่างให้นั่งพิงหมอนดีๆ

“เดี๋ยวฉันช่วย”
ไม่รู้สึกถึงแรงคุกคามหรือความประสงค์ร้ายเหมือนผู้บริหารคนอื่นที่ได้พบ แมวขี้ระแวงจึงปล่อยให้คนตัวสูงจัดแจงทุกอย่างโดยไม่เอ่ยค้านอะไร

ส่วนนึงก็เพราะยังเขินความซื่อบื้อของตนเองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอยู่ด้วย

ภาพพจน์ในฐานะสไนเปอร์ฝีมือดีของเขาป่นปี้หมดแล้วมั้ง ฮือ
กลิ่นกาแฟเจือจางลอยมาแตะจมูกยามร่างในชุดสูทสีเข้มเอนตัวลงมาดึงหมอนด้านหลังเขาให้ตั้งขึ้นซ้อนกัน,คล้ายกำลังถูกกักอยู่ในวงแขนจนไม่กล้าแม้กระดิกตัว ได้แต่หาอะไรมองไปเรื่อยเพื่อแก้ความขัดเขินปนอึดอัดที่เกิดขึ้น

ร่องรอยแผลเป็นบนใบหน้าคมคายในระยะใกล้คือสิ่งที่ตรึงดวงตากลมเอาไว้โดยง่าย
คงจะเจ็บน่าดู…

ตาซ้ายข้างนั้นจะยังใช้ได้อยู่รึเปล่านะ

คิดได้ไม่กี่วิก็ได้คำตอบเมื่อมันกลอกกลับมาสบ

โอเค ดูเหมือนจะยังใช้ได้

“ได้ยินมาว่าเมื่อวานทำผลงานไว้ได้ดีเลยนี่”
สะบัดหน้าหนีเมื่อโดนจับได้ว่าแอบมอง ดวงตาสองสีจับจ้องทุกการกระทำนั้นก่อนจะยอมผละออกไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง

“ถ้าทำได้ดีแล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ…”

“ก็เพราะทำได้ดีนั่นแหล่ะถึงมาอยู่ที่นี่”

“?”

หันขวับเหมือนมีคำว่างุนงงแปะอยู่กลางหน้าผาก
ตอนนี้คาคุโจชักจะติดใจการเปลี่ยนสีหน้าไปมาของคนตัวเล็กแล้ว แค่ไม่กี่นาทีอารมณ์ก็ม้วนขึ้นลงเหมือนรถไฟตีลังกา มองได้ไม่มีเบื่อเลย

“มีผู้บริหารสักคนไปเป่าหูไมกี้ให้เร่งเวลาขึ้นน่ะ”

“เวลาอะไรครับ”

“เวลาที่จะรับนายเข้ามาอย่างเป็นทางการไง”
คราวนี้ผิวสุขภาพดีเปลี่ยนเป็นสีซีดทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตก สิ่งที่คิดแทบจะผุดออกมาตามผิวหนัง

“แล้วที่พาผมมาวันนี้…”

เสียงสั่นเทาค่อยๆเอ่ย เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นตามกรอบหน้า ประตูแห่งอิสระในดวงตาแทบปิดลงอยู่รอมร่อ

“สัก เป็นสมาชิกก็ต้องมีรอยสักของแก็งค์”
“แต่ตอนนี้เจ้าคนที่นัดไว้จะสักให้นายออกไปทำงานอยู่ อีกสักพักคงกลับมา”

ร่างกายพลันหนักอึ้งปลายนิ้วเย็นเฉียบกอบกำผืนผ้าห่มแน่น

นั่นมันไม่ต่างจากการตีตราชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาว่าต้องถวายหัวนี้ให้แก่ใครเลย

“จ จำเป็นต้องมีจริงๆเหรอครับ… คือว่า ถึงไม่มีผมก็ทำงานให้พวกคุณได้นะ”
“จะจำเป็นรึเปล่าไม่สำคัญ ในเมื่อมันเป็นคำสั่งของไมกี้”

คำพูดเด็ดขาดนั้นกลายเป็นคำประกาสิทธิ์ที่ทาเคมิจิต้องก้มหน้าทำตาม ได้แต่กัดปากจนห้อเลือดข่มอารมณ์ที่ใกล้จะปะทุออกมาทางดวงตากดมันลึกลงไป

เพราะไร้พลังจึงไม่อาจขัดขืน

เป็นแบบนี้เสมอเลยทำได้แค่หนีหัวซุกหัวซุนอย่างคนขลาดเขลา
ไม่เป็นไร

หากฝากรอยไว้ได้เขาก็ลบมันได้เช่นเดียวกัน

ก็แค่ทำเหมือนที่ผ่านๆมา

“หิวรึยัง ฉันจะไปหาอะไรมาให้กิน”

“อ่า…ขอบคุณครับ”

ฝืนยิ้มขมขื่น ตอนนี้คงได้แต่ทำตัวเชื่องๆให้ถูกไว้ใจไปก่อน สบโอกาสเมื่อไหร่ค่อยหาลู่ทางหนีไปในที่ไกลๆ
“ถ้าดีขึ้นแล้วก็อาบน้ำรอไปก่อนนะ เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนวางไว้ในห้องน้ำแล้ว”

กลุ่มเส้นผมนุ่มพยักตอบรับหงึกหงัก บริการดีซะจนรู้สึกตะหงิดใจว่าใครอยู่สถานะไหนกันแน่ คนตรงหน้าดูไม่ถือตัวเลยที่จะช่วยดูแลคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบเขา
เมื่อแผ่นหลังกว้างหายลับไปหลังบานประตูและสำรวจแน่ใจดีแล้วว่าร่างกายกลับมาเป็นปกติจึงย้ายร่างมาทอดตัวลงยังอ่างอาบน้ำที่ถูกตระเตรียมไว้อย่างดี

ปืนคู่ใจยังคงวางอยู่ข้างอ่างไม่ไกลมือ ร่างเปลือยเปล่าหย่อนตัวลงผ่อนลมหายใจยามไออุ่นติดกลิ่นหอมจางไล้เลียตามผิวหนังเต็มไปด้วยร่องรอย
หลายปีแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้แช่น้ำร้อน…นานจนลืมเลือนไปเลยว่ามันรู้สึกดีขนาดไหน

ห้องที่ทาเคมิจิอยู่ในคราวนี้คล้ายจะดูเหมือนห้องรับรองมากกว่าครั้งก่อนที่เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมมืดๆอยู่หลายขุม มีทั้งเตียงนอนและของใช้จำเป็นครบครันยังกับพร้อมจะให้ใครบางคนย้ายมาอยู่ได้ตลอดเวลา
เอนกายผ่อนคลายความตึงเครียดที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อวาน ดวงตาพริ้มหลับจมดิ่งลงใต้มวลน้ำพร้อมๆกับเส้นผมหยักศกสีธรรมชาติที่แผ่สยายออก

ล่องลอยอยู่ใต้ความอบอุ่นอ่อนโยนที่โอบล้อม สติเคลิบเคลิ้มจนแทบผลอยหลับอยู่รอมร่อ

โดยไม่ได้รับรู้ถึงตัวตนของผู้มาเยือนใหม่เลยแม้แต่น้อย
เจ้าของดวงตาคู่สวยในยามแรกก็แค่เห็นว่าคนที่นัดเอาไว้ยังไม่มาเลยว่าจะเข้ามาชะล้างคราบสกปรกที่ติดมากับตอนทำงานรอก่อน ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ดันมาเจออะไรแสนน่าสนใจกว่าดึงดูดสายตาเอาไว้

ความงดงามของจิตรกรรมมีตำหนิตรงหน้าตรึงห้วงความคิดไว้ได้ไม่ยาก
หากเป็นแค่เรือนร่างผอมบางเรียบเนียนเหมือนปกติหรือเต็มไปด้วยบาดแผลแห่งความกล้าหาญผู้ได้ชื่อว่าบ้าคลั่งที่สุดในบงเท็นคนนี้คงไม่คิดใส่ใจมันนัก

แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นมันเป็นยิ่งกว่า พื้นที่ใต้ร่มผ้าที่‘เคย’เต็มไปด้วยรอยสักของหลากหลายแก็งค์ ทำซันสุ ฮารุชิโยะเลิกคิ้วนึกสนอกสนใจ
ทุกลวดลายที่ถูกตีตราบนร่างถูกกรีดด้วยของมีคมจนเกิดรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เช่นเดียวกับบนใบหน้าของเขา คนทำคงใจกล้าไม่ก็เกลียดชังพวกมันน่าดูถึงได้เลาะหนังตัวเองทิ้งเป็นว่าเล่นทั่วร่างกายเช่นนี้

น่าสนุก นี่น่ะเหรอคนที่ไมกี้ถึงขนาดเอ่ยปากใช้เขามาสักให้ด้วยตัวเอง
หลายนาทีผ่านไปทุกอย่างยังคงนิ่งสงบเหมือนผิวน้ำในอ่างที่ไร้แรงกระเพื่อม นานเสียจนคนที่แอบมองเริ่มหวั่นๆว่ามันจะตายในอ่างก่อนที่เขามาเจอแล้วรึเปล่า

เร็วเท่าความคิด มือแข็งแรงคว้าต้นแขนผอมกระชากขึ้นจากใต้น้ำจนคนเกือบไหลหลับตกใจสะดุ้งเฮือก สำลักน้ำโขลกใหญ่หน้าดำหน้าแดง
“อยากตายนักก็ไปโดดหน้าต่าง อย่ามาเป็นภาระให้ฉันเก็บกวาดตรงนี้”

ความปากไวตามนิสัยทำสีหน้าฝ่ายตัวเล็กกว่ายู่ยี่ แต่เมื่อดวงตาพร่าเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใครก็แทบจะหลุดกรีดร้องออกมา

“คุณ! ด เดี๋ยว เข้ามาได้ยังไง!?”

“เดินสิ ไม่เห็นรึไงว่ามีขา”
ถอยกรูดไม่ชิดขอบอ่างอีกข้าง ลนลานรีบมองหาของที่วางไว้ไม่ห่างกาย

ทาเคมิจิรู้จักคนตรงหน้าดี… อย่างน้อยก็ได้ยินข่าวลือเรื่องของอีกฝ่ายบ่อยที่สุดในบรรดาผู้บริหารทั้งหมด

หากพี่น้องไฮทานิคือความน่ากลัวที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เหลือร้าย คนๆนี้ก็คือสิ่งที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
“หาไอ้นี่อยู่เหรอ?”

นี่ไปทำเวรกรรมอะไรไว้นักหนาถึงได้ซวยขนาดนี้

มองปืนแสนคุ้นเคยในมืออีกฝ่ายตาแป๋ว อยากจะลูบหน้าแรงๆเรียกสติตัวเองให้หยุดสั่นสักที แรงกดดันและกลิ่นอายอันตรายแทบจะล้นทะลักออกมาจากมนุษย์คนนี้

“หูหนวกรึไง ฉันถามแกอยู่นะ”
หากตอบผิดแม้แต่ก้าวเดียวก็เหมือนลงนรกไปแล้วครึ่งตัว

กลืนน้ำลายเหนียวลงคอพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทั้งที่ยังไม่ลดความระแวงลง ใช้วงแขนกอดก่ายปกปิดเนื้อหนังตัวเองไว้เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังอยู่ในสภาพเช่นไร

ดวงตาใต้แพขนตายาวมองท่าทางตื่นกลัวนั่นอย่างนึกชอบใจ
“ฉันไม่พิศวาทอะไรแกหรอก ตัวมีแต่แผลน่าเกลียด— ”

ครุ่นคิดเหลือบไล่สายตาสำรวจตำหนิบนร่างกายลูกแมวขี้ตื่นชัดๆอีกครั้ง ยิ่งทำให้อ้อมแขนนั่นกระชับเข้าหากันแน่นขึ้นจากการถูกคุกคามทางสายตา

“หรืออยากให้เอ็นดู?”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ”
รัวคำตอบใส่แบบไม่ต้องเสียเวลาคิด เจ้าของเส้นผมสีหวานหัวเราะขึ้นจมูก หยัดกายลุกขึ้นเต็มความสูงเมื่อความคิดดีๆแล่นเข้ามาในหัว

ไหนๆไมกี้ก็ไม่ได้บอกเอาไว้อยู่แล้วว่าให้เขาสักให้เจ้าเด็กนี่ตรงไหน ก็ขอถือวิสาสะเลือกเองเลยแล้วกัน

ที่ๆจะเจ็บปวดปางตายหากมันคิดจะลบออกเหมือนร่องรอยอื่นๆ
เลียริมฝีปาก อยากจะรู้จริงๆว่าใบหน้าตื่นกลัวนั่นจะแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา

“เลิกนั่งโง่แล้วตามมา ฉันไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวัน”

คำพูดนั่นจึงเป็นสาเหตุให้ทาเคมิจิต้องรีบกุลีกุจอใส่เสื้อผ้าออกจากห้องน้ำก่อนจะทำตัวอันตรายอารมณ์เสียแล้วเขาจะได้กลายเป็นผีเฝ้าอ่างไปจริงๆ
โชคดีที่เมื่อเปิดประตูออกไปเจอคนที่หายไปเอาข้าวให้ยืนรออยู่ ความกังวลใจจึงคลายลงไปหลายส่วนแทบจะกระโดดไปหลบหลังร่างสูงที่ยืนงุนงงว่าเพื่อนร่วมงานตนเข้าไปอยู่ในห้องน้ำกับสมาชิกใหม่ได้ยังไง

“ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้านะครับ พอดีตัวเป๊ะเลย”

“อืม ดีแล้ว”
ตัดสินใจจะผูกมิตรกับผู้เป็นมนุษย์ปกติที่สุดเท่าที่ได้พบมาในบงเท็น อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจในแววตาอยู่บ้าง

แต่เบาใจได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องกลับมาสั่นกลัวเมื่อรับรู้ความจริงว่า‘เจ้าคนที่นัดเอาไว้มาสักให้เขา’คือเจ้าของแผลเป็นโดดเด่นตรงหน้า

บงเท็นมันไม่มีคนอื่นแล้วรึไง!
เป็นถึงแก็งค์อาชญากรที่ควบคุมโลกมืดไว้ในกำมือได้อย่างอยู่หมัด กะจิตกะใจจะใช้คนคุ้มเกินไปแล้วมั้ง

“คาคุโจ ไปเอาเครื่องสักมาที”

“ส่วนแก”

คนขี้ตกใจสะดุ้งโหยง เกาะชายเสื้อที่พึ่งพิงแน่น

“ถอดเสื้อแล้วลงไปนอนคว่ำซะ”

แล้วมีหรือทาเคมิจิจะต่อต้านได้…
จำใจต้องบอกลาที่กำบังชั่วคราวมานอนเปิดแผ่นหลังเปลือยสู่สายตาชายหนุ่มทั้งสองในห้อง

ซันสุที่เห็นมาก่อนหน้าแล้วไม่ได้ติดใจอะไรจัดท่าทางตัวเองกับอุปกรณ์สักให้ถนัดมือ มา์คจุดต่างๆแผ่วเบาด้วยปลายปากกา แตกต่างกับคาคุโจที่ยืนนิ่งขมวดคิ้วมุ่นกับร่องรอยแปลกประหลาด ดวงตาสองสีฉายประกายฉงน
ทาเคมิจิไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ากำลังจะถูกสักที่จุดไหนของแผ่นหลังจนกระทั่งปลายเข็มจรดลงมาบนผิวหนัง

“อะ!”

หากเคยลองศึกษามาสักนิดทุกคนก็ต่างรู้ดีว่าความเจ็บปวดนั้นขึ้นอยู่กับบริเวณที่จะสัก

ยิ่งใกล้กระดูก ยิ่งเส้นประสาทเยอะ ก็ยิ่งเจ็บ
และตอนนี้ความเจ็บปวดนั้นกำลังแผ่นขยายออกไปจากกลางข้อกระดูกสันหลังของสไนเปอร์ตัวเล็กเป็นศูนย์กลาง

มือที่เคยจับปืนมานักต่อนักกำผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ ไหล่บางสั่นเทารุนแรงทุกครั้งที่เข็มแตะลงบนผิว หยดน้ำตาไหลหลุดออกจากขอบตาร้อนผ่าว

เจ็บ

มันเจ็บ

ไม่เอาแล้ว
‘เจ็บแค่นี้ยังทนไม่ได้งั้นเหรอ แกนี้มันไร้ประโยชน์จริงๆ’

ดวงตาพร่างหยดน้ำเบิกกว้างชะงักหยุดสายตาลงที่รอยแผลเป็นกรีดยาวบนหลังมือเกร็งของตน

ริมฝีปากสีระเรื่อที่กำลังจะร้องขอให้อีกฝ่ายหยุดขบเขาหากัน กัดฟันจนกรามขึ้นสันนูน

“ฮึก..”
สะอื้นอื้ออึงในลำคอ ข่มตาแน่นเมื่อภาพอดีตที่ไม่อยากจำแล่นเข้ามาในหัว

‘อ๊า!!!!!’

ภาพของเด็กชายตัวเล็กกรีดร้องเพราะรูโหว่บนมือปล่อยปืนแสนหนักร่วงหล่นกระแทกพื้นเป็นความรุนแรงที่เห็นได้จนชินชาในย่านสลัมแถบนั้น
‘สไนเปอร์ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดให้ได้!! ต่อให้แกเสียแขนไปสักข้างระหว่างปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องยิงต่อได้โดยไม่พลาดเป้า!’

‘โดนแค่นี้ยังมือสั่น อ่อนแออย่างแกเป็นเป้าซ้อมยังไม่ได้เลย’

สุรเสียงของผู้เป็นพ่อยังคงกึกก้องชัดเจนเหมือนเป็นเรื่องเมื่อวาน
มันชัดพอๆกับมีดเล่มนั้นที่เปื้อนเลือดของเขาในมือบุพการี

ใช่แล้ว ถ้าแค่นี้ยังทนไม่ได้จะมีชีวิตรอดต่อไปได้ยังไง

“….”

ความแปลกใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าช่างสักจำเป็นทันทีที่กายเล็กหยุดสั่น แม้จะส่งผลดีให้จบงานได้เร็วขึ้นแต่ใจนึงก็อดเสียดายไม่ได้

“เอ้า เสร็จแล้ว”
น่าเบื่อชะมัด นึกว่าจะได้ยินเสียงคร่ำครวญมากกว่านี้เสียอีก

ลวดลายรูปไพ่ถูกสลักลงกลางแผ่นหลังแคบได้อย่างเหมาะเจาะพอดี คล้ายดูเป็นศิลปะงดงามเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางตำหนิมากมาย

ไม่ปฏิเสธเลยว่ารอยแผลเป็นอื่นๆช่วยขับให้มันโดดเด่นมากขึ้น มองไปแล้วก็ดูดีใช่ย่อยเรียกได้ว่าซันสุคิดถูก
ความเงียบแล่นลิ่วไปทั่วเมื่อคนเปลือยท่อนบนยันตัวลุกขึ้นนั่ง ปาดเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า หยิบเสื้อเชิ้ตตัวเดิมกลับมาสวมใส่โดยไม่ปริปาก

พลันใช้แววตาเย็นเยียบนิ่งสงบหันกลับมาสบกับอีกสองชีวิตในห้อง

เจ้าของรอยแผลเป็นมุมปากขนลุกซู่ไปชั่ววิขณะที่อีกคนผงะถอยหลัง

“ผม…ต้องทำอะไรต่อครับ”
สบตากันนิ่งงัน กลิ่นอายแตกต่างจากก่อนหน้านี้ดั่งคนละคน

โครก—— -

และแล้วความน่าหวั่นเกรงก็พังทลายลงทันทีด้วยเสียงร้องประท้วงของกะเพาะฝ่ายไม่ได้กินข้าวมาเกือบวัน

แววตานิ่งเปลี่ยนมาสั่นระริกไปด้วยน้ำระรื่น สีเลือดฝาดลามไปทั่วแก้มกลม กลายเป็นลูกมะเขือเทศสุกใต้กรอบเส้นผมยุ่งฟู
“กินข้าวไหม?”

เป็นคาคุโจที่เป็นฝ่ายทักขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะด้วยความเป็นห่วงหรืออะไรก็ตามแต่ทาเคมิจิขอลงความเห็นไว้ว่าคนๆนี้ยังคงขยี้ซ้ำให้อับอายหนักกว่าเก่าด้วยความซื่อตรงได้เสมอ

“กินครับ”

พยักหน้าหงึกหงักไม่ปฏิเสธจานแซนด์วิชที่ถูกหยิบยื่นมาให้

ยังไงกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง
วันนี้เขาทั้งระแวงแล้วก็ร้องไห้จนเหนื่อยจะตายแล้ว ไหนจะความทรงจำบ้าบอที่ดันมารื้อฟื้นได้ไม่ถูกเวล่ำเวลาอีก

ภาพพจน์สไนเปอร์ของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆไม่เหลือชิ้นดีแล้วมั้ง

เคี้ยวหงุบหงับทำหน้าตาจะร่ำไห้อยู่รอมร่อ เจ็บก็เจ็บกลัวก็กลัว

เห็นแบบนี้ซันสุคุงจะยังเอาเขาไว้รึเปล่าเนี่ย…
เจ้าตัวยิ่งขึ้นชื่อว่าเกลียดคนไร้ประโยชน์อยู่

สงสัยไปก็เท่านั้นในเมื่อทาเคมิจิไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าเพื่อหาคำตอบ เพราะกลัวจะเงยไปเจอปากกระบอกปืนและใบหน้าสวยแสนเหี้ยมเกรียมนั่น

เผลอสะอื้นไปซะดังเลยด้วย ตอนนี้ไม่รู้จะกลัวหรือเขินก่อนดีแล้ว อารมณ์ปนเปมั่วซั่วไปหมด
ซึ่งทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของผู้บริหารระดับสูงผมดำ ตั้งแต่สมาชิกใหม่ที่กินไปทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ไปคล้ายซาบซึ้งในรสชาติขนมปังแผ่นกับแฮมและไข่ ลากยาวไปถึงสายตาหลากหลายอารมณ์ยากจะตีความของหมาบ้าแห่งองค์กร

คาคุโจค่อนข้างแน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ในหัวเพื่อนร่วมงานคนนี้คงไม่ใช่เรื่องดีนัก
ในความจริงแน่นอนว่าเดาไม่ผิดไปมาก ตอนนี้ในสมองใต้เส้นผมสีสดใสกำลังสั่นคลอนยกใหญ่

ถึงจะแค่พริบตาเดียวแต่ก็ช่างคล้ายคลึง…

แววตาแบบเดียวกับนายเหนือหัวของพวกเรา

หัวใจเต้นรำส่ำเก็บกลั้นรอยยิ้มเอาไว้แทบไม่อยู่จนต้องปกปิดมันเอาไว้หลังฝ่ามือ

อ่า…สายตาตะกี้แม่งดีเป็นบ้า
“แกน่ะ…คงไม่รีบตายหรอกใช่ไหม?”

คนหิวโหยเคี้ยวของกินแก้มตุ่ยเกือบสำลัก หดคอหนีแทบไม่ทันเมื่อจู่ๆถูกยื่นหน้ามาจ้องในระยะลมหายใจกลั้น

ตาหลุกหลิก รีบกลืนอาหารในคอลงเอื้อกใหญ่

“เอ่อ…ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่รีบหรอกครับ”
ถามแบบนั้นคงไม่ได้หมายความว่าอยากเก็บเขาไว้ทรมานแบบเมื่อกี้นานๆหรอกใช่ไหม?

“ดี”

ช..ใช่ไหม?

รอยยิ้มแสยะกว้างยังน่ากลัวไม่เท่าปลายนิ้วร้อนที่ลูบลงข้างแก้ม ปาดคราบซอสเลอะเทอะใกล้กลีบปากนิ่มออก

“ฉันจะรอดูนะ ทาเคมิจิ”

เสียงนุ่มขึ้นหลายระดับหากแฝงไปด้วยความปรารถนาสุดจะหยั่ง
เย็นสันหลังวาบ ใต้แพขนตายาวดวงตาสีลูกกวาดนั้นปนเปไปด้วยจิตวิปลาสน่าหวาดหวั่นใจ ราวกับว่าหากเขาจ้องมันนานอีกสักนิดจะถูกดึงเข้าสู่โลกแสนบ้าคลั่งไปด้วยอีกคน

ทิ้งสัมผัสชวนขนหัวลุกเอาไว้ ก่อนเดินจากไปไม่แม้แต่จะเอ่ยคำลา

น่ากลัวยิ่งกว่าตอนทำตัวหยาบคายซะอีก
“หมอนั่นเป็นแบบนั้นแหล่ะ อย่าใส่ใจเลย”

แล้วเขาก็ต้องทำงานกับคนแบบนั้นอ่ะนะ ล้อกันเล่นใช่ไหม

ลูบแขนตัวเองรู้สึกหนาวๆร้อนๆขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองจะแพ้สีสักจนไข้ขึ้นหรือปวดหัวเรื่องเพื่อนร่วมงานจนไข้จับกันแน่

“จะพยายามนะครับ”
ยิ้มแห้งให้บรรยากาศตึงเครียดผ่อนลง หันไปตั้งอกตั้งใจกินอาหารตรงหน้าต่อ

ซึ่งท่าทางเคี้ยวงุ่มงั่มจนแก้มกลมเป็นแฮมเตอร์ก็ทำคนยกอาหารมาให้อยากจับแก้มนุ่มๆนั่นมายืดเล่นจริงๆถ้าไม่ติดว่าต้องรักษามาดไว้อยู่

“นายคงต้องอยู่ที่นี่อีกสักพัก มีอะไรอยากทำรึเปล่า”

“เอ๋? ผมกลับเลยไม่ได้เหรอ”
“วันนี้มีประชุมผู้บริหาร ไมกี้บอกให้พานายไปด้วย”

“แต่ผมเป็นแค่สมาชิกธรรมดาเอง…ที่ยิงปืนเก่งนิดหน่อย ไม่ใช่ระดับหัวหน้าด้วยซ้ำ”

“ถ่อมตัวจังนะ”

น้ำขวดหนึ่งถูกส่งให้อย่างรู้งานเมื่อเห็นว่าร่างบนเตียงทานของในจานจนหมดเกลี้ยงแล้ว

“ไม่ต้องกังวล มันก็เหมือนกินมื้อค่ำทั่วไปนั่นแหล่ะ”
ทาเคมิจิเช็ดริมฝีปากลวกๆด้วยหลังมือ เหม่อมองใบหน้าดูดีที่ไร้เจตนาโกหกใดๆ อยากจะเถียงขาดใจว่ามันไม่ทั่วไปตั้งแต่มีตัวอันตรายระดับประเทศมานั่งร่วมโต๊ะด้วยแล้ว

“มีอะไรที่ผมควรรู้ก่อนไหม”

“ห้ามขัดใจไมกี้”

“ที่เหลือฉันจะช่วยเอง แค่อยู่นิ่งๆไว้ก็พอ”
พูดจบคาคุโจก็นิ่งชั่งใจไปชั่วครู่ ประสานสายตากับดวงแก้วใสแจ๋วสีท้อง
นภาที่ทำใจเขาลังเลได้ไม่นานก็ยอมปริปากออกมา

รู้เอาไว้คงไม่เสียหาย ในเมื่อมันเกี่ยวพันกับชีวิตของเจ้าตัวหลังจากนี้

“มีอีกอย่างนึง…แต่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ ถือว่าเตือนไว้ถ้าไม่อยากจมอยู่ที่นี่มากกว่านี้ล่ะก็”
คนตัวเล็กเผลอกลั้นหายใจเมื่อเสียงทุ้มที่ติดจริงจังอยู่แล้วแฝงด้วยความน่ากลัวเจือปน ดวงตาเข้มขึ้นแม้จะดูสงบเหมือนปกติแต่ใต้กระจกสะท้อนนั้นคล้ายกำลังมีพายุบางอย่างเริ่มก่อตัว

“อย่ายุ่งกับอาคาชิ ทาเคโอมิ”

อาคาชิ ทาเคโอมิ…?

จู่ๆสมองก็ย้อนภาพกรอกลับไปเมื่อวาน
วินาทีที่ไฮทานิคนน้องยกเขาอุ้มไว้ข้างเอวเป็นตุ๊กตายัดนุ่น แผดเสียงเกรี้ยวกราดอย่างน่ากลัว เตะประตูรถและเดินตรงดิ่งไปกระชากคอชายคนหนึ่งท่ามกลางเหล่าคนในชุดสูท

ทาเคมิจิที่กลัวเสียงตะคอกขึ้นสมองจำได้ลางๆแค่ว่ารันเป็นคนเข้ามาห้ามไว้ ส่วนรินโดก็ดูฟึดฟัดโมโหหิ้วเขาออกมาจากตรงนั้น
แม้ทั้งสองจะไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังหลังจบเรื่อง แต่เขาก็พอจะเดาได้

ในเมื่อกิตติมศักดิ์เรื่องเห็นชีวิตคนเป็นหมากบนกระดานของชายเจ้าของรอยแผลเป็นคาดทับตาขวานั้นดังกระฉ่อนไปทั่วมาแต่ไหนแต่ไร

เป็นคนประเภทที่ทาเคมิจิรับมือไม่เป็น และไม่รู้จะหาวิธีรับมือยังไงด้วย
“จะจำไว้ให้ขึ้นใจเลยครับ”

แค่คิดก็ปวดหัวแล้วถ้าต้องตกเป็นเป้าของคนแบบนั้น

พอพูดถึงเรื่องปวดหัวก็นึกขึ้นมาได้— เพราะเมื่อวานกลับไปถึงที่พักปุ๊บก็หลับเป็นตาย เลยลืมให้ข้าวเจ้าหมาจรเพื่อนซี้ที่เลี้ยงไว้เสียสนิท
พลันรู้สึกร้อนใจขึ้นมา ถ้าตนเกิดพลาดพลั้งถูกฆ่าในการประชุมวันนี้ล่ะก็เจ้าก้อนปุกปุยก็ต้องนอนรอจนหิวไม่ก็ตรอมใจตายไปตามๆกันน่ะสิ

แย่แล้ว…นั่นมันโคตรจะเลวร้าย มีหวังได้กลายเป็นผีติดบ่วงพอดี

เขาตายได้แต่หมาเขาห้ามตาย

“ผมขอโทรศัพท์คืนได้รึเปล่า พอดีมีธุระเร่งด่วนมากๆ”
ความใคร่สงสัยถูกจุดขึ้นมาบนใบหน้าผู้บริหารแห่งบงเท็น

ตามที่สืบมาช่วงก่อนหน้านี้สไนเปอร์ตัวเล็กไม่ได้รับงานที่ไหนเอาไว้ แล้วจะไปมีเรื่องเร่งด่วนได้ยังไงกัน

“โทษที…ตอนนี้คงยังคืนให้ไม่ได้”
ไม่ต้องรอสมองสั่งดวงตากลมโตก็ระริกคล้ายจะร้องไห้หูหางหงอยตกเป็นลูกหมาอ้อนขอขนม สร้างดาเมจต่อคนเข้มงวดจนหัวใจอ่อนยวบเป็นน้ำ

ให้ตายเถอะ อย่างกับว่ามีเสียงหงิงๆแว่วออกมา

“มันสำคัญมากจริงๆนะ….”

“…”

และแล้วทาเคมิจิก็ได้สมาร์ทโฟนเครื่องดำขลับของอีกฝ่ายมาอยู่ในมือ
“ใช้เครื่องฉันไปก่อนแล้วกัน”

เจ้าตัวพูดพร้อมกับกระแอมไอด้วยใบหูขึ้นริ้วสีแดงจางๆ

เป็นคนดีจัง

มองด้วยสายตาซาบซึ้งชื่นชม ความกังวลที่ต้องเผชิญหน้ากับเหล่าปีศาจในค่ำคืนนี้ถูกปัดหายไปจากหัวชั่วคราว ตัวเลขที่ถูกเมมไว้ในสมองยามฉุกเฉินถูกหยิบมาใช้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรมาก
ถือสายรอสักพักในที่สุดฝ่ายตรงข้ามก็กดรับ

[ใครน่ะ]

“ทาเคมิจิเองครับ”

[ทาเคมิจิ? ทำไมถึงใช้เบอร์นี้ เกิดอะไรขึ้น]

อมยิ้มมุมปากรู้สึกอุ่นวาบขึ้นในอกเมื่อได้ยินคนที่ปกติเอื่อยเฉื่อยไม่แยแสโลกแสดงความเป็นห่วงจนสัมผัสได้ผ่านน้ำเสียง
“อ้อ โดนลักพาตัวน่ะครับ”

เกิดหลุมอากาศขึ้นตรงกลางบทสนทนา ทำเอานึกออกเลยว่าปลายสายจะทำสีหน้าประหลาดขนาดไหน

[…] [ให้ช่วยไหม]

“ไม่เป็นไรครับ รบกวนฝากคุณให้อาหารเจ้าลัคกี้แทนผมหน่อยได้รึเปล่า”

[โทรมาเพราะห่วงหมาเนี่ยนะ]

“ก็มันไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน ผมกลัวมันหิว”
[ก็ได้ๆ เชื่อเขาเลยเจ้าเด็กนี่]

“อย่าลืมอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับมันสักหน่อยด้วยนะครับ”

[อ่า รู้แล้ว]

“ขอบคุณครับ”

[ไม่อยากให้ช่วยจริงเหรอ]

หันไปทางเจ้าของโทรศัพท์ที่ยืนจ้องมาทางเขานิ่ง ถึงจะไม่ได้ทำอะไรแต่ทาเคมิจิก็รับรู้ได้ว่ากำลังถูกจับตามองอยู่
เขาไม่อยากลากผู้มีพระคุณมาเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากพวกนี้ คนๆนั้นยิ่งไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวายอยู่

“ไม่ครับ”

เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังลอดมาให้ได้ยิน ดูเหมือนเขาจะทำคนอายุมากกว่าหนักใจอีกแล้ว

[โอเค…งั้นดูแลตัวเองดีๆล่ะ]

“ครับ คุณก็เหมือนกัน”
สายตัดไปพร้อมกับกลางอกที่กลับมาวูบโหวงอย่างเคย

จะเป็นภาระไปมากกว่านี้ไม่ได้, ในเมื่อปัญหามันเกิดเพราะตนเองก็ต้องแก้ไขด้วยตนเอง

“ขอบคุณนะครับ”

ส่งคืนเครื่องมือสื่อสารพร้อมยิ้มกว้างเบาใจ อย่างน้อยหากเขาไม่อยู่แล้วก็มีคนรับช่วงต่อดูแลเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวแล้ว
เอาล่ะ เขาไม่มีอะไรให้เสียแล้ว จะผู้บริหารหน้าไหนก็เข้ามาเถอะ

.
.
.
.
.
.

เดจาวูรอบที่สองของวัน

บรยากาศเหมือนเดิม จำนวนคนเท่าเดิม แถมหน้าเดิมๆ

แตกต่างแค่เขาไม่ได้ถูกมัดอย่างอนาถบนพื้น และเปลี่ยนสถานที่มาเป็นห้องอาหารโออ่าในคอนโดหรูแห่งนึงแทน
รู้สึกไม่เข้าพวกแปลกๆเมื่อทุกคนล้วนใส่สูทดูดีออร่าผู้บริหารฟุ้งกระจาย ในขณะที่เขาใส่เพียงเสื้อเชิ้ตสีเข้มและกางเกงสแล็คธรรมดา

นั่งตัวเกร็งแทบอยากจะไหลหนีไปแอบใต้โต๊ะตัวยาว ต้องขอบคุณใครก็ตามที่จัดตำแหน่งให้ทาเคมิจินั่งระหว่างคาคุโจและโคโคโนอิ
ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าไปอยู่กลางดงชายหนุ่มผมสีหวานฝั่งตรงข้ามเขาคงได้กระโดดออกหน้าต่างก่อนมื้ออาหารจะเริ่ม…

“เจอกันอีกแล้วนะ คุณสไนเปอร์คนเก่ง”

“ไฮทานิคุง..”

“อย่าเรียกไฮทานิสิ งี้จะรู้ได้ไงว่าคนไหน”

เป็นรันที่นั่งจ้องตากับเขามาค่อนนาทีเอ่ยทักขึ้นมาก่อน
ตามด้วยคนน้องที่ยังคงแสดงสีหน้าหงุดหงิดอยู่เป็นนิจจนเห็นได้ชินตา

“รัน รินโด เรียกแบบนี้ดีกว่านะตัวเล็ก เพราะพวกเราก็จะเรียกชื่อจริงเธอเหมือนกัน”

“เอ๋..จะดีเหรอครับ”

“ดีสิๆ พวกเราอยากสนิทกับเธอนะ”

“ออกนอกหน้าเกินไปแล้วมั้งพี่”
แม้จะถูกน้องเอ่ยปรามแต่ก็รันก็ทำเพียงหัวเราะเสียงนุ่ม ผลิยิ้มบางทั้งที่ดวงตาโค้งตกไม่ยอมละออกจากสมาชิกคนใหม่

“ก็ถ้าไม่รีบทำแต้มจะไม่ทันการเอาน่ะสิ”

ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรเลยทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆให้บรรยากาศมันไม่อึดอัดเกินไป
ในหัวคิดหาคำมาต่อบทสนทนาแต่นอกจากเรื่องปืนและสุนัขแล้วก็ดูไม่มีอะไรอยู่ในสมองโล่งๆเลยสักอย่าง

มือกำแน่นขุดคุ้ยความทรงจำขึ้นมาอย่างยากลำบาก

ทาเคมิจิไม่มีงานอดิเรก ไม่มีความฝันหรือสิ่งที่ชอบเป็นพิเศษ ชีวิตก็เรื่อยๆไม่มีอะไรหวือหวาเลยไม่รู้จะหาเรื่องใดมาชวนคุยดี
ขณะที่คนตัวเล็กจมอยู่กับความคิด โคโคโนอิดูเหมือนจะเป็นคนแรกที่ล่วงรู้ถึงความพยายามนั้นจึงเอนใบหน้าพิงกับฝ่ามือเพื่อเอี้ยวตัวหันมามองชัดๆ ใช้มืออีกข้างเกลี่ยปลายนิ้วเย็นจากอุณหภูมิแอร์บนขอบตาคนสติลอยไปไกลอย่างนึกเอ็นดู

“นายตาบวม โดนคาคุโจแกล้งมาเหรอ”
ทาเคมิจิสะดุ้ง เกือบเด้งตัวหนีจนหงายตกเก้าอี้ถ้าไม่มีแขนแข็งแรงจากผู้ถูกกล่าวหาคว้าเอาไว้ทัน

ละล่ำละลักกล่าวขอบคุณก่อนหันไปแก้ความเข้าใจผิดยกใหญ่

“ม ไม่ใช่นะครับ! นี่มัน—“
ผู้กุมอำนาจทางการเงินเพียงพยักหน้ารับทุกคำพูดลนลานด้วยรอยยิ้มจาง มองตามสายตาหวาดระแวงที่ถูกส่งไปยังตำแหน่งของผู้บริหารอีกคนเป็นพักๆ

คนร้ายตัวจริงอยู่ตรงนั้นสินะ

“อ้อ ซันสุนี่เอง”

“ตลกแล้ว ฉันจะแกล้งมันทำไม”

“เพราะอิจฉาไง ไม่มีหมาตัวไหนดีใจตอนเจ้านายหนีไปสนใจหมาตัวใหม่หรอก”
จากซีดอยู่แล้วยิ่งซีดเป็นไก่ต้ม อยากจะพุ่งข้ามโต๊ะไปบีบคอไฮทานิคนน้องให้รู้แล้วรู้รอด

รู้ไหมว่าพูดอะไรออกม๊า! ถ้านองเลือดกันตรงนี้เขากัดลิ้นชิงตายก่อนจริงๆด้วยนะ!

“อยากตายรึไง ไอ้แมงกะพรุนติดพี่”

“ก็มาสิ ไอ้ปะการังติดยา”

ชักปืนพร้อมเปิดศึกเต็มที่แบบไม่สนใครหรืออะไรทั้งนั้น
“อย่าแพ้ล่ะ รินโด”

รันที่นั่งคั่นกลางระหว่างทั้งสองนอกจากไม่ห้ามแล้วยังหันไปเชียร์น้องชายตนเอง สุมไฟให้คุกรุ่นขึ้นมาใหญ่โตยิ่งกว่าเดิม

“พอได้แล้วน่า ทำตัวเป็นเด็กกันไปได้”

ปัง!
กระสุนพุ่งเฉียดร่างที่นั่งถัดออกไปจากโคโค่แบบไม่บอกไม่กล่าว ทำคนโดนลูกหลงนิ่วหน้าในขณะที่คนโดนยิงขู่จริงๆยกบุหรี่ขึ้นมาสูบต่อ

“หุบปากไปเลยอาคาชิ จบตรงนี้แกต้องไปเคลียร์กับพวกฉันเรื่องเมื่อวานด้วย”

“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคนไม่คิดรับฟังหรอกนะ”
กลายเป็นไฟลามทุ่งของจริง พัดไปทางไหนก็ไหม้ไปหมด

ทาเคมิจิน้ำตาไหลพรากไม่รู้จะเอาปัญญาที่ไหนไปห้าม นั่งเหม่อปลงกับชีวิตวิญญาณหลุดออกจากร่าง ก่อนจะถูกดึงสติกลับมาอีกครั้งด้วยฝ่ามือกว้างแผ่อายความอบอุ่นที่วางลงแผ่วเบาบนศรีษะ

ไม่ต้องกลัว…
ราวกับได้ยินคำปลอบโยนออกมาจากแววตาอ่อนลง เจ้าของรอยแผลคาดทับใบหน้าพลันแปรเปลี่ยนอารมณ์เป็นถมึงทึง

“พวกแก— หยุดได้แล้ว”

“ถ้ามันเละเทะก่อนจะเริ่มประชุมขึ้นมา เรื่องมันจะไม่จบแค่ตรงนี้แน่”

แรงกดดันมหาศาลตรึงให้ต้นเพลิงทั้งสองยอมหยุดมือแล้วหันมาสนใจคนพูดแทน
ซันสุเดาะลิ้นไม่สบอารมณ์ขณะที่รินโดชักสีหน้า

“แล้วนี่บอสไปไหน คงไม่ใช่ว่าหลับปุ๋ยจนลืมเวลาใช่ไหม”

เป็นโคโค่ที่ช่วงดึงความสนใจอีกคน ทาเคมิจิล่ะอยากสรรเสริญทั้งสองจริงๆพระผู้มาโปรดเขาจากสถานการณ์นรกของแท้

“ฉันตามเอง”

แน่นอนจะเป็นใครอาสาไปไม่ได้นอกจากสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์
ในที่สุดเจ้าของรอยแผลเป็นแต้มมุมปากก็ยอมเก็บปืนก่อน เดินฟึดฟัดออกไปไม่วายชูนิ้วกลางส่งท้ายให้คู่วิวาทได้หัวร้อนเกือบพุ่งตามไปกินหัวกันอีกรอบถ้าไม่โดนพี่ชายรั้งร่างเอาไว้ก่อน

“ก็ถูกของคาคุโจ ไว้ค่อยไปสะสางกันหลังจากนี้แล้วกันนะ”

ลูบหลังปลอบให้น้องชายใจเย็นลง
ดูเหมือนจะได้ผลชะงักเมื่อรินโดยอมลดตัวลงกลับมานั่งดีๆ

“เออ คอยดูเถอะจะป่นกระดูกให้แหลกเลย”

“ฮ่ะฮ่ะ ระวังมันยิงตัวเป็นรูล่ะ”

“นี่พี่อยู่ข้างไหนกันแน่เนี่ย”

“แน่นอนว่าต้องข้างน้องชายตัวเองอยู่แล้ว…”

ใช้แววตาลึกล้ำเหลือบไปทางหางโต๊ะอีกฝั่ง

“ใช่ไหม? อาคาชิ”

โดนเล่นซะแล้วสิ
พี่น้องคู่นี้มันกัดไม่ปล่อยจริงๆแฮะ

“ไม่รู้สิ ฉันไม่ใช่พวกโอ๋น้องมากซะด้วย”

จิกกัดกันผ่านสายตา สงครามทางกายภาพจบไปแล้วต่อด้วยสงครามประสาทของเหล่าพี่ชาย แต่เหนือสิ่งอื่นในสไนเปอร์เพียงหนึ่งเดียวในที่นี้กำลังตกใจกับความจริงว่าคนที่พึ่งออกไปตะกี้เป็นพี่น้องกับตัวอันตรายอีกคนในห้อง
ไม่เหมือนกันเลยสักนิด

ไม่สิ จะว่าเหมือนก็เหมือนในด้านความไม่น่าคบหา

นับได้ว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวชิ้นใหม่ที่ไม่มีให้เห็นที่ไหน แต่ถึงรู้ไปก็ไม่ได้มีผลดีอะไรกับเขาเลย เผลอๆจะแย่กว่าเดิมอีก

“ฮานะกาคิ วันนี้ไม่พกปืนมาด้วยเหรอ”
บทสนทนาถูกเบี่ยงมาทางร่างเล็กอันเป็นแขกพิเศษในวันนี้เพื่อให้หลุดจากสงครามเย็นที่กำลังเริ่มก่อตัว ทาเคมิจิเมื่อได้ยินคำถามก็ยิ้มแหย เกาแก้มเอียงอาย

“…กลัวพวกคุณจะอึดอัดน่ะครับ เลยฝากไว้กับคนที่หน้าประตู”
อันที่จริงคือกลัวจะโดนแย่งไปเหมือนครั้งก่อนเลยชิงให้ไปดีๆเลยดีกว่า อีกอย่างพกไว้กับตัวก็มีแต่จะทำคนพวกนี้ระแวงเขามากขึ้นซะเปล่าๆ

“…”

เมื่อได้ยินคำตอบทุกคนกระพริบตาปริบ หันมองหน้ากันนิ่งอยู่หลายวิก่อนหลุดหัวเราะพรืดไม่ก็หลุดยิ้มมุมปากอย่างลืมรักษามาด
“อุบ…โทษที มันแบบว่าคิดไม่ถึงน่ะ”

โคโคโนอิปิดหน้าหัวเราะไหล่สั่น กลั้นขำด้วยท่าทางทรมานเสียเต็มประดา

“เป็นห่วงความรู้สึกพวกเราด้วย เด็กดีจังเลย~”

“เห ประเมินพวกเราต่ำเกินไปแล้วมั้ง คุณพลซุ่มยิง”

“…เหนือความคาดหมายเลยแฮะ”
เสียงหยอกเย้าของพี่น้องไฮทานิมาพร้อมกับสายตาแพรวพราวเจือไปด้วยความเอ็นดูอย่างปิดไม่มิด ตามด้วยเสียงทุ้มติดแหบพร่าจากคนที่ถึงขนาดดับบุหรี่ลงและติดรอยยิ้มจางไว้บนมุม

นับถอยหลังสามวิหลังจากนั้น ทาเคมิจิได้ทำการระเบิดตัวเองทิ้งกลายเป็นกลุ่มก้อนความเขินอายตัวแดงเถือก
คาคุโจมองภาพแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ กักเก็บรอยยิ้มไว้อย่างสุดความสามารถที่สุดก่อนเอ่ยกับมะเขือเทศข้างๆเสียงเบา

“ฮานะกาคิ…พวกเราไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นั้นหรอกนะ”

“…”

อ่า จริงด้วย

เขาลืมไปได้ยังไงว่าที่นี่เป็นศูนย์รวมของความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกมืด
อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ฮือ เขาอยากกลับบ้านแล้ว

ก้มงุดๆจนคางชิดอก บ่นงุ้งงิ้งน้ำตาซึมคิดถึงบ้านอยู่คนเดียว

ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสังเกตโดยรอบเลยว่าตนเองกำลังถูกเฝ้ามองทุกการกระทำด้วยแววตาลึกล้ำหลากหลายความหมาย
คละคลุ้งไปกับกลิ่นอายผ่อนคลายอย่างไม่เคยมีมาก่อนในการประชุมระดับผู้บริหารครั้งไหน

“ดูท่าจะสนุกกันน่าดูเลยนะ”

ลมสงบอยู่ได้ไม่นานความเย็นเยียบก็คืบคลานออกมาจากความมืด

ทาเคมิจิเงยหน้าซีดเผือดขึ้นทันควัน
ร่างที่ย่างกรายเข้ามาใหม่ยกยิ้มจืดชืดบนมุมปากเมื่อสบกับท้องฟ้ายามไร้เมฆในแก้วตาสั่นไหว หย่อนตัวนั่งลงตำแหน่งหัวโต๊ะพร้อมกับซันสุที่กลับมานั่งที่ประจำของตน

“คุยกันต่อสิ ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าพวกแกจะ‘สนิทสนม’กับทาเคมิจจิ ‘ของฉัน’ ”

เท้าคางเอ่ยด้วยเสียงเฉื่อยชา
ไม่ใช่คำกล่าวประชดประชันแต่เป็นคำอนุญาต…แน่นอนว่าสร้างความประหลาดใจให้บรรดาระดับสูงทุกคนไม่น้อย

มันจิโร่น่ะหวงของจะตาย ไม่มีทางเอ่ยปากแบ่งให้พวกเขาตรงๆแบบนี้หรอก

ความจริงที่น่าเคลือบแคลงถูกแขวนค้างไว้แบบนั้นโดยไม่มีใครกล้าปริปากถาม
แม้แต่ทาเคมิจิที่นั่งงงไปตั้งแต่คำว่า‘ของฉัน’แล้วก็นิ่งเงียบเพราะบรรยากาศแปลกๆที่เริ่มก่อตัว

องค์ประชุมครบแล้วมื้ออาหารจึงเริ่มขึ้น

เสียงสนทนาเรื่องธุรกิจและช้อนส้อมกระทบจานกระเบื้องดังขึ้นเป็นพักๆ อาหารเลิศรสที่ไหลผ่านลิ้นไปช่างขมขื่นเหลือเกินเมื่อถูกจับจ้องด้วยดวงตาไร้แวว
“ไมกี้คุง…ไม่กินเหรอครับ?”

ลองเอ่ยถามไปแบบติดจะกล้าๆกลัวๆ ผู้เป็นอันดับหนึ่งไม่ได้ตอบคำถามนั้นทำเพียงนั่งยิ้มเงียบๆมองคนตัวเล็กค่อยๆเล็มสเต็กทีละน้อยพลางฟังรายงานของลูกน้องแต่ละคนไปด้วย
นั่นส่งผลให้สไนเปอร์มือดียิ่งทำตัวไม่ถูกเมื่อเป็นฝ่ายถูกจับตาดูซะเอง ก้มๆเงยๆอยู่พักนึงจึงตัดสินใจกระทำบางอย่าง

เป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังเขาได้อึดอัดจนขย้อนของที่กินออกมาหมดแน่

เลยจัดการหั่นก้อนเนื้อย่างสมุนไพรเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วยื่นมันส่งให้คนที่ไม่ยอมละสายตาให้มันจบๆไปสักที
“ทำอะไร”

“เห็นคุณเอาแต่มองผม เลยคิดว่าคงอยากกินจานนี้น่ะครับ”

“…”

มองหน้านิ่งๆไร้อารมณ์ที่ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร เหงื่อเย็นๆผุดขึ้นมาบนฝ่ามือที่ยังถือส้อมค้างไว้กลางอากาศ

อ้าว หรือว่าเขาเดาผิด

“…ม- ไม่ใช่เหรอ??”
พยานทุกคนในเวลานั้นไม่ว่าจะเหล่าผู้บริหารหรือพนักงานดูแลดินเนอร์ในคืนนี้แทบจะกู่ร้องในใจพร้อมกันว่ามันก็ต้องไม่ใช่อยู่แล้วสิ

ที่บอสอยากกินน่ะน่าจะเป็นตัวแกมากกว่า

เจ้าของตำแหน่งมือขวาเกือบจะพลั้งปากหลุดออกไปแล้วถ้าไม่โดนสายตาปรามของเพื่อนร่วมงานที่นั่งฝั่งตรงข้ามซะก่อน
“ทาเคมิจจิ…”

เสียงเรียกแผ่วเคาะสติให้คนที่เริ่มสั่นกลับเข้าที่เข้าทาง ทาเคมิจิสะดุ้งน้อยๆยามถูกก้านนิ้วเย็นเฉียบกอบกำรอบข้อมือ ดึงเบาๆส่งให้เนื้อชิ้นเล็กเข้าไปในโพรงปาก

“ขอบใจ”

เคี้ยวเชื่องช้าขณะลอบสัมผัสฝ่ามือติดกร้านของคนไม่ทันระวังตัว
ทิ้งอุณหภูมิเย็นเจือจางบนผิวราวกำลังแสดงเป็นเจ้าของ

น่าเสียดายที่เจ้าของฝีมือแม่นปืนระดับสูงก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกลวนลาม จึงเพียงชักมือกลับมานั่งจัดการอาหารในจานของตนต่อด้วยความรู้สึกร้อนๆหนาวๆ

มือนั่น…รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
ช่วงเวลาอาหารค่ำดำเนินไปเช่นนั้นจนกระทั่งถึงออเดอร์สุดท้ายอย่างขนมหวาน สไนเปอร์หนุ่มแทบจะร้องเฮในใจกระโดดกอดตัวเองที่อดทนมาได้ถึงจุดนี้ ในที่สุดเขาก็จะได้หลุดพ้นจากแววตาอ่านไม่ออกที่เหลือบมองมาเป็นระยะเหมือนกลัวเขาหายสักที
ความดีใจอยู่ได้ไม่นานก็ถูกทุบไม่เหลือชิ้นดีด้วยคำถามที่ถูกยิงเขากลางหน้า

“สักเสร็จแล้วใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง?”

เป็นใครไปไม่ได้นอกจากไมกี้ ทาเคมิจิยิ้มฝืดเกาแก้มอย่างคนไม่อยากจะนึกถึงมัน ยิ่งเสตาหลบเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นคนหัวชมพูจ้องมาทางนี้เขม็งอย่างดูทีท่าว่าเขาจะตอบอะไร
เล่นร้องไห้งอแงเป็นเด็กๆเลยนี่ น่าอายจะตาย

“ก็…เจ็บครับ”

“ขอดูได้รึเปล่า”



“ครับ?”

“รอยสักน่ะ”

??

ตรงนี้เลยเหรอ???

อยากจะถามออกไปแต่ก็ได้แค่คิด ถึงเขาจะเป็นชายผอมแห้งไร้สเน่ห์วัยใกล้เลขสามที่ไม่มีอะไรให้อายก็เถอะ
แต่จะให้ถอดเสื้อต่อหน้าสายตาคนแปลกหน้านับสิบเนี่ยมันก็ออกจากอนาจารเกินไปหน่อยมั้ง

อีกอย่าง…ทั่วร่างกายนี้ก็มีแต่รอยตำหนิ มองไปก็เสียสายตาเปล่าๆ

“ไม่ได้เหรอ”

“มันก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกครับ…”

เมื่อถูกทวงถามจึงก้มหน้าเม้มปากชั่งใจ เหลือบตาขอความเห็นจากคนที่รู้จักมักคุ้นที่สุด
‘ห้ามขัดใจไมกี้’

ในดวงตาสองสีนิ่งสงบคล้ายกำลังจะสื่อประโยคนั้นออกมา นิ้วมนเลยต้องจำใจปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเนื้อดีออกจากร่างอย่างไม่มีทางเลือก

ฝ่ามือและเรียวนิ้วที่ผ่านการเหนี่ยวไกมานับครั้งไม่ถ้วนนั้นยังคงงดงามแม้จะเต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วนปนหยาบกระด้าง
ไล่เลียงดันเม็ดกระดุมออกจากรังเชื่องช้าท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่ตั้งใจจับจ้องไม่วาง พาลให้ใบหูเล็กเห่อแดงด้วยอารมณ์ปั่นป่วนในอก

จะจ้องอะไรกันนักหนาเนี่ย ช่วยสนใจของหวานตรงหน้ากันหน่อยสิเฮ้ย

แล้วเขาจะเขินทำไมกัน ไม่ใช่สาววัยแรกแย้มสักหน่อย
อยากจะทึ้งหัวตัวเอง ตอนนี้ทาเคมิจิไม่กล้าผงกหัวขึ้นไปสู้หน้าใครแล้ว ได้แต่ตั้งอกตั้งใจถอดเสื้ออย่างมุ่งมั่นจนในที่สุดก็กระดุมตัวสุดท้ายก็หลุดออกจากรังดุม

“เดี๋ยว”

มือที่กำลังจะดึงเสื้อออกไปให้พ้นจากกายชะงัก มองคนแย้มยิ้มส่งไปไม่ถึงดวงตาชี้ตักตัวเองอย่างต้องการสื่อนัยนะบางอย่าง
ขอให้ไม่ใช่แบบที่เขาคิด

“มานี่สิ”

จะผีสางเทวดาตนไหนก็ได้ ช่วยส่งฟ้ามาผ่าเขาสักทีเถอะ ไม่อยากอยู่แล้วโลกนี้
เอาปืนมาจ่อหัวยังไม่น่ากลัวเท่าต้องมานั่งคร่อมบนตักอันดับหนึ่งแห่งบงเท็น สุดยอดตัวอันตรายในหมู่ตัวอันตรายที่เหมือนมีป้ายแปะคำเตือนซ้ำซ้อนว่าอย่าริอาจคิดทำอะไรแปลกๆถ้าไม่อยากแหลกกระจุยเป็นเศษเนื้อ

ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดแผ่นอกเปลือย
แก้วตาดำด้านในระยะประชิดยิ่งทำให้ชีพจรเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความหวาดหวั่น

ในแววตานั้นดำมืดจนน่ากลัว หากแต่กลับมีบางอย่างที่ทำหัวใจเขาบีบรัดจนไม่อาจสบมันได้นานนัก

ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งไม่เข้าใจ…ความรู้สึกที่เหมือนกับไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกดวงตาคู่นี้ดึงดูดให้จมดิ่งลงสู่โลกที่ไม่รู้จัก
นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก..

สะดุ้งเล็กๆเมื่อจู่ๆกลุ่มเส้นผมสีดอกเลาเอนมาซบ มันจิโร่ฝังจมูกลงกับลาดไหล่แคบสูดกลิ่นกายหอมเบาบาง ซึมซับความอบอุ่นจากร่างขนาดพอดีมือ

แก้มกลมร้อนผ่าวกับความจักจี้ใกล้คอ หลับตาปี๋เมื่อถูกกระตุกเสื้อที่ใกล้หลุดอยู่แล้วให้ไหลตกลงมากองที่เอวคอด
ต้องขอบคุณความเอาแต่ใจของผู้เป็นหัวหน้า สไนเปอร์ตัวน้อยจึงไม่ต้องรับรู้ถึงสายตามากเล่ห์จากระดับสูงหลายคน แลกกับการที่แผ่นหลังเปลือยเปล่าถูกเปิดเผยให้มองได้ง่ายขึ้นกว่าเก่า

แสงนวลจากโคมไฟระย้ากลางห้องตกกระทบอาบไล้ผิวหนังใต้ร่มผ้า
ขับให้สีแดงจากเลือดฝาดที่แล่นริ้วอยู่ทั่วหลังคอและใบหูชัดเจนขึ้นในคลองสายตา

ชัดเจนพอๆกับบาดแผลจากอดีตที่ประดับประดาอยู่ทั่วพื้นที่ไม่กี่ไม้บรรทัด

ไม่มีผู้ใดแสดงกิริยารังเกียจมัน…ไมกี้คาดเดาไว้อยู่แล้ว ระดับผู้บริหารไม่ใช่มนุษย์ประเภทจะมองเพียงแต่เปลือก
เพราะแบบนั้นถึงได้ไว้ใจว่าจะไม่มีใครเหยียดหยามให้สมบัติล้ำค่าของเขาได้แผลใจเพิ่มระหว่างที่คนตัวเล็กไม่อยู่ในสายตา

ถึงกระนั้นความใคร่รู้ที่ปิดไม่มิดพวกนั้นก็น่าหงุดหงิด

มวลความไม่พอใจแสดงออกทางสีหน้าแทนคำข่มขู่ ดึงความเงียบหนักอึ้งกดทับใครก็ตามที่เริ่มจะล้ำเส้นเป็นการตักเตือน
แม้เขาจะเป็นฝ่ายพูดเองว่าจะ‘แบ่ง’ให้ แต่นั่นมันก็แค่เวลาที่มันจิโร่ไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ นอกเหนือจากนั้นก็อย่าได้ริอาจมาแตะต้อง

“แผลพวกนี้…คงเจ็บมากเลยสินะ”

เอ่ยพึมพำด้วยเสียงหม่น

สลัดความสนใจจากพวกอยากรู้อยากเห็น ลากปลายนิ้วลงตามร่องยาวกลางหลัง สัมผัสกายสั่นระริกอย่างถนุถนอม
ทาเคมิจิขนลุกซู่ไปทั่วร่าง กัดปากควบคุมไม่ให้ร่างกายสั่น ขอบตาเริ่มเปียกชื้นอย่างสะกดกลั้นไว้ไม่อยู่ สองมือเกาะกุมไหล่แข็งแรงบีบมันแน่นโดยไม่รู้ตัว

คงไม่ได้คิดจะทำอะไรแบบนั้นตรงนี้หรอกใช่ไหม?
เพราะถ้าคิดจะทำจริงๆเขาก็ไม่มีอำนาจใดจะขัดขืนได้อยู่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหม่เลยสำหรับคนอยู่ในโลกฝั่งนี้มาจนหยั่งราก การกล้ำกลืนทำทุกสิ่งเพื่อมีชีวิตต่อไปแม้แต่การขายร่างกายก็คือภาพชาชินที่หาได้ทั่วไป

ทาเคมิจิก็ไม่ได้ต่างกัน

“ชู่ว—ไม่เป็นไร”
คนน้ำตาหยดแหมะหันมาปะทะกับฝ่ามือที่ลูบปลอบประโลมตามกรอบหน้า เกลี่ยหยดน้ำจากขอบตาแดงเรื่อสีหน้าคล้ายจะรู้ว่าคนบนตักตนคิดอะไรอยู่

“ฉันยังไม่ทำอะไรหรอก”

“ต่อจากนี้นายเป็นคนของบงเท็นแล้ว ทุกอย่างที่นายเกลียดฉันจะลบมันให้เอง”

สวมกอดเจ้าลูกแมวขี้กลัว หยุดปลายนิ้วลงยังกลางแผ่นหลัง
“ไมกี้คุง…”

“สวยจัง”

ลูบลวดลายไพ่อันเป็นรูปทรงงดงามเพียงหนึ่งเดียวบนกายของคนที่ถูกใจอย่างหลงใหล ตกอยู่ในภวังค์หลายนาทีจนในที่สุดก็ยอมผละออกมายิ้มกว้างตาปิดให้

“ยินดีต้อนรับนะ ทาเคมิจจิ”

แววตาสีท้องฟ้าระริกไปด้วยความสับสน

มีแต่เรื่องที่เขาไม่เข้าใจเต็มไปหมด…
ทำไมถึงต้องอ่อนโยนขนาดนี้ ทำไมถึงต้องมาทำดีด้วย

จากประสบการณ์มากมายที่เผชิญมาไม่เคยมีครั้งไหนที่ถูกปฏิบัติดั่งมนุษย์คนนึง ทั้งที่เห็นเขาเป็นเพียงอาวุธสังหารคุณภาพดีไม่ใช่เหรอ เหตุใดถึงต้องใส่ใจความเจ็บปวดกันด้วย

คนๆนี้ต้องการอะไรกันแน่..ไม่อาจรู้ได้เลย
ตะกอนความแคลงใจถูกกวนจนขุ่นมัว รู้สึกตัวอีกทีเรียวนิ้วซีดก็จัดการกลัดกระดุมให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ความใส่ใจเกินจำเป็นยิ่งกระตุ้นให้เขาระแวดระวังหนักกว่าเดิม

“รีบกินของหวานเถอะ จะได้กลับไปเตรียมตัว”

“เตรียมตัว?”

“อื้อ ก็ทาเคมิจจิทำงานให้พวกเราแล้วก็ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่สิ”

ห้ะ
เลิกคิ้วกระพริบตาปริบกับความจริงข้อใหม่ที่พุ่งกระแทกหน้าไม่ทันตั้งตัว สมองหมุนงุนงงไปชั่วครู่

“คืนเดียวคงพอใช่ไหม พรุ่งนี้จะให้คาคุโจไปรับที่บ้านนะ”

“เดี๋ยวครับ มันไม่เห็นเหมือนในข้อตกลง—“

“…”

รัตติกาลใต้แก้วตากลมพลันดำมืดอย่างน่าสะพรึงกลัว

โอเค รู้เรื่อง
“ครับ…”

กล้ำกลืนคำโต้แย้งลงคอ ยอมจำนนต่อโชคชะตาแสนโหดร้ายตรงหน้า พยายามปลอบใจตัวเองเข้าไว้ว่าได้รอดกลับไปก็ดีแค่ไหนแล้ว

“เก่งมาก”
เห็นแบบนั้นผู้นำแห่งบงเท็นจึงยิ้มเอ็นดูยอมปล่อยร่างบนตักให้กลับไปนั่งที่ดีๆ หลังจากนั้นรสชาติของทาร์ตเค้กชิ้นเล็กก็ไม่ได้ซึมเข้าสู่ลิ้นเขาเลยจนมื้ออาหารจบลง และทุกคนพากันแยกย้ายไปจัดการธุรกิจของตัวเองต่อ

“แล้วเจอกันนะ ทาเคมิจจิ”
มันจิโร่กล่าวก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับซันสุที่อยู่ด้านหลัง สุนัขผู้ซื่อสัตย์เหลือบตามามองเขาเล็กน้อยกระตุกยิ้มมุมปากเงียบงัน

เป็นคอมโบความสยองที่ทำทาเคมิจิขนลุกซู่ ถึงกับต้องยืนลูบแขนตัวเองแรงๆเพื่อเรียกขวัญกำลังใจกลับมา

คงไม่มีใครทำเขาสั่นไปได้มากกว่าสองคนนี้แล้ว
พี่น้องไฮทานิเข้ามาหยอกล้อเล่นหัวเขานิดหน่อยเอ่ยแซวจนทำหน้าคนตัวเล็กแทบไหม้แล้วจึงยอมลามือไปพร้อมเสียงหัวเราะแต่โดยดี ส่วนคนอื่นๆดูเหมือนจะมีงานเร่งด่วนเลยรีบรุดออกไปตามๆกัน

ทิ้งให้โถงอาหารเหลือเพียงความเงียบและมนุษย์สองคนที่ยืนเหม่ออยู่ข้างๆกัน

“กลับกันเถอะ”
คนตัวสูงกระแอมไอเอ่ยออกมาสั้นๆก้าวนำไปอย่างเคย แต่เคลื่อนจากจุดเดิมไปไม่ได้เท่าไหร่เสียงริงโทนก็ดังขึ้นขัดฝีเท้า

แน่นอนว่าเป็นของคาคุโจในเมื่อเขายังไม่ได้โทรศัพท์คืน เจ้าของเส้นผมสีเข้มยกมันขึ้นมากดรับพูดสองสามคำก่อนยืนนิ่งไป

สายตาเฉี่ยวคมก้มมองมือปืนตัวน้อย
สบกับดวงตางงงวยหลายวิก่อนจะถอนหายใจ

“ได้ จะรีบไปเดี๋ยวนี้”

ทาเคมิจิเดาได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“โทษทีนะ ฉันคงไปส่งนายไม่ได้แล้ว”

ไม่ได้เกินความคาดหมายนัก ก็นะ…เจ้าตัวเป็นถึงระดับผู้บริหารจะงานยุ่งก็ไม่แปลก แค่ที่สละเวลามาทำนู่นทำนี่ให้เขาก็ขอบคุณมากแล้ว
คงจะมีแต่บงเท็นนี่แหล่ะที่เอาคนตำแหน่งสูงขนาดนี้มาทำงานจิปาถะอย่างการดูแลสมาชิกใหม่ที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า

“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมกลับเองก็ได้”

“ให้ลูกน้องฉันไปส่งแทนเถอะ มืดแล้วแถวนี้มันอันตราย”

“ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะครับ”

“ฉันรู้ แค่เป็นห่วงน่ะ”
สะอึกถึงกับเถียงไม่ออก ทาเคมิจิยกมือขึ้นเกาหลังคอเก้กังทำตัวไม่ถูก จู่ๆก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาแปลกๆพอโดนพูดจาห่วงใยใส่ซึ่งๆหน้า

ให้อารมณ์แตกต่างจากไมกี้ลิบลับ มีเพียงคำพูดเถรตรงและแววตาแน่วแน่ไร้สิ่งใดเจือปน

รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“งั้น…ก็ได้ครับ”
อาการแพ้ทางคนจริงใจเริ่มจะกำเริบขึ้นมา ตกปากรับคำเสร็จคาคุโจก็จัดการฝากสมาชิกใหม่ไว้กับลูกน้อง ยืนส่งจนร่างเล็กเดินลับหายไปหลังประตูลิฟต์ที่เลื่อนปิดลง

ไม่กี่วิต่อมาใบหน้าผ่อนคลายพลันแปรเปลี่ยนเป็นเครียดขึง ก้มมองสมาร์ทโฟนในมือด้วยดวงตาฉาบไปด้วยความรู้สึกผิดระคนขุ่นเคือง
จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม…

หลับตาข่มกลั้นอารมณ์ จัดการกลุ่มก้อนความยุ่งเหยิงในหัวไม่นานก็หมุนตัวเดินตรงไปยังห้องพักของนายเหนือหัวตามที่ได้รับสั่ง

ขอให้รอดปลอดภัย ได้แต่อธิษฐานในใจเช่นนั้นขณะก้าวเข้าสู่เงามืดอีกครั้ง

.
.
.
ส่วนทางด้านคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่หลงดีใจว่าจะได้ก็กลับบ้านแล้ว ทันทีที่ก้าวออกนอกประตูลิฟต์ด้วยใจลิงโลดหัวใจดวงน้อยก็ถูกระชากให้ตกดิ่งลงทุ่มพสุธาต่อหน้าต่อตา

“ไง ฮานะกาคิคุง”
ทาเคมิจิหน้าซีดเมื่อร่างที่ปรากฏในคลองสายตาคือชายหนุ่มในชุดสูทภูมิฐานมีแผลเป็นคาดทับตาขวากำลังยืนผลิยิ้มเป็นมิตรราวกำลังยินดีกับการพบเจอแขกคนพิเศษในค่ำคืนนี้

แสงไฟสีนวลส่องกระทบกรอบหน้าชื้นเหงื่อ คำเตือนจากคนที่พึ่งล่ำลากันไปดังผุดขึ้นมาในหัว,ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
สายตากวาดมองของรอบตัวอย่างหาตัวช่วย ซึ่งเจ้าคนที่นำทางเขามาก็หายหัวไปไหนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ฉันอาคาชิ ทาเคโอมิ ยินดีที่ได้รู้จัก”

ประตูทางออกห่างไปอีกประมาณร้อยเมตร กะจากสายตาแล้วคนวิ่งช้าอย่างเขาไม่น่าจะได้พ้นขอบประตู

ถูกยิงก่อนแหง
ไหนจะต้องแบกปืนๆหนักๆในแขนนี่เอาไว้ระหว่างวิ่งอีก

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันมาดีนะ”

ไม่ได้น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย ยังไงก็คงต้องการอะไรจากเขาสักอย่างเป็นแน่ ไม่มีทางที่ชายอย่างทาเคโอมิจะยอมเสียเวลากับอะไรที่ไม่มีประโยชน์หรอก

“สักม้วนไหม?”
ระหว่างที่สมองคิดหาทางหนีม้วนบุหรี่ยี่ห้อดีก็ถูกยื่นมาให้ แน่นอนว่าทาเคมิจิสั่นหัวปฏิเสธ

“ไม่ครับ ผมไม่สูบ”

“งั้นเหรอ ที่เขาว่ากันว่าบุหรี่ไม่ดีต่อพวกพลซุ่มยิงคงจริงสินะ”

ไม่ถือสาหาความคนปฏิเสธไร้เยื่อใย ดึงมันกลับมาคาบบนริมฝีปากจุดไฟสูบอย่างชินชา
คำพูดของคนๆนี้ก็ไม่ผิดซะที่เดียว บุหรี่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอาการเสพติดซึ่งมันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หากเป็นสไนเปอร์ที่ต้องซุ่มอยู่ในที่แคบนานๆแล้วเกิดอยากสูบจนงุ่นง่านขึ้นมา

แต่ปัญหาใหญ่ๆคือควันบุหรี่มันเปิดเผยที่ซ่อนของคนยิงต่างหากเขาถึงไม่สูบกัน
ทาเคมิจิเคยเห็นรุ่นน้องคนนึงโดนสอยไปต่อหน้าต่อตาเพราะไอ้การสูบบุหรี่นี่มาแล้ว ต้องเรียกว่าเจ็บแล้วจำจนไม่กล้าแตะมันอีกเลย

“จะไม่คุยกับฉันจริงๆเหรอ เสียใจนะเนี่ย”

ถูกคนอายุมากกว่าเอ่ยตัดพ้อจนเผลอแสดงสีหน้าเหรอหราออกมา

มันต้องเป็นเขาไม่ใช่เรอะที่ต้องคร่ำครวญ
รู้ไหมว่าวันนี้เกือบหัวใจวายไปกี่รอบเพราะหัวหน้าของพวกคุณน่ะห้ะ!

แถมโดนลวนลามด้วย! นิสัยไม่ดี!

“…”

มุ่ยปากบ่นในใจไม่ตอบโต้ ซึ่งก็ไม่ได้เกินความคาดหมายของทาเคโอมินัก

คงจะโดนเป่าหูมาก่อนถึงได้แสดงอาการต่อต้านขนาดนี้

คาคุโจงั้นเหรอ? ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆนะ…
“ไม่เป็นไรๆ วันนี้ก็เจอมาหนักเลยนี่นา จะไม่อยากคุยก็ไม่แปลก”

ตบไหล่ปลอบใจมือปืนหน้าเด็ก ปฏิกิริยาที่ได้กลับมากลายเป็นสีหน้าตลกๆยิ่งกว่าเดิม ทาเคมิจิคงได้เห็นร่องรอยขำขันจากคนมากเล่ห์แล้วหากอีกฝ่ายไม่เดินผ่านร่างเขาตรงไปที่ลิฟต์ซะก่อน

“กลับบ้านดีๆล่ะ”
กล่าวอวยพรเหมือนจะยอมลามือง่ายๆทำให้ทาเคมิลังเลเล็กน้อยที่จะรีบหนีออกไป แต่ไม่นานก็ยอมก้าวไปทางที่เล็งไว้ครั้งแรกโดยไม่คิดหันหลังกลับมามอง

ในที่สุดก็รอดตายจริงๆซะที จบจากนี้ไปเขาคงต้องไปทำบุญล้างซวยสักหน่อยแล้ว
แต่แล้วประโยคต่อมาจากคนๆเดิมก็รั้งฝีเท้าเร่งรีบให้หยุดลงราวถูกโซ่เส้นหนาดึงรั้งเอาไว้

“อ้อ แล้วก็…ฝากทักทายคุณพ่อด้วยนะ”

เหมือนถูกน้ำเย็นสาดร่าง ปลายนิ้วเย็นเฉียบกอบกุมกระเป๋าใบโตในอ้อมแขนแน่นขึ้นเรื่อยๆ

“คุณ—”

หันหลังกลับไปเผชิญร่างที่ยืนรออยู่หน้าลิฟท์ช้าๆ

“…รู้?”
ไม่มีคำตอบ นั่นยิ่งทำให้หัวใจสไนเปอร์หนุ่มสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว

นานอยู่หลายนาทีก่อนที่ปรึกษาแห่งบงเท็นจะขยับยิ้ม เปล่งเสียงทุ้มติดแหบพร่าจากลำคอเนิบนาบไม่รีบร้อน

“ฉันจะถามอีกครั้งนะ ฮานะกาคิ”
ทิ้งช่วงให้นักแสดงบทนำในคืนนี้ได้เสียขวัญเล่นๆขณะตนย่างสามขุมมาหยุดอยู่ต่อหน้าร่างกายผอม ปล่อยให้เงาดำพาดทับใบหน้าตระหนกเหมือนลูกสัตว์ขี้ตกใจ

“สนใจไปสูบด้วยกันข้างนอกไหม?”

เหยื่อติดกับแล้ว
…..

เมื่อตอนเด็กๆแม่เคยสอนว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า

แต่ถ้าคนแปลกหน้าดันล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับเราอยู่ก็จงอย่าปริปากแล้วเดินตามเขาไปซะ

สภาพทาเคมิจิตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นแบบกรณีหลัง
ฝีเท้าก้าวมาหยุดยังดาดฟ้าของอาคารปิดทึบขนาดสี่ชั้น ที่นี่มีสะพานเชื่อมต่อกับคอนโดหรูที่เขาพึ่งเข้าไปนั่งทานมื้อค่ำมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนจึงใช้เวลาเดินไม่นานก็ถึงที่หมาย

ดวงตากลมเหลือบสังเกตรอบตัวไปตลอดทาง สำรวจทุกอย่างไม่ให้เล็ดลอดแม้แต่ไรเส้นผมเพื่อคำนวณความเป็นไปได้ต่างๆนาๆ
แปลก

แถวนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดเลยสักตัว ทั้งที่ในคอนโดแทบจะเจอทุกสามก้าว

ไหนจะคนตรงหน้านี่อีก

เป็นถึงระดับที่ปรึกษาแต่กลับไม่มีการ์ดตามมาเลย จะเรียกว่าการป้องกันหละหลวมหรือมั่นใจในตัวเองเกินร้อยดี

ความประมาทจะนำพาความตายมาเยือนผู้ไม่รู้จักประมาณตน…
ถ้าเกิดเขาเลือกจะทรยศตรงนี้แล้วฆ่าอีกฝ่ายซะ โยนความผิดให้แก๊งค์อริของบงเท็นสักแก๊งค์แล้วทำทีถูกลักพาตัวไปด้วยก็คงไม่มีใครรู้ความจริง

คิดไปคิดมามันก็ดูจะตื้นเขินเกินไปหน่อย

คนอย่างมันสมองแห่งบงเท็นคงไม่มีทางสะเพร่าอย่างเดินไปไหนมาไหนกับมือปืนไม่น่าไว้ใจสองต่อสองหรอกมั้ง
กำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?

“สูงประมาณนี้น่าจะพอแล้ว”

หรี่ดวงตามองแผ่นหลังกว้างขยับหันกลับมา รองเท้าหนังเงาวาวเหยียบดับซากก้นบุหรี่ที่หมดแล้วหยิบม้วนที่สองออกมาจุดสูบต่อ

เมินเฉยความร้อนใจในแววตาคู่งามเหมือนเป็นเพียงกลุ่มควันลอยเอื่อยที่ไม่นานก็ถูกสายลมพัดพาจางหายไป…
“เอาล่ะ เรามาทำข้อตกลงกันดีกว่า”

ใบหน้าคมคายนิ่งเรียบแฝงกลิ่นอายจริงจังขึ้นอีกระดับ

ช่างต่างกับเหล่าระดับสูงของแก็งค์อื่นๆที่ทาเคมิจิเคยเจอมาลิบลับ

“ฉันจะตอบคำถามเธอสามข้อ แลกกับทำตามคำขอฉันหนึ่งอย่าง— ”

“มีอะไรจะคัดค้านไหม?”
กล่าวรวบรัดเข้าใจง่าย, เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ดูไม่เสียหายอะไรแต่ก็เต็มไปด้วยช่องโหว่

“เกรงว่าผมคงต้องรู้ก่อนว่าคำขอของคุณคืออะไร”

ทุกถ้อยคำถูกกลั่นกรองอย่างระมัดระวัง แม้จะอยากรู้มากมายเพียงใดแต่การกระทำเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลถึงชีวิตของเขาต่อจากนี้
จึงไม่แปลกที่ทาเคมิจิจะระแวงไว้ก่อนเหมือนกระต่ายที่พร้อมวิ่งเข้าไปหลบในโพรงไม้ทันทีที่ผู้ล่าเผยเขี้ยวเล็บ

น่าเสียดายที่นักล่าคนนี้ฉลาดพอที่จะรู้วิธีซ่อนอาวุธแหลมคมไว้ใต้หนังแกะอย่างมิดชิด

“ไม่นักหนาสาหัสอะไรสำหรับเธอหรอก”

“จะหนักหรือไม่ผมจะเป็นคนตัดสินเองครับ”
กลิ่นนิโคตินติดเจือจางอยู่ที่ปลายจมูกยามหาญกล้าเงยหน้าขึ้นสบกับก้นหุบเหวลึก

หยุดนิ่งลองเชิงกันอยู่นาน

ประกายตาดื้อดึงเล็กๆสร้างความประทับใจให้แก่ผู้เฝ้ามองได้มากพอตัว ครั้งนี้ทาเคโอมิจึงยอมตอบคำถามดีๆไม่อิดออดบ่ายเบี่ยง
“ยิงเป้าเล็งที่อยู่บนตึกอีกฝั่งทั้งหมด ทำได้ไหม”

ปลายนิ้วชี้ไปยังตำแหน่งอาคารปูนเปลือยคล้ายยังก่อสร้างไม่เสร็จที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลท่ามกลางทิวทัศน์เปล่งประกายของมหานครโตเกียว

ถึงจะมืดไปบ้างแต่ก็พอเห็นเป้าเล็งหน้าตาคล้ายกระสอบทรายถูกแขวนอยู่ทั่วตึก
เตรียมการมาเป็นอย่างดีเลยสินะ…นี่อยากทดสอบฝีมือเขาขนาดนั้นเชียว

“แค่นั้นเหรอครับ”

“ใช่”

“เพื่ออะไรครับ…?”

“ถ้าเธอยังไม่หยุดคิดก่อนพูดฉันจะนับมันเป็นหนึ่งในสามข้อแล้วนะ”

สะอึกกับประโยคตักเตือนที่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าสบายๆ ริมฝีปากนิ่มเม้มเข้าหากันแน่นลอบปาดเหงื่อในใจ
ว่าจะแอบหลอกถามซะหน่อย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเคี้ยวยากกว่าที่คิดจึงไม่มีทางเลือกนอกจากกลั้นใจถามสิ่งที่อยากรู้ออกไป

“คุณ…รู้จักคุณพ่อได้ยังไง”

“ได้ยินมาจากเพื่อนคนนึง เห็นว่าฝีมือน่าสนใจดีเลยไปขุดคุ้ยประวัติมาอ่านเล่นๆ”

“…”

คำตอบเรียบง่ายเสียจนไม่อยากจะเชื่อหู
“ไหงทำหน้าไม่เชื่อแบบนั้นล่ะ เห็นแบบนี้แต่ฉันไม่นิยมโกหกใครพร่ำเพรื่อหรอกนะ”

“แค่นั้นจริงๆเหรอครับ”

“แล้วอยากให้รู้แค่ไหนกัน”

“คุณตอบคำถามด้วยคำถาม”

“ก็ถ้าเธอนับมันเป็นข้อสองฉันก็จะตอบดีๆให้”
ผู้ชายคนนี้ไม่มีช่องว่างเลย…

ไม่ยอมถูกทั้งบทสนทนาทั้งบรรยากาศคล้อยพาไป จะเรียกว่าเก่งดีหรือหน้าเลือดจนไม่ยอมโดนเอาเปรียบแม้แต่เศษเสี้ยวดี

ถอนหายใจยอมรับความพ่ายแพ้ เป็นแบบนี้ต่อให้ตะล่อมคุยไปเรื่อยๆก็คงมีแต่จะเสียเวลาเปล่า

“งั้นก็ตอบมาสิครับ”
รอยยิ้มพึงพอใจประดับอยู่บนใบหน้าฝ่ายอาวุโสกว่า

เสียงทุ้มเอื่อยค่อยๆร่ายเรื่องราวแสนคุ้นเคยจากริมฝีปากช้าๆราวกับเป็นเพียงนิทานก่อนนอนในวัยเยาว์

“เมื่อไม่นานมานี้มีอดีตทหารเก่าฝีมือดีที่ผันตัวมาเป็นมือปืนอิสระได้ตกหลุมรักและแต่งงานกับโสเภนีคนนึงจนมีลูกชายหนึ่งคน”
“น่าเสียดาย…ถึงพวกเขาจะอยู่กินกันมาหลายปีแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจหย่าร้างกันเพราะปัญหาเรื่องความหึงหวง”

“…”

เฮอะ นี่ขนาดอ่านเล่นๆนะเนี่ย

ขุดประวัติเขามาลึกพอตัวเลยไม่ใช่รึไง
“ดูเหมือนว่าผู้หญิงนั่นสุดท้ายก็ทิ้งลูกไว้ให้ฝ่ายชายเลี้ยง ไม่นานคนเป็นพ่อก็ถูกฆ่าตาย ปล่อยให้เด็กตัวน้อยเผชิญโลกตามลำพังโดยไม่มีใครดูดำดูดี”

“จบแล้ว ที่ฉันรู้มีแค่นี้”

สิ้นสุดประโยคความเงียบก็ถูกแขวนไว้กลางอากาศ
ลมเย็นพัดกรีดผิวจนเกิดเสียงหวีดหวิวข้างใบหู เงาเมฆเคลื่อนตัวต่ำลงจนบดบังแสงจันทร์ในยามค่ำคืน

สไนเปอร์หนุ่มหลุบตาต่ำปล่อยให้เส้นผมสีนิลทิ้งตัวปกคลุมแววตาสุกสกาว ผ่อนลมหายใจพึมพำเสียงเบา

“ไม่ได้ถูกทิ้งสักหน่อย…”
“งั้นเหรอ แต่ที่อยู่ตัวคนเดียวก็เป็นความจริงนี่”

“คุณมันใจร้ายชะมัด”

“เชื่อฉันเถอะ การพูดความจริงเป็นวิธีปลอบโยนที่ดีที่สุดแล้ว”

หัวเราะเบาๆเหมือนกับว่าคำจี้ใจดำที่ออกจากปากเป็นแค่เรื่องขบขันหยอกล้อกันหลังมื้ออาหาร
คนตัวเล็กตะขิดตะขวงใจไม่น้อย ก้อนความยุ่งเหยิงยิ่งขมวดเข้าหากันปนเปกับอารมณ์จนจับต้นชนปลายไม่ถูก คำตอบมันอยู่ในขอบเขตที่เขาคาดเดาได้มากเกินไปเหมือนจงใจให้เป็นแบบนั้น

“เอาล่ะ คำถามข้อสุดท้ายของเธอคืออะไร”
แต่ถึงยังไง…การขจัดข้อสงสัยมันก็จำเป็น หากภายภาคหน้าจะต้องเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่ต้องทำงานร่วมกับชายคนนี้

ทาเคมิจิสูดลมหายใจ กระชับปืนในกระเป๋าใบใหญ่แน่นขึ้นขณะจดจ้องไปยังฝ่ายที่กำลังเฝ้ารอพร้อมกับแสงริบหรี่ของม้วนบุหรี่ที่ใกล้ดับลง

ชีพจรเต้นถี่ขึ้นทุกวินาที
เหงื่อกาฬผุดพรายเต็มมือแม้อากาศจะเย็นเฉียบ

นี่จะเป็นคำถามที่ชี้ว่าสุดท้ายแล้วบงเท็นจะเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่

“คุณเกี่ยวข้องกับการตายของคุณพ่อรึเปล่า”

ไม่มีมีคำตอบ…

“…”
ม่านตาเต็มไปด้วยปริศนาหรี่แคบลงไปชั่วครู่ บุหรี่ถูกโยนทิ้งไปจากก้านนิ้วพร้อมกับเรียวขาใต้ชุดสูทเนื้อดีที่ย่างกรายเข้ามาใกล้

ครั้งนี้เจ้าของเส้นผมสีราตรีไม่ได้ถอยหนี ยืนประชันหน้าที่ปรึกษาแห่งแก็งค์อาชญากรใหญ่อย่างไม่เกรงกลัวว่าคำกล่าวหาของตนจะนำพายมทูตมาฉุดลากร่างลงนรก
ลึกลงไปยังก้นบึ้งของท้องทะเลพร่างหมู่ดาวก็มีหุบเหวไม่ต่างกัน

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรทาเคมิจิก็คือมือสังหารคนนึง…แม้จะไร้พลังเมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าแต่ก็ไม่คิดจะลามือหากบงเท็นคือศัตรูที่เขาต้องจัดการ

ความดื้อด้านบ้าบิ่นคงเป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่เคยพ่ายแพ้ใครหน้าไหน
“ถ้าฉันตอบว่าเกี่ยวเธอจะทำอะไรได้ล่ะ?”

“ผมจะฆ่าคุณ”

หยักยิ้มให้กับแววตาว่างเปล่าไร้ความลังเล หากเป็นคนอื่นคงได้กินลูกตะกั่วไปแล้วแต่สำหรับเด็กคนนี้มันกับช่างดูเหมือนน้ำมันชั้นดีที่ราดลงมาในกองเพลิง

ชักจะตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อยแล้วแฮะ

“เธอไม่โง่พอจะทำแบบนั้นหรอก”

“…”
ทาเคมิจิขบฟันจนกรามขึ้นสันนูน พอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้เตือนกันนักหนาว่าอย่าเข้าใกล้ชายตรงหน้า การสนทนากับอีกฝ่ายช่างไม่ต่างกับการบั่นทอนสติปัญญาของตัวเองเลย…

ก่อนจะได้เลยเถิดหยิบปืนมายิงใส่กันจริงๆสงครามประสาทก็จบลงด้วยคำเฉลยเสียงเรียบตัดกับบรรยากาศคุกรุ่น
“งั้นก็เสียใจด้วย คำตอบคือไม่”

จมูกรั้นที่แดงเรื่อจากอากาศเย็นถูกเคาะเบาๆด้วยปลายนิ้วกร้าน อาคาชิคนพี่ประกายตาวาววับอย่างคนขี้แกล้งกล่าวต่อยิ้มๆก่อนจะถอยออกห่าง

“ฉันรู้จักผู้ชายคนนั้นแค่ผิวเผิน หน้าจริงๆยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำเลยมั้ง”
กลิ่นอายกดดันผสมจิตสังหารหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทาเคมิจิตอนนี้สภาพไม่ต่างจากฮัสกี้หน้าโง่ยืนอึนนิ่งไปพักใหญ่

อย่าบอกนะว่า…

ตะกี้คือจงใจยั่วโมโหกันเรอะ!?

“ผ ผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณไม่ได้โกหก”

“ก็บอกไปแล้ว— ฉันโกหกเมื่อมันจำเป็น จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ดุลพินิจ”
เส้นผมสองสีละต้นคอขยับไหวไปตามแรงลม แท่งนิโคตินถูกจุดค้างอยู่บนริมฝีปาก

กลุ่มควันขาวลอยคลุ้งบดบังแววตาลุ่มลึก หลบซ่อนตัวตนยากจะคาดเดาไว้หลังเงามืดของแสงระยับจากวิวทิวทัศน์อันงดงาม

วินาทีนั้น…เค้าลางบางอย่างก็เริ่มปรากฏบนเสี้ยวหน้าสุขุม
เศษชิ้นส่วนของธาตุแท้ที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด อารมณ์ที่ปนเปกันเหมือนสีน้ำที่ถูกกวนเข้าด้วยกันจนขุ่นมัว

“มาเริ่มงานของเรากันเถอะ”

……..
ระยะทาง

ความเร็วลม

อุณหภูมิ

ความชื้น

ทิศทาง

ตัวเลขมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวไม่ขาดสาย แล่นผ่านหน้าจอมิเตอร์ขนาดเล็กกระทบเข้าสู่ม่านตากลมครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งที่มันเปลี่ยนไปแม้แต่ทศนิยมเดียว สไนเปอร์ตัวเล็กก็จะเริ่มคำนวณใหม่ทั้งหมดในพริบตาทันทีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

เจ้าของรอยแผลเป็นคาดทับดวงตาคาบบุหรี่มองทุกการเคลื่อนไหวของร่างบอบบางอย่างสนอกสนใจ
ไล่สายตาวิเคราะห์ตั้งแต่ตัวปืนยันผู้ใช้มันละเอียดถี่ถ้วนยิ่งกว่าตรวจสอบเพชรน้ำงามที่ได้มาจากตลาดมืด

ไม่มีแม้กระทั่งตารางลม…คิดสดสินะ

ก็สมแล้วกับที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ

กระบอกเก็บเสียงถูกใส่ลงบนปลายปืนด้วยท่าทางทะมัดทะแมง เมื่อตั้งฐานได้มั่นคงศูนย์เล็งจึงถูกปรับอย่างใจเย็น
จุดเด่นนอกจากฝีมืออันแม่นยำที่ใครๆก็ต่างต้องการตัวแล้ว อีกคุณสมบัติหนึ่งที่ไม่มีทางจะลอกเลียนแบบได้จนหลากหลายองค์กรกระเหี้ยนกระหือรืออยากได้เด็กคนนี้นักหนาคือสมองในกระโหลกเล็กๆที่ไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์
ฮานะกาคิ ทาเคมิจินั้นเป็นทั้ง ‘สไนเปอร์(พลซุ่มยิง)’ และ ‘สพ็อตเตอร์(พลชี้เป้า)’ในตัวคนเดียว

“ช่วยถอยไปห่างๆหน่อยได้ไหมครับ กลิ่นบุหรี่มันรบกวน”

“อ่า โทษที”

ไม่มีหวาดระแวงหรือเกรงกลัว ทันทีที่ได้จับอาวุธสังหารคุ้นมือภาพสะท้อนในแววตาเยือกเย็นก็ปรากฏเพียงเป้าหมาย
ทุกลมหายใจเข้าออกมีไว้เพื่อผลลัพธ์ ทุ่มเททุกอย่างไว้ยังปลายนิ้วที่ขยับลั่นไก

ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมหรืองานจริงฮานะกาคิก็ไม่เคยคิดที่จะล้อเล่นกับมัน เมื่อเลือกที่จะจับปืนแล้วตัวเลือกจะเหลือแค่เป็นฝ่ายยิงหรือถูกยิงเท่านั้น

และเขาก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายยิงเสมอมา
เสียงดินปืนและกระสุนที่พุ่งออกไปจากลำกล้องดังเข้าโสตประสาทร่างทั้งสองเป็นระยะตลอดห้านาทีเต็ม

ครั้งที่หนึ่ง สอง สาม และตามด้วยอีกนับไม่ถ้วน

นิ่งสงบเหมือนผิวน้ำที่เคลื่อนตัวอย่างเงียบงัน ซุกซ่อนคลื่นลูกใหญ่เอาไว้ใต้รูปลักษณ์หลอกตา
มีทั้งความอดทนในการติดตาม ความสามารถในการคิดคำนวณ ไหวพริบก็เป็นเลิศ

สำหรับบงเท็นที่เน้นคุณภาพไปยังตัวบุคคลเดี่ยวๆ มือปืนจิ๋วแต่แจ๋วตรงหน้ามีฝีมือมากพอจะขึ้นเป็นระดับผู้บริหารแบบไร้ข้อกังขาได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ล้วนแล้วทั้งหมดก็เป็นแค่ข้อมูลที่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษรบนหน้ากระดาษ… เทียบเท่ากับของจริงไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

“ยี่สิบเก้าอัน ถูกไหม?”

ช่างสมบูรณ์แบบซะจนทำกายสั่นระริก หัวใจเต้นกึกก้องกรีดร้องอยากจะครอบครองจนแทบล้นปริ่มออกมาทางแววตา
งดงามหมดจรด

เป็นอุดมคติอย่างที่เขาปราถณาทุกประการ

“ถูกต้อง”

เก็บกลั้นรอยยิ้มไว้หลังฝ่ามือที่เคยแปดเปื้อนสีเลือดมามากมาย แสร้งยิ้มแย้มสบายๆทั้งที่จังหวะชีพจรเต้นระส่ำ

ไมกี้นี่ก็ตาถึงไม่เบาเลย…ดันเก็บเด็กที่เหมือนกับลูกสัตว์ประหลาดตนนี้เอาไว้
“แค่นี้ใช่ไหม ผมจะได้กลับเลย”

ท่าทางขุ่นเคืองเล็กๆเหมือนแมวตอนอารมณ์ไม่ดีบ่นงุบงิบอยู่คนเดียวชักทำให้ทาเคโอมิเริ่มสงสัยแล้วว่าร่างตรงหน้าใช่คนๆเดียวกับที่จับกระบอกปืนเมื่อกี้รึเปล่า
แต่จะให้ถือสาหาความก็คงไม่ได้ในเมื่อเป็นเพราะตัวเขาเองที่ลองเชิงร่างเล็กหนักมือไปหน่อยจนโดนระแวงหนักกว่าเก่า

“เดี๋ยวก่อนสิ อย่าพึ่งไป”

ทาเคมิจิขมวดคิ้วกระชับกระเป๋าปืนแนบอก ค่อยๆหันกลับมายังคนก้มมองจอสมาร์ทโฟนด้วยสายตาระแวดระวังปิดไม่มิด

จะเอาอะไรอีก
อย่างกับมีประโยคนี้แปะเด่นหราอยู่บนหน้าผาก

“ไม่รอฟังผลก่อนเหรอ”

“ไม่ล่ะครับ ยังไงก็ไม่น่าจะโดนครบทุกเป้าอยู่แล้ว…ถึงจะนับได้ตามจำนวนเป๊ะๆเลยก็เถอะ”

พอได้ยินว่าเป็นเรื่องอะไรก็ห่อไหล่ตอบเสียงอ่อย ท่าทางไม่มั่นใจในฝีมือสุดกู่ทำเรียวคิ้วเข้มผูกเข้าหากัน
กลุ่มก้อนความสงสัยใคร่รู้พัวพันก่อตัวขึ้นทีละนิด

...คงต้องไปขุดข้อมูลส่วนตัวเพิ่มอีกสักหน่อยสินะ

“อย่าดูถูกตัวเองสิ เธอมีดีมากกว่าที่เห็นนะ”

“คุณจะไปรู้อะไร”

“ฉันมีวิธียืนยันอยู่”
หัวเราะแผ่วเบา,ดวงตามากเล่ห์กลอ่อนแสงลงยามทอดมองใบหน้าเยาว์วัยกว่าอายุก่อนลากสายตามาบรรจบยังท้องฟ้าประดับหมู่ดาวพร่างพราย

ลมออกจะแรงไปบ้าง แต่รวมๆแล้วก็ไม่แย่เสียทีเดียว

พวกโชคเข้าข้างเนี่ย…ดูท่าจะน่ากลัวกว่าที่คิดแฮะ

“วันนี้อากาศดีนะ ว่าไหม?”
ราวกำลังต้องการสื่อนัยนะบางอย่างแต่มันคงยากเกินกว่ามือปืนตัวน้อยจะเข้าใจจึงทำได้แค่เอียงคอแสดงสีหน้างงงวยให้คนอายุมากกว่ารู้สึกเอ็นดูเล่นๆ

ระหว่างรอคนสมองอึนได้สติ เมื่อสัมผัสได้ถึงการแจ้งเตือนจากมือถือที่ปรึกษาแห่งแก๊งค์รีบก้มไล่อ่านข้อความที่ถูกส่งมาล่าสุด
เผลอไผลหลุดใบหน้าตื่นเต้นไปชั่ววิก่อนเปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิมทันทีที่คนตัวเล็กโพล่งตอบ

“ก็..ดีมั้งครับ? แต่ผมว่ามันชื้นไปหน่อย เหมือนฝนจะตก”

“นั่นสิ”

เอ่ยเนิบนาบทั้งที่ข้างในอยากจะไปพิสูจน์บางสิ่งด้วยสองตาใจจะขาด
ตัดสินใจขยับเข้าใกล้เจ้าแมวเด็กขี้กลัว ยัดบางสิ่งใส่มือที่ติดหยาบกร้านจากการจับอาวุธมานานปี

“เอานี่ไปด้วย ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับสมาชิกใหม่แล้วกัน”

มองซองบุหรี่ใหม่เอี่ยมยังไม่แกะในมือ กระพริบตาปริบไปต่อไม่ถูก
จะว่าไปตั้งแต่เริ่มคุยกันริมฝีปากร่างสูงก็แทบไม่ว่างเว้นจากมันเลย

คนๆนี้พกบุหรี่ในตัวไว้กี่ซองกัน…

“แต่ผมไม่–“

“ยินดีต้อนรับสู่บงเท็น ฮานะกาคิ”

ไม่ทันจะได้ปฏิเสธเพื่อส่งคืนเจ้ามะเร็งปอดอัดแท่งก็โดนตัดบทไปดื้อๆ
ไหล่แคบถูกตบปุๆ เจ้าของรอยแผลเป็นคาดทับดวงตาเดินผ่านร่างสมส่วนเอ่ยสั่งลูกน้องที่ยืนรออยู่ไม่ไกลเสียงเรียบ

“พาเขาไปส่งที”

ไม่อยากจะยอมรับหรอกแต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังพอมีน้ำใจรับผิดชอบไปส่งอยู่บ้าง ทาเคมิจิจะทำเป็นมองข้ามเรื่องที่ปั่นหัวเขาไปสักครั้งแล้วกัน
เฮ้อ ถ้าทั้งหมดเป็นเพียงความฝันเพียงหนึ่งตื่นก็คงดี

“อ้อ—- มีอีกเรื่องนึง”

พอชะล่าใจว่าทุกอย่างจบลงแล้วใบหน้าประดับด้วยยิ้มอารมณ์ดีก็หันกลับมาอีกครั้ง

“เพราะเธอมีความเป็นไปได้อีกมากมายฉันเลยจะบอกอะไรดีๆให้แล้วกัน”
แก้วตาคล้ายหลุมลึกหรี่แคบ ก้านบุหรี่ถูกคีบออกจากกลีบปากมากคารมทิ้งท้ายประโยคแสนเจ็บแสบระดับที่สไนเปอร์หนุ่มจะจดจำไปอีกนานเท่านาน

“เมื่อกี้…ตอนตอบคำถาม ฉันโกหกเธอไปหนึ่งอย่าง”

“แล้วเจอกัน เด็กน้อย”

ขอถอนคำพูด มองข้ามอะไรกัน…ตอนนี้เขาคันไม้คันมืออยากเป่าหัวคนจะแย่
ทาเคมิจิน่าจะรู้อยู่แล้ว, ต่อให้หมู่ดาวสักร้อยดวงเป็นพยานความจริงที่ออกจากปากทาเคโอมิก็เป็นสิ่งสุดท้ายในโลกที่ควรเชื่อถือ

เขานี่มันเด็กจริงๆด้วย พ่อคงต้องอับอายขายขี้หน้าเป็นแน่หากมาเห็นลูกชายตนในสภาพนี้

ได้แต่ก้มหน้าทดไว้ในใจเป็นอีกหนึ่งความคั่งค้างที่ต้องชำระสักวันนึง

.
.
.
เสียงกึกก้องของส้นรองเท้าหนังเนื้อดีกระทบกับปูนเปลือยท่ามกลางความเงียบสงัดของตึกร้างผู้คน เรียกให้สองพี่น้องแห่งรปปงงิหันเหความสนใจจากกระสอบสีดำจำนวนมากที่นอนวางเรียงเป็นระเบียบอยู่บนพื้นมายังต้นกำเนิดเสียงแทน
ชายหนุ่มในชุดสูทภูมิฐานขยับเนคไทด์ให้คลายออกเล็กน้อยระบายความอึดอัด เหลือบดวงตาที่มีแผลเป็นคาดทับหนึ่งข้างสำรวจ ‘ผลงาน’ ของใครบางคนที่พึ่งร่ำลาไปเมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงก่อน

“ใจกล้าจริงนะ เรียกพวกเราออกมาเคลียร์ทั้งที่ไม่มีลูกน้องคอยคุ้มกันสักคนเนี่ย”
“จะถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน พอดีทางนี้ยุ่งๆคนเลยไม่พอน่ะ”

“จะยังไงก็ช่าง ไหนล่ะข้อแก้ตัว”

ไฮทานิคนน้องกอดอกขมวดคิ้วเป็นปม พวกเขาไม่ได้ถ่อสังขารรีบกลับมาจากงานแสนบันเทิงใจอย่างการเก็บส่วยจากสาวๆในย่านเริงรมย์เพื่อมายืนเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับชายหนุ่มวัยกลางคนหรอกนะ
“คนหนุ่มคนสาวสมัยนี้นี่ใจร้อนจริงๆ”

“คนแก่สมัยนี้ก็อมพะนำเก่งจริงๆ”

อาคาชิถอนหายใจพ่นควันบุหรี่อย่างติดจะปลง จะกี่ปีก็ยังพยศเป็นม้าดีดกะโหลกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

พอเทียบกับเด็กน้อยที่เขาพึ่งเจอไปช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย รายนั้นดูว่านอนสอนง่ายกว่าจม

“เอ้า ดูเอาเองแล้วกัน”
เดินไปก้มตัวรูดซิปเปิดหนึ่งในกระสอบบนพื้น เผยให้เห็นอดีตสิ่งมีชีวิตที่ถูกมัดแน่นหนานอนแน่นิ่งอยู่ข้างในพร้อมกับร่องรอยถูกกระสุนเจาะกลางหน้าผากอย่างพอดิบพอดี

“ขนาดให้เห็นเป็นกระสอบยังเล็งที่หัว เป็นสัญชาตญาณสินะ”

มองตรวจทานสภาพโดยรวมก่อนวาดยิ้มบางแววตาเย็นเยียบวาววับไม่คิดปิดบัง
แบบนี้ยิ่งอยากได้เข้าไปใหญ่

“เล่นเก็บซะเรียบแบบนี้ก็น่าสงสารแย่เลยสิ…”

“ทำเป็นสงสารแต่ปากแกยิ้มอยู่เนี่ยนะ น่าขนลุกชะมัด”

รินโดตีหน้าขยะแขยงในขณะที่รันขยับเข้ามาใกล้ แววตาสุขุมหรี่ลงก้มเก็บลายละเอียดบนใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดฝาด
ไม่นานก็เคลื่อนกายเดินไล่เปิดดูร่างไร้ชีวิตไปทีละร่างด้วยท่าทางนิ่งสงบ จนในที่สุดมาหยุดลงยังหนึ่งในเป้ายิงรายท้ายๆของวันนี้

“หืม? นี่มันไอ้พวกที่ไล่ยิงพวกเราเมื่อวานนี่”

ก้านนิ้วเรียวขยับเกลี่ยริมฝีปากตนเองผุดรอยยิ้มขึ้นน้อยๆ
คนน้องได้ยินแบบนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาดูบ้าง คิ้วยิ่งผูกกันเป็นโบว์ไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่เมื่อย้อนกลับมามองผู้เคราธห์ร้ายรายอื่น

ที่เป็นพวกมีรอยสักไม่ก็หน้าบากไปหมดเนี่ยก็พอเข้าใจได้ว่าคงเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องครั้งนี้

แต่ว่าไอ้ที่เหลือบางส่วนน่ะสิ…
“แล้วนี่ใคร? มีแม้กระทั่งเด็กกับผู้หญิงแล้วก็คนแก่”

“คงจะเป็นครอบครัวไม่ก็คนสนิทของคนในแก็งค์ที่ส่งเจ้าพวกนี้มาสินะ”

รินโดเลิกคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถามใส่ผู้มีฐานะเป็นที่ปรึกษาแห่งแก๊งค์ว่าต้องทำขนาดนี้เลยจริงดิ

“ช่วยไม่ได้ ก็ฉันชอบอะไรที่มันแน่นอนนี่นา”
“การกำจัดตัวแปรก่อนมันจะสร้างปัญหาก็คือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ”

ยิ่งเคียดแค้นมนุษย์เราก็ยิ่งดวงตามืดบอด การจะจัดการกับพวกมันหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องง่ายดายกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก

เส้นทางสำหรับราชาถึงจะเปื้อนไปด้วยเลือดแต่ต้องไม่มีขวากหนาม แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
“ต้องขอบคุณพวกนายเลยที่เป็นเหยื่อล่อให้ เลยสาวไส้ไอ้พวกหนอนในแก๊งค์ออกมาได้เพียบเลย”

“เฮอะ ทำเป็นพูดดี ถ้าพวกฉันโดนฆ่าขึ้นมาแกก็หาข้ออ้างไว้แล้วใช่ไหมล่ะ ”

“แต่ก็ยังอยู่ดีนี่จริงไหม?”

ยักไหล่ไม่ปฏิเสธสูบควันเข้าปอดต่อทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวใส่สายตาทิ่มแทงจากไฮทานิคนน้อง
ทางรินโดเมื่อเห็นว่าทำอะไรอีกฝั่งไม่ได้ก็หน้าบูดบึ้ง ไม่ติดว่าถ้าไม่มีเจ้าคนตรงหน้าอยู่แก๊งค์มันจะวุ่นวายล่ะก็เขาซัดมันไปนอนหยอดข้าวต้มตั้งนานแล้ว ไม่ทนหงุดหงิดอยู่แบบนี้หรอก

“เสียของเป็นบ้า อุตส่าห์ทำขนาดนี้แต่กลับไม่บอกเด็กนั่นเนี่ยนะ ไม่ใช่ว่าตอนแรกอยากจะทดสอบสมาชิกใหม่รึไง?”
“ฮานะกาคิ ทาเคมิจิเตรียมใจมามากแค่ไหน…อยากรู้เรื่องนั้นสินะ”

เป็นรันที่เอ่ยเสริมด้วยเสียงเนิบนาบตัดกับคนน้องที่ชักสีหน้าอารมณ์เสีย

“ใจคนเรามันเปลี่ยนกันง่าย พอดีไม่อยากถูกคนที่ชอบเกลียดน่ะ”

“โรคจิตจริงๆ งั้นก็ยิงทิ้งเองแต่แรกก็จบแล้ว จะทำให้ยุ่งยากทำไม”
“แบบนั้นฉันก็ดูใจร้ายเกินไปน่ะสิ โอกาสก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่พวกมันควรได้รับ”

“โอกาสที่จะได้ตายช้ากว่าเดิมนิดหน่อยน่ะเหรอ”

เรียวนิ้วที่กำลังขยับจรดก้านบุหรี่บนริมฝีปากอีกครั้งชะงัก ดวงตาดำมืดขึ้นฉับพลันเอ่ยตอบเสียงเรียบทั้งรอยยิ้มยังประดับบนมุมปาก
“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ฉันสัญญาไปแล้วว่าถ้าหากคนของเรายิงไม่โดนภายในนัดเดียวก็จะปล่อยไป—”

“แต่นี่ดันโชคร้ายโดนทุกคนเลย ใครมันจะไปรู้อนาคตล่ะจริงไหม?”

โชคร้ายงั้นเหรอ…

เล่นตลกอยู่รึไง

เจ้าของเส้นผมสีไลแลคตัดสั้นนึกพลางแค่นหัวเราะในใจ
ต่อให้ยิงพลาดและทาเคโอมิยอมปล่อยศัตรูหนีไปจริงๆ สมาชิกที่ซุ่มอยู่รอบๆก็จะต้องเป็นคนเก็บกวาดก่อนพวกมันจะได้ก้าวเท้าออกไปจากตึกแห่งนี้อยู่ดี

เพราะในสัญญาบอกไว้เพียงแค่ ‘ทาเคโอมิ’จะปล่อยพวกมันไป ไม่ใช่’บงเท็น’
จะทางไหนก็น่าหงุดหงิดพอกันเพราะไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรมือของชายจอมบงการตรงหน้าก็ไม่ต้องเปื้อนเลือดแม้แต่หยดเดียว

“เล่นลิ้นเก่งจริงนะ”

“นั่นก็จะถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน”

ดันมาต้องตาคนพรรค์นี้ซะได้ ลำบากหน่อยแล้วล่ะคุณสไนเปอร์คนเก่ง

มาต่อแล้วค้าบ ⬇️

readawrite.com/c/75f6012f7b4d…

• • •

Missing some Tweet in this thread? You can try to force a refresh
 

Keep Current with Radish 🍙

Radish 🍙 Profile picture

Stay in touch and get notified when new unrolls are available from this author!

Read all threads

This Thread may be Removed Anytime!

PDF

Twitter may remove this content at anytime! Save it as PDF for later use!

Try unrolling a thread yourself!

how to unroll video
  1. Follow @ThreadReaderApp to mention us!

  2. From a Twitter thread mention us with a keyword "unroll"
@threadreaderapp unroll

Practice here first or read more on our help page!

More from @Radish_88

Feb 19, 2022
#ไฮทานิทาเค ทาเคมิจิ 20 ไฮทานิ 13-14 (ไม่ได้พรากผู้เยาว์ เปโด หรืออะไรทั้งนั้น ไม่ชงส่อกับเด็กด้วย ฟีลไอ้พวกตัวแสบมันชอบเขาอยู่ฝ่ายเดียว)

Auทาเคมิจิเป็นนักศึกษาของสถาบันประกอบอาหาร เรียนอยู่แผนกเบเกอรี่ ก็คือน้องอยากเป็นเชฟทำขนมนั่นแหล่ะ
เรียนมาได้สองปีอีกปีเดียวจะจบหลักสูตรแล้ว และเพราะสถาบันมันตั้งอยู่ที่รบปงงิทาเคมิจิเลยต้องมาหาห้องพักอยู่แถวนี้ ซึ่งก็ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่เพราะเน้นถูกเป็นหลัก สภาพแวดล้อมก็เลยได้ตามราคาไปด้วย
แต่อยู่มาได้สองปีก็ไม่มีอะไรนะ มาวันนี้นี่แหล่ะดันกลับบ้านดึกเพราะอบขนมเพลินเลยบังเอิญเจอกับพวกแก็งค์นักเลงเข้า

ตอนแรกก็ตกใจวิ่งไปหลบหลังเสา โชคดีที่พวกมันไม่ได้ทันสังเกตเห็นเขาเพราะกำลังมุงดูอะไรสักอย่างอยู่
Read 74 tweets
Nov 10, 2021
อันเก่าไม่จบแต่จะเปิดอันใหม่แล้ว #ออลทาเค แบล็คดราก้อนทาเค

au ทาเคมิจิรุ่นเดียวกับชินอิจิโร่

*ทาเคมิจิจะนิสัยแบบเดียวกับตอนอายุ27 ไม่ย้อมผมไม่เป็นนักเลง

________

ฮานะฮาคิ ทาเคมิจิ ไม่ใช่คนที่มีเพื่อนเยอะนัก

โดยเฉพาะตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายมา เรียกได้เลยว่าน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทาเคมิจิจะจดจำเรื่องราวของเพื่อนแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ แม้บางเรื่องไม่อยากจะจำเท่าไหร่ก็ตาม

แต่ถึงแม้จะน้อยนิด ในบรรดารายชื่อนั่นก็มีอยู่คนนึงที่พิเศษยิ่งกว่าใครๆ

ซาโนะ ชินอิจิโร่

ชายหนุ่มตัวสูงที่มักจะมาพร้อมกับบรรยากาศสบายๆและรอยยิ้มไร้พิษภัย
พินิจดูกี่ทีรูปลักษณ์ก็ช่างขัดแย้งกับตำแหน่งหัวหน้าแก็งซิ่งขาใหญ่ของเจ้าตัวเหลือเกิน

ชินอิจิโร่นั้นเรียนอยู่คนละห้องกับเขา แต่ชื่อเสียงด้านความโด่งดังของแก็งอันธพาลก็กระฉ่อนมาถึงหูทาเคมิจิอยู่บ่อยครั้งด้วยสื่อกลางอันเป็นเสียงซุบซิบนินทาจากคนในห้อง
Read 33 tweets
Oct 10, 2021
อร่อยมากเรือนี้ แนะนำให้ทุกคนลองชิมดูค่ะ #ฮาชิโทระ

ฮาชิดะ ฮารุกะเป็นคนอัธยาศัยดี

มนุษย์ประเภทเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คุยสนุก เข้าถึงง่าย กว้างขวาง

บางครั้งก็ดูเรียบเฉื่อยเหมือนก้อนเมฆที่ลอยเอื่อยในวันฟ้าโปร่ง บางคราก็ดูลึกลับเช่นหลุมดำมืดใต้หุบเหวลึก

อ่านไม่ออก
ใต้เส้นโค้งของดวงตาที่หยีเป็นรอยยิ้มกำลังแฝงไว้ด้วยความประสงค์ใด คงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะล่วงรู้ว่าก้นบึ้งของความรู้สึกนั้นมีสีสันเป็นเช่นไร

“ยาโทระไม่เหนื่อยบ้างเหรอ”

วันหนึ่งในฤดูร้อนอบอ้าว หยดเหงื่อเม็ดกลมได้ไหลหล่นลงจากกรอบหน้าคมของเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งในสถาบันเตรียมสอบ
ฮาชิดะนั้นชอบมองดูผลงานจากฝีแปรงของผู้อื่นเป็นที่สุด เพราะฉะนั้นก็เลยใช้เวลาพักไปกับการนั่งมองคนบ้าพลังจรดไส้ดินสอลงบนสมุดสเก็ตอย่างเพลิดเพลินตา

“หืม? ก็ไม่นะ สนุกดีออก”

“ดีจังน้า~ ฉันก็อยากขยันแบบนี้บ้าง”

“งั้นมาวาดด้วยกันสิ”
Read 16 tweets
Sep 23, 2021
มาแปะๆจองพล็อตไว้ก่อน #ออลทาเค

Auทาเคมิจิเป็นบอสบงเท็นแก๊งอาชญากรใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น คนภายนอกเนี่ยรู้จักทาเคมิจิจากชื่อเสียงด้านความโหดเหี้ยม เลือดเย็น และเด็ดขาด รูปลักษณ์ผุดผ่องใสซื่อเป็นเพียงเปลือกนอกของจิ้งจอกล่าเนื้อมากเล่ห์กล
ไม่ต่างจากแอปเปิ้ลอาบยาพิษอันหอมหวานที่ใครๆก็อยากลิ้มลองแม้สุดท้ายจะต้องดับดิ้น

แต่ในความเป็นจริงมันกลับตรงกันข้ามทุกอย่าง

ทาเคมิจิเป็นแค่ชายหนุ่มธรรมดาๆที่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ เกลียดเหล้าแรง ตามคนไม่ทัน ทึ่มๆทื่อๆคิดอะไรเป็นเส้นตรงเหมือนไม้บรรทัด
ไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์อะไรนั่นก็แค่ความพยายามจะคีพคูลสุดชีวิตแม้ในใจลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายกรีดร้องอยู่บนพื้นต่างหาก…

ซึ่งไม่มีใครรู้ความจริงข้อนี้เลยแม้แต่ระดับผู้บริหาร

พวกเขาต่างเข้าใจว่าทาเคมิจิเป็นบอสที่เพรียบพร้อมไปด้วยความสามารถและเด็ดเดี่ยวเช่นพายุหิมะในค่ำคืนที่ไร้แสงสว่าง
Read 28 tweets

Did Thread Reader help you today?

Support us! We are indie developers!


This site is made by just two indie developers on a laptop doing marketing, support and development! Read more about the story.

Become a Premium Member ($3/month or $30/year) and get exclusive features!

Become Premium

Don't want to be a Premium member but still want to support us?

Make a small donation by buying us coffee ($5) or help with server cost ($10)

Donate via Paypal

Or Donate anonymously using crypto!

Ethereum

0xfe58350B80634f60Fa6Dc149a72b4DFbc17D341E copy

Bitcoin

3ATGMxNzCUFzxpMCHL5sWSt4DVtS8UqXpi copy

Thank you for your support!

Follow Us!

:(