ขออนุญาตลงในเธรดใหม่นะคะ

#ฟิคป๋อจ้าน #ป๋อจ้านฟิค

#จะไม่รัก🌹

"ทะเบียนสมรสนี้มีอายุแค่หกเดือน ไปอยู่กับเขตน์ซะ เขตน์จะเป็นคนทำให้รินกลับมาเป็นลูกที่ดีของพ่อได้"

มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อไอ้เขตน์เป็นลูกคนใช้ของบ้านเขา ที่เมื่อสิบปีก่อนแม่มันพยายามไต่เต้าเพื่อให้ได้เป็นหม่อม ImageImage
warning** มีถ้อยคำส่อเสียดรุนแรง ดูถูกเหยียดหยามทั้งทางกายภาพและจิตภาพ มีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับชนชั้น ฐานะ และอาชีพ โดยผู้เขียนมิได้ดูหมิ่นชนชั้นสูงหรืออาชีพใดๆ ที่มีในเนื้อหาของเรื่องนี้

และศิลปินในรูปภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิยายเรื่องนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“รินไม่มีวันลืม ว่ามันกับแม่ของมันทำกับครอบครัวเราไว้ยังไง และรินจะไม่มีวันญาติดีกับไอ้คนใช้นั่นเด็ดขาด!”

ไม่มีวันให้อภัยคนที่ทำให้นรินทร์คนนี้เจ็บราวกับหัวใจแหลกละเอียด

มันเกลียดจนถึงขั้นสาปส่งพวกมันทุกวัน

และน้ำตาที่รินไหลทุกหยดหยาดในวันนั้น มันต้องชดใช้!
สิบปีหลังจากเรื่องใหญ่ของราชสกุลสิบทิศที่สืบเชื้อสายราชนิกุลมากว่าร้อยปี ตัดครอบครัวของหม่อมเจ้าเจษฎากร หรือปัจจุบันทุกคนรู้จักในนามของคุณชายกรและภรรยาอย่างคุณหญิงเนตร

พร้อมลูกชายคนเดียวที่เพียบพร้อมทั้งฐานะและรูปลักษณ์ที่งามสง่าอย่างคุณชายนรินทร์ออกจากราชสกุลอย่างไร้เยื่อไย
เนื้อหาของข่าวที่ออกมาในครานั้นเผยเพียงแต่คุณชายกรคิดผันตัวออกมาทำธุรกิจไร่องุ่นและสตรอเบอร์รี่ที่เขาใหญ่ จึงไม่อยากให้ชื่อเสียงของราชนิกุลคนอื่นๆ ต้องพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

หากบางคนก็ยังคงนินทาต่อกันว่าอาจเป็นความไม่ลงรอยกันในมรดกหรือไม่
หรืออาจเป็นเพราะพี่น้องคนในครอบครัวทะเลาะกันเอง และบ้างก็ว่าเพราะปัญหาครอบครัวของคุณชายกรนั่นแหละที่ส่งผลให้หม่อมปู่หม่อมย่าไม่พอใจจนถึงขนาดไล่ตะเพิดออกจากบ้าน

คุณชายนรินทร์ในวัยยี่สิบเอ็ดนั้นผ่านช่วงเวลาอันเจ็บปวดมากมาย ถูกคืนยศออกจากการเป็นหม่อมเจ้าว่าทุกข์แล้ว-
ภาพความทรงจำเก่าๆ อันเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมานั้นยังฝังอยู่ในหัว ไม่มีทางที่จะลบเลือนได้เลย

และเฝ้าคอยที่จะกำจัดมันอยู่ทุกวัน

ไม่อยากจะมองหน้ามันอีกต่อไปแล้ว

ไอ้ลูกคนใช้นั่น!
“ทำไมคุณพ่อต้องสงสารมันด้วย! คนอย่างมันควรออกไปจากชีวิตครอบครัวเราได้แล้ว คุณพ่อก็รู้ว่าแม่มันทำอะไรกับคุณแม่บ้าง!”

เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นห้องทำงานของประธานบริษัทส่งออกองุ่นคุณภาพดีและไวน์องุ่นที่คุณชายกรลงมือคิดค้นสูตรเองกับมือกว่าสิบปีจนเป็นที่โด่งดังทั้งในและต่างประเทศ
“หรือคุณพ่อยังมีเยื่อใยกับมัน! แม่มันก็ตายไปแล้ว!”

“ริน พ่อบอกแล้วไงว่าให้เลิกพูดจาแบบนี้ได้แล้ว พนักงานในบริษัทได้ยินเข้าจะทำยังไง”

“ก็ช่างหัวมันปะไร พนักงานระดับล่างพวกนั้นไม่ได้มีสำคัญในชีวิตรินสักหน่อย สิ่งที่รินต้องการคำตอบ และต้องได้วันนี้-
ก็คือคุณพ่อต้องเลิกให้ทุนการศึกษามันได้แล้ว รินรู้นะว่าคุณพ่อแอบช่วยเหลือมัน รินไม่ยอม ไม่ยอมแน่!”

พูดจบก็กระทืบเท้าแสดงความไม่พอใจต่อหน้าคุณชายกรผู้เป็นบิดาที่ยามนี้ส่ายหน้าระอากับนิสัยที่แก้ไม่ได้สักทีของลูกตัวเอง
เพราะสิบปีก่อนหรอกนะ ที่เขาเห็นน้ำตาและความโศกเศร้าผิดหวังผ่านทางสายตาของลูกเพียงคนเดียว ถึงได้ตามใจเอาใจทุกอย่างจนกลายเป็นคนแบบนี้

รูปลักษณ์ภายนอก หน้าตาดีเสียเปล่า แต่เรื่องพูดจาดูถูกคนอื่น พูดอะไรตามใจคิดจนไม่นึกถึงคนฟังมันทำให้ถูกนินทาหลายครั้งทั้งในวงการไฮโซ
และแม้แต่ระดับประชาชนทั่วไปก็ยังให้ฉายากันว่าเป็นคุณชายที่ไม่มีมารยาทที่สุด

แต่แล้วอย่างไรล่ะ นรินทร์น่ะไม่ใส่ใจพวกปากหอยปากปูระดับล่างพวกนั้นหรอก ไม่ได้อยู่ในเศษเสี้ยงของชีวิตเลยสักนิด เหตุใดต้องไปสนใจคนเหล่านั้นด้วย

คนอย่างคุณชายนรินทร์อยากได้อะไรก็ต้องได้
หากไม่ก็คือไม่ และไม่มีใครกล้าปฏิเสธคนอย่างเขา

ยกเว้นคุณพ่อคนเดียวที่ไม่เคยฟังกันบ้างเลย!

“เขตน์กำลังลำบาก แม่เขาก็เพิ่งเสียไป ญาติทางไหนก็ไม่มี จะให้ทำงานเลี้ยงตัวคนเดียวไปด้วยเรียนหนังสือไปด้วยพ่อว่ามันจะหนักไปนะ รินควรจะสงสารเขาในฐานะเพื่อนมนุษย์บ้างนะลูก”
“คนอื่นรินอาจจะสงสาร แต่ต้องไม่ใช่ไอ้ลูกคนใช้นี่ คุณพ่อลืมไปแล้วเหรอว่าสิบปีก่อนคุณแม่มีสภาพเป็นยังไง รินต้องเจ็บช้ำแค่ไหน ทำไมคุณพ่อถึงไม่เข้าข้างครอบครัวเรา!”

นรินทร์ยังคงต่อล้อต่อเถียง ถ้าเขาไม่ได้เขาไปเห็นเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะเลขาของคุณชายกรผู้เป็นบิดา
ที่เป็นหลักฐานการโอนค่าเทอมให้กับผู้ที่มีนามอันคุ้นเคยดี ก็คงไม่โมโหจนแทบจะกรี๊ดหน้าห้องคุณพ่อแบบนี้

คุณพ่อแอบช่วยเหลือมัน แอบทำอะไรโดยไม่บอกให้เขากับคุณแม่รับรู้

แล้วคิดหรือว่าคนอย่างเขาจะยอมให้เรื่องนี้มันจบง่ายๆ

ไม่มีวัน!
ไอ้เขตน์ แกจะไม่มีวันได้เศษเงินจากคุณพ่อฉันอีกแม้แต่บาทเดียว

ในขณะที่ผู้เป็นบิดาถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความเจ้าคิดเจ้าแค้นของลูกตัวเองที่ไม่ยอมรับความจริงสักทีว่าเรื่องในอดีตมันเป็นแค่การเข้าใจผิด และแม่ของเขตน์ก็เสียชีวิตไปเมื่อเดือนที่แล้วอย่างรวดเร็วด้วยโรคมะเร็งไขสันหลัง
หากยอมให้เขาช่วยเหลือเรื่องค่ารักษา นิลคงจะอยู่กับเขตน์ได้นานกว่านี้

แต่เธอก็เลือกที่จะปฏิเสธเพราะไม่อยากมีปัญหากับนรินทร์อีก ไม่อยากเป็นตัวสร้างปัญหาให้ครอบครัวของเขาต้องแตกแยกอีกแล้ว เพราะรู้ดีว่าลูกชายของเขาคงไม่มีทางยอม
แค่ปัจจุบันที่คุณชายกรช่วยเรื่องที่อยู่อาศัยในห้องพักหลังเล็กๆ ก็เป็นพระคุณที่ตอบแทนไม่ไหว

เมื่อไรหนา เมื่อไรที่ลูกเขาจะเข้าใจว่าการจากไปของคนๆ หนึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ควรสะใจหรือนำมาด่าทอให้เป็นประเด็นดังเช่นทุกวันนี้
หากเขตน์ได้ยินจะเจ็บช้ำแค่ไหน ที่มีคนหัวเราะดีใจไปกับการจากไปของมารดาตน

“อย่าเป็นแบบนี้เลยริน ลูกต้องหัดมีเมตตาบ้าง เรื่องบางเรื่องก็ควรที่จะปล่อยวาง มันผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว ลูกกับเขตน์ทุกวันนี้ก็ต่างคนต่างอยู่ นิลก็เสียไปแล้ว-
ลูกไม่ควรหยิบเอาเรื่องของคนตายขึ้นมาพูดอีก ไม่งั้นเธอจะไปอย่างสงบได้ยังไง”

“แล้วไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้นหรือไง ที่ทำให้รินไม่เคยสงบจิตใจได้เลย! ยิ่งคุณพ่อทำดีกับพวกมันเท่าไร ยิ่งทำให้รินรู้ว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้คุณพ่อไม่เคยเข้าข้างรินบ้างเลย”
ประโยคสุดท้ายของคุณชายนรินทร์สั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร ถึงสิ่งที่นรินทร์ทำมันจะเป็นแค่การแสดงก็เถอะ แต่ทำทีไรแล้วมันได้ผลนี่นา

แล้วก็ทำให้ผู้เป็นบิดาใจอ่อนยวบลงอย่างเห็นได้ชัดด้วย

น้ำตาของลูกเป็นอะไรที่คุณชายกรกลัวที่สุด กลัวว่าลูกจะผิดหวังในตัวเขาเหมือนที่แล้วๆ มา
“ถ้างั้นพ่อขอแค่ปีเดียวได้ไหม เขตน์เรียนปีนี้ก็จะจบแล้ว พ่ออยากช่วยเหลือเขาจนถึงที่สุด พอเขาเรียนจบมีงานทำพ่อก็คงเบาใจลง”

“ไม่ได้! สำหรับรินไม่ก็คือไม่!”

“ริน พ่อยังไม่บอกกับแม่เรื่องที่เราแอบไปเที่ยวกลางคืนเลยนะ โกหกว่าไปทำรายงานบ้านเพื่อน-
ถ้าคนของพ่อไม่บังเอิญไปเห็นก็คงจะโกหกไปถึงไหนต่อไหนกับไอ้ดาราชื่อแทนอะไรนั่น”

“คุณพ่อขู่ริน!”

“พ่อไม่ได้ขู่ แต่หากแม่เรารู้เรื่องนี้คงไม่ปล่อยให้ลูกคบกับไอ้ดารานี่ต่อไปแน่ พ่อก็จะไม่ยอมเหมือนกัน ลูกดูก็น่าจะรู้ว่ามันเจ้าชู้ประตูดินขนาดไหน”
“นั่นมันอดีต พี่แทนเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว และการที่รินโกหกก็ไม่เกี่ยอะไรกับพี่แทนด้วย รินเป็นคนต้นคิดเอง”

“นี่ไง เพราะลูกคบคนแบบนี้ ถึงต้องบอกแม่เขาอย่างจริงจังซะที” จู่ๆ น้ำเสียงของคุณชายกรก็ขรึมขึ้นมาเสียเฉยๆ

เขาเกลียดน้ำเสียงแบบนี้ที่สุด
เพราะรู้แล้วว่าคนเป็นพ่อไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกต่อไป และสิ่งที่ท่านจะทำต่อไปก็คือ

ตัดบัตรเครดิตทุกใบของเขา และฟ้องคุณแม่เรื่องที่เกเรเถลไถลไม่ยอมกลับบ้านนั่นอีกด้วย

“คุณพ่อเอาเปรียบริน รินจะไปสู้อะไรคุณพ่อได้”
“แค่ปีเดียว พ่อสัญญา”

“ได้! แค่ปีเดียวเท่านั้น รินต้องไม่เห็นหน้ามัน หรือแม้แต่ชื่อมันเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตครอบครัวเราอีก”
.
.

หนึ่งปีผ่านไป

การดำรงชีวิตอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางพิษเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ นักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่อย่างเขตน์จะไปเดินหางานทำที่ไหนก็ยาก
ส่งใบสมัครไปกว่าสิบที่ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับเลยสักราย

ห้องเช่าเล็กๆ ที่ผู้มีพระคุณอย่างคุณชายกรส่งเสียจ่ายค่าเช่าให้ตั้งแต่แม่กับเขาแยกตัวออกจากวังไปจนกระทั่งแม่เสียชีวิตลงกว่าหนึ่งปีแล้วก็ยังทำแบบเดิมอยู่ไม่ขาด ความจริงท่านแทบจะไม่ให้เขาจ่ายค่าน้ำค่าไฟเลยด้วยซ้ำ
แต่เขาคิดว่าตัวเองไม่ใช่แม้กระทั่งญาติห่างๆ และไม่รู้เลยว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณที่เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันเช่นนี้ตอนไหน

ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยเขตน์จึงขยันเรียนอย่างหนักเพื่อให้คุ้มกับที่คุณชายกรอุปการะค่าเล่าเรียน-
รวมถึงรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อนำมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟส่วนที่เหลือที่ไม่อยากให้ท่านต้องมาจ่ายให้ด้วย

แค่นี้ก็มากพอแล้ว แค่นี้ก็รู้สึกผิดจนแทบแบกรับไม่ไหว

แม่และเขาเป็นคนทำให้ครอบครัวราชนิกุลระดับสูงต้องตกลงมาต่ำ ทำให้ลูกของท่านเกลียดจนเขาเองต้องหนีหน้า
เพราะไม่อยากเจ็บปวดไปกับถ้อยคำด่าทอจากคนที่เขาแอบรักมากว่าสิบปีอีกแล้ว

ใช่ ลูกคนใช้คนนี้มันแอบรักนางฟ้าผู้สูงศักดิ์มาเป็นสิบปี ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเกลียดตัวเองขนาดไหน

ถึงอยากเจอแค่ไหนก็ต้องหลีกเลี่ยง และถึงจะคิดถึงอีกคนมากเท่าไรก็ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งได้อยู่ใกล้ๆ
เป็นได้แค่ตัวเสนียดของใครอีกคน ไม่ใช่พี่เขตน์ของน้องรินคนนี้อีกต่อไปแล้ว

“มาทำงานกับฉันสิ บริษัทฉันก็มีตำแหน่งให้เขตน์ทำได้อีก จบการตลาดเกียรตินิยมดีอย่างนี้ใครไม่รับแต่ฉันยินดีรับนะ”

“ไม่ได้หรอกครับท่าน เดี๋ยวคุณรินเธอจะไม่พอใจ อีกอย่างแค่ท่านส่งเสียค่าเรียนให้ผมจนจบ-
ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบแทนยังไงแล้ว”

“ถึงได้บอกให้มาทำงานกับฉันยังไงล่ะ เอาความสามารถของนายมาทำให้บริษัทของฉันพัฒนาขึ้นให้คุ้มกับค่าเทอมที่ฉันจ่ายให้นายไป ส่วนลูกของฉันช่วงนี้ไม่สนใจอะไรนอกจากแฟนดาราอะไรนั่นหรอก คบกันมาห้าปีแล้วก็ไม่เบื่อกันสักที”
เขตน์ก้มหน้ารับฟังคำพูดของบุคคลที่เคารพดั่งพ่อคนที่สองในชีวิต ที่จริงตัวเขาไม่เคยเห็นพ่อตัวเองหรอก เพราะท่านเสียไปตั้งแต่เขาอายุได้สองขวบเท่านั้น

ภาพในวัยเด็กที่จำได้คือแม่ตรากตรำทำสวนอยู่แถวเขาใหญ่ตั้งแต่เขายังเด็ก วิ่งเล่นซุกซนกับเพื่อนในละแวกนั้น
จนปัจจุบันเพื่อนเหล่านั้นก็ยังสนิทแม้จะห่างกันไปบ้างตามภาระหน้าที่

แต่ความทรงจำที่เขาใหญ่นั้นเขาจำไม่เคยลืม

เพราะมันเป็นความทรงจำแรกที่ทำให้เขาได้พบกับหม่อมเจ้านรินทร์ ลูกเจ้าของที่ดินใกล้เคียงที่มักจะจ้องหน้าเขาทุกครั้งที่เจอกัน

แต่ยามนี้กลับกลายเป็นไม่อยากเจอหน้ากันเสียแล้ว
และน้องรินคนนั้นก็ไม่ต้องการพี่เขตน์คนนี้อีกต่อไป คงมีเพียงแต่คนชื่อแทนอยู่ในหัวใจจนหมด แล้วคนอย่างเขาจะเอาอะไรไปสู้กับดาราที่เพียบพร้อมทุกอย่างทั้งหน้าตา สังคม อาชีพและเงินทอง

และเขาก็ไม่คิดที่จะอาจเอื้อมคว้าพระจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้า มาแปดเปื้อนคลุกอยู่บนดิน
ยิ่งมีความผิดติดตัวเมื่อสิบปีก่อน มันยิ่งทำให้เขาเจียมตัวไปมากกว่าเดิมว่าอย่าไปยุ่งกับคุณริน อย่าไปทำให้เธอต้องทุกข์ใจหรือรังเกียจเขามากไปมากกว่านี้อีกเลย

อย่างนี้น่ะมันดีแล้ว คุณรินกำลังมีความสุขกับความรักที่ดี

และเขาก็จะเฝ้ามองอย่างนี้อยู่ห่างๆ
แหงนหน้ามองดูความสวยงามของพระจันทร์จากที่ไกลๆ ตรงนี้ก็พอ

“เขตน์ ได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่า เหม่ออะไรอยู่”

“เอ่อ ครับ”

“ฉันพูดว่าพรุ่งนี้มาเริ่มงานที่นี่ได้เลย”

“ครับ…เฮ้ย ไม่ใช่ๆ”

“เอาเป็นว่านายตกลงแล้วนะ ส่วนเรื่องของรินไม่ต้องห่วง ฉันจะพูดให้เอง-
อีกสองปีกว่ารินจะเรียนจบ นายยังมีเวลาพัฒนาตัวเองที่นี่นะ”

สุดท้ายเขาก็ขัดใจผู้มีพระคุณอย่างอดีตหม่อมหลวงท่านนี้ไม่ได้ และบางทีสองปีนี้ก็อาจมีประโยชน์กับเขาในการหาประสบการณ์ทำงานจริงๆ เพราะไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะสามารถเข้ามาทำงานในบริษัทนี้กันได้ง่ายๆ
เขตน์ถอนหายใจยาว พยักหน้ารับอย่างคนยอมแพ้ ก่อนจะตอบรับกลับไปอย่างช่วยไม่ได้

“ครับ”

แต่แล้วในวันที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดก็มาถึง เมื่อลูกของประธานบริษัทที่ขึ้นชื่อได้ว่าเจ้าระเบียบ ทุกอย่างต้องเป๊ะต้องเนี้ยบตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผม
รวมไปถึงวันที่จะก้าวเข้ามาเยี่ยมคุณพ่อในที่ทำงานก็ต้องมีบอดี้การ์ดและเลขาของคุณพ่อคอยรับใช้ไม่ให้พลาดแม้แต่ปลายเล็บเดียว

เลขาของคุณชายกรพยายามล่วงเวลาไม่ให้คุณชายนรินทร์พบกับบุคคลที่รู้ว่าถ้าเจอหน้ากันต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่
เธอพาลูกเจ้านายไปร้านกาแฟ อาสาถือแก้วคาปูชิโน่ร้อนโนไซรัปและต้องผสมนมไร้ไขมันที่เจ้าตัวชอบ ลัดเลาะพาไปอีกฝั่งเพื่อไม่ให้เจอกัน โดยอ้างว่าคุณชายกรประชุมอยู่อีกฝั่ง หากเดินไปแถวนั้นอาจรบกวนท่านได้

แต่ใครจะไปรู้ว่าไอ้คนที่ไม่อยากให้เจอมากที่สุดดันเอางานมาส่งที่แผนกนี้พอดี

เพี๊ยะ!
เขตน์รับรู้ได้ถึงความแสบของแก้มซ้ายตัวเองที่โดนบางสิ่งปะทะอย่างแรงจนตกใจหลบไม่ทัน ก่อนความแสบนั้นจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นชาและแดงก่ำเป็นรอยฝ่ามือ เมื่อเงยหน้าหันมามองว่าเจ้าของฝ่ามือเมื่อสักครู่นี้เป็นใคร

ก็สมควรแล้ว เขามันไม่คู่ควรที่จะอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก
“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าให้ฉันเห็นหน้าแกอีก! แกมาทำอะไรที่บริษัทพ่อฉันหา ไอ้คนใช้ไม่รู้จักเจียมกะลาหัว!”

เลขาและพนักงานที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างหน้าซีดไปตามกัน บางคนก็เผลอสบถด้วยความตกใจเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในจังหวะที่เขตน์กำลังถือแฟ้มงานไปยังอีกแผนก
คุณชายนรินทร์ที่เห็นคู่กรณีเดินมาแต่ไกล จากที่อารมณ์ดีก็กระฟัดกระเฟียดแสดงสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที พร้อมวิ่งเข้ามาปะทะฝ่ามือเข้าใบหน้าอีกคนอย่างจังดังที่เห็นในตอนนี้

“คุณรินคะ ใจเย็นๆ ก่อน--” เลขาของคุณชายกรพูดขึ้นเป็นคนแรกหลังจากที่บรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัดนั้นปกคลุม-
จนคนที่ยืนมุงดูอยู่ต่างตะลึงไปตามกันกับวีรกรรมของคุณชายนรินทร์ตัวแสบทว่าไม่มีใครกล้าเข้าไปขวางเลยสักคน

“บอกฉันมา แกมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ที่บริษัทพ่อฉันได้ยังไง ไอ้ลูกขี้ข้า!”

นรินทร์ผลักไหล่อีกคนแรงๆ อีกครั้ง สายตาแข็งกร้าวจ้องมองคนที่เป็นมารชีวิตกันมาตลอดสิบกว่าปี
มันไม่เคยหายไปจากชีวิตเขาเลย ทำไมต้องเป็นมัน

ทำไมต้องโชคชะตาถึงยังทำร้ายกันอยู่ร่ำไป ไม่ยอมให้มันออกจากวงจรชีวิตของเขาสักที

“บอกมา!”

“ผม…เป็นพนักงานที่นี่ครับ”

“อะไรนะ! ทำไมถึงเป็นแก ทำไมต้องเป็นแกตลอดเลยฉันไม่เข้าใจ ทำไมฉันต้องคอยทนเห็นหน้าแก-
ให้แกเข้ามาวุ่นวายชีวิตฉันไม่จบไม่สิ้น แกกำลังจะทำอะไรกันแน่หา! ไหนบอกว่าถ้าเรียนจบแล้วจะเลิกติดต่อกับพ่อฉันไง เมื่อไรจะเลิกเกาะพ่อฉันสักทีหา! เป็นกาฝากสูบเงินจากพ่อฉันมากี่ปีแล้ว คิดจะเกาะไปถึงเมื่อไรกัน”

“คุณรินครับ…ผม--”

“ไม่ต้องสะเออะมาเรียกชื่อฉันไอ้ลูกคนใช้!”
ลูกเจ้าของบริษัทตอกหน้าอีกคนด้วยถ้อยคพรุนแรงอีกครั้ง พานให้หัวใจดวงนี้ของเขตน์ที่ควรจะชินกับคำดูถูกพกวนี้ได้แล้ว กลับเจ็บขึ้นมาอีกเสียอย่างนั้น

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็ไม่เคยชินกับคำพูดของอีกคนได้เลย

อาจเป็นเพราะว่ารักที่มีให้กับคุณรินไม่เคยลดหายไป

มันจึงทำให้เขาเจ็บ
“ดิฉันว่าใจเย็นก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณชายกรท่านมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่องใหญ่”

“ก็ให้เห็นไปเลยสิยิ่งดี จะได้รู้ว่าคุณพ่อจะเลือกใครกันแน่ ระหว่างลูกชายอย่างฉัน หรือหมาข้างถนนอย่างมัน”

และเพียงไม่นานเสียงเอะอะก็เป็นอันต้องหยุดลงพร้อมกับการมาของใครคนหนึ่ง
ซึ่งเป็นถึงประธานบริษัทและพ่อของคุณชายนรินทร์ที่คุ้นเคยกันดี

“มีเรื่องเอะอะโวยวายอะไรกัน”

“คะคือ” เสียงของเลขาหญิงที่ยืนก้มหน้าตัวสั่น เธอคิดว่าคราวนี้คงจะโดนตำหนิชุดใหญ่แน่นอนฐานที่ไม่ดูแลควบคุมคุณชายนรินทร์เธอให้ดีทั้งที่คุณชายกรแค่แวะไปประชุมไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
ส่วนคนที่โดนด่าว่าเป็นลูกคนใช้ทำเพียงแค่ยืนก้มหน้า มือถือแฟ้มงานด้วยสายตาเงียบสงบ พร้อมกับร่องรอยปื้นแดงจากน้ำมือของอีกฝ่ายเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

ไม่มีท่าทีโมโหหรือแสดงความไม่พอใจ ซ้ำร้ายในแววตายังเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สื่อว่าตัวเองไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก
และการสะเออะโผล่มาให้อีกคนเห็นหน้ามันก็สมควรแล้วที่โดนแบบนี้

แม้ว่าอีกฝ่ายที่ยังทำหน้าเหมือนสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไปนั้นไม่ผิด ไม่ได้รู้สึกรู้สา แถมยังเดินไปควงแขนบิดาที่ให้อีกคนเห็นต่อหน้าว่าใครที่เป็นผู้ชนะกว่ากัน
“คุณพ่อไหนบอกว่าจะจัดการให้รินไง ไหนบอกว่าจะใช้เศษเงินของคุณพ่อจ่ายค่าเทอมให้มันแค่ปีเดียว แล้วทำไมมันถึงมาทำงานที่นี่ได้!”

“พ่อเป็นคนรับเขตน์เข้ามาทำงานเอง”

“คุณพ่อ!” นรินทร์สะบัดแขนออกจากพ่อตัวเองอย่างแรงเมื่อได้รู้คำตอบ
“ทำไมคุณพ่อถึงรับมันเข้ามา ไหนสัญญากับรินแล้วไงว่าถ้ามันเรียนจบเมื่อไรคุณพ่อจะเขี่ยมันทิ้ง จะเลิกให้เงินมันใช้อีก”

เสียงสั่นเครือตะคอกขึ้นด้วยท่าทีก้าวร้าวสมเป็นคุณชายจอมวีนที่เห็นทีไรก็ไม่เคยชินตาได้สักที

“พ่อก็ไม่ได้ให้เงินเขตน์เขาฟรีสักหน่อย เขามาในฐานะพนักงานบริษัท-
ทำงานแลกเงินเดือนเหมือนคนอื่น พ่อไม่ได้ยกเขาเหนือพนักงานอื่นเลยสักคน ทุกคนได้เงินเดือนในตำแหน่งที่เหมาะสม เพราะฉะนั้นก็ถือว่าพ่อไม่ได้ช่วยใครทั้งนั้น”

“คุณพ่อ!”

และคนเป็นบิดาก็ยังทำหน้านิ่งเช่นเคย

เหมือนคราวนี้จะไม่ยอมลงให้ลูกชายเอาแต่ใจคนนี้ง่ายๆ อีกแล้ว
ลูกเขาต้องโดนปราบเสียบ้าง ต้องให้เรียนรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาล และคนเราไม่ได้สมหวังไปเสียทุกสิ่ง

ไม่เช่นนั้นเมื่อไรนรินทร์จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้สักที

แต่หารู้ไม่ว่าคนอย่างคุณชายนรินทร์น่ะ ไม่มีทางยอมแพ้ให้ใครมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีกันเล่นๆ-
ท่ามกลางสายตานับสิบที่จ้องมองเหตุการณ์ บ้างก็แอบลอบยิ้มเยาะให้กับการเถียงครานี้ที่เขาพ่ายแพ้ให้กับอดีตลูกคนใช้ในบ้านที่รู้กันดีว่าแม่มันเคยทำอะไรไว้หรอก

เพียงสบตากับคนที่เกลียดแสนเกลียด ใจของนรินทร์ก็แทบจะระเบิด
ยิ่งมองลงไปนัยน์ตาของมันที่เล่นละครทำเป็นมองเขาราวกับตัวเองเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัว รู้สึกผิดเสียเต็มประดา

แต่ในใจมันคงยิ้มหัวเราะที่ชนะเขาได้

“แกกำลังจะเล่นเกมส์อะไรกับฉัน ไอ้เขตน์!”

“ริน พ่อสอนกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกชื่อคนอื่นแบบนั้น”

“รินจะเรียกมันอย่างนี้ ใครจะทำไม!-
แก! แกต้องการอะไรจากฉัน ต้องการจะปั่นหัวฉันใช่ไหม สนุกใช่ไหมที่เอาชนะฉันได้ ไอ้เขตน์ ฉันเกลียดแก ไอ้บ้า ไอ้...!”

สารพัดคำด่าที่พ่นใส่กันไม่เพียงพอกัใจที่เจ็บช้ำของคุณชายนรินทร์คนนี้ ที่อดีตเคยไว้ใจรักคนตรงหน้าดั่งพี่ชาย แต่ยามนี้กลับกลายเป็นศัตรูที่ไม่อาจมองหน้ากันได้อีกต่อไป
เจ็บ นรินทร์เจ็บเหลือเกิน

ใครจะมาเข้าใจว่าเขาเจ็บเพียงใดที่ถูกอีกคนหักหลัง ถูกหลอกให้มอบหัวใจให้ที่เขตน์ อดีตพี่ชายแสนดีคนนี้

ที่นรินทร์เคยแอบรัก

แต่สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่รัก

จะไม่รักคนทรยศหัวใจกันอีกแล้ว

ลูกชายประธานบริษัทยังเดินตรงไปหาอีกคน กระชากคอเสื้อเขย่าไปมา
แฟ้มเอกสารในมือของเขตน์กระจัดกระจาย ซ้ำยังตบตีที่ไหล่ อาละวาดเสียจนเผลอฟาดโดนใบหน้าใบหูเป็นรอยแดงและรอยข่วนเต็มไปหมด

หากแต่เขตน์ยังคงยอมให้คุณชายของเขาคนนี้กระทำย่ำยีทั้งร่างกายและจิตใจอยู่อย่างนั้น

“รินหยุดเดี๋ยวนี้ พ่อสั่งให้หยุด!”
คุณชายกรเดินเข้าไปห้ามลูกชายที่อาละวาดไม่จบไม่สิ้น กำลังจะเข้าไปดึงลูกชายที่กระชากลากดึงอีกคนจนปกเสื้อใกล้ขาด

แต่ไม่ทันแล้วเมื่อนรินทร์คว้าแก้วคาปูชิโน่ที่เพิ่งซื้อไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนจากมือเลขาของพ่อตัวเอง สาดเข้าเต็มแรงที่ใบหน้าและเสื้อเชิ้ตขาวของคู่กรณีจนเปรอะเปื้อนดูไม่ได้
“นรินทร์! ลูกทำอย่างนี้ได้ยังไง พ่อไม่ได้เคยสั่งสอนให้ลูกเป็นคนแบบนี้ ความเป็นผู้ดีของตัวเองหายไปไหนหมด!”

พ่อกระชากแขนลูกชายออกจากอีกคน ก่อนจะมองหน้าลูกชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาและแรงโทสะที่มีในดวงตาคู่นั้น

“ก็เพราะมันกับแม่มัน รินถึงเป็นแบบนี้ไง-
ถ้าพ่ออยากมีมันในบริษัท ตั้งแต่นี้ต่อไปรินจะไม่มาเหยียบที่นี่ ไม่กลับไปเหยียบบ้านอีก รินจะไปอยู่คอนโด ให้ไกลจากคุณพ่อ ไกลจากทุกคน ไกลจากไอ้ตัวปรสิตนี่”

“มันจะมากเกินไปแล้วนะริน!”

“คุณท่านครับ”

เขตน์ที่เนื้อตัวเหนียวคราบกาแฟ บนใบหน้าและใบหูเต็มไปด้วยรอยแดงและรอยข่วน
เอ่ยขึ้นเบาๆ ก้มหน้าอย่างคนเจียมตัวเช่นเคย

“ไม่ เขตน์ นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น”

คุณชายกรซึ่งรู้ดีว่าเขตน์กำลังจะพูดอะไรรีบเอ่ยขัดขึ้น ทั้งที่ในจิตใต้สำนึกรู้ดีว่าไม่อาจพรากลูกชายออกจากอกได้

เขารู้สึกผิดต่อเขตน์ที่ต้องนรินทร์ทำร้ายทั้งร่างกายและคำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาเป็นสิบปี
อยากจะให้เด็กคนนี้หนีไปให้ไกล แต่เขตน์ก็ยังเลือกที่อยู่ต่อแบบนี้ และผู้ใหญ่อย่างเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสายตานั้นของเขตน์ดี

ว่าเหตุใดเขตน์ถึงตัดสินใจที่จะไม่หนี แต่เลือกที่จะอยู่ตรงนี้ต่อไปถึงแม้จะโดนลูกชายเขาทำร้ายกันซ้ำๆ

เพราะนัยน์ตาคู่นั้นของเขตน์ มีไว้มองลูกชายเขาผู้เดียว
รักสินะ

ความรักน่ะ อันตรายทีเดียว

มันกัดกินจิตใจคนเราเช่นนี้แล ถึงได้ต้องเจ็บปวดเจียนตายอยู่ร่ำไป

ทั้งที่รู้ว่านรินทร์ไม่มีวันเปิดใจให้ ลูกชายเขาเลือกที่จะปิดหูปิดตาเชื่อแต่สิ่งที่ตัวเองอยากจะเชื่อ ไม่เคยยอมฟังความจริงอะไรเลย
ฉันขอโทษ เป็นฉันเองที่ทำให้เรื่องเมื่อสิบปีก่อนมันบานปลายจนใหญ่โต

เป็นเพราะฉันเองที่ขี้ขลาด หากฉันกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยนิลวันนั้น เรื่องราวมันคงไม่เป็นอย่างนี้

“ฉัน…”

“คุณท่านอย่ากังวลไปเลยครับ ผมยินดีลาออกให้คุณรินสบายใจ และสัญญาว่าจะไม่มาให้คุณรินกับคุณท่านเดือดร้อนอีก”
.
.
ในวันที่เขตน์เดินออกจากบริษัทด้วยสภาพเละเทะทั้งตัว กับบาดแผลที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้ทั้งรอยข่วนบนใบหน้าและบาดแผลทางใจที่ฝังลึกเกินกว่าจะเยียวยามันได้ใหม่

พร้อมกับประโยคสุดท้ายที่คุณชายนรินทร์ฝากฝังไว้กับเขา

‘ดี ไปแล้วไปลับ ไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าแกอีกล่ะ’
เขตน์ยอมแพ้แล้ว คราวนี้ขอหนีไปให้ไกลจากคนใจร้าย คงถึงคราวที่เขาต้องเยียวยาหัวใจของตัวเองบ้าง

และคงต้องยอมตัดใจจากรักที่ไม่มีวันเป็นจริงได้สักที

ชายหนุ่มเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็น พร้อมกับเขียนข้อความลงบนกระดาษ ใส่ซองจดหมายอย่างดี วางไว้บนโต๊ะทำงาน-
ในห้องที่อาศัยอยู่มานานจากความเมตตาของคุณชายกร เพราะคิดอยู่แล้วว่าท่านต้องกลับมาตามหาเขาที่นี่ในสักวันหนึ่ง และจดหมายนี้อาจเป็นคำตอบให้กับท่านได้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง

เขตน์คนนี้ขอไปตามทาง ในที่ที่ไม่ให้ผู้มีพระคุณต้องเดือดร้อน
ร่างสูงกระชับกระเป๋าใบใหญ่ลงจากรถบัสคันใหญ่ที่เคลื่อนตัวมากว่าสามชั่วโมงจนกระทั่งถึงตัวเมืองโคราช ก่อนจะแวะฝากท้องที่ร้านแถวตลาดในเมืองก่อนจะโทรเรียกเพื่อนสนิทมารับตามที่นัดกันไว้ ยามนี้ที่พึ่งพิงของเขามีเพียงแต่เพื่อนเก่าก่อนสมัยอยู่ในไร่แถวเขาใหญ่ด้วยกันเท่านั้น

“ไงไอ้เสือ”
ลูกเจ้าของไร่องุ่นชื่อดังรองจากไร่องุ่นคุณชายกรเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนเก่าใบหน้าไม่สู้ดีเท่าไร

ความจริงเขตน์แวะมาหาเพื่อนสามหน่อที่เขาใหญ่แทบจะทุกปี และได้รับการติดต่อกันตลอดไม่เคยขาดช่วง เฟรมเป็นเพื่อนที่เขารู้สึกยกย่องและชื่นชมมากที่สุด
ยังไม่ทันเรียนจบก็สามารถฟื้นฟูไร่องุ่นที่เกือบซบเซาด้วยมลพิศทางเศรษฐกิจให้กลับมาสดใสรุ่งโรจน์ได้

ถึงแม้จะไม่เหมือนเก่าก่อนสมัยเป็นคู่แข่งกับไร่คุณชายกร แต่ก็สามารถใช้หนี้ต่างๆ มากมายจนตอนนี้ลูกน้องกลับมาลืมตาอ้าปากได้เหมือนเก่า
อีกฝั่งหนึ่งคงจะเป็นไอ้ฮิล ลูกหลานเจ้าของฟาร์มวัวชื่อดังในเขาใหญ่ มันถือว่าเป็นรุ่นที่สามที่นอกจากพัฒนาเรื่องของนมวัวและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนมวัวแล้ว

มันก็ริเริ่มทำร้านสเต็กและเริ่มเลี้ยงแกะเสริมเพิ่มเข้าไปด้วย ในอนาคตมันยังมีแพลนที่จะสถานที่ฝึกม้าอีกมากมายหลายแห่ง
อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เพราะชื่อได้ว่าเป็นเพื่อนที่อยู่ใกล้บ้านกันที่สุด สมัยที่แม่และพ่อของเขตน์ยังมีไร่แถวเขาใหญ่เป็นของตัวเอง พ่อแม่เขาริเริ่มปลูกกาแฟมาพร้อมกับแม่ของนัท

ซึ่งหากพ่อแม่เขายังอยู่คงได้เป็นเพื่อนบ้านที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลด้านกาแฟไปอีกนาน
ปัจจุบันกาแฟของไร่นัทเป็นที่นิยมในหมู่มาก และกำลังเปิดร้านกาแฟบนไร่แห่งนี้ให้นักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาชมไร่ได้ชิมกาแฟที่ผลิตเองอีกด้วย

เหลือก็แต่เขาที่ยังไม่มีอะไรสักอย่าง นอกจากบ้านหลังเล็กๆ ที่แม่เหลือไว้ให้ที่ไร่บนเขาใหญ่แห่งนี้
ใครๆ ก็อยากมีที่บนเขาใหญ่กันทั้งนั้น และพื้นที่บนบ้านของเขตน์ก็ถูกทาบทามจากนักลงทุนมากมาย เพื่อขอซื้อต่อไปพัฒนาธุรกิจของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันหากเขาขายที่ดินผืนนี้จริงๆ อาจได้เงินเป็นล้านมาใช้เล่นๆ สักปีสองปี

หากแต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่แม่มอบไว้ให้เขา
เป็นมรดกสุดท้ายที่เหลืออยู่และเขามอบให้กับคุณชายกรเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ไม่รู้ว่าจะใช้มันหมดได้เมื่อไร

และมันเป็นสถานที่ที่เขาได้พบกับคุณชายนรินทร์ครั้งแรก

รักแรกและรักเดียว

ความทรงจำมากมายในบ้านหลังเล็กๆ บนเขาแห่งนี้ที่เขาคงไม่มีวันลืมได้
‘พี่เขตน์ อันนี้เรียกว่าอะไรเหรอ’

‘กุหลาบครับ พ่อพี่ลองปลูกมัน ลองดูว่ามันจะขึ้นในดินตรงนี้ไหม’

‘สวยจัง รินชอบ ชอบดอกกุหลาบ’

‘รินชอบดอกกุหลาบเหรอครับ งั้นพี่จะปลูกให้เยอะๆ เลยดีไหม’

‘เยอะๆ เลยน้า’

แม้ปัจจุบันพื้นดินเหี่ยวแห้งแห่งนี้จะไม่มีแปลงกุหลาบสีแดงเล็กๆ แห่งนี้อีกแล้ว
แต่ความทรงจำของเขตน์ก็ไม่เคยถูกลบเลือนหายไปแม้เพียงเศษเสี้ยวเดียว

ทว่าต่อจากนี้ไปเขาทำได้แค่เดินต่อไปข้างหน้า และละทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง

ไม่มีอีกแล้ว พี่เขตน์ของน้องริน

“มึงขาดเหลืออะไรบอกกูได้เลยนะ กูส่งคนมาทำความสะอาด ตัดหญ้าตัดอะไรเรียบร้อยแล้ว-
ทำได้ไม่มากหรอกเพราะว่าเขตตรงนี้คุณชายกรเขาดูแลให้อยู่” เฟรมทักขึ้นเดินลงจากรถที่จอดรถเทียบหน้าบ้านไม้หลังเล็กๆ ของเขตน์พอดี

ใช่แล้ว คุณชายกรเป็นคนอาสาดูแลบ้านหลังนี้ของแม่แทนเขา และเขาตัดสินใจยกที่ดินผืนนี้ให้ท่าน ทั้งโฉนดที่ดินต่างๆ
ทั้งที่คุณชายเธอปฏิเสธที่จะรับสิ่งมีค่าสิ่งนี้ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเขา

‘ฉันจะเก็บมันไว้ให้นาย หากอยากได้คืนไปทำประโยชน์เมื่อไร ฉันจะคืนให้นายกับมือเอง’

เขตน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขอบคุณเพื่อนที่อาสามาส่งกันถึงบ้าน ก่อนจะแบกกระเป๋าขึ้นบันไดไม้เล็กๆ
ที่สังเกตแล้วน่าจะเป็นไม้ใหม่ที่ถูกซ่อมแซมด้วยฝีมือคนงานในไร่คุณชายกรเช่นเคย

“ตอนมึงไม่อยู่ คนไร่นั้นมาดูแลบ้านมึงตลอดแหละ คุณชายคงกำชับอย่างดี ดูดิ โคตรสะอาดเลย แล้วนี่เย็นนี้มึงจะไปบ้านกูปะเนี่ย แม่กูบ่นคิดถึงมึงแล้ว พอกูบอกว่ามึงจะมาก็ตื่นเต้น ไอ้นัทกับไอ้ฮิลก็จะมาสมทบด้วย”
“มึงพูดขนาดนี้กูไม่ไปได้เหรอ” เขตน์หัวเราะเบาๆ ในความขี้โม้ของเพื่อนเหมือนเคย อย่างน้อยคนในละแวกนี้ก็ทำให้เขากลับมายิ้มหัวเราะได้บ้าง

“มึงจะไม่ถามกูหน่อยเหรอว่ากูกลับมาทำไม”

“เฮ้อ ก็มีอยู่เรื่องเดียวเปล่าวะ ว่าแต่คราวนี้ถึงต้องย้ายข้าวของมาเชียว”

“กูจะมาอยู่ที่นี่ถาวร”
เฟรมหันขวับทันทีที่เพื่อนสนิทกล่าวประโยคนั้นจบ

“งั้นก็แสดงว่า เรื่องของคุณชายนรินทร์อะไรนั่น…”

“อือ กูยอมแพ้แล้ว”

“เอาเป็นว่ามึงอย่างเพิ่งเล่าอะไรตอนนี้ รอให้ทุกคนพร้อมหน้ากันก่อน แล้วมึงจะพูดอะไรก็ค่อยพูด อย่าลืมว่ากูพร้อมจะช่วยมึงเสมอ ส่วนเรื่องงาน”
“เอาเป็นว่ารอให้ทุกคนพร้อมหน้ากันก่อน แล้วมึงจะเล่าอะไรก็ค่อยเล่า พวกกูพร้อมจะช่วยมึงเสมอ ส่วนเรื่องงาน” เฟรมขมวดคิ้วคิดอยู่พักหนึ่งเพราะผู้มีพระคุณของเพื่อนก็ถือเป็นคู่แข่งทางการค้าของไร่เขาเช่นกัน

ก่อนจะเอ่ยต่อ

“ถ้ามึงไม่คิดอะไรมากเรื่องคุณชายกร ไร่องุ่นของกูยินดีต้อนรับเสมอ”
ในขณะที่อีกฟากฝั่งหนึ่ง คุณชายนรินทร์ที่พอตัวเองสลัดตัวกวนใจออกจากชีวิตได้สักทีชีวิตก็กลับมาระรื่นหน้าชื่นตาบานได้อย่างไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง

แม้ว่าผู้เป็นบิดาจะคุยกับเขาน้อยลง แถมเจอหน้ากันทุกครั้งพ่อก็ทำสีหน้าไม่พอใจอยู่เรื่อยไป
การทานมื้อค่ำร่วมกับครอบครัวกลับกลายเป็นความอึดอัดชวนเบื่อหน่าย

“คุณแม่ทานหลนปูนะครับ วันนี้รินอาสาช่วยแม่บ้านในครัวทำสุดฝีมือเลย”

จะมีเพียงแต่นรินทร์คนนี้ที่นั่งยิ้มพูดคุยเจื้อยแจ้วราวกับเรื่องร้ายแรงที่ตัวเองทำไปนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ซึ่งคนเป็นมารดาจะไปห้ามปรามอะไรลูกซึ่งเป็นดั่งแก้วตาดวงใจอันเปราะบางของเธอได้

และเธอเองก็เจ็บปวดกับเรื่องราวในอดีตเช่นกัน แม้จะหย่ากับอดีตสามีที่นั่งทานข้าวด้วยกันตรงหน้าอยู่ทุกวันนี้

ไม่ได้อยู่เพราะยังรักหรือยังมีเยื่อใยแต่อย่างใด
แต่เธอเป็นห่วงลูก และรู้ว่าหากสักวันที่เธอก้าวขาออกจากบ้านใหญ่หลังนี้ไป นรินทร์จะมีสภาพเป็นอย่างไร

คนเป็นพ่อเป็นแม่จะยอมเห็นลูกทุกข์ใจร้องไห้ต่อหน้าได้หรือ

นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอยังคงใช้ชีวิตต่อไปในฐานะคุณหญิงของบ้านหลังนี้ตามเดิม
แม้คนข้างนอกนินทาให้หนาหูว่าแครอบครัวนี้ปั้นหน้าอยู่ในสังคมว่าเป็นครอบครัวสุขสันต์กันอยู่อีกทั้งที่หย่ากันไปสิบปีแล้ว

เมื่อไรที่รินยอมรับความจริงได้ เธอจะไป

และยังรอความหวังว่าจะมีแค่เพียงชั่ววูบหนึ่งที่ลูกของเธอคิดได้ว่าบางเรื่องเราควรที่จะปล่อยวางและก้าวต่อไปข้างหน้าได้สักที
อีกมุมหนึ่งคนเป็นพ่อเริ่มรับนิสัยลูกตัวเองไม่ไหว คิดทุกวินาทีว่าควรทำอะไรสักอย่างที่จะดึงนรินทร์กลับมาเป็นผู้เป็นคนก่อนที่จะสายเกินไป

โชคดีที่ลูกชายมีเพื่อนที่ดีอย่างจิลและฟางที่พอจะช่วยเป็นหูเป็นตาได้บ้างจากแฟนหนุ่มที่นรินทร์หลงหัวปักหัวปำว่าเป็นผู้ชายที่แสนจะเพอร์เฟคทุกอย่าง
ลูกเขาอ่อนต่อโลกในเรื่องความรัก และผู้ชายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างเขารู้ดีว่าผู้ชายประเภทนั้นก็ดีแต่เจ้าชู้สร้างภาพเป็นพระเอกแสนดีไปวันๆ ลับหลังแอบควงคนอื่นมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าลูกเขาก็ยังยอมปิดหูปิดตาตัวเอง เทิดทูนความรักจอมปลอมแบบนั้น

หลายปีแล้วที่คบกับหมอนั่น
ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นนอกจากรินจะนิสัยแย่ลงไปทุกที

‘นี่มันชีวิตของริน ความรักของริน ถ้ารินจะรักหรือเลิกกับใคร คุณพ่อควรให้รินได้ตัดสินใจเอง ทีคุณพ่อกับคุณแม่หย่ากันยังไม่เคยถามความเห็นรินสักคำ’

นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่คณชายกรยอมหยุดให้สองคนนั้นได้รักกันต่อ
อย่างไรเสียนรินทร์ก็พูดถูก หากคิดจะรักและทุ่มเทใจให้ใครแล้ว ก็ขอให้ตัวเองเป็นคนตัดสินใจในรักครั้งนั้นเอง

เขาแค่หวังว่าลูกคนนี้จะตาสว่างในเร็ววัน เลิกเห็นกงจักรเป็นดอกบัวเสียที

ชีวิตของคุณชายนรินทร์ดำเนินต่อไปอย่างมีความสุข ลืมใครคนหนึ่งที่ตัวเองทิ้งแผลไว้ให้ไปโดยปริยาย
ยิ่งเรื่องความรักไม่ต้องพูดถึง เด็กที่เคยขาดความอบอุ่นและมีปมในเรื่องความรักมาตลอดสิบปีพร้อมที่จะทุ่มเทใจให้กับคนรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น ไม่มีใครในวงการบันเทิงไม่รู้จักคู่รักแสนเพอร์เฟคคู่นี้

ไม่ว่าแฟนหนุ่มจะบินไปถ่ายงานที่ต่างประเทศ นรินทร์ก็ไม่เคยพลาดที่จะตามติดไปดูแล
คอยเอาใจพี่แทนของเขาจนตัวติดกันแทบจะเป็นปาท่องโก๋ จะมีแค่บางงานเท่านั้นที่เหล่าสต๊าฟถึงกับต้องขอร้องไม่ให้คนนอกเข้าไปนรินทร์ถึงจะยอม

ถึงกระนั้นพี่แทนของเขาก็ยังทำหน้าที่เป็นแฟนที่ดี คอยสวีตหวาน ติดต่อกันอยู่ตลอดเวลาไม่ให้รินต้องคิดมากว่าไม่มีเวลาให้กัน
“ยินดีด้วยนะครับที่รักของพี่แทน ในที่สุดก็เรียนจบแล้ว”

ช่อดอกกุหลาบสดสีแดงช่อใหญ่ที่เจ้าตัวโปรดปรานถูกยื่นให้โดยแฟนหนุ่มที่ถึงแม้จะไม่ได้มาแสดงความยินดีกันถึงที่มหาวิทยาลัย แต่ก็ทำเซอร์ไพรส จับจองดินเนอร์ท่ามกลางแสงเทียนบนยอดตึกใหญ่ที่สูงที่สุดใจกลางเมืองหลวง
พร้อมกับของขวัญสุดพิเศษที่ถึงแม้จะมอบให้กันบ่อยในวันครบรอบและวันเกิด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารินน่ะชอบการเซอร์ไพรส์และของขวัญราคาแพงแบบนี้ที่สุด

สร้อยคอรูปดอกกุหลาบเล็กๆ สีแดงสลับเขียวถูกสวมให้โดยดาราหนุ่มพร้อมกับก้มลงจุมพิตซอกคอขาวนวลของแฟนไฮโซที่ยิ้มแก้มปริถูกใจกับของขวัญที่ได้
นรินทร์จับจี้กุหลาบเล็กๆ ตรงคอพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองแฟนตัวเองด้วยแววตาลึกซึ้ง สื่อว่าอีกคนมีความหมายต่อหัวใจตัวเองมากเพียงใด

‘จุ๊บ’

นรินทร์เคลื่อนใบหน้าส่งจุมพิตขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ที่มอบให้กันวันนี้ สัมผัสแผ่วเบาตรงริมฝีปากยังไม่จางหาย และเขาคิดว่าพี่แทนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
รักเหลือเกิน อยากจะมีอนาคตร่วมกับพี่แทนตลอดไป

“รินรักพี่แทนมากนะ พี่แทนรู้ใช่ไหม”

“รู้สิครับ ไม่งั้นเราสองคนจะคบกันมานานขนาดนี้เหรอ นี่ก็เกือบเจ็ดปีแล้วใช่ไหมนะ”

“อีกสองเดือนเท่านั้น” และนรินทร์เองคิดว่าครบรอบเจ็ดปีคราวนี้เขาคงต้องจริงจัง ให้พี่แทนเป็นของรินคนเดียวให้ได้
“เราแต่งงานกันดีไหม” สองแขนเรียวเล็กของนรินทร์คล้องคออีกคนเบาๆ พูดขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงที่บรรเลงเสริมบรรยากาศ

ทว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์ทางด้านการแสดงจะไปรู้อะไรว่าชั่ววูบหนึ่งของแววตาที่แทนส่งตรงมานั้นส่อถึงความกังวลและหนักใจเพิ่มขึ้นทวีคูณเมื่อได้ยินคำนั้น

แต่งงาน?
คนอย่างเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องแต่งงานในหัว และไม่คิดที่จะผูกมัดตัวเองแบบนั้นด้วย

หากแต่งกันไปจริงๆ โอกาสที่จะพบเจอผู้คนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ ก็จะหมดลงไปโดยปริยาย แถมจะแอบไปเที่ยวโดยให้ผู้จัดการคอยแก้ตัวให้ไม่ได้อีก จะไปไหนก็ลำบากขึ้น
เพราะขนาดแค่นี้รินยังเจ้ากี้เจ้าการเขาไม่หยุดหย่อนจนแทบจะปลีกตัวไม่ได้อยู่แล้ว

ที่ยังคบกับไฮโซนิสัยเสียคนนี้ก็เพราะมันช่วยเสริมให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังขึ้น ชื่อของคุณชายนรินทร์ทำให้ผู้ใหญ่หลากหลายวงการให้ความสนใจในตัวเขาจากคนโนเนมไม่มีใครรู้จัก
กลายมาเป็นพระเอกดังระดับประเทศ ไปที่ไหนก็ได้รับความสนใจ มีแฟนคลับติดตามจนท่วมท้น

เครื่องมือหาผลประโยชน์แบบนี้จะปล่อยทิ้งก็ไม่ได้ แต่จะให้อีกคนเอาเชือกมาผูกขาตัวเองล่ะก็ฝันไปเถอะ

“รินรอพี่อีกสักหน่อยได้ไหมครับ”

“ทำไม!” รินชักสีหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำตอบที่ตัวเองไม่ต้องการ
คนอย่างนรินทร์อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่มีใครกล้าปฏิเสธเขา แทนก็น่าจะรู้ดีโดยไม่ต้องให้เขาต้องพูดซ้ำ

“ถ้าพี่แทนกลัวเรื่องเงิน เรื่องฐานะล่ะก็ ช่างพวกปากหอยปากปูนั่นเถอะ คุณพ่อของรินฐานะดีกว่าแล้วยังไง พี่แทนก็มีอาชีพการงานที่ดีนี่นา ไม่ได้มาแต่งเข้ามาเพื่อหวังฮุบสมบัติซะหน่อย”
ไอ้สมบัติน่ะ ไม่ปฏิเสธเลยว่าอยากได้ แต่คุณชายกรท่านฉลาดเกินใคร คนอย่างเขาไม่มีหวังที่จะได้จับเงินทองของท่านหรอก และถ้าหากจะแต่งก็คงไม่ยอให้จดทะเบียนสมรสแน่นอน

อดีตหม่อมตระกูลผู้ดีเช่นนี้ ฉลาดเป็นกรด และหวงสมบัติยิ่งกว่าชีวิต

ซ้ำร้ายเขายังไม่ชอบสังคมแบบนั้นด้วย
จะขยับนิดขยับหน่อยก็ลำบากเพราะความเป็นผู้รากมากดีมันค้ำคอไว้

“พี่แค่กลัวคุณชายกรจะคิดว่าพี่ไม่สามารถดูแลรินได้ ขอพี่เก็บเงินอีกสักปีสองปีได้ไหม สัญญาเลยครับว่าในอนาคตต้องมีงานแต่งงานของเราแน่นอน”

ถึงจะรู้ว่าไม่มีวันเป็นจริง แต่ก็ขอเวลาที่จะหายใจเป็นอิสระสักนิด
ไม่แน่ระหว่างนั้นรินอาจจะถอดใจเลิกคิดเรื่องแต่งงานไปเอง

นรินทร์พี่ฟังคำอธิบายของอีกคนก็คล้อยตามเห็นด้วย เพราะตัวเองก็มีความอยากเอาชนะพ่อเหมือนกัน อยากทำให้พ่อได้รู้ว่าเขาเลือกคนไม่ผิด จะได้เลิกกล่าวว่าพี่แทนของเขาเสียๆ หายๆ สักที

“ก็ได้ รินจะรอวันนั้นนะ”

“ครับ พี่สัญญา”
ร่างโปร่งนั่งทานกาแฟในคาเฟ่ร้านโปรดที่มากับเพื่อนสาวประจำทุกวันหยุด เรียนจบมาได้เดือนกว่าแล้วก็ยังไม่คิดที่จะทำงานทำการอะไร เที่ยวเล่นซื้อของแบรนด์เนม ไม่ก็ปาร์ตี้ตามผับบาร์กับเพื่อนไฮโซไปวันๆ

จะมีก็แต่จิล เพื่อนออกสาวที่สนิทกันมาตั้งแต่อนุบาล-
กับฟาง หญิงสาวแสนเปิ่นที่เข้าร่วมแก๊งกันตอนประถมปลายที่ยังคงพอเป็นที่พึ่ง คอยเตือนคอยยั้งเมื่อรินทำบางอย่างที่เกินตัวจนเกินไป

“ชานมไข่มุกอีกแล้วอีฟาง ไหนเมื่อต้นปีใครบอกจะลดน้ำหนักวะ” จิลขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าพนักงานเอาชานมไข่มุกหวานร้อยเปอร์เซ็นมาเสิร์ฟคนที่พูดนักหนาว่าจะเลิกกิน
“เออน่า กูไม่ได้กินมาสองสามวันแล้ว ขอสักหน่อย อาทิตย์นี้แม่งงานโคตรหนัก”

ฟางบ่นถึงกิจการทางบ้านที่ยุ่งวุ่นวายมาทั้งเดือน พอเรียนจบก็ช่วยพ่อแม่สานต่อกิจการค้าไม้ ผลิตศาลาและบ้านสำเร็จรูปที่คนปัจจุบันดูท่าจะให้ความสนใจมากกว่าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่แบบแต่ก่อน
ส่วนจิลก็เป็นพนักงานบริษัททั่วไป ถึงแม้ทั้งสามคนจะเป็นถึงคุณหนูมีฐานะทางสังคมที่ดีกว่าชนชั้นกลางคนอื่นๆ แต่จิลก็ยังคงเป็นพนักงานระดับล่างที่พร้อมจะเรียนรู้งานด้านโฆษณา เพื่อในอนาคตจะเปิดบริษัทเอเจนซี่ของตัวเองต่อไป

“แล้วมึงล่ะอีตาคุณชาย เมื่อไรจะทำงานเนี่ย” ฟางบ่นขึ้นบ้าง
“เออน่า กูยังไม่มีอารมณ์ทำ”

“จ้า ทำงานตามอารมณ์เนอะ” จิลประชดขึ้นมาอีกระลอก ขี้เกียจจะตักเตือนเพื่อนคนนี้เต็มทนแล้ว แต่เห็นหน้าทีไรก็อดสงสารมันไม่ได้ รินแทบไม่มีเพื่อนที่จริงใจด้วยสักคน ทุกคนต่างเข้ามาเพราะหวังผลประโยขน์จากชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลทั้งสิ้น
จะมีก็แต่เขาและฟางที่ยังคงประคับประคองมันมาจนถึงทุกวันนี้

ถึงแม้จะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวก็เถอะ

“ถ้าอยู่ในเมืองมันน่าเบื่อ ทำไมมึงไม่ลองไปทำงานที่ไร่คุณชายกรล่ะ ไร่ที่เขาใหญ่ของพ่อมึงสวยจะตายไป กูยังอยากไปเลย”

ฟางเอ่ยขึ้นเมื่อนึกภาพไร่ของพ่อเพื่อนที่ไปเที่ยวเมื่อสองปีที่แล้ว
ถ้าครอบครัวเขามีเนื้อที่ไร่กว้างใหญ่ไพศาล แถมอากาศดีไร้มลพิษต่างจากเมืองหลวง รับรองเลยว่าใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนแก่เฒ่าไปเลยทีเดียว

“ไร่บ้านนอกนั่นเนี่ยนะ ให้ตายก็ไม่ไปเหยียบหรอก ร้อนก็ร้อน ที่เที่ยวอะไรก็ไม่มี อาหารก็ไม่อร่อย วันๆ เห็นแต่หน้าคนงาน นานๆ ไปเที่ยวกูยังเบื่อเลย”
“ก็มึงมันติดเมืองหลวง เลิกสักทีเหอะเที่ยวกลางคืนเนี่ย ช็อปให้มันน้อยๆ หน่อย กระเป๋ารองเท้าพวกนี้จะมีไปทำไมเยอะแยะ มันช่วยอะไรมึงได้บ้าง”

ยังไม่ทันที่จิลจะบ่นจบ รินจะยกมือห้ามกลอกตามองบน รำคาญกับความขี้บ่นเหมือนพ่อของเขาไม่มีผิดเพี้ยน
“พอๆ กูมีพ่อคนเดียวพอแล้วจิล เลิกบ่นกูได้ไหม เรื่องงานขอเวลากูคิดหน่อย กูแค่ยังไม่รู้ว่าอยากทำอะไร”

“แต่มึงก็สามารถช่วยพ่อมึงทำงานไปด้วย คิดไปด้วยก็ได้นี่ ไม่เห็นยากเลย อย่างน้อยมึงก็จะได้มีประสบการณ์เพิ่งเติม จะได้รู้แนวทางด้วยว่าตัวเองอยากทำอะไรต่อไปในอนาคต”
“กูรู้ว่าพวกมึงเป็นห่วงกู แต่เอาเป็นว่าคนอย่างคุณชายรินเอาตัวรอดได้อยู่แล้วน่า” รินรีบพูดปัดทันที เพราะบทสนทนาวันนี้ไม่ควรจะเป็นเรื่องน่าเบื่อชวนอึดอัด ทว่าในขณะที่กำลังจะเริ่มบทสนทนาใหม่ ฟางก็เปิดประเด็นขึ้น

“พี่แทนถ่ายละครเรื่องใหม่เหรอวะ กูเพิ่งเห็น”
ฟางไถหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่โพสต์ข้อความและรูปถ่ายโปรโมทพระนางของละครเรื่องใหม่ที่เดาว่าคงดังเรตติ้งทะลุจอเช่นเคย

“เออ ถ่ายกันเดือนชนเดือนเลยแหละ ช่วงนี้พี่แทนเลยไม่ค่อยมีเวลาให้กูเลย”

“มิน่าล่ะ มึงถึงนัดพวกเจอพวกกูทุกอาทิตย์ได้” ฟางพูดไป ตาจ้องมองรูปภาพโปรโมทละครของแฟนเพื่อนไป
จนกระทั่งสายตาช่างสอดรู้สอดเห็นของเธอไปสะดุดกับบางสิ่งในรูปภาพนั้น

สร้อยคอของนางเอกมันคุ้นๆ ยังไงไม่รู้แฮะ

และเมื่อเธอเงยหน้าลอบมองไปยังคอของเพื่อนรักที่ประดับด้วยสร้อยคอดอกกุหลายสีแดงสลับเขียวนั้นก็ถึงบางอ้อ

ใช่เลย สร้อยคอลายเดียวกันเป๊ะ

หรือไอ้พี่แทนนี่จะ…ไม่หรอกน่า
คงไม่กล้านอกใจรินหรอก รินมันรักพี่แทนจะตาย

“ฟาง อีฟาง!”

“ห..ห๊ะ”

“มึงเหม่ออะไรเนี่ย กูถามหลายทีแล้วว่าจะเซอร์ไพรส์พี่แทนยังไงดี อีกสองอาทิตย์จะครบรอบเจ็ดปีแล้ว” นรินทร์ขึ้นเสียงอย่างหัวเสียเมื่อเพื่อนอีกคนไถโทรศัพท์เสร็จก็นั่งเหม่อใจลอยอะไรก็ไม่รู้
“เออ โทษทีมึง พอดีกูคิดเรื่องงานที่บ้านมากไปหน่อย มันเหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ”

ฟางพูดแก้ตัวออกไป ทั้งที่ในใจอยากจะพูดบางอย่างให้เพื่อนรู้ ทว่าอีกใจเธอก็กลัวว่านอกจากเพื่อนจะไม่เชื่อแล้ว ยังจะโกรธเธออีกแน่ที่เป็ฝ่ายหาเรื่องให้ความสัมพันธ์ที่กำลังดีๆ ต้องแตกร้าว
เอาเป็นว่ารอให้เรื่องมันคาหนังคาเขากว่านี้ก่อนแล้วกัน หลักฐานนี้ยังอ่อนไป ใครๆ ก็มีสร้อยคอรูปนี้กันได้ทั้งนั้น ก็มันเป็นแบรนด์ดังนี่นา

“กูได้ข่าวว่าคุณชายกรทำไร่กุหลาบใหม่ พึ่งปลูกได้สองปีเองนิ มึงไปมายัง” จิลทักขึ้น
“ก็เคยไปมาครั้งนึง แต่ตอนนั้นดอกมันยังไม่มีเลย เห็นมีแต่ตอ คนงานก็มีอยู่แค่สองสามคน ที่เหลือก็เป็นพื้นดินแห้งๆ”

“แต่ปัจจุบันดอกกุหลาบงอกเงยทั้งไร่แล้วนะมึง กูเห็นในเพจแม่งถ่ายรูปไปลง โคตรสวย นักท่องเที่ยวไปกันเยอะแยะเลย แถมยังมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกุหลาบให้ลองทำลองซื้อด้วย-
ไอเดียดีมาก มึงได้คุยกับพ่อเรื่องนี้ไหม เขาคงทำเพราะเห็นว่ามึงชอบกุหลาบ มึงน่าจะแวะไปบ้างนะ”

“ไม่เห็นคุณพ่อจะพูดอะไรเรื่องนี้เลย ก็บอกแค่ว่าเป็นไร่กุหลาบ ไม่ได้ดูแลเอง”

“ไม่ได้ดูแลเอง หมายความว่าไงวะ กูงง” ฟางที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้นบ้าง
ชื่อก็เป็น ‘ไร่กุหลาบคุณชายกร’ แล้วคุณชายเขาจะไม่ดูแลรับผิดชอบได้อย่างไร

“กูก็ไม่รู้ เรื่องนั้นทำไมกูต้องรู้ด้วยล่ะ คุณพ่ออาจจะมีลูกน้องคอยดูแลให้อยู่ก็ได้”

“อืม ถ้างั้นมึงก็สั่งดอกกุหลาบของไร่คุณชายกรมาสิ ให้ลูกน้องคุณชายกรส่งมาให้ เอามาจัดช่อเอง แล้วก็ลองทำเค้กให้พี่เขา-
กูว่าถ้าพี่แทนเห็นความพยายามของมึงต้องซึ้งใจชัวร์”

“จริงเหรอ”

“เออ ไอเดียของมึงไม่เลวเลยฟาง กุหลาบของไร่คุณชายกรโคตรสวย แถมราคาไม่ใช่ถูกด้วยนะ ดูนี่ กูกำลังหาข้อมูลจากเน็ต เห็นเขาบอกว่าพันธุ์ของกุหลาบในไร่นี้เกิดจากการตัดแต่งพันธุกรรมใหม่จากความคิดของบุคคลคนหนึ่ง-
ที่คิดค้นไว้เมื่อสิบปีก่อน ให้สามารถทนแดดทนฝน ปลูกบนพื้นดินแห้งแล้งได้สบายๆ”

“ตัดแต่งพันธุกรรมงั้นเหรอ..” ทำไมมันคุ้นๆ

‘อันนี้เรียกว่าดอกกุหลาบ’

‘ดอกกุหลาบ รินชอบ ชอบดอกกุหลาบ’

‘ถ้าชอบพี่จะปลูกให้เยอะๆ เลยดีไหม’

‘เยอะๆ เลยน้า’
‘ครับ พี่จะทำให้กุหลาบสามารถปลูกบนพื้นดินตรงนี้ได้ พ่อของพี่กำลังพยายามอยู่ ถ้าตัดแต่งพนธุกรรมได้เมื่อไรรินจะได้เห็นไร่ตรงนี้เป็นสีแดงทั้งหมดเลย’

‘อื้ม รินจะรอน้า’

พื้นดินตรงนั้น…ไม่น่าใช่
“ว่าไงริน ตกลงจะซื้อไอเดียของฟางมันไหม” รินสะดุ้งเล็กน้อย สะบัดความคิดไร้สาระที่พานให้นึกถึงใบหน้าที่ไม่อยากเห็นแม้สักนิดเดียว ก่อนจะปลอบใจตัวเองว่าไร่ตรงนั้นเป็นของคุณพ่อ ไม่มีทางที่คนพรรค์นั้นจะมาเป็นเจ้าของได้

ไปซะได้ก็ดี ไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมา
“โอเค เดี๋ยวกูจะลองถามคุณพ่อแล้วกัน”

“รับรองว่าเวิร์คแน่นอน เชื่ออีฟางเถอะ!”

.
.

“ครับคุณชายกร ผมจะให้คนงานขับรถส่งไปให้ รับรองว่าจะส่งไปอย่างดี ไม่ให้ช้ำเลยครับ”

เจ้าของไร่วางสายจากผู้มีพระคุณที่สองปีที่แล้วช่วยเหลือกัน คืนที่ดินพื้นนี้ให้กับเขา
เขา แลกกับเงินเพียงหนึ่งพันบาทเพื่อเป็นการตกลงว่าที่ดินแห่งนี้ไม่ได้ให้กันฟรีๆ

เพราะเขตน์คงไม่ยอมรับมันง่ายๆ โดยที่ตัวเองยังรู้สึกติดหนี้บุญคุณคุณชายกรไม่จบไม่สิ้น

‘ที่ดินผืนนี้ ปล่อยทิ้งไว้ก็มีแต่รกร้าง เขตน์กลับมาก็ดีแล้ว จะได้ช่วยทำนุบำรุงให้มันได้ใช้ประโยชน์ต่อไป’
เมื่อสองปีก่อน คุณชายกรที่ตามหาเขามาร่วมเดือนหลังจากลาออกจากบริษัทไป ไม่ติดต่อบอกกล่าวว่าตัวเองไปอยู่ที่ไหน จึงตัดสินใจลองขับรถขึ้นมาหากันที่นี่

‘แล้วนี่คิดไว้หรือยังว่าจะเอาที่ดินผืนนี้ไปทำอะไร จะปลูกกาแฟเหมือนเดิมไหม’

‘ผมว่าจะลองปลูกกุหลาบครับ’

‘กุหลาบ? ทำไม…’
คุณชายกรเอะใจขึ้นที่คราวนี้คนที่เปรียบเสมือนลูกหลานตัดสินใจทำอะไรแปลกประหลาด

บนเขาใหญ่แห่งนี้ไม่ใช่ว่าจะปลูกกุหลาบไม่ได้หรอก แต่ต้นทุนค่อนข้างสูงและดูแลลำบาก ต้องทะนุถนอม คอยดูแลเอาใจใส่กว่าพืชพรรณตระกูลอื่น จึงไม่ค่อยมีคนนิยมปลูกบนพื้นที่แห่งนี้สักเท่าไร
สู้ปลูกผักผลไม้หรือไม่ก็ทำฟาร์มปศุสัตว์ สร้างรีสอร์ตอะไรก็ว่าไป ยังจะคุ้มทุนเสียกว่า

‘พ่อผมเก็บตำราการปลูกและตัดแต่งสายพันธุ์กุหลาบให้เหมาะกับพื้นดินตรงนี้ไว้ ผมเลยอยากจะสานต่อความคิดของท่านให้สำเร็จ’

‘แค่นั้นจริงเหรอ ไม่ใช่ว่าเพราะริ--’

‘ผมคงไม่กล้าแตะลูกของคุณท่านหรอกครับ’
เขตน์หลุบตาลงต่ำ แล้วไอ้นิสัยแบบนี้คุณชายกรรู้เท่าทันเป็นอย่างดี เขตน์กำลังโกหกเขา

ทุกสิ่งที่เขตน์ทำ เพราะรู้ว่านรินทร์ชอบดอกกุหลาบมาก และทั้งหมดที่เขตน์คิดอยากจะสร้าง

ก็เพื่อนรินทร์
‘เอาเป็นว่าอย่าทำอะไรเกินตัวแล้วกัน ถ้าไม่ไหวก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ส่วนเรื่องคนงานกับค่าลงทุนอะไรต่างๆ เบิกจากฉันก่อน ได้ทุนคืนเมื่อไรค่อยมาคืนฉัน’

สองปีผ่านไปที่เขตน์ทยอยใช้ทุนที่คุณชายกรมอบให้จนหมด ซ้ำยังตั้งชื่อไร่นี้ว่าคุณชายกร
ให้คนทั้งเขาใหญ่รวมทั้งคนในต่างประเทศและต่างประเทศเข้าใจว่าคุณชายกรเป็นเจ้าของไร่นี้

ยกเว้นคนงานที่รู้ดีว่าเจ้านายตัวจริงอขงพวกเขาเป็นใคร

ทั้งที่คุณชายกรพูดปากเปียกปากแฉะแล้วว่าอย่าทำแบบนี้ เพราะตนไม่อยากตัดโอกาสที่เขตน์จะมีหน้ามีตาในแวดวงสังคมของนักธุรกิจ
‘มันเป็นอย่างเดียวที่ผมสามารถตอบแทนให้กับคุณท่าน และมันก็เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้ผมทดแทนความผิดที่ผมและแม่เคยทำกับครอบครัวคุณท่าน’

‘พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว เอาเป็นว่าฉันจะรับไว้ก็ได้ แต่รายได้ทั้งหมดเป็นของนาย ไม่ต้องเอาอะไรมาให้ฉันอีกแล้ว ถ้าอยากจะปรึกษาอะไรเพิ่มเติมก็ติดต่อมาได้’
เขตน์ตรากตรำสู้ทนฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จนกระทั่งไร่กุหลาบคุณชายกรโด่งดังขึ้นมาในระยะในเวลาอันรวดเร็ว

เมื่อนึกถึงวันที่ปลูกกุหลาบจนฝ่ามือเป็นแผล ตากฝนทั้งวันทั้งคืนจนเป็นไข้ แต่กลับตื่นขึ้นมาอีกวันแล้วพบว่ากุหลาบทั้งแปลงถูกพายุฝนซัดกระหน่ำจนหน้าดินเละเทะไม่เหลือเค้าเดิม
ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไม่เป็นไร เขายังสู้ต่อ ถึงแม้คนในละแวกเดียวกันจะหาว่าบ้า คนงานหลายคนถอดใจลาออกไปบางส่วน หรือแม้กระทั่งเพื่อนสนิทยังระอากับความมานะพยายามที่มันไม่เกิดผลประโยชน์อะไรเลย

ถ้าเปลี่ยนใจไปทำอย่างอื่น ป่านนี้คงรวยเละเป็นไหนๆ มึงจะทำไปเพื่ออะไรวะ
แต่ภาพของใครคนหนึ่งก็ทำให้ขาหยัดยืนลุกขึ้นมาทำมันต่อจนประสบความสำเร็จ

ภาพความทรงจำของเด็กน้อยคนนั้นที่ยิ้มเมื่อเห็นดอกกุหลาบสีแดงเบ่งบานท่ามกลางแสงตะวันของไร่แห่งนี้

เป็นแรงบันดาลใจเดียวที่ทำให้ไร่กุหลาบคุณชายกรเป็นรูปเป็นร่างอย่างทุกวันนี้
และเป็นคนเดียวกับที่เขตน์ลงทุนจัดดอกกุหลาบกำใหญ่ใส่แพ็กอย่างดีกับมือตัวเอง กะอุณหภูมิให้ดอกไม้สดอยู่ได้นานที่สุด แล้วเร่งให้คนงานขับรถออกไปส่งถึงบ้านคุณชายกร

แม้เจ็บปวดเมื่อรู้ความจริงดีว่าคนที่สั่งดอกกุหลาบช่อนี้เอาไปให้ใคร
“พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบรินกับแฟนเขาน่ะ เลยอยากจะลองจัดช่อกุหลาบเอง ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงนึกสั่งกุหลาบจากไร่ของนายเหมือนกัน แต่คงคิดว่าเป็นไร่ฉันล่ะมั้ง เอาเป็นว่าค่าจ้างฉันจะจ่ายให้เอง”

“ไม่เป็นไรครับคุณท่าน หากเป็นคุณท่านและครอบครัว ผมยินดี”
“เฮ้อ เมื่อไรลูกของฉันจะคิดได้ซะที ว่าตัวเองมองข้ามสิ่งดีๆ ใกล้ตัวไป”

เขตน์ยืนเหม่อคิดไปถึงคำพูดของคุณชายกรที่เพิ่งคุยกันในโทรศัพท์ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

ผมไม่ใช่คนดีอะไรหรอกครับท่าน
ผมไม่มีดีอะไรเลย ไม่มีสักอย่าง

และคุณรินเลือกถูกแล้ว คนอย่างผมไม่สามารถทำอะไรเพื่อคุณรินได้เท่ากับแฟนของคุณรินได้

ไม่ได้ครึ่งของคนที่คุณรินรักเลย

.
.
คุณชายนรินทร์ที่วันนี้ตื่นเช้ากว่าทุกวัน สองมือบรรจงจัดช่อดอกกุหลาบด้วยตนเองโดยมีแม่บ้านคอยช่วยตัดแต่งจนออกมาเป็นช่อสวยงามสมดังใจได้

ส่วนเค้กที่บอกว่าจะทำเองสุดท้ายก็เละเทะไปทั้งครัว งานทั้งหมดถูกโยนให้แม่บ้านจัดการไปโดยปริยาย จึงได้มาซึ่งเค้กปอนด์เล็กทำโดยแม่บ้านอีกตามเคย
นรินทร์นั่งมองช่อดอกกุหลาบที่ถูกส่งตรงมาจากไร่กุหลาบคุณชายกรแล้วอดนึกไม่ได้ว่าผ่านไปแค่เพียงสองปีเท่านั้น พื้นที่อันแห้งแล้งกลับปลูกกุหลาบดอกใหญ่สดที่อมน้ำชุ่มฉ่ำเช่นนี้ได้

เมื่อนึกถึงคำที่เพื่อนพูดไว้เมื่อวานว่ากุหลาบจากไร่นี้ได้มาจากการตัดแต่งพันธุกรรม-
คิดค้นจากบุคคลคนหนึ่งเมื่อสิบปีก่อน มันทำให้เขารู้สึกฉงนใจอย่างไรบอกไม่ถูก

ร่างโปร่งไล้ปลายนิ้วไปยังกลีบดอกกุหลาบที่เบ่งบานสวยงามอย่างมีเอกลักษณ์ ถ้ามองลึกลงไปกุหลาบสายพันธุ์นี้มีลักษณะพิเศษกว่าดอกกุหลาบที่ขายทั่วไปตามท้องตลาด
ไม่ใช่แค่สีสวยสดและอมน้ำได้มากจนทำให้โอกาสที่จะเหี่ยวแห้งนั้นช้าลงกว่ากุหลาบทั่วไปเท่านั้น ตัวกลีบของมันก็หนาและมีกลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายได้มากกว่า และหนามของมันก็ยังทู่กว่ากุหลาบประเภทอื่นๆ อีกด้วย

คุ้นมาก สัมผัสจากปลายกลีบของกุหลาบจากไร่นี้ เหมือนเขาเคยเห็นและจับต้องมันมาก่อน
“คุณชาย จะสิบโมงแล้วค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันนะคะ”

นรินทร์ออกจากภวังค์ความคิดทันทีที่ได้ยินเสียงแม่บ้าน เขาก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะรีบถือช่อดอกกุหลาบและกล่องเค้กออกจากบ้าน ใส่ทุกอย่างไว้ตรงเบาะข้างคนขับอย่างดี ก่อนจะขับรถเคลื่อนตัวไปยังคอนโดของแฟนหนุ่มอย่างรวดเร็ว
วันนี้ครบรอบเจ็ดปีแล้ว รินอยากให้วันนี้เป็นวันที่พิเศษที่สุด

เจ้าตัวเดาไว้ในใจว่าดาราหนุ่มคงจะจองดินเนอร์ที่ไหนสักแห่ง หรืออาจจะเปิดห้องในโรงแรมหรูระดับห้าดาวเพื่อเตรียมเซอร์ไพรส์ให้กับเขาในเย็นวันนี้ รินจึงไม่ได้จองอะไรไว้

เสียงข้อความบนโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อความที่ทิ้งไว้ล้วนเป็นคำอวยพรจากเพื่อนสนิททั้งสองคนที่รู้ดีว่าวันนี้รินเฝ้ารอคอยวันนี้แค่ไหน

‘กูว่าจะคุยกับพี่แทนเรื่องแต่งงานจริงจังแล้ว วันครบรอบนี่แหละโอกาสดีสุด’

บวกกับแรงเชียร์จากเพื่อนๆ ทำให้รินคิดว่าหากครั้งนี้พี่แทนไม่ขอเขาแต่งงานสักที คราวนี้เขาจะเป็นคนขอเองแล้ว
และจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายปฏิเสธกันเหมือนอย่างเคย

แผนวันนี้เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ไม่มีการติดต่อมาจากพี่แทน เพราะรินเอ่ยปากบอกไว้เองว่าจะขอเจอกันตอนเย็น ให้พี่แทนนัดเวลาสถานที่มาได้เลย

และจากการเช็คตารางงานพี่แทนวันนี้ก็รู้ว่าอีกฝ่ายหยุดรับงานวันนี้เพื่อเขา
ถ้าให้เดาป่านนี้คงยังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงแน่นอน

ถ้าพี่แทนเห็นเขาและของเซอร์ไพรส์ทั้งหมดจะตกใจไหมนะ จะดีใจหรือเปล่า มันตื่นเต้นไปหมด

นรินทร์เคลื่อนรถมาจอดพื้นที่วีไอพีของคอนโดหรู ประคองช่อดอกกุหลาบและกล่องเค้กอย่างระมัดระวังพลางดกลิฟต์ไปที่ชั้นสิบสี่ด้วยความเคยชิน
สองเท้าจ้ำอ้าวด้วยความเร่งรีบ บวกกับความตื่นเต้นที่ระงับไว้ไม่อยู่จนมือทั้งสองชื้นเหงื่อ

จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องเดิมที่แวะเวียนเข้ามาสม่ำเสมอในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา

นิ้วเรียวเล็กกดรหัสสี่หลักตรงหน้าประตูที่จำได้ขึ้นใจ ก่อนค่อยเปิดประตูเบาๆ
เพื่อไม่ให้อีกคนซึ่งน่าจะอยู่ในห้องนอนได้ยิน จัดการวางกล่องเค้กไว้ตรงโต๊ะอาหาร พร้อมกับโอบอุ้มดอกไม้ช่อใหญ่ หลับตาดมดอมมันด้วยรอยยิ้ม สายตาสอดส่องเช็กอีกทีว่าช่อดอกไม้ยังเรียบร้อยดีหรือไม่

เอาล่ะ พี่แทนต้องชอบแน่ๆ ถ้าดอกไม้ช่อนี้วางอยู่บนเตียงนอนข้างตอนลืมตาตื่นขึ้นมา
นรินทร์พยายามเดินให้เบาที่สุดจนกระทั่งสองเท้ามาหยุดอยู่ตรงห้องนอน มือเรียวผลักประตูออกไปช้าๆ พร้อมกับดวงตาคู่สวยที่เห็นอะไรบางอย่างบนเตียงนอนนั้น

ตุ้บ

ช่อดอกกุหลาบหล่นกระแทกลงบนพื้น ร่างโปร่งชาวาบไปทั้งตัว จุกไปทั้งหัวใจเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า
หน้าที่แฟนหนุ่มนอนกอดนางเอกสาวที่เล่นละครด้วยกัน ในขณะที่ทั้งคู่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า

ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ พี่แทนทำกับเขาอย่างนี้ได้อย่างไร

“กรี๊ดดดดด!!!!”

เสียงโวยวายดังสนั่นจนปลุกคนบนเตียงทั้งสองที่ขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ
ก่อนสติสัมปชัญญะเริ่มจะคืนกลับมาว่านอกจากพวกเขาสองคนแล้วยังมีเสียงอีกคนอยู่ในห้องนี้

หญิงสาวที่รู้สึกตัวก่อนใครสะดุ้งตัวโยนรีบเอาผ้าห่มปิดร่างกายตัวเอง สีหน้าแตกตื่นเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นว่าคนที่ยามนี้กรีดร้องราวกับหัวใจแตกสลาย น้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม
มือทั้งสองข้างทึ้งผมตัวเองราวกับคนไร้สติ

และกำลังจ้องหน้ามาที่เธอ

“คะ-คุณริน!”

**warning : เนื้อหาต่อไปนี้มีการทำร้ายร่างกาย คำพูดส่อเสียดรุนแรง และประเด็นเกี่ยวกับการนอกใจ รวมทั้งมีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“แก! อีตอแหล แกแย่งพี่แทนของฉัน แกทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง มานอนกกกันอย่างนี้ได้ยังไงหา!”

หมดสภาพแล้วคุณชายตระกูลผู้ดี นรินทร์เดินตรงปี่เข้าไปกระชากหัวนางเอกจอมปลอมที่แอบมานอนกกกับแฟนชาวบ้าน สองมืออาละวาดตบตี
ลากผู้หญิงใจสกปรกคนนี้ลงมาจากเตียงนอนที่ควรจะมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถนอนได้

ไม่สนแล้วว่าตอนนี้สภาพมันจะเปลือยเปล่าจนเห็นอะไรต่อมิอะไร ในเมื่อคิดจะเล่นกับคุณชายนรินทร์ แกก็ต้องเจอแบบนี้

อีฝั่งที่เริ่มจะรู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงร้องโหยหวนเหมือนคนร้องขอชีวิตก็ไม่ปาน
ลืมตาขึ้นมาจากความงัวเงีย ไม่วายส่งเสียงรำคาญที่ถูกปลุกขึ้นมาทั้งที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเพราะใช้พลังงานไปไม่น้อย

แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นภาพที่นรินทร์จิกหัวนางเอกที่เขาพามาสนุกด้วยหลังจากปาร์ตี้ปิดกองถ่ายจบลง นางเอกสาวตอนนี้ใบหน้ามีแต่รอยแดง
น้ำตานองหน้าพนมมือสองข้างขอร้องใหชีวิตกันทั้งที่ร่างกายไร้เสื้อผ้าอาภารณ์ นอนร้องไห้กราบลงบนเท้าเพื่อขอไม่ให้อีกคนเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร

ไม่เช่นนั้นอนาคตของเธอที่กำลังไปได้สวย ต้องจบลงแน่นอน ซึ่งเธอรู้ดีว่าคนอย่างคุณชายนรินทร์ทได้ทุกอย่าง
พานหันไปมองคนที่ยังนั่งตะลึงค้างอยู่บนเตียง สายตาเต็มไปด้วยความกลัวเหมือนคนขี้ขลาดตาขาว ไม่คิดจะช่วยเหลือกันเลยสักนิด

ทีตอนพามาล่ะก็บอกเธอไว้อย่างดิบดีว่าแค่สนุกไม่ผูกมัด คืนเดียวเท่านั้น คุณชายนรินทร์ไม่มีทางจับได้หรอกเพราะเขาเองก็ทำแบบนี้มาหลายทีเดียว

แล้วนี่มันคืออะไร
“พี่แทน ฮึก…ช่วยแพรด้วย!”

ยิ่งได้ยินเสียงผู้หญิงหน้าด้านเรียกชื่อแฟนของเขา สายตาก็หันไปสบกับอีกคนบนเตียง จ้องอย่างเอาเป็นเอาตายจนแทนถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

รินหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้น ปาลงระเบียงไม่เหลือสักตัว

“ชอบเปลือยให้คนอื่นเห็นดีนัก ก็กลับบ้านสภาพนี้แล้วกัน”
“คุณริน ฮือ ไม่เอาค่ะ แพรขอโทษ แพรไม่ได้ตั้งใจ แพรไหว้แล้ว อย่าทำอย่างนี้กับแพรเลย”

“รินครับ…”

“พี่แทนไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เพราะรินไม่ฟังคำแก้ตัวจากคนสารเลว คนนึงก็อยากได้ของคนอื่น อีกคนก็เอาไม่เลือก”

พูดจบก็กระชากแขนนางเอกสาว ฉุดกระชากลากดึงพร้อมเปิดประตูคอนโด-
ผลักดาราสาวออกนอกห้อง ปิดประตูลงใส่หน้าทันที ไม่สนว่าจะมีเสียงเคาะดังสนั่นและเสียงโวยวายตามมา

“ทีนอนเปลือยให้แฟนฉันเอายังไม่รู้จักอาย ก็กลับทั้งที่เปลือยอย่างนั้นนั่นแหละ!”

พูดจบก็เดินเข้าไปยังห้องนอนอีกครั้ง น้ำตานองหน้าเมื่อเห็นคนที่นอนบนเตียงก็มีสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างกัน
“ไอ้ชั่ว แกทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง ทั้งที่ฉันรักและทุ่มเทใจให้แก…ฮึก แต่แกก็ทำร้ายฉัน”

“พี่ขอโทษ รินฟังพี่ก่อนนะ เมื่อคืนพี่เมามากก็เลยไม่มีสติ แล้วแพร ใช่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนยั่วพี่เอ--”

“หยุดโกหกสักที!” รินหยิบหมอนที่กระจุยกระจายบนพื้นขึ้นมาปาใส่อีกคนไม่ยั้งมือ
พร้อมกับหัวใจที่แหลกสลายไม่มีชิ้นดี

“คนทรยศ นอกใจคนอื่นแล้วยังจะโกหกหน้าด้านๆ คิดว่าฉันไม่เห็นสร้อยบนคอของอีผู้หญิงคนนั้นหรือไง!”

ก่อนจะกระชากสร้อยบนคอตัวเองจนหลุดกระจายออกมา ปาใส่คนที่แม้แต่จะซื้อของให้กันยังไม่มีความจริงใจเลย
“สุดท้ายแกก็เหมือนคนอื่น ฮึก…เข้ามาทำดีกับฉัน บอกรักฉันก็เพราะผลประโยชน์ ทุกคนก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น!”

“รินฟังพี่ก่อน”

“ไม่ฟัง! ฉันไม่ฟังคำแก้ตัวที่ไม่เคยมีความจริงอยู่ในนั้นของแกอีกแล้ว จากนี้ไปเราเลิกกัน”

“ริน ไม่นะ พี่ไม่เลิก ไม่ยอมเด็ดขาด!”
ทันทีที่ได้ยินคำว่าเลิก ดาราหนุ่มก็รีบลุกออกจากเตียง กอดรั้งอีกคนที่กำลังวิ่งออกจากห้อง ฉุดกระชากเหนี่ยวรั้งไม่ให้อีกคนไป

“พี่รักรินจริงๆ มันก็แค่ความผิดพลาด รินให้อภัยพี่นะ แค่ครั้งเดียว พี่สัญญาว่าจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้อีก ไม่เอา รินอย่าทำแบบนี้ พี่ขอโทษ พี่ผิดไป--”

เพี๊ยะ!
“ทุเรศ พูดออกมาได้ไงว่ามันเป็นแค่ความผิดพลาด ถ้าแกไม่เปิดประตูพามันเข้ามา มันจะนอนแก้ผ้าให้แกดูได้ยังไง แกตั้งใจเพราะคิดว่าฉันคงจับไม่ได้ต่างหาก ไอ้ชาติชั่ว!”

ความแสบบนใบหน้ากระทบลงบนแก้มเพื่อให้อีกคนรู้สึกตัวสักที-
ว่าสิ่งที่ตัวเองทำผิดไป ต่อให้พูดว่าขอโทษเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง ก็ไม่มีวันกู้ความรู้สึกเดิมกลับมาได้

“คิดว่าพูดแค่ขอโทษแล้วมันจะหายเหรอ เตียงที่ฉันเคยนอน ทุกบริเวณของห้องที่ฉันเคยสัมผัสกลับมีผู้หญิงคนไหนก็ไม่รู้มาแตะมาต้อง กี่รายแล้วที่ทำแบบนี้-
กี่รายแล้วที่ทำแบบนี้ กี่คนแล้วที่แกเอาใครก็ไม่รู้มาเหยียบย่ำหัวใจของฉันซ้ำๆ พูดมาได้ว่าขอให้ฉันให้อภัย คนนะไม่ใช่ควาย ถึงฉันจะรักแก แต่ฉันจะไม่มีวันโง่ให้แกสวมเขาอีกต่อไปแล้ว!”

พูดไปก็กระชากตัวอีกคนระบายโทสะที่มีในจิตใจ สะอึกสะอื้นร้องไห้แทบขาดใจ
หมดสภาพคุณชายที่ใครๆ ต่างอิจฉาในชีวิตรักของคนทั้งคู่

ยิ่งเมื่อเห็นสภาพช่อดอกกุหลาบที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ใจของนรินทร์ก็ยิ่งปวดร้าว เขาหยิบช่อดอกไม้นั้นที่กลีบหลุดร่วงไปเกือบหมดแล้ว ขึ้นมาปาใส่คนตรงหน้า

“แค่นี้มันยังไม่พอหรอก” พร้อมกับหยิบก้อนเค้กขึ้นมาปาใส่หน้าอดีตคนรักเต็มๆ
ถึงแม้ว่าที่สิ่งที่แทนโดนจะไม่ถึงครึ่งที่เขาเจ็บเลยก็ตาม

“จบกันสักที เจ็ดปีของเรา นับแต่นี้ต่อไปเราเลิกกัน อย่ามายุ่งกับฉันอีก ถ้าแกยังไม่หยุด ข่าวของแกกับอีนังแพรนั่นได้หลุดว่อนบนเน็ตแน่”

ปัง!

เสียงปิดประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงของคนในห้องที่ตะโกนเรียกชื่อกัน
นรินทร์มองหญิงสาวที่นั่งกอดเข่าร้องไห้ หวาดระแวงเหมือนคนบ้า กลัวว่าใครจะเห็นเธอในสภาพเปลือยแล้วจำได้ว่าเธอคือใคร

ตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่าใครเปิดประตูออกมา

หางตาของนรินทร์จ้องมองอีกคนด้วยความขยะแขยงปนเจ็บปวดกับสิ่งที่พวกมันสองคนทำไว้กับเขา
ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาถ่ายภาพอีกคนไว้

“คุณรินคะ แพรผิดไปแล้ว อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ แพรขอร้อง” รินสะบัดขาที่มือสกปรกของอีกคนเกาะเกี่ยว ร่ำร้องขอโอกาสให้ตัวเองมีที่ยืนในสังคมอีกครั้ง

“อย่ามายุ่งกับฉันอีก แต่นี้ต่อไปจะไปเอากันท่าไหนก็เชิญ แต่ระวังไว้หน่อยละกันนะ-
ถ้าแกยังหน้าด้านทำตัวอย่างนี้ต่อก็ล่ะก็ ฉันไม่รับประกันว่าวันดีคืนดีรูปเปลือยของแกตอนนี้อาจจะว่อนไปทั่วโซเชียล”

พูดจบก็รีบวิ่งออกไปทั้งน้ำตา เคลื่อนรถออกจากคอนโดอย่างรวดเร็ว แม้ดูเหมือนเข้มแข็งที่เผชิญเรื่องราวคนเดียวแล้วสองขายังสามารถก้าวเดินออกจากห้องนั้นมาได้ประหนึ่งผู้ชนะ
ทั้งที่จริงแล้วเรี่ยวแรงแทบไม่มีเหลือ

แท้จริงแล้ว นรินทร์ตอนนี้อ่อนแอเหลือเกิน เขาก็เป็นแค่ผู้แพ้คนหนึ่งที่ถูกคนเลวสองคนกระทืบหัวใจจนพังแหลกสลาย

หมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่รินก่อร่างสร้างมันขึ้นมาเพราะคิดว่าความรักครั้งนี้เป็นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
เป็นรักจริงที่สามารถแทนความรักของครอบครัวที่ขาดหายไปตลอดสิบปีได้

แต่ไม่ใช่เลย สุดท้ายทุกคนก็ทำแบบเดียวกัน

ทำร้ายเขาซ้ำๆ เหมือนเขาเป็นคนไม่มีหัวใจ ไม่มีความหมายสำหรับใครสักคนเลย

“ฮึก…ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย”

ทำไมถึงไม่มีใครรักรินจริงสักคน
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ เตียงไซส์คิงส์ที่จัดวางอยู่กลางห้องยามนี้ถูกร่างโปร่งครอบครองจนแทบไม่ลุกไปทำอะไรแม้แต่ทานข้าวหรือขยับตัวเดินออกไปข้างนอก

สองอาทิตย์แล้วที่คุณชายนรินทร์นอนซมเหมือนคนป่วยไข้ หากไม่ใช่ไข้หวัดปกติทั่วไป

แต่เป็นไข้ที่ได้จากพิษรักต่างหาก
แทนเป็นคนแรกที่นรินทร์คิดจริงจังด้วย และสุดท้ายก็เป็นคนที่ทำให้เขารู้จักคำว่าโดนสวมเขาเป็นครั้งแรก

สุดท้ายคนเราก็เหมือนกันหมด การรักคนๆ เดียวตลอดชีวิตมันยากนักหรือไง ทำไมถึงต้องไขว่คว้าหาคนอื่นทั้งที่ตัวเขาเป็นถึงคุณชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะฐานะเงินทอง การศึกษา-
และชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่ไม่ได้มีกันง่ายๆ

แทนก็เหมือนกับคุณพ่อ ทั้งที่มีของดีอยู่กับตัว แต่กลับลดตัวลงไปคว้ากรวดดินทรายเพราะคิดว่ามันคงเป็นเพชรได้สักวัน

สุดท้ายกรวดก็คือกรวด ต่อให้ขัดเกลามันเท่าไร สุดท้ายมันก็ไม่มีทางมีค่าเท่ากับเพชรน้ำดีได้
หลังจากนรินทร์ขับรถออกจากคอนโดเฮงซวยนั่นก็โทรศัพท์เรียกเพื่อนสนิททั้งที่ยังไม่สามารถหยุดเสียงสะอื้นของตัวเองได้ สุดท้ายคืนนั้นเขาตัดสินใจนอนค้างคอนโดของจิลแทน เพราะคิดว่าตัวเองคงกลับไปที่บ้านไม่ไหว

การที่ได้เห็นหน้าพ่อแม่ มันตอกย้ำถึงภาพชีวิตครอบครัวที่แตกร้าวไปเมื่อสิบปีก่อน
ทุกคนในบ้านอยู่กันเหมือนตัวละครที่พยายามเล่นบทบาทสมมติถึงครอบครัวอันสมบูรณ์

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าความรักของพ่อกับแม่มันจบลงไปตั้งนานแล้ว ครอบครัวของเขาไม่มีอะไรสมบูรณ์เลยสักนิด ทุกคนต่างเห็นแก่ตัวเพื่อที่จะให้ตัวเองได้ใช้ชีวิตต่อไป

โดยเฉพาะเขา
ที่เหนี่ยวรั้งพ่อกับแม่ให้อยู่กับตัว แม้ในใจรู้อยู่ตลอดว่าหากเขาวางอคติลงสักนิด ท่านทั้งสองจะเป็นอิสระ ได้ใช้ชีวิตที่ตัวเองปรารถนาอย่างสงบสุข

แต่ก็ทำไม่ได้ นรินทร์ทำไม่ได้เลย

ใช่ ทุกคนจะมีความสุข เหลือแต่เขาที่ไม่สามารถก้าวผ่านความทรมานเหล่านั้นได้เลย
การหลอกตัวเองไปวันๆ ทำให้นรินทร์รู้ซึ้งแล้วว่าหากความจริงมันกลับมาตอกย้ำเราเมื่อไร ตัวเขาก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่ร้องไห้ต่อหน้าพี่แทน เป็นผู้แพ้ที่โดนความรักทำร้ายอยู่เรื่อยไป

นรินทร์เกลียดความรัก

และจะไม่ขอมีมันอีกแล้วต่อจากนี้
คืนที่สองหลังจากเผชิญความเจ็บปวดที่ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา ภาพเลวร้ายเหล่านั้นก็คอยตามหลอกหลอนฉายซ้ำอยู่ในหัวสมองราวกับภาพยนตร์ม้วนเดิมที่เปิดวนไปเรื่อยๆ หากในหัวสมองเขามีปุ่มหยุดหรือปุ่มลบความทรงจำออกก็คงดี

จะได้ไม่ต้องเก็บความทรงจำร้ายๆ ให้กลับมาทิ่มแทงหัวใจในภายหลังได้อีก
ร่างโปร่งหวังว่าการออกไปสังสรรค์ข้างนอกอาจช่วยให้วันคืนแห่งความปวดร้าวนั้นบรรเทาลงไปได้บ้าง แต่ละคืนของเขาไม่สามารถหลับตาลงนอนได้ แค่หลับตาลงน้ำตาก็พร้อมจะไหลออกมาได้เสมอ

ไหนๆ ก็นอนไม่ได้แล้ว ก็ไม่ต้องนอนมันเลยแล้วกัน
นรินทร์หลงระเริงไปกับความมึนเมา แก้วแล้วแก้วเล่าที่ถูกส่งตรงมาที่เขา จากใครต่อใครที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จัก ทำตัวที่คนอื่นต่างเรียกว่าใจง่าย โดนมอมโดนพาไปไหนต่อไหน

แต่สุดท้ายยามที่แผ่นหลังของตัวเองสัมผัสลงบนเตียงพร้อมคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้กระทั้งชื่อคร่อมอยู่ด้านบน-
ภาพเหตุการณ์เลวร้ายของคนสองคนที่นอนเปลือยกอดกันอยู่บนเตียงนั้นก็สะท้อนกลับมาให้เห็นอีกครั้ง

ทำไม่ได้ เขาทำอย่างที่สองคนนั้นทำกับเขาไม่ได้

ไม่สามารถนอนร่วมเตียงกับคนที่ไม่รักได้เลย

พี่แทนทำกับเขาอย่างนี้ได้ยังไงกัน ยังมีความรู้สึกกันบ้างไหม
สุดท้ายนรินทร์ก็ลุกขึ้นหนีออกจากสถานที่นั้น กลับมานอนซมอยู่บนเตียงในบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวตัวเองเช่นเคย และเป็นอย่างนี้มาร่วมสองอาทิตย์แล้ว

ขดตัวอยู่บนเตียงนอน ข้าวปลาแทบไม่ลงท้อง ร้องไห้จนขอบตาบวมแดง ไม่มีเรี่ยวแรงพยุงตัวเองด้วยซ้ำ
คุณหญิงเนตรกับคุณชายกรไม่เห็นหน้าลูกชายตัวเองนานแล้วแม้จะอยู่ในบ้านเดียวกันก็ตามที นรินทร์ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา กระทั่งอาหารแต่ละมื้อก็ถูกวางไว้แค่หน้าห้อง

บางวันก็ทานหมด บางวันก็ไม่ทานเลยแม้แต่น้ำเปล่า

“ฉันไม่ทนแล้ว ลูกเราจะร้องไห้เสียใจ ขดตัวอยู่แต่ในห้องอย่างเดียวไม่ได้-
เป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง!”

คุณชายกรทำสีหน้าถมึงทึง เริ่มรับไม่ได้กับการที่ลูกชายคนเดียวของบ้านขังตัวเองไว้ในห้องไม่พบเจอผู้คน

ในขณะเดียวกันข่าวเลิกรากับดาราหนุ่มก็ลงถี่จนไอ้พระเอกนั่นมีแอร์ไทม์ในการแถลงข่าวต่อหน้าสื่อสิบสำนัก

แต่ลูกเขากลับไม่มีพื้นที่ในการพูดความจริงอะไรเลย
มันเริ่มจากการที่มีคนเห็นคุณชายนรินทร์วิ่งร้องไห้ลงมาจากคอนโดแฟนหนุ่ม จากนั้นก็มีการโพสข้อความนั้นลงโซเชียลจนกลายเป็นประเด็นว่าอาจเลิกรากัน เพราะหลายห้องในคอนโดนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันออกมาจากห้องของพระเอกดัง

แต่ไม่มีใครกล้าโผล่หน้าออกมาดูเหตุการณ์เพราะไม่อยากมีปัญหา
หลังจากนั้นข่าวก็ถูกแพร่กระจายออกไปกับการตั้งคำถามว่ารักร้าวครั้งนี้อาจมีมือที่สาม แล้วฝ่ายไหนล่ะที่เป็นคนเริ่มก่อน

หากนรินทร์ออกมาพูดความจริงก็คงดี ส่วนนางเอกสาวคนนั้นก็หายเงียบ ว่ากันว่าหลังจากปิดกองละครที่เล่นร่วมกับแทน ก็บินไปต่างประเทศแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ไม่ให้สัมภาษณ์สื่อไหนทั้งสิ้น โดยผู้จัดการแจ้งแค่เพียงว่าน้องแพรทำงานมาหลายปีไม่มีพัก เลยอยากจะขอใช้เวลากับตัวเองสักระยะก่อนที่จะมีงานละครเรื่องใหม่ปลายปีนี้

“คุณว่าลูกเราจะได้ดูสัมภาษณ์นั้นรึยังคะ”

คุณหญิงเนตรเอ่ยถามขึ้น แววตาสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
เธอติดตามข่าวที่เกี่ยวกับลูกชายตลอด เธอรู้ดีว่าในวงการบันเทิงหรือแม้แต่ในวงการไฮโซก็ตาม

ชื่อเสียงของนรินทร์ไม่ค่อยสู้ดีนักด้วยพฤติกรรมที่คนทั้งหลายต่างส่ายหน้าระอาให้กับความไม่มีมารยาท ปากร้าย เหวี่ยงคนอื่นไปทั่ว ชอบดูถูกคนอื่น และอีกมากมาย
ซ้ำร้ายสัมภาษณ์ที่ดาราหนุ่มใส่ไข่ว่าพวกเขาสองคนไม่ได้เลิกกัน เพียงแต่ทะเลาะกันตามประสาคู่รักเท่านั้น มันก็ไม่บ้างที่จะไม่เข้าใจ คุณชายนรินทร์แค่งอนที่เขาไม่ค่อยมีเวลาให้เท่านั้น และเขากำลังง้อเจ้าตัวอยู่

ก่อนจะย้ำให้พี่ๆ นักข่าวสบายใจว่าไม่มีประเด็นมือที่สามสี่ห้าแน่นอน
ข่าวนี้มีแต่คนสมน้ำหน้าคุณชายไฮโซมากกว่าสงสาร

บางคนไม่เชื่อว่าทั้งคู่ยังคบกันอยู่ บ้างก็คอมเม้นต์ด่าว่าสมควรถ้าทั้งคู่เลิกกันจริง ดาราชายช่างน่าสงสาร ทำไมถึงไม่เลิกกับไฮโซคนนี้ไปสักที ถ้าวันไหนคุณรินอะไรนี่ถูกบอกเลิกจะสมน้ำหน้าให้เพราะดูทรงแล้วก็คงทำตัวเองชัดๆ
งี่เง่าขนาดนี้พระเอกจะเบื่อกับพฤติกรรมฉาวๆ ของอีตาคุณชายก็ไม่แปลก

ไม่ว่าใครจะนอกใจใครก่อน หรือจะเลิกกันเพราะอะไร

ลูกของเธอก็เป็นฝ่ายโดนด่าอยู่ดี

“ก็เพราะสัมภาษณ์บ้านั่นไง รินถึงได้เป็นแบบนี้ จะจัดการอะไรก็ไม่ได้ เรื่องความรักของเด็ก ผู้ใหญ่อย่างเราเข้าไปแทรกก็น่าเกลียด-
คนจะยิ่งมองลูกเราแย่ลงไปอีก” คุณชายกรถอนหายใจคราวที่ร้อยแปด และคราวนี้เขาจะไม่ยอมให้ลูกชายตัวเองนอนซมด้วยพิษรักบ้าบอนั่นอีกแล้ว

เตือนแล้วไม่ฟังว่าอย่าไปทุ่มเทใจให้ไอ้พระเอกปลิ้นปล้อนนั่น แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้วว่าหมอนั่นเจ้าชู้เกินบรรยาย
คนแก่อย่างเขาน่ะดูออกตั้งแต่แรกว่าผู้ชายคนนั้นเข้าหานรินทร์เพราะอะไร แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจนได้

อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงจะเจ็บไปสักหน่อย แต่ลูกเขาจะได้รู้ความจริงเสียทีว่าคนประเภทนั้นเอามาอยู่ในชีวิตก็มีแต่จะทำให้ตัวเองย่ำแย่ลง

ถึงจะเสียเวลาไปตั้งเจ็ดปีก็เถอะ
“ฉันจะขึ้นไปลากตัวลูกลงมา”

“แต่คุณคะ ฉันกลัวว่าลูกจะโวยวายบ้านแตก คราวนี้ถ้ารินหนีออกจากบ้าน--”

“หรือเธอจะยอมเห็นลูกนอนไร้ลมหายใจอยู่บนเตียงก่อนถึงจะคิดได้ ข้าวก็ไม่แตะ อยู่ไปได้ยังไง ฉันไม่ยอมให้ลูกเราทำตัวแบบนี้อีกแล้ว เธอกับฉันตามใจรินเกินไป ดูสิ ตอนนี้ลูกเราเป็นไงบ้าง"
คุณชายกรระบายอารมณ์อย่างเหลือทน

"คิดว่าตัวเองเป็นศุนย์กลางจักรวาลหรือยังไง การงานทุกวันนี้ก็ไม่ทำ เอาแต่ตามติดไอ้ดาราอะไรนั่น แล้วเป็นไง สุดท้ายก็มานอนซมอยู่อย่างนี้ ทำคนอื่นเขาเดือดร้อนกันไปหมด คนอย่างรินต้องโดนดัดนิสัยเสียบ้าง-
เพื่อนอุตส่าห์มาเยี่ยมก็ไม่ยอมเปิดประตู เสียใจน่ะไม่ว่า แต่ต้องอยู่บนโลกความจริง ลูกเราต้องได้รับการสั่งสอน หากเธอและฉันสอนไม่ได้ก็ต้องให้คนอื่นสอน ถ้าเธอไม่อยากเห็นลูกเธอแย่ลงไปกว่านี้ก็ต้องให้ฉันเป็นคนจัดการ อย่ามาขัดฉัน เพราะฉันจะไม่ปราณีลูกอีกแล้วไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งนั้น!”
“แต่ว่า--”

“ไม่มีแต่ อยู่ที่นี่ไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่ ฉันจะเอารินไปอยู่ไร่ ส่งไปอยู่กับเขตน์มันนั่นแหละ เกลียดขี้หน้ากันดีนักก็โดนดัดนิสัยหน่อยเป็นไร อยู่ไม่ได้ก็ต้องทนอยู่ให้ได้ เพราะฉันจะไม่ยอมอีกแล้ว”

“ไม่ได้นะคะ ลูกเราจะไปอยู่กลางป่ากลางเขาแบบนั้นได้ยังไง แถมยังต้องอยู่กับ…”
ไม่อยากพูดถึงชื่อเด็กคนนั้นที่มีปมอดีตด้วยกันมาแม้จะปลงได้แล้วก็ตาม ทว่าไม่ทันเสียแล้ว คุณชายกรสาวเท้ารีบเดินขึ้นไปยังห้องนอนของลูกชายคนเดียวของบ้านโดยไม่ฟังคำค้านจากอดีตภรรยา

“ส่งกุญแจมาให้ฉัน” คุณชายกรกล่าวก่อนรับกุญแจดอกใหญ่จากแม่บ้านพร้อมกับไขมันอย่างรวดเร็ว
เมื่อเปิดเข้าไปก็พบกับสภาพของลูกชายที่ยังสวมชุดนอนของวันที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับร่างไร้วิญญาณ ดีที่ยังได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกของลูกจึงค่อยเบาใจลง

แต่ยิ่งมองก็ยิ่งโมโห รับไม่ได้ที่ลูกซึ่งเป็นดั่งดวงใจของเขา ยามนี้ขอบตาแดงก่ำไม่พอ ใต้ตายังคล้ำหมองเหมือนคนอดนอน
ข้างเตียงมีไวน์สองสามขวดที่แอบซื้อมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ กลิ้งหกกระจัดกระจายส่งกลิ่นตลบอบอวลไปหมด

ให้ตายเถอะ ลูกชายเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาเดินเข้ามาในห้อง

สายตาจ้องมองเพดานห้องอยู่อย่างนั้นเหมือนคนบ้า และคิดว่าหากอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ยอมลุกออกจากเตียงนี้สักที

คงได้บ้าจริง
“ริน นรินทร์!”

คุณชายกรเขย่าตัวลูกชายที่นอนลืมตามองเพดาน หางตาชุ่มไปด้วยน้ำตา ซ้ำขอบริมฝีปากและชุดนอนที่คาดว่าไม่ได้เปลี่ยนมาหลายวันแล้ว เกรอะกรังไปด้วยคราบไวน์แดงที่กระดกดื่มเผื่อว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะช่วยเยียวยาจิตใจได้บ้าง
แม้แต่ตอนที่ผู้เป็นบิดาเขย่าตัวอย่างแรงยังไม่รู้สึกตัวเลย

คนเป็นแม่ที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่หน้าห้อง สะอึกสะอื้นน้ำตาอาบท่วมสองแก้มเมื่อเห็นสภาพลูกที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจทำร้ายตัวเองเช่นนี้ สองเท้าที่ไร้เรี่ยวแรงเดินเข้ามาใกล้เตียงนอน ก้มลงกอดหอมลูกทั้งน้ำตาด้วยความสงสาร
อะไรกันที่ทำให้ลูกเธอเป็นเช่นนี้

คราแรกเธอโทษดาราชายคนนั้นที่ตั้งใจเข้ามาหลอกลวง เล่นกับหัวใจของลูกเธอ

หากครานี้เธอกลับคิดว่าบางทีต้นตอของปัญหาอาจเป็นเพราะเธอและอดีตสามีที่เลี้ยงลูกมาแบบผิดๆ แทนที่จะช่วยกันอธิบายความจริงของปัญหา แต่กลับเลือกที่จะซุกมันใต้พรม
ประคบประหงมความรู้สึกลูกแบบผิดๆ

เพื่อให้ลูกได้สิ่งที่ต้องการ เธอยินดีทำให้ทั้งหมด

ยกเว้นพูดความจริง

ความจริงที่นรินทร์กลัวว่าหากได้รับรู้มันแล้ว อะไรต่อมิอะไรจะไม่เหมือนเดิม

และเธอกับคุณชายกรก็โง่งมที่เลือกปล่อยปัญหาให้วนเวียนคารังคาซังในใจของลูกถึงสิบปีโดยไม่ได้รับการแก้ไข
“รินลูก ฮึก…อย่าเป็นอย่างนี้ได้ไหม แม่ผิดไปแล้ว” คนเป็นแม่กอดลูกแน่นด้วยความรู้สึกผิดเอ่อล้นหัวใจ มอบความอบอุ่นที่ลูกอาจต้องการมันแม้จะรู้ดีว่าสายเกินไปแล้วก็ตาม

สายเกินกว่าจะเยียวยาอะไรได้ทัน

ก่อนสัมผัสอันอบอุ่นที่ตั้งใจมอบให้ลูกพลันหายไปในพริบตา
เมื่อคุณชายกรดึงแขนของเธอออกจากตัวลูก พยายามจับตัวนรินทร์ให้ลุกขึ้นมานั่งให้ได้แม้ร่างกายของลูกโอนเอนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงพยุงตัว

“อย่าทำแบบนี้ ลูกเจ็บ” คุณหญิงเนตรโอดครวญอย่างปวดใจ แต่ก็ไม่สามารถห้ามอะไรได้

“ริน รู้สึกตัวซะที พ่อกับแม่มาหาลูกแล้ว ลุกขึ้น”
ก่อนที่คนเป็นพ่อจะหมดความอดทน อุ้มลูกพาดบ่าลากเข้าไปในห้องน้ำ

“คุณ อย่าทำแบบนี้ ลูกเจ็บหมดแล้ว”

ไม่คิดจะฟังคำใครอีกต่อไปแล้ว เขาจะเอานรินทร์กลับมาเป็นผู้เป็นคนแบบคนอื่นเขาให้ได้ ลูกจะต้องไม่เป็นแบบนี้ แม้คนเป็นพ่ออย่างเขาจะต้องเจ็บปวดที่เห็นลูกร้องไห้ทรมานอีกหลายร้อยครั้งก็ตาม
นรินทร์ของเขาต้องได้รับการอบรมบ่มนิสัยเสียใหม่ ก่อนที่กาลเวลาจะพาเขาจากโลกใบนี้ไปเสียก่อนจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของลูก

ซ่า!

“แค่ก…แค่ก!” เสียงสำลักน้ำดังขึ้นท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายภายในห้องน้ำที่คนเป็นพ่อแบกลูกชายตัวเองลงอ่าง เปิดฝักบัวน้ำเย็นจ่อลงบนหน้าและหัวของลูกอย่างจงใจ
“จะตื่นได้รึยังริน จะรู้สึกตัวได้รึยัง!”

“ฮึก…ฮือ พอแล้ว อย่ามายุ่งกับริน ออกไป!!!”

นรินทร์ดิ้นโวยวายอยู่ในอ่างที่คนเป็นพ่อสาดน้ำทั่วตัวทั้งที่ยังอยู่ในชุดนอน สะอึกสะอื้นร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง มือเท้าสะบัดไปมาหันหน้าหนีน้ำจากฝักบัวทั้งที่น้ำตายังคงไหลไม่หยุด
“ตื่นขึ้นมายอมรับความจริงสักที รู้ไหมว่าทำตัวให้คนอื่นเขาเป็นห่วงแค่ไหน ดูสภาพตัวเองหน้ากระจกนี่ ดูสิว่ามันดูได้ไหม เสียใจพ่อไม่ว่า แต่ช่วยฟื้นขึ้นมาเป็นผู้เป็นคนหน่อย!”

คุณชายกรกระชากแขนลูกให้ลุกขึ้นมามองตัวเองหน้ากระจกที่สภาพหน้าตาไม่ต่างจากคนเสียสติ
ในขณะที่รินได้แต่สะบัดหน้าหนีกรีดร้องโวยวายลั่นห้องน้ำจนคนในบ้านต่างตกใจกันไปหมด

“ฮึก…คุณพ่อไม่เข้าใจริน ไม่เคยเข้าใจ!”

“ถ้าพ่อไม่เข้าใจจะตามใจลูกจนมาถึงขนาดนี้เหรอ คิดว่าพ่อไม่เจ็บไม่ปวดที่เห็นลูกตัวเองเป็นแบบนี้รึไง วันๆ เอาแต่นอนร้องไห้อยู่บนเตียง ไม่ออกไปพบเจอผู้คน-
งานการอะไรก็ไม่ทำ ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เหมือนคนไร้จุดหมาย คิดว่าเป็นคุณชายแล้วจะทำอะไรก็ได้ก็คิดเสียใหม่ได้แล้ว เพราะพ่อจะไม่ยอมรินอีกต่อไป”

“ก็ที่รินเป็นแบบนี้เพราะคุณพ่อนอกใจ คุณพ่อเป็นคนทำให้ครอบครัวเราลุกเป็นไฟ รินควรจะมียศมีตำแหน่ง ได้เป็นหม่อม ได้อยู่กับหม่อมปู่หม่อมย่า-
ที่มันเป็นอย่างนี้เพราะคุณพ่อเอานังนั่นเข้ามาในบ้าน ไปหากันถึงในห้องมัน ถ้ารินไม่เข้าไปเห็น ฮึก…ถ้าริน…ฮือ…”

ร่างโปร่งริมฝีปากสั่น กลืนก้อนสะอึกลงคอ แม้จะพยายามเค้นคำพูดออกมาเท่าไรก็ไม่สามารถทำมันได้อีกแล้ว ภาพความเจ็บปวดเหล่านั้นยังคงสะท้อนอยู่ในหัวสมองราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน
เด็กวัยสิบขวบที่เดินถือตุ๊กตาหมีอย่างอารมณ์ดี เดินตามหาพี่เขตน์ตรงเรือนแม่บ้านกลางดึกเพื่อหวังจะชวนมานอนเล่นด้วยกันที่ห้องนอนใหญ่ กลับได้เห็นภาพอย่างอื่นแทน

ภาพที่ผู้หญิงคนนั้นเปิดประตูให้พ่อของเขาเข้าไปในห้อง

และไม่ออกมาอีกเลยทั้งคืน
ร่างโปร่งร้องไห้เสียงดัง มือเรียวตีไปที่หัวไหล่พ่อตัวเองซ้ำๆ ระบายอารมณ์หน่วงในจิตใจที่มีทั้งหมด

“มันไม่ใช่แบบนั้น ลูกกำลังเข้าใจผิด ต้องให้พ่อบอกกี่ครั้งว่าที่พ่อเข้าไปหานิลคืนนั้น--”

“ไม่ต้องพูด รินไม่ฟัง ไม่อยากฟังอีกแล้ว! จากนี้ไปรินจะทำอะไรมันก็เรื่องของริน อย่ามายุ่ง!”
“ไม่ยุ่งไม่ได้ ยังไงรินก็ยังเป็นลูกของพ่อ จะให้พ่อนอนตายตาหลับได้ยังไงถ้าลูกยังเป็นแบบนี้”

“คุณคะ”

“เนตรเธอไม่ต้องมาห้ามฉัน ไปกับพ่อเดี๋ยวนี้ริน เราต้องไปด้วยกัน” คุณชายกรหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่ในห้องน้ำด้วยความเร่งรีบ ห่อตัวลูกชายที่ยังดื้อสะบัดเขาออกจากการเกาะกุม
ก่อนจะบังคับให้เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ฉุดกระชากลากดึงกันออกมาจากห้องนอนจนสุดท้ายก็โดนแบกขึ้นรถคันหรูทั้งที่นรินทร์ยังเตะขาไปมากลางอากาศ กรีดร้องโวยวายเหมือนคนบ้าคลั่ง

“คุณคะ จะพาลูกไปไหน ริน รินลูก!”

“คุณแม่ ฮึก ช่วยรินด้วย”
ปัง!

เสียงประตูรถเบาะหลังถูกปิดลงอย่างรวดเร็วหลังจากยัดตัวนรินทร์เข้าไป คุณชายกรนั่งประกบพร้อมล็อกประตูเรียบร้อย ลดกระจกลงครึ่งหนึ่ง เอ่ยประโยคสุดท้ายกับคุณหญิงเนตรที่น้ำตาไหลรินเป็นเสาย

“ถ้าเธออยากเห็นรินดีขึ้น เชื่อฉันสักครั้ง” ก่อนเสียงเครื่องยนต์จะเคลื่อนออกจากตัวบ้านไปช้าๆ
“คุณชายกรยังไม่เข้าบริษัทเลยค่ะคุณเขตน์”

เลขาของคุณชายเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยกันดีที่เคยมีเรื่องมีราวกับลูกเจ้าของบริษัทเมื่อสองปีก่อน ความจริงเขตน์ไม่ได้อยากเข้ามาหาคุณชายถึงในบริษัทหรอก เพียงแต่ว่าดูเหมือนคนงานใหม่ในไร่องุ่นของคุณชายจะมีปัญหาเรื่องค่าแรงที่ไม่ลงตัว
หัวหน้าคนงานก็ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรหุนหันพลันแล่นจึงมักจะเข้าปรึกษาเขาอยู่บ่อยครั้งเพราะเห็นว่าเขาดูจะเข้าถึงคุณชายกรได้ง่ายและเร็วมากที่สุด

เขตน์พยายามจะติดต่อท่านทางโทรศัพท์แต่คิดว่าเรื่องจริงจังเป็นงานเป็นการแบบนี้ เห็นทีการคุยกันทางโทรศัพท์ดูจะเสียมารยาทไปหน่อย
จึงขับรถลงมากรุงเทพฯ คนเดียว เพราะถ้าพาหัวหน้าคนงานในไร่ของคุณชายท่านมาด้วยคงไม่มีใครคอยอยู่คุมงาน

แอบเสี่ยงว่าวันนี้จะเจอแจ็คพอตไหม ใจเต้นระรัวหากบังเอิญเจออีกคนเข้าจะทำอย่างไร เขาไม่อยากพบเจอคนใจร้ายคนนั้นอีกแล้วแต่จะไม่มาก็ไม่ได้ในเมื่อคุณชายกรไม่รับสายกันเลยตั้งแต่เช้า
“เชิญนั่งตามสบายเลยนะคะ ช่วงนี้คุณรินเธอคงไม่มาป้วนเปี้ยนแถวนี้หรอกค่ะไม่ต้องห่วง เห็นคนเขาว่าอกหัก คราวนี้หนักเสียด้วย”

เขตน์ไม่ได้ติดตามข่าวอีกคนมาสองปีเต็ม เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ละทิ้งเรื่องราวที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวด อีกอย่างชีวิตในไร่กุหลาบก็ไม่ได้มีเวลาว่างสักเท่าไร
ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ ลุกขึ้นมาดูงานในไร่ เช็คความเรียบร้อย แวะคุยสร้างกำลังใจให้กับกลุ่มคนงานอยู่เรื่อยๆ คอยเฝ้าดูผลิตผลแต่ละไตรมาสที่ออกมาก็ไม่มีเวลาจะทำอะไรต่อแล้ว

แต่เมื่อได้ยินว่าคุณชายนรินทร์ครั้งนี้คงเลิกกับแฟนที่เป็นดาราดังจริงตามข่าวลือ มันทำให้เขาเผลอสะดุ้งออกมา
คุณรินจะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่วายเป็นห่วงถึงแม้อีกคนจะทำกันไว้เจ็บแสบ

ไม่ควรที่เก็บเรื่องคนคนนั้นมาใส่ใจ แต่ก็อดเป็นกังวลไม่ได้

คุณรินรักผู้ชายคนนั้นมาก ถ้าถึงกับเลิกกันแสดงว่าคงหนักหนาสาหัสเอาการ ป่านนี้คงร้องไห้โยเยเหมือนตอนน้องรินของพี่เขตน์ที่ร้องอยากกินลูกอมเมื่อสิบปีก่อนแน่ๆ
หรืออาจจะหนักกว่า

แล้วเขาจะคิดถึงอีกฝ่ายทำไมกัน ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามามีผลกับใจเขาอีกแล้ว

“ดิฉันไม่แน่ใจว่าคุณท่านจะมาเมื่อไรเลยค่ะ พยายามโทรแล้วท่านไม่รับสายเลย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” เขตน์ยิ้มขอบคุณเลขาหน้าห้องของคุณชายกร
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเต็มที่เขตน์นั่งรอเฉยๆ โดยไม่มีความหวัง

โชคดีที่วันนี้เขาไม่ได้รีบกลับเขาใหญ่เพราะเปิดโรงแรมเล็กๆ แถวนี้นอนหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าจะแวะเข้าไปเจรจาเรื่องออร์เดอร์ดอกกุหลาบที่โรงแรมติดต่อมาเสียหน่อยก่อนกลับ

“คุณเขตน์คะ คุณท่านขอสายคุณเขตน์ค่ะ”
คุณเลขาเดินมาหากันอีกครั้ง ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือของเธอให้กับเขา

“ครับคุณท่าน”

“มาหาฉันที่อำเภอด่วนเลย ฉันจะให้ลูกน้องขับรถมาส่ง” ยังไม่ทันที่จะได้ถาม ปลายสายก็วางหูอย่างเร่งรีบและเพียงเสี้ยวนาทีเดียวเท่านั้น ลูกน้องของคุณชายกรก็ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าเขา

“เชิญครับคุณเขตน์”
ไม่ทันได้ประมวลอะไรทันท่วงที สิบห้านาทีต่อมาร่างสูงก็เดินทางมาถึงหน้าอำเภอ พร้อมกับคนสองคนที่คุ้นเคยดี

คนหนึ่งกำลังยื้อลูกชายที่ดิ้นไม่หยุดแม้ว่าลูกน้องสองสามคนจะช่วยจับไว้แล้วก็ตาม ส่วนอีกคนก็เอะอะโวยวายโดยไม่สนใจว่าที่นี่เป็นสถานที่ราชการ

“ไม่ คุณพ่อบ้าไปแล้ว! ปล่อยริน!”
“รินฟังพ่อ สิ่งที่พ่อทำลงไปทุกอย่างเพราะพ่อเป็นห่วงลูก อยากให้ลูกเข้าใจ”

“ไม่ รินไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น คุณพ่อไม่มีสิทธิ์มาบังคับใจรินให้ทำอะไรตามใจคุณพ่อ!”

ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเหลือบไปเห็นบุคคลมาใหม่ กับใบหน้าคุ้นเคยที่ไม่เห็นกันสองปีเต็มๆ
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยทักทายหรือกลืนน้ำลายลงคอ ประโยคเดิมๆ ก็กลับมากระทบใจเขตน์อีกครั้งในรอบสองปี

“แกอีกแล้ว! ฉันว่าแล้วที่คุณพ่อเป็นแบบนี้เพราะเบื้องหลังมีแกคอยชี้นำอยู่นี่เองไอ้ลูกคนใช้ ทุกอย่างเป็นแผนของแกใช่ไหม แกหลอกล่อให้คุณพ่อตายใจถึงได้บังคับฉันแบบนี้”

“นี่มัน…อะไรกันครับ”
เขตน์ก้าวถอยหลังด้วยความหวาดระแวง สายตาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะมองอีกคนที่จ้องมาราวกับรังเกียจเดียดฉันท์กันเสียเต็มประดา

“อย่ามาโกหกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องหน่อยเลย ไม่งั้นแกจะโผล่มาที่นี่ได้ยังไง”

“ริน พ่อบอกให้หยุด!”
เป็นครั้งแรกที่เขตน์เห็นคุณชายกรฟิวส์ขาด ตะคอกใส่ลูกชายด้วยแววตาแข็งกร้าวพานให้น้ำตาหยดเล็กรินไหล

“คุณพ่อไม่เคยตะคอกใส่ริน ฮึก คุณพ่อเปลี่ยนไป คุณพ่อใจร้าย!”

“จะไม่มีพ่อที่ตามใจรินอีกแล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้รินต้องทำตามคำสั่งพ่อกับเขตน์เขาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นไม่ต้องกลับมาบ้าน-
บัตรเครดิตทุกใบ เงินทุกบาททุกสตางค์ กระเป๋ารองเท้า พ่อจะยึดไว้ทั้งหมด”

“คุณพ่อ!”

“ภายในหกเดือนถ้ากลับมาเป็นคนดีเหมือนคนอื่นเขาไม่ได้ก็อยู่ไร่นั้นกับเขตน์ต่อไปนั่นแหละ อยู่ไม่ได้ก็ต้องอยู่ และถ้ายังดื้อไม่เชื่อฟังก็อย่าหวังว่าจะได้กลับมากรุงเทพฯ เจอหน้าใครอีก-
เพราะพ่อไม่มีลูกนิสัยเสียแบบนี้!”

“ฮึก…”

แข้งขาของนรินทร์อ่อนแรงจนลูกน้องทั้งสองคนต้องออกแรงช่วยกันประคองขึ้นมาให้ทรงตัวได้ ร่างโปร่งร้องไห้แทบขาดใจ ไม่สนแล้วว่าคนภายนอกจะมองอย่างไร ยามนี้เขาเจ็บปวดเหลือเกินที่แม้กระทั่งคนในครอบครัวก็ทำกับเขาแบบนี้

ไม่เคยเข้าข้างกันเลย
ทั้งที่เขาเป็นสายเลือดแท้ๆ

แต่กลับไอ้เขตน์นั่น คุณพ่อกลับเอ็นดูมัน ดูแลเข้าข้างมันประหนึ่งลูกในไส้

เขตน์ที่ยืนมองดูเหตุการณ์อย่างที่ไม่รู้ว่าตัวเองมาที่แห่งนี้ทำไม เขาเหมือนเป็นส่วนเกินในเหตุการณ์ที่โดนดึงเข้ามามีส่วนร่วมแบบไม่ได้ตั้งใจ

และไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับภาพตรงหน้านี้ดี
“เอ่อ คุณท่าน--”

“หกเดือนเท่านั้น…”

“ครับ?” ก่อนเอกสารฉบับหนึ่งจะถูกยื่นออกมาตรงหน้าเขา ในนั้นมีลายเซ็นขยึกขยือที่ดูก็รู้ว่าอีกคนไม่ได้เต็มใจ แต่ถูกบังคับเหมือนมีคนจับมือเขียนลงไปอย่างไรอย่างนั้น พร้อมกับลายเซ็นของพยานที่เขาคุ้นตาดีว่าเป็นลายเซ็นของใคร

คุณชายกร
“ทะเบียนสมรสนี้มีอายุหกเดือน ฉันขอแค่หกเดือนเท่านั้นแล้วฉันจะจัดการหย่าให้ทันที เขตน์ช่วยให้รินกลับมาเป็นผู้เป็นคนทีได้ไหม ถือว่าฉันขอร้อง จะกราบกรานเลยก็ได้ ฉันยินดี”

มือหนาของคุณชายกรที่ถือเอกสารใบนั้นสั่นเทาไม่ต่างจากเสียงทุ้มที่สั่นเครือเบาๆ ในลำคอ
พยายามเข้มแข็งแล้ว แต่แสงไฟที่ตกกระทบลงบนเสี้ยวใบหน้าก็ทำให้เขตน์ได้เห็นน้ำใสๆ ที่คลอในดวงตาคู่นั้น

คุณชายกรกำลังร้องไห้

“ขอร้อง ช่วย…ช่วยรินที เขตน์เป็นความหวังเดียว”

“ผม…”

จะทำได้อย่างไร
การจดทะเบียนสมรสไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากคุณรินขึ้นชื่อว่าได้เป็นภรรยาเขาตามกฎหมายแล้ว แม้จะหย่ากันในภายหลังแต่ประวัติของอีกคนก็จะด่างพร้อยไปด้วย อีกทั้งการจดทะเบียนโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้เต็มใจ ดูก็รู้ต่อไปคงมีแต่ปัญหา

“ผมอยากให้คุณท่านคิดตริตรองให้ดีก่อน”
“ฉันคิดดีแล้ว และคิดว่าไม่มีใครทำหน้าที่นี้ได้ดีเท่านาย ฉันเองไม่มีที่พึ่งที่ไหนนายเป็นคนเดียวที่ฉันไว้ใจฝากชีวิตลูกของฉันให้ช่วยดูแลเขาต่อจากนี้ได้ ส่วนรินเองก็ไม่มีใคร ฉันกับเนตรไม่สามารถเปลี่ยนลูกตัวเองได้อีกแล้ว เราสองคนมาไกลเกินไป-
เขตน์ไม่สงสารน้อง ไม่อยากให้น้องกลับมาเป็นคนเดิมเหมือนเมื่อสิบปีก่อนเหรอ ได้โปรดเถอะ…”

“แต่ผมเป็นแค่ลูกคนใช้ ซ้ำยังเป็นคนที่คุณรินเกลียด คุณท่านก็รู้ว่าคุณรินเธอมีปมกับเรื่องของแม่ผมมาตลอด ผมเกรงว่าเรื่องมันจะบานปลายไปกันใหญ่”

“นายก็รู้ดีเขตน์ ว่าพ่อตัวเองเป็นใคร“
“ผมเป็นแค่คนธรรมดา…”

“หม่อมธนาเป็นเพื่อนรักฉัน มีพระคุณต่อฉัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันจึงได้ดูแลเลี้ยงดูนายแทนเขา และฉันยังรู้สึกผิดไม่หายที่ไม่สามารถรั้งชีวิตนิลให้อยู่กับเธอต่อได้ แต่ได้โปรด หากเธอคิดว่าบุญคุณและเวรกรรมที่เราทำด้วยกันมามันสามารถชดใช้ได้ในวันนี้...”
คุณชายกรกลืนก้อนสะอึกลงลำคออย่างยากลำบาก เช็ดน้ำตาที่ร่วงหล่นอย่างรวดเร็ว

ไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอนั้น โดยเฉพาะนรินทร์

“ได้โปรดช่วยดูแลเปลี่ยนรินให้กลับมาเป็นที่รักของทุกคนทีได้ไหม” พูดจบเอกสารก็ยื่นมาตรงหน้าอีกครั้ง พร้อมปากกาที่สั่นระริกจากฝ่ามือเหี่ยวแห้งของผู้เป็นเจ้าของ
“ไม่! รินไม่ยอม แกจะเซ็นไม่ได้นะ ห้ามเซ็น!”

เสียงตะโกนของคนด้านหลังเรียกสติกันอีกครั้ง เขตน์ที่กำลังจะเซ็น ชื่อตัวเองลงไปต้องหยุดชะงักปลายปากกาลง

เขาเผลอลืมนึกถึงความรู้สึกของคุณรินไป

ถ้าเขาเซ็นมัน เท่ากับว่าเขากำลังทำร้ายคุณรินทางอ้อม
คุณรินจะยอมทนอยู่กับคนที่ตัวเองรังเกียจได้หรือ แล้วเขาจะมีความสามารถอะไรที่จะไปเปลี่ยนใจคุณรินเธอได้

ไม่มีเลย ไม่มีอะไรที่เหมาะสมกับคุณริน

“ถ้าแกเซ็น แกจะต้องชดใช้ทุกอย่าง คืนทุกอย่างให้กับฉัน ไร่กุหลาบที่แกแอบไปทำงานให้พ่อฉัน แกก็ต้องคืนมันให้หมดแล้วออกจากไร่นั้นไปตัวเปล่า-
ทำได้ไหมล่ะ หึ! ในเมื่อทำไม่ได้ก็อย่าสะเออะเซ็น แผนของแกไม่วันสำเร…ไม่นะ! ไม่! อย่า!!”

สุดท้ายปลายปากกาที่ชะงักค้างเมื่อสักครู่ก็ตวัดลงไปบนกระดาษเมื่อได้ยินคำพูดดูถูกดูแคลนเหล่านั้น

เซ็นลงไปแล้ว

เขตน์ทำมันลงไปแล้ว เพราะคนยั่วโมโหท้าทายอารมณ์ด้วยคำพูดที่เหยียดหยามจิตใจกัน
และจะทำให้คุณรินได้รู้ว่าเขาน่ะ

จะไม่ยอมให้อีกคนเหยียบย่ำดูถูกหัวใจกันอีกต่อไป

จะให้สั่งสอนกันใช่ไหม ได้เลย

“ผมพร้อมจะคืนทุกอย่างให้คุณ คุณริน หากคุณทนอยู่กับผมภายในหกเดือนได้”

เพราะไร่กุหลาบที่เขาสร้างมันมาก็ทำเพื่อคุณรินตั้งแต่แรก จะแปลกอะไรถ้าจะคืนให้กับคนที่เขาอยากมอบให้
แล้วกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ก็เท่านั้น

“ขอบใจมากจริงๆ เขตน์ แต่นายไม่จำเป็นต้องเสียสละไร่นั้น เพียงแค่นี้ก็เพียงพอ”

“ให้ผมได้ทำตามสิ่งที่คิดไว้เถอะนะครับคุณท่าน ทุกอย่างที่ผมทำจะคิดว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณกันเป็นครั้งสุดท้าย”
เขตน์ยิ้มให้กับผู้อาวุโสที่เคารพรักดั่งเครือญาติ แววตาของคุณชายกรสั่นระริก มันทั้งเศร้าหมองและและในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงการรอคอยความหวังใหม่ที่จะได้ลูกคนเดิมกลับมา

ยกเว้นอีกคนที่ไม่เคยรู้สำนึกอะไรเลย ซ้ำร้ายยังไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด ในเมื่อต้นตอของปัญหามาจากคนรอบตัวพวกนี้ทั้งหมด
แล้วเขาผิดอะไร

“แก! ไอ้บ้าเขตน์ แกกับคุณพ่อรวมหัวกันกลั่นแกล้งฉัน ฉันไม่มีวันยอม ฮึก ไม่มีวัน!”

"ทะเบียนสมรสนี้มีอายุแค่หกเดือน ไปอยู่กับเขตน์ซะ เขตน์จะเป็นคนทำให้รินกลับมาเป็นลูกที่ดีของพ่อได้ ถึงเวลาโบกมือลากรุงเทพฯ แล้ว นรินทร์"
.
.
เขตน์กลับมาที่ห้องในโรงแรมที่ตัวเองจองไว้หนึ่งคืน กว่าความวุ่นวายทั้งหลายจะจบลงฟ้าก็แปรเปลี่ยนสี ดวงจันทร์เข้ามาทำหน้าที่แทนดวงตะวันเสียแล้ว

ร่างสูงทิ้งตัวลงนอนบนเตียงใหญ่ มือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากหลับตาทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่าย
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทว่าผลที่ได้กลับทำให้เขาถึงกับส่ายหน้าที่ไม่ยอมคิดให้ดีเสียก่อน เอาอารมณ์ ณ ตอนนั้นเป็นที่ตั้งจนทำให้ปมปัญหามันพันกันเข้าไปใหญ่

ไปรับปากพ่อของอีกคนเสียดิบดีว่าจะช่วยเปลี่ยนลูกเขาได้

ทั้งที่ไม่มีความมั่นใจแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองจะทำได้
คนอย่างเขาแค่ได้ยินน้ำเสียงของคุณรินก็อยากจะเดินหนีไปให้ไกล ไม่อยากเจ็บหรือรับรู้เรื่องราวอะไรอีกแล้ว

แต่นี่ต้องมาอยู่ใกล้ๆ เจอหน้ากันเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นเวลาหกเดือนเต็ม เขาจะแบกรับมันไหวไหม

“เฮ้อ” ร่างสูงถอนหายใจรอบที่ร้อยของวันนี้ อาหารยังไม่ตกถึงท้องเลยตั้งแต่เที่ยง
จะทานอะไรก็ทานไม่ลงเมื่อนึกถึงน้ำตา สีหน้า และคำพูดของคนที่แดกดันเขาอยู่เสมอว่าไม่อยากอยู่ร่วมโลกกับเขา

แค่หายใจร่วมกันยังไม่อยากจะทน

หลังจากเซ็นเอกสารนั้นเสร็จ เขตน์ก็เหม่อลอยราวกับคนไร้สติ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นรอบตัวเขาบ้าง ทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมด
รู้ตัวอีกทีก็เห็นภาพนรินทร์ถูกแบกขึ้นรถคันหรู ขับออกไปจากอำเภอโดยสองสามคนนั้นเป็นฝ่ายพาคุณชายของพวกเขากลับบ้าน

เหลือเพียงตัวเขากับคุณชายกรที่ยังยืนประจันหน้ากันอยู่อย่างนั้น

‘ดูแล้วเราคงมีเรื่องต้องพูดเกี่ยวกับรินกันอีกยาว’ หลังจากนั้นข้อตกลงมากมายที่คุณชายกรแจ้งรายละเอียด-
ทำให้เขตน์ถึงกับกุมขมับ ปวดหัวตุ้บใหญ่จนต้องควานหายามาทาน แล้วก็เผลอพรูลมหายใจแรงใส่ต่อหน้าผู้มีพระคุณอย่างเสียมารยาทหลายต่อหลายรอบ

‘มันหนักไปใช่ไหม ฉันรู้ว่าเป็นคนไม่ดีเลยที่ยกภาระให้กับนาย’

ผู้อาวุโสกว่าพูดขึ้นด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ทว่าไม่มีใครที่จะพึ่งพาได้อีกแล้ว
อีกอย่างเขาเชื่อว่าลึกๆ แล้วนรินทร์ไม่ใช่คนเลวร้าย หากได้ความอบอุ่นของเขตน์ช่วยละลายพฤติกรรมของลูกตนได้ เชื่อว่าไม่นานลูกเขาต้องกลับมาดีขึ้นแน่นอน

สำหรับคุณชายกร ระยะเวลาแค่หกเดือนนั้นน้อยไปด้วยซ้ำกับการคลี่ปมที่อยู่ในใจนรินทร์มาเป็นสิบปี
กระนั้นเขาคิดแค่เพียงว่าอย่างน้อยหกเดือนนี้อาจฉุดลูกเขาขึ้นมาจากเหวลึกได้ หากมันช่วยให้นรินทร์ฉุกคิดขึ้นมาสักเพียงเล็กน้อยว่าที่เป็นอยู่มันทำให้ตัวเองและคนรอบตัวเป็นทุกข์

แค่หกเดือนก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

หากแต่หกเดือนแล้วก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนใจลูกชายได้ เขาก็จะไม่ยืดเยื้อ
ให้เขตน์ต้องแบกรับทุกข์ของเขาต่อ เพราะความจริงเขตน์น่ะไม่จำเป็นต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

เขาจะยอมรับความจริงว่าไม่สามารถเปลี่ยนลูกได้ ที่เหลือก็แค่ทำใจยอมรับความเป็นไป

ว่าต่อให้ทำเท่าไร ทุ่มเทแค่ไหน นรินทร์ก็ไม่มีวันเปลี่ยน
‘ถ้าให้บอกตรงๆ ก็หนักพอควรครับ ไม่ใช่แค่ที่คุณรินเกลียดผม ข้อนั้นผมรู้ซึ้งดีตั้งแต่แรก แต่การที่เขาต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ ผมเกรงว่าเขาจะทนรับไม่ไหว ที่นั่นเราอยู่กันแบบพอมีพอกิน พึ่งพิงตัวเอง ไม่มีแม่บ้าน ไม่มีคนคอยดูแลตามเอาใจ แม้แต่ข้าวปลาอาหารก็ไม่ได้มีให้เลือกมากมาย’
‘นั่นแหละ ฉันถึงได้ตัดสินใจให้รินไป ที่นั่นมันจะบังคับให้รินต้องปรับตัว คนเราเมื่อหิวก็ต้องกิน ต่อให้เป็นอาหารตรงหน้าจะเป็นสิ่งที่เราไม่อยากทาน แต่ใช่ว่าคนเราจะสมหวังหรือมีโอกาสได้เลือกเสมอไป รินต้องรู้จักคุณค่าของทุกสิ่งอย่างที่หยิบจับใช้ หรือแม้แต่คุณค่าของคนไม่ว่าจะต่ำหรือสูง’
สิ่งที่คุณชายกรอธิบาย เขาพอเข้าใจว่ามันคืออะไร

นรินทร์เป็นพวกเบื่อง่าย ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทีเดียว เมื่อมีโอกาสเลือกมากกว่าคนอื่นๆ ก็ใช้โอกาสนั้นอย่างคนไม่รู้คุณค่า กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าบางชิ้นใช้ไม่กี่ครั้งก็วางทิ้งไว้ให้ฝุ่นเกาะ หรือบางครั้งก็ซื้อมาวางไว้เฉยๆ ไม่เคยใช้ด้วยซ้ำ
เหตุผลก็เพราะเบื่อเลยซื้อ เมื่อเห็นของใหม่ของเก่าก็กลายเป็นซากวัตถุโบราณที่ตั้งโชว์ประดับห้องไว้แบบนั้น จะขายต่อเจ้าตัวก็ไม่ยอม

กลายเป็นพวกบ้าวัตถุนิยมที่ไม่เคยมีประสบการณ์เรียนรู้ว่ากว่าจะได้เงินแต่ละบาทในการซื้อสินค้าเหล่านี้มันต้องใช้หยาดเหงื่อแรงกายและหัวสมองเท่าไร
‘รินต้องได้เรียนรู้งาน ฉันยินดีให้นายสั่งงานลูกฉันได้ตามสบาย’

‘งานในไร่เลยนะครับ มันไม่ได้สบายเหมือนงานในออฟฟิศ ตรงนั้นมีแต่คนงาน วันๆ ต้องเตรียมหน้าดิน ถางหญ้า กำจัดวัชพืช รดน้ำต้นไม้ แล้วไหนจะเรื่องขี้วัวขี้ควายอีก”

เขตน์ไม่ได้พูดเกินจริง การปลูกกุหลาบให้กลีบดอกสวยงดงาม-
แต่ละไร่ก็มีเทคนิคของตัวเอง และสำหรับไร่กุหลาบของเขตน์นั้น ขี้วัวขี้ควายจากฟาร์มวัวของฮิล เพื่อนสนิทที่ตอนนี้กำลังวุ่นกับร้านสเต็กเนื้อวัวพันธุ์ดีของตัวเอง ก็เป็นหนึ่งเคล็ดลับในการผสมปุ๋ยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กุหลาบผลิดอกออกผลอย่างสมบูรณ์แบบ

‘ตามสบายเลย ใช้งานลูกฉันได้เต็มที่-
ห้ามเกรงใจ ห้ามคิดว่ารินเป็นลูกของฉัน ตัดความคิดนั้นออกไปได้เลย ถ้านายจะให้เงินลูกฉันเท่ากับคนงานระดับล่างทั่วไปก็ย่อมได้’

หนักเลย อันนั้นยิ่งหนักไปใหญ่ คุณรินจะไปยอมลดตัวให้เท่ากับคนงานระดับล่างได้ยังไง แค่จินตนาการยังไม่สามารถเห็นภาพนั้นออกมาได้

“เฮ้อ”
สุดท้ายก็พลิกตัวนอนก่ายหน้าผากถอนหายใจยาวตามเคย รอบที่เท่าไรของวันแล้วนะ

นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาสี่ทุ่มตรง พร้อมกับกระเพาะอาหารที่ส่งเสียงร้องว่าเมื่อไรจะยัดอาหารเข้าปากเสียที เจ้าตัวถึงได้ฤกษ์ลุกขึ้นจากเตียงขึ้นมาเสียได้
มือหนาเอื้อมไปจับโทรศัพท์ของโรงแรมเพื่อจะสั่งรูมเซอร์วิสที่โชคดีหน่อยที่เปิดถึงห้าทุ่ม

หากแต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

“ครับคุณท่าน”

“เขตน์ กลับเขาใหญ่คืนนี้เลยได้ไหม”
อีกด้านหนึ่ง ลูกชายราชกูลสิบทิศเจ้าของไร่องุ่นชื่อดังของเขาใหญ่ หลังจากกลับมาบ้านก็เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่บนโซฟาที่มีคุณหญิงเนตรช่วยปลอบ ช่วยเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็นใส่กระเป๋าเดินทางให้ลูก

“ฮึก คุณพ่อไม่รักรินแล้ว คุณแม่ต้องช่วยรินนะ รินไม่อยากไป ไม่อยากไปอยู่กับไอ้บ้านั่น”
นรินทร์ใช้สองมือปาดน้ำตาไปมา ไม่ยอมหยิบจับเสื้อผ้าตรงหน้าเลยสักตัวพัดพ้อน้อยใจพ่อตัวเองอยู่อย่างนั้น

“ที่พ่อเขาทำทั้งหมดก็เพื่อริน”

“คุณแม่ก็เข้าข้างคุณพ่อเหรอ ทั้งที่คุณพ่อ--”

“คุณพ่อไม่ได้ทำอะไรเลยริน ไม่เคยทำ แม่เคยอธิบาย เคยพูดให้รินฟังแล้ว-
ที่คุณพ่อเข้าไปในห้องของนิลคืนนั้นก็เพราะเรื่องที่แม่โดนวางยาพิษ และคนที่ทำก็ไม่ใช่นิล แต่เป็นแผนของหม่อมปู่และหม่อมย่า”

“รินไม่เชื่อหรอก ทำไมทุกคนต้องใส่ร้ายหม่อมปู่หม่อมย่าของรินด้วย”

นรินทร์ไม่อยากยอมรับ แม้ว่าจะได้ยินเรื่องเก่าๆ พวกนี้เป็นพันหนตั้งแต่สิบปีก่อน
ความจริงที่แม่และพ่อของเขาหย่ากันเพราะหมดรัก ไม่ใช่เพราะมือที่สามหรือใครทั้งนั้น

มันยากจะยอมรับ เพราะครอบครัวเขาอบอุ่นมาตลอดและใครต่อใครต่างมองว่าเป็นครอบครัวสมบูรณ์แบบ

นรินทร์อายหากต้องถูกเพื่อนล้อว่าพ่อแม่เลิกกัน หรือกลายเป็นเด็กขาดความอบอุ่น หากคนใดคนหนึ่งออกจากบ้านหลังนี้ไป
เลยเลือกรั้งให้ทุกคนอยู่

ก็แค่เด็กโง่งมคนหนึ่ง แต่มันผิดด้วยหรือที่เด็กอย่างเขายังคาดหวังและฝันว่าสักวันพ่อกับแม่อาจกลับมารักกันเหมือนเดิมได้

นรินทร์จำวันที่ตัวเองผลักเด็กผู้หญิงที่อยู่ห้องเดียวกันตกจากเก้าอี้เรียนได้ วันนั้นเขาถูกฝ่ายปกครองเรียกพบผู้ปกครอง-
ใบหน้าของเด็กน้อยวัยสิบเอ็ดขวบที่เกรอะกรังไปด้วยคราบน้ำตาทว่าสายตาสะท้อนความแข็งกร้าว

กับคำพูดที่ไม่เคยอ้อมค้อมหรือยอมลงให้ใคร

‘ก็มันมาหาเรื่องรินก่อน มาล้อรินว่าพ่อแม่เลิกกัน รินไม่ยอม’

และก็ยังเป็นแบบนั้นจนถึงทุกวันนี้
ร่างโปร่งลุกขึ้นจากโซฟา เตะกองเสื้อผ้าที่แม่บ้านช่วยกันพับจนกระจัดจายตามพื้น ไม่ใส่ใจที่จะเหยียบย่ำเสื้อพวกนั้นด้วยฝ่าเท้าของตัวเอง

“ริน อย่าทำแบบนี้ลูก ไม่ดีเลยนะ แล้วนั่นจะไปไหน”

“รินจะไปข้างนอก ไปหาจิลกับฟาง ไม่อยากอยู่แล้ว บ้านหลังนี้มีแต่คนใจร้ายที่อยากไล่ริน-
แม้แต่แม่ก็ยังช่วยพับเสื้อผ้าพวกนี้เลย ให้รินคิดยังไง”

พูดจบก็กระแทกเท้าเดินออกไปสตาร์ทรถของตัวเอง ขับออกไปจากตัวบ้านโดยเร็วที่สุดก่อนที่พ่อของเขาจะกลับมา

ยังไงก็ตาม รินจะหนีไปให้ไกล ไม่ให้ตัวเองต้องกลับมาให้พ่อแม่ทำอะไรตามใจได้อีก
ทว่าคืนนี้ขอปล่อยตัวปล่อยใจ ระบายอารมณ์ที่หนักหนาสาหัสไปกับแสงสีและแอลกอฮอล์ก่อนแล้วกัน

ณ คลับใจกลางย่านดัง ร่างโปร่งยืนเต้นเคล้าคลอไปกับเสียงเพลงเบาๆ ที่มีเพื่อนอย่างจิลและฟางประกบซ้ายขวาด้วยความระแวดระวัง ความจริงแล้วพวกเขาไม่อยากพานรินทร์มาที่แบบนี้สักเท่าไร
เพราะจากที่เพื่อนตัวดีเล่าให้ฟัง เรื่องราวเมื่อตอนกลางวันก็ยังเคลียร์ไม่จบ

แล้วคนของคุณชายกรเยอะจะตาย ถ้ามาเห็นพวกเขาสามคนในสถานที่แบบนี้

ตายแน่

“ริน กูว่ากลับเหอะ พรุ่งนี้มึงต้องไปเขาใหญ่นะ” จิลเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตาคอยสอดส่องว่าจะมีลูกน้องของพ่อเพื่อนคนใดมากระชากพวกเขา-
ออกจากสถานที่แห่งนี้หรือเปล่า ถ้ามีคงได้เป็นเรื่องกันทั้งคืนชัวร์

“กูไม่กลับ อึก แล้วกูก็จะไม่ไปไร่บ้านั่นด้วย” ร่างโปร่งพูดไปสะอึกไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ มือหนึ่งถือแก้วเหล้า ยิ้มหัวเราะโยกไปกับเสียงเพลงโดยไม่สนใจคนรอบข้าง

“เอาไงดีวะฟาง กูล่ะเสียวพ่อมันมาเห็น เราได้ฉิบหายกันหมด”
“งั้นก็รีบลากมันออกไปตอนนี้เลยเป็นไง กูนับหนึ่งถึงสามแล้วกระชากแขนมันเลยนะ” ฟางกับจิลรวบแขนทั้งสองข้างของเพื่อนที่เริ่มมึนเมา เอ่ยปากนับเลขพร้อมกัน

หนึ่ง

สอง

สะ

“ริน นั่นรินใช่ไหม” กำลังจะกระชากเพื่อนออกจากร้านได้แล้วเชียว เสียงทุ้มที่คุ้นหูเป็นอย่างดีแต่ไม่อยากได้ยินมันเลย
โดยเฉพาะในเวลานี้

จังหวะนรกจริง

“มึง รีบลากมันไปเลย เร็วๆ” ฟางรีบพูดขึ้น พยายามลากเพื่อนหนีจากผู้ชายคนนั้น คนที่ย่ำยี่หัวใจกันเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน

ไอ้พี่แทน

“ริน อย่าเพิ่งไปครับ รอพี่ก่อน ปลดบล็อกพี่เถอะนะ พี่มีเรื่องจะคุยกับรินอีกเยอะเลย” เสียงนั้นตะโกนไล่หลังขึ้นมาเรื่อยๆ
จนในที่สุดเจ้าของเสียงก็ไล่ตามทัน วิ่งมาดักกันถึงด้านหน้า อ้าแขนหลีกกทางไม่ให้ไป

“จะพารินไปไหน พี่มีเรื่องจะคุยกับริน”

“ยังจะหน้าด้านขอคุยกับเพื่อนผมอีกเหรอครับ ทำอะไรกับเพื่อนผมไว้ขนาดนั้นยังไม่สำเหนียกตัวเองอีก” แทนกำสองมือตัวเองแน่น ทำท่าจะเข้ามาซัดเพื่อนของแฟนเก่าที่ปากดี-
ยุ่งเรื่องของคนอื่นอย่างจิล ก่อนจะยอมลดมือของตัวเองลงเมื่อเห็นนรินทร์ทำท่าจะสะบัดเพื่อนออก ขมวดคิ้วส่งเสียงโวยวายแกมรำคาญด้วยความมึนเมา

“อื้อ อย่ามายุ่ง ไม่กลับ”

“ถ้ารินไม่กลับ งั้นไปกับพี่นะครับ ไปคอนโดพี่กัน” แทนพูดแทรกขึ้น เขยิบเอาตัวมาขวางไม่ให้เพื่อนทั้งสองแบกแฟนตัวเองหนี
จนคนที่ร่างเซไปมาด้วยเครื่องดื่มมึนเมาจนใบหน้าเรียวเล็กแดงก่ำ หรี่ตามองบุคคลตรงหน้าที่คุ้นตาดีเหลือเกิน

ก่อนจะเอ่ยคำหนึ่งออกมา

“ไอ้ชั่ว..อึก…ตามมาหลอกหลอนอีกทำไมวะ!”

“ริน พี่ขอ—โอ้ย!” แทนกำลังจะเอื้อมมือมาดึงตัวคนตรงหน้าไปเคลียร์กันให้รู้เรื่อง แต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อมีเงาใหญ่
ของใครคนหนึ่งกับฝ่ามือใหญ่ที่คว้ามาจับแขนเขาบิดไปด้านหลังจนสุดแรงร้องโอดโอยไม่คิดชีวิต

และหลังจากนั้นก็ได้รู่ว่าเจ้าของฝ่ามือนี้เป็นใคร เมื่อเพื่อนสาวของรินเอ่ยชื่อนั้นขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ค…คุณชายกร”
“ฉันจะยังไม่คิดบัญชีกับพวกเธอที่ตามใจพานรินทร์ออกมาหนีเที่ยวโดยที่ฉันไม่อนุญาต แต่อย่าให้มีเรื่องราวแบบนี้อีกถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกับรินต่อ เข้าใจที่พูดไหม”

“ขะ-เข้าใจครับ” จิลกับฟางพยักหน้ารัว ตบปากรับคำอย่างคนมีชนักติดหลัง เสียวสันหลังวาบทุกครั้งเวลาได้ยินเสียงคุณชายกรดุ
ไม่ใช่ว่าเคยเห็นกันเป็นครั้งแรก ครอบครัวของเพื่อนทั้งสองคนเคยพบเจอคุณชายกรและคุณหญิงเนตรตั้งแต่ยังเล็ก

โดยเฉพาะคุณชายกรที่ดูสง่าผ่าเผยเสมอไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปีก็ตาม ท่านอาจไม่ได้ใจดีต่อหน้าให้พวกเขาเห็น แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยเห็นสีหน้าโกรธของท่านเช่นกัน
ถึงจะดูเจ้าระเบียบและจริงจังกับชีวิตไปสักหน่อย

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายกรเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยแรงโทสะให้เขาเห็น

“ส่วนนาย ยังอยากมีพื้นที่ยืนในวงการบันเทิงอยู่อีกไหม หรือต้องให้ฉันสั่งสอน หรือจะได้หลาบจำว่าของสกปรกจากสลัมคลองเตยอย่างนายอย่าคิดมาแตะต้องตัวลูกชายฉัน”
มือหยาบยังบิดแขนอีกคนไว้สุดแรงไม่ยอมปล่อยจนหางตาของดาราหนุ่มชุ่มไปด้วยน้ำตา เบ้หน้าด้วยความเจ็บ ก่อนใจกระตุบวูบ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อคุณชายกรพูดสิ่งหนึ่งออกมา

รู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นใครมาจากไหน

“ไง เพิ่งจะจำได้รึไงว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน นึกว่าพอชุบตัวแล้วลืมกำพืดตัวเองซะอีก-
ถ้าไม่อยากให้ฉันขุดประวัติที่นายปกปิดมันขึ้นมาให้สังคมรู้ก็เลิกยุ่งเลิกตามลูกฉัน ก่อนที่จะไม่ใช่แค่คำเตือนจากปากที่ฉันจะใช้ แต่เป็นอย่างอื่น…”

ประโยคสุดท้ายคุณชายกรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกทำเอาแทนใจฝ่อ แค่ปลายนิ้วของท่านที่ทำรูปกระบอกปืนเคาะลงมาตรงขมับ
ร่างกายก็พลันสั่นสะท้านจนแผลอกระตุกขึ้นมาไม่รู้ตัว

อันตรายเกินไป ผู้ชายคนนี้เขาสู้ไม่ไหว

แทนอ้าปากค้างตะลึงงัน ทำได้เพียงมองภาพที่ของนรินทร์ที่ถูกอุ้มขึ้นรถพร้อมกับเพื่อนพวกนั้นอย่างรวดเร็ว

สองเท้าแทบไม่มีแม้แต่แรงเดินทันทีที่คุณชายกรเปิดกระจกรถหันมาสบตาเขาอีกครั้ง
ชี้หน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับรถยนต์คันหรูที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป

ทิ้งเขาไว้กับความหวาดกลัวที่ยังไม่จืดจางหายไป

.

“อื้อ…ปวดหัว” เสียงอู้อี้ในลำคอมาพร้อมกับร่างกายที่หนักไปทุกส่วนโดยเฉพาะขมับด้านซ้ายที่รู้สึกว่ามันเต้นเป็นจังหวะจากฤทธิ์น้ำเมา-
ที่ดื่มไปไม่รู้กี่แก้ว ร่างโปร่งพลิกตัวไปมากับเตียงที่วันนี้ดูเหมือนจะกว้างเป็นพิเศษ แต่ความนุ่มสบายกลับแตกต่างออกไป

ทำไมที่นอนห้องเขามันแข็งกว่าปกติ

เหมือนแม่บ้านเปลี่ยนที่นอนมาใหม่

ทว่าความผิดปกติใหม่ก็ตามมา เปลือกตาที่ยังลืมไม่ขึ้นขมวดเป็นปมเมื่อจมูกรั้นของดันได้กลิ่นแปลกๆ
มันเขียวๆ เหมือนกลิ่นดินกลิ่นหญ้า

เขาไม่แน่ใจสักเท่าไร มันเหมือนกลิ่นใบไม้เขียว กลิ่นน้ำค้าง และกลิ่นเหมือนเวลาตัวเองมาเที่ยวในโฮมสเตย์กลางป่าเขา

เดี๋ยวนะ

กลางป่าเขางั้นเหรอ

“เฮ้ย!” นรินทร์สะดุ้งตื่นขึ้นทันที่ที่หัวสมองเริ่มประมวลความคิดบางอย่างได้
เมื่อคืนเขาไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาได้ยังไง ภาพความทรงจำสุดท้ายคือตอนที่ตัวเองกำลังเต้นกับเพื่อนทั้งสองคน จากนั้นสติก็ดับวูบไปโดยปริยาย

และก็มาโผล่ในที่แห่งนี้

ในห้องนอนของเรือนไม้ใหญ่ ที่มีเพียงเตียงนอนกับตู้เสื้อผ้าไม้เท่านั้น และที่มาของกลิ่นดินกลิ่นหญ้านั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะหน้าต่างใบบานใหญ่เปิดรับแสงธรรมชาติและเสียงนกท่ามกลางสายลมที่โชยกลิ่นของไร่สวนกลางป่าเข้ามา

และถ้ามองออกไปนอนหน้าต่างจะเห็นป้ายเล็กๆ ตรงบันไดขึ้นเรือนที่เขียนว่า

‘ไร่กุหลาบคุณชายกร’

ไม่จริง เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

“ไม่!!!”
ร่างโปร่งกรีดร้อง สองมือกุมหัวลุกขึ้นโวยวายกระแทกเท้าตึงตังจนลั่นบ้าน คนงานในละแวกนั้นต่างแตกตื่นชะโงกหน้ามองหาต้นตอของเสียงที่น่าจะมาจากเรือนของเจ้านาย

เพราะนี่ก็สิบเอ็ดโมงเช้าแล้ว เจ้านายของพวกเขายังไม่ออกมาดูงานเลย

นรินทร์รีบควานหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างรวดเร็ว
จนเห็นมันตกหล่นใต้เตียง ร่างโปร่งรีบหยิบกดโทรออกหาผู้เป็นแม่ทว่าได้ยินแต่เสียงบริการฝากข้อความเท่านั้น

สุดท้ายแม้จะโกรธอีกฝ่ายแค่ไหน ความจวนตัวก็ทำให้เขายอมเลื่อนไปกดเบอร์ของผู้เป็นบิดาลงไปเพื่อโทรออก

และก็เป็นแบบเดียวกัน

ทั้งสองคนจงใจบล็อกเบอร์เขา

“ไม่นะ อย่าทำกับรินแบบนี้!”
ร่างโปร่งดูท่าจะไม่ยอมกันง่ายๆ มือที่สั่นระริกสไลด์ค้นหาแชทของเพื่อนสนิททั้งสอง หวังเป็นที่พึ่งให้กับเขาได้ยามลำบาก แต่เมื่อกดอ่านข้อความที่เพื่อนๆ ของเขาฝากไว้เมื่อคืน เสียงกรีดร้องก็ออกมาอีกครั้ง

‘ขอโทษนะเพื่อน พวกกูต้องบล็อกมึงชั่วคราวก่อนตามคำสั่งของคุณชายกร-
เมื่อคืนท่านตามพวกเราไปที่คลับ โกรธมากด้วย ถ้าไม่ยอมทำตามชีวิตพวกกูบรรลัยแน่ แต่ท่านอธิบายให้ฟังหมดแล้วว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะอะไร พวกกูเห็นด้วยเลยคิดว่าทางนี้คงเป็นทางเดียวที่จะได้เพื่อนแสนน่ารักกลับมา อยากบอกว่าพวกกูไม่ทิ้งมึงไปไหนหรอก ถ้ามึงดีขึ้น ปรับตัวอยู่ที่นั่นได้เมื่อไร-
พวกกูจะเป็นคนแรกๆ ที่ติดต่อมึงกลับไปเลย อย่าโกรธพวกกูเลยนะ รักมึงเสมอ’

“อีพวกเพื่อนบ้า!” นรินทร์โยนโทรศัพท์ที่ไร้ประโยชน์เสียแล้วในตอนนี้ลงเตียง ยังไม่ทันที่จะได้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา

พร้อมกับใบหน้าที่ไม่อยากจะมองมากที่สุด
“ตื่นแล้วเหรอครับ นึกว่าจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเย็นซะอีก” ไม่แน่ใจนักว่าประโยคนั้นตั้งใจประชดกันหรือไม่ แต่นรินทร์คิดไปแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดสงครามปวดประสาทกับเขาตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปแน่ๆ

“แก…แกพาฉันมาที่นี่ทำไม พาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้!”

“ผมไม่ได้เป็นคนพาคุณมาที่นี่-
พ่อของคุณต่างหากที่เป็นคนขับรถมาส่งคุณถึงบ้านผม”

“ไม่จริง!”

“หมดเวลาเถียงแล้วครับคุณริน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงหกเดือนคุณต้องอยู่ที่นี่และต้องทำตามที่ผมสั่งเท่านั้น ต่อให้คุณเกลียดขี้หน้าผมแค่ไหนก็ต้องอยู่ให้ได้ เพราะผมคงไม่ปราณีให้คุณชี้หน้าด่าผมอีกแล้ว”
“แก…ไอ้ลูกคนใช้ ไอ้หน้าด้าน”

“ครับ และไอ้ลูกคนใช้คนนี้ก็กำลังสั่งให้คุณลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จก่อนเที่ยง เพราะแม่ครัวจะยกอาหารมาให้ ไม่มีการรอใครทั้งนั้น ถ้าคุณออกมาเกินเที่ยงแล้วแม่ครัวเก็บกับข้าว นั่นเท่ากับว่าคุณจะไม่ได้ทานอะไรจนกว่าจะมื้อเย็น”
น้ำเสียงเย็นชากับสีหน้าเรียบนิ่งเปรยขึ้น ไม่กลัวแล้วว่าอีกฝ่ายจะตอกหน้าเขาด้วยคำพูดไหน

ในไร่กุหลาบแห่งนี้ เขาคือเจ้าของ

และทุกคนต้องทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้น

ต่อให้รวยล้นฟ้า หรือฐานะวงศ์ตระกูลสูงส่งมาจากไหน

ก็สถานะเท่ากันกับคนที่ทำงานด้วยกันที่นี่
เมื่อรับคำสั่งจากคุณชายกรมาแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด

“พอคุณพ่อฉันไม่อยู่แกก็ออกลายเลยนะ นี่มันสันดานจริงแกใช่ไหม”

“อดทนไว้ครับ คุณจะอยู่ที่นี่กับผมในฐานะภรรยาแค่หกเดือนเท่านั้น แล้วนี่” ร่างสูงวางเสื้อเชิ้ตขาว เชิ้ตคลุมคอปกสีฟ้า ตามด้วยกางเกงยีนส์เนื้อผ้าธรรมดาทั่วไปตามตลาดนัด
ลงบนปลายเตียง ตามด้วยรองเท้าผ้าใบสีครีมธรรมดาที่ถูกวางลงบนพื้น

“นี่มันอะไร อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันใส่เสื้อผ้าราคาถูกๆ พวกนี้ ฉันไม่ใส่เด็ดขาด เนื้อผ้าแบบนี้ถ้าฉันใส่แล้วคันใครจะรับผิดชอบ! อีกอย่างเวลาฉันออกจากบ้าน คนใช้อย่างนายก็น่าจะรู้เพราะเคยคุกเข่ารับใช้ฉันมา...”
ร่างโปร่งกัดฟันกรอด กอดอกเชิดหน้าเบะปากเหยียด ปรายตามองอีกคนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะเอ่ยประโยคแสบสันต่อมา

“เวลาฉันจะออกจากบ้าน เสื้อผ้าหน้าผมต้องเป๊ะ เสื้อ กางเกง รองเท้าต้องเป็นคอลเล็กชั่นใหม่ล่าสุด ฉันต้องมีช่างทำผมมีแม่บ้านไว้ซักรีดเสื้อผ้าและดูแลอาหารที่ฉันทานเท่านั้น-
ลูกที่มีแม่เป็นคนใช้อย่างแกน่าจะรู้เรื่องนี้ดีนี่!”

“ไม่ตายหรอกครับ”

“อะไรนะ…”

“เสื้อผ้าพวกนี้ใส่แล้วไม่ตายหรอกครับ ไม่มีแม่บ้านหรือช่างทำผมสักคนก็ไม่ตายเหมือนกัน”

“ไอ้เขตน์! ไอ้...!” นรินทร์ชี้หน้า อยากจะเอ่ยคำด่าอีกสารพัดแต่ก็คิดไม่ออกเพราะหัวสมองยังไม่ฟื้นเต็มที่
ทำได้เพียงทำปากตะกุกตะกักด้วยความคับแค้นใจ

“อ้อ อีกอย่างที่นี่ไม่มีแม่บ้านนะครับ เสื้อผ้าใหม่ของคุณผมให้พวกป้าๆ แถวนี้ซื้อขึ้นมาจากตลาดในเมืองแล้ว พยายามหาตัวที่ดีที่สุดก็ได้เท่านี้แหละ เดี๋ยวตอนเย็นป้าเขาคงเอาขึ้นมาให้ คุณต้องเรียงใส่ไม้แขวนเข้าตู้เองด้วย”
“ฉันไม่ทำ ทำไมฉันต้องทำ นายก็ไปหาแม่บ้าน--”

“ผมว่าผมพูดเคลียร์ตั้งแต่ประโยคแรกแล้วนะครับคุณริน ที่นี่จะไม่มีการจ้างแม่บ้าน ฉะนั้นเสื้อผ้าที่ใส่ทุกตัวคุณต้องซักรีดตากเอง ถ้าไม่ทำจะใส่ตัวเดิมซ้ำๆ ให้ตัวเหม็นผมก็ไม่มีปัญหานะ แต่อย่าลืมว่าคุณมาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร”

“ไอ้บ้าเขตน์!”
นรินทร์กัดฟันกระทืบเท้าชี้หน้าใส่อีกคน

ไอ้เขตน์มันปากร้ายอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร เมื่อก่อนไม่เห็นมันจะกล้า แต่ตอนนี้กลับหันมาสบตากันตรงๆ ซ้ำร้ายยังเถียงกลับอีก

“ทำไมครับ เจ็บใจเหรอ ผมก็เรียนรู้คำพูดพวกนี้มาจากคุณนั่นแหละ ทีนี้รู้รึยังว่าคนฟังเขารู้สึกยังไงเวลาได้ยินคำพูดพวกนี้”
“แกจงใจแกล้งฉัน แกอยากเห็นฉันเป็นอย่างนี้มานานแล้วใช่ไหม ฮึก สะใจแล้วใช่ไหมที่เห็นฉันตกต่ำ”

“ผมไม่เคยคิดแบบนั้น” ร่างสูงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเช่นเคย ทว่าแววตาอ่อนโยนลง ในใจคิดว่าตัวเองคงทำเกินไปเมื่อเริ่มเห็นน้ำตาของอีกคนรินไหล สะอื้นเบาๆ ในลำคอ
“ที่ผมทำเพียงแค่ต้องการช่วยเปลี่ยนคุณตามที่คุณท่านต้องการ ทุกคนในไร่ตอนนี้ถูกเข้าใจว่าคุณเข้ามาอยู่ที่ไร่แห่งนี้ในฐานะภรรยาผม และเขาทุกคนรู้ดีว่าคุณเป็นลูกชายคนเดียวของคุณท่าน เพราะฉะนั้นผมอยากให้คุณวางตัวให้ดี ทำตัวให้คนงานเคารพคุณ ได้ไหมครับ”
เสียงของเขตน์อ่อนลง มือหนาทำท่าจะเอื้อมมาเช็ดน้ำตาอีกฝ่าย แต่ก็ได้แค่ชะงักค้างไว้กลางอากาศเท่านั้น

ไม่คู่ควร จำไว้เขตน์ มือนายมันสกปรก

อย่าเห็นใจ อย่าเอาหัวใจเข้าไปเอี่ยวเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นสุดท้ายคนที่เจ็บที่สุดก็ต้องเป็นตัวเอง

เพราะวันใดวันหนึ่งคุณรินก็ต้องไปจากที่นี่
หรือไม่ก็เป็นเขาเองที่ต้องเก็บเสื้อผ้าข้าวของออกจากไร่กุหลาบของตัวเองตามสัญญาที่ตกลงไว้

ท่องไว้ อย่าหวั่นไหวเผลอมอบหัวใจให้คุณรินเธออีก

“ทำไมฉันต้องทำ ฉันจะไปจากที่นี่” นรินทร์เอ่ยขึ้น น้ำเสียงขึ้นจมูกอย่างคนดื้อรั้นทั้งที่น้ำตาแห่งความอ่อนแอยังร่วงหล่นกระทบพื้น
“ไม่มีใครพาคุณไปที่ไหนได้หรอกครับ เพราะถ้าใครพาคุณหนีจากไร่ เขาย่อมรู้ดีว่าจุดจบของตัวเองจะเป็นแบบไหนหากถูกไล่ออก กลางป่าเขาแห่งนี้ไม่ได้หางานทำกันง่ายๆ เหมือนในกรุ่งเทพฯ และผมจะไม่พูดย้ำกับคุณซ้ำสอง ถ้าไม่อยากให้คนงานแถวนี้เดือดร้อน อย่าดื้อเลยนะครับ”

“…….”
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วครับ ก่อนที่มื้อเที่ยงจะถูกเก็บ แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณต้องตื่นหกโมงเช้า ผมจะบอกคุณอีกทีว่าคุณต้องทำงานอะไรที่นี่บ้าง เพราะผมไม่ยอมให้ใครมาอยู่ไร่นี้ฟรีโดยไม่ลงแรงแลกกับอาหารและที่อยู่”

นรินทร์กำมือสองข้างแน่น เดินเข้ามาประชิดตัวอีกคน
ทุบไปที่อกแกร่งสุดแรง ส่งเสียงโวยวายเขตน์ทนไม่ไหว ยื้อข้อมือเล็กของร่างโปร่งแน่น

“หกเดือน ทนไว้ครับ ทนอยู่กับสามีที่เป็นอดีตลูกคนใช้อย่างผมให้ได้ แล้วผมจะให้ทุกอย่างที่คุณร้องขอตามสัญญา ทั้งไร่นี้และอิสระของคุณ ถึงคราวนั้น...”

”ฮึก...”

”ผมจะเป็นคนเซ็นใบหย่าต่อหน้าคุณเอง”
.
.
นรินทร์ได้แต่เก็บความไม่พอใจอยู่ในอก ให้สายน้ำจากฝักบัวชะล้างคราบน้ำตาและเสียงสะอื้นที่เผลอหลุดออกมาเป็นช่วงๆ ร่างโปร่งทรุดลงกับพื้นกอดเข่าร้องไห้ปล่อยให้ผมและร่างกายเปียกปอนทั้งที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบทุกส่วน

ใจร้าย ทุกคนใจร้ายกับริน

ทิ้งรินไว้กับสถานที่แห่งนี้
ที่ไม่มีแม้แต่คนจริงใจและใส่ใจกันเลยกันเลยสักคน

มีแต่ผู้ชายคนนั้นที่เขาเกลียดแสนเกลียด และคงเฝ้ารอเวลานี้มานานแล้ว เวลาที่จะได้เอาคืนในสิ่งที่เขาเคยทำกับอีกคนเอาไว้ แสร้งเป็นคนดีให้พ่อเขาไว้ใจและพามาที่นี่

บังคับให้เขาทำเพื่อสนองความพอใจของตัวเอง

“ฮึก…ใจร้าย ใจร้ายที่สุด”
เสียงสะอื้นดังจากห้องน้ำในตัวห้องนอนเล็กที่ตอนนี้เป็นของคุณชายนรินทร์ชั่วคราว อีกฝั่งหนึ่งของประตูห้องน้ำที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ร่างโปร่งเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างไม่เต็มใจ

ได้ยินทุกเสียง ทุกการกระทำที่ดังขึ้นภายในห้องน้ำเล็กๆ นั้น
แต่ทำได้เพียงเอาแผ่นหลังพิงอยู่กับกำแพงข้างๆ ประตู ปล่อยให้หูของตัวเองฟังเสียงสะอื้นที่พลอยทำให้หัวใจของเขาปวดร้าวตามไปด้วย

หรือเมื่อกี้เขาจะพูดแรงไป

นรินทร์เพิ่งมาที่นี่เป็นวันแรก แถมเมื่อคือก็ไม่รู้สึกตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีสภาพแวดล้อมรอบตัวก็เปลี่ยนไปหมด จะติดต่อใครก็ไม่ได้
ถ้าเกิดเขาเป็นอีกฝ่ายก็คงตื่นกลัวไม่แพ้กัน

ทว่าจะให้ใจอ่อนก็คงไม่ได้ ในเมื่อมันมาถึงจุดนี้แล้ว จะให้ถอนตัวก็คงไม่ทัน

คงได้แต่ห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวยามที่ต้องชิดใกล้อีกคนเท่านั้น

ร่างสูงเดินออกมาจากห้องของอีกคน ตัดสินใจนั่งรอกันที่โต๊ะอาหารเล็กๆ ของเรือนไม้กลางไร่กุหลาบแห่งนี้
ปลายนิ้วมือเคาะเป็นจังหวะเพื่อรอเวลาที่อีกคนจะออกมาทานมื้อกลางวันด้วยกันสักที

แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่โผล่ออกมา เสียงน้ำไหลก็ยังวนไปอยู่เรื่อยๆ

“คุณเขตน์คะ นี่มันก็บ่ายโมงแล้ว คุณยังไม่ได้ทานเลย จะให้ป้าเก็บกับข้าวเลยไหมหรือว่ายังไงดีคะ”
“ไม่เป็นไรครับป้า เดี๋ยวมื้อนี้ผมเก็บเอง วันนี้ขออะลุ่มอล่วยให้เขาสักหน่อย ป้าไปทำอย่างอื่นต่อเถอะครับ”

แม่ครัวหลักที่ทำอาหารให้กับคนงานและเจ้าของไร่พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินลงไปจากเรือน ตรงไปยังโถงครัวใหญ่ตามเดิมเพื่อจัดเตรียมมื้อเย็นให้กับคนงานหลายสิบชีวิตต่อไป
ชีวิตประจำวันในไร่ก็เป็นแบบนี้ ไม่มีอะไรให้เลือกมากมาย แต่ทุกคนก็ได้กินอิ่มนอนหลับสบายอย่างที่ไม่รู้สึกขาดแคลนหรือลำบาก

ทุกคนในเขาใหญ่ต่างรู้ดีว่าหากคุณชายกรและคุณเขตน์เข้ารับใครทำงานนั่นคือความโชคดีของคนเหล่านั้น เพราะนอกจากจะไม่โดนเรื่องการกดขี่ใช้แรงงานเกินค่าแรงที่กำหนดแล้ว
เจ้านายก็ไม่เคยเรื่องมาก เพียงแค่ขยันและอยู่ในกฎระเบียบ มาทำงานให้ตรงเวลาและรักในงานที่ตัวเองทำ ไม่หาเรื่องทะเลาะกันให้เจ้านายปวดหัว เท่านั้นทุกคนก็จะอิ่มท้องนอนอุ่นสบายใจกันทั้งครอบครัว

แต่สิ่งนั้นคุณชายนรินทร์คงยังไม่เข้าใจ

ร่างสูงจ้องมองนาฬิกาบนฝาผนังที่เดินไปเรื่อยๆ-
บอกเวลาบ่ายโมงตรงพอดี และเขาทนรอมันต่อไปไม่ไหวแล้ว

ก๊อก ก๊อก

“คุณรินครับ เสร็จหรือยัง”

“……”

“คุณริน ผมไม่มีเวลามันเล่นกับคุณนะครับ นี่มันสายมากแล้ว ถ้าคุณไม่ทานข้าวผมจะเททิ้งให้หมด” ไม่มีเสียงใดตอยรับกลับมานอกจากเสียงน้ำไหลอยู่อย่างต่อเนื่องจนเริ่มร้อนใจ
กลัวว่าอีกคนจะลื่นหรือเป็นอะไรในห้องน้ำหรือไม่

เพียงแค่คิดเท่านั้นก็รีบพุ่งตรงไปยังลิ้นชักข้างเตียงนอน หยิบกุญแจดอกเล็กขึ้นมาไขประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว

มาพร้อมกับภาพอีกคนยังกอดเข่าก้มหน้าให้น้ำจากฝักบัวชโลมศีรษะอยู่เหมือนเดิมทั้งที่ยังไม่ได้ถอดเสื้อผ้าเลยสักชิ้น
“นี่คุณทำบ้าอะไรอยู่!”

เขตน์ถึงกับสบถขึ้นมาอย่างหัวเสีย มือหนาเสยผมขึ้นด้วยความหงุดหงิดที่อีกคนปล่อยให้เขาเป็นห่วงแทบตาย แจ่เจ้าตัวก็ยังดื้อรั้นเอาชนะกันอยู่ตลอด ไม่เคยเชื่อฟัง

“เรื่องของฉัน ฮึก ออกไป!” ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมา ขอบตาบวมแดง สะอื้นไห้อยู่เป็นพักๆ
พร้อมกับปาขวดแชมพูที่วางอยู่ข้างๆ ใส่คนตรงหน้า

“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย ทำอย่างนี้คุณจะไม่สบายเอาได้นะ และน้ำบ้านผมก็ไม่ได้มีไว้ให้เปิดเล่นๆ นะคุณ รู้ไหมว่าบนเขานี้เวลาเข้าหน้าแล้งมันลำบากแค่ไหน”

ร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าประตู ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ก้มลงช้อนตัวอีกคนที่ดีดดิ้นอยู่ในอ้อมแขนขึ้นมาจนพานเปียกปอนไปทั้งคู่

“ปล่อยฉัน ไอ้บ้า!”

“จะอาบน้ำดีๆ ไหมครับ หรือจะให้สามีอย่างผมช่วยอาบให้”

“ไม่ ฉันจะอาบไม่อาบก็เรื่องของฉัน ออกไป” นรินทร์ดีดดิ้นในอ้อมแขนที่อีกคนช้อนตัวเขาลุกขึ้นยืนสำเร็จ
ความเปียกชื้นจากน้ำของฝักบัวทำให้เสื้อเชิ้ตขาวของร่างโปร่งหลุดลุ่ย ปกเสื้อหล่นลงมาจนเผยหัวไหล่เนียน ซ้ำยังแนบเนื้อจนเห็นผิวขาวนวลที่ซ่อนอยู่ภายในเสื้อจนเขตน์ถึงกับต้องหันหน้าหนี

กระนั้นอีกคนก็ยังไม่เลิกดิ้นเสียที

“นี่คุณ เลิกดิ้นได้ไหม”
“ก็ปล่อยสิ ปล่อยให้ฉันป่วยเป็นไข้ตายในห้องน้ำไปเลย ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่”

“อย่าดื้อได้ไหม แค่อาบน้ำมันจะอะไรนักหนา”

“ฉัน! ไม่! อาบ!” ร่างโปร่งตะคอกใส่อีกคนที่รั้งเอวเข้ามาใกล้ๆ จนหายใจรดรินหัวไหล่ขาวเนียน
และจากสายตาของร่างสูงที่ส่งตรงมาก็ทำให้นรินทร์ได้รู้ซึ้งว่า

อย่าคิดยั่วโมโหคนตรงหน้า หากตัวเองยังอยู่ที่ไร่นี้

“ได้! ไหนๆ ก็เปียกกันทั้งคู่แล้ว งั้นสามีจะอาบให้ภรรยาเองละกัน” พูดจบก็จัดการกระชากเสื้อที่แนบเนื้อนั้นออก นรินทร์เพิ่งได้สัมผัสกับอารมณ์ที่ขาดผึงของอีกฝ่ายก็วันนี้
ทันทีที่เสียงฉีกขาดของชายเสื้อและเม็ดกระดุมที่เด้งกระเด็นออก ร่างโปร่งตัวแข็งทื่อปรับอารมณ์ไม่ทันจนเมื่อเริ่มตั้งสติได้ก็เอาแขนเรียวทั้งสองข้างปกปิดส่วนที่อีกฝ่ายไม่ควรมองไว้

ทว่าไม่ทันเสียแล้วเมื่ออีกฝ่ายก้มลงกระชากกางเกงออกจนเห็นอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ควรมีใครได้เห็น
“ยะ-อย่านะ! ไอ้บ้า ไอ้ลามก แกบ้าไปแล้วหรือไง!”

นรินทร์เผลอร้องเสียงหลง ท้องน้อยวูบไหวด้วยความตกใจ แต่จะห้ามก็ไม่ทันแล้วเมื่อเขตน์บีบเจลอาบน้ำขึ้นมาถูไปตามร่างกายของอีกคนทั้งที่แววตายังจ้องมองใบหน้ากัน

ไม่มีการทะนุถนอม
มีแต่แรงบีบที่ทำให้สัมผัสของเนื้อเนียนแนบชิดกับฝ่ามือหนาสนิทขึ้น ซ้ำร้ายยังดึงตัวเข้ามาประชิดกันจนแก้มใสรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากริมฝีปากที่เฉียดกันแค่เสี้ยวลมหายใจเดียว

“ยะ-อย่า…พอแล้ว”

“จะอาบเองได้รึยังครับ หรืออยากจะให้ผมอาบให้ต่อ”
แววตาลึกซึ้งสื่อความหมายจ้องมองไปในดวงตากลมคู่สวยนั้น ก่อนจะไล่มองมายังริมฝีปากเล็กที่เผลอเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงด้วยความประหม่า เผยให้เห็นตำหนิใต้มุมปากเล็กๆ นั้น

ทว่าไม่กล้ามองลงไปมากกว่านั้น

ถึงจะรู้สึก และรู้ว่าเราสองคนใกล้กันเกินไป
เขากำลังละเมิดกฎของตัวเองที่จะไม่แตะต้องหรือเข้าไปใกล้ชิดอีกคนเพื่อให้หัวใจตัวเองหวั่นไหวอีก

และไม่ควรหยามเกียรติและศักดิ์ศรีของคุณรินด้วยวิธีเช่นนี้

แต่ทำไปแล้ว

จึงทำได้เพียงพยายามไม่มองไปยังร่างกายนั้น ถึงแม้ฝ่ามือจะสัมผัสเนื้อนวลเนียนอย่างเผลอไผลก็ตาม
เขตน์คนนี้หลวมตัวให้กับคุณรินอีกแล้ว

“อะ…อาบแล้ว ฉันจะอาบเอง”

เสียงตอบรับเบาๆ กับใบหน้าขึ้นสีระเรื่อเสมองไปทางอื่น มือเรียวผลักอกแกร่งเบาๆ ขอร้องให้อีกฝ่ายเลิกเอาฝ่ามือมาลูบไล้สะโพกกันเสียที ร่างสูงจึงได้สติ รีบเอามือออกจากเอวอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ราวกับเพิ่งแตะของร้อนมาอย่างไรอย่างนั้น

เขาฉวยโอกาสอีกฝ่ายเสียแล้ว

“อะ แฮ่ม! ถ้างั้นก็อย่าให้เป็นแบบวันนี้อีกนะครับ รีบอาบน้ำรีบออกมา อย่าให้ผมต้องรอนาน”

ร่างสูงแสร้งกระแอมนิดหน่อย ก่อนจะรีบเดินถอยหลังและปิดประตูลง ปล่อยให้อีกฝ่ายหันหลังให้กันด้วยสีหน้าที่ไม่อาจจะคาดเดาได้เลย
เขตน์เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงร่างโปร่งก็ออกมาจากห้องนอนพร้อมกับเสื้อผ้าที่เขตน์จัดเตรียมไว้ให้ เจ้าตัวจับชายเสื้อไปมาด้วยความไม่ชิน

ร่างโปร่งไม่เคยใส่เสื้อผ้าสไตล์แบบนี้มาก่อน ปกติถ้าไม่มีสูททับอย่างน้อยก็ต้องเป็นเสื้อคอปกราคาแพงที่ถูกรีดอย่างดี-
กับกางเกงสแล็คสีดำที่สั่งตัดให้รับกับรูปร่าง

ทว่าในทางตรงกันข้าม คนที่นั่งรอกันที่โต๊ะกินข้าวทันทีที่ได้เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาด้วยเสื้อผ้าและผมที่ปรกหน้าลงมาแบบที่ไม่ได้ถูกเซ็ตไว้เหมือนทุกวัน ทำให้นรินทร์ดูเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด และนั่นมันทำให้เขารู้สึกว่าอีกคน

น่ารัก
เหมือนตอนสมัยเด็กๆ เลย

ตอนที่ยังเป็นน้องรินของพี่เขตน์คนนี้

ถึงแม้ตอนนี้จะทำหน้ามุ่ย ทำปากขมุบขมิบไม่พอใจกับเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่จนนึกอยากเอามือไปหยิกแก้มนั้นเสียให้เข็ด

ไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาด

เขตน์ นายอย่าใจอ่อน ห้ามหวั่นไหวกับภาพลวงตาตรงหน้าเด็ดขาด
ในจังหวะที่คุณชายไฮโซกำลังเดินเข้ามา สายตาดันสบเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว พลันให้นึกถึงเรื่องเมื่อสักครู่ที่เกิดขึ้น ฝ่ายเจ้าของไร่ได้แต่กระแอมเบาๆ หยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว

ส่วนอีกฝ่ายก็ได้แต่หย่อนสะโพกลงมานั่งตรงข้ามกัน ก้มลงมองจานข้าวตัวเอง
ไม่รู้ทำไมมันถึงได้รู้สึกวูบวาบเหมือนอากาศภายในร่างกายมันร้อนระอุแปลกๆ ทั้งที่เพิ่งอาบน้ำมาหมาดๆ แถมยังคันแก้มจนต้องยกมือขึ้นมาเกามันอยู่นั่นแหละ

“อะ-อืม ทานข้าวได้แล้วครับ กับข้าวจะชืดหมดแล้วเพราะรอคุณ” เขตน์เกาท้ายทอยแก้เก้ม กระแอมเบาๆ เกริ่นขึ้น
เพราะกลัวว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เปิดปากพูดก่อน คงไม่ได้ทานข้าวแล้ววันนี้

แต่ปัญหาเดิมที่เพิ่งจะจบไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ยังไม่ทันได้หายใจหายคอ ปัญหาใหม่ก็ตามมาอีกระลอก

“ไหนล่ะ อาหารของฉัน”

“ก็นี่ไงครับ กับข้าวตรงหน้าคุณ”
พูดเสร็จเขตน์ก็ชี้ให้ดูแกงพะแนงไก่ ปลาทู ไข่เจียว และน้ำพริกกะปิกับผักลวกที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งเป็นอาหารที่เขาและคนงานได้ทานกันในวันนี้เหมือนกันทุกคน

“อย่าบอกนะว่าให้ฉันกินไอ้กับข้าวบ้านๆ นี่ ฉันไม่กินหรอก จะยัดลงไปได้ยังไง! แล้วไหนกาแฟฉัน-
ทุกวันจะต้องมีคาปูชิโน่ร้อนผสมนมไร้ไขมันให้ฉัน และฉันกินแต่อาหารอิตาเลี่ยนเท่านั้น หรือไม่ก็ขนมปังกับออมเล็ตน่ะ รู้จักไหม”

คุณชายนรินทร์แผลงฤทธิ์อีกครา มือเรียวตบโต๊ะเสียงดังจนแกงเกือบกระเด็นหกออกมา แสดงถึงความไม่พอใจที่อีกฝ่ายดูถูกกัน ให้เขากินของพวกนี้ไปได้อย่างไร
ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นอาหารเดียวกับคนงานชัดๆ

“ไปบอกแม่บ้านให้เปลี่ยนอาหารให้ฉันเดี๋ยวนี้ แล้วแกงอะไรเนี่ยฉันกินเผ็ดไม่ได้”

“ผมบอกแล้วไงครับว่าที่นี่ไม่มีแม่บ้าน”

“ถ้างั้นใครเป็นคนทำกับข้าวพวกนี้ ไปเรียกมัน ฉันต้องอบรมสั่งสอนหน่อยว่าจะเสิร์ฟกับข้าวบ้านๆ ให้คุณชายนรินทร์ไม่ได้!”
“คุณริน ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ”

“ไม่ไหวแล้วไง แกอยากให้ฉันอยู่ที่นี่เอง หกเดือนนี้ก็ทนให้ได้แล้วกัน อ้อ แล้วถ้าทนไม่ไหวจะพาฉันไปส่งที่กรุงเทพฯก็ได้นะ ฉันยินดี” ร่างโปร่งนั่งกอดอกหัวเราะในลำคอ เชิดหน้าปรายตามองอีกคนที่ขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย ริมฝีปากยกยิ้มเหยียดใส่อีกคนราวกับผู้ชนะ
เขตน์ข่มอารมณ์ หลับตาพรูลมหายใจเข้าออก นับหนึ่งถึงสิบในใจก่อนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

“ที่นี่มีแต่แม่ครัว--”

“ก็ไปเรียกมันมา”

“อย่าจิกหัวเรียกใช้คนอื่นแบบนั้น ทุกคนในไร่นี้มีสถานะเท่ากันหมด ไม่มีใครต่ำกว่าใคร”
“หึ! แกแน่ใจเหรอว่าไม่มีใครต่ำกว่าใคร คุณพ่อของฉันเป็นเจ้าของไร่นี้ ชื่อของไร่ก็บอกอยู่ แล้วฉันก็เป็นลูกคนเดียวของคุณพ่อ แกยังคิดว่าคนงานพวกนั้นจะยังกล้ามีสถานะทัดเทียมกับฉันอีกไหม!”

“คุณริน! ผมจะบอกคุณอีกครั้งนะ ที่นี่แม่ครัวไม่ได้มีเวลาว่างมาทำกับข้าวแยกให้คนที่เรื่องมาก-
อย่างคุณหรอกนะครับ ทุกคนที่นี่มีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ แม่ครัวมีแค่สามคนและต้องช่วยกันทำอาหารมื้อใหญ่เพื่อให้เพียงพอกับจำนวนคนงานที่ฝากท้องไว้กับไร่นี้ เวลาพวกเขาทำอาหารก็ต้องทำชุดใหญ่ทีเดียว แกงก็ต้องทำหม้อใหญ่ ไม่มีเวลามาละเมียดละไมทำอาหารจานพิเศษให้คุณคนเดียวหรอกนะครับ”
“ถ้างั้นก็จ้างแม่บ้าน หรือไม่ก็บอกคุณพ่อให้พาแม่บ้านจากกรุงเทพฯ มา--”

“ผมจะไม่พาใครมาทั้งนั้น การพาใครมาสักคนเท่ากับว่าเราต้องดูแลเขาให้ดี คุณมีเงินจ่ายค่าจ้างให้เขาไหมล่ะครับ แล้วถ้าเขามาอยู่กลางป่าเขากับคุณ คุณจะรับประกันได้ไหมว่าชีวิตเขาจะสุขสบายเหมือนอยู่ในกรุงเทพฯ”

“แก…”
“หยุดเถียงได้แล้วครับ อย่าทำอะไรตามใจตัวเองไปหน่อยเลย ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวคุณไม่มีเงินสักบาท จะไปจ้างไปดูแลใครได้ แล้วถ้าแกงมันเผ็ดไป เอาเป็นว่าผมจะบอกแม่ครัวให้ต้มแกงอะไรก็ได้ที่ไม่เผ็ดเพิ่มมาสักอย่าง แบบนั้นยังจะพอคุยได้มากกว่าออมเล็ตกับกาแฟบ้าบออะไรของคุณอีก”
ก่อนจะตักไข่เจียวใส่จานอีกคนอย่างจงใจ ทว่านรินทร์ก็ไม่วายปัดมันออกจนเกือบทำข้าวในจานหกเลอะเทอะ

“ออมเล็ตกับคาปูชิโน่ของฉันไม่ใช่อาหารบ้าบอไร้สาระนะ แล้วฉันก็ไม่เอาอาหารคนงานใส่ปากตัวเองด้วย อย่ามาบังคับฉัน”

“ข้าวแต่ละเม็ดมีคุณค่านะครับคุณริน มีคนอีกมากมายที่เขาหิว-
ไม่มีโอกาสได้กินอาหารดีๆ แบบนี้ อ้าปากครับ”

ร่างสูงชักทนไม่ไหวกับกิริยาของอีกคน จัดการเขยิบมานั่งข้างๆ ตักข้าวไข่เจียวจากจานของนรินทร์ขึ้นมา พูดแกมบังคับให้อีกฝ่ายอ้าปาก

“มะ…อื้อ!” ทันทีที่นรินทร์เอ่ยปากพูดว่าไม่ ข้าวในช้อนที่เขตน์ตักขึ้นมาให้ก็ถูกยัดจับใส่ปากอย่างรวดเร็ว
“อย่าคายนะครับ ไม่งั้นผมจะตักส่วนที่คุณคายขึ้นมาให้คุณทานใหม่”

“อื้อ..ไอ้อุเอด!” นรินทร์หายใจฟึดฟัดอย่างเจ็บใจ จำใจเคี้ยวข้าวในปากและฝืนกลืนมันลงไปทั้งที่น้ำตายังคลอเบ้า

“เห็นไหมครับ กับข้าวพวกนี้ทานแล้วไม่เห็นมันจะตายตรงไหน ฉะนั้นทานให้หมด อย่าให้เหลือ-
แล้วถ้าคายหรืออาเจียนออกมาผมก็จะให้คุณนั่งทานใหม่ วนไปแบบนี้แหละจนกว่าจะทานอาหารเหมือนกับพวกคนงานอื่นๆ ได้”

และศึกอาหารมื้อเที่ยงก็จบลงพร้อมกับข้าวไข่เจียวคลุกน้ำตากับความเจ็บใจของคุณชายนรินทร์ที่ดูแล้ววันนี้คงไม่จืดจางหายไปง่ายๆ

ศึกครั้งนี้มันยังไม่จบหรอกนะ ไอ้ลูกคนใช้!
.
.
มื้อเที่ยงจบลงไปพร้อมกับน้ำตาและความเครียดที่หากวัดออกมาเป็นอุณหภูมิได้คงทะลุปรอท

หลังจากนรินทร์ฝืนยัดข้าวเข้าปากจนหมดจานก็ลุกขึ้นสะบัดตัวเดินเข้าห้องนอน พร้อมกับปิดประตูเสียงดังประชดคนข้างนอกที่ได้แต่ถอนหายใจจนต้องพึ่งพายาแก้ปวดหัว
เสียงฝีเท้าดังเอี๊ยดอ๊าดที่กระทบพื้นเรือนที่ทำจากไม้ทั้งหลัง เป็นการบ่งบอกให้รู้ว่าคนที่จับยัดข้าวไข่เจียวใส่ปากกันเดินลงจากเรือนนี้ไปแล้ว

ร่างโปร่งทิ้งตัวลงบนเตียงมือเล็กทุบตีหมอนด้วยความเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรอและเป็นฝ่ายยอมให้อีกคนบังคับขู่เข็ญกัน
อีกอย่างห้องนี้ก็เป็นเพียงห้องเล็กๆ ไม่มีเครื่องปรับอากาศหรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้มากนักนอกจากเตียงกับตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำฝักบัวธรรมดาเท่านั้น

ไม่เคยต้องมาอยู่ในห้องคับแคบขนาดนี้มาก่อน ความจริงห้องนอนนี้ขนาดเล็กเท่ากับห้องน้ำที่บ้านเดิมในกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ
ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตของคุณชายที่อนาคตจะมีสิทธิ์ได้ครอบครองไร่และกิจการทั้งหมดของคุณชายกร และอาจรวมถึงไร่กุหลาบที่เจ้าตัวคิดเองเออเองว่าเป็นของคุณพ่อตน ต้องมาตกระกำลำบาก นอนอยู่ในห้องรูหนูอันคับแคบอย่างไม่มีทางเลือก

แต่นรินทร์ไม่ยอมหรอกนะ
เขารอให้ไอ้ลูกคนใช้นั่นเดินออกจากเรือนได้สักพักใหญ่ ก่อนจะเปิดประตูห้อง ชะโงกออกมาดูว่ามีใครอยู่ในเรือนหรือไม่

เมื่อพบว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางตามที่ใจคิดไว้ก็รีบย่องเบาลงจากตัวเรือน ยอมสวมใส่รองเท้าผ้าใบราคาถูกที่อีกคนวางไว้ให้แต่ไม่วายส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ
เมื่อนึกถึงราคาและสไตล์อันแสนเฉิ่มของมัน

ของก็อปตามตลาดนัดชัดๆ รองเท้าบ้าอะไร ไร้คุณภาพสิ้นดี

ร่างโปร่งทำได้เพียงคิดในใจเท่านั้น เนื่องด้วยมีเป้าหมายที่สำคัญกว่านั่นคือการมองหาใครก็ได้ที่เดินผ่านเขาในตอนนี้ให้ช่วยพากันออกจากไร่กุหลาบที่เป็นเหมือนกรงขังนี่ที
ก่อนที่ไอ้บ้าเขตน์จะมาเห็นกัน

นรินทร์ก้มตัวย่องเบาไปตามทางของไร่ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ไหนเป็นที่ไหน เขตของไร่นี้ช่างกว้างขวางแทบมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดนั้น

และไม่ได้คาดการณ์ว่าการเดินหาคนงานในไร่สักคนมันทำไมมันช่างเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้
จะไม่ให้เหนื่อยได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรือนของตัวเองกับสามีจำเป็นพักอยู่นั้นอยู่หลังสุดของไร่ และอยู่ห่างจากเขตพื้นที่ทำงานพอสมควร ขนาดแม่ครัวจะนำอาหารมาให้กันถึงที่นี่ยังต้องขับรถมอเตอร์ไซค์หรือไม่ก็จักรยานมาเลย

แล้วเขามีแค่แรงอันน้อยนิดกับสองเท้าเท่านั้น
ไม่ต้องพูดถึงปากทางเข้าไร่ที่เป็นจุดให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปหรือทดลองทำผลิตภัณฑ์แปรรูปเล็กๆ น้อยๆ ที่ห่างกันเป็นโยชน์ ซึ่งคาดว่าถ้าเดินด้วยสองเท้าคงต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงแน่แท้

ร่างโปร่งที่ร่างกายและใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อไคล แถมไม่มีแม้แต่หมวกหรือร่มช่วยบังแดด
เป็นเหตุให้พระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นตรงกับศีรษะพอดี สะท้อนแสงจ้ารับกับอุณหภูมิที่ร้อนระอุทำเอาหายใจหอบยืนปาดเหงื่อตรงหน้าป้ายทางแยกเล็กๆ

นี่เขามายังไม่ถึงครึ่งทางเลยหรือนี่ บ้าไปแล้ว

ยี่สิบนาทีที่เดินตรงมาเรื่อยๆ แบบไม่รู้ทิศรู้ทาง
ทำให้เจ้าตัวได้เรียนรู้ว่าเรือนที่เขตน์อาศัยอยู่นั้นตั้งใจปลูกให้ห่างไกลจากผู้คนและเสียงรบกวน เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวหรือคนงานเดินเข้ามาในเขตนี้สุ่มสี่สุ่มห้าได้ง่ายๆ

ดังนั้นจึงไม่แปลกหากเดินมาขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีคนเดินผ่านเขาสักคน

“บ้าจริง!”
นรินทร์สบถเสียงดัง ลำคอแห้งผากเพราะร่างกายเริ่มขาดน้ำจากเหงื่อที่ถูกระบายออกจากหนัก เขาปาดเหงื่อบนใบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปล่อยให้เม็ดเหงื่อกระทบพื้นไปตามทาง

จากป้ายที่หยุดดูเมื่อกี้ทำให้ค้นพบว่าหากจะเข้าไปในไร่ที่มีคนงานจะต้องเดินไปทางขวา
โรงอาหารที่เป็นจุดให้คนงานพักกลางวันก็อยู่ด้านขวาในโซนของไร่กุหลาบเช่นกัน ส่วนทางซ้ายจะเป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าแปรรูปทั้งหมด เช่น สบู่ แชมพู เครื่องหอมต่างๆ หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มอย่างชากุหลาบและของที่ระลึกอีกมากมาย

ส่วนโซนที่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูปจะอยู่ด้านหน้า
ต้องตรงไปเรื่อยๆ และอยู่ไกลที่สุดในบรรดาที่ป้ายบอกทางไว้ทั้งหมด

หากเขาจะออกจากไร่นี้ด้วยตัวเอง แน่ล่ะว่าต้องเดินไปถึงปากทาง ตรงจุดที่นักท่องเที่ยวเดินเข้ามา

แต่สองขามันไม่ไหวแล้วนี่สิ

“โอ๊ย! เหนื่อย ไม่ไหวแล้ว ทำไมมันไกลอย่างนี้!” นรินทร์ตัดพ้อขึ้นมาเสียงดัง
ในชีวิตนี้ไม่เคยลำบากต้องมาเดินทางไกลเกือบชั่วโมง แถมอากาศก็ดันไม่เอื้ออำนวยอีก ท้ายที่สุดก็ยอมแพ้ให้กับโชคชะตา นั่งยองๆ ลงข้างทางที่เต็มไปด้วยพื้นหญ้า สองเท้าระบมเพราะรองเท้าคู่ใหม่ราคาถูกดันกัดจนแสบแดงเป็นแผลเหวอะไปหมด

จะเดินกลับยังไงไหว

สายตากวาดไปยังสองข้างทางก็ไม่พบใคร
รอบตัวมีแต่ต้นไม้ใบหญ้ากับเสียงลมที่พัดให้ต้นไม้เกิดการเสียดสีกัน พานให้เขารู้สึกใจหวิวแปลกๆ

ไม่มีคนเลย น่ากลัวยังไงไม่รู้

ถ้าเขายังดื้อยืนอยู่ตรงนี้ หรือเดินต่อไปโดยไม่รู้จุดหมาย

หากมืดค่ำขึ้นมาใครจะหาเขาเจอ

หรือเขาจะหาใครช่วยเหลือได้เพราะดูเหมือนจะไม่มีหวังเอาเสียเลย
เมื่อคิดถึงบรรยากาศรอบตัวที่หากฟ้ามืดจะเปลี่ยวลงทันทีราวกับอยู่คนละสถานที่ ริมฝีปากเล็กก็เริ่มเบะคว่ำพร้อมกับน้ำใสๆ ที่คลอเบ้าขึ้นมา

และทันทีที่จินตนาการว่าหากตัวเองต้องหลงอยู่ตรงนี้คนเดียว หาทางกลับไม่เจอจะทำอย่างไรนั้น

ภาพของบุคคลคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในหัวโดยอัตโนมัติ
ราวกับเป็นที่ยึดเหนี่ยวที่เขาจะนึกถึงเป็นคนแรก

เขตน์..

สุดท้ายความกลัวก็เอาชนะความอยากกลับกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ นรินทร์ลุกขึ้นยืนช้าๆ อีกครั้งด้วยแววตาสะท้อนความหมดทางสู้

ไร้ทางออก

แม้ฝ่าเท้าจะโดนรองเท้ากัดจนเลือดซิบแต่ก็จำใจเดินกะเผลก ฝืนความเจ็บหันหลังกลับไปยังทางเดิมที่จากมา
เวลานี้ที่ที่สบายที่สุด ก็คงจะเป็นเรือนนั้นแล้วล่ะ

เจ็บใจนัก ที่ตัวเองกำลังจะหนีออกจากที่นี่ได้แล้วเชียว แต่ร่างกายมันกลับยอมแพ้เอาดื้อๆ เสียได้

แต่รอให้เขาคุ้นชินกับพื้นที่ทั้งหมดก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นเมื่อไร นรินทร์คนนี้พร้อมจะหนีออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
ยามตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำ ร่างสูงคุมงานในไร่จนเสร็จ มองนาฬิกาตรงข้อมือก็พบว่าหนึ่งทุ่มตรงแล้ว มองดูคนงานที่ทยอยกลับบ้านไปทีละคนสองคนจนเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีจึงตัดสินใจขี่จักรยานกลับเรือนเฉกเช่นทุกวัน

‘ป้าทำกับข้าวให้คุณเธอทานแล้วนะคะ แต่คุณเธอไม่แตะเลย เคาะเรียกก็ไม่ยอมออกมา-
ป้าไม่รู้จะทำยังไงเลยเก็บกับข้าวไว้ในตู้ด้านหลังครัวแล้ว’ ระหว่างทางที่ปั่นจักรยานกลับ แม่ครัวที่กำลังจะกลับบ้านก็ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น พลอยให้ร่างสูงต้องถีบจักรยานด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

ก่อนจะรีบขึ้นเรือนมาเคาะประตูเรียกอีกคน

“คุณรินครับ เป็นอะไรรึเปล่า”
ทว่าไม่มีเสียงตอบรับออกมาจากห้องนอนเล็กนั้น มันทำให้เขากังวลว่าคุณชายตัวแสบอาจจะหนีไปในระหว่างที่เขาไม่อยู่ จึงตัดสินใจลองส่งข้อความไปหาอีกคนเพราะคิดแน่แล้วว่านรินทร์คงไม่มีทางทิ้งโทรศัพท์ตัวเองแล้วหนีไปง่ายๆ แน่

‘ติ๊ง!’

“เฮ้อ” เสียงข้อความจากโทรศัพท์ในห้องนอนทำให้เขตน์โล่งใจ
ที่อีกคนไม่ได้หนีหายไปไหน เพราะพื้นที่ของไร่นี้ใหญ่โตเกินกว่าที่ร่างผอมเพรียวเล็กๆ นั่นจะเดินออกไปคนเดียวได้

เขตน์เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง หยิบกุญแจที่ห้อยติดตัวอยู่ประจำทุกวันขึ้นมาไขประตูห้องนอนเล็ก เมื่อแง้มเปิดไปเบาๆ ชะโงกศีรษะดูลาดเลาคนที่อยู่ในห้องช้าๆ-
ก็เจอกับคนตัวเล็กที่นอนสิ้นฤทธิ์อยู่บนเตียง เสียงหายใจสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวนอนหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงคนที่เดินเข้ามาหากันเลยแม้แต่น้อย

ร่างสูงเดินเข้ามาประชิด จ้องมองไปยังใบหน้าเรียวเล็กนั้นที่หลับตาพริ้ม นอนหมดท่าทิ้งตัวหลับสนิทราวกับคนผ่านการใช้พลังงานมามหาศาล
ทว่าคราบฝุ่นสีคล้ำเล็กๆ บนใบหน้าและแขน รวมทั้งเหงื่อชื้นที่ขมับและท้ายทอยเป็นหลักฐานได้อย่างดี

ภรรยาจำเป็นคนนี้แอบไปซนข้างนอกมาอีกแล้วสิท่า เผลอเป็นไม่ได้จริงๆ

และถ้าให้เดา ภรรยาตัวดื้อของเขาคงหลงทางหรือไม่ก็กลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้นถึงได้เดินกลับมา
เพียงแค่คิด รอยยิ้มมุมปากก็เผยขึ้นมาเล็กน้อย

“ดื้ออีกแล้ว ไปซนที่ไหนมาอีกครับ หืม…”

น้ำเสียงนุ่มละมุน หัวเราะในลำคอเล็กน้อยให้กับความซุกซนไม่ยอมใครของคนตรงหน้าที่รู้วีรกรรมกันดีอยู่แล้วว่าความอยากเอาชนะไม่เคยลดเลือนหายไปง่ายๆ
กระนั้นก็ไม่ถือโทษโกรธคนตรงหน้า ออกจะสงสารเสียด้วยซ้ำ

ก็ใครให้ใช้วิธีเดินหนีออกจากไร่ที่ไม่รู้แม้กระทั่งทางออกล่ะ

“ยังดีที่กลับมาได้ เก่งแล้วครับ”

เขตน์ส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ ถือวิสาสะเกลี่ยรอยคราบสกปรกมอมแมมที่เปรอะเปื้อนตรงแก้มใสอย่างแผ่วเบา ห่มผ้าให้คนที่นอนอุ่นขึ้น
เกลี่ยเส้นผมที่ปรกลงมาเผยให้เห็นใบหน้าคนที่นอนอยู่ชัดขึ้น

เวลาหลับอีกคนดูน่ารักขึ้นเป็นกอง ไร้ซึ่งพิษสงและฤทธิ์เดช

ต่างจากตอนลืมตาตื่นที่เขาได้แต่ส่ายหัวให้กับความไม่อ่อนข้อให้ใครของคุณชายคนนี้
คนที่นอนอยู่คงไม่รู้ ว่าหากตัวเองลดความดื้อรั้นลงเพียงสักนิด จะน่ารักน่าเอ็นดูขนาดไหน

และถ้ามันเป็นอย่างนั้นขึ้นมาเมื่อไร

เขาคนหนึ่งล่ะที่อาจคลั่งรักตายอยู่บนไร่แห่งนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น
นรินทร์รู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกจากการประท้วงของกระเพาะอาหารที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เย็น

หลังจากร่างโปร่งเดินกระเผลกพยุงตัวเองกลับเรือนอย่างยากลำบาก จะหากล่องยามาทำแผลรองเท้ากัดที่เหวอะหวะก็ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นหาจากตรงไหน

สุดท้ายจึงตัดสินใจนอนเอาแรงก่อนค่อยว่ากัน
เนื้อตัวสกปรกก็ช่างมันก่อนแล้ว เขาไม่มีแรงจะอาบน้ำอะไรทั้งสิ้น

แต่ก็ไม่คิดว่าจะเผลอนอนยาวจนเวลาล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่ม

นรินทร์เปิดเปลือกตาตัวเองขึ้นช้าๆ พร้อมกับความรู้สึกแปลกที่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เขารู้สึกได้ว่าก่อนที่ตัวเองจะหลับตาลง ไม่ได้ห่มผ้าห่มจนมิดตัวเช่นนี้
ที่สำคัญแน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำแผลให้ข้อเท้าตัวเอง

แล้วพลาสเตอร์ยาที่แปะแผลจากรอยรองเท้ากัดนี่มาจากไหน

ร่างโปร่งกระเถิบตัวลุกขึ้นนั่งหย่อนขาทั้งสองข้างลงปลายเตียง สายตาจ้องไปยังฝ่าเท้าที่มีแผ่นพลาสเตอร์ยาติดไว้อย่างที่ดูก็รู้ว่าตั้งใจทำอย่างเบามือที่สุด
เพราะแผลแสบขนาดนี้ ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ตัวหรือเผลอสะดุ้งหากใครมาสัมผัสโดนมัน และคนคนนั้นก็คงเดินย่องเบากลับไปในห้องของตัวเองแล้วแน่ๆ

มีอยู่คนเดียว

อีกแล้ว…ทำไมต้องเป็นคนคนนี้

นรินทร์เม้มปากแน่น เจ้าตัวเกลียดตอนนี้ที่สุด

เกลียดที่อีกคนมาทำดีใส่ มาทำเหมือนหวังดี-
พูดจาหว่านล้อมคให้ใจอ่อน ทำตัวประหนึ่งเป็นพี่ชายแสนอบอุ่นที่เคยให้สัญญาว่าหัวใจทั้งสี่ห้องจะมีแต่น้องรินคนเดียวและจะคอยอยู่เคียงข้างน้องรินตลอดไป

แต่สุดท้ายก็โกหกกัน

สุดท้ายพี่เขตน์ก็ทำร้ายริน หักหลังริน ไม่ได้รักรินจริงเหมือนที่ปากพูด

ไม่เคยเลย
ร่างโปร่งจ้องมองพลาสเตอร์ยาบนข้อเท้าอยู่อย่างนั้น แววตาค่อยๆ ขุ่นมัวเพราะน้ำใสๆ ที่เริ่มคลอเบ้า ก่อนจะเงยหน้าสะบัดไล่น้ำตานั่นให้เหือดแห้ง กลืนก้อนสะอึกลงคอช้าๆ

แล้วตัดสินใจกระชากพลาสเตอร์ยานั้นออก

“อื้อ…ฮึก…” กลั้นเสียงตัวเองไว้ ไม่ให้ใครรู้ว่ารินเจ็บ

เจ็บ...ทั้งแผลและหัวใจ
ไม่ต้องมาทำดีให้ เพราะเขาจะไม่มีวันกลับไปหลงเชื่อการกระทำจอมปลอมเหล่านั้นอีกแล้ว

นรินทร์ขว้างพลาสเตอร์ยาลงถังขยะเล็กๆ ข้างเตียงนอนดวงตากลมโตสุดแสนเศร้าสร้อยยามนี้สอดส่องไปทั่วห้องนอนใหม่อันแสนคับแคบ

กับความรู้สึกที่นาทีนี้คงไม่มีใครเข้าใจได้เท่ากับตัวเขาเอง

คิดถึงบ้าน…
ที่นั่นต่อให้ต้องทะเลาะกับคุณพ่อ หรือดื้อรั้นกับคุณแม่ สุดท้ายก่อนนอนทุกคืนนรินทร์จะได้รับอ้อมกอดจากท่านทั้งสองเสมอ อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นและสัมผัสยามที่คุณแม่หอมแก้มปลอบโยนกันก่อนเข้าสู่ห้วงนิทรา

ไม่มีอีกแล้ว ความอบอุ่นนั้น

“คิดถึง ฮึก…รินคิดถึงคุณแม่”
ที่นี่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่เครื่องปรับอากาศสักตัว ทว่ายามนี้ร่างกายของนรินทร์งกลับหนาวสั่นไร้ที่พึ่งพิง ราวกับถูกทิ้งให้เดียวดายในที่ที่ไม่คุ้นตา

หน้าต่างไม้ที่ถูกเปิดไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเท ยามนี้มันกลับอนุญาตให้เสียงจิ้งหรีดและเสียงเสียดสีกันของต้นไม้ใบหญ้าเข้ามาให้รู้สึกใจหวิว
เคว้งคว้างเหลือเกิน

บรรยากาศรอบตัวน่ากลัวเกินไป ไม่ชอบเลยความรู้สึกแบบนี้

เพราะไม่เคยอยู่ จึงไม่รู้ว่าต่างจังหวัดยามค่ำคืนนั้นช่างโหวงเหวงพานให้ใจเสีย

กลัว ต้องทำอย่างไรถึงจะชินกับมันได้

นอนไม่หลับ

โครก…

เสียงประท้วงของกระเพาะอาหารดังขึ้นอีกครั้งจนนรินทร์ต้องปาดน้ำตาออก-
ลูบท้องตัวเองปอยๆ ที่นี่ไม่มีอะไรให้เขาได้ทานตามใจปากเหมือนที่กรุงเทพฯ และที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงไม่ออกไปหาของกินสักทีก็เพราะจำได้ว่าอีกคนเคยเตือนกัน

ถ้าไม่ออกมาทานอาหารตามเวลาที่กำหนดไส้ในแต่ละมื้อ ก็ต้องทนรอจนกว่าจะได้ทานในมื้อถัดไป

ซึ่งนั่นก็คือตอนเช้า
แต่เขาทนไม่ไหวแล้ว ทำยังไงดี

โครก…

จนในที่สุดร่างโปร่งก็ทนความหิวของตัวเองไม่ไหว ลุกขึ้นเดินทั้งที่ยังเจ็บแผลตรงข้อเท้า กระเผลกไปช้าๆ เอื้อมมือบิดลูกบิดประตูให้เบาที่สุด ก่อนจะแง้มมันออกมานิดเดียวเพื่อสำรวจลาดเลา

บ้านมืดสนิท
สงสัยไอ้บ้าเขตน์มันคงออกไปข้างนอกล่ะมั้ง ดีล่ะ เอาเป็นว่าขอเดินออกไปสำรวจตู้เย็นหลังครัวหน่อยเป็นไง ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่ได้เดินดูตัวเรือนรอบๆ เลย

ปกติคุณชายอย่างเขาไม่ทำกิริยาลับๆ ล่อๆ แบบนี้หรอกนะ แล้วก็ไม่มีวันแอบขโมยของกินคนอื่นในตู้เย็นหรอก
คนอย่างเขาน่ะมีแต่คนประเคนของกินให้ต่างหาก!

โครก…

แต่วันนี้มันไม่ไหวจริงๆ ขอวันนึงละกันน่า คงไม่เป็นไรหรอกมั้งนะ

คิดได้ดังนั้น คนตัวเล็กก็รีบวิ่งย่องออกมาจากห้อง รีบเดินตรงไปยังท้ายครัวพอดี และจังหวะที่กำลังจะเปิดประตูห้องครัวนั้น

พรึบ!

“กรี๊ด!”
นรินทร์ก็รีบยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมากอดตัวเอง เมื่อหลอดไฟกลางบ้านถูกเปิดขึ้นด้วยฝีมือของใครบางคน

“มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ กลางดึกครับเนี่ย ทำไมไม่เปิดไฟ”

“แกเองเหรอ ไอ้บ้า ทำฉันตกใจหมด!”

“ผมต่างหากที่ต้องตกใจ ถามจริงคุณไม่เห็นผมเหรอ ผมนั่งทำงานอยู่ตรงเทอเรสตลอดเลยนะ”
“ถ้างั้นแกก็…”

“ครับ ผมเห็นตั้งแต่คุณชะโงกหัวออกมาจากห้อง แอบย่องทำท่าประหลาดเมื่อกี้นี้แล้ว มีอะไรรึเปล่า” ร่างโปร่งหน้าถอดสีทันที่ที่ได้ยินอีกคนพูดจนจบประโยค ก็ใครมันจะไปมองเห็นเทอเรสด้านนอกโน้นล่ะ ไฟก็ไม่เปิดให้มันสว่าง มานั่งอะไรมืดๆ

ดูสิ หมดกัน!

“ฉะ-ฉันก็แค่ กะ-ก็แค่…”
“ก็แค่อะไรครับ” นรินทร์เผลอพูดตะกุกตะกักเมื่ออีกคนจ้องมองเค้นจะเอาคำตอบกันให้ได้ วิธีที่จะรอดพ้นจากสายตานั้นก็คงวิธีเดียว

โวยวายไว้ก่อน

“ก็ฉันร้อนน่ะสิ ที่นี่ไม่มีแอร์ พัดลมอะไรก็ไม่มีให้ฉัน แบบนี้ใครจะนอนลง! แล้วอีกอย่างที่นี่ไม่มีโทรทัศน์เลยหรือไง อยู่ที่นี่น่าเบื่อสุดๆ-
ฉันไม่มีอะไรทำเลย ออกไปไหนก็ไม่ได้ แล้วแกมานั่งทำอะไรมืดๆ จู่ๆ ก็เปิดไฟใส่กันแบบนี้ใครบ้างจะไม่ตกใจ หากฉันหัวใจวายตายใครจะรับผิดชอบ!”

“โวยวายอะไรขนาดนั้นครับเนี่ย”

“ก็…ก็…”

“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าผมขอโทษที่ปิดไฟมืดจนคุณมองไม่เห็น-
ผมอยู่ที่นี่คนเดียวมาตลอดจนชินเลยลืมไปว่าคุณเป็นคนขี้กลัว”

“เปล่าซะหน่อย! นี่ ไม่ต้องมาขำเลยนะ ฉันบอกให้หยุดหัวเราะไง!”

“ฮ่าๆ โอเคครับ โอเค ผมขอโทษ เอาเป็นว่าส่วนที่กลัวว่าตัวเองจะเบื่อหรือไม่มีอะไรทำ เลิกคิดได้เลยครับ เพราะมีงานอีกมากมายที่รอคุณรินอยู่”
“หมายความว่าไง”นรินทร์เอ่ยขึ้นอย่างหวาดระแวงเมื่อเห็นอีกคนยกมุมปากยิ้มบางๆ ที่ยั่วโมโหกันได้สำเร็จ

“อย่างที่บอกไปว่าที่นี่ไม่มีแม่บ้าน ผมต้องทำความสะอาดเรือนนี้ด้วยตัวเองคนเดียวมาตลอด แต่แทบไม่มีเวลา อย่างที่คุณเห็นในตอนนี้ว่าข้าวของบางอย่างก็กระจัดกระจาย บางจุดก็มีฝุ่นเกาะ”
“แกอย่าบอกนะว่าจะให้ฉันทำงานคนใช้อะไรนั่น ไม่นะ ฉันไม่ทำ!”

“ครับ หน้าที่คุณที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้คือทำความสะอาดเรือนของผม”

“กะ-แก…”

“ไม่สิ ผมพูดผิด…เรือนของเราต่างหาก เพราะคุณเป็นภรรยาผมแล้ว”

“ไอ้บ้า ชั้นไม่ทำงานชั้นต่ำแบบนี้ ฉันไม่ใช่คนใช้นะ แกตั้งใจเอาคืนฉันใช่ไหม!”
นรินทร์โวยวายเสียงดัง เวลานี้เรื่องราวมันกลับตาลปัตร กลายเป็นว่าคุณชายอย่างเขาต้องมาโดนอดีตลูกคนใช้ในบ้านจิกหัวใช้กัน

ราวกับกรรมนั้นกำลังตามสนองตัวเอง

ที่เคยพูดจาแดกดันอีกฝ่ายว่าเป็นแค่คนชั้นต่ำ ทำงานต่ำๆ และต่อให้อดีตจะผ่านไปกี่สิบปี กำพืดของมันก็ไม่มีวันจางหาย
คนใช้ยังไงก็เป็นได้แค่คนใช้อยู่วันยังค่ำ กรวดมันจะกลายเป็นเพชรได้อย่างไร นรินทร์เคยด่าอีกคนไว้อย่างนั้น

แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้ไอ้คนใช้นี่กำลังบังคับให้เขาทำงานแบบเดียวกับที่แม่และมันเคยทำ

ถึงแม้ทางกฎหมายที่ถูกบังคับให้เซ็นจะขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยา-
แต่แท้จริงแล้วมันคงต้องการให้เขาเป็นคนใช้ให้กับเรือนมัน ทั้งที่ไร่นี้ เรือนนี้ มันเป็นของคุณพ่อของเขา

มิน่าล่ะมันถึงไม่จ้างแม่บ้าน อย่างนี้นี่เองใช่ไหม

“ตั้งใจอะไรครับ ผมไม่เข้าใจ”

“แกรู้ว่าฉันเกลียดงานต่ำๆ เกลียดพวกคนใช้โดยเฉพาะแม่แก แกเลยคิดจะแก้แค้นฉันคืนใช่ไหม-
ที่ไม่จ้างแม่บ้านให้ฉันก็เพราะแบบนี้นี่เองสินะ”

“คุณรินครับ ผมไม่ใช่เด็กที่จะมาเจ้าคิดเจ้าแค้น เชิญคุณคิดเองเออเองไปคนเดียวเถอะ ผมเหนื่อยจะต่อล้อต่อเถียงกับคุณแล้ว ทั้งวันผมไม่ได้พักเลย แล้วที่ผมทำทั้งหมดไม่ใช่เพราะความสะใจ แต่เป็นก็เพราะพ่อของคุณท่านเป็นคนสั่ง-
และผมมีหน้าที่แค่ทำตามที่ท่านบอกไว้เท่านั้น”

“ไม่จริง คุณพ่อไม่มีวันทำร้ายฉันแบบนี้”

“เฮ้อ ผมไม่พูดต่อแล้วครับ นี่ก็ดึกแล้วด้วย ผมควรไปนอนสักที คุณก็ด้วยนะ” พูดจบก็สาวเท้าเดินไปยังห้องตัวเอง กำลังจะเปิดประตูเท่านั้น

“ไม่นอนเหรอครับ ผมจะปิดไฟแล้วนะ”

“เรื่องของฉัน!”

โครก…
นรินทร์สะดุ้งขึ้นมาเมื่อท้องตัวเองดันประท้วงขึ้นมากลางบทสนทนาเสียดื้อๆ ซ้ำยังร้องต่อหน้าคนที่ไม่อยากให้ได้ยินมากที่สุด

และไอ้คนตรงหน้าก็ดันยิ้มเมื่อประติดประต่อเรื่องราวในหัวได้ว่าที่ร่างโปร่งย่องออกมาจากห้องนอนเป็นเพราะอะไร

“นมสักแก้วไหมครับ ในครัวมีขนมปังอยู่ ถ้าไม่รังเกียจ”
“ไม่! ฉันไม่หิ--”

โครก…

และนรินทร์ก็ได้เห็นร่างสูงหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีกรอบให้เขาต้องเอามือขึ้นมาปิดใบหน้าตัวเองด้วยความอับอาย จ้ำอ้าวจะเดินเข้าห้องนอนตัวเอง

แต่ดันมีมือของอีกคนมาจับแขนกันไว้เสียก่อน

“อย่าดื้อเลยครับ ผมไม่อยากเห็นคุณปวดท้องนะ”
สุดท้ายทุกอย่างจึงจบลงด้วยการที่ร่างสูงนั่งยิ้มเพลินๆ จ้องมองอีกฝ่ายใช้ฟันกระต่ายตัวเองกัดก้อนขนมปังเคี้ยวตุ้ยๆ ตามด้วยดื่มนมจืดเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

“มุมปากเลอะนมหมดแล้วครับ มา ผมเช็ดให้”

ไม่รอให้อีกคนปฏิเสธ เขตน์หยิบทิชชู่บนโต๊ะอาหารขึ้นมาเช็ดมุมปากอีกคนอย่างแผ่วเบาที่สุด
พร้อมกับรอยยิ้มและแววตาคู่นั้นที่สะท้อนว่าเอ็นดูกันเหลือเกิน และมันอบอุ่นจนนรินทร์สัมผัสได้

รอยยิ้มนั้น แววตานั้น สัมผัสนั้น

พี่เขตน์…

ในช่วงจังหวะที่เหมือนเวลาจะหยุดนิ่งไปเฉยๆ สัมผัสจากปลายนิ้วมือยังคงอยู่ถึงแม้อีกคนจะผละออกจากกันไปแล้ว
ทว่าแววตาของเจ้าของนิ้วมือนั้นยังคงจ้องมาที่ใบหน้านวลดังเดิม มันทั้งนิ่งและมั่นคงเหมือนต้องการสื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าทุกอย่างที่ทำให้

มาจากหัวใจจริงๆ

ทำไมนะ ทำไมต้องมาทำดีใส่กัน อยากจะถามเหมือนกันว่าทำไม

มาทำดีใส่อะไรเอาตอนนี้
หรือนี่ก็เป็นคำสั่งจากคุณพ่อ ที่ต้องคอยทำดีกับเขาทั้งที่จริงแล้วในใจนั้นไม่เคยมีความจริงใจให้กันเลย

ความเงียบเข้ามาครอบงำจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ไม่ต่างจากเสียงของหัวใจที่เต้นระรัวราวกับแข่งว่าหัวใจของใครจะเป็นฝ่ายระเบิดไปก่อน
เขาต้องหยุดมันไว้ หยุดไว้เพียงเท่านี้

คุณชายนรินทร์จะไม่มีวันรัก

ไม่มีวันรักลูกคนใช้และเป็นต้นเหตุที่ทำครอบครัวเขาพัง

จะไม่มีวันรักเขตน์อีกแล้ว

“พอเถอะ…” นรินทร์เด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว กะพริบตาไล่ภาพที่สะท้อนนัยน์ตาอันแสนอบอุ่นคู่นั้นของอีกคนที่มองกันทิ้งไป
เขาไม่ควรจะมาใส่ใจกับการกระทำที่ไม่ออกมาจากหัวใจดวงนั้น

พี่เขตน์ของน้องรินอะไรนั่นน่ะ ก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่ง หรือต่อให้เคยมีจริง พี่เขตน์ของเขาก็คงตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว

ไปพร้อมกับหัวใจที่แหลกสลายไปเมื่อสิบปีก่อน
“ฉันรู้ว่าสิ่งที่แกกำลังทำ มันเป็นเพราะคำสั่งจากคุณพ่อเท่านั้น แต่ไม่ต้องทำมันทั้งหมดหรอก”

“คุณริน…”

“ไม่ต้องมาทำดีกับฉันตามที่คุณพ่อสั่ง เพราะฉันไม่ได้ต้องการความหวังดีปลอมๆ นี่อีกแล้ว”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะครับ”
“แค่สิบปีก็เพียงพอ มันเพียงพอที่ทำให้ฉันได้รู้ว่า…พี่เขตน์คนนั้นไม่เคยรักรินเลยแม้แต่นิดเดียว”

“คนดีครับ พี่ไม่เคย--”

“หยุดพูดคำนั้น อย่าพูดมันออกมา!”

คำว่าคนดีน่ะ คำนั้นที่ใช้เรียกกันเมื่อสิบปีก่อน

ได้โปรดอย่าพูดมันออกมาอีกเลย
“อยากจะจิกหัวใช้ยังไงก็เชิญ ให้คุ้มกับความสะใจที่ฉันเคยด่าแก ด่าแม่แก แต่ถ้าครบหกเดือนนี้เมื่อไร ได้โปรด…”

“……”

“เราอย่าได้พบเจอกันอีกเลย” ก่อนจะทิ้งให้ร่างสูงอยู่กับความว่างเปล่าในห้องครัวเพียงลำพัง

กับหัวใจที่แตกสลายทั้งสองดวง

เกินกู้กลับแล้วใช่ไหมคนดี
ขอโทษที่คืนนั้นไม่ได้อยู่ข้างริน ขอโทษที่ต้องปล่อยมือรินให้นั่งกอดเข่าร้องไห้คนเดียวท่ามกลางความมืด

‘คนดีครับ รอพี่อยู่ในห้องนอนก่อนนะ ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรอย่าออกไป แล้วพี่จะกลับมา’

‘ฮึก…พี่เขตน์ คุณแม่จะเป็นอะไรไหม คุณแม่โดนยาพิษจริๆ เหรอ’
‘ไม่ต้องกลัวนะครับคนดี แม่ของคนดีจะไม่เป็นอะไร’

‘แม่บ้านคนนั้น ฮึก…บอกว่าน้านิลทำ ไม่จริงใช่ไหม น้านิลไม่มีวันทำ…’

‘เชื่อใจพี่นะ พี่อยู่ข้างรินเสมอจำได้ไหม พี่กับแม่ไม่มีวันทำร้ายรินกับคุณท่านทั้งสอง อย่าร้องนะครับคนดี แล้วพี่จะกลับมา’
‘สัญญาก่อน สัญญากับรินว่าพี่เขตน์จะอยู่ข้างริน ฮึก…จะไม่ไปจากริน ไม่ทำร้ายริน’

‘ครับ พี่สัญญา’

ขอโทษที่พี่พูดความจริงเหล่านั้นออกมาไม่ได้ และขอโทษที่พี่ต้องเลือกเข้าข้างแม่นิล

ทั้งที่สัญญากันไว้แล้ว…

ว่าจะปกป้องเคียงข้างน้องรินตลอดไป
บอกแล้วไงว่าพี่เขตน์คนนี้ไม่มีอะไรดี ไม่มีดีเลยสักอย่าง

แม้กระทั่งวันที่คุณหญิงเนตรรู้ว่าตัวเองถูกวางยา คนอย่างเขาก็จำเป็นที่ต้องรับกรรมนั้นเพื่อปกป้องแม่นิล

และปล่อยให้ความจริงถูกกลืนหายไป

ไม่กล้าอาจเอื้อม ไม่กล้าคิดทัดเทียมอยู่คู่กับคุณรินอีกแล้ว
จำต้องปล่อยให้อีกฝ่ายเกลียดกัน สถานะคนใช้อย่างเขาจะมีสิทธิ์ทำอะไรได้

พ่อก็เสียไปแล้ว ไปพร้อมกับเรื่องราวมากมายที่ยังสะสางไม่จบ

คนที่มีความผิดติดตัวฐานลอบวางยาพิษคุณหญิงเนตรทั้งๆ ที่ไม่เคยแตะต้องกันแม้แต่ปลายเล็บ ดีแค่ไหนที่หม่อมปู่ท่านไม่ยัดข้อหาใส่ร้ายเขาและแม่ให้เข้าไปอยู่คุก
จึงทำได้เพียงกลืนอดีตนั้นลงคอ ปล่อยให้ความจริงมันตายไปพร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายของแม่

และเขาก็คงทำได้เพียงเก็บมันไว้อย่างนี้เพราะไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนให้คุณรินเจ็บปวดอีก หากพูดความจริงออกไป หม่อมปู่หม่อมย่าของนรินทร์เล่าจะเป็นอย่างไร
พวกท่านถึงกับตัดขาดกับครอบครัวของคุณชายกร ถอดยศจากหม่อมเหลือแค่คนธรรมดาเพราะคิดเข้าข้างเขากับแม่นิล ทั้งที่พวกท่านนั่นแหละที่เป็นคนทำ

ลอบวางยาพิษลูกสะใภ้ตัวเอง

ถ้าไม่ได้แม่นิลเข้าไปช่วยได้ทัน ท่านคงสิ้นใจไปอย่างไม่มีวันกลับ
แต่ใครเล่าจะรู้ว่าหม่อมปู่ท่านวางแผนไว้แล้วว่าแม่ของเขาจะต้องเข้าไปช่วยคุณหญิงท่านแน่นอน แล้วมันก็เป็นไปตามแผนที่วางไว้

ตั้งใจถอดยศและยึดทรัพย์สินทุกอย่างทั้งหมด หลงเหลือไว้แต่เพียงความอับอายและคำติฉินนินทาที่คุณชายกรอดีตราชนิกูล คบชู้เอาคนใช้ในบ้านมาเป็นเมีย
เมียหลวงอย่างคุณหญิงเนตรจึงต้องตรอมใจหย่า

ทว่าสงสารลูกเลยต้องฝืนใจอยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้

นี่คือสาเหตุที่เขารู้สึกผิดกับคุณชายกรและคุณรินมาโดยตลอด

ไม่อยากเป็นตัวน่ารังเกียจที่ทำให้ครอบครัวคนที่ตัวเองรักต้องแตกแยกกันอีกแล้ว
เขาทำแบบนั้นไม่ได้

และถึงแม้จะพูดอะไรออกไป คุณรินก็คงไม่อยากฟัง

ร่างสูงลุกขึ้นเอื้อมมือปิดไฟห้องครัว ปล่อยตัวเองให้จมกับความมืดอยู่อย่างนั้น ก้มหน้าไม่อยากให้ใครได้เห็นมุมอ่อนแอเพราะน้ำตามันไม่สามารถช่วยอะไรได้

ไม่สามารถทำให้รินกลับมารักกันเหมือนวันก่อน

“คนดี พี่…ขอโทษ”
.
.
เสียงนกและเสียงคนที่น่าจะเป็นแม่ครัวที่ขึ้นมาส่งอาหารให้เจ้าของเรือนเล็ดลอดเข้ามาในห้องนอน นรินทร์ที่โดนปลุกอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร ขยี้หัวตา

ตัวเองด้วยความหงุดหงิดที่คนด้านนอกห้องส่งเสียงน่ารำคาญรบกวนการนอนของตัวเอง
ยิ่งลืมตามองหน้าปัดนาฬิกาบนผาผนังสลับกับมองออกไปยังหน้าต่างที่ตะวันยังไม่แจ่มชัดขึ้นมายิ่งหงุดหงิด

เพิ่งจะตีห้าครึ่งเอง คนที่นี่จะรีบตื่นนอนกันไปไหน

นรินทร์สะบัดผ้าห่มคลุมโปง หลับตาลงอีกครั้ง แต่ก็ทำได้เพียงพลิกตัวไปมาเมื่อรับรู้ถึงเสียงฝีเท้าตึงตังอยู่ด้านนอก
บวกกับเสียงของคนงานในไร่ที่มารายงานออร์เดอร์ส่งชากุหลาบกันตั้งแต่ตะวันยังไม่โผล่ดี

“โอ๊ย ทนไม่ไหวแล้วนะ!” ในที่สุดนรินทร์ก็สะบัดผ้าห่มผืนหนาออก เด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็วด้วยชุดนอนบางๆ สีชมพูอ่อนที่เปลี่ยนหลังจากอาบน้ำใหม่เมื่อคืน
ไม่สนแล้วว่าด้านนอกจะมีใครบ้าง ขอให้ได้ด่าก่อนเถอะ มีอย่างที่ไหนมารบกวนเวลานอนของคุณชายอย่างเขา

ปึง!

“จะเสียงดังอีกนานไหม คนจะหลับจะนอน!”

ร่างโปร่งเปิดประตูห้องออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงโวยวายที่ทำให้คนในบริเวณนั้นได้แต่ยืนอึ้ง
แต่พอลืมตาขึ้นมามองดีๆ ก็พบกับคนงานหญิงชายประมาณห้าชีวิตที่ยืนจ้องเขาด้วยแววตาตื่นตะลึง พร้อมกับเจ้าของเรือนที่กำลังยืนถือเอกสารสั่งงานกันอยู่

“คุณริน!” เขตน์รีบเดินเข้ามาประกบตัวบังร่างโปร่งที่ยืนทำสีหน้าไม่ถูกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะประคองเอวเปิดประตูห้องนอนอีกครั้ง
และรีบปิดลงเพื่อไม่ให้ใครได้เห็นภรรยาตัวเองในสภาพนี้อีก

ใครสั่งให้ใส่เสื้อนอนบางๆ แบบนี้เดินออกมาจากห้อง!

“ทำไมไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนครับ เดินออกมาสภาพนี้ได้ไง”

“ก็…ก็ข้างนอกมันเสียงดัง ฉันนอนไม่ได้เลย” เจ้าตัวที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองในสภาพชุดนอนน่ะมันทั้งน่ารักน่าฟัดแค่ไหน
ไหน เขตน์ได้แต่ข่มอารมณ์ไม่ให้คล้อยตามไปกับภาพคนแก้มป่องภายใต้ชุดนอนสีชมพูที่คอปกเสื้อเว้าลึกจนคนแอบมองเผลอกกลั้นลมหายใจไปชั่วขณะ

“มะ-มองอะไรน่ะ!”

ร่างโปร่งที่เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองถูกจ้องด้วยสายตาไม่น่าไว้ใจก็รีบยกแขนกอดตัวเองอย่างรวดเร็ว
แค่เหตุการณ์ในห้องน้ำเมื่อวานก็น่าอายแล้วนะ ยังต้องมาเจอสายตาแบบเดียวกันกับเมื่อวานนี่อีก

“อะ-เอ่อ ขอโทษทีครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะมองนะ”

“ไอ้หื่นกาม!”

“คุณริน คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจจะมองอะไรเลยนะครับ!-เฮ้อ ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเรื่องเสียงคนงานที่รบกวนคุณ ผมขอโทษด้วย-
ผมลืมไปว่าตอนนี้มีคุณมาอยู่ด้วย ปกติคนในไร่นี้ตื่นตั้งแต่ตีสี่ คุณเลยยังไม่ชิน ยังไงก็รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะครับ นี่ก็จะหกโมงแล้ว แล้วก็อย่าแต่งตัวแบบนี้ออกมาอีกนะครับ ผมไม่อยากให้พวกคนงานมองคุณไม่ดี”

“รู้แล้วน่า แต่นี่เพิ่งหกโมงเอง ใครว่าฉันจะตื่น ฉันจะนอนต่อต่างหาก”
“ไม่นอนต่อแล้วครับ ผมบอกคุณไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานว่าคุณต้องตื่นหกโมงเช้าทุกวัน นี่ผมอ่อนข้อให้คุณแล้วนะ ไม่งั้นคุณคงได้ตื่นตีสี่พร้อมผม”

“มะ-”

“ไม่มีแต่ครับ ถ้าไม่อยากหิวเหมือนเมื่อคืนก็รีบออกมาให้ทันมื้อเช้านะครับ” ก่อนจะรีบก้มหน้าจ้ำอ้าวเดินออกจากห้องนอน
สะบัดความคิดบ้าๆ ที่เห็นเพียงซอกคอและขาวเนียนก็ใจกระตุกขึ้นมาเสียได้

ส่วนคนที่โดนจ้องมองก็หน้าร้อน คันแก้มขึ้นมาอีกแล้ว ไอ้อาการบ้าๆ นี่มันคืออะไร สงสัยคงต้องไปอาบน้ำอย่างที่อีกคนว่า อาการแปลกๆ นี่ถึงจะหาย

ร่างสูงเดินออกมาจากห้องนอนอีกคน กำลังจะสั่งงานลูกน้องต่อ-
ก็เริ่มสังเกตถึงสายตาแปลกๆ ที่คนงานลอบมองกันเป็นพักๆ และความอึดอัดนั้นก็เพิ่มทวีคูณ

“อะไร”

“เอ่อ นั่นเมียนายหรือจ๊ะ”

“ทำไมเหรอครับ”

“เปล่าจ้า ฉันแค่ตกใจ คนอะไรงามมาก ผิวขาวเป็นยองใยเชียว”

“เธอเป็นลูกคุณชายกร” เขตน์เงยหน้าจากเอกสารเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วน
ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย ไม่ชอบคำพูดที่ตะล่อมถามกันอย่างเสียมารยาท แถมยังแอบมองคนของเขาอีก

“ฉันว่าแล้วเชียว มิน่าล่ะถึงได้ดูดีมีสกุล ต่างจากพวกฉันเยอะเลย ตัวขาว หน้าสวย แก้มนี่เด้--”

พรึบ!

“จะพอได้รึยัง”
เสียงแฟ้มเอกสารปิดลงซ้ำยังกระแทกมันลงบนโต๊ะพร้อมกับสีหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจสะท้อนบนนัยน์ตาคู่นั้นนั้น

“จ๊ะ?”

“จะเลิกพูดจาล่อแหลมใส่คุณชายเธอได้รึยัง” น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยขึ้นเพียงเบาๆ ทว่ากลับดังแจ่มชัดข้างในหูของคนงานที่ยืนฟังด้วยกันทั้งหมด
“แล้วถ้ายังไม่เลิกแอบมองเมียคนอื่นแบบนี้ ระวังจะไม่มีงานทำ”

“จ้า ฉันจะไม่ทำแล้วจ้านาย ไม่พูดแบบนั้นอีกแล้ว”

“ดีครับ จำเอาไว้ว่าผมใจดีกับคนงานที่เคารพตัวเองและเคารพคนอื่น เพราะฉะนั้นอย่าให้เห็นใครทำอะไรคุณชายนรินทร์ หรือพูดจาไม่ดีใส่เขาอีก ถ้ายังอยากทำงานในไร่นี้ต่อ”
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเจ้านายตัวเองฟิวส์ขาด ชักสีหน้าโมโหเช่นนี้

และคนงานที่มาหากันแต่เช้าทั้งหมดก็ได้รู้ว่าเจ้านายตัวเองทั้งรักทั้งหวงเมียแค่ไหน

และอย่าได้คิดเอ่ยปากพูดถึงเมียนายเด็ดขาด ถ้ายังอยากกินอิ่มนอนหลับมีเงินมีงานทำในไร่แห่งนี้อยู่
ร่างโปร่งเปิดประตูออกมาจากห้องนอนใหม่อีกครั้งด้วยสภาพที่ดูดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่ ถึงแม้เสื้อผ้าที่ใส่จะขัดใจเจ้าตัวก็เถอะ ผมก็ไม่ได้รับการเซ็ตมาหลายวันแล้ว

คิดแล้วไม่อยากจะส่องกระจกเอาเสียเลย ได้แต่ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด เมื่อไรชีวิตของคุณชายนรินทร์จะกลับมาเป็นปกติเสียที
สายตานรินทร์สอดส่องไปยังบริเวณพื้นที่ตรงกลางเรือนที่เคยมีคนงานอยู่หลายชีวิต ตอนนี้กลับเหลือแค่เขากับใครอีกคนที่นั่งอยู่ตรงบริเวณเทอเรสพร้อมกับโต๊ะไม้เล็กที่เตรียมชามข้าวต้มไว้เสร็จสรรพเรียบร้อย

กลิ่นหอมกรุ่นของข้าวต้มแตะปลายจมูก-
ให้คนหน้าใสที่เพิ่งอาบน้ำมาหมาดๆ ดูสดใสน่ารัก รีบเดินทำแก้มป่องเมื่อเห็นชามข้าวต้มตรงหน้า ส่วนคนที่นั่งรอตรงเทอเรสแววตาเป็นประกายเมื่อเห็นท่าทางน่ารักเป็นธรรมชาติที่อีกคนเผลอแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว

ซ้ำกลิ่นสบู่ที่เขตน์ไม่เคยรู้เลยว่าเจลอาบน้ำกลิ่นกุหลาบที่ไร่เขาผลิตออกมาขาย-
จะหอมขนาดนี้เมื่ออยู่บนตัวอีกฝ่าย

ยิ่งเสื้อผ้าการแต่งตัวที่ผิดแผกออกไปจากเดิม เสื้อเชิ้ตคอปกสีครีมอ่อนกับกางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อน รวมทั้งทรงผมปรกหน้าลงมาอย่างเป็นธรรมชาติสะบัดพริ้วไหวไปตามลมที่ถ่ายเทตรงบริเวณเทอเรส

น่ารักจนใจสั่น
นรินทร์ก้มหน้าชิมข้าวต้มหมูที่ยั่วน้ำลายอยู่ตรงหน้า นั่งทานโดยไม่รู้ว่ามีคนกำลังนั่งจ้องหน้ากันจนอิ่ม และแล้วก็เริ่มรู้สึกเหมือนมีคนแอบมองกันถึงได้เงยหน้าออกจากชามข้าวต้มนั้น

สายตาก็ดันสบกันพอดี

ท่ามกลางความเงียบและเสียงของสายลมที่พัดปลิว-
แค่เพียงไม่ถึงสิบวินาทีที่สบตากัน แต่เหมือนโลกหยุดหมุนไปเนิ่นนาน กับความรู้สึกของหัวใจทั้งสองดวงที่พยายามต้านทานไม่ให้มันเกิดขึ้นและไม่ควรเกิดขึ้น

หวั่นไหว

อีกแล้ว
“แค่กๆ”

นรินทร์เป็นฝ่ายตัดโมเม้นต์แปลกๆ ให้จบลงโดยการแสร้งทำเป็นไอกลบเกลื่อน ทว่าสายตาเลิ่กลั่กที่ดูยังไงก็ปิดไม่มิดก็ช่วยให้ฝ่ายเขตน์ที่จ้องคนตักข้าวต้มเข้าปากอยู่กลับมาได้สติ กระแอมเบาๆ ในลำคอ พร้อมกับความรู้สึกหลากหลายยากจะอธิบาย

ก่อนจะเข้าบทสนทนาใหม่ไม่ให้อีกคนตั้งตัวทัน
“วันนี่คุณต้องเริ่มงาน เดี๋ยวจะมีป้าที่เขาเป็นภรรยาของคนงานในไร่มาสอนงานบ้านคุณ คุณต้องทำตามที่เขาสอน ห้ามว่าห้ามด่าเขานะครับ เข้าใจไหมครับ”

“เอ๊ะ! ไอ้บ้านี่ พูดไม่ฟังหรือไงว่าฉันไม่ทำงานสกปรกแบบนี้ ถ้าเกิดฉันแพ้ฝุ่นขึ้นมาล่ะใครจะรับผิดชอบ แกเหรอ? มีปัญญารึเปล่า ไอ้..”

“หยุด!”
นรินทร์อ้าปากค้าง มองดูคนเดี๋ยวนี้ชักเหิมเกริม เป็นลูกคนใช้แล้วยังเสนอหน้ามาออกคำสั่งให้เขาทำนู่นทำนี่ แล้วนี่ยังกล้าขึ้นเสียงสั่งให้เขาหยุดอีก

“ไอ้--“

“ถ้าไม่หยุด ผมจะไม่ให้คุณทำงานบ้าน” ตามด้วยประโยคต่อมา

“แต่เป็นตักขี้วัวผสมปุ๋ยแทน” เท่านั้นคนที่กำลังจะเถียงก็หุบปากลงทันที
“ผมไม่ได้จ้างป้าเขาเป็นเงินก็จริงแต่เขายินดีตบปากรับคำที่จะช่วยเหลือ ฉะนั้นผมอยากให้คุณรินทำดีกับเขาหน่อยนะครับ”

“เห็นฉันเป็นนางร้ายรึไง”

“เปล่าครับ ที่ผมพูดเพราะต่อไปในอนาคตไร่นี้จะตกเป็นของคุณ หกเดือนหลังจากนี้พอผมไม่อยู่แล้ว ถ้าคุณทำให้พวกเขาเชื่อใจได้ก็จะดีกับตัวคุณนะครับ”
ประโยคล่าสุดที่จู่ๆ เขตน์ก็พูดขึ้น นรินทร์รู้ดีว่ามันเป็นเพราะอะไร เพราะเขาเองที่ดันไปบังคับให้อีกคนสัญญาว่าจะออกจากไร่นี้ตัวเปล่า

ทั้งที่พูดไปแล้ว

แต่ทำไมพอผ่านมาได้แค่สองคืน กลับรู้สึกวูบโหวงกับคำพูดเหล่านั้นเสียเอง

บ้าน่า คนอย่างรินน่ะ ศักดิ์ศรีมาเป็นที่หนึ่ง
ทำไมต้องเสียดายกับคำพูดพวกนั้นด้วย!

“รู้ตัวก็ดี ฉันจะยอมเชื่อฟังป้าอะไรนั่นของแกก็ได้ แต่อย่าทำฉันอารมณ์เสียนะบอกไว้ก่อน แล้วอย่าคิดว่าจะใช้งานฉันแบบนี้ตลอดไปได้นะ เพราะฉันไม่มีวันแตะงานสกปรกนี่ซ้ำสอง”

“ไม่พูดแล้วครับ เพราะถ้าแค่งานบ้านคุณยังไม่ทำ ผมจะให้คุณไปตักขี้วัวจริงๆ”
“ไอ้บ้าเขตน์ ไอ้ทุเรศ ไอ้...นี่ เดี๋ยวสิ กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ กล้าดียังไงลุกขึ้นเดินหนีทั้งที่ฉันยังพูดไม่จบ ไอ้เขตน์ ได้ยินไหม กลับมาาาาา!”

อีกฝ่ายทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวกับคำด่าที่พรั่งพรูออกมาสารพัด เขตน์อยู่ฟังไม่ได้แล้ว

ขืนฟังต่อก็มีแต่เอาหัวใจตัวเองเข้าไปเจ็บซ้ำๆ
‘มึงนี่นะเขตน์ โดนเขาด่าขนาดนี้ก็ยังไม่เข็ด หลงอะไรขนาดนั้นวะ คุณรินเค้ามีอะไรน่าหลงนอกจากปากคอเราะร้ายนั่น’

เพราะพวกเพื่อนเขาไม่เคยเห็นภาพน้องรินของพี่เขตน์คนนี้ที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นต่างหาก

นอกจากเขา

เขตน์เข้าไปดูแลไร่กุหลาบเหมือนเคย เป็นเจ้าของไร่ที่ดูแลเอาใจใส่งานและลูกน้อง
แม้รู้ว่าอีกหกเดือนข้างหน้าจะต้องวางมือจากพื้นที่แห่งนี้ไป แต่ก็คิดอยู่เสมอว่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ดูแลทุกอย่างให้คงอยู่ในสภาพดีที่สุด

ยังเหลืองานมากมายที่ต้องเคลียร์และหาคนมารับผิดชอบแทน ซึ่งเขาก็คงได้แต่หวังว่าคุณชายกรจะสามารถหาคนที่ดีกว่าเขามาดูแลไร่นี้ต่อได้
แต่มันไม่ผิดใช่ไหมที่เขาจะหวังว่าคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่นั้นแทนคือคุณริน

อยากให้คุณรินอยู่ดูแลไร่นี้แทนเขา เพราะคุณรินคือเจ้าของไร่ที่แท้จริง ที่เขตน์คนนี้ตั้งใจสร้างมันด้วยหัวใจ

และพละกำลังที่มีทั้งหมด

กระนั้นก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้
ใครจะยอมทิ้งชีวิตแสนหรูหราของตัวเองมาจมปลักอยู่กลางท้องไร่ท้องนาที่มองออกไปก็มีแต่ภูเขา

กับกุหลาบที่สักพักเจ้าตัวก็คงเบื่อ

แต่ยอมรับว่าเขตน์ตั้งใจวางแผนให้คนงานในไร่ทยอยสอนงานนรินทร์ เผื่อหวังว่าสักวันที่กลับมาเหยียบไร่นี้ คนงานที่เหลือจะไม่รังเกียจคุณรินของเขา
เป็นอย่างเดียวที่จะทำให้ได้ก่อนจากกัน

“คุณนายเธอไม่มาด้วยหรือจ๊ะ วันนี้ป้าทำขนมเปียกปูนมาให้ อยากให้เมียนายได้ลองชิม เห็นว่าเป็นคนกรุงคงไม่ได้กินขนมบ้านๆ”

ป้าเปียก แม่ไอ้เปรมที่มักจะทำขนมมาฝากเขาและคนงานแถวนี้บ่อยๆ เนื่องด้วยชีวิตคนแถวนี้นอกจากทำสวนก็ไม่มีงานอื่น
มีอะไรก็รับทำหมด อีกทั้งยังเฝ้ารอว่าจะมีใครมาจ้างงานกัน

เขตน์เป็นคนยื่นมือมาช่วยคนแถวนี้ รวมทั้งเปรมที่อายุยี่สิบต้นๆ แต่จบได้เพียงแค่ป.4 ต้องมาช่วยแม่ทำขนมขายเพราะไม่มีรายได้จากช่องทางอื่น

“ขอบคุณนะครับป้าเปียก พักบ้างก็ได้นะครับป้า เปรมมันมาทำงานกับผมแล้ว ไม่ต้องลำบากหรอก”
“ไม่ได้สิ นายช่วยเหลือป้ากับไอ้เปรมมันไว้มาก ป้าก็ต้องตอบแทน ว่างๆ พาคุณนายเธอมาด้วยสิ เธออยากกินอะไรบอกป้ามา เดี๋ยวป้าจะทำให้ ในเมืองไม่มีขนมอร่อยๆ แบบนี้หรอกเชื่อป้า”

เขตน์รับปิ่นโตเล็กๆ จากมือคนแก่กว่า ยิ้มรับอย่างจริงใจ

ในโลกกว้างใหญ่ใบนี้มีหลายสิ่งที่ใช้เงินซื้อได้มากมาย
แต่อีกคนจะรู้ไหมว่ายังมีอีกหลายสิ่งเช่นกันที่ต่อให้มีเงินเท่าไรก็ไม่สามารถซื้อมันมาได้

“ผมจะกินให้หมดเลยครับป้า”

“แบ่งเมียนายด้วยซี ไม่พอมาบอกป้านะ”

“ครับ”

.

ครึ่งเช้าหมดไปอย่างรวดเร็ว เขตน์รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คนงานเริ่มทยอยไปกินข้าวเที่ยง
ปกติแล้วเขาจะนั่งร่วมโต๊ะกับพวกคนงาน กินอาหารในโรงครัวใหญ่พร้อมกับคนอื่นๆ จะได้ไม่เสียเวลาเดินไปกลับหลายๆ รอบ

แต่พอรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง

เงียบหายไปเลย ป่านนี้จะเป็นไงบ้างนะ โทรศัพท์ก็ไม่ติดต่อมา

อย่างน้อยโทรมาโวยวายใส่สักคำก็ได้
นี่ก็เที่ยงแล้วด้วย จะได้กินข้าวรึยัง กับข้าวจะถูกใจไหม จะยอมกินไหม และอีกสารพัดความเป็นห่วง

“นายไม่กินข้าวเหรอครับ เดี๋ยวผมตักให้”

“วันนี้มีแกงอะไร เผ็ดรึเปล่า”

“มีทั้งเผ็ดและไม่เผ็ดครับนาย แต่แปลก..”
เขตน์เงยหน้ามองลูกน้องที่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ พร้อมกับถือถ้วยที่ไข่พะโล้ชามใหญ่
“ปกติจะทำแกงแค่อย่างเดียว วันนี้มีแกงตั้งสองอย่าง เผ็ดหนึ่ง ไม่เผ็ดหนึ่ง แต่ก็ดีครับ ลาภปากเลย แหะๆ”

ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องขอบคุณคุณชายแสนเรื่องมากของเขาแล้วล่ะ ที่ทำให้คนงานได้กับข้าวเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง

และเขาก็หวังว่านรินทร์จะยอมกินไข่พะโล้แต่โดยดี
เพียงแต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดกินหมดไปสองชามเต็มๆ ขนาดนี้

“อย่างที่เห็นเลยค่ะคุณเขตน์ ไข่พะโล้หมดเกลี้ยง”

บางทีก็สงสัยเหมือนกัน ว่าคุณรินไปอยู่ไหนมา ทำไมโลกของเขากับอีกคนมันถึงช่างแตกต่างกันอย่างนี้

คิดแล้วก็สงสัย เมื่อตัวเองกลับมาที่เรือนด้วยความเป็นห่วง
แต่กลับเจอคนตัวเล็กกำลังเคี้ยวตุ้ยๆ ยัดไข่พะโล้เข้าปาก พร้อมกับบอกป้าที่เขามอบหมายวานให้ช่วยสอนงานกันว่า

‘ตักมาให้ฉันอีกชาม และคั้งแต่นี้ต่อไปทุกมื้อต้องเมนูนี้ขึ้นโต๊ะ’

มันทำให้เขตน์ต้องเม้มปากกลั้นขำอยู่อย่างนั้น แม่จะโดนอีกฝ่ายด่ากลับมาเช่นเคยก็ตาม

น่าเอ็นดูชะมัด
ก่อนจะกลับมาขมวดคิ้วเครียดอีกครั้งเมื่อเพิ่งสังเกตได้ว่าข้าวของภายในบ้านถูกรื้อกระจัดกระจายไปตามพื้น

“นี่มันอะไรกันครับ”

“จะอะไรล่ะ ก็ทำความสะอาดน่ะสิ ยัยป้านั่นบอกฉันว่าอะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งซะ”

พร้อมกับการกระทำของคนตรงหน้าที่เขตน์ถึงกับจุกจนพูดไม่ออก

รูปเขากับคุณรินสมัยยังเด็ก
ที่เก็บไว้ในกล่องความทรงจำอย่างดี ถูกรื้อขึ้นมาโดยอีกคน

ทว่าสภาพตอนนี้กลับนับเยืนเพราะถูกขยำอย่างแรง ก่อนที่คนขยำมันจะปามันทิ้งลงถุงดำที่กองไว้กลางบ้าน

“อะไรที่เป็น ‘ขยะ’ ก็ต้องทิ้ง”

“คุณริน!”

“จำเอาไว้ แกมันก็แค่ขยะสำหรับฉันเท่านั้น อ้อ แล้วก็นะ ยัยป้านั่นให้ฉันซักผ้าให้แก-
แต่ของต่ำๆ จากคนต่ำๆ ฉันก็จะให้มันได้รับบทเรียนว่าอย่าริอาจมาสั่งงานฉัน โน่น อยากได้เสื้อผ้าคืนล่ะก็ ฉันแช่ไว้ให้ในกะละมังโน่นแล้ว พร้อมกับเทผงซักฟอกให้เสื้อผ้าแกหนึ่งกล่องเต็มๆ ฟองเยอะหน่อยนะ อาจจะท่วมหลังเรือนแกหมดแล้ว จัดการเองแล้วกัน”

“คุณมันทุเรศที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา!”
“อย่ามาพูดกับฉันแบบนี้นะไอ้คนชั้นต่ำ!”

“ทำไมผมจะพูดไม่ได้ นิสัยคุณมันสกปรก รู้ตัวเองบ้างไหม!” เขตน์ตะคอกใส่อีกฝ่าย ตั้งใจให้ได้ยินทุกคำพูด

พอแล้วกับความรู้สึกดีๆที่มีให้

เมื่อคนตรงหน้าไม่เคยคิดจะรับมัน ซ้ำยังเอามีดกรีดกลางใจกันซ้ำๆด้วยคำพูดต่างๆนานา

“หึ! สกปรกเหรอ แม่แกมันส-“
“ถ้าจะพูดว่าแม่ผมสกปรก คุณก็ดูตัวเองบ้างนะ ส่องกระจกดูตัวเองว่าคำพูดแต่ละอย่างที่ออกมามันสกปรกแค่ไหน ผมไม่แปลกใจเลยคุณชายกรยังเอาคุณมาปล่อยไว้กับผม แถมยังโดนแฟนตัวเองทิ้ง”

“ก-แก”

“รู้ตัวไว้ด้วยนะครับ ว่าไม่มีใครเขาเอาคุณแล้ว ก่อนจะด่าผมว่าขยะ ดูตัวเองหน่อย!”

เพล้ง!
เสียงกรีดร้อง ตามด้วยถ้วยชามที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารถูกปาตกแตกกระจายไม่มีชิ้นดี สภาพพื้นครัวเละเทะไปด้วยเศษอาหารและเศษแก้วที่อีกคนตั้งใจระบายอารมณ์มันออกไป

ไม่จริง เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่ได้เป็นขยะ ไม่ได้กำลังถูกทิ้งเหมือนที่ไอ้บ้าเขตน์มันพูด

“ฮึก...ไม่จริง ฉันไม่ได้ถูกทิ้ง!”
สองมือเล็กที่แนบลำตัวกำลังสั่นเทาด้วยความกลัว นรินทร์เกลียดสิ่งนี้

เกลียดความจริงที่ต้องยอมรับ

ว่าเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ

แม่ทิ้งเขา พ่อทิ้งเขา หม่อมปู่และหม่อมย่าทิ้งเขาและความหวังสุดท้ายของน้องรินคนนี้ที่เคยอยากให้พี่เขตน์อยู่เคียงข้าง

แต่สุดท้ายก็ทิ้งกัน

ไม่เหลือใครแล้ว
ร่างสูงยืนอึ้งเมื่อตัวเองยอมให้อารมณ์ร้ายจองตัวเองเข้ามาครอบงำเหนือเหตุผล เผลอพูดจาแบบนั้นออกไป

ทั้งที่ไม่ชอบที่อีกคนพูดจาไม่ดีใส่ แต่เขาดันโต้ตอบด้วยวิธีเดียวกันซะเอง

สุดท้ายก็บานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่อีกจนได้

“คนดีครับ พี่-”

“ฮึก...ไม่ต้องมาจับ ไม่ต้อง..ฮึก..มาจับแขนริน”
พร้อมกับสะบัดแขนที่อีกฝ่ายรีบพุ่งเข้ามาจับกัน

“พี่ขอโทษ คนดีอย่าโกร—“

ปัง!

พังอีกแล้ว เขาทั้งคู่ทำมันพัง ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไรแล้วที่เขตน์และนรินทร์ต้องผิดใจกันเพราะคำพูดบ้าๆ

เสียงปิดประตูและเสียงสะอื้นที่สะท้อนออกมานอกห้องเป็นหลักฐานได้ดี

ครั้งนี้เขาทำเกินไปรึเปล่านะ
“เกิดเรื่องอะไรกันขึ้นคะคุณเขตน์”

คุณป้าที่อาสามาช่วยสอนงานร่างโปร่งวันนี้ทักขึ้นหลังจากไปดูความเรียบร้อยที่หลังบ้าน พอเดินเข้ามาก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันใหญ่โตพร้อมกับเสียปิดประตูโครมครามจนต้องรีบเดินเข้ามาดู

“ปะ-เปล่าครับ”

“คุณนายเธอโกรธหรือคะ เมื่อกี้ยังเห็นอารมณ์ดีอยู่เลย”
อารมณ์ดี?

คุณรินเนี่ยนะอารมณ์ดี ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายยิ้มเลยสักครั้ง

“เอ่อ ถ้าเขาทำอะไรให้ป้าหนักใจบอกผมได้เลยนะครับ”

“หนักใจอะไรคะ คุณนายเธอเชื่อฟังจะตาย ให้หยิบจับอะไรก็ทำหมดไม่มีเกี่ยง แถมยังถามอีกว่าปกติคุณเขตน์ชอบจัดบ้านแบบไหน”
“ครับ?”

เดี๋ยวนะ เขาหูฟาดไปรึเปล่า คนอย่างคุณชายนรินทร์น่ะหรือจะยอมหนิบจับทำงานบ้านง่ายๆ

“ค่ะ ถึงจะจับโน่นจับนี่ไม่คล่อง บ่นว่าเหนื่อยบ้าง แต่ก็ตั้งใจมากทีเดียวเชียว กองขยะที่รื้อของออกมานี่ก็ฝีมือคุณนายทั้งนั้น เธอบอกว่าเรือนคุณเขตน์เอกสารเยอะ ฝุ่นจะเกาะเอาค่ะ”
ยิ่งฟังเขตน์ก็ยิ่งขมวดคิ้วยุ่ง จะเป็นไปได้เหรอ ในเมื่อคุณรินที่เขารู้จักกับคุณรินที่ถูกเล่าโดยคนอื่น

ไม่เหมือนกันแม้แต่ปลายเล็บ

มันต้องมีอะไรเข้าใจผิดไปแน่ๆ หรือนรินทร์จะมีแผนอะไร

ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมอีกใ่ายถึงลุกขึ้นมาทำตามที่คนอื่นสอนกันง่ายๆ

ง่ายเกินไป
“แล้วหลังบ้านล่ะครับเป็นไงบ้าง ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าจองผมจะเละเทะแล้ว..”

“หืม เละเทะอะไรคะ”

“ก็ผมได้ยินว่าคุณรินเธอใส่ผงซักฟอกจนหมดกล่อง”

“อ๋อ อันนั้นไม่ใช่เสื้อผ้าคุณเขตน์หรอกค่ะ แต่เป็นผ้าขีริ้วที่แ้าให้คุณนายเธอลองซักดู แต่เธอกะปริมาณไม่เป็น ไม่รู้ว่าต้องเทใส่เท่าไร-
ป้าผิดเองด้วยที่ไม่ได้อยู่กับคุณนายตลอด เลยไม่มีใครบอก แต่คุณนายเธอไม่ได้ใส่หมดกล่องนะคะ ใส่แค่ครึ่งกล่อง พอฟองมันท่วมก็รีบวิ่งมาบอกป้าเลยค่ะ บอกว่ากลัวคุณเขตน์ดุเอาว่าทำไม่ดี”

ไม่เชื่อ เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด คุณรินตัวจริงไม่น่าใช่แบบนั้น

“ส่วนเสื้อผ้าคุณเขตน์ โน่นแหนะค่ะ-
คุณรินเธอซักตากให้แล้ว ตั้งใจซักมือทีละตัวเชียวนะคะ บอกให้ใส่เครื่องซักผ้าทีเดียวก็ไม่เอา ป่านนี้มือคงแสบหมดแล้ว ตอนขึงเชือกตากก็ทำเองไม่ไหว เดินเข้าไปขอให้คนงานแถวนั้นช่วย น่าเอ็นดูไม่หยอก”

“ที่เล่ามา จริงเหรอครับ”

“จริงสิคะ ไปถามลุงมีได้เลย แกช่วยคุณนายขึงเชือกตากผ้านี่แหละ”
ถ้างั้นที่คุณรินพูดใส่เขาทั้งหมดคืออะไร แค่ต้องการประชดกันงั้นหรือ

“ตอนแรกป้าก็คิดว่าคุณนายเธอจะดื้อ เห็นคุณเขตน์บอกว่ากำราบยาก ที่ไหนได้ ไม่ด่าใครเลยสักคน แถมยังขอบคุณลุงมีที่มาช่วยขึงเชือก ขอบคุณแม้กระทั่งป้าเองที่มาช่วยสอนงาน บอกว่าอยากให้คุณเขตน์กลับมาเห็นว่าบ้านสะอาด”
ร่างสูงเอามือกุมขมับ สับสนไปหมดแล้วว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนปลอม

นรินทร์จะทำแบบนั้นทำไม แลก้งทำดีกับคนงานหรือ? หรือว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงแค่การประชดกัน

ไหนบอกว่าเกลียด แล้วมาทำดีทำไม

“เธอบอกว่าอยากกลับบ้านค่ะ ถ้าเกิดทำตามคำสั่งยอมเชื่อฟังที่คุณเขตน์บอก เธออาจจะได้กลับบ้าน”
“อ้อ...”

อย่างนี้นี่เองสิเหตุผลที่ทำก็มีเพียงเท่านี้ เพราะแค่อยากจะเอาชนะ ให้เห็นว่าตัวเองทำได้ดี บางทีเขาอาจจะยอมให้อีกใ่ายกลับกรุงเทพฯได้เร็วขึ้น

คงเกลียดที่นี่มากสินะ

ไม่สิ คงเกลียดเขามากกว่า

“เอ๊ะ...ภาพนั่น” คนอายุมากกว่าหยิบภาพจากกองถุงดำที่ยับจากการขยำของอีกคนเมื่อครู่
เพียงแค่หางตาเหลือยไปเห็นสภาพของทัน ใจของเขตน์ก็แทบรวดร้าว

หมดแล้ว ความทรงจำดีๆ เหล่านั้น แม้กระทั่งรูปถ่ายใบสุดท้ายก็ไม่มีเหลือ

“นี่มันอันที่คุณรินเธอปริ้นต์เมื่อกี้นิคะ ทำไมเอามาขยำทิ้งเสียแล้วล่ะ”

“อะไรนะครับ” เขตน์รีบหยิบรูปถ่ายใบนั้นจากมือของคนอายุมากกว่า
ก่อนจะรับรู้ถึงสัมผัสกระดาษที่เปลี่ยนไป

ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่รูปถ่ายใบเดิมของเขา มันเป็นแค่รูปที่ปริ้นต์แสกนออกมาเท่านั้น

“คุณรินปริ้นต์ออกมาเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ ตอนรื้อของ ป้าเห็นเธอเปิดกล่องไม้เล็กๆ แล้วก็นั่งยิ้มอ่านจดหมายในนั้น พอหยิบนูปถ่ายออกมาก็ถามป้าว่าที่นี่มีเครื่องแสกนไหม”
เขตน์ยืนฟังต่อไปด้วยหัวใจที่เต้นระรัว

“จากนั้นเธอก็เอารูปไปแสกนแล้วก็ปริ้นต์ออกมาค่ะ ส่วนรูปถ่ายนั่นเธอเก็บใส่กระเป๋าสตางค์มั้งคะ ป้าก็ไม่แน่ใจ ส่วนกล่องกับจดหมายทั้งหมดก็เอาเข้าไปเก็บในห้องนอน ว่าแต่ทำไมมันถูกขยำเละแบบนี้ล่ะคะ”

คนฟังมือสั่นยากจะควบคุมเมื่อได้รับรู้บางอย่าง
เขาน่ะรู้นิสัยน้องรินยิ่งกว่าใครๆ น้องทำแบบนี้เพียงเพื่อประชด เพื่อทำให้เขาเจ็บช้ำเหมือนที่ตัวเองเจอ

แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธกันและกันได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา

มีแต่คิดถึง..

และเขาทำพลาดที่ดันพูดจาไม่ดีออกไปแบบนั้น

ไม่ว่ารินอยากจะออกจากที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร เขาอยากจะทำให้รินเปลี่ยนใจ
“ป้าครับ เดี๋ยวผมวานให้คนงานขึ้นมาเคลียร์ขยะตรงนี้ให้เรียบร้อยนะครับ ห้ามเสียงดัง”

“แล้วคุณเขตน์..”

ร่างสูงไม่รีรอที่จะให้คำตอบใครทั้งนั้น ตรงปรี่ไปยังหน้าห้องนอนเล็ก พยายามควบคุมมือที่สั่นเทาของตัวเอง หยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาไขมันพร้อมกับแง้มประตูเข้าไปช้าๆ

“คนดีคะ..”
ร่างสูงที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องของอีกคนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน ปิดประตูให้เบาที่สุด ย่องเข้ามาหาเจ้าของห้องที่ตอนนี้ไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งนั้น นอกจากนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง

กับเสียงสะอื้นที่เล็ดลอดมาให้ได้ยินเบาๆ

เพราะว่ามีอะไรไม่เคยพูดกันดีๆ-
สุดท้ายก็เลยเข้าอีกรอบเดิม ผิดใจกันซ้ำๆ ลากยาวมาจนถึงสิบปี

มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

อาจเป็นเพราะไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่าย เพราะรู้ความผิดว่าเขาเองเป็นคนปล่อยมือน้องในวันนั้น ทั้งที่ ณ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่น้องจิตใจย่ำแย่

และต้องการเขามากที่สุด
แต่เขากลับเลือกที่จะทิ้งน้องไว้อย่างนั้น สิบปีที่ผ่านมาจึงได้แต่ก้มหน้าให้อีกคนด่ากันให้สมใจ

ถ้าเขาและแม่ไม่ก้าวเข้ามาในชีวิตของนรินทร์ อะไรๆ ก็คงจะง่ายกว่านี้ ไม่มีใครต้องเสียใจ และไม่มีใครต้องแบกรับความเจ็บช้ำเหมือนที่นรินทร์กำลังเป็น

เขตน์เดินเข้าไปยังปลายเตียงช้าๆ
เสียงสะอื้นของอีกคนหยุดลงทันทีที่รู้สึกถึงพื้นที่อีกฝั่งของเตียงยุบลงไป

ตามมาด้วยสัมผัสของวงแขนที่ร่างสูงกอดกันไว้จากด้านหลัง ผ่านผ้าห่มที่กำลังคลุมโปงนั้น

“เรามาคุยกันดีๆ ได้ไหมครับคนดี พี่รู้ว่าพี่ผิด พี่ผิดไปแล้วและจะไม่ขอให้คนดีให้อภัย แต่คนดีช่วยเห็นใจ..”
ร่างสูงพยายามเค้นเสียงตัวเองออกมาแม้จะสั่นเครือก็ตาม

“ช่วยสงสารกันหน่อยได้ไหม พี่จะเป็นคนใหม่ จะไม่ขี้ขลาด ไม่ปล่อยมือคนดีอีกแล้ว แต่ถ้าคนดีไม่รักพี่ก็ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรเลยครับ”

“ฮึก...”

“ขอให้พี่-ขอให้ผมได้รักคุณรินต่อไปได้ไหมครับ แค่พูดดีๆทำดีกับผมบ้าง แต่ถ้าหากว่ามันฝืน-
ผมอยากจะขอให้คุณรินช่วยเล่นละคร แกล้งทำดีกับผมจนกว่าจะหมดสัญญาหกเดือนของเรา อย่างร้อยวันที่เราจากกัน ผมจะได้มีความทรงจำดีๆ กับคุณรินเป็นครั้งสุดท้าย”

“ฮึก...”

คนตัวเล็กเปิดผ้าห่มให้เห็นเศษเสี้ยวใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา และร่างกายที่สั่นไหวจากแรงสะอื้น

“ใจ..ฮึก...ร้าย”
เอ่ยคำนั้นออกมาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความน้อยใจและเสียใจที่มีมาตลอดสิบปี

“หักหลังกัน...ทั้งที่รินกับแม่รักป้านิลเหมือนคนในครอบครัว แต่ก็ทำกันได้”

“ถ้าพี่บอกอีกครั้งว่าแม่พี่ไม่ได้เป็นคนทำ ไม่ได้เป็นมือที่สามระหว่างใครกับใครทั้งนั้น คนดีจะยอมเชื่อพี่อีกสักครั้งไหม”
“จะให้เชื่อยังไง ก็รินเห็นกับตา คุณพ่อ..ฮึก...คุณพ่อเดินเข้าไปในห้องนั้น ห้องของป้านิล”

“ก็ถ้าหัวใจของคนดียังมีพี่เหลืออยู่บ้าง ได้โปรดลองเปิดใจให้พี่ได้เข้าไปอธิบาย เข้าไปดูแลคนดีอีกสักครั้ง” ก่อนจะเคลื่อนหน้าฝังจมูกลงกับกลุ่มผมอีกคนเบาๆ

โดยที่คนตัวเล็กก็ไม่มีทีท่าว่าจะขัดขืน
“ได้ไหมครับ” รู้ตัวอีกทีนรินทร์ก็ปล่อยให้อีกคนหอมแก้มซับน้ำตากันเสียแล้วหลังจากประโยคขอร้องนั้นจบ

อีกแล้ว อาการแบบนี้

หัวใจเต้นผิดจังหวะ เขตน์จะได้ยินไหมนะ

น่าอายจริงๆ ที่เขาดันหวั่นไหวไปกับการกระทำและคำพูดที่อีกฝ่ายโน้มน้าวให้ลองเปิดใจให้กัน

และหัวใจเขาก็ดันเรียกร้องสิ่งนั้น
จะปฏิเสธอย่างไรหัวใจก็ยังดึงดันและบอกให้รินได้รู้ว่าเขาโกหกตัวเอง

ปากบอกว่าเกลียดเขา แต่กลับเจ็บทุกครั้งที่เป็นฝ่ายพูดไม่ดีใส่ ทว่าก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย เขายอมให้อคติครอบงำจิตใจ

หลีกหนีความจริง หลีกหนีหัวใจตัวเอง

มันจึงไม่แปลกที่ต่อให้เขาเสียใจที่พี่แทนหลอกลวงกัน-
แต่นรินทร์ก็ยอมรับว่าไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับพี่แทนเลย ไอ้ความรู้สึกที่ห่วงหาอาวรณ์

และคิดถึงมาตลอด

พี่เขตน์ของริน

และเขตน์เองตอนนี้ก็ได้รับรู้ถึงหัวใจตัวเอง ที่ไม่เคยเต้นแรงกับใครเลย นอกจากคนที่กำลังยื่นสองแขนเรียวเข้ามาโอบกอดคล้องคอกันไว้ ซบหน้าลงบนไหล่นั้น

“อื้อ”
“อื้ออะไรครับคนดี”

“ก็...” ก่อนจะกระซิบข้างหูกัน

“จะเลิกพูดไม่ดีใส่แก เอ่อ..นายก็ได้ แต่ยังไม่เปิดใจให้ง่ายๆ หรอกนะ”

น่ารัก

ยิ่งคุณรินของเขาหน้าแดงเป็นลูกมะเขือสุก เผลอเกาแก้มตัวเองเบาๆ เวลาเขินอาย มันทำให้เขาอดใจไม่ไหว

ฟอด

“นี่! ไอ้-“

“สัญญากันแล้วไงครับ เราจะไม่ด่ากัน”
คนตัวเล็กรีบเม้มปาก แววตาเลิ่กลั่กให้อีกฝ่ายได้รู้ว่านรินทร์คนนี้กำลังทำตัวไม่ถูก

ก็ไม่ได้พูดดีๆ กันมาสิบปีแล้วนี่นา จู่ๆ จะให้หันมาทำตัวดีๆใส่กันมันก็แปลกๆ

“ข-ขอโทษ...”

และประโยคเบาๆนั้นก็ทำให้เขตน์เบิกตากว้างขึ้นทันที พร้อมดึงอีกคนเข้าไปกอดไว้แน่น

“คุณรินพูดขอโทษผม”
ความอบอุ่นของอ้อมกอดที่ร่างสูงมีให้ พานให้คนตัวเล็กใช้สองแขนของตัวเองกระชับอ้อมกอดตอบรับกลับไป ฝังหน้าลงบนอกแกร่ง ยิ้มอย่างจริงใจในรอบสิบปี

ความสุขและความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว

ดีจังเลย

เขาหวงแหนมัน ไม่อยากให้อ้อมกอดนี้หายไปอีกแล้ว

ก่อนจะเป็นฝ่ายผละออกจากอ้อมกอดก่อน
และฝังจุมพิตประทับตรงริมฝีปากนั้นช้าๆ ลิ้มลองความหอมหวานของกันและกัน

ทว่าไม่ยอมให้เขตน์เคลิ้มไปมากกว่านี้หรอกนะ ยังไงซะคุณชายนรินทร์น่ะ

ก็คือคุณชายนรินทร์วันยังค่ำ

เท่านี้ก็พอให้ยุบยิบหัวใจ

“คนดี...” เขตน์เอ่ยเสียงแหบแห้ง สัมผัสบนริมฝีปากยังไม่เลือนหาย

มันดีมาก ดีมากจริงๆ
แต่ก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้ นรินทร์คงต้องหยุดมันไว้ก่อน

แผนล่อเหยื่อเข้าถ้ำน่ะ ต้องใจเย็นกว่านี้หน่อย

โอกาสที่จะได้กลับบ้านเร็ว แถมได้ไล่มันออกจากไร่อยู่เพียงแค่เอื้อม ชอบสินะสัมผัสนี้ คำพูดแบบนี้ ทำดีให้แบบนี้

ใจเย็นก่อน

ก็เพราะเกมส์หัวใจ มันกำลังเริ่มต้นต่อจากนี้ต่างหาก
ร่างสูงหลังจากง้ออีกคนสำเร็จ แถมอีกฝ่ายยังยอมเปิดใจให้กันในรอบสิบปีที่ผ่านมาทำให้เขาบอกไม่ถูกเลยว่าตัวเองรู้สึกดีใจแค่ไหน

ในจังหวะที่น้ำตาล่วงหล่นบนไหล่บาง พรมจูบไหล่ชื้นนั้นพร้อมกับพึมพำพูดขอบคุณซ้ำๆ

โชคดีจังเลย

โชคดีที่ได้กลับมาเจอรักแท้ที่ตัวเองเฝ้าฝันถึงในรอบสิบปี
เขตน์ทำหน้าเสียดายที่ตัวเองต้องผละออกจากอ้อมกอดคนตัวเล็กเพื่อกลับไปสะสางงานช่วงบ่ายต่อ แต่ก็ไม่วายหอมแก้มใสๆ นั่นก่อนลากัน

“แล้วพี่จะรีบกลับมานะครับ”

ทิ้งท้ายไว้แบบนั้นแล้วเดินจากมาด้วยรอยยิ้มที่ปิดไว้ไม่มิดจนคนงานต่างสงสัยว่าเจ้านายตัวเองทำไมอารมณ์กว่าปกติ

สงสัยเพราะเมียมั้ง
หลังจากนี้ไปสัญญาเลยว่าทุกวินาทีจะทำเพื่อนรินทร์ แม้ทุกวันที่ทำอยู่นี้ก็เพื่อนรินทร์ก็ตาม แต่เขาจะทำให้มันดียิ่งขึ้น

จะทุ่มเทเพื่อเรา ครอบครัวของเรา

เมื่อคิดถึงคำว่าครอบครัวก็พานให้นึกถึงทะเบียนสมรสที่เซ็นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่เป็นไรหรอก

หลังจากนี้เขาจะทำให้มันดีเอง
จะสร้างครอบครัวของเรา มีพ่อ แม่ และลูก เป็นครอบครัวอบอุ่นแบบที่นรินทร์โหยหามาตลอด

เขตน์จะทำให้

จะไม่ปล่อยนรินทร์ไปอีกแล้ว จากนี้ทั้งตัวและหัวใจขอมอบให้คนๆเดียวผู้ซึ่งเป็นภรรยาและคนรัก

จะอยู่ด้วยกันที่ไร่กุหลาบนี้ไปจนแก่เฒ่า

พี่สัญญา
สัญญาที่ไม่รู้เลยว่าอีกคนไม่เคยจริงใจ ไม่เคยคิดอะไร หนำซ้ำยังหลอกลวงกันเพื่อแค่อยากจะเอาชนะ

กับแผมบ้าๆ บอๆ ที่ตัวเองคิดว่าไร้สาระ แต่กลับทำให้ไอ้ลูกคนใช้นี่ตกหลุมพลางได้

ตอนแรกก็น่าเบื่ออยู่หรอกและก็ติดจะรำคาญที่มันมาร้องไห้ออเซาะ แถมยังพูดจาทำซึ้งว่าจะรักแค่รินคนเดียว
แต่เห็นมันเป็นอย่างนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน เขาจะหลอกให้มันรักหัวปักหัวปำจนโงหัวไม่ขึ้นเลยล่ะ

และสุดท้ายก็จะสลัดมันทิ้งพร้อมใบหย่า สุดท้ายไร่ของคุณพ่อแห่งนี้ก็จะไม่มีกาฝากอย่างมันมาหลอกสูบเงินสูบอำนาจอีกต่อไป

อะไรที่เป็นของครอยครัวเขา คุณชายนรินทร์คนนี้จะเอากลับคืนมาให้หมด
ช่วงบ่ายของนรินทร์หมดไปกับการนั่งชมวิวพร้อมจิบชาที่ป้าคนที่สอนงานทำความสะอาดกันเมื่อเช้าเป็นคนนำมาเสิร์ฟให้

รู้งี้ทำไปตั้งนานแล้ว

ถ้าการหลอกทำดี พูดชมเยอยอจนโงหัวไม่ขึ้น คนงานพวกนี้ก็พร้อมจะถวายหัวรับให้คุณชายอย่างเขา

พูดแล้วก็ยิ้มเยาะ เห็นไหมล่ะ งานที่ยังทำความสะอาดไม่เสร็จ-
สุดท้ายพอพูดดีออดอ้อนเข้าให้ ดวกคนงานโง่ๆ ก็พร้อมจะทำให้เขาโดยไม่ต้องใช้นิ้วสั่ง

ดีล่ะ เขาจะดึงพวกคนงานเหล่านี้มาเป็นพวกให้หมด และก็เฉดหัวไอ้เขตน์ออกไป

ง่ายจะตาย ทำไมเพิ่งคิดได้นะ

แต่ก็ช่างเถอะ ยังไม่สายที่นรินทร์คนนี้จะได้แก้แค้นที่มันกับแม่มันทำกับครอบครัวเขา

สิบปีไม่สาย
อาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้ร่างโปร่งอารมณ์ดีเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน อันที่จริงมันเกินที่คาดไว้ด้วยซ้ำ เวลาจึงดูเหมือนล่วงเลยมาอย่างรวดเร็ว

สุดท้ายก็รู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงใีเท้าของอีกคนขึ้นเรือนมา

“น้องรินครับ”

พร้อมกับดอกกุหลาบสามดอกที่คงตัดมาจากไร่ ถูกผูกไว้กับเชือกฟางเล็กๆ
ไม่ได้ตกแต่งด้วยกระดาษห่อหรูหราเหมือนร้านดอกไม้ราคาแพง แต่เจ้าของไร่ลงทุนเลือกแต่ละดอกด้วยใจ และตัดแต่งมันอย่างดีถึงจะใช้แค่เชือกฟางแสนเชยผูกติดกันไว้ก็เถอะ

“อะไร”

“กุหลาบครับ พี่ให้ริน” ร่างสูงหลบสายเล็กน้อยอย่างคนแสนขี้อาย ยื่นดอกกุหลาบให้คนข้างหน้าที่รับมันอย่างงงๆ
นรินทร์ยังคงทำหน้างง แต่ก็รับมันมาถือในมือ มองดูช่อดอกกุหลาบสีแดงสามดอกแสนเชยนี่ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย

“สามดอก...” เขตน์เอ่ยขึ้น

“หืม”

“คนดีอยากรู้ไหม ว่าทำไมถึงเป็นสามดอก”

“ทำไมล่ะ”

“ดอกแรกสำหรับคำขอโทษ ดอกที่สองเป็นสัญญาว่าจะไม่ทิ้งกันอีกแล้ว ส่วนดอกที่สาม...”
เขตน์เงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง เผื่อว่าคำพูดนี้จะทำให้นรินทร์กลับมามีใจให้กันอีกครั้ง

“ดอกที่สามแทนหัวใจของพี่ที่รักรินตลอดมาและจะรักตลอดไป”

แต่สุดท้ายนรินทร์ก็ปล่อยให้ดอกไม้นั้นร่วงหล่นสู่พื้น

สองมือที่ประคองช่อกุหลาบเมื่อครู่ไร้เรี่ยวแรงทันทีเพราะคำพูดเหล่านั้น
กับหัวใจที่เต้นแรงเป็นครั้งแรก

แบบที่ไม่ได้พยายามโกหกหรือหลอกลวงอีกฝ่าย ใจของนรินทร์ตอนนี้มันเต้นแรงจริงๆ เพราะคำพูดแสนเชยนั่น

ไม่เคยมีใครเอ่ยมันด้วยแววตาจริงจังและอบอุ่นมาก่อน แม้กระทั่งกับพี่แทนที่ชอบพูดคำหวานใส่กัน แต่เขาก็ไม่เคยสัมผัสได้ถึงความจริงใจผ่านแววตานั้น

ไม่ได้นะ
สั่งตัวเองสินรินทร์

มันก็เป็นแค่คำพูดพล่อยๆ จะมีความหมายอะไรกัน แผนของเขามันจะต้องดำรงอยู่ต่อไป

เพราะฉะนั้นแค่ไอ้กุหลาบสามดอกบ้านี่ไม่มีทางทำให้หัวใจของเขาอ่อนไหวได้ง่ายๆ แน่

“คนดีไม่ชอบเหรอครับ” เขตน์รีบหยิบช่อดอกกุหลาบที่หล่นพื้นขึ้นมา หน้าถอดสีเพราะคิดว่าอีกคนคงไม่ชอบ
“ปะ-เปล่า เมื่อกี้เผลอไปจับโดนหนามน่ะก็เลยสะดุ้งเผลอทำตก” ร่างเล็กพูดแก้เก้อไปแบบนั้น

“อ๋อ พี่คงตัดมันไม่หมดแน่เลย ขอโทษด้วยนะครับ เจ็บมากไหม เลือดออกรึเปล่า” ร่างสูงรีบเข้ามาใกล้ พยายามเข้ามาดูแผลที่มือให้กัน

“ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่นี้เอง เอามาสิ”

“ครับ?”
“ช่อกุหลาบในมือนั่นน่ะ ของฉะ-เอ่อ รินไม่ใช่หรือไง เอามาสิ”

นรินทร์ที่เผลอเกือบแทนสพพนามตัวเองด้วยคำเดิมๆ รีบเปลียนคำพูดทันทีด้วยกลัวอีกคนจะจับได้

แผนจะแตกแค่วันเดียวไม่ได้หรอกนะ

พอรับดอกไม้จากในมือมาแล้วก็สัมผัสกลีบมันเบาๆ ด้วยความสงสัย กลีบของมันคุ้นมากๆ
สงสัยตั้งแต่ตอนเอาดอกไม้นี่ให้พี่แทนในวันครบรอบแล้ว

ยิ่งสัมผัสก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นดอกที่ไม่เหมือนกุหลาบตามร้านทั่วไป อีกทั้งกลิ่นของมันก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี

“ถามได้ไหม กุหลาบนี้พันธุ์อะไรเหรอ”

“นรินทร์ครับ?”

“หืม เรียกทำไม”

“พี่ไม่ได้เรียก แต่กุหลาบนี้มีชื่อพันธุ์ว่านรินทร์”
“ทำไม...” นรินทร์เอ่ยออกมาจนแทบจะเป็นเสียงขาดห้วง เขาไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้เลย

แต่ทำไมกันล่ะ ทำไมแม้กระทั่งดอกไม้ก็ยังเป็นชื่อเขา หรือคุณพ่อจะเป็นคนตั้งชื่อไว้

ใช่แล้ว คงเป็นอย่างนั้น คุณพ่อเป็นคนตั้งชื่อพันธุ์กุหลาบนี่แน่ๆ ไม่มีทางที่จะเป็น...

ไม่ ไม่มีทาง
“คนดีเคยบอกว่าอยากมีกุหลาบของตัวเอง อยากให้ไร่นี้เป็นทุ่งสีแดงที่เต็มไปด้วยกุหลาบ” คนฟังแววตาสั่นไหว ถึงจะสั่งให้หัวใจหยุดเต้นแรงแล้ว

แต่ก็ไม่ช่วยหยุดน้ำตาที่คลอเบ้าได้เลย

“พี่ทำให้แล้วนะครับ” พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนของคนพูดที่ส่งตรงมาถึงกัน

“สำเร็จแล้วนะครับ ไร่กุหลาบของน้องริน”
ร่างโปร่งนั่งมองดอกกุหลาบสามดอกที่ยามนี้ถูกนำมาวางในแจกันใสข้างเตียงนอนของตัวเองด้วยแววตาและสีหน้าสับสน

กับข้อมูลที่เพิ่งได้รับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

กุหลาบดอกนี้มีชื่อเดียวกันกับเขา ซ้ำยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวัยเด็กตัวเองเคยใฝ่ฝันว่าอยากจะมีไร่กุหลาบเป็นของตัวเอง
แผนการในหัวที่ว่าจะเล่นงานไอ้ลูกคนใช้จนไม่มีที่ยืนถึงกับสั่นคลอนเมื่อได้รับกุหลาบเพียงแค่สามดอกนั้น

‘ที่จริงพี่เป็นเจ้า—‘

‘เอ่อ ฉั- รินไปนอนก่อนดีกว่า วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน’

นรินทร์ไม่อยากรับรู้อะไรอีก แค่นี้มันก็มากพอที่จะทำให้หัวใจเขาหวั่นไหวแล้ว
ขืนรู้มากกว่านี้ เขาไม่แน่ใจว่าจะยอมรับความจริงได้ไหม

และก็เป็นอีกครั้งที่ร่างโปร่งเลือกที่จะเชื่อว่าเรื่องราวทั้งหมดมันไม่มีอะไรเลย

ก็แค่คุณพ่อเป็นคนตั้งชื่อกุหลาบเป็นชื่อเขา ไม่เห็นแปลกตรงไหน คุณพ่อเป็นเจ้าของไร่นี่นา

นรินทร์หลอกตัวเองอย่างนั้น
พร้อมกับหยิบกุหลาบสามดอกบนแจกัน ขว้างทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ใยดี

ร่างโปร่งเลือกแล้ว เลือกที่จะไม่ขอญาติดีผู้ชายคนนั้นอีก และจะเดินไปในเส้นทางนี้จนสุดทาง

นรินทร์กำหมัดแน่น หลับตาข่มความรู้สึกที่ครอบงำจิตใจพานให้หวั่นไหว

จะไม่มีวันหวนกลับไปเจ็บอีก ไม่มีวัน
เช้าวันใหม่ยังคงดำเนินไปอย่างปกติ นรินทร์ยังคงไม่ชินกับการตื่นเช้าแต่ก็ไม่งี่เง่าเดินออกมาโวยวายกชางเรือนอีกแล้ว

เพราะเขตน์สั่งไม่ให้คนงานขึ้นมาบนเรือนตอนเช้า เพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของอีกคน

“อรุณสวัสดิ์ครับคนดี” ร่างสูงยิ้ม เอ่ยน้ำเสียงสดใสแต่เช้าเมื่อเห็นอีกคนเดินออกมาจากห้อง
“อ่อ อืม อรุณสวัสดิ์” เขาไม่ได้ทันตั้งตัวที่จะมาเจอกับเขตน์ที่จับมือกันประคองไปยังโต๊ะอาหาร พร้อมมื้อเช้าที่เป็นข้าวต้มหอมฉุยเหมือนอย่างเคย

ทุกอย่างค่อยๆ แทรกซึมจนชินโดยไม่รู้ตัว

ว่าตัวเขาเองน่ะ ไม่ต้องมีเบรคฟาสต์เป็นครัวซอง ออมเล็ตกับคาปูชิโน่ร้อน

ก็อยู่ได้นี่นา
แต่เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ก็แปลกใจเมื่อเห็นสิ่งแปลกปลอมที่ไม่เคยอยู่บนโต๊ะอาหาร ทว่าร่างโปร่งเพิ่งจะมารับมันมาเมื่อคืนนี้เอง

อีกแล้ว

กุหลาบสีแดงสามดอกที่ผูกติดกันด้วยเชือกฟางเล็กๆ สีขาว

“พอดีพี่ไม่มีกระดาษห่อสวยๆ เลยครับ ไว้เข้าไปในเมืองพี่จะซื้อมาเก็บไว้เนอะ”

“ให้ทำไมอีก”
“ไม่มีเหตุผลเลยครับ มันเป็นสิ่งที่พี่อยากทำมาโดยตลอดแต่ไม่มีโอกาสได้ทำ พอครั้งนี้คนดียอมเปิดใจ พี่เลยอยากทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ก่อนที่จะไม่มีโอกาส”

“จะทำได้นานสักแค่ไหนกันเชียว” ร่างโปร่งพึมพำกับตัวเองเบาๆ นิ้วเรียวลูบกลีบดอกกุหลาบตรงหน้า

“จนกว่ารินจะบอกว่าไม่ต้องการพี่แล้ว”
ลมหายใจนรินทร์พลักสะดุดเมื่อได้ยินคำตอบ ไม่มีคำตอบรับอะไรเอ่ยออกมาอีก นรินทร์ได้แต่นั่งก้มหน้าทานข้าวต้มอยู่เงียบๆ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน

“วันนี้คนดีอยากเข้าไปในไร่ไหมครับ”

“แดดร้อน” อีกคนโพล่งคำปฏิเสธแทบจะทันทีเมื่อเขตน์พูดจบประโยค
“อ่า ถ้างั้นไม่เป็นไรครับ พอดีพี่จะเข้าไปดูงานในโรงทำสบู่กับยาสระผม พวกๆ พี่น้องๆ แถวนี้ช่วยกันทำออกมาขาย พี่เลยชวนเผื่อคนดีสนใจอยากดู แต่ถ้าไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรครับ แดดมันร้อนจริงๆ นั่นแหละ”

เขตน์สีหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ทำได้เพียงตักข้าวต้มเข้าปากอย่างคนเจียมตัว

“ก็ได้”
ร่างโปร่งที่เหลือบมองอีกคนที่นั่งหน้าหงอย ในใจก็รู้สึกผิดแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

อยู่ดีๆ ก็เกิดนึกเปลี่ยนใจ เผลอพูดออกไปเสียอย่างนั้น

“ครับ”

“ก็ไปไง ไอ้โรงทำสบู่ไรนั่นน่ะ” พูดจบก็รีบตักข้าวต้มเข้าปากกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ ในใจ แต่คนตรงหน้าดันยิ้มดีใจเสียจนต่าหมั่นใส้นี่สิ
“ยะ-ยิ้มอะไรบ่อยๆเนี่ย”

“ก็พี่ดีใจนี่นา ไม่คิดไม่ฝันว่าคนดีจะใจดีกับพี่” คนพูดเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังไม่หยุดยิ้ม

ไม่ได้ใจอ่อนกับรอยยิ้มนั้นหรอกนะ เขาก็แค่ทำตามแผนตัวเองต่างหาก จะเอาคนงานเป็นพวกก็ต้องเข้าถึงคนงานสิ และก็ต้องทำให้คนตรงหน้าหลงเขาแบบถอนตัวไม่ขึ้นด้วย

แค่นั้นเองจริงๆ!
สุดท้ายจากเดิมที่ร่างโปร่งมักเอาแต่ใจชอบสั่งการคนอื่น วันนี้กลับกลายเป็นคนที่ยอมให้อีกคนจูงมือกันพาสำรวจทั่วบริเวณไร่ ส่วนอีกคนก็คอยดูแลถามไถ่ ซับเหงื่อหาน้ำให้ทานตลอดไม่มีขาดตกบกพร่อง คอยสังเกตว่านรินทร์จะเดินไหวรึเปล่า

ทุกย่างก้าวการเคลื่อนไหวของนรินทร์อยู่ในสายตาเขตน์เสมอ
"ถึงแล้วครับคนดี ตรงนี้เป็นโซนเล็กๆ ให้คนในชุมชนช่วยกันทำผลิตภัณฑ์แปรรูปขายนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม"

เขตน์จูงมือคนตัวเล็กที่ยามนี้แววตาทอเป็นประกายเมื่อเห็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

การทำผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดหรือพวกแปรรูปแบบนี้ไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลยแม้สักครั้ง
เขาคิดว่างานพวกนี้ดูยังไงก็ไม่มีอนาคต ต่างจากพนักงานบริษัทที่สามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อต่อยอดหรือเพิ่มโอกาสในการหารายได้อีกมหาศาล

ทำไมต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งกับงานที่ขายได้ไม่กี่บาทกัน เขาไม่เข้าใจ

"คุณนายจ๊ะ คุณนายเคยลองใช้สบู่ของพวกป้ารึยัง วันนี้พวกป้าทำหลายขวดเชียว-
เห็นนายบอกว่าคุณนายจะมา ป้าเก็บไว้ให้คุณนายหลายขวดเลย ลองดมกลิ่นนี้สิจ๊ะ กลิ่นนี้ป้าผสมกุหลาบจากไร่เรากับสตรอเบอร์รี่ เพิ่มเม็ดเกลือเข้าไปด้วยเวลาขัดผิวจะได้งามๆ คุณนายเอาไปลองสิจ๊ะ ป้าให้"

ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือเหี่ยวแถมยังหยาบกร้านจากการทำงานหนักสัมผัสกับมือเขา-
โดยไม่ได้รับอนุญาต

ถ้าเป็นก่อนหน้านั้นเขาคงโวยวายที่บังอาจกล้าเอามือสกปรกนั่นมาแตะต้องตัวคุณชายอย่างเขา แต่ตอนนี้สถานการณ์มันดูคับขันไปหมด

อีกทั้งพวกป้าๆ ที่นั่งทำงานกันอยู่นี้เหมือนจะลงทุนแต่งตัวใส่ผ้าถุงที่สวยที่สุดเท่าที่หาได้

เพียงเพราะได้ยินว่าคุณนายของไร่นี้จะมาเยี่ยม
นรินทร์จำใจรับขวดสบู่อาบน้ำเล็กๆ จากมือป้าคนนั้นอย่างช่วยไม่ได้ หน้าตามันก็ดูเป็นสบู่อาบน้ำธรรมดาทั่วไป ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษ

"ลองดมสิจ๊ะคุณนาย"

ลองดมอีกทีก็ได้กลิ่นของกุหลาบสายพันธุ์เดียวกับชื่อตัวเองที่หอมติดจมูกขึ้นมา ผสมกับความหอมสดชื่นของสตรอเบอร์รี่ยิ่งทำให้กลิ่นโดดเด่น
จนนรินทร์ถึงกับเบิกตากว้างเพราะติดใจในกลิ่นหอมของสบู่อาบน้ำขวดนี้

"เป็นไงจ๊ะคุณนาย สูตรนี้พอจะทำขายได้ไหม เดิมทีมีแต่กลิ่นกุหลาบอย่างเดียว เลยกะว่าถ้าทำกลิ่นใหม่ๆ ขาย ครอบครัวแถวนี้จะได้มีรายได้ด้วย"

คนตัวเล็กรีบพยักหน้าอย่างลืมตัว หลงไหลกลิ่นสบู่อาบน้ำนี้เสียแล้ว
หากแต่เสียดายที่คนงานเหล่านี้น่าจะมีช่องทางการขายของพวกนี้ที่ขยายกว้างกว่าอยู่แค่ในชุมชนกลางป่าเขา

ตอนนี้ในหัวสมองของคุณชายที่เกิดและโตมากับแสงสีในเมืองมายี่สิบกว่าปีกำลังสับสนอย่างแรง และอยากได้คำตอบว่าทำไม

ทั้งที่คนเหล่านี้มีทางเลือกมากมาย แต่ทำไมถึงทนลำบากอยู่ที่นี่กัน
หรือว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก แล้วทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่มีใครยื่นมือมามอบทางเลือกอื่นๆ ให้กับพวกเขา

คุณชายที่ชีวิตดีพร้อม ไม่เคยใช้ชีวิตแบบไร้ทางเลือกมาก่อนกำลังประมวลผลบางอย่างในใจอย่างเงียบๆ

แล้วเขตน์ล่ะ ทำไมถึงเลือกมาอยู่ที่นี่

ผู้ชายธรรมดาที่แน่นอนว่ามีโอกาสมากกว่าคนงานทั่วไป
หรือว่าที่ไร่แห่งนี้มีดีอะไรกัน มีสิ่งใดที่เขาไม่รู้หรือเปล่า

"คนดีเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าเครียดแบบนั้นครับ"

"ปะ-เปล่า นี่...ถามหน่อยสิ" คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นถามป้าที่ยื่นขวดสบู่ให้กันเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

"วันๆ ทำแค่สบู่เหรอ แล้วใช้ขวดพลาสติกใสๆ แบบนี้ขายนักท่องเที่ยวหรือไง"
"ใช่จ้า พวกป้าไม่มีตังหาขวดราคาแพงๆ หรอก นี่ได้คุณเขตน์มาช่วยคิดช่วยหาช่องทางหารายได้จากแค่ดูแลกุหลาบธรรมดาก็เป็นบุญคุณแล้ว มีเท่าไรก็ใช้เท่านั้น"

"แบบนี้มันจะไปดึงดูดลูกค้าได้ยังไง กลิ่นน่ะหอมอยู่หรอก แต่แพคเกจจิ้งน่ะใช้ไม่ได้"

"แพ...อะไรนะจ๊ะ"
"ฉันหมายถึงขวดมันเชยน่ะสิ สู้สินค้าในเมืองไม่ได้เลย อย่างนี้ใครเขาจะซื้อ"

ร่างโปร่งเผลอพูดความในใจอย่างลืมตัวโดยไม่คิดถึงใจคนฟัง จนกระทั่งเงยหน้าจากขวดสบู่ขึ้นมาอีกครั้งจึงได้เห็นเหล่าป้าที่หน้าถอดสีกันหมด

ให้ตายสิ พูดอะไรไม่ระวังอีกแล้ว
"ฉะ-ฉันหมายถึงถ้าออกแบบให้ขวดสวยกว่านี้ หรือไม่ก็ทำบรรจุภัณฑ์ใหม่ แปรรูปเป็นสบู่ก้อนลายสวยๆ อย่างกุหลาบก็ได้ มันน่าจดีกว่าขวกพลาสติดแบบนี้ไม่ใช้เหรอ"

"ฉันไม่มีปัญญาทำหรอกจ้า จะเอาเงินที่ไหน แค่ที่คุณเขตน์เธอลงทุนให้ก็หนักแล้ว คุณเขตน์ไม่เอาเงินจากรายได้ตรงนี้ของพวกฉันเลยสักบาท"
ร่างโปร่งหันไปสบตาคนที่ยืนอยู่ข้างกันช้า รอยยิ้มมุมปากอันอบอุ่นถูกส่งมาจากร่างสูงอยู่ตลอดเวลาที่นรินทร์เริ่มพูดคุยและสนใจงานต่างๆ รวมถึงพยายามเข้าถึงและค้นหาคำตอบของสิ่งรอบตัวในไร่แห่งนี้ที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ

เขารู้ว่าคุณชายนรินทร์ไม่เคยเจอสังคมแบบนี้ และรู้ดีว่าคงไม่เข้าใจมัน
ทว่ารอยยิ้มของเขตน์ก็ยังคงถูกส่งตรงมาถึงกันเสมอ ราวกับให้กำลังใจกัน

ไม่ปล่อยมือกันไปไหน

และยามนี้ที่นรินทร์หันมาสบตาเพื่อขอความเห็น เขาก็พร้อมจะอยู่ตรงนี้ ช่วยคิด ช่วยแก้ไขไปด้วยกัน

"คนดีมีความเห็นว่ายังไงบอกมาได้เลย พี่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องออกแบบอะไรพวกนี้-
แต่ถ้าคนดีอยากช่วยพวกป้าๆ พี่ยินดีให้คนดีทำตรงนี้อย่างเต็มที่เลยครับ"

"หมายความว่ายังไง" นรินทร์มีท่าทีเลิ่กลั่ก เป็นครั้งแรกที่เขตน์สังเกตถึงความไม่มั่นใจออกมาจากแววตาคุณชายผู้ที่มักจะเย่อหยิ่งเสมอ

"คนดีอยากช่วยพวกป้าๆ ไหม"

"ริน...ไม่แน่ใจ"

"ไม่แน่ใจอะไรครับ"
"ริน...จะช่วยได้จริงเหรอ จะทำได้ไหม"

"แล้วอยากทำไหมครับ คนดีอยากช่วยรึเปล่า" เขตน์เดินเข้ามาใกล้ๆ ลูบศีรษะคนตัวเล็กเบาๆ เป็นการปลอบใจจนอีกคนรู้สึกใจชื้นขึ้นจึงพยักหน้าให้กันช้าๆ

"แต่กลัว จะทำได้ไม่ดี..."

"ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ คนเราย่อมมีผิดพลาดกันได้ ถ้าครั้งแรกไม่ดีก็ทำใหม่-
ไร่นี้เป็นของคนดีอยู่แล้ว อีกอย่างคนดีไม่ได้ทำมันคนเดียวสักหน่อย" ก่อนจะพยักเพยิดให้คนตัวเล็กมองไปรอบๆ ตัว

"เห็นไหมครับ ที่นี่ยังมีพวกป้าๆ พวกเด็กๆ ที่พร้อมจะช่วย พร้อมจะทำไปด้วยกันกับคนดี ถ้าคนดีช่วยพวกเขาได้ นอกจากคนดีจะได้ใจคนในไร่แล้ว-
คนดียังช่วยให้พวกเขามีอาชีพ ลืมตาอ้าปากได้"

"จริงเหรอ" แววตาคนตัวเล็กทอประกายขึ้นอย่างหาสาเหตุไม่ได้ และไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันถึงเชื่อคำที่ส่งมาจากปากผู้ชายคนนี้

"จริงสิครับ คนดีทำได้อยู่แล้วพี่เชื่อ และพี่จะอยู่ตรงนี้จับมือน้องรินไม่มีวันปล่อย เราจะเดินไปด้วยกันนะ"
สัมผัสแผ่วเบาจากมือหนาลูบฝ่ามือเรียวให้กำลังใจกัน ร่างโปร่งจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก

ทำไม

เขตน์น่าจะฉุกคิดได้บ้างว่าที่ทำดีให้เมื่อวันก่อนมันผิดปกติ คนอย่างเขาน่ะหรือที่อยู่ดีๆ จะลุกขึ้นมาพูดดีทำดีด้วยกับคนที่รังเกียจมาสิบปี

แต่ทำไม เมื่อเขาคิดจะทำดีอะไรสักอย่าง
อีกคนถึงยังยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน

"เรามาพยายามไปด้วยกันนะครับ" คำพูดของเขตน์พานให้ลมหายใจของนรินทร์สะดุด

พยายามที่ไม่ใช่แค่เรื่องช่วยเหลือคนในไร่ แต่รวมไปถึงเรื่องของเราสองคนด้วย

ใช่ไหม
และไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ในใจของนรินทร์บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ตื้นตันอยู่ภายใน

ที่ทำให้นรินทร์ขยับมุมปากยิ้มขึ้นมา พร้อมกับแววตาที่ไม่แข็งกระด้างราวกับแสร้งทำเป็นคนดีอีกต่อไปแล้ว

พยักหน้าให้กันช้า บีบมืออีกคนที่เกลี่ยฝ่ามือกันเบาๆ

"อื้อ พยายามไปด้วยกัน"
.
.
หลังจากรับปากคนงานว่าจะช่วยคิดเรื่องแพคเกจจิ้งสบู่ที่จะวางใหม่ เดินสำรวจดูขั้นตอนการผลิตต่างๆ จนล่วงเลยไปถึงเที่ยงวัน คุณนายของไร่ก็ถูกพวกเหล่าคนงานรุมจูงมือกันเข้าไปทานมื้อเที่ยงในโรงครัวด้วยกันเสียแล้ว

คนที่เคยนั่งในร้านอาหารราคาแพง หรือแม้กระทั่งอยู่บ้านก็มีคนคอยตักข้าวให้
ยามนี้กลับถูกลากให้มายืนต่อแถว ถือถากข้าวที่ใครไม่รู้ส่งต่อๆ กันมาเพื่อรอคิวรับอาหารอย่างงงๆ

จะหันไปหาอีกคนเพื่อขอความช่วยเหลือแต่เหมือนตัวเองจะโดนรุมจนชะโงกหน้าไปไหนไม่ได้เสียแล้ว

"คุณนายตัวจริงงามสมคำร่ำลือจริงๆ คุณนายขัดผิวด้วยอะไรจ๊ะ"
"นั่นสิ ใบหน้าก็สวย ไม่มีสิวเลย"

"คนเมืองเขาใช้อะไรกันนะ เขาว่าใช้ครีมโพกราคาเป็นหมื่นจริงหรือเปล่า"

"คุณนายทานปลาร้าได้ไหมจ๊ะ สิ้นเดือนเงินออกเมื่อไหร่ฉันจะชวนไปตลาดนัดนะ ไม่ไกลจากไร่เรานี่เอง ที่นั่นมีกระเป๋าสานสวยๆ ด้วย คุณนายต้องชอบแน่ๆ"

และอีกสารพัดคำถามที่ตอบไม่หมด
สุดท้ายพอถึงคิวที่ตัวเองต้องรับข้าวก็ยืนทำปากเบะเหมือนจะร้องไห้เพราะทำตัวไม่ถูก

ทุกอย่างมันรวดเร็วจนปรับตัวไม่ทัน

"คุณนายจะกินอะไรจ๊ะ หรือจะให้ฉันตักใส่ถาดคุณนายหมดนี่เลย"

"ฉัน...ฉัน..." แววตาสับสนหันหน้าไปมาอย่างคนขอความช่วยเหลือ ทั้งยังมีอีกกว่าสิบชีวิตที่ยืนต่อแถวต่อจากเขา
กับข้าวตรงหน้าก็ทานไม่เป็นสักอย่าง มีแต่เพียงไข่ต้มธรรมดาที่เขารู้จัก จะทำยังไงดี

"คุณนาย คุณนายจ๊ะ ตกลงจะให้ฉันตักหมดเลยไหม คือฉันไม่อยากเร่งแต่ยังมีคนต่อแถว--"

"ฮึก..."

"คะ-คุณนาย ร้องไห้ทำไมนั่น! คือฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่าคุณนายเลยนะจ๊ะ ฉันขอโทษ ฉะ-"

"ฮึก...กินไม่เป็น..."
คนตัวเล็กยืนถือถาดข้าว อีกมือหนึ่งปาดน้ำตาที่ไหลออกมาสองข้างจากความสับสนปนเปที่ประดังเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว

ทำไมในไร่แห่งนี้ถือปรับตัวยากชะมัด นรินทร์ไม่ชินกับอะไรเลยแบบนี้เลย อาหารก็ทานไม่เป็นสักอย่าง คนงานพูดอะไรกันก็ไม่ค่อยเข้าใจ

แถมยังโดนแตะเนื้อต้องตัวจับมือพาลากไปไหน
ทั้งที่ตอนอยู่ในกรุงเทพๆ คนใช้ในบ้านจะแตะตัวกันยังต้องก้มหน้าขออนุญาต

นรินทร์กลัวไปหมด กลัวจนร้องไห้ตัวสั่นต่อหน้าแม่ครัวที่ยืนถือทัพพีตักข้าวหน้าซีดเผือด

เขาทำคุณนายของไร่ร้องไห้เสียแล้ว ทำยังไงดี จะถูกไล่ออกไหมนี่

คนในไร่พร้อมใจกันเงียบหมดเมื่อคุณนายของไร่ร้องไห้เสียลั่น
จากที่เมื่อกี้พร้อมใจกันมุงคนสวยของไ่ร่ ยามนี้รีบถอยหลังห่างเมื่อคิดว่าพวกเขาคงเข้าไปรุมล้อมอีกฝ่ายมากไป

ก็คนมันอยากสนิทนี่นา นานๆ ทีจะมีคุณนายสวยๆ จากกรุงเทพฯ มากินข้าวในโรงครัวด้วยกัน บางคนก็ไม่เคยเห็นคุณนายตัวจริงที่คุณเขตน์เล่าว่างามนักงามหนา
พอได้เห็นตัวจริงว่าสวยเหมือนดาราในทีวีก็ตื่นเต้นดีใจกันหมด

"ฉันขอโทษจ้า ฉันไม่รู้ว่าคุณนายกินกับข้าวนี่ไม่เป็น ฉัน..ฉัน...คุณนายอย่าไล่ฉันออกเลยนะจ๊ะ" แม่ครัวรีบวางทัพพีในมือ ยกมือไหว้ท่วมหัว ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ปากสั่นตัวสั่น เหงื่อท่วมใบหน้าไปหมด

"เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า"
"นาย นายมาพอดีเลย คือฉันไม่ได้ตั้งใจนะจ๊ะ ฉันไม่รู้ว่าคุณนายกินกับข้าวพวกนี้ไม่ได้"

แม่ครัวรีบเอ่ยขึ้น มือยังคงพนมไว้กลางอกเพราะกลัวจะโดนไล่ออก หากไม่มีงานคงได้อดตายแน่ๆ

ส่วนคนที่ร้องไห้ยามเมื่อเห็นอีกคนมาหากันก็รีบวางถาดข้าวเดินเข้าไปกอดอย่างรวดเร็วราวกับคนต้องการที่พึ่ง
"พี่เขตน์ ฮึก...พี่เขตน์มาแล้ว"

"ครับ พี่อยู่นี่แล้ว คนดีไม่ต้องร้องนะ" เขตน์ที่ยืนอึ้งตัวแข็งทื่อในตอนที่อีกฝ่ายเข้ามาสวมกอดกันกะทันหัน กอดกลับไปอย่างแผ่วเบา ลูบหลังไปมาปลอบกันให้ใจเย็น

"ไหน คนดีทานอะไรไม่ได้ครับ"

"เผ็ด กับข้าวตรงนี้มันเผ็ด"
คนตัวเล็กส่งเสียงอู้อี้ในอ้อมกอดเจ้าของไร่ พานให้เขตน์ชะโงกหน้าเข้าไปดูหม้อกับข้าวที่วางเรียงรายบนโต๊ะใหญ่

ก่อนจะถอนหายใจยาว

"คนดีลองดูใหม่ก่อนครับ ใจเย็นๆ นะ ลองดูสิ ตรงนี้มีของโปรดที่คนดีทานได้ด้วยนะ" คนฟังไม่ยอมผละออกจากอ้อมกอด ยังคงดื้อดึงส่ายหัวไปมาตรงอกแกร่ง
และนั่นทำให้เขตน์ต้องก้มลงกระซิบอย่างแผ่วเบาเพื่อเรียกความมั่นใจของคุณชายนรินทร์คนเดิมกลับมา

"ไม่ต้องกลัวนะครับ คนงานที่นี่ไม่มีใครทำอะไรคนดีได้ตราบที่นี่ยังอยู่ที่นี่ พวกเขาแค่เอ็นดูคนดี เหมือนพี่ที่เอ็นดูคนดีไงครับ พวกเขาใจดีนะ เชื่อพี่สักครั้งได้ไหม"

"เขา...เขาจับมือริน-
ดึงตัวรินไปไหนมาไหนด้วย ฮึก รินไม่ชอบเลย"

"แต่ถ้าพูดแบบนั้นออกไป รินก็กลัวคนงานจะโกรธ จะกลับรินใช่ไหมครับ" คนฟังนิ่งไป ไม่ตอบอะไรออกมา ซึ่งนั่นเป็นคำตอบได้ดี

นรินทร์ของเขากำลังเปลี่ยนเป็นคนใหม่

คนที่ใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้างมากขึ้น

ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงโวยวายด่ากราดไปแล้ว
ไม่อดทนยอมจนกระทั่งร้องไห้ออกมาแบบนี้หรอก

"เก่งมากครับคนดี เก่งมากเลยรู้ไหม" ร่างสูงฉวยโอกาสหอมขมับคนตัวเล็กอย่างรักใคร่ก่อนจะเอยประโยคต่อมา

"แต่มื้อนี้มีไข่พะโล้ด้วยนะ"

และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายรีบผละออกจากอ้อมกอด เช็ดน้ำตาตัวเองทันที

"ไข่พะโล้เหรอ!"
และเมื่อหันไปดูหม้อกับข้าวอีกครั้ง

ไข่พะโล้จริงด้วย!

"เอา เราเอาไข่พะโล้ ตักให้เราเยอะๆนะ เยอะๆ เลย" เสร็จแล้วก็รีบยื่นถาดข้าวของตัวเองที่เพิ่งวางไว้เมื่อกี้ทันทีด้วยรอยยิ้ม

เล่นเอาแม่ครัวยืนอ้าปากค้างทำตัวไม่ถูกกับอากัปกิริยาของคุณนายที่เดี๋ยวดีเดี่ยวร้ายจนงงไปหมด
จนต้องหันไปสบตาเจ้านายและก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้าให้กันเล็กน้อย บอกเป็นนัยน์ว่า

รีบตามใจคุณนายเร็วเข้า

ดังนั้นแม่ครัวเลยทุ่มแรงกายตักไข่พะโล้จนพูนออกมาแบบที่เอาใจคุณนายสุดๆ

"ว้าว ขอบใจนะ" และคนงานที่ก็ได้รู้ว่ารอยยิ้มของคุณนาย น่ารักเหมือนที่เจ้าของไร่เคยคุยโม้ไว้จริงๆ ด้วย
สองสัปดาห์ของเขตน์เต็มไปด้วยยิ้มที่เขาเองรู้ดีว่าที่มาของมันเกิดจาก

เพียงได้เห็นใบหน้าสดใสของนรินทร์ที่สดชื่นกว่าตอนแรกที่เข้ามาอยู่ไร่นี้แรกๆ และเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ว่าเริ่มปรับตัวเข้ากับคนที่นี่ได้มากขึ้น

เริ่มจากประสบการณ์ใหม่ที่คนตัวเล็กได้เริ่มต้นกับคนงานในโซนทำสบู่
และประสบการณ์ที่ว่านั้นเริ่มมาจากวันที่หนึ่งกับวันที่สิบหกของเดือนนั้นๆ

“เร็วเข้าคุณนาย! เขาใกล้ประกาศผลแล้ว” ป้าที่ถือลูกแอปเปิ้ลกัดเคี้ยวกรุบๆ รีบกวักมือเรียกภรรยาเจ้าของไร่รวมถึงคนงานน้อยใหญ่ที่วิ่งมารวมตัวกัน

รุมล้อมวิทยุเครื่องเดียวที่วางอยู่บนโต๊ะ
“มีอะไรกันเหรอ” เขตน์ที่เดินมาสังเกตอีกคนที่หมู่นี้เต็มใจตื่นแต่เช้าทุกวัน อาบน้ำอาบท่าอารมณ์ดียอมให้เขามาส่งที่โรงทำสบู่ทุกเช้า ส่งยิ้มสวยๆ ทักทายคนงานที่เดินผ่านไปมาอย่างน่ารัก

แต่วันนี้เหมือนยัยน้องรินของเขาจะเริ่มกลืนไปกับคนงานมากจนน่าเอ็นดู

“ชู่วว” ร่างโปร่งส่งเสียงปราม
พร้อมกับส่งสายตาค้อนกันเล็กน้อยเมื่อเขาส่งเสียงรบกวนการฟังวิทยุที่สำคัญในตอนนี้

อย่าบอกนะว่า

“เลขที่ออก...” เพียงแค่ได้ยินเสียงวิทยุประกาศเท่านั้น นรินทร์ก็เบิกกว้างแสนน่ารัก ทำท่าลุ้นไปกับพวกคนงาน ทั้งที่ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่กำลังลุ้นอยู่มันคืออะไร
รู้แค่คนงานบอกว่าถ้าตัวเลขตรงกับในกระดาษ พวกเขาจะได้เงิน และอาจถึงขั้นรวยได้เลย

เขาไม่ได้ซื้อสิ่งที่เรียกว่าหวยหรอก แต่รู้สึกสนุกเวลาได้ลุ้นอะไรแบบนี้ แล้วพวกคนงานก็คุยสนุกกันมากๆด้วยเวลาพูดถึงตัวเลข

“พุธโธ่เอ๊ย งวดนี้โดนกินอีกแล้ว!” หญิงสาวคนงานวัยสามสิบปลายๆ สบถออกมา
ก่อนที่อีกหลายๆ คนจะอารมณ์เสียไปตามๆกัน

ซึ่งร่างโปร่งไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น ได้แต่ทำหน้ามึนงงจนเขตน์หัวเราะออกมาเบาๆ

“เอาล่ะ ลุ้นเสร็จแล้วก็กลับไปทำงานได้แล้วครับ ส่วนยัยตัวดีมานี่เลย ออกแบบแพคเกจสบู่อยู่ดีๆ ไหงมาโผล่ฟังหวยกับเขาได้ครับ หืม”

“ก็มันสนุก” นรินทร์บุ้ยปากพูดเบาๆ
“ดื้อแล้วนะครับ ห้ามไปซื้อตามคนพวกนี้เด็ดขาด มันไม่ดีรู้ไหม”

“รู้แล้วน่า แค่สนุกเฉยๆ คนงานพวกนี้คุยสนุก”

“แล้ววันๆ คุยอะไรกันบ้างครับ” เขตน์แค่ถามพลางลูบหัวอีกคนเบาๆ ด้วยความเอ็นดู แต่ไม่รู้ว่าคำถามธรรมดากลับทำให้อีกคนหลุบตาต่ำ แก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุก

จะบอกได้ไงเล่า-
ว่าสิ่งที่พูดคุยกับคนงานแต่ละอย่างน่ะ...

‘คุณนาย ฉันถามจริงน่ะ คุณเขตน์เด็ดไหม’

‘อะไรเด็ดเหรอ’

‘ปัดโธ่ คุณนายช่างไร้เดียงสา อย่างนี้จะมีลูกกับเขาไหมเนี่ย ดูท่านายเราจะเฉาตายแน่’

‘เอ๊ หรือว่านายเราไม่เด็ด บอกกันตรงๆได้นะคุณนาย ปรึกษาอีหน่องมันเลย มันมีผัวมาสองคนแล้ว ลูกอีกสาม’
‘คะคุยอะไรกัน’ นรินทร์เริ่มเกาแก้มแก้เขินตามนิสัย

‘ฉันบอกได้นะคุณนาย เอาท่าไหนได้ลูกชาย ท่าไหนได้ลูกสาว ถ้าผัวไม่แซบล่ะก็คุณนายก็ลงมือเองเลย ขย่-‘

‘พอก่อน! ฉะฉันจะไปดูงานตรงโน้นนะ’ แต่ละวันเรื่องเม้าท์ของคนงานในโรงสบู่ที่ส่วนใหญ่มีแต่หญิงสาวก็เต็มไปด้วยเรื่องผัวๆ เมียๆ
ที่สุดท้ายก็วกมาที่เรื่องของเขาและเขตน์ตลอดจนหนีไปไหนไม่รอด ต้องสารภาพ

‘ฉันยังไม่เคย...กับเขตน์หรอก...’

‘แม่เจ้าประคุณรุนช่อง! คุณนาย! ไม่ได้น่ะ จะปล่อยให้ผัวออกไปกินข้างนอกหรือ เป็นเมียก็ต้องทำหน้าที่เมีย อยากให้ผัวหลงก็ต้องให้ผัว...’

และอีกหลายคำพูดที่อายจนทนฟังไม่ไหว
‘ฉันว่าแล้วเชียวทำไมคุณนายหนีหน้าทุกครั้งที่คุยกันเรื่องนี้ หรือว่านายเขตน์ของเราไม่ยอมมีอะไรกับคุณนาย เอางี้ไหม ฉันมียาบำรุงสมุนไพร กินปุ๊บแข็งปั๊บ!’

‘เอ่อ...วะ-ไว้ก่อนเถอะ’

ซึ่งเขตน์คงไม่สังเกตหรอกว่าเวลาตัวเองเข้ามาดูงานทีไร สายตาของคนงานในโรงสบู่จะแอบลอบมองแบบแปลกๆทุกที
“ว่าไงครับ คุยอะไรกับคนงานบ้าง ทำไมหมู่นี้ถึงได้สนิทกับคนพวกนั้นจัง”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า อย่ารู้เลย”

“คนดีพูดแบบนี้พี่ชักอยากรู้แล้วสิ งั้นไว้พี่จะไปถามคนงานตรงโน้-“

“ไม่ได้นะ” นรินทร์รีบดึงชายเสื้ออีกคนไว้ ก่อนจะก้มตาหลบสายตา สารภาพออกไปตรงๆ

“ก็คนงานชอบถาม...เรื่องของเรา”
เขตน์เลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ ตอนแรกก็แค่อยากหยอกเย้าอีกคนเท่านั้น แต่ตอนนี้ชักเริ่มอยากรู้จริงๆ แล้วสิ

“เรื่องของเรา...เรื่องอะไรครับ” แล้วคำตอบที่เขาได้ก็ทำให้ขมวดคิ้วเข้ม

กับคำตอบที่ไม่มีเสียงแต่เป็นท่าทางที่อีกคนเอานิ้วชี้ตัวเองทั้งสองข้างมาชนกัน

“ครับ?”

“กะก็เรื่องแบบนั้น”
“เรื่องแบบนั้น? คนดีครับ พี่เริ่มงงแล้ว คนดีพูดเรื่องอะไรครับเนี่ย”

เขตน์เริ่มหัวเราะเบาๆ จนนรินทร์กลัวว่าอีกคนจะเดินไปถามคนงานคนอื่น สุดท้ายจึงรีบโพล่งออกมาอย่างรวดเร็ว

“ก็คนงานชอบถามว่าเรามีอะไรกันหรือยัง แล้วจะให้ตอบยังไงเล่า!”

ลั่นโรงสบู่
และนั่นก็ทำให้เขตน์หน้าแห้งทันทีที่คนงานหันมามองเป็นจุดสายตาเดัยวพร้อมกับยิ้มกริ่มหยอกล้อ

นี่รู้กันหมดเลยใช่ไหมเนี่ย เดี๋ยวก่อนเถอะ สอนอะไรคนดีของเขาบ้างเนี่ย!

“คนดีรู้ใช่ไหมว่าพี่ให้เกียรติและรักคนดีมากๆ เรื่องของเราพี่รอได้เสมอครับ รอจนกว่าคนดีจะพร้อม”
“อื้อ แต่เราอาย...”

“ไม่ต้องเก็บคำของคนพวกนั้นมาคิดหมดหรอกนะครับ สิ่งที่คนงานพูดและทำไม่ใช่ว่าจะดีไปทุกอย่าง อย่าเชื่อมาก คนดีมีโอกาสเรียนรู้สังคมใหม่ๆ พี่อยากให้คนดีใช้โอกาสนี้รู้จักและเข้าใจพวกเขา และเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับคนทุกที่ แต่ต้องไม่ลืมความเป็นตัวเองนะครับ”
คนตัวเล็กพยักหน้าเบาๆ ท่าทีผ่อนคลายลง รอยยิ้มผุดขึ้นในแววตาราวกับโล่งใจที่สิ่งที่ตัวเองเครียดมาหลายวันได้รับการคลี่คลายจากคำพูดของคนตรงหน้า

ความคิดที่จะหลอกเล่นกับความรู้สึกของเขตน์ค่อยๆ หายไปทีละนิด

ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นแหละน่า

เพราะยังไงก็ต้องทำให้คนงานในไร่มาเป็นพวกกันก่อน
อคติที่ผูกติดกับจิตใจมาเป็นสิบปีจะให้ลบจนไม่เหลืออะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้

ตอนนี้ไม่ได้รัก แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียด

ไม่เกลียดขี้หน้าเหมือนเมื่อก่อน ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถรักคนคนนี้ได้

ไม่สิ ไม่รู้ต่างหากว่าจะทำใจรักยังไง

“นายจ๊ะ ถ้างั้นวันนี้พวกฉันพาคุณนายไปตลาดนัดได้ไหม”
เมื่อพูดถึงตลาดนัดนรินทร์ก็สลัดความในหัวออกทันที ใช่แล้ว! เขารอวันนี้มาหลายวัน!

เห็นคนงานว่าสิ้นเดือนจะพากันไปตลาดนัด แค่คิดเท่านั้นสายตาก็เปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความตื่นเต้น

เขาว่าตลาดนัดมีของมากมาย นรินทร์อยากเห็น

“หืม จะไปทำอะไรกันครับ”

“ปลาร้า หน่องบอกว่าอร่อย จะพาไปกิน”
นรินทร์รีบเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น เห็นคนงานทุกคนบอกว่าอร่อยมากๆ เกิดมาทั้งชีวิตต้องลองสักครั้ง

และนรินทร์สัญญาแล้วว่าจะต้องลองมันให้ได้!

ส่วนคนฟังอย่างเขตน์ได้แต่อ้าปากค้าง

บอกทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือคุณชายนรินทร์ตัวจริง

“ให้เราไปนะ หน่องบอกว่าจะพาไปขึ้นสองแถวด้วย”

ตายแล้ว
“เดี๋ยวนะครับ คนดีจะไปขี้นสองแถว รู้ใช่ไหมว่าสองแถวคืออะไร แล้วปลาร้าคืออะไร”

เขตน์เริ่มตามอีกคนไม่ทัน คิดในใจว่าวันๆ คนงานเอาอะไรใส่หัวอีกฝ่ายบ้างเนี่ย ทำไมผ่านไปแต่สองสัปดาห์ถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้

“ไม่รู้หรอก แต่รินอยากเห็นตลาดนัด ให้รินไปนะ” คนตัวเล็กเม้มปากกะพริบตาอ้อนกัน
จะไม่ให้เขตน์ใจอ่อนได้เหรอ

“แล้วคนดีมีเงินเหรอครับ จะไปซื้อของที่ตลาดนัดแบบไม่มีเงินไม่ได้นะ” เขตน์ลอบยิ้มเบาๆ และมันทำให้คนตัวเล็กฉุกคิดได้ทำหน้างองุ้ม

คุณพ่อยึดเงินและกระเป๋าสตางค์ไปหมดแล้ว ไม่มีเงินเลยสักบาท

เอาไงดีนะ
“มะไม่มี รินไม่มีเงิน” เอ่ยเสียงหงอยน่าสงสาร ปลายจมูกเริ่มแดง ทำหน้าผิดหวังเห็นได้ชัด

ดูท่าแผนที่จะไปตลาดกับพวกคนงานวันนี้คงต้องอดเสียแล้ว

นรินทร์ไม่มีเงินซื้อปลาร้าหรอก

ไม่มีเงินขึ้นสองแถวกับพวกคนงานด้วย
“ถ้างั้นไม่ไปแล้วก็ได้” เลยได้แต่พึมพำเบาๆกับตัวเอง ทำหน้าเศร้าเล็กน้อยเผื่ออีกคนจะเห็นใจ

แต่ใครจะรู้ว่าร่างสูงยื่นซองอะไรบางอย่างมาให้เขา

“อะไรเหรอ”

“ค่าแรงของน้องรินครับ”

“ค่าแรง? คืออะไร?” เขตน์ยิ้มขึ้นเล็กน้อย

“ค่าแรงที่คนดีทำงานให้กับไร่กุหลาบคุณชายกรไงครับ เก่งมากๆเลย”
“ทำงานเหรอ...สิ่งที่กำลังทำรินแค่ช่วยคนงานเท่านั้นเอง” นรินทร์เอ่ยถามขึ้นเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ

“พี่เคยบอกคนดีแล้วไงครับ ไร่ของเราทุกคนเท่าเทียมกัน คนดีทำงานก็ควรได้ค่าแรงเท่ากับคนงานคนอื่นด้วย”

นรินทร์ยังคงสับสน แต่ก็เปิดซองสีขาวที่บรรจุธนบัตรสีเทาสี่ใบ
ทำงานทั้งวันตั้งสองอาทิตย์ ได้แค่สี่พันเองหรือ ค่าขนมรายวันของเขาตอนอยู่กรุงเทพยังเยอะกว่านี้เลย

สี่พันจะไปซื้ออะไรได้ แค่คิดก็เซ็งละ

“สี่พัน...ทำไมน้อยจัง”

“นี่แหละครับชีวิตคนทำงานที่ต้องลำบากใช้แรงกายและสมองตัวเองเพื่อแลกกับเงิน ไม่มีใครสุขสบายมีเงินโดยไม่ทำอะไรไปตลอดชีวิต”
นั่นทำให้นรินทร์เผลอเหยียดมุมปากขึ้นมาเบาๆ เหนื่อยแทบตายได้แค่สี่พัน สู้ทำงานในออฟฟิศสบายๆ รายได้เป็นหมื่ินแบบนั้นยังดีกว่า

แต่เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขตน์สอนไม่ได้มาจากการที่คุณพ่อของเขาสั่ง

เขตน์แค่อยากจะให้นรินทร์คิดในเรื่องการใช้เงินที่ตัวเองชอบฟุ่มเฟือยและก็อยากให้รู้ไว้
ว่าคนงานที่นี่ไม่ได้อยู่เพราะเงินเดือนแค่ไม่กี่พันอย่างเดียว

แต่อยู่ที่นี่ด้วยหัวใจล้วนๆ หัวใจที่รักบ้านเกิดและไร่แห่งนี้ รวมถึงหัวใจที่รักและพร้อมเชื่อใจให้เจ้าของไร่ดูแลกันเสมือนครอบครัว

เพราะคงไม่มีที่ไหนดูแลเรื่องอาหารการกินที่อร่อยและสบายได้เท่าไร่กุหลาบคุณชายกรแห่งนี้
และเขาหวังว่าวันหนึ่งอีกคนจะคิดได้สักวัน วันนั้นที่นรินทร์หันมาบอกกันอีกครั้งว่าสี่พันที่ได้ไปวันนี้นั้นมีค่ามากมายแค่ไหน

“สี่พันนี่ซื้อปลาร้าได้ไหมนะ”

“สบายเลยครับคนดี แต่อย่าใช้หมดนะ อย่าลืมว่าคนดีจะได้รับเงินอีกทีสิ้นเดือนหน้าเลยนะครับ”

“สิ้นเดือนเลยเหรอ แล้วจะอยู่ยังไง!”
นรินทร์ตัดพ้อขึ้นมาดังๆ จะให้อยู่ทั้งเดือนด้วยเงินแค่สี่พันบาทเนี่ยนะ

บ้าไปแล้วแน่ๆ

วันเดียวยังใช้ไม่พอเลย! ระดับคุณชายนรินทร์ อย่าให้ใครรู้เชียวนะว่าต้องอยู่ทั้งเดือนด้วยเงินแค่นี้

“อยู่ได้สิครับถ้าประหยัด อีกอย่างไร่เราก็มีอาหารให้คนดีทานทุกมื้อ”

“แต่นี่มันน้อยเกินไป!”
“คนดีต้องจัดการเองแล้วล่ะครับ ว่าจะอยู่ยังไงด้วยเงินสี่พันบาทให้ถึงสิ้นเดือน”

ซึ่งเขตน์เองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอีกคนจะทำได้ไหมและจะจัดการกับเงินก้อนนี้ยังไง

“แล้วถ้าไม่พอล่ะ”

“ไม่มีขอเพิ่มครับ ถึงพี่จะเป็นสามีตามกฎหมายของคนดี แต่กฎก็ต้องเป็นกฎนะ” พร้อมยิ้มออกมาเบาๆ

ใจร้าย!
ทีนี้ก็มาพิสูจน์กันว่าคนอย่างนรินทร์จะทำได้ไหม ซึ่งคุณชายอย่างเขาน่ะไม่ยอมแพ้หรอก

จะทำให้เขตน์ได้รู้ว่าอย่าคิดดูถูกนรินทร์คนนี้!

และเขตน์เองก็อยากพิสูจน์เหมือนกัน ว่าความจริงใจของนรินทร์ที่มีให้กันเป็นจริงแค่ไหน

ยอมทุ่มให้ใจกันไปแล้ว

ให้แบบไม่เผื่อใจเพื่อพิสูจน์ความจริงใจนี้
ร่างโปร่งกำซองขาวที่บรรจุธนบัตรสีเทาสี่ใบแน่นอย่างหวงแหนกลัวว่ามันจะหาย แม้จะย้ายมันมาใส่กระเป๋ากางเกงแล้วก็ไม่วายคลำจับมันอยู่ตลอดเวลาที่เดินทางไปตลาด

กึก!

“โอ้ย!” นรินทร์ตกใจผวาทุกครั้งที่รถเบรคจนเกือบหัวทิ่ม หน่องบอกเขาว่าจะพาไปขึ้นรถสองแถวซึ่งก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
จนกระทั่งโดนลากไปนั่งเบียดกันนี่แหละจึงเข้าใจ

“นี่! บอกให้คนขับรถช่วยขับให้มันดีกว่านี้หน่อยได้ไหม ฉันเวียนหัวจะตายอยู่แล้ว! ใครสั่งใครสอนให้ขับรถแบบนี้กัน ถ้าฉันเป็นอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ!”

“โว้ย คุณนาย พูดไปก็เท่านั้นแหละ สองแถวขับงี้ทุกคัน แต่มันเร็วสุดแล้ว ถูกสุดด้วย-
ทนหน่อยเถอะ แค่นี้ทำเป็นบ่น ฉันนั่งมาเป็รสามสิบปีไม่เห็นจะเป็นไร!” นรินทร์ส่งสายตามองค้อนคนที่เถียงเขาซึ่งๆหน้า แต่ก็ต้องจำใจหุบปากตัวเองนั่งกำซองเงินต่อไปจนถึงจุดหมาย

‘คนดีจะไม่นั่งรถพี่ไปจริงๆ เหรอครับ’

รู้งี้เขานั่งไปกับเขตน์ดีกว่า คิดแล้วน้ำตาก็จะไหล ทำไมมันลำบากงี้นะ
ไม่น่าหลวมตัวเชื่อหน่องที่นั่งอยู่ข้างกันนี่เลย รายนั้นนั่งสบายใจเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต แถมยังใส่รองเท้าผ้าใบขาดๆ เดินไปเดินมาอย่างไม่อายใครด้วย

“ฉันจะไปซื้อรองเท้าใหม่ล่ะคุณนาย เก็บเงินมาสี่เดือนแล้วเพื่องานนี้เลย”

“สี่เดือน!”

“ใช่สิ ทำไมเหรอ”
“รองเท้าอะไรต้องเก็บตังค์ถึงสี่เดือน เธอจะซื้อยี่ห้ออะไรน่ะ ตลาดน้ดมีเหรอ แบรนด์ของแท้รึเปล่า เดี๋ยวฉันช่วยดูให้เอาไหม”

“แบรนด์คืออะไรคุณนาย ฉันก็จะแค่ซื้อผ้าใบคู่เดิมที่ใส่เหมือนกันนี่แหละ ตลาดนี้มีอยู่เจ้าเดียวที่มันทน คู่นี้ฉันใส่มาสองปีแล้ว เป็นเพื่อนยากของฉันเลย”
“เธอมีรองเ้ทากี่คู่เนี่ย ทำไมไม่ใส่คู่อื่นบ้าง” ร่างโปร่งถามด้วยความข้องใจ

“หื้ม คนเราจะมีรองเท้าอะไรมากมายคุณนาย ฉันมีเท้าอยู่แค่คู่เดียวก็ใส่มันคู่เดียวสิ”

“นี่อย่าบอกนะว่าเธอใส่คู่นี้คู่เดียวมาตลอดสองปี” ร่างโปร่งจ้องรองเท้าเกรอะกรังไปด้วยโคลนสลับกับมองหน้าหน่องอย่างอึ้งๆ
“ก็รองเท้ามันแพงนิคุณนาย คู่ละตั้งสองร้อยบาท ฉันจะเอาปัญญามาจากไหน ฉันมีลูกเป็นเขืองที่ต้องเลี้ยง มีผัวมีแม่แก่ๆที่ต้องดูแล รองเท้าคู่เดียวฉันต้องหยอดกระปุก เจียดเอาเศษตังค์ซื้อนั่นแหละ สี่เดือนก็ครบสองร้อยบาทเป๊ะเลย”
ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่นรินทร์เริ่มรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ตรงลำคอ อาจจะเป็นเพราะสิ่งที่หน่องพูดออกมาทำให้เขาต้องก้มหน้าลงไปมองรองเท้าตัวเอง สลับกับรองเท้าของทุกคนบนรถสองแถว

สภาพรองเท้าทุกคนไม่ต่างจากหน่อง บ้างก็ขาดเป็นพรุน บ้างก็เห็นเป็นรอยปะซ้ำไปมา ชะตากรรมไม่ต่างกัน
ที่ผ่านมาเขามัวแต่ทำอะไรอยู่นะ กินเล่นนอนเล่นไปวันๆ วันไหนอารมณ์เสียก็หยิบบัตรไปรูดซื้อของที่ใช้ครั้งสองครั้งก็เบื่อ

รองเท้าแบรนด์ดังราคาเหยียบแสนวางเรียงรายบนตู้ แล้วเขาก็พอใจที่จะใช้เงินซื้อมันอย่างทิ้งๆขว้างๆ แบบนั้น

ต่างจากวันนี้ที่ต้องมานั่งกำเงินที่เหลือติดตัวแค่สี่พันบาท
เพราะกลัวว่ามันจะหาย หากตกหล่นไปแม้แต่บาทเดียวเขาคงไม่มีเหลือใช้จนถึงสิ้นเดือน

นรินทร์กำลังรู้สึกเหมือนคนงานเหล่านี้ขึ้นทีละนิด มันเรียกว่าความเข้าใจได้ไหมนะ เข้าใจว่าทำไมคนงานถึงยิ้มดีใจ ต่อแถวเรียงรายยืนไหว้เขตน์ที่ยื่นซองสีขาวมาให้กัน พวกเขาเฝ้ารอว่าเมื่อไรจะสิ้นเดือน-
ตรากตรำทำงานเพื่อแลกกับเงินไม่กี่บาท ทว่าสามารถเอาไปเลี้ยงครอบครัวให้ดำรงอยู่ต่อไปได้

ถึงแม้ตัวเองจะต้องใส่รองเท้าขาดๆ ไปอีกหลายปีก็ตาม

“นะ-น้ำตาไหล คุณนายร้องไห้เหรอ”

“หืม” และนั่นมันทำให้ร่างโปร่งถึงกับน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เพิ่งมารู้สึกก็ตอนที่หน่องทักกัน

คิดถึงคุณพ่อ
คิดดูว่าคุณพ่อต้องทำงานตัวคนเดัยวเลี้ยงทั้งครอบครัว เพื่อให้เทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายที่เขาผลาญมันไปวันละหลายหมื่น

ขนาดแค่สี่พันบาท นรินทร์ยังเหนื่อยจนลากเลือกเลย

แล้วคุณพ่อล่ะจะขนาดไหน

“ฮึก...”

“เอ้า! สะอื้นใหญ่แล้ว คุณนายเป็นอะไรบอกฉัน อยู่ดีๆร้องไห้ทำไมนั่น เป็นอะไร”
“พ่อ...ฮึก...คุณพ่อ” ยิ่งคิดก็ยิ่งสะอื้นหนัก เกิดมาไม่เคยต้องลำบาก ใส่รองเท้าเสื้อผ้าราคาถูก ตั่งตากลมบนรถสองแถวเก่าๆกับพวกคนงานระดับล่างแบบนี้

แถมยังไม่มีเงินแม้กระทั่งจะซื้ออะไรตามใจอยากได้เหมือนก่อนแล้ว

มันยิ่งทำให้นรินทร์รู้สึกผิดเข้าไปใหญ่

เขาเป็นลูกที่ไม่ดีใช่ไหม
“เฮ้อ สงสัยคงคิดถึงพ่อสินะคุณนาย แต่งงานมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แถมได้สามีทำสวนทำไร่อีกก็เป็นแบบนี้ ไม่ต้องร้องนะ เดี๋ยวพวกฉันจะพาไปกินของอร่อยๆ เอง”

และหลังจากลงรถสองแถวนรินทร์ก็ได้รู้ว่าตลาดนัดชุมชนเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลนั้นต่างจากที่คิดไว้
เขาคิดว่าจะเป็นตลาดซอยใหญ่เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ แต่กลับกลายเป็นแค่แผงวางขายไม่ถึงยี่สิบร้าน บ้างก็ปูเสื่อวางของขายลงบนพื้นหญ้า บ้างก็ทำเพลิงไม้เล็กๆ ให้คนเข้าไปทานอาหารได้

แต่กลับเรียกรอยยิ้มให้กับพวกคนงายได้อย่างประหลาด

“กระเป๋าสตางค์สานใบนี้สวยเชียว คุณนายว่าไหมจ๊ะ”
นรินทร์ก้มมองสิ่งที่เด็กผู้หญิงหนึ่งในคนงานยื่นมาขอความเห็น มันเป็นแค่เป๋าสตางค์ผ้าใบเล็กถูกสานด้วยลายนกฮูกทั่วไปไม่ได้เด่นมากนัก

“ฉันคิดราคาถูกๆ เลยนะ ห้าสิบบาท ราคาคนกันเอง”

“โถป้า ตั้งห้าสิบเลยเหรอ” ร่างสูงที่ยืนมองเด็กสาวที่บัดนี้หน้างองุ้มอย่างเสียดาย
เธออยากได้มัน แต่ดูท่าจะไม่มีวาสนา อีมือหนึ่งกำเศษกระดาษบางอย่างจนยับยู่ยี่

คาดว่าน่าจะเป็นเงินที่พกมาเพื่อหวังจะซื้อกระเป๋าใบใหม่

“ฉันมีอยู่ยี่สิบบาท” เด็กคนนั้นพึมพำเบาๆ

“ไม่ได้หรอก ของซื้อของขาย คนสานกระเป๋าเขาก็เหนื่อยเหมือนกัน ยี่สิบฉันก็สู้ไม่ไหว” สุดท้ายจึงต้องละมือออก
เดินจากร้านกระเป๋าไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

ถ้าให้เดา เด็กคนนั้นคงยอมอด เอาเงินค่าขนมมาซื้อกระเป๋า แต่ก็ดันไม่พอ

นรินทร์จึงหยิบซองกระดาษสีขาวออกจากกระเป๋ากางเกงตัวเองอีกครั้ง

แต่ถ้าเขาซื้อกระเป๋าสตางค์ให้เด็กคนนี้ไปห้าสิบบาท เงินเขาก็จะลดน้อยลงไปนะ
และเขาจะต้องใช้ทันไปจนกว่าจะสิ้นเดือน นี่ยังไม่รวมที่เขาจะซื้อปลาร้ากินวันนี้ด้วย

ยังไงดี

พอเห็นสีหน้าน่าสงสารของเด็กคนนั้นแล้วเขาก็รู้สึกแปลกๆ ชะมัด สัญชาตญาณเหมือนบอกให้ทำอะไรสักอย่าง

ที่นรินทร์ไม่เคยทำมัน

“อ่ะนี่”

“อะไรคะคุณนาย”

“กระเป๋าที่เธออยากได้ไง ฉันซื้อให้แล้ว”
“คะคุณนาย ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก มันมากเกินไป ฉันไม่มีเงิ-“

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ถือว่าฉันซื้อให้เธอแล้วกัน ส่วนเงินไม่เป็นไรหรอก” อย่างน้อยที่บ้านก็มีกับข้าวให้กิน เหมือนที่เขตน์เคยว่าไว้

“ฉัน...ฮึก...ขอบคุณมากจ้า” เด็กคนนั้นพนมมือท่วมหัวหยิบกระเป๋าจากมือด้วยเสียงสั่นเครือ
“น้ำใจนี้ฉันจะไม่ลืมเลย ฉันจะใช้มันอย่างดี จะทะนุถนอมเพราะตึณนายเป็นคนให้”

“อะไรกันก็แค่กระเป๋าสตางค์ใบละห้าสิบบาท” นรินทร์บุ้ยปากแก้อาการขัดเขินไปงั้น เอามือเกาแก้มเช่นเคย

เวลามีน้ำใจกับคนอื่น ทำไมมันรู้สึกดีจัง แปลกแบบบอกไม่ถูก
และนั่นก็ทำให้คนที่ลอบมองมาตลอดตั้งแต่อีกคนลงจากสองแถวจนกระทังตอนที่อีกฝ่ายลงทุนเจียดเงินอันน้อยนิดของตัวเองซื้อกระเป๋าเป็นของขวัญให้เด็กน้อยคนนั้น

ก็เผลอยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู

น้องรินของเขาโตแล้ว

“คุณชายกรไม่ต้องห่วงแล้วนะครับ”

.
.
“โอ๊ย เผ็ดๆ ขอน้ำหน่อย แค่กๆ”

คนตัวเล็กที่นั่งน้ำหูน้ำตาไหลกลางวงส้มตำในตลาดนัดที่คนงานสองสามคนได้แต่นั่งขำกับท่าทางของคนกรุงเทพฯ ฐานะดีที่ไม่เคยแตะอาหารพื้นๆ แบบนี้มาก่อน

“อร่อยจะตายคุณนาย นี่ใส่แค่น้ำปลาร้าเองนะ ของนัวจริงๆน่ะมันต้องเป็นต่อนๆ” หน่องโม้ไปจกข้าวเหนียวส้มตำไป
“มันกลิ่นเหมือนอะไรเน่าเลย พวกแก-เอ่อ พวกเธอกินกันเข้าไปได้ไง! เผ็ดก็เผ็ด ไม่เอา ฉันไม่กินแล้ว!”

นรินทร์เผ็ดจนควันออกหู จิบน้ำเท่าไรก็ดูเหมือนจะไม่พอ สุดท้ายจึงเผลอบ่นด้วยความโมโหที่คนพวกนี้แกล้งพาเขามากินอะไรแปลกๆ

“โหคุณนาย โตมายังไงไม่เคยกินส้มตำปลาร้า เสียชาติเกิดจริง!”
“จริง นี่ฉันกะจะสั่งลาบก้อยด้วยนะเนี่ย ถ้าคุณนายเห็นจะไม่ช็อกเลยเหรอ จานนั้นน่ะเลือดวัวดิบทั้งนั้น แต่รสชาติน่ะระดับนี้!”

พูดจบหน่องก็ยกนิ้วโป้งเคี้ยวส้มตำตุ้ยๆ สีหน้าฟินสุดๆ

นานๆทีจะได้มีเงินซื้อส้มตำของโปรดกิน เพราะวันๆกินได้แต่กับข้าวในไร่ที่ให้ฟรีเกือบทุกมื้อ
“ไม่เอา ฉันไม่เชื่อพวกเธอแล้ว ฉันไปเดินเล่นดีกว่า ปะ! ตอง เราไปกันเถอะ”

ร่างโปร่งปากแดงเจ่อ กวักมือเรียดเด็กที่เขาซื้อกระเป๋าสตางค์ให้และเพิ่งจะรู้วันนี้ว่าชื่อตอง

และหลังจากปลีกตัวออกจากร้านอาหารแปลกๆนี่ได้สำเร็จก็เดินไปเดินมา สอดส่องสายตาไปทั่วทุกบริเวณที่ตัวเองไม่เคยพบเห็น
ร้อนจัง นึกว่าตลาดนัดที่ว่าจะมีแอร์เหมือนห้างเสียอีก แต่กลับต้องทนเดินท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ แบบนี้

ร่างโปร่งเดินไปเอามือตัวเองพัดโบกพลางเช็ดเหงื่อไปด้วยความหงุดหงิด

ชักอยากกลับแล้วสิ ตลาดนัดไรนี่ไม่เห็นสนุกเลย สู้เดินช็อปที่ห้างดังก็ไม่ได้

แต่ก็นะ เขาคงไม่คิดช็อปอะไรแบบนั้นแล้ว
“คุณนาย ดูนี่สิ อันนี้สวยดีนะ ฉันว่าเหมาะกับคุณนายมากเลย” เด็กน้อยหยิบกำไลลูกปัดสีน้ำตาลสลับขาว ตรงกลางลูกปัดขาวมีลายดอกกุหลาบสีแดงสดสวยงามในราคาหนึ่งร้อยบาท

ถ้าแต่ก่อนราคานี้เขาคงซื้อไว้ใช้ครั้งสองครั้งและพร้อมทิ้งได้ทุกเมื่อ

แต่ตอนนี้ต้องคิดก่อนว่ากำไลนั้นมันมีประโยชน์ไหม
แต่มันสวยจริงๆ อย่างที่เด็กน้อยว่าและเขาเองก็ชอบดอกกุหลาบด้วยสิ

ยิ่งได้ลองใส่ แกว่งแขนไปมาก็ยิ่งอยากได้ ดูยังไงก็เหมาะกับข้อมือตัวเองราวกับเกิดมาเพื่อคุณชายนรินทร์อย่างไรอย่างนั้น

แต่หนึ่งร้อยบาทเชียวนะ

ร่างโปร่งเม้มปากขมวดคิ้วลังเลนานอยู่หลายนาทีจนแม่ค้าเริ่มระแวง
“ลดไม่ได้แล้วพ่อหนุ่ม นี่น่ะถูกสุดแล้ว กำไลนั่นมันของทำมือ ฉันลดให้ไม่ได้หรอก”

“สักสิบบาทก็ไม่ได้เหรอ” นรินทร์ยังไม่วายเถียงต่อ เกิดมาทั้งชีวิตของคุณชาย ซื้อของไม่เคยต่อราคา มีแต่จะให้ทิปคนขายด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้เงินทุกบาททุกสตางค์มีค่านี่นา
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ของซื้อของขาย ฉันเองก็ต้องหากินนะ”

สุดท้ายนรินทร์ก็ทำได้แค่ถอนหายใจทำหน้างองุ้ม ค่อยๆถอดกำไลนั้นวางลงบนที่เดิมด้วยความเสียดายแล้วหันหน้ากำลังจะเดินออกจากร้านนั้นช้าๆ

“ร้อยนึงใช่ไหมครับป้า นี่ครับ” สุดท้ายก็มีคนซื้อตัดหน้าไปแล้วจนได้ นรินทร์ที่ยืนหันหลังอยู่-
ไม่รู้ว่าคนที่ซื้อกำไลข้อมือชิ้นนั้นเป็นไกล เขาเดินมาไกลพอสมควรแล้ว เสียงก็ได้ยินแค่แผ่วๆ ระยะไกลเท่านั้น

“คุณนาย ได้เวลาที่เราต้องกลับแล้วนะจ๊ะ ประเดี๋ยวรถสองแถวหมด” เด็กน้อยสะกิดร่างโปร่ง พากันขึ้นสองแถวที่พวกคนงานรอกันอยู่

เฮ้อ สุดท้ายก็ต้องมานั่งได้รถบ้านี่กลับอีกแล้ว!
กว่าจะถึงเรือนของเขตน์ นรินทร์แทบจะเดินลงมาอ้วกทันทีที่เท้าแตะพื้น รถสองแถวอะไรนี่เขาขอไม่นั่งมันอีกแล้ว ทางขึ้นเขาก็แสนชัน แถมยังถูกพาไปกินอะไรแปลกๆ อีก

พอเลย เขาจะไม่เชื่อคนงานพวกนี้ง่ายๆ อีกแล้ว นี่มันแกล้งกันชัดๆ

“กลับมาแล้วเหรอครับ”

“อือ”

“ทำไมหน้าซีดอย่างนั้นครับคนดี”
ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้อย่างนึกเป็นห่วง

“ไปเที่ยวตลาดนัดมา ทำไมทำหน้าเหมือนไม่สนุกเลยครับ หืม” เขตน์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำท่าจะหอมแก้มกัน

“อื้อไม่เอา อย่าเพิ่ง...”

“ทำไมล่ะครับ”

“กินปลาร้ามา...มันมี เอ่อ กลิ่นปา-“

จุ๊บ!

“อื้อ!!”

“ไม่เห็นเหม็นเลยครับ คนดีของพี่หอมสุดๆ”
คนพี่ฉวยโอกาสแกล้งอีกคนที่ทำทีเอี้ยวหลบไม่ยอมให้หอมให้กอด แต่เขาน่ะไม่เคยนึกรังเกียจคนตัวเล็กเลยสักนิด

ก็รักไปแล้ว แต่ได้จุ๊บนิดหอมหน่อยก็ชื่นใจ

“พอแล้วน่า จะไปอาบน้ำ” อีกคนเริ่มเอามือผลักอกอีกคนที่ยามนี้มือซุกซน ไม่รู้ว่ามาโอบเอวกันตั้งแต่เมื่อไร แถมยังหอมฟอดแล้วฟอดเล่า
เขตน์หัวเราะในลำคอเบาๆ ให้กับคนน้องที่ทำหน้าไม่ถูก แถมยังไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี่เขาเรียกว่าเขิน

“ให้พี่อาบน้ำให้ไหมครับ” พร้อมกับกระซิบเบาๆ ข้างใบหูแกล้งให้อีกคนหน้าแดงเถือกยิ่งกว่าเดิม

“มะไม่” แล้วก็ไม่วายโดนขโมยจุ๊บเบาๆที่ริมฝีปากอีกรอบ

“อื้อ เลิกแกล้ง” ก่อนจะผละออกมา
หัวเราะให้กับคนที่รีบเดินจ้ำอ้าวก้มหน้าสีขึ้นสีแดงระเรื่อเข้าห้องนอนตัวเองโดยไว

มีความสุขจริงๆ เลยนะ เขาอยากให้นรินทร์เป็นแบบนี้นานๆ ตลอดไป

แต่มันจะมีวันนั้นไหม เขาเองก็ไม่อาจจะรู้ได้เหมือนกัน

วันที่นรินทร์จะรักคนอย่างเขา
หลังจากอายน้ำเสร็จสรรพ ร่างโปร่งที่กำลังจะล้มตัวลงนอนก็พบกับบางสิ่งที่วางอยู่บนหัวเตียงเช่นเคยไม่เคยขาด

คืนนี้ก็เช่นกัน

ดอกกุหลาบสามดอกที่ถูกมัดโดยเชือกฟาง ถูกใส่ไว้ในแจกันพลาสติกใสในห้องนอน

มันถูกนำมาเปลี่ยนใหม่ทุกคืนโดยคนๆ เดิมที่ขยันใส่ใจกันไม่มีขาดนับแต่วันแรกจนถึงวันนี้
และก็เป็นนรินทร์ทุกทีที่จะเอื้อมมือไปจับมันมาดอมดมพร้อมรอยยิ้มเบาๆ ก่อนนอน

ขาดไม่ได้แล้ว หากวันใดวันหนึ่งดอกกุหลาบในแจกันนี้หายไป เขาคงรู้สึกแปลกๆ

อาการนี้มันเรียกว่าหวั่นไหว นรินทร์เข้าใจดี แต่ไม่อยากจะยอมรับเลย

วันใดวันหนึ่งเขาก็ต้องจากที่นี่ไป
ถ้าให้เลือกระหว่างไร่กุหลาบกับครอบครัวแน่นอนเขาต้องเลือกที่จะกลับไปยังที่ที่ตัวเองจากมา

ที่นั่นมีพร้อมทุกอย่าง และเขาเองก็มีสังคม มีเพื่อน มีพ่อแม่ให้กลับไปหา

หากต้องละทิ้งทั้งหมดเพื่อมาอยู่กับเขตน์เขาคงไม่ไหว แต่ก็ดันไปให้ความหวัง ยินยอมให้เขากอดหอม

อย่ารักรินเลย พี่เขตน์
เช้าวันนี้ร่างโปร่งตื่นแต่เช้าด้วยตัวเองได้แล้วโดยไม่ต้องให้ใครบางคนช่วยปลุก

งานวันนี้ดูท่าจะยุ่งวุ่นวายอยู่เหตุเพราะคนงานเพิ่งจะรีบวิ่งมาบอกกันเมื่อเช้าว่ามีคนอยากร่วมลงทุนช่วยเหลือผลิตภัณฑ์สบู่จากไร่กุหลาบคุณชายกรเพื่อกระจายออกไปยังจังหวัดต่างๆ รวมทั้งในกรุงเทพฯ
งานในส่วนนี้เขตน์ยกให้นรินทร์เป็นคนตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวแล้ว และภรรยาเจ้าของไร่ก็เป็นผู้ถือสิทธิ์ทุกอย่างในมือเช่นกัน

“สวัสดีครับ ผมทิม ตอนนี้กำลังทำบริษัทส่งออก ขยายรายได้ให้ชุมชนอยู่...” ชายหนุ่มรูปร่างภูมิฐาน ใส่สูทผู้ดีราคาแพงที่นรินทร์มองปราดเดียวก็รู้ว่ายี่ห้ออะไร
นรินทร์พยักหน้าเบาๆ รับนามบัตรจากคนที่ยื่นมาให้กันพร้อมกับส่งยิ้มละไมเหมือนจงใจอย่างไรไม่อาจรู้ได้

ถ้าให้พูด ผู้ชายคนนี้ตรงสเป็ตทุกอย่างที่นรินทร์ชอบ

แต่งตัวดี สะอาด มีความเป็นผู้ดีเทียบเท่ากับครอบครัวเขาได้ หากเดินควงกันคงไม่อายใคร ต่างจากอีกคนลิบลับที่มือไม้มักจะเปื้อนดิน-
รองเท้ามักจะคลุกฝุ่นทรายเสมอ เสื้อผ้าก็มีแต่เก่าๆ เลอะมาไม่รู้เท่าไร

แต่นรินทร์กลับไม่รู้สึกใจเต้นแรงกับผู้ชายที่ชื่อทิมอะไรเลยสักนิด ทั้งที่ตรงสเป็กเสียอย่างนี้

ทำไมนะ

“ผมคิดว่าหากเรามีโอกาสได้ร่วมมือกัน กระจายรายให้คนงานที่นี่มีเงินมากขึ้น พวกเขาก็จะใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย-
คงดีไม่น้อย คุณนรินทร์ว่าดีไหมครับ”

ชีวิตสุขสบายเหรอ ก็ต้องดีอยู่แล้ว ใครๆก็อยากรวย อยากสุขสบาย ถ้าเขาทำให้คนงานเหล่านี้ได้ ก็น่าจะดีเหมือนกัน

เป็นความคิดที่ดีไม่น้อย

“ขอบคุณนะครับ ไว้ผมจะขอคิดดูก่อน” นรินทร์ยิ้มตอบเป็นมารยาทเล็กน้อย

“คุณนรินทร์อาจจะยังไม่ไว้ใจผม-
เอาเป็นว่าให้โอกาสผมได้เลี้ยงอาหารคุณสักมื้อได้ไหมครับ ผมจะได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่ผมทำให้คุณฟัง”

“เอ่อ...”

“นะครับ” แววตาเจ้าชู้ส่งมาหากันอ้อนวอนให้อีกคนตอบรับ หากเป็นแต่ก่อนเขาคงปฏิเสธ คุณชายนรินทร์น่ะไม่ใช่คนง่ายๆ ที่จะไปไหนกับใครก็ได้
แต่ทว่าเขาเองก็อยากให้คนงานได้รับทางเลือกที่ดีกว่าชีวิตทุกวันนี้

และเขาอยากทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง อยากทำตัวเองให้มีค่า ให้คุณพ่อคุณแม่และเขตน์ได้เห็น

“ครับ ผมตกลง”

มื้อกลางวันนี้นรินทร์จึงได้ทานสเต็กเนื้อจากไร่ชั้นดี ร้านดังของเขาใหญ่ที่ถูกจองโต๊ะมาเพื่อแขกอย่างนรินทร์โดยเฉพาะ
มื้ออาหารที่เจ้าตัวอมยิ้มดีใจที่ไม่ได้ทานของอร่อยราคาแพงแบบนี้มานานเป็นเดือน

“อยากทานอะไรสั่งได้เลยนะครับ” คนพูดยิ้มกริ่มอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ และการพูดคุยธุรกิจก็เหมือนจะไปได้สวย

“ไอ้เขตน์ กูว่ากูเห็นเมียมึงมากินสเต็กร้านกูว่ะ” ฮิลเพื่อนรักยกหูโทรศัพท์ขึ้น
และเพียงวางสายไม่ถึงสิบนาที เจ้าของไร่กุหลาบก็วิ่งกระหืดกระหอบพร้อมสายตาที่เห็นคนสอฃคนนั่งอยู่ไกลๆ โดยมีคนคุ้นตานั่งหัวเราะร่าเริงกับคำพูดของอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติ

ดูมีความสุข มากกว่าเวลาอยู่กับเขา

และผู้ชายคนนั้น คนที่เขาใหญ่รู้จักดีว่าฐานะร่ำรวยมีชาติตระกูลแค่ไหน
จึงได้แต่ยืนคอตก อาลัยให้กับชะตาชีวิตตัวเองที่ไม่มีวันดีได้แบบนั้น

แต่หยดน้ำตาที่กระตบพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองภาพน้ำที่ขุ่นมัวไปด้วยน้ำตาช้าๆ

ไม่ว่าพยายามเท่าไร เขตน์คนนี้ก็เป็นได้แค่ลูกคนใช้เท่านั้น

“มึงไหวไหมวะ”

“คืนนี้กูจะไปนอนบ้านไอ้เฟรม”

“ทำไมล่ะ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะ-
มึงอย่าเพิ่งคิดมาก เขาก็อาจจะแค่รู้จักกันก็ได้ อย่าลืมนะว่าคุณรินเขาเป็นลูกคุณชายกร และคุณชายกรก็มีเส้นสายเยอะแยะ”

“กูต่างหากที่คิดมากมาตั้งนาน...” คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงมีใจให้

แต่วันนี้เขตน์คนนี้ตาสว่างและเลิกหวังแล้ว
.
.

หลังจากมื้อนั้นจบลงร่างโปร่งก็กลับมาที่ไร่เช่นเคย
ทว่าไร้ซึ่งวี่แววของอีกคนที่มักจะเห็นกันตลอด หลังจากเลิกงานจนกระทั่งสามทุ่มแล้วก็ยังไม่กลับมาหา

ไปไหนของเขานะ

นรินทร์ส่งข้อความไปหาอีกคนเพราะอดเป็นห่วงไม่ได้ ยิ่งดึกแถวนี้ยิ่งเปลี่ยว แถมสองข้างทางก็มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า

‘คุณรินนอนได้เลยครับ คืนนี้ผมคงไม่กลับ’

ข้อความถูกส่งกลับมา-
จากนั้นก็ไม่มีการตอบกลับหรือแม้แต่จะเปิดอ่านกันอีกเลย

ทำไมกลับมาเรียกกันว่าคุณรินแล้วล่ะ

ร่างโปร่งใจหายวาบ สังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูก หันหน้าไปยังหัวเตียงที่ยามนี้แจกันมีแต่เพียงความว่างเปล่า

กุหลาบหายไปแล้ว เจ้าของกุหลาบก็หายไปด้วย
คนตัวเล็กหลับไปด้วยใจพะวงเพราะคิดถึงเรื่องอีกคนทั้งคืน

หรือเขาทำอะไรผิดไปนะ

ใจอยากจะบอกอยากจะเล่าเรื่องของวันนี้ว่าเขามีแผนในใจที่จะให้คนงานมีรายได้เพิ่มได้แล้ว ทุกคนจะได้ไม่ลำบาก และดูเหมือนคุณทิมอะไรนี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

อยากให้เขตน์ชมกันสักครั้งว่าเขาน่ะทำได้แล้วนะ
กำลังจะทำให้ไร่ของเรามีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น คนที่ไม่เคยทำงานหรือทุ่มเทกับอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็แค่อยากได้กำลังใจ

แต่เช้าวันนี้ก็กลับพบเพียงความว่างเปล่าเช่นเคย

“คุณเขตน์ยังไม่กลับมาเลยค่ะคุณนาย”

แม่ครัวที่เตรียมอาหารเช้าให้กันตอบรับ วันนี้ไม่มีดอกไม้ ไม่มีคนนั่งทานข้าวต้มด้วยกัน
ร่างโปร่งพยายามสอบถามคนงานทุกคนที่เดินผ่าน เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เขารู้สึกว่าการเดินทั่วไร่ไม่เหนื่อยเท่าการรับรู้ว่าอีกคนออกไปทำธุระที่บางอย่างสักแห่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับ

“คุณนาย อย่าเหม่อไปเลย ประเดี๋ยวนายก็กลับมา ยังไงก็ไม่หนีไปไหนหรอก”

จนกระทั่งฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี
แสงจันทร์เริ่มเข้ามาแทนที่ และนรินทร์ก็ยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารที่แม่ครัวเตรียมมื้อเย็นให้เช่นเคย

ทว่าขาดคนที่เคยนั่งทานอยู่ข้างกัน

“ทำไมเตรียมอาหารไว้แค่ที่เดียวล่ะ”

“อ่อ นายบอกว่าจะไม่อยู่ไร่สามสี่วันจ๊ะ นายไม่ได้บอกคุณนายไว้เหรอ”

กับคนงานบอกได้ แล้วเขาล่ะ
ทำไมถึงไม่คิดจะติดต่อกลับมาหากัน

“งั้นก็เก็บไปเถอะ ฉันไม่หิว”

คนตัวเล็กเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าหมองปนน้อยใจ นี่เขากลายเป็นคนไม่สำคัญของอีกคนไปตั้งแต่เมื่อไร

ยิ่งเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วต้องเห็นแจกันที่บัดนี้มีแต่ความว่างเปล่า หัวใจก็ยิ่งวูบโหวงแปลกๆ
จะรู้สึกแปลกไหม แต่เขาชอบให้แจกันใบนี้เต็มไปด้วยดอกกุหลาบที่อีกคนให้กันทุกคืน อยากได้สัมผัสที่อีกคนชอบกอดหอมจูบเบาๆ ประทับริมฝีปาก

อยากได้ทุกอย่างกลับคืนมา

แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าจะตอบกลับกันเลย มีเพียงข้อความสุดท้ายกลับมาเรียกกันว่า ‘คุณริน’ อีกครั้ง

ทำไมนะ เขตน์เป็นอะไรไป
“วันที่สามแล้วนะ ทำไมยังไม่กลับมาอีก” คนตัวเล็กได้แต่นั่งเหม่อที่ริมระเบียงของเรือนไม้ เฝ้ารออีกคนที่ไม่มีวี่แววกลับมาให้เห็นแม้กระทั่งเสี้ยวใบหน้า

วันแรกเขายังพอรับได้ วันที่สองเริ่มกังวลใจ และในวันนี้..

น้ำตาของคุณชายนรินทร์รินไหล

คิดถึง

หรือว่าเขตน์จะหนีเขาไปแล้ว
มันก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการแต่แรกไม่ใช่หรือ ต้องการให้อีกคนหายไปจากชีวิต แต่ทำไม

ทำไมมันเจ็บอย่างนี้

กลับมาได้ไหม รินไม่รู้ว่ารินทำอะไรผิด แต่อยากให้เขตน์กลับมา

“คุณนายจ๊ะ มีคนมาหา” นรินทร์เช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ เดินเข้าไปในตัวบ้านที่มีคนใบหน้าคุ้นเคยรอกันอยู่ก่อนแล้ว
พร้อมกับรถยนต์คันหรูที่เขาคุ้นเคยเป็อย่างดีจอดอยู่หน้าเรือนไม้

แม่บ้านที่ทำงานอยู่ที่ไร่องุ่นของคุณพ่อและคนขับรถมีสัหน้ายิ้มแย้ม ก้มลงทำความเคารพแบบที่เคยฝึกกันมาจากตระกูลผู้ดีเก่า

“พวกเรามารับคุณชายกลับไร่องุ่นของคุณท่านครับ” เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยจบ นรินทร์ก็มีสีหน้าตกใจทันที
“อะไรกัน คุณพ่อให้มารับเราเหรอ ไหนบอกว่าครบหกเดือนถึงจะมารับไง แล้วทำไม—“

“คุณเขตน์เป็นคนติดต่อให้พวกเรามารับครับ คุณท่านเองก็รับทราบและอนุญาตแล้ว คุณเขตน์บอกว่าคุณชายอยู่ที่นี่ได้รับความลำบาก เรือนนีไม่มีคนดูแลเสื้อผ้า อาหารได้ทั่วถึง คุณเขตน์เขาดูแลคุณชายต่อไปไม่ไหวครับ”
น้ำตาที่เพิ่งเช็ดรินไหลออกมาท่วมสองแก้มอีกครั้ง คนตัวเล็กได้แต่เอามือปิดหน้าเมื่อได้ยินคำตอบที่คนตรงหน้าให้กัน

เขตน์ทิ้งกันอีกแล้ว ไหนสัญญากันไว้แล้วไงว่าจะไม่มีวันปล่อยมือ

“เขาพูด...ฮึก...อย่างนั้นเหรอ เขตน์น่ะ”

“เอ่อ ครับ” นรินทร์ที่สะอื้นตัวโยน พยายามข่มกลั้นความเสียใจ
แววตาหม่นหมองสะท้อนความเศร้าที่ครานี้ปิดเท่าไรก็คงไม่มิด

ยอมรับกับตัวเองแล้ว ว่ารินคนนี้น่ะมีใจให้เขตน์ ทว่ายามนี้ต่อให้รู้สึกอะไรก็คงสายเกินไป เพราะอีกคนคงไม่กลับมาหากัน

“เขตน์อยู่ไหน พวกเธอรู้ไหม” ร่างโปร่งถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเหมือนคนหมดแรง

“ผมไม่ทราบครับ”
“งั้นเหรอ” คงหมดหวังแล้วสินะ

“ถ้างั้นก็พาฉันไปเถอะ ถ้าเขาไม่ให้อยู่ก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม”

พร้อมกับเดินก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาหยดลงบนพื้น เดินลงจากเรือนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย
.
.

“เขตน์ นายแน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะทำแบบนี้” คุณชายกรเอ่ยขึ้นเมื่ออีกคนลงมาหากันถึงกรุงเทพฯ
“ครับ ยังไงสักวันผมกับคุณรินก็ต้องจากกันอยู่ดี ผมสัญญาอะไรไว้ไม่เคยคืนคำ นี่เป็นเอกสารและโฉนดของไร่นี้ทั้งหมด ผมขอโอนกรรมสิทธิ์ให้คุณริน”

เขตน์กลืนก้อนสะอึกในลำคอ เอ่ยเสียงสั่นเบาๆ

“ส่วนนี่เป็นใบหย่า ผมเซ็นให้หมดแล้วครับ เพียงแค่คุณรินเซ็นยอมรับเอกสารทั้งหมด เรื่องราวก็จะจบ”
“ฉันขอโทษที่ทำให้นายต้องลำบาก ลูกของฉันคงดื้อจนเกินรับไหว” คุณชายกรเอ่ยตอบด้วน้ำเสียงเครียด

“ไม่ใช่หรอกครับ ผมต่างหากที่ไม่เจียมตัวตั้งแต่แรก”

“นายรู้ใช่ไหมว่าฉันยินดี หากนายจะมาเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นสามีที่ดูแลลูกฉัน” คุณชายกรยังคงหวังแบบนั้น

“คงไม่มีวันนั้นหรอกครับ”
เขตน์ก้มหย้าไม่กล้าสบตาบุคคลที่เคารพรักเหมือนพ่อคนหนึ่ง ส่วนอีกคนก็ได้แต่ถอนหายใจให้กับโชคชะตาของคนทั้งคู่ที่ไม่มีวันได้บรรจบกัน

คนหนึ่งก็เจียมจนถอยห่างจากลูกเขา ส่วนลูกเขาตอนนี้น่ะหรือ แม่บ้านที่ไร่องุ่นเอาแต่รายงานว่าวันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากนอนซม เหม่อมองหน้าต่างอยู่อย่างนั้น
หลังจากกลับมาจากไร่กุหลาบก็ไม่ยอมสุงสิงกับใคร ข้าวก็ไม่ค่อยทาน เอาแต่ใจลอย นั่งมองหน้าต่างบ้าง โทรศัพท์บ้างเพราะหวังว่าอีกคนจะติดต่อกลับมา

พอกันทั้งคู่ เขาจะทำยังไงดี

“ฉันอยากให้นายลองคิดทบทวนดูใหม่สักครั้งได้ไหม”

“ผมกับคุณรินเริ่มต้นมาแบบไม่เต็มใจ หย่ากันไปก็ถูกต้องแล้วครับ”
“แล้วถ้าฉันบอกว่าตอนนี้รินอาการแย่มากล่ะ รินเฝ้ามองโทรศัพท์ทั้งวันทั้งคืน นายรู้ไหมว่าเพราะอะไร”

“......”

“เพราะว่านายจากกันโดยไม่ลา ไม่มีเหตุผลอะไรให้ลูกฉันเลย แล้วลูกฉันก็กำลังรอ...” เขตน์กำมือที่สั่นเทาระงับอารมณ์จากคำพูดเหล่านั้น

“รอให้นายไปรับเขากลับไร่ด้วยกัน”
ทันทีที่คุณชายกรพูดจบ สีหน้าแววตาของคนที่แสร้งทำเป็นใจแข็งก็สะดุดลงจนได้ แต่ไม่กี่นาทีต่อมาก็กลับเป็นแข็งกระด้างดังเดิม

“คนที่ชื่อทิมอะไรนั่นก็เข้านอกออกในไร่องุ่นฉันทุกวัน ฉันคิดว่าถ้านายไม่ทำอะไรสักอย่าง—“

“ผมทำอะไรได้ด้วยเหรอครับ” เพียงแค่ได้ยินชื่อผู้ชายคนนั้น เขาก็แพ้แล้ว
กังวลก็เพียงอย่างเดียว เขาไม่อยากให้ไร่ตัวเองกลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม เพราะรู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นต้องการอะไร

และคนงานของเขาไม่ใช่พวกคนใช้แรงงานที่จะยอมให้ใครกดขี่แบบระบบอุตสาหกรรมใหญ่แบบนั้น

ทว่าไร่นี้ไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไปแล้ว จากนี้หากนรินทร์อยากทำอะไร เขาก็จะไม่ขอยุ่งเกี่ยว
อีกอย่างถ้าให้เลือกระหว่างผู้ชายที่มีพร้อมทุกอย่างกับเขาที่เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย

เขาขอเลือกจากไปโดยไม่ให้ตัวเองเจ็บไปมากกว่านี้

คุณรินอาจจะเศร้าใจในช่วงแรก แต่คงไม่ได้รักกัน ไม่นานคนอย่างคุณทิมก็จะเข้ามาครอบครองหัวใจคุณรินได้สำเร็จ

และคุณรินก็จะค่อยๆ ลืมเขาไปเอง
ส่วนเขาเลือกที่จะพอกับความรักครั้งนี้แล้ว จากนี้ไปก็คงมีทางเดินชีวิตใหม่

ทางเดินที่ปราศจากคุณรินและครอบครัว อย่างที่คุณรินเคยต้องการมาตลอดสิบกว่าปี

“พระจันทร์ควรอยู่คู่กับท้องฟ้า ไม่ควรลงมาเปื้อนดิน” เขตน์พูดอย่างเหม่อลอย

“ผมทำให้คุณรินได้เพียงเท่านี้ ให้หมดทั้งหัวใจของผม”
“แต่ยังไงดินก็คือดินอยู่วันยังค่ำ จะเอื้อมถึงพระจันทร์ได้ยังไง” พลางแค่นหัวเราะเบาๆด้วยแววตาเจ็บปวด

“เขตน์...”

“คุณท่านอย่าพูดอะไรเกี่ยวกับคุณรินอีกเลยครับ ผมไม่อยากเจ็บอีกแล้ว สิ่งที่ผมให้ได้ก็มีเพียงเท่านี้ ได้โปรดอย่าตามหาผม อย่าติดต่อกัน ถือว่าสงสารไอ้เขตน์คนนี้เถอะนะครับ”
.
.

เรือนไม้ใหญ่ของไร่องุ่นคุณชายกร ยามนี้เต็มไปด้วยแม่บ้านและเหล่าคนดูแลปรณนิบัติคุณชายที่เป็นลูกเจ้าของไร่

ทั้งๆ ที่นรินทร์ควรจะดีใจที่ในที่สุดก็มีแม่บ้านที่ทำอาหารถูกปาก มีคนคอยดูแลเสื้อผ้าหน้าผมไม่ขาด อีกทั้งไม่ต้องคอยซักผ้าตากผ้าเองเหมือนตอนอยู่อีกไร่หนึ่ง
ทว่ายามนี้ร่างโปร่งกลับเลือกใส่เสื้อผ้าตัวเก่าๆที่อีกคนซื้อให้ ปล่อยผมปรกหน้า แถมยังสั่งแม่บ้านให้ทำแต่ไข่พะโล้ให้ทานทุกมื้อ

“ไม่เหมือน” นรินทร์พึมพำเบาๆ ไข่พะโล้เหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติมันไม่ใช่เลย

คิดถึง...ทั้งไร่และอีกคนที่อยู่ดีๆ ก็หายกันไป

สุดท้ายมื้อนี้ก็ทานไปได้แค่สามคำ
ก็กลับมานั่งเหม่อลอยริมระเบียงอีกแล้ว เป็นอยู่อย่างนี้จนครบอาทิตย์

“คุณรินครับ ทำไมไม่ทานอะไรเลย หรือว่าเมนูพวกนี้ไม่อร่อย”

ทิมเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกคนเอาแต่ทำหน้าเศร้า เขาพูดอะไรก็เหมือนไม่ได้ยินกัน มื้อเย็นที่สั่งเชฟระดับห้าดาวมาลงทุนทำให้กันถึงเรือน นรินทร์ก็แทบไม่แตะ
“แล้วนี่คุณรินจะกลับไร่กุหลาบเมื่อไรครับ เราจะได้เริ่มโครงการกันสักที ผมอยากให้พื้นที่ตรงนั้นเป็นโรงงานอุตสาหกรรม จับคนงานพวกนั้นเข้ารับการอบรมแรงงาน...”

ทิมพูดบรรยายอยู่คนเดียวอยู่อย่างนั้น แม้จะมาหากันทุกวัน แต่ปากก็พูดถึงเรื่องธุรกิจไม่หยุด

“พอเถอะครับ ผมคงไม่ได้กลับไปแล้ว”
คนที่อารมณ์สีหน้าปกติกลับตึงเครียดทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ

“คุณรินหมายความว่ายังไงครับ” พร้อมกับน้ำเสียงที่ห้วนขึ้นต่างจากตอนแรก

“หมายความว่าผมคงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับไร่นั้นอีกต่อไป”

“แต่คุณเป็นถึงลูกเจ้าของไร่ คุณก็น่าจะมีสิทธิ์ไม่ใช่เหรอ หรือคุณไม่อยากเห็นคนงานสุขสบายแล้ว”
พร้อมกับหยิบเอกสารขึ้นมาวางกลางโต๊ะอาหารอย่างที่นรินทร์คิดว่ามันเป็นสิ่งที่เสียมารยาทที่สุด

ไม่มีใครกล้าทำกับเขาแบบนี้

“ผมอุตส่าห์นั่งเตรียมเอกสาร คิดโครงการ วางแผนมาตั้งเท่าไร คุณจะมาบอกว่าไม่ทำแล้วเหมือนเป็นเด็กๆ แบบนี้ไม่ได้นะ สิ่งที่คุณต้องทำ” พลางยื่นเอกสารนั้นต่อหน้า
“คือเซ็นยอมให้โครงการนี้มันเกิดขึ้นซะ”

ทิมขึ้นเสียงใส่ราวกับเป็นคนละคน หมดแล้วสุภาพบุรุษในคราบผู้ดีคนนั้น

นรินทร์ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทั้งหมดก็เป็นเพียงภาพมายา ผู้ชายคนนี้ก็เหมือบกับทุกคนที่เคยเจอ เข้ามาหาเขาเพื่อหวังเกาะกินผลประโยชน์

ไม่ได้มีความจริงใจอะไรแฝงอยู่ในนั้น
ดังนั้นในวินาทีที่อีกฝ่ายยื่นเอกสารมากระแทกใส่หน้า คุณชายนรินทร์จึงพูดกะบตัวเองแล้วว่าคนอย่างนี้มันไม่สมควรไว้หน้าให้กันอีก

คนอย่างคุณชายนรินทร์ จะไม่ยอมให้ใครมาหยามเกียรติ ดูถูกศักดิ์ศรีกันเด็ดขาด

และในนาทีนั้นเอง เอกสารที่อยู่ในมือก็ปลิวว่อนเป็นชิ้นเล็กๆ จากฝีมือการฉีกของเขา
พน้อมกับปามันกระแทกใส่หน้าไอ้ผู้ดีจอมปลอมนี่

“คุณริน!”

“อย่ามาเรียกฉันว่าคุณริน ฉันเป็นคุณชาย และแกก็เป็นได้แค่คนธรรมดา อย่าสะเออะมาทำกิริยาทุเรศในบ้านของฉัน!” นรินทร์ขึ้นเสียงสูง

“เฮอะ! ใครกันแน่ที่ทำกิริยาทุเรศวะ ผู้ดีเก่าทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แค่ของเงินพ่อใช้ยังจะกล้าพูดนะ”
ทิมยืนขึ้นชี้หน้าด่าอีกคนเต็มๆ อย่างไม่กลัวใคร

“จะหยิบยื่นช่องทางรวยให้ก็ไม่เอา แค่เอาไอ้พวกคนงานกระจอกพวกนั้นมาเป็นลูกน้องเพื่อเพิ่มฐานการผลิต หาช่องทางลัดให้รวยก็ยังโง่ หึ! ถ้างั้นก็นั่งแกะกินไปซะนะ ไอ้ศักดิ์ศรีบ้าบออะไรนั่น อ้อ จะเกาะพ่อกินไปจนตายก็เชิญ-
เพราะยังไงคนเขาก็รู้กันทั้งประเทศอยู่แล้วว่าลูกเจ้าของไร่องุ่นคุณชายกรน่ะไม่เอาอ่าว”

“คนงานพวกนั้นไม่ใช่เครื่องจักร เขาเป็นคน มีชีวิตเหมือนกับพวกเรา คนทุกคนเท่าเทียมกัน แกจะทำแบบนี้กับพวกเขาไม่ได้!”

“เหรอ งั้นก็เก็บคำนี้ไว้สอนตัวเองเถอะ ว่าอย่าคิดว่าตัวเองสูงกว่าคนอื่น”
ก่อนจะทิ้งท้ายถ้อยคำที่เจ็บปวดเอาไว้ขนน้ำตาของนรินทร์รินไหล

“ขาดไร่คุณไปแค่ไร่เดียวผมก็ไม่อดตายหรอก แต่ดูคุณสิคุณชาย แม้แต่ไอ้คนงานอะไรนั่นมันยังทิ้งคุณเลย ไหนว่ามันเป็นสามีคุณไง ถ้ามันรู้ว่าผมมานั่งกินข้าวกับคุณทุกวันเนี่ย มันจะคิดยังไงนะ แต่คงไม่คิดหรอกมั้ง”

“......”
เพราะฝ่ายนั้นคงทนคุณไม่ไหวจนหนีไปแล้วนั่นแหละ รู้ตัวไว้ซะด้วย”

“ฮึก...ไม่จริง เขตน์ไม่ได้ทิ้งฉัน ไม่จริง!” ร่างโปร่งเอามือปิดหน้าร้องไห้ตัวโยนไม่สนใจอีกคนที่เดินลงจากเรือนกันไปแล้ว

ทิ้งแผลใจให้คนฟังทุกข์ทรมานไปกับคำพูดเหล่านั้น

กับความจริงที่ต้องยอมรับ ว่าเขตน์ทิ้งกัน
สามสี่วันต่อมานรินทร์ใช้ชีวิตอย่างหงอยเหงา ไม่ยอมพูดจากับใครแถมวันๆ เอาแต่กดหน้าจอโทรศัพท์ที่เผยให้เห็นห้องแชทและเบอร์ของใครบางคน

ไม่ว่าจะโทรออกกี่สิบสายก็ไม่เคยติด

‘รินรอเขตน์กลับมารับรินนะ เขตน์จะกลับมาใช่ไหม’

‘รินทำอะไรผิดเหรอ’

‘ขอโทษ รินขอโทษได้ไหม กลับมานะ กลับมาหาริน’
และอีกหลายต่อหลายข้อความที่อีกคนไม่คิดจะเปิดอ่านมัน

เขาคงหมดหวังแล้ว สายเกินกว่าที่จะรั้งเขตน์ให้อยู่กับเขา

เมื่อได้ทบทวนตัวเองก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าตัวเองทำผิดกับอีกคนมากมาย ทั้งด่าทอต่อว่าและยังไม่ยอมรับความจริงเรื่องสิบปีก่อน

กว่าจะรู้ตัว อีกคนก็ไม่อยู่รับฟังคำขอโทษนั้นแล้ว
สายเกินไปที่จะขอโอกาสแก้ตัว เพราะอีกคนไม่อยู่รอกัน รินคนนี้รู้หัวใจตัวเองแล้วว่ามันต้องการเขตน์แค่ไหน

มันคือความรัก รักมากมายเหลือเกิน

พยายามข่มใจว่าจะไม่รักอีกคนมากเท่าไร หัวใจตัวเองก็ยิ่งตอกย้ำซ้ำ ๆ ว่ามันรักเขตน์เข้าแล้วจริงๆ

นรินทร์ปฏิเสธความจริงข้อนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
แอ๊ด..

เสียงเปิดประตูห้องนอนค่อยๆ แง้มเข้ามาพร้อมกับร่างกำยำของเจ้าของไร่ที่นรินทร์ไม่ได้เจอหน้ากันมากว่าหลายเดือน ถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องของคนที่กำลังนั่งเหม่อลอยทอดถอนหายใจอยู่บนเตียง

“รินลูก พ่อมาหาแล้ว” สิ้นเสียงนั้นคนที่อยู่บนเตียงก็สะอื้นไห้ ลุกขึ้นวิ่งกอดคนตรงหน้าทันที
“ฮึก...คุณพ่อ” คุณชายกรปล่อยให้เสื้อสูทของตัวเองชื้นไปด้วยน้ำตาของลูกรัก มือหยาบลูบหลังปลอบใจคนที่กำลังอ่อนแอ ก่อนที่ร่างโปร่งจะค่อยๆ ผละออกจากกัน ดวงตายังคงแดงก่ำสะท้อนความเศร้าสร้อย

“เขตน์ไปแล้ว...เขตน์หนีรินไปแล้ว รินผิดเอง ผิดเองทั้งหมด”

“ริน...”

“ตอนนี้รินรู้แล้ว-
ว่าตัวเองทำตัวแย่ใส่เขตน์ขนาดไหน รินทำเขตน์เสียใจ ทำร้ายความรู้สึกเขตน์ เขตน์เลยไม่กลับมาแล้ว คุณพ่อ...ฮึก รินจะทำยังไง ทำยังไงดี”

นรินทร์ยังคงฟูมฟายไม่หยุด เพิ่งรู้ตัวแล้วว่าขาดอีกคนไปไม่ได้

“คุณพ่อรู้ใช่ไหมว่าเขตน์ไปไหน คุณพ่อช่วยรินด้วยนะ รินอยากเจอเขตน์ คุณพ่อได้โปรด..ฮึก”
“ริน...ลูกรักเขตน์หรือ”

คนเป็นพ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงวูบโหวง เขาคิดว่าเรื่องราวครั้งนี้คงจบลงได้โดยง่าย ลูกเขาคงแค่รู้สึกถึงความพ่ายแพ้ที่อยู่ดีๆเขตน์กลับเป็นคนทิ้งกัน แต่อีกไม่นานเมื่อการหย่าเสร็จสิ้นและทุกอย่างจบ ลูกเขาก็คงกลับไปเป็นคุณชายนรินทร์คนก่อน

แต่พอได้เห็นสภาพของลูก-
ที่ร้องไห้ฟูมฟายแทบขาดอากาศหายใจ มันทำให้เขารู้แล้วว่าตัวเองพลาดอะไรไป

ลูกของเขารักเขตน์เข้าให้แล้ว

“ใช่ไหม...ลูกรักเขตน์ใช่ไหม”

“คุณพ่อช่วยรินด้วย เขตน์ ฮึก...รินไม่อยากให้เขตน์ไป” นรินทร์ยังคงพร่ำเพ้อไร้สติ ร้องไห้จนเปลือกตาบวมช้ำ

“พ่อขอโทษ....” เขาพลาดแล้วที่ปล่อยเขตน์ไป
และตอนนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าอีกคนไปอยู่ที่ไหน ที่สำคัญเขาจะบอกลูกอย่างไรดี

ว่าที่เขาลงทุนขับรถจากกรุงเทพฯ มาถึงที่เขาใหญ่แห่งนี้ก็เพื่อจะให้ลูกเซ็นเอกสารการหย่าให้เสร็จสิ้น

“ริน ลูกฟังพ่อนะ” คุณชายกรเช็ดน้ำตาให้ลูกรักอย่างเบามือที่สุด ทะนุถนอมลูกที่เขารักสุดดวงใจ
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อกับแม่รักรินที่สุด รินรู้ใช่ไหม” พร้อมกับหอมขมับลูกชายเบาๆ

“คุณพ่อหมายความว่ายังไง” เมื่อพูดจบถึงได้สังเกตเห็นว่าคนเป็นพ่อไม่ได้มามือเปล่า

แต่ในมือมีซองเอกสารสำคัญที่เมื่อคลี่ออกมานั้น

หัวใจของนรินทร์ก็ร้าวรานแตกสลาย

กับลายเซ็นของคนที่ยินยอมพร้อมหย่า
“ฮึก...ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้ ฮือ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ ไม่..”

ร่างของนรินทร์ทรุดฮวบอย่างรวดเร็วจนคุณชายกรประคองไว้ไม่ทัน เห็นลูกตัวเองนั่งอยู่กับพื้นร้องไห้ราวกับกำลังขาดใจอีกครั้ง

“พ่อขอโทษลูก พ่อรั้งเขาไว้ไม่ได้...” น้ำตาของคนเป็นพ่อหลั่งรินกระทบพื้นเมื่อเห็นลูกชายตัวเองเจ็บปวด
“แต่ถ้าลูกไม่เซ็น เรื่องมันก็จะไม่จบ” คนเป็นพ่อกลั้นใจพูดออกไปแม้รู้ว่าลูกตัวเองจะต้องเจ็บปวด

“ไม่เซ็น รินไม่หย่า ฮึก...ไม่หย่า คณพ่อหน่าบังคับรินเลย รินขอ...ฮึก ขอร้อง ให้รินทำยังไง ทำยังไงถึงจะไม่หย่า ฮือ..”

“แล้วลูกจะอยู่ต่อไปยังไง ในเมื่ออีกคนเขาไปแล้ว”
“ฮึก...ไม่หย่าได้ไหม ถ้ารินหย่าเขตน์ก็จะไม่กลับมาอีก รินไม่อยากให้เขตน์ไป”

“แต่เขาไปแล้วลูก เขาไม่กลับมาแล้ว และรินต้องเข้มแข็งอยู่ต่อไปให้ได้” ก่อนจะยื่นเอกสารอีกฉบับมาตรงหน้า

“เพราะรินกำลังจะเป็นเจ้าของไร่กุหลาบคนใหม่แทนเขตน์”

กับความจริงอีกหนึ่งอย่างที่นรินทร์ได้รับรู้
เขตน์เป็นเจ้าของไร่กุหลาบแห่งนี้และเขตน์ก็สร้างมันขึ้นมา

เพื่อเขา เพื่อนรินทร์คนนี้มาโดยตลอด

นรินทร์คนนี้มันแสนโง่งม มองข้ามสิ่งดีๆ ที่อยู่ข้างตัวมาตลอดสิบกว่าปี

กว่าจะรู้ว่ามันมีค่าก็สายเกินไป

“หมายความว่า...”

“ใช่ เขตน์เป็นเจ้าของไร่นี้และเขาเซ็นยกมันให้กับลูกตามสัญญา-
หากลูกยังสงสัยและพร้อมจะฟังความจริง พ่อก็จะเล่าให้ฟังทั้งหมด...” คนเป็นพ่อกุมมือลูก ปาดน้ำตาให้กันอย่างเบามือ

“พ่อของเขตน์ก็เคยเป็นหม่อมเหมือนกับเรา...”

ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากการแย่งชิงที่ดินบนเขาใหญ่เมื่อยี่สิบปีก่อน พื้นที่ไร่องุ่นปัจจุบันไม่ได้เป็นของหม่อมปู่หม่อมย่า
แต่เป็นของครอบครัวหม่อมอีกตระกูลหนึ่ง ซึ่งมีลูกชายนามว่าหม่อมธนา ชายหนุ่มภูมิฐานที่เพิ่งจบจากเมืองนอกเมืองนามาใหม่ๆ และคิดจะกลับมาบำรุงรักษาไร่แห่งนี้

แถมยังเป็นเพื่อนรักกับหม่อมกรที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยม

เมื่อกลับมาจากเมืองนอกได้ไม่นาน หม่อมธนาก็ตรงดิ่งมายังไร่ที่เขาใหญ่
จัดการพื้นที่ของไร่ที่เดิมรกร้างให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และในช่วงนั้นเองที่หม่ิมธนาได้พบกับนิล สาวชาวไร่ที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น ได้คอยช่วยเหลือหุงหาข้าวปลาอาหารมาให้กัน

และหม่อมกรก็เป็นอีกคนที่ตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกันกับเพื่อน

“พ่ออยากได้ที่ดินผืนนั้น”
เป็นครั้งแรกที่คนเป็นพ่อพูดกับหม่อมกรเช่นนั้น เขารู้ดีว่าพ่อแม่ตัวเองมีนิสัยเช่นไร การที่ตระกูลของเขาร่ำรวยขึ้นมาได้ไม่ใช่แค่เพราะมาจากนามสกุลและยศเก่าแก่

แต่เป็นเพราะความโง่ของชาวบ้านที่ถูกหลอกเซ็นยกโฉนดที่ดินต่างๆให้จากการกู้หนี้ยืมสิน

และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่พ่อของเขาโลภมาก
“ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้ ธนาเป็นเพื่อคนเดียวที่ผมมี”

“แต่แกก็เป็นลูกของฉัน!”

และแน่นอนว่าหม่อมกรเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นขลาดเขลาเหลือเกิน

เขากลัวเกินกว่าจะขัดคำสั่งคนที่ซึ่งขึ้นชื่อได้ว่าเป็นบิดามารดาผู้ให้กำเนิดและมีพระคุณส่งร่ำเรียนกันจนเติบใหญ่
“กร นายดูสิ ฉันสามารถปลูกองุ่นที่ไร่นี้ได้แล้ว”

หม่อมกรไม่เคยสนใจเรื่องเกี่ยวกับไร่และการเพราะปลูกเลยสักนิด เขาจบเอกบริหาร ต่างจากเพื่อนที่เลือกเรียนทางด้านเกษตรกรรมเพื่อกลับมาพัฒนาพื้นที่ไร่ของครอบครัว

“ฉันกับนิลเรากำลังจะแต่งงานกันเร็วๆนี้” ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ต้องเสียใจคือเขา
หม่อมกรเจอนิลเป็นครั้งแรกก็ตอนที่มาเยี่ยมเพื่อนที่ไร่ แล้วเห็นหญิงสาวชาวไน่แสนมีน้ำใจยื่นส่งขันน้ำดื่มให้กันอย่างจริงใจ

เป็นการตกหลุมรักครั้งแรกและอกหักในคราเดียวกัน

“ดีใจด้วยนะเพื่อน” หม่อมกรเอ่ยออกไปทั้งที่น้ำตารินไหลท่วมอก

เขาทำเป็นหูทวนลมทุกครั้งที่พ่อของตัวเอง-
พูดถึงเรื่องที่ดินบนเขาใหญ่ของเพื่อนรัก ไม่ว่าคนในครอบครัวจะพยายามคะยั้นคะยอบอกให้เขาหลอกให้หม่อมธนาเซ็นยินยอมให้เขาช่วยดูแลพัฒนาไร่ หรือลงทุนเป็นเจ้าของร่วมกันอย่างไร เขาก็ไม่สามารถทำมันได้จริงๆ

ผ่านไปหนึ่งปีกับภาพงานแต่งงานของเพื่อนรักและหญิงสาวชาวไร่ที่จัดขึ้นอย่างเล็กๆ-
เพราะบิดาและมารดาของทั้งสองฝ่ายจากโลกนี้กันไปแล้ว อีกทั้งญาติของฝ่ายชายก็ดูจะรับไม่ได้กับการที่เพื่อนรักตกลงปลงใจเอาผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาเป็นภรรยา

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หม่อมธนาไขว้เขวเลย เขายังคงรักและมั่นคงกับนิลเสมอ

หม่อมกรรู้ว่าควรไม่ควรรู้สึกเช่นนี้ แต่เขาอิจฉา
ที่เพื่อนมีชีวิตรักที่ดี อีกทั้งยังมีผู้หญิงที่งามทั้งกายและใจไว้ในครอบครอง

หลังจากงานแต่งวันนั้น หม่อมกรจงใจกลับไปเจอเพื่อนน้อยลง พยายามตัดใจกับความรักที่เป็นไปไม่ได้

“ฉันจะให้แกแต่งงานกับลูกเจ้าของโฮเต็ล แกจะได้มีโอกาสก้าวหน้าในการงานอาชีพ เป็นใหญ่เป็นโตได้”
“แต่ผมไม่ได้รักหล่อนนะครับคุณแม่ หล่อนชื่ออะไร หน้าตานิสัยใจคอเป็นยังไงผมยังไม่รู้เลย จู่ๆจะให้แต่ง—“

“แกต้องแต่ง กล้าขัดคำสั่งแม่หรือ!”

และหลังจากงานแต่งของหม่อมธนาจบไปเพียงหกเดือน งานมงสมรสของเพื่อนรักอย่างหม่อมกรก็ถูกจัดขึ้น

และหม่อมกรก็ย้ายไปทำงานในโรงแรมของครอบครัวภรรยา
เขาน่ะมันขี้ขลาดจริงๆ ไม่เคยคัดค้านอะไรได้ แม้กระทั่งสิ่งที่ตัวเองต้องการก็ไม่เคยได้ทำตามใจ

เขาอยู่กับเนตรโดยไม่ได้รัก ต่างคนต่างใช้ชีวิตด้วยกันแบบเพื่อนที่จำเป็นต้องมีทายาทไว้สืบสกุล

“เมียฉันท้องแล้ว ถ้าได้ลูกชายจะให้ชื่อว่าเขตน์ที่แปลว่าเกษตรที่ดิน” หม่อมธนาพูดอย่างตื่นเต้น
แล้วลูกที่คลอดออกมาก็เป็นลูกชายอย่างที่เพื่อนรักหวัง เขาและเนตรเดินทางไปถึงเขาใหญ่เพื่อแสดงความยินดีกับทั้งคู่

ซึ่งเนตรเห็นแววตาหม่อมกรก็รู้ได้ทันที ว่าผู้ชายคนนี้รู้สึกอย่างไรกับภรรยาของเพื่อน

“ดิฉันก็ขออวยพรให้หม่อมกรกับคุณหญิงเนตรมีบุตรด้วยกันไวๆนะคะ” นิลยังคงงดงามเช่นเดิม
แม้ในยามเป็นแม่ลูกอ่อนที่ร่างกายไม่เพรียวสวยเหมือนเมื่อก่อน

“ฉันก็ขอให้ลูกของเธอแข็งแรงและโตมาเป็นเด็กดีเช่นกัน” หม่อมกรคิดดังที่กล่าวไว้จริงๆ

ผ่านมาเพียงสองปีคุณหญิงเนตรก็คลอดบุตรชายซึ่งเป็นที่เห่อหนักของหม่อมปู่หม่อมย่าราวกับเป็นไข่ในหินก็ไม่ปาน

“หลานฉันต้องชื่อนรินทร์-
ที่แปลว่าพระราชา จะได้ยิ่งใหญ่กว่าใครๆ ทั้งหยิ่งและมีศักดิ์ศรีสมชื่อ ให้สมกับที่เกิดมาเป็นหลานฉัน”

พร้อมกับประเด็นเดิมที่เขาคิดว่าอีกง่ายคงจะลืมมันไปแล้ว ทว่ามันกับร้อยแรงกว่าเก่า

“ถ้าแกไม่ทำอะไรสักอย่างเรื่องที่ดินนั่น ฉันจะจัดการเองแล้วนะ”

“แต่ไร่องุ่นของธนากำลังไปได้สวย-
แถมเขานังมีลูกมีเมียที่ต้องดูแล ผมเกรงว่า—“

“วะ! ฉันก็ไม่ได้จะโกงจะกินฟรีๆ เสียเมื่อไร ก็แค่เจรจาแบ่งเป็นเจ้าของกันคนละครึ่ง หรือไม่ก็ขายให้กันเป็นสองเท่าสามเท่าก็ย่อมได้”

“แต่ที่ดินตรงนั้นเป็นผืนสุดท้ายที่พ่อแม่ของธนาเขาเก็บไว้ มันมีค่ากว่าเงินทองหลายเท่านัก คุณพ่อน่าจะทราบ”
เพียงเท่านั้นเสียงเอะอะโวยวายของคนเป็นพ่อก็ดังลั่นวัง

“เดี๋ยวนี้แกหัดเถียงฉันตั้งแต่เมื่อไรห๊ะ! เป็นลูกริอาจสั่งสอนพ่อแม่ ฉันสั่งอะไรแกก็ต้องทำเข้าใจไหม!”

สิ้นคำนั้นหม่อมกรได้แต่ก้มหน้ายอมรับในโชคชะตา ว่าตัวเองนั้นขี้ขลาดเหลือเกิน

เกินกว่าจะต่อต้านผู้มีพระคุณได้
“หืม นายอยากจะลงทุนไร่องุ่นร่วมกับฉันงั้นหรือ” เพื่อนรักเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจที่จู่ๆ เพื่อนก็หันมาสนใจเรื่องการเกษตร

“อ่อ อืม มันน่าสนดีน่ะ อนาคตที่ดินแถบนี้อาจจะเจริญก็ได้” หม่อมกรกล่าวอ้างไปแบบนั้น

“เอาอย่างนั้นเหรอ” และแน่นอนว่าคนอย่างหม่อมธนาเลือกที่จะเชื่อใจเพื่อนคนนี้ที่สุด
โดยยินยอมให้เพื่อนคนนี้มีสิทธิ์ในไร่ของตนครึ่งหนึ่ง ซึ่งหม่อมกรก็ลงทุนใช้ชื่อของตัวเองลงไปเพื่อไม่ให้เพื่อนสงสัย

ทั้งที่ไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย ในใจเขารู้สึกผิดมาตลอด

‘จากนั้นแกก็ต้องค่อยๆทำให้ไร่นี้มันขาดทุนและล้มละลาย จนมันต้องขายที่ดินอีกครึ่งให้แก เข้าใจไหม’

เขาขยะแขยงตัวเอง
ครอบครัวหม่อมกรและเพื่อนรักเฝ้าดูการเติบโตของลูกและหลานตัวเองอย่างใกล้ชิด โดยที่หม่อมธนาและนิลเป็นตัวอย่างที่สอนลูกชายได้อย่างดีทีเดียว

“เป็นพี่ก็ต้องคอยดูแลปกป้องน้อง เสียสละให้กับน้องก่อน”

เขตน์ถูกปลูกฝังตั้งแต่ได้เจอกับน้องรินครั้งแรกที่ไร่กว้างของพ่อที่กำลังคิดค้นบางสิ่ง
เขตน์กับนรินทร์เรียกได้ว่าผูกพันกันมาตั้งแต่แรกเริ่มที่คนอายุน้อยกว่าลืมตาดูโลก หากแต่กว่าจะจำความได้ก็ตอนที่พาน้องรินจะเที่ยวไร่กุหลาบสีแดงสดของพ่อธนา

ประกายแววตาอันสดใสของน้องรินเมื่อเห็นดอกไม้สีสันสะดุดเป็นครั้งแรกก็ทำให้หัวใจของเด็กที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายนั้นสะดุด
หม่อมธนายิ้มอย่างเป็นสุข

เวลานี้จะมีอะไรดีไปกว่าการที่ได้เห็นลูกหลานมีความสุข สิ่งเล่นชื่นชมสิ่งที่เขาสร้างบนพื้นที่ไร่แห่งนี้

แต่ละวันคืนหมุนเวียนผันเปลี่ยนไปเพียงไม่กี่ปี หม่อมกรยังคงทำงานที่โรงแรมภรรยาเช่นเดิม

พร้อมกับการทราบข่าวร้ายที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับเพื่อนตนได้
“หม่อม...ฮึก...หม่อมช่วยนิลด้วย” ปลายสายที่คุ้นเคยเอ่ยเสียงสั่นราวกับหวาดกลัวจนสติเปิดเปิง ร้องไห้สะอื้นหนักแทบขาดใจ

“เกิดอะไรขึ้น”

“พี่ธนา...พี่ธนาขับรถตกหน้าผา” สิ้นคำนั้นมันทำให้เขาแข้งขาอ่อน โทรศัพท์ร้วงออกมามือทันที

ทั้งที่เพื่อนเขาแสนจะชินเส้นทางไปกลับไร่เสียอย่างนั้น
หลังจากรู้ข่าวเขากับคุณหญิงเนตรก็รีบดิ่งตรงไปที่เขาใหญ่ทันที แต่เมื่อมาถึงโรงพยาบาลกลับต้องเจอกับความจริงที่ว่า

ธนาไม่อยู่รอพบกันอีกแล้ว

นิลยังคงร้องไห้ฟูมฟายกอดร่างไร้วิญญาณของสามีอยู่เช่นนั้น ข้างกายเธอมีเด็กผู้ชายวัยห้าขวบที่ไม่มีหยดน้ำตาเปรอะเปื้อน ทว่าแววตาฉายความเศร้าหมอง
เด็กตัวแค่นั้นจะรับความจริงตรงหน้าไหวแค่ไหนกันนะ

ทั้งๆที่ชีวิตครอบครัวกำลังเป็นสุขอยู่แท้ๆ จู่ๆ กลับกลายเป็นว่าต้องมาขาดพ่อแบบจากไปไม่มีวันกลับ

พิธีฌาปนกิจเป็นไปอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งวันที่สามที่ญาติทางฝั่งสามีมาพร้อมกับต่อว่าด่าทอนิลที่เป็นคนทำให้ชีวิตหม่อมธนาตกต่ำเช่นนี้
“ฉันไม่มีวันวันรับแกและลูกเป็นญาติ จบงานศพนี้ก็ไสหัวไปซะ”

หลังจากงานศพนั้นจบนิลยังคงแบกรับงานที่ไร่องุ่นและไร่กุหลาบนั้นตามเดิม แต่หญิงสาวที่ไม่เคยได้ร่ำเรียนเขียนอ่านอย่างคนอื่นเขาจะไปบริหารอะไรได้

ไม่ว่าจะขอที่พึ่งพาจากใครก็ดูเหมือนโดนผลักไสไปเสียหมด แถมยังโดนโกงนักต่อนัก-
จนต้องคลุกข้าวกันหม้อให้ลูกทานประทังชีวิตเพราะไม่มีเงินเหลือแล้ว

“หากหม่อมกรยังสนใจไร่อีกครึ่งหนึ่งของพี่ธนา...” นิลเอ่ยขึ้นหลังจากตัดสินใจกำเงินก้อนสุดท้ายนั่งรถบขส. มากับลูกชายถึงกรุงเทพฯ

เพราะเธอรู้ดีว่าคนที่สามารถเป็นที่พึ่งพาสุดท้ายได้มีเพียงแต่หม่อมกรผู้นี้เท่านั้น
เธอจำได้ว่าสามีเคยบอกกันไว้ว่าหม่อมกรขอซื้อที่ดินครึ่งหนึ่งเพื่อเป็นเจ้าของร่วมกัน เธอจึงไม่อยากให้ไร่ของคนรักต้องพังพินาศด้วยน้ำมือเธออีกต่อไปแล้ว

ก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้ เธอควรทำอะไรสักอย่าง

อย่างน้อยการขายให้กับเพื่อนของสามีก็ยังดีกว่าการที่ที่ดินตกไปอยู่ในมือคนอื่น
“เธอแน่ใจแล้วหรือ ที่ดินผินนี้ธนาเขารักยิ่งกว่าชีวิต” หม่อมกรพูดขึ้นอย่างลำบากใจ

“นิลและลูดไร้ซึ่งที่พึ่งแล้ว และนิลรู้ว่าพี่ธนาคงดีใจไม่น้อยหากเพื่อนของเขาจะดูแลไร่นี้ต่อไปให้ดีได้”

นิลจับมือลูกชายแน่นทั้งที่น้ำตายังคลอเบ้า

“ถ้าเธอขายที่ดินให้ฉัน แล้วเธอกับลูกจะไปอยู่ที่ไหน”
แววตาของนิลหมองลงทันทีที่ได้ยินคำนั้น

“เงินก้อนสุดท้ายนี้อาจต้องเอาไปเช่าห้องเก่าๆ อยู่ก่อน ส่วนที่เหลือนิลจะเก็บไว้ให้ลูกร่ำเรียน เผื่อวันใดวัน...ฮึก” นิลเผลอสะอื้นขึ้นมาก่อนที่จะพูดจบ

เผื่อวันใดวันหนึ่งที่เธอจากโลกนี้ไปก่อน อย่างน้อยลูกเธอจะยังมีเงินก้อนนี้พอประทังชีวิตได้
และเมื่อหม่อมกรฟังประโยคนั้นจบพลางจ้องมองไปยังเด็กตัวเล็กๆ ที่กุมมือแม่ไว้แน่น ไม่มีหยดน้ำตาสักแหมะบนใบหน้า

ธนาสอนลูกมาอย่างดีทีเดียว ต้องเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งพาให้กับทุกคนสินะ

“ฉันจะรับไว้ก็ได้ แต่มีเงื่อนไข” พูดจบก็หันกลับมามองภรรยาของเพื่อน

“เธอและลูกต้องย้ายมาอยู่บ้านฉัน”
นิลรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ไม่ได้นะคะ นิลกับลูกไม่อยากรบกวนหม่อมอีกแล้ว แค่นี้ก็จะแย่”

“แล้วจะให้ฉันทนเห็นเธอกระเต็งลูกพาไปลำบากถึงไหนต่อไหนกันหรือ ธนาก็เป็นเพื่อนฉัน จะให้ทำเหมือนทองไม่รู้ร้อนได้ที่ไหน”

“แต่นิลเกรงใจคุณหญิงเนตรกับหม่อมนรินทร์...” นิลเอ่ยขึ้นอย่างลังเล
“เชื่อสิ หากเนตรเป็นฉันที่นั่งฟังเธออยู่อย่างนี้ ฉันเชื่อว่าเนตรก็คงตัดสินใจเหมือนกับที่ฉันทำ” หม่อมกรพูดออกมาอย่างมั่นใจ

“แต่...”

“ไม่มีแต่ หากเธอมัวเกรงใจ ฉันอยากให้เธอกลับไปมองลูกของเธอตอนนี้ เธออยากให้เขาลำบาก เป็นเด็กไร้บ้าน ไร้การศึกษาหรือ ถ้าไม่อยากให้เขตน์เป็นแบบนั้น-
ก็ช่วยรับน้ำใจจากฉันเถอะ”

หลังจากนั้นไม่กี่วันนิลและลูกชายก็ได้เข้ามาอยู่ในสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็นวังเก่าแก่ของตระกูลสิบทิศ ไม่ใช่แค่หม่อมกร คุณหญิงเนตรและหม่อมนรินทร์เท่านั้น

ทว่ามีหม่อมปู่หม่อมย่าอาศัยอยู่ด้วย

“ฉันยินดีมากที่เธอมาอยู่ที่นี่” คุณหญิงเนตรกล่าวอย่างตื่นเต้น
พร้อมกับน้องรินที่เมื่อเห็นพี่เขตน์ที่ไม่ได้เจอกันนานหลังจากเกิดเรื่องหม่อมธนาขึ้น ก็รีบวิ่งเข้ามาจับมือกันพาไปเดินเล่นถึงสวนท้ายวัง

มีเพียงแต่สองสามีภรรยาอาวุโสของบ้านที่ไม่พอใจอย่างหนัก

“ฉันให้เอาแค่ที่ดินมันมา ไม่ใช่ให้เอาอีพวกนั้นมาชุบเลี้ยงด้วย!” หม่อมย่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ
“แต่แม่ครับ นิลกับเขตน์ไม่เหลือที่พึ่งแล้ว ญาติฝั่งธนาก็ไม่มีใครเหลียวแล ผมเป็นเพื่อนธนามาตั้งแต่เด็ก จะทนเห็นนิลกับลูกกลำบากกันได้ยังไง อีกอย่างผมก็รู้สึกผิด...”

ใช่ เขารู้สึกผิด

คิดไว้ว่าจะสารภาพความจริงกับเพื่อนถึงแผนการเลวร้ายของพ่อแม่ตัวเอง ทว่าธนากลับไม่ได้อยู่ฟังมันแล้ว
“รู้สึกผิดอะไร ฉันบอกแล้วไงว่าที่ดินนั้นเราไม่ได้ไปโกงกินมันมา มันยินยอมพร้อมใจขายให้ด้วยซ้ำ เห็นไหมว่าเมียมันเอาโฉนดที่ดินมาประเคนให้แกถึงที่ จะมารู้สึกผิดอะไรอีก ได้เงินแล้วก็ไล่ๆ มันไปซะสิ จะเอามาอยู่ด้วยทำไม วังฉันไม่ใช่โรงแรมนะตากร!”

นี่พ่อแม่ของเขาเป็นถึงขนาดนี้ได้ยังไงกัน
“แต่ว่า...” หม่อมกรกำลังจะขัด แต่ความขี้ขลาดมันมีมากกว่า

หากเขากล้ากว่านี้ ปกป้องนิลกับเขตน์มากกว่านี้ เรื่องมันคงไม่บานปลาย

“ถ้าจะให้มันอยู่ ฉันไม่อนุญาตให้มันมานอนที่เรือนใหญ่ โน่น มันกับลูกต้องไปนอนเรือนคนใช้นั่น และทำหน้าที่ให้สมกับที่ต้องแลกข้าวแดงแกงร้อนของวังหลังนี้กิน!”
ฉะนั้นยามที่นิลและลูกชายกำลังขนกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นเรือนใหญ่ก็ต้องชะงัก เมื่อจู่ๆ เหล่าแม่บ้านก็ยกกระเป๋าของเธอออกจากเรือนนี้ไปไว้เรือนเล็กๆ ท้ายวัง ซึ่งภายในห้องมีเพียงฟูกนอนและห้องน้ำเล็กๆ เท่านั้น

“อะไรกัน ทำไมพวกหล่อนถึงได้เอากระเป๋านิลมาไว้ที่นี่” คุณหญิงเนตรเอ่ยอย่างโมโห
“เป็นคำสั่งของหม่อมปู่ท่านค่ะคุณหญิง” เพียงเท่านั้นคำสบถทั้งหมดที่กำลังจะเอ่ยขึ้นเป็นอันต้องกลินลงคอทันที

พร้อมกับความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ไม่สามารถช่วยคนตรงหน้าได้ ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเจ้าของวัง ทุกคนรู้ดี

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณหญิง นิลกับลูกอยู่ได้” นิลยิ้มอย่างจริงใจ
เพียงแค่มีที่ซุกหัวนอนก็ดีเท่าไร แค่ปัดกวาดเช็ดถู ทำความสะอาดนิดหน่อยก็อยู่ได้แล้ว

“งั้นฉันจะให้พวกแม่บ้านมาทำความสะ-“

“อย่าเลยค่ะคุณหญิง นิลทำเองได้” เธอกับลูกไม่อยากโดนคนในวังเกลียดขี้หน้าไปมากกว่านี้ ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์อยู่ตั้งแต่แรก แล้วก็ไม่ใช่แขกที่เขาเต็มใจต้อนรับ
ต่อจากนี้นิลคาดเดาชีวิตของตัวเองได้แล้วว่ากำลังจะเจอกับอะไร

สถานะคนใช้ของวังสิบทิศ เริ่มตั้งแต่วินาทีนั้น

นิลถูกใช้งานสารพัดอย่างไม่ว่าจะทำความสะอาดเรือน ทำกับข้าว ไม่เคยคิดปฏิเสธแค่ขอให้ได้ตอบแทนที่คนในวังให้ข้าวและที่นอน ทั้งยังให้เขตน์ได้ร่ำเรียนหนังสือในโรงเรียนดีๆ
ทั้งที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่สามีเป็นถึงหม่อม อีกทั้งยังเคยเป็นเจ้าของที่ดินบนเขาใหญ่ ใยต้องมาตกต่ำเป็นคนใช้บ้านคนอื่นเช่นนี้

แต่จะคิดอะไรได้เล่า เธอเป็นเพียงแค่หญิงจนๆที่ไม่ได้รับการศึกษาอะไร เงินค่าจ้างสำหรับอาชีพคนใช้ก็ไม่เคยได้สักบาท

และหม่อมกรขลาดเขาเกินกว่าจะขัดพ่อแม่
หลายปีผ่านไปที่นิลใช้ชีวิตอยู่ท้ายเรือนใหญ่ของวังสิบทิศแห่งนี้ หม่อมกร คุณหญิงเนตรและหม่อมนรินทร์ยังคงใจดีแวะเวียนมาหาเธอกับลูกเช่นเคย

“รินรักน้านิลที่สุด คุณน้าทำขนมอร่อยที่สุดเลย”

เด็กเจื้อยแจ้ววัยแปดขวบอ้อนออเซาะคนที่นั่งทำขนมบัวลอยให้กันอยู่ท้ายเรือน
นิลยังคงหัวเราะเอ็นดูคนที่ซุกซน มือกอดตุ๊กตาตัวใหญ่เท่าตัวเองไม่ห่าง แถมยังตัวหอมฉุยแบบที่รู้เลยว่าเพิ่งอาบน้ำประแป้งออกมาหมาดๆ

“น้าต้องจำได้สิคะ ว่าหม่อมชอบทานบัวลอยฝีมือน้า”

“แล้วพี่เขตน์ล่ะ พี่เขตน์ชอบเหมือนน้องรินไหม” เสียงหวานพร้อมประกายตาใสจ้องมองอีกคนเพื่อเค้นคำตอบ
“ชอบสิครับ คนดีชอบอะไรพี่ก็ชอบหมดนั่นแหละ” เขตน์เอ้ยขึ้นเสียงหวานพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่สะท้อนในแววตานั้น

ซึ่งคนเป็นแม่รู้ดีว่าเธอควรหยุดมันก่อนอะไรจะสายไปมากกว่านี้

“เขตน์รู้ใช่ไหมว่าหม่อนนรินทร์เป็นใคร แล้วเราเป็นใคร” นิลเอ่ยขึ้นกลางดึกของคืนนั้น ตระกองกอดลูกไว้ในอ้อมอก
ถึงเขตน์จะเป็นแค่เด็กสิบขวบ ทว่าเหตุการณ์ยากลำบากที่เคยผ่านมาก็สอนให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กทั่วไป

และเขารู้ดีว่าคนเป็นแม่กำลังหมายถึงอะไร

“ครับ ผมจำที่แม่สอนได้เสมอ” พร้อมกับเอ่ยขึ้นเบาๆ

“เป็นดิน อย่าริอาจเอื้อมมือคว้าดวงจันทร์มาครอบครอง” และรู้ตัวตั้งแต่นั้นว่าไม่มีหวัง
สองแม่ลูกยังคงใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่านิลอดทนเพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือมากกว่าถึงจะถูก เพราะเธอไม่รู้ว่าหากออกจากบ้านหลังนี้ไปแล้วเขตน์จะได้รับโอกาสดีๆ เช่นนี้อีกไหม

ส่วนเธอน่ะ ชีวิตนี้คงไม่หาสามีใหม่หรือไปมีชีวิตในเส้นทางอื่น เธอขอแค่ให้ลูกชายสุขสบายก็เพียงพอ
กระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่นิลตั้งใจจะนำชาร้อนไปเสิร์ฟหม่อมกรยามบ่าย พลันได้ยินเสียงที่เล็กลอดออกมาจากห้องหนังสือของเสียก่อน

และเธอรู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงหม่อมปู่และหม่อมย่าของวังแห่งนี้

“ไงล่ะ ฉันกะไว้ไม่มีผิดว่าสักวันพื้นที่บนเขาใหญ่ต้องเจริญ ผ่านมาสิบปีก็เป็นดังหวัง”
หม่อมปู่เอ่ยพลางจ้องมองเอกสารที่น่าจะเป็นผลกำไรที่ได้จากการส่งออกองุ่นที่ไร่แห่งนั้น

ไร่ที่เคยเป็นของสามีเธอ

“ตากรดูแลได้ดีทีเดียว ฉันบอกแล้วว่าลูกเราทำได้ แต่ทางที่ดีคุณพี่ต้องรีบเปลี่ยนชื่อเจ้าของไร่นะคะ ฉันเกรงว่าตากรจะเอาที่ดินคืนอีคนใช้นั่น”

มือของนิลที่ถือถาดชาสั่นไปหมด
“จะไปยากอะไร หากอีนั่นยังกล้าทวงที่ดินคืน ก็แค่ทำเหมือนที่เคยทำกับผัวมันนั่นแหละ”

เพียงได้ยินเท่านั้น เลือดในกายของนิลก็สูบฉีดไปทั่วร่าง แข้งขาอ่อนแทบทรุด ร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“ก็แค่จ้างสิบล้อชนให้มันตกหน้าผาตามผัวมันไปเหมือนคราวก่อนก็สิ้นเรื่อง”
เพล้ง!

เพียงเท่านั้นถาดกาน้ำชาที่นิลถือก็ร่วงหล่นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินอาบท่วมสองแก้ม สองมือที่สั่นเทาปิดปากตัวเองไว้ด้วยความตกใจสุดขีด

การตายของสามีเธอไม่ใช่อุบัติเหตุ เธอเพิ่งรู้วันนี้

กับความจริงที่ช็อคยิ่งกว่า ครอบครัวที่เธอแสนไว้ใจ ทำกันได้ลงคอ

ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้
และเสียงนั่นก็ทำให้สองคนที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องหนังสือต้องรีบเดินออกมาดูพร้อมกับใบหน้าที่ตกใจไม่ต่างกัน

“ได้ยินจนได้สินะ” มารดาของหม่อมกรเปิดเรื่องขึ้นก่อน ท่ามกลางบ้านอันเงียบเชียบที่ทีเพียงแค่สามคนที่เผชิญหน้ากัน

“ถ้างั้นจากนี้ไปเธอคงอยู่อย่างสงบสุขแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ”
“ท่านทำอย่างนี้กับสามีดิฉันได้ยังไง...ทำไม...ฮึก” ร่างบางของหญิงสาวสั่นเทาจนพยุงตัวเองไม่ไหว ล้มคุกเข่าต่อหน้าคนทั้งสอง

“ก็ผัวแกมันไม่ยอมขายที่ดินให้สักที ฉันถึงต้องส่งตากรให้มันคอยตะล่อมฮุบที่ดินพวกแกทีละนิดน่ะสิ ไอ้ลูกฉันมันก็ใจเสาะ ผ่านมาจะสิบปีแล้วก็ยังไม่ได้เรื่อง”
สุดท้ายเลยต้องพรากเอาชีวิตกันเลยหรือ นิลส่ายหน้ารับความจริงไม่ได้

โดยเฉพาะหม่อมกร ผู้ชายที่เธอไว้ใจและเคารพในฐานะเพื่อนของสามีและเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือเธอและลูกมาตลอด

สุดท้ายแท้จริงแล้วเป็นแค่เพียงหนึ่งในแผนที่ตระกูลสิบทิศวางเอาไว้เพื่อล่อเหยื่ออย่างครอบครัวเธอให้ติดกับ
สิบปีที่เป็นคนโง่ให้คนตระกูลนี้โขกสับ จกหัวใช้ประหนึ่งเป็นคนใช้ของบ้าน ทั้งที่แท้จริงแล้วคนพวกนี้เป็นคนที่ขโมยลมหายใจของคนรักเธอไป

เธอแค่อยากรู้ หม่อมกรและครอบครัวสมรู้ร่วมคิดในเหตุการณ์นั้นไหม

เหตุการณ์ที่พรากขีวิตสามีเธอไปตลอดกาล

“พวกคุณมันเลว!” นิลฟูมฟายอย่างเดือดดาล
“ดิฉันจะไปแจ้งความ ทุกคนต้องรับรู้เรื่องเลวร้ายนี้ ดิฉันยอมไม่ได้” นิลลุกขึ้นสู้ เธอจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อให้คนตระกูลนี้หลอกกันอีกต่อไป

ใครที่มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของสามีเธอ เธอจะเอาคนพวกนั้นเข้าคุกเข้าตารางให้ได้

“หล่อนนี่มันโง่เสียจริงเชียว อยากจะจับฉันเข้าคุก-
แต่กลับไม่รู้ว่าตำรวจพวกนั้นมันไม่มีวันจับพวกฉันได้ แถมคดีก็ผ่านมาสิบปีแล้ว ไม่มีใครเขารื้อฟื้นคดีเก่าให้เสียเวลาหรอก” หม่อมย่าหัวเราะเยาะอย่างสะใจ

กระนั้นหญิงสาวก็ยังไม่ยอมถอดใจ ตอกกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว

“สงสัยจะเลี้ยงไม่เชื่องเสียแล้ว พวกฉันจะกำจัดหล่อนอย่างไรดีนะ”
หม่อมปู่หัวเราะในลำคอ

“อ้อ ฉันคิดออกแล้ว...” พลางเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวที่ยืนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“ถ้าชีวิตหล่อนขาดลูกไปอีกคน จะเป็นอย่างไรกันนะ” สิ้นคำนั้นหญิงสาวลมแทบจับ รีบคุกเข่าก้มไหว้ขอร้องไม่ให้อีกฝ่ายทำร้ายกัน

“อย่าทำอะไรลูกดิฉัน! จะทำอะไรขอให้ลงที่ดิฉันคนเดียว”
“เช่นนั้นถ้าอยากให้ลูกของหล่นมีชีวิตดีๆ ต่อไปก็หุบปากแล้วใช้ชีวิตตามเดิมเสีย” หม่อมย่าพูดขึ้นพลางหันหน้าไปหาสามีตน

มันรู้ความจริงที่แม้กระทั่งลูกชายคนเดียวของเธอก็ไม่รู้ หากวันไหนมันกลับมาแว้งกัดต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่

ทันทีที่นิลรีบเก็บถาดชาทั้งที่มือยังสั่นเทา
คลานออกจากเรือนใหญ่ทั้งน้ำตา เก็บความคับแค้นใจไว้ในอกเพราะทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้

จะเอาอะไรไปสู้ อำนาจหรือแม้กระทั่งเงินก็ไม่มีติดตัวสักบาท

“หล่อนคงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว” หม่อมย่าเอ่ยขี้นหลังจากที่หญิงสาวคนนั้นลงจากเรือนจนลับตา

“คุณพี่คงต้องทำอะไรสักอย่าง”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะใหม่ที่เกิดขึ้นจนบานปลาย พานให้ครอบครัวของตระกูลสิบทิศแตกยับเยิน ไม่สามารถประกอบกันใหม่ได้อีกต่อไป

รวมถึงหัวใจของนรินทร์และเขตน์ที่แตกร้าวออกเป็นเสี่ยงๆ

ณ คืนหนึ่งที่นิลยังคงใช้ชีวิตตามเดิม รับใช้คุณหญิงเนตร คอยเสิร์ฟนำ้ผลไม้ก่อนนอนเป็นกิจวัตร
หากแต่คืนนั้นมันแตกต่างออกไป ตรงที่น้ำผลไม้แก้วนั้นถูกสลับก่อนเอาขึ้นไปเสิร์ฟบนห้องนอนโดยฝีมือใครบางคน

ทันทีที่ภารกิจประจำวันของนิลเสร็จเรียบร้อย เธอลงจากเรือนใหญ่มายังเรือนเล็กที่คืนนี้ลูกชายถูกหม่อมนรินทร์ชักชวนไปเล่นด้วยบนห้องนอน

คืนนี้เธอจึงต้องนอนคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้
ทันทีที่เปลือกตาทั้งสองข้างกำลังจะปิดลง ก็ได้ยินเสียงโวยวายจากเรือนใหญ่

จากหนึ่งเสียงเป็นสองเสียง สามเสียง และจากนั้นก็ขยายกลายเป็นทุกคนในวังที่ต่างแตกตื่น กรีดร้องพร้อมกับเสียงฝีเท้าตึงตังทุกย่างก้าว

ปัง!

“หม่อมกร...” นิลสะดุ้งตกใจ ไม่คิดว่าอีกคนจะถือวิสาสะไขกุญแจเข้ามาในห้อง
ด้วยสีหน้าซีดเผือดสุดขีด

“เธอรึเปล่า เธอเป็นคนทำรึเปล่านิล” เสียงของหม่อมกรสั่นเครือและตื่นตระหนก

“อะไรกันคะ เกิดอะไรขึ้น” นิลยังคงไม่เข้าใจ

“เนตรโดนวางยาพิษ และทุกคนในเรือนนี้รู้กันทั้งนั้นว่าเธอเป็นคนเข้าไปในห้องนอนภรรยาฉันเป็นคนสุดท้าย”

ไม่จริง เป็นไปไม่ได้!
หญิงสาวเบิกตากว้าง หน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น

“ตอนนี้เนตรถูกหามส่งโรงพยาบาลแล้ว และฉันอยากรู้ว่าเธอ...” หม่อมกรเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งแววตาผิดหวังมาให้กัน

ผู้หญิงที่เขาเคยรัก แถมยังจิตใจงาม จะทำกันได้ลงคอจริงหรือ คิดแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้

ทว่าเมื่อนึกถึงคำพูดของคนเป็นบิดา-
ที่ยุแยงตะแคงรั่วใส่กัน ว่าบางทีคนอับจนไร้หนทาง พอเห็นว่าที่ดินของสามีตัวเองกำลังงอกเงยส่งผลกำไรได้ดิบได้ดีกว่าแต่ก่อน

อาจเกิดความคับแค้นใจขึ้นมาก็เป็นได้

หากหม่อมธนายังมีชีวิตอยู่ เธอและลูกคงสุขสบาย ไม่ตกระกำลำบากเช่นนี้ หม่อมกรคิดไม่ตก

“เธอเป็นคนทำรึเปล่า”

“หม่อม!”
นิลขึ้นเสียงแทบจะทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยประโยคที่ไม่คาดคิดออกมา

ตั้งแต่รู้จักกันมาสิบกว่าปี อีกคนไม่เคยรู้นิสัยใจคอกันเลยหรือ ทั้งที่เธอให้ความจริงใจกับคนในวังนี้ไปทั้งหมด

แต่กลับกลายเป็นว่าถูกหลอกลวงแถมยังจะใส่ร้ายในเรื่องที่เธอไม่ได้เป็นคนทำอีก!

“เธอบอกมาคำเดียว” หม่อมกรเอ่ยขึ้น
เสียงแหบแห้งอย่างคนหมดแรง

“ฮึก...บอกไปแล้วหม่อมจะเชื่อหรือ” นิลร้องไห้ตัดพ้อโชคชะตาที่ไม่เคยเข้าข้างตัวเอง

“ถ้าเธอบอกมาว่าไม่ได้เป็นคนทำ...” ก่อนถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่

“ฉันพร้อมจะเชื่อเธอ” หม่อมกรเชื่อเช่นนั้น เพราะตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา

นิลไม่เคยเลือนหายไปจากหัวใจเขาได้เลย
หากตัดภาพมายังเหตุการณ์ก่อนหน้า ช่วงที่จู่ๆ คนในวังก็แตกตื่นส่งเสียงโวยวายเป็นการใหญ่

“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ คุณหญิงชัก! ใครก็ได้ช่วยที!” เหล่าคนใช้หญิงชายต่างตะโกนพร้อมกันจนหม่อมกรที่เพิ่งกลับจากเขาใหญ่หมาดๆ ต้องกุลีกุจอรีบวิ่งเข้าขึ้นมาบนห้องนอน

พร้อมกับเห็นภาพภรรยานอนน้ำลายฟูมปาก
เพียงเท่านั้นก็รับต่อสายเรียกรถพยาบาลอย่างเร่งด่วนทันที

“เนตร เธอได้ยินฉันไหม อย่าหลับตานะ หายใจเอาไว้!” หม่อมกรทำทุกวิถีทางเพื่อเรียกสติอีกคน

“ตะ-ตายแล้ว นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น!” บิดาและมารดาของตนยืนเอ่ยเสียงหน้าประตูห้องด้วยความตระหนกตกใจ

“นี่มันอาการของคนโดนวางยาชัดๆ”
“อะไรนะครับหม่อมแม่ วางยาหรือ” หม่อมกรลุกขึ้นยืนแทบจะทันที

“ก็ใช่น่ะสิ ฉันเคยทำงานในวังหลวง เห็นคนโดนวางยากันมานักต่อนัก อาการแบบนี้มันมีอยู่ได้อย่างเดียวเท่านั้น” ก่อนจะพูดยั่วยุลูกชายไปอีกรอบ

“ต้องมีใครในนี้เอาอะไรให้แม่เนตรทานแน่ๆ แกรู้ใช่ไหมเปี่ยม” พลางถามไปที่หัวหน้าคนใช้
“ก็มีอยู่แค่คนเดียวที่ขึ้นมาเสิร์ฟน้ำผลไม้ก่อนนอนให้คุณหญิงเนตรทุกคืนนั่นแหละเจ้าค่ะ” เปี่ยมตอบอ้อมๆ ไม่กล้าสบตาหม่อมกร

“นิลหรือ...เป็นไปไม่ได้ นิลจะทำอย่างนั้นกับเนตรทำไม!” หม่อมกรขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ

เป็นตายร้ายดีอย่างไรเขาก็ไม่ขอเชื่อเด็ดขาด

“คนเรามันรู้หน้าไม่รู้ใจ-
พ่อจะบอกให้เอาบุญ ก่อนหน้านั้นพ่อเหลือบเห็นมันมาแอบฟังพ่อกับแม่คุยกันเรื่องผลกำไรของไร่องุ่นเรา หึ! มันคงนึกว่าพ่อไม่รู้ และคงคับแค้นใจล่ะสิท่าที่ที่ดินเดิมของมันตอนนี้กลับงอกเงยจนได้เงินเป็นกอบเป็นกำ”

คนเป็นพ่อราดน้ำมันใส่กองไฟให้ลุกโชนเข้าไปอีก

และมันทำให้หม่อมกรถึงกับชะงัก
พูดไม่ออกกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“คะ-คุณแม่!” เรื่องยังไม่ทันจบ หม่อมกรก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อนรินทร์และเขตน์ยืนตะลึงค้างอยู่หน้าห้องทันทีที่เห็นคนบนเตียงในสภาพน้ำลายฟูมปากไปหมด

เด็กทั้งสองได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย คราแรกพวกเขาไม่กล้าออกจากห้องเพราะกลัว แต่ความสงสัยมันมีมากกว่า
เขตน์ที่ได้สติก่อนรีบเอามือปิดตาคนตัวเล็กกว่าอย่างรวดเร็ว กาอนที่เสียงกรีดร้องของหม่อมนรินทร์จะออกมาอีกรอบ

“คุณแม่เป็นอะไร! คุณแม่! เอามือออกไปนะ รินจะไปหาคุณแม่!” นรินทร์เริ่มโวยวาย

“เขตน์ พารินเข้าห้องนอนไปก่อน ห้ามออกมาจนกว่าฉันจะสั่ง!” หม่อมกรเอ่ยอย่างหัวเสีย
และมันทำให้เขตน์รีบดึงมืออีกคน วิ่งจรงไปยังห้องนอนเดิมที่จากมาทันที

“ผมขอ อย่าให้รินรู้ว่าแม่ของเขาโดนวางยาพิษ” หม่อมกรเอ่ยกับบิดามารดาของตน

ก่อนที่เสียงรถพยาบาลจะดังขึ้นเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันพยุงร่างคนเจ็บขึ้นรถทันที โดยมีเลขาและคนขับรถของหม่อมกรตามไปติดๆ
“ทำไมแกไม่ตามเมียแกไปโรงหมอด้วย” คนเป็นบิดาเอ่ยถาม

“นั่นเพราะผมมีเรื่องต้องสะสาง” นั่นทำให้ผู้อาวุโสกว่าเลิกคิ้วฉงนทันที

“ผมต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนวางยาพิษเนตร” จากนั้นก็รีบลงจากเรือนใหญ่ไปยังเรือนอีกหลังทันที

เท่านั้นก็เข้าแผนที่วางไว้เรียบร้อย
“แม่ ฮึก...แม่จะเป็นอะไรไหม รินเห็น...” เด็กน้อยไม่กล้าเอ่ยถึงภาพเมื่อครู่ ภาพที่มารดาตัวเองนอนอยู่บนเตียงด้วยสภาพทุกข์ทรมานอันเกิดจากอะไรบางอย่างที่นรินทร์ไม่สามารถรู้ได้

ได้ยินเพียงแต่เสียงของเหล่าคนใช้ที่ตะโกนใส่กัน

ว่ามารดาของเขาโดนยาพิษ

“พี่เขตน์ แม่รินโดนวางยาพิษจริงไหม”
เขตน์ตอบไม่ถูกเหมือนกัน เขาไปไม่เป็นเลยเมื่อเจอคำถามนี้ และเด็กวันอย่างเขาก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้านี้อย่างไรดี

“ไม่จริงหรอกครับ แม่ของคนดีแค่ไม่สบายเท่านั้น” คิดได้แค่เพียงว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้น้องรินของเขาสบายใจ

“จริงเหรอ” เด็กน้อยนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ปลายเตียง
“แม่จะไม่เป็นไรใช่ไหม รินกลัว” เสียงของเด็กน้อยเริ่มสั่นเครือขึ้นมาอีกครั้ง

“แม่ของคนดีจะไม่เป็นอะไร เชื่อพี่นะครับ” เขตน์ยื่นมือหนามาข้างหน้าเหมือนเดิมที่เคยให้กำลังใจกันและกันยามที่อีกฝ่ายเศร้า

และเมื่อนรินทร์เห็นฝ่ามืออันคุ้นเคย มือเล็กก็ลงไปทาบทับฝ่ามือนั้นพร้อมกระชับแน่น
“พี่เขตน์จะอยู่กับรินใช่ไหม จะอยู่เคียงข้างรินใช่รึเปล่า” คนตัวเล็กถามอย่างร้อนใจ

“พี่ต้องอยู่ข้างคนดีอยู่แล้วครับ” และเขตน์พร้อมจะปลอบโยนกันทันที

จากนั้นไม่นานเสียงเอะอะโวยวายนอกห้องก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เขตน์ไม่แน่ใจนักว่าได้ยินเสียงอะไร

ทว่ามีอยู่คำหนึ่งที่ทำให้เขาสะดุ้งขึ้น
เหมือนมีคนเอ่ยชื่อแม่เขา

ใช่แล้ว แม่ ป่านนี้แม่จะเป็นอย่างไรบ้าง

“พี่เขตน์จะไปไหน คุณพ่อบอกว่าไม่ให้เราออกจากห้อง” นรินทร์รีบคว้ามือทันทีที่อีกคนทำท่าจะลุกเดินออกจากห้องนอน

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ทว่าสัญชาตญาณของเขามันกำลังบอกชัดเจนว่าจะต้องไปหาแม่ให้ได้

“รินรอพี่อยู่ตรงก่อนนะ-
เดี๋ยวพี่กลับมา อย่าออกจากห้องนี้เข้าใจไหม” เขตน์กำชับอีกคนอีกครั้ง

“ไม่เอา พี่เขตน์ไปไหนรินจะไปด้วย รินไม่อยากอยู่คนเดียว รินกลัว” อีกคนเริ่มเบะปากร้องไห้

“พี่ไปแล้วจะกลับมา แป๊บเดียวเท่านั้น คนดีเชื่อใจพี่นะ” สายตานรินทร์ลังเลอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะโพล่งออกไป

“สัญญามาก่อน”
“สัญญาสิ สัญญามาก่อน” คนเป็นน้องเค้นหนักกว่าเก่า

“สัญญาว่าจะอยู่ข้างริน จะไม่ทิ้งริน”

“ครับ พี่สัญญา” ก่อนจะกอดอีกคนเบาๆ จูบขมับอย่างรักใคร่

“รินจะรอ พี่เขตน์ต้องกลับมานะ” จากนั้นก็มองอีกคนเดินออกไปจากห้องนอนจนลับสายตา

ทิ้งเขาให้นอนกอดเข่า รอคอยพี่เขตน์กลับมาอย่างมีความหวัง
ทว่ามันนานเหลือเกิน นานเกินไป

เด็กน้อยที่ถูกทิ้งไว้ในห้องนอนคนเดียวท่ามกลางเรื่องโกลาหลที่เกิดขี้นภายในบ้านนั้นจิตใจย่ำแย่ลงไปทุกที

นรินทร์เริ่มหวาดกลัวอย่างหนัก

มือเล็กจับลูกบิดประตู รวบรวมความกล้าจะเปิดมันออก ทว่าเสียงของคนเป็นพ่อและพี่เขตน์ที่สั่งให้เขาอยู่แต่ในห้อง
กับภาพของแม่เมื่อครู่ที่นรินทร์ไม่อยากนึกถึง ทำให้มือที่กำลูกบิดประตูนั้นสั่นระริก

นรินทร์ไม่กล้าเปิดประตูออกไป

ทว่าหากไม่เปิด พี่เขตน์กับแม่อาจไม่กลับมาหากัน เด็กวัยแปดขวบคิดได้แค่นั้น แค่นั้นจริงๆ

จึงหลับตาปี๋ กลั้นหายใจบิดประตูออกไปจนสุดแรง

“ริน หลานยังไม่หลับอีกหรือ”
“หม่อมปู่...” เด็กน้อยเริ่มเบะปากเหมือนจะร้องไห้

อย่างน้อยยามนี้หม่อมปู่ก็ไม่ทิ้งเขา

“ไม่ต้องร้องๆ” หม่อมปู่ปลอบหลานรักไว้ในอ้อมแขน

และคราวนี้ถึงทีของหลานรักที่เขาจะต้องจัดการอย่างเด็ดขาด

หลานของเขาจะต้องไม่ไปยุ่งกับคนชั้นต่ำพวกนั้นอีกต่อไป

“คุณแม่ไปไหน...” นรินทร์เอ่ยถาม
“คุณแม่ของหลานโดนคนไม่ดีทำร้าย” หม่อมปู่พูดให้หลานตัวเองเกิดความสงสัย

“ใคร ใครกันทำร้ายคุณแม่” เด็กน้อยรีบถามขึ้น ดวงตายังคงแดงก่ำจากการร้องไห้

“นิลเป็นคนทำ ปู่เห็น”

“ไม่จริง! น้านิลไม่ใช่คนแบบนั้น น้านิลจะทำอะไรคุณแม่ได้ยังไง!” เด็กน้อยส่ายหน้าไปมา ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“เพราะนิลกำลังจะแย่งพ่อของหลานไป” หม่อมปู่ฝังความคิดบางอย่างให้เด็กร้อยตรงหน้า

“แย่ง? แย่งอะไร” นรินทร์เด็กเกินกว่าจะเข้าใจมัน

“นิลกำลังจะแย่งพ่อไปจากแม่เนตรเพราะอยากจะมาทำหน้าที่แม่แทนแม่เนตรน่ะสิ” เด็กน้อยเริ่มเห็นคิดตามสิ่งที่ปู่พูด

“คนใช้นั่นทำร้ายแม่หลาน-
และกำลังจะแย่งพ่อของหลานไปเป็นของตัวเอง” สิ้นคำนั้นนรินทร์เข้าใจได้ในทันที

ว่าสิ่งที่หม่อมปู่หมายถึงคือการที่น้านิลกำลังจะทำลายครอบครัวของเขา พรากความรักของเขาไป

พ่อกับแม่เป็นความรักของริน ของรินคนเดียวเท่านั้น

“รินไม่เชื่อ หม่อมปู่โกหก!” รินเริ่มร้องไห้หนัก สองมือกำตุ๊กตาแน่น
“หากหลานอยากรู้ว่าปู่พูดจริงไหม ก็ลองลงไปตามไอ้เขตน์ขึ้นมาเล่นบนห้องดูสิ มันลงไปหาแม่มันแล้วไม่ใช่หรือ”

“เดี๋ยวพี่เขตน์ก็กลับมา พี่เขตน์สัญญากับรินแล้วว่าจะอยู่ข้างริน” จบคำนั้นหม่อมปู่ก็สบถออกมาเบาๆ

“หึ! คนอย่างนั้นน่ะรึ มันก็ต้องเข้าข้างแม่มันอยู่แล้ว-
เพราะมันอยากได้สมบัติของเรา แล้วถ้ามันได้ทุกอย่างเมื่อไร มันก็จะเขี่ยหลานทิ้ง” หม่อมปู่ใส่ไฟเข้าไปอีก

“พี่เขตน์ของรินเป็นคนดี” นรินทร์ยังคงเชื่ออย่างนั้น

“ถ้างั้นก็ลงไปตามมันดู แล้วหลานจะได้เห็นทุกอย่าง” จากนั้นคนเป็นปู่ก็จูงมือหลานรักส่งเพียงครึ่งทาง
เพื่อแอบไม่ให้หม่อมกรที่เดินมาได้จังหวะพอดี กำลังไขกุญแจเข้าไปในห้องนั้น

ทั้งที่นรินทร์ยังคงยืนมองค้าง ด้วยแววตาตื่นตะลึง ผิดหวังกับภาพตรงหน้าที่ได้เห็น

พ่อของตัวเองแอบเข้าไปในห้องที่คุ้นเคยดีว่าเป็นของใคร

และไม่ว่าจะยืนร้องไห้รอคนเป็นพ่อเท่าไร

พ่อก็ไม่ยอมออกมา
“ฮึก...คุณพ่อ คุณพ่อ!” และไม่ว่าจะคะโกนดังแค่ไหน คนในห้องก็ไม่ได้ยิน

“พอแล้วหลาน เรากลับกันเถอะ” คนเป็นปู่ดึงมือหลานตัวเองอย่างสุดคงามสามารถ

“ไม่! รินไม่ไป! คุณพ่ออยู่ในนั้น รินไม่ยอม น้านิลกำลังจะเอาคุณพ่อไป ฮึก...คุณพ่อของริน”

หัวใจของนรินทร์แตกสลายตั้งแต่วินาทีนั้น
“นังนั่นไม่ใช่น้าของหลาน จำเอาไว้ว่ามันเป็นแค่คนใช้ที่อยากถีบตัวเองส่งเพื่อไต่เต้าเป็นหม่อมเหมือนกับพวกเราเท่านั้น”

ก่อนจะอุ้มหลานรักขึ้นเรือนใหญ่

“และต่อจากนี้ไปพวกมันจะต้องไม่อยู่ที่วังของเราอีก”

หลังจากคืนโกลาหลนี้ผ่านพ้นไป เด็กน้อยวัยแปดขวบก็มีพฤติกรรมเปลี่ยน
หม่อมกรที่ทั้งคืนนั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดที่นิลเล่า ซึ่งเขตน์เองก็ได้แต่นั่งปลอบแม่อยู่ในห้องเดัยวกันจนดึกดื่น

เขาสับสนไปหมดว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงกันแน่

แต่จากที่ตัวเองอยู่กับบิดามารดามาตั้งแต่เกิด รวมถึงนิสัยของนิลที่ไม่เคยก้าวร้าวหรือทำร้ายใคร

มันทำให้เขาพอเดาได้-
ว่าเรื่องที่พ่อแม่ตนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายของเพื่อนรัก อาจเป็นเรื่องจริง

เหตุใดกัน เขาไม่รู้ว่าทำไมผู้มีพระคุณของตัวเองถึงได้มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเกินคน เห็นคุณค่าของทรัพย์สินเงินทองมากกว่าชีวิตคนรอบข้าง

ทั้งที่พวกท่านรู้อยู่แก่ใจ ว่าธนาเป็นเพื่อนรักคนเดียวในชีวิต
ภาพความทรงจำในอดีตยามที่คนจนแร้นแค้นเกาะรัวประตูบ้าน ร้องไห้ระงมเพราะถูกโกงที่ดินนักต่อนักยังคงวนเวียนในหัวสมอง

บ้างก็ได้ยินเหล่าคนใช้พูดว่าผู้คนเหล่านี้ฆ่าตัวตายกันไปบ้าง หรือไม่ก็กลายเป็นขอทานเพราะชีวิตไม่เหลืออะไรแล้ว

บ้างก็เข้าสู่สังคมดำมืด กลายเป็นคนติดยาติดคุก
กระนั้นความเลวร้ายทุกอย่างทุกฝังกลบมิดไว้ใต้พรม บุคคลภายนอกไม่มีใครรับรู้ถึงเรื่องราวอัปรีย์จัญไรที่เกิดขึ้นกับตระกูลผู้ดีเก่าตระกูลนี้

เพราะถ้าใครคิดจะเปิดปาก ก็เป็นอันต้องแลกด้วยลมหายใจของตัวเองทุกรายไป

หม่อมกรรู้กิตติศัพท์ความเหี้ยมโหดของพ่อตัวเองดี
และถ้าให้เขาเดา เหตุการณ์ว่งยาพิษเมื่อคืนคงไม่เกินความสามารถของคนที่พรากลมหายใจคนอื่นไปแล้วกว่าหลายชีวิต

เขารู้สึกผิดจนอยากร้องไห้ ทว่าร้องไม่ออก

ไม่รู้จะพูดยังไง หรือจะต้องทำอย่างไรถึงพอที่จะชดใช้สิ่งที่ครอบครัวเขาทำไว้กับธนา นิลและเขตน์ได้บ้าง

หากกรรมมันชดใช้แทนกันได้-
เขาอยากเป็นคนชดใช้มันทั้งหมดแทนพ่อแม่ เพราะเขารู้ดีว่าคนที่หยิ่งทะนงในศักดิ์อย่างสองคนนั้น ไม่มีวันลดตัวลงมาขอโทษใคร หรือแม้กระทั่งสำนึกผิดกับใคร

เพราะมันสะสมจนด้านชาไปแล้ว ชาจนไม่รู้สึกรู้สาว่าสิ่งใดผิดถูก

หม่อมกรปวดหัวหนัก เดินกุมขมับออกจากห้องนิลทั้งที่ยังไม่ได้นอนทั้งคืน
เดินขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้าอ่อนเพลียปนเศร้าหมอง วันนี้คงไม่ได้นอนอีกเป็นแน่ ไหนจะต้องแวะเข้าไปโรงพยาบาลเพื่อดูอาการภรรยาอีก

ทว่าก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะตกใจที่เห็นลูกชายยืนรอกันถึงในห้อง มือกอดตุ๊กตาแน่น ขอบตาช้ำแดงน่าสงสารไปหมด
“ริน ลูกแป็นอะไร ใครทำอะไรลูก” เด็กน้องไม่ตอบ ได้แต่ยืนจ้องหน้าคนเป็นพ่อ นำ้ตาเริ่มไหลรินท่วมสองแก้มอีกครั้ง

“ริน ลูกร้องไห้ทำไม หรือว่าเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องเป็นห่—“

กรี๊ดดดดด!

ก่อนเสียงกรีดร้องของเด็กน้อยจะดังขึ้นพร้อมกับพฤติกรรมที้ทำให้หม่อมกรได้แต่ยืนช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ลูกชายของเขาโยนตุ๊กตาในมือทิ้ง แหกปากกรีดร้อง สองมือทึ้งผมตัวเอง จากนั้นก็ล้มลงไปกับพื้น

เสียงปลายนิ้วกระทบหน้าตัวเองดังก้องให้หม่อมกรเห็นว่านรินทร์กำลังทำร้ายตัวเอง ทั้งตบตีใบหน้า ทุบตีแขนขาตัวเองจนเกิดรอยแดงตามตัวไปหมด

“ริน ไม่ ลูกอย่าทำแบบนั้น!”
เมื่อได้สติคนเป็นพ่อก็ยื้อกระชากสองมือของลูกให้เลิกทำร้ายตัวเอง ทว่านรินทร์ก็ยังไม่เลิกกรีดร้อง

“รินฟังพ่อ พ่ออยู่นี่ ริน! ริน!” ไม่ว่าจะเรียกเท่าไร นรินทร์ก็ไม่มีสติจะฟังกันอีกแล้ว

ลูกคนนี้ผิดหวังในตัวพ่อ ผิดหวังเหลือเกิน ความรักและความเคารพในตัวบิดาคนนี้หายไป
เหลือไว้เพียงความรู้สึกและสิ่งที่หม่อมปู่ใส่ไว้ในหัวสมอง

คุณพ่อทรยศคุณแม่ คุณพ่อจะเอาอีคนใช้นั่นมาเป็นเมีย

และน้านิลไม่ใช่คนดีในสายตานรินทร์คนนี้อีกต่อไปแล้ว

“คุณพ่อทรยศ!” เด็กน้อยตะคอกใส่พ่อด้วยสีหน้าผิดหวัง

“รินเห็น เห็นหมดแล้ว คุณพ่ออยู่กับมันทั้งคืนในห้องนั้น!”
เท่านั้นดวงตาของผู้เป็นพ่อก็เบิกกว้างทันที

“ลูกกำลังเข้าใจผิด” พร้อมกับความสงสัยที่ว่าใครปล่อยให้ลูกของเขาออกมายามวิกาลจนดึกดื่นเช่นนี้

“มันเป็นคนวางยาพิษคุณแม่ อีคนใช้นั่นใช่ไหม!”

“นรินทร์ ทำไมลูกพูดแบบนี้ ลูกไม่เคยพูดขาหยาบคาย ใครสั่งใครสอนให้พูดกับน้านิล—“

“มันไม่ใช่น้า-
ของรินอีกต่อไปแล้ว เพราะมันคุณแม่ถึงเป็นแบบนั้น และมันก็กำลังจะแย่งคุณพ่อของรินไป ฮึก...”

เด็กน้อยกรีดร้องขึ้นมาอีกรอบ

เป็นครั้งแรกที่หม่อมกรเห็นความผิดหวังในแววตาของลูกที่ส่งตรงมาถึงเขา และพฤติกรรมที่เขาเองก็ไม่คิดว่าเด็กน่ารักแสนซนเหตุใดจึงเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เป็นเพราะเขา ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความขี้ขลาดของเขาเอง

หากเขากล้าขัดใจพ่อแม่สักนิด ปฏิเสธในสิ่งที่สองคนนั้นทำไม่ดีต่อเพื่อน ปกป้องเพื่อนและครอบครัวมากกว่านี้

ธนาก็จะไม่จากไป นิลกับเขตน์ก็อาจกำลังมีความสุขบนไร่นั้น

ไร่ที่เขาไม่อยากขึ้นไปดูแลมันเลย เพราะมันเจ็บปวดรวดร้าวทุกครั้ง
ที่สองเท้าเหยียบย่ำบนพื้นที่ที่ตนเองไม่ควรได้เป็นเจ้าของ

ที่นรินทร์และเนตรเป็นเช่นนี้ก็เพราะเป็นผลพวงจากผลกรรมที่เขาทำไว้เอง กรรมที่ภรรยาและลูกซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมารับเคราะห์แทน

“พ่อขอโทษ ขอโทษที่ทำให้ลูกเสียใจ” คนเป็นพ่อน้ำตาไหลอาบสองแก้ม ชีวิตครอบครัวพังแล้วตั้งแต่นี้
จากนั้นมาลูกชายของเขาก็แทบไม่มองหน้ากันอีกเลย ไม่พูดคุยหรือแม้แต่จะให้สัมผัสแตะต้องกัน

สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นและมันทำให้หม่อมกรเริ่มวิตก คือการที่พ่อแม่เขาเอาตัวนรินทร์ไปอยู่ใกล้ๆ แทบจะทุกวัน ซึ่งไม่รู้ว่าพวกท่านเอาชุดความคิดอะไรยัดใส่ลูกเขาไปบ้าง

ส่วนนิลและเขตน์ถูกจำกัดบริเวณ
ไม่ให้ออกไปเพ่นพ่านจนกว่าคุณหญิงเนตรจะกลับมาจากโรงพยาบาลเพื่อสะสางเรื่องทั้งหมด

“เช่นนั้นทำไมหม่อมแม่ไม่แจ้งตำรวจไปเสียเลยล่ะครับ ถ้ามั่นใจว่านิลเป็นคนทำ” หม่อมกรสวนขึ้นในขณะที่กำลังเถียงเรื่องไล่นิลกับเขตน์ออกจากวัง

“เดี๋ยวนี้ลูกกล้าเถียงแม่รึตากร!” หม่อมแม่แสดงท่าทีวิตกชัดเจน
หากเรื่องนี้ถึงตำรวจ พวกมันต้องสาวถึงต้นตอเจอแน่ ซึ่งเธอจะไม่ยอมให้เรื่องเป็นแบบนั้นเด็ดขาด

เพราะคนที่สลับสับเปลี่ยนแก้วน้ำผลไม้ในวันนั้นคือเธอเอง

“ผมไม่ได้เถียง ผมเพียงแต่พูดเรื่องจริง เกิดเหตุใหญ่ถึงกับจะฆ่าแกงกันในบ้าน แต่แปลกนะครับ” ก่อนจะจ้องไปที่นัยน์ตาเลิ่กลั่กของมารดา
“ไม่มีใครแจ้งตำรวจกันสักคน”

เท่านั้นเสียงกระแทกไม้เท้าของผู้เป็นบิดาก็ดังลั่นเรือน พร้อมกับลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าลูกชายไม่รักดีคนนี้ที่คิดเข้าข้างคนอื่นมากกว่าพ่อแม่

“นี่อย่าบอกนะว่าแกหลงอีนังคนใช้นั่นเข้าให้แล้ว คิดว่าฉันดูไม่ออกหรือว่าแกรักมัน! มันพูดอะไรแกคงเชื่อไปหมด!”
“ครับ ผมเชื่อว่านิลไม่ได้เป็นคนแบบนั้น และเธอก็เล่าให้ผมฟังหมดแล้วว่าเรื่องที่ธนารถตกหน้าผาไม่ใช่อุบัติเหตุ” เพียงเท่านั้นใบหน้าของผู้เป็นบิดาก็ถอดสี

“คุณพ่อทำอย่างนี้กับเพื่อนผมได้ยังไง เขาเป็นสหายคนเดียวที่เชื่อใจไว้ใจผมมาตลอด...”

สุดท้ายกลับเป็นเขาและครอบครัวที่ทรยศเพื่อน
“ไหนจะยาพิษนี่อีก คนที่เคยทำงานในรั้วในวัง มีหรือจะไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นยาพิษ ถึงเนตรจะไม่โดนสารพิษร้ายแรง แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นยาพิษ คนทำก็จิตใจโหดเหี้ยมแล้ว” หม่อมกรพูดอย่างไม่ไว้หน้า

“ตากร!”

“ทำไมครับ ผมพูดอะไรผิดหรือหม่อมแม่ถึงได้โกรธ หรือว่าหม่อมแม่เป็นคนทำ”
สิ้นคำนั้นคนเป็นแม่ก็อึกอักไปต่อไม่ถูกทันที แววตาเลิ่กลั่กฉายออกมาจนปิดไม่มิด

“หม่อมแม่จริงๆ ด้วย” หม่อมกรพึมพำเบาๆ แค่นหัวเราะทั้งที่หยดน้ำตากระทบพื้น

“ผมจะพานิลกับลูกเธอออกจากวังนี้ไปก็ได้...” หม่อมเช็ดน้ำตาลวกๆ ต่อจากนี้ไปเขาจะเข้มแข็ง

ไม่หัวอ่อนให้ใครโขกสับชีวิตกันอีกแล้ว
“แต่ผมก็จะพาลูกเทียของผมออกจากที่นี่เช่นกัน”

“ตากร! ไม่ได้! แกจะออกไปไหนไม่ได้! แม่ไม่ให้ไปเด็ดขาด!”

คนเป็นแม่หน้าถอดสีทันทีที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทำท่าทางเหมือนจะตัดขาดกัน

“ทำไมครับ คุณแม่กลัวว่าตัวทำเงินอย่างลูกชายคนนี้จะไม่ส่งเสียเลี้ยงดูพ่อแม่อีกแล้วหรือ”
หม่อมกรพูดประชดออกมาอย่างตั้งใจ ข่มความกลัวทั้งหมดไว้ ต่อจากนี้ไปจะไม่มีหม่อมกรแสนขลาดเขลาคนนั้นอีกแล้ว

เขาทำคนอื่นเจ็บมามาก ถึงคราวที่ต้องชดใช้ให้นิลกับเขตน์เสียที

“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ เพราะผมจะไม่ส่งเสียอะไรให้อีกแม้แต่สตางค์แดงเดียว”

“แกหมายความอย่างไรตากร!” ผู้เป็นพ่อเอ่ย
ตะคอกขึ้นมาทันที

“ที่ดินเขาใหญ่ของธนายังเป็นชื่อผม...” สองมือของผู้เป็นบิดาเย็นเฉียบ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ลูกตัวเองกำลังจะพูดต่อไปนี้

ไม่นะ ที่ดินเขาใหญ่ของเขา ที่ดินตรงนั้นมันล้ำค่ายิ่งที่ชีวิตของใครอีกหลายๆคนที่สูญเสียไป

“และผมจะไม่มีวันยกมันให้ใครในตระกูลสิบทิศเด็ดขาด”
“แกมันลูกเนรคุณ ไอ้ลูกชั่ว กล้าหือกับฉันเหรอ ฉันเป็นพ่อแกนะ“

“ถ้างั้นนับจากนี้ก็ตัดขาดกันเลยแล้วกัน” คนเป็นพ่อลมแทบจับเมื่อได้ยินคำนั้น แต่ทว่าอคติมันมีมากกว่า

“หึ! แกคิดว่าฉันไม่กล้าเรอะ! ถ้าแกเอาที่ดินผืนนั้นไป แกกับฉันตัดขาดกัน นามสกุลสิบทิศและยศทุกอย่างถอดมันมาคืนฉันให้หมด”
“คุณพี่!”

คนเป็นแม่เอ่ยห้าม แน่นอนว่าเรื่องเงินมันก็สำคัญ ทว่าหน้าตาทางสังคมก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลย หากคนนอกรู้เข้าว่าคนในตระกูลสิบทิศแตกคอกันด้วยเรื่องผัวๆ เมียๆ และยังเรื่องที่ดินอะไรนี่อีก

เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

แถมนรินทร์ก็เป็นหลานคนเดียวที่เธอทั้งรักทั้งหวง
ราวกับหม่อมกรอ่านใจแม่ของตัวเองได้ เพียงแค่อ้าปากก็เห็นถึงลิ้นไก่ลึกไปไหนต่อไหน

“หม่อมแม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ต่อให้ผมออกจากตระกูลนี้ไป ก็จะไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน”

อย่างน้อยคนตระกูลนี้ก็ให้กำเนิดเขามา เลี้ยงดูอบรมให้การศึกษาจนมีงานการดีถึงทุกวันนี้

“ตากร นี่แกเอาจริงรึ-
ทำไมต้องทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก เราอยู่กันดีๆ ไม่ได้หรือไง ก็แค่ไล่อีคนใช้สองแม่ลูกนั่นไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”

“แต่คนที่หม่อมแม่กำลังจะไล่เขา คือเหยื่อที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนวางยาพิษ แถมยังเสียสามีไปเพราะครอบครัวเราเป็นคนทำ” หม่อมกรทนไม่ไหวแล้ว พอกันทีกับคนไร้สำนึก
ต่อให้คนตรงหน้าเป็นผู้ให้กำเนิด แต่ถ้ามีผู้ให้กำเนิดแบบนี้เขาขอไม่มีเสียจะดีกว่า!

นี่สินะ ที่เรียกว่าครอบครัวไม่ได้เป็นที่พักพิงทางใจสำหรับลูกทุกคนได้ ไหนจะคิดไม่ตกว่าหากนรินทร์ยังอยู่ที่วังนี้ต่อจนเติบใหญ่ นิสัยของลูกเขาจะเปลี่ยนไปในแง่ไหน

แน่นอนว่าคงไม่ใช่แง่ดี
เขาไม่อยากให้ลูกเติบโตมาเป็นอย่างเขาอีกแล้ว

“ถ้างั้นก็ไปเลย! ถ้ากล้าก็ลองดู นับจากที่แกเก็บกระเป๋าก้าวออกจากวังนี้เมื่อไร เราขาดกัน อย่ามาเหยียบที่นี่ให้ฉันเห็นหน้าแกอีก ฉันจะถอดยศลูกแกออกด้วย ครอบครัวแกจะไม่มีวันได้ใช้นามสกุลสิบทิศอีก แม้นในวันที่ฉันสิ้นใจก็ไม่ต้องมาเผาผีกัน!”
นับจากวันนั้น กระเป๋าสัมภาระทุกอย่างของหม่อมกรและครอบครัวถูกย้ายออกไปบ้านหลังเล็กอีกหลังที่หม่อมกรเคยซื้อเก็บไว้

เนตรที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล พอได้ทราบเรื่องทั้งหมดก็รับไม่ได้ที่บุคคลที่แสนเคารพรักดั่งแม่ หลอกวางยาพิษตนเพียงเพื่อต้องการโบ้ยความผิดไปให้นิล

เธอร้องไห้อย่างหนัก
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้รักฉันตั้งแต่แรกที่เข้ามาอยู่ในวังหลังนี้ ตอนนี้หากเธออยากจะแยกตัวไปฉันก็จะไม่ว่า ฉันจะให้สิทธิ์เธอเป็นคนตัดสินใจ”

หม่อมกรกล่าวกับคุณหญิงเนตรอย่างรู้สึกผิด

“ส่วนลูก ฉันจะเป็นคนดูแลเอง เธอไม่ต้องห่วง” เพียงเท่านั้นเนตรก็จัดการเก็บเสื้อผ้าในห้องของเธอกับลูก
ใส่กระเป๋า สั่งให้คนงานแบกมันขึ้นรถไปบนรถคุณชายกร

ไม่มีหม่อมกรคนนั้นอีกแล้ว เหลือเพียงแค่คุณชายเท่านั้น

“ฉันมีความคิดเรื่องหย่าอยู่ประการหนึ่ง”

คุณหญิงเนตรเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา เธอรับไม่ได้กับครอบครัวของผู้เป็นสามี อีกอย่างเธอก็ไม่ได้มีใจรักคุณชายกรอย่างที่ว่าจริงๆ
กระนั้นเธอก็ห่วงลูก นรินทร์เป็นลูกชายคนเดียว แถมหลังจากที่เธอกลับมาขากโรงพยาบาลก็เห็นสภาพจิตใจของลูกที่ย่ำแย่ ทำตัวก้าวร้าว ไม่ยอมพูดกับบิดา

แถมวันนี้ที่ต้องก้าวขาออกจากวังหลังนี้ยังกรีดร้องโวยวาย พูดอย่างเดียวว่าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นเธอถึงตัดสินใจแล้วว่า-
“ต่อให้เราสองคนจะหย่ากัน ฉันจะขออยู่ที่บ้านหลังนั้นกับคุณชายจนกว่าลูกของเราจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้น”

ยอมแลกกับอิสระที่คนหย่าร้างกันพึงมี

“แล้วนิลกับเขตน์เล่า สองคนนั้นจะไปอยู่กับเราด้วยหรือไม่คะ” เนตรถามด้วยความสงสัย

นั่นทำให้คุณชายกรพรูลมหายใจยาว เอ่ยเสียงเครียด
“นรินทร์ไม่ยอม แถมยังก้าวร้าวใส่นิลกับเขตน์อย่างหนัก ฉันหมดปัญญาแล้ว” คุณชายกรทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหัวสมอง

หลังจากคืนที่นรินทร์เห็นเขาเดินเข้าห้องนิลไป นรินทร์ก็พูดจาก้าวร้าวใส่สองแม่ลูกคู่นั้นแทบจะตลอดเวลาที่เห็นหน้ากัน

“คนดีคะ”

“ออกไป อย่ามาแตะต้องตัวฉัน ไอ้ขี้ครอก!”
ลูกเขาเอาคำพูดพวกนั้นมาจากไหน ขี้ครอกบ้าง คนใช้บ้าง สารเลวบ้าง คำพูดพวกนี้ไม่น่าจะออกมาจากความคิดของเด็กวัยแปดขวบได้เลย

“แกทรยศฉัน แกสัญญาว่าจะอยู่ข้างฉัน ฮึก..”

“พี่ขอโทษคนดี...” เขตน์เอ่ยเบาๆ ด้วยความรู้สึกผิด

“อย่ามาเรียกฉันด้วยคำนั้น คนใช้อย่างแกไม่มีสิทธิ์เอ่ยมันออกมา!”
หลังจากนั้นเขตน์ก็โดนแกล้งที่โรงเรียนสารพัด เขาเฝ้าอดทนอดกลั้น เพราะคิดว่าน้องรินก็แค่โกรธเคืองกัน

ไม่เป็นไร พี่เขตน์คนนี้ทนได้

จ๋อม!

“อุ๊ย หนังสือเรียนของแกตกน้ำเสียแล้วสิ ทำยังไงดีนะ” นรินทร์แกล้งยื้อยุดฉุดกระเป๋าอีกคนออกมา เทของในนั้นออก ก่อนจะปาหนังสือลงแม่น้ำหลังโรงเรียน
ยิ้มเยาะสะใจที่เห็นอีกคนหน้าซีดเผือด มองดูหนังสือเรียนของตัวเองจมหายไปกับแม่น้ำ

“ลงไปเก็บมันสิ”

“ครับ?” แม่น้ำตื้นก็จริง แต่เย็นเฉียบเช่นนั้น แถมยังเป็นตอนเช้าตรู่ที่เขายังใส่ชุดนักเรียนอยู่แบบนี้ ใครจะกล้าลงไปงมมันขึ้นมา

“ฉันสั่งให้ลงไปงมมัน ลงไป!” เขตน์จะกล้าขัดได้หรือ
เขตน์กลั้นใจข่มความเจ็บช้ำ เขารักน้องรินสุดหัวใจ แต่ใยน้องรินถึงทำกันถึงขนาดนี้

สุดท้ายคนพี่จะกล้าขัดคำสั่งคุณชายนรินทร์ได้หรือ เพราะเขาเองก็รู้สึกผิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ว่าตัวเองกับแม่เป็นคนทำให้ครอบครัวอีกคนแตกแยก

คุณชายกรกะบคุณชายนรินทร์ถูกถอดยศก็เพราะเขากับแม่
สองเท้าแตะลงบนผิวน้ำที่เย็นยะเยือกทีละนิด ร่างกายสั่นเทาด้วยความหนาว ควานหาหนังสือเล่มนั้นจนเนื้อตัวเปียกปอนไปหมด

แต่อีกคนทำเพียงแค่ยืดกอดอก มองดูผลงานของตัวเองด้วยความพอใจ

เกือบยี่สิบนาทีที่เขตน์ควานหาหนังสือเรียนที่พอยกขึ้นเหนือน้ำก็กลายเป็นเพียงเศษกระดาษยุ่ยๆ ที่ใช้การไม่ได้
“มองหนังสือเล่มนี้ของแกไว้ แล้วจำไว้ซะ ถ้าแกไม่ออกจากโรงเรียนนี้ไปมันก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆนั่นแหละ”

“ทำไมคนดีถึงต้องทำกับพี่ขนาดนี้ด้วย” เขตน์ตัดพ้อด้วยความเจ็บช้ำ

“ไม่มีคนดีของแกอีกแล้ว คนดีคนนั้นตายไปตั้งแต่คืนนั้น” นรินทร์เม้มปากแน่น

“คืนที่แกทิ้งอีกคนไว้ในห้องนอนคนเดียว”
หลังจากนั้นเขตน์ก็ไม่เอ่ยคำว่า ‘คนดี’ หรือแทนตัวเองว่า ‘พี่เขตน์’ อีก

ไม่มีอีกแล้ว เรื่องระหว่างเรา

“ผมขอลาออกจากโรงเรียนนี้ได้ไหมครับคุณชาย” เขตน์เอ่ยขึ้นคืนก่อนที่คุณชายกรจะย้ายบ้าน

“อะไรกัน ทำไมล่ะ” คุณชายไม่เคยรู้เรื่องนรินทร์ทำกับเขา และเขาก็ไม่อยากจะบอกให้ใครได้รับรู้
ทำได้เพียงแค่หาข้ออ้างโง่ๆ เท่านั้น

“คุณชายกำลังจะย้ายออกจากเรือนนี้ ผมกับแม่ก็กำลังจะถูกไล่ออกด้วย เลยไม่อยากเป็นภาระคุณชายอีกแล้วครับ”

“แล้วจะไม่เรียนหนังสือรึไง” คุณชายกรถามด้วยความไม่เข้าใจ

“แม่ฝากมาบอกว่าคงไม่รบกวนคุณชายอีกแล้วครับ ส่วนเรื่องที่คุณชายจะให้พวกเราไปอยู่-
ด้วยที่บ้านหลังใหม่ ผมกับแม่ขอปฏิเสธ” นั่นทำให้คุณชายกรเครียดหนัก

“เพราะลูกชายฉันใช่ไหม นรินทร์ทำอะไรนาย บอกฉันมา” เขาเห็นสีหน้าของเขตน์ก็รู้ได้เลยทันที เด็กคนนี้อ่อนไหวกับเรื่องๆ เดียว

เรื่องของนรินทร์

“เปล่าครับ คุณรินเธอไม่ได้ทำอะไรผม” คำสรรพนามใหม่ทำให้คุณชายกรเลิกคิ้วขึ้น
คุณริน?

เขตน์เรียกลูกของเขาว่าคุณรินตั้งแต่เมื่อไรกัน

“แล้วจะไปอยู่ไหน ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเป็นคนผิด เรื่องนี้นายกับนิลไม่ได้ผิดเลย ฉันเสียอีกที่ต้องชดใช้”

“อดีตมันผ่านไปแล้วครับ ผมกับแม่ไม่ติดใจอะไรอีก” เขตน์คิดตามที่พูดจริงๆ

เขากับแม่อยากปล่อยวาง พอกันแค่นี้
“แล้วฉันล่ะ จะให้ฉันทนมองเห็นคนที่ครอบครัวตัวเองทำร้ายเขาไว้จนตกระกำลำบาก แถมต้องทนไม่ดูดำดูดีพวกเธออีกหรือ ฉันทำไม่ได้หรอก”

แค่นี้ก็รู้สึกแย่จนคิดอยากตายแทนธนาไปหลายๆ รอบ เผื่อมันจะพอชดใช้ให้กันได้บ้าง

ทั้งที่รู้ว่าชีวิตเขาคงไม่มีค่าพอที่จะทดแทนสิ่งที่นิลต้องสูญเสีย
“ถ้างั้นก็เอาที่ดินของพ่อนายคืนไป ฉันจะเซ็นยกกลับให้นิลทั้งหมด” เท่านั้นเขตน์ก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ทำไม สิ่งนั้นควรเป็นของเธอกับแม่ตั้งแต่แรก มันไม่ใช่ของฉันเลยสักนิด”

“ถึงจะเอามาคืน ผมกับแม่ก็ไม่มีปัญญาดูแลมันอยู่ดีครับ ที่ดินแปลงนั้นควรได้อยู่กับคนที่คู่ควรอย่างคุณชาย-
นั่นถูกต้องที่สุดแล้ว”

คุณชายกรนั่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ

“เช่นนั้นถ้าไม่อยากให้ฉันเซ็นคืนที่ดินให้กับนิล พวกเธอก็ต้องยอมให้ฉันรับผิดชอบชีวิตทั้งหมด ตราบจนวันสุดท้ายของลมหายใจ”

“แต่ว่า”

“แลกเอา ถ้าไม่งั้นฉันจะหยิบโฉนดที่ดินแล้วเราสองคนไปที่เขตด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย”
สิ้นคำนั้นเขตน์จึงจำต้องรับข้อตกลงนั้นไว้แบบที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

คุณชายกรยอมรับข้อตกลงที่เขากับนิลจะไม่ยอมไปบ้านหลังใหม่ด้วยกัน ทว่าคุณชายกรก็ยังใจดีหาห้องหับราคาดีให้อยู่ แถมค่าห้องรวมถึงค่าน้ำค่าไฟอะไรต่างๆ ก็ไม่ต้องจ่าย

“ฉันจะให้เงินเดือนนาย เอาไปจับจ่ายซื้อของและอาหาร-
ถ้าไม่พอก็ติดต่อมาหาฉันได้เสมอ ส่วนเรื่องโรงเรียนนายก็ลองหาที่ที่คิดว่าดีแล้วกัน ไม่ต้องเกรงใจ ฉันจะออกให้ทั้งหมด”

“แต่มันเกินไป ผมกับแม่คงรับไม่ไหว ผมจะลองหางานทำดู” นั่นทำให้คุณชายกรต้องกำชับเขตน์อีกระลอก

“ไหนเราตกลงกันแล้วว่าจะให้ฉันดูแลนายกับนิล-
อีกอย่างเด็กวัยอย่างนายควรมีหน้าที่เรียนหนังสือ หากไม่อยากให้แม่ลำบากก็ต้องตั้งใจเรียนจบสูงๆ เข้าใจที่ฉันพูดไหม”

หลังจากนั้นเขตน์กับมารดาก็ใช้ชีวิตแบบที่หากไม่จำเป็นก็จะไม่ติดต่อฝ่ายนั้น

หลีกเลี่ยงไปเจอหน้าคุณหญิงเนตรแม้นเธออยากจะมาหากันสักเท่าไร
อีกทั้งรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่เจอหน้าคุณชายนรินทร์ที่เอาแต่พูดจาเสียดสีแทงใจดำกัน

แต่ทำไมกัน หัวใจไม่รักดีของเขตน์ดวงนี้จึงไม่ยอมตัดใจจากอีกคนสักที

และยังหวังลมๆแล้งๆ ว่าสักวันนรินทร์จะยอมฟังความจริงจากปากของเขา

ทั้งที่รู้ว่าไม่มีหวัง แม้จะผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหน
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งเขตน์เติบใหญ่ พร้อมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอย่างเต็มตัว

ทว่าวันที่ประกาศผลสอบผ่านมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดัง กลับเป็นวันเดียวกับที่เขาได้รู้ข่าวร้าย

แม่ที่เจ็บออดๆแอดๆ มาหลายเดือนแต่ไม่ยอมไปโรงพยาบาลจนกระทั่งวันนี้

ที่หมอตรวจเจอเนื้อร้ายตรงไขสันหลัง
“อย่าบอกให้คุณชายกรเธอรู้ได้ไหมลูก แม่ขอ” คนเป็นแม่เอ่ยขึ้น เช็ดน้ำตาให้ลูก เป็นครั้งแรกนับจากเหตุการณ์สามีเสีย เธอไม่เคยเห็นลูกชายร้องไห้เลย

เขตน์กำลังจะเสียแม่ไปอีกคน เขากำลังจะอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ ไม่มีใครอีกแล้ว

“แต่ถ้าไม่บอก เราจะเอาเงินที่ไหนรักษา ผมยอมเห็นแก่ตัว-
ผมไม่อยากเสียแม่ไป ผม...ฮึก...”

ใช่ เขตน์ยอมเห็นแก่ตัว ทำยังไงก็ได้เพื่อที่จะเอาเงินมารักษาแม่ และคุณชายกรเป็นที่พึ่งเดียว

ที่พึ่งสุดท้ายที่เขามี

“เขตน์ เราเอาจากเขามาเยอะแล้วลูก มันคงถึงคราวเคราะห์ที่แม่ต้องไป” คนเป็นแม่ยิ้มให้กันช้าๆ กอดปลอบลูกชายไว้ในอ้อมอกเหมือนเคย
“เด็กดีของแม่ แม่ขอโทษที่คงไม่มีโอกาสได้เห็นลูกใส่ชุดครุยดังที่หวัง แต่ขอให้ลูกรับรู้ไว้ว่าแม่จะอยู่ในใจของลูกเสมอ”

เขตน์ร้องไห้อย่างที่ไม่เคยคิดว่าผู้ชายคนหนึ่งจะอ่อนแอได้ขนาดนี้

“เขตน์เป็นคนเก่ง จงเข้มแข็งและใช้ชีวิตต่อไปให้มีความสุข แม่รักและภูมิใจในตัวลูกเสมอ คนเก่งของแม่”
เขตน์ใช้ชีวิตหนึ่งปีสุดท้ายของแม่ หมดไปกับการปรณนิบัติดูแล ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่คนเป็นลูกจะตอบแทนให้แม่ได้

ใช้เวลาอยู่กับแม่ให้นานและคุ้มค่าที่สุด จวบจนกระทั่งวันสุดท้ายที่แม่จากไปอย่างสงบบนเตียงผู้ป่วย

คืนนั้นเขตน์ยังคงเช็ดตัว กอดและจูบขมับคนเป็นแม่ บอกรักอยู่อย่างนั้น
ทั้งที่รู้จากคุณหมอแล้วว่าแม่คงไม่อยู่รอดถึงวันพรุ่งนี้

ทันทีที่เสียงเตือนแจ้งว่ามารดาไร้ซึ่งลมหายใจไปแล้ว เขตน์ก็ยืนยิ้มรับความจริงทั้งน้ำตา

อย่างน้อยแม่ของเขาก็จากไปอย่างไม่ทุกข์ทรมาน เธอนอนยิ้มจับมือลูกชาย หลับตาและไปอย่างสงบ

“ผมขอให้แม่มีความสุขอยู่บนนั้นกับพ่อนะครับ”
งานศพของแม่จัดขึ้นที่วัดเดิม ศาลาเดียวกับงานของพ่อธนาที่จัดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนบนเขาใหญ่

เขตน์ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น เพราะรู้ว่าแม่คงอยากอยู่เคียงข้างพ่อแบบนี้ตลอดไป

ในงานไม่มีแขกเหรื่อท่านใดนอกจากเขา เพราะเขากับแม่ไม่มีญาติที่ไหน จะมีก็แต่กลุ่มเพื่อนมัธยมกับมหาลัยที่แวะเวียน-
มาแสดงความเสียใจ แต่ก็ไม่มากนัก

เขตน์ยังคงนั่งจ้องกรอบรูปที่มีใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารักสุดหัวใจ

รูปถ่ายใบเดียวที่แม่มี และเป็นใบที่พ่อธนาเป็นคนถ่ายให้กับมือ

แม่ของเขาสวยเหลือเกิน สวยที่สุด

ทันทีที่นั่งยิ้มให้กับกรอบรูปนั้นทั้งน้ำตา ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามา-
ด้วยจังหวะเร่งรีบ เสียงลมหายใจที่สะดุดราวกับคนสะอื้นเป็นระลอกจำให้เขตน์ต้องหันไปมาผู้มาเยือนใหม่คนนั้น

“นิล...” คุณชายกรแทบทรุดลงไปกับพื้น หลุดเสียงสะอื้นที่กลั้นไว้แทบไม่ไหว

ทำไมถึงไม่บอกกัน ทำไมถึงเลือกที่จะจากกันไป ทำไมถึงไม่รับความช่วยเหลือจากเขา
คุณชายกรได้แต่โทษตัวเอง ทันทีที่ได้รู้ข่าวจากเขตน์ ว่าได้สูญเสียแม่ตัวเองไปอย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว

ถึงจะช้าไปแต่ก็ต้องบอก อย่างไรเสียคุณชายกรก็เป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่จำเป็นต้องรับรู้ข่าวนี้

ด้านข้างของคุณชายขนาบด้วยคุณหญิงเนตรที่ใส่ชุดดำเต็มยศ คุกเข่าร้องไห้มองกรอบรูปแม่เขา
“นิล ฉันขออโหสิกรรมให้เธอ ขอให้เธออโหสิกรรมให้พวกฉันด้วย” คุณหญิงเนตรพูดทั้งน้ำตา

เรื่องระหว่างเราแม้จะแตกร้าวเกินกลับไปแก้ไข แต่เธอก็ยังรู้สึกผิดกับมันตลอด และต่อจากนี้ไปเธอขอให้นิลจากไปอย่างสงบสุข

ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไรอีกแล้ว

“ให้อภัยฉันด้วย ฉันทำผิดต่อเธอ ทำผิดต่อธนา...”
คุณชายกรคุกเข่าร้องไห้อย่างที่เขตน์เองก็ไม่เคยเห็นสภาพนี้ของอีกคนมาก่อน

“ฉันขอโทษ ทุกอย่างเป็นเพราะฉัน เพราะฉะนคนเดียว” ก่อนจะพูดความในใจทั้งหมดออกไป

“ฉันรักเธอนิล ฉันรักเธอ” ทว่าเขตน์กลับไม่ติดใจอะไรมันอีก

ทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว แม่ของเขาพ้นทุกข์พ้นกรรมเสียที
ในขณะที่คุณชายกรได้แต่โทษตัวเองที่ไม่เอะใจให้มากกว่านี้ หากเขาใส่ใจนิลเพัยงสักนิด

ไม่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง หรือมัวคอยตามใจลูกชายที่นิสัยเสียเข้าไปทุกวัน

เขาคงช่วยนิลได้ทัน และนิลคงไม่จากไปกะทันหันแบบนี้

อีกแล้ว เขามันเลว มันผิดพลาดซ้ำๆจนไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ
กระดูกของแม่ถูกลอยอังคารที่สถานที่เดียวกับพ่อ จากนี้ไปจะไม่มีใครมากั้นขวางความรักของทั้งสองคนได้อีก

เขตน์ยิ้มบางๆ ให้กับความคิดนั้น

“ขอให้มีความสุขนะครับ ผมรักพ่อกับแม่เสมอ”

จากนั้นเขตน์ก็กลับไปเรียนหนังสืออย่างหนัก ตั้งใจจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ให้ได้ เขาเรียนให้จบเพื่อแม่
ให้แม่กับพ่อที่อยู่บนสรวงสวรรค์ได้เห็นเขาใส่ชุดครุยเต็มยศอย่างภาคภูมิใจ

“จำที่ดินที่ธนาเคยปลูกกุหลาบได้ไหม” คุณชายกรเอ่ยขึ้นหลังจากแวะมาเยี่ยมเยียนกัน

“หลังจากที่ธนาจากไปก็ไม่มีใครเพาะปลูกมันขึ้นมาใหม่ได้อีก และมันคงถึงเวลาแล้ว...” ก่อนจะยื่นสมุดเล่มเก่าๆ ให้คนตรงหน้า
“ที่ที่ดินตรงนั้นควรจะได้รับการดูแลจากใครสักคน” และในทันทีที่สมุดถูกเปิดออก เขตน์ก็จำได้ในทันที

ลายมือของพ่อเขา กับการจดงานวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับสายพันธุ์กุหลาบที่ปลูกขึ้นเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน

“ที่ดินตรงนั้นมีเรือนของพ่อนายอยู่” คุณชายกรเอ่ยอย่างเหม่อลอย
“ที่นั่นฉันไม่เคยให้ใครได้เข้าไปนอกจากทำความสะอาด เพราะฉะนั้น...” คุณชายกรตลไหล่อีกคนเบาๆ

“ธนากำลังรอให้นายกลับไปอยู่นะ เขตน์”

กลับไปปลูกกุหลาบอีกครั้งน่ะหรือ เขาจะมีเหตุผลอะไรที่จะกลับไปปลูกมันให้ความทรงจำเลวร้ายกลับมาทำร้ายกันอีก
แต่สุดท้ายเขตน์ก็นั่งรถขี้นไปยังเขาใหญ่ในรอบหนึ่งปีหลังจากแม่เสีย เดินเข้าไปยังพื้นที่รกร้อฃจรงนั้นที่เหลือเพียงเรือนไม้หลังเดียวอย่างที่คุณชายกรว่าไว้จริงๆ

พลันความทรงจำบางอย่างที่ตั้งใจลืมมันไปแล้ว กลับแจ่มชัดในโสตประสาทอีกครั้ง

ภาพที่แม่ช่วยพ่อทำไร่ พ่อนั่งยิ้มหัวเราะกับเขา
มองภาพต้นไม้พืชพรรณแต่ละต้นที่ปลูกด้วยกัน

“เขตน์แปลว่าที่ดินเกษตร พ่อตั้งชื่อลูกไว้เช่นนี้เพราะอยากให้ลูกเกิดมาเจริญงอกงาม ดั่งต้นไม้ใหญ่ที่ดูแลพื้นที่ไร่ของเรา”

เขตน์ในวัยเด็กนั้นยังคงไม่เข้าใจ ทว่าในตอนนี้มันกระจ่างชัดทุกอย่างแล้ว

เขาคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่
พลันภาพความทรงจำบางอย่างเข้ามาแทรกในหัวสมองโดยไม่รู้ตัว

ภาพของเด็กน้อยคนหนึ่งที่ยืนชี้ดอกกุหลาบใหญ่ที่พ่อของเขาปลูกไว้เป็นครั้งแรก

‘สวยจัง มันคืออะไรเหรอ’

‘เขาเรียกว่าดอกกุหลาบครับ’

‘กุหลาบ รินชอบดอกกุหลาบ’

‘ถ้างั้นพี่จะปลูกให้ทั้งไร่เป็นกุหลาบทั้งหมดเลยดีไหมครับ’

‘อื้อ!’
ไม่อยากนึกถึงแต่ภาพมันก็ปรากฏขึ้นจนได้

และยังเป็นแรงบันดาลใจอันแรงกล้าที่ทำให้เขตน์คนนี้กลับมาปลูกดอกกุหลาบบนไร่ที่เหือดแห้งแห่งนี้อีกครั้ง

เพราะนรินทร์ หัวใจดวงนี้ไม่เคยปฏิเสธนรินทร์ได้เลย
.
.

“ไม่จริง...” นรินทร์ร้องไห้จนใบหน้าแดงก่ำเมื่อได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่าง
ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อกับแม่เล่าเรื่องอะไรเหล่านี้ให้ฟัง ทว่าตอนนั้นเขากลับเลือกเชื่อหม่อมปู่หม่อมย่าสุดใจ

เพราะคิดว่าพวกท่านไม่น่าทำกับคนในครอบครัวเดียวกันได้ลงคอ

ทว่าเมื่อได้อยู่ที่ไร่กุหลาบ ได้มีโอกาสใกล้ชิดและเห็นความจริงใจของอีกคนมากขึ้น

นรินทร์ก็หลั่งน้ำตาจนแทบหายใจไม่ออก
จะมีทางไหนบ้างที่จะได้เขตน์กลับคืนมา นรินทร์คนนี้รู้ว่าไม่มีสิทธิ์เพราะตัวเองและครอบครัวทำกับอีกคนไว้หนักหนาสาหัสเหลือเกิน

เขายอมทุกอย่างแล้ว ยอมให้ใครๆ ชี้หน้าด่า หัวเราะใส่ว่าสมควรแล้วที่โดนทิ้ง

แต่หากมันทำให้เขตน์กลับมาหากัน เขายินดียอมทุกอย่าง ปลดศักดิ์ศรีที่แบกอยู่บนบ่า
ร่างโปร่งหยิบซองเอกสารทั้งหมดจากมือบิดามากอดไว้ ร้องห่มร้องไห้โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

พลันได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งดังออกมาจากซองเอกสาร ให้นรินทร์ต้องผละมันออกมาเปิดดูข้างในอีกครั้ง

แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นอะไรบางอย่างที่คุ้นตา

กำไลข้อมือที่เขาเคยอยากได้เมื่อตอนไปตลาดนัด
กำไลนี้เขตน์เป็นคนซื้อให้เขาหรือ

ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ เป็นเพราะเขาแท้ๆ ที่ปล่อยให้เรื่องบานปลายแบบนี้

“สามปีได้ไหม” นรินทร์พูดขึ้นช้าๆ ด้วยเสียงแหบแห้ง พานให้คุณพ่อสงสัยในประโยคนั้น

“หากภายในสามปีเขตน์ไม่กลับมา รินจะยอมเซ็นใบหย่าให้ ส่วนเอกสารเซ็นยกที่ดินผืนนี้รินขอไม่เซ็น...”
เขาไม่สมควรเป็นเจ้าของไร่กุหลาบนั้น ไม่สมควรย่างกรายเข้าไปเหยียบยำด้วยซ้ำไป

“แล้วพ่อจะไปตกลงกับเขตน์ได้ยังไง สามปีไม่ใช่เวลาน้อยๆ เลยนะลูก ลูกต้องคิดถึงอีกคนที่เขาต้องใช้ชีวิตต่อไปด้วยนะ ถ้ายังต้องพ่วงสถานะแบบนี้เขตน์อาจลำบาก”

“ฮึก...รินจะพยายามตามหาเขตน์ รินจะพยายาม”
นรินทร์ยื้อทุกวิถีทางเพื่อที่จะไม่ให้เรื่องระหว่างตัวเองกับเขตน์สิ้นสุดลง จนคนเป็นพ่อได้แต่สงสาร ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง

ลูกเขาทั้งคน ทำไมจะไม่อยากเข้าข้าง เขาน่ะอยากได้เขตน์มาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวอยู่แล้ว

แต่ตัวเขาเองก็ทำกับครอบครัวฝ่ายนั้นไว้เยอะ จะมีหน้าที่ไหนไปต่อรองเขตน์
เรื่องหาตัวเขตน์น่ะไม่ยากสำหรับคนอย่างคุณชายกรหรอก แต่เขาไม่อยากทำแบบนั้นอีกแล้ว

ไม่อยากบังคับใจเขตน์ให้กลับมา ถึงแม้ลูกเขาจะเจ็บปวดทรมานเพราะพิษรักแค่ไหนก็ตาม

เพราะเขารู้ว่าเขตน์เจ็บหนักกว่า และคงทนไม่ไหวถึงได้ตัดสินใจไปโดยไม่บอกลาลูกเขาเช่นนี้

“เข้าใจแล้ว ถ้าไม่ไหวก็พอนะลูก”
คนเป็นพ่อคิดแบบนั้น สักวันหนึ่งถ้ารินทนรับความเจ็บปวดนี้ไม่ไหว คงจะถอดใจไปเอง

สามปีจะถึงไหมเขายังไม่รู้เลย ลูกของเขาอาจเลือกหยิบเอกสารพวกนั้นขึ้นมาเซ็นในวันถัดไป อาทิตย์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า หรืออีกสองปีก็ได้ใครจะรู้

“ขอบคุณคุณพ่อที่เข้าใจริน ขอบคุณจริงๆ” นรินทร์กอดพ่อทั้งน้ำตา
หลังจากนั้นนรินทร์ตัดสินใจแล้วว่าตัวเองจะไม่เดินทางกลับกรุงเทพฯไปพร้อมกับพ่อ

“แน่ใจแล้วเหรอลูก” คนเป็นพ่อเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“รินคงไม่กลับไปอยู่กรุงเทพฯแล้ว ตอนนี้รินรู้แล้วว่าควรต้องไปอยู่ที่ไหน” ไม่มีคุณชายนรินทร์คนเดิมอีกต่อไป นาทีนี้เขาขอไปตั้งหลัก แล้วทำสิ่งที่ควรจะทำ
หลังจากที่คุณชายกรนั่งปลอบโยนลูกเกือบทั้งวัน นรินทร์ก็ค่อยๆ สงบขึ้นแต่ก็ยังมีสะอื้นอยู่บ้าง สีหน้ายังคงเศร้าสร้อย ซึ่งเรื่องอย่างนี้เขาเข้าใจดีว่าลูกต้องการเวลา

ไม่มีใครทำใจรับความจริงได้ในวันเดียว

นรินทร์ต้องแบกรับเรื่องราวที่เขาเล่าออกมาทั้งหมด ไหนจะเรื่องที่เขตน์ขอหย่าอีก
ถ้าไม่ติดว่ายังมีงานที่กรุงเทพฯให้ต้องสะสาง เขาก็อยากจะอยู่ดูแลลูกที่นี่สักพัก

“ให้แม่มาอยู่ด้วยดีไหมลูก จะได้ไม่เหงา” คนเป็นพ่อถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“คุณพ่ออย่าตามใจรินอีกเลย ทำอย่างนี้รินจะโตขึ้นได้ยังไง รินไม่ใช่เด็กๆที่พ่อแม่ต้องตามประคบประหงมอีกแล้วนะ” เขาอยู่ได้จริงๆ
“ถ้างั้นก็ตามใจ เอาเป็นว่าแม่กับพ่อจะแวะมาเยี่ยมเรื่อยๆแล้วกัน” ก่อนที่จะลุกขึ้นเตรียมเดินลงจากเรือน

“ถ้าคุณพ่อแวะมาเมื่อไร ไม่ต้องมาที่ไร่องุ่นนี้นะครับ” นรินทร์พูดทิ้งท้ายพลันให้คนเป็นพ่อหันกลับไปมองด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

“ถ้าจะมาเยี่ยม ให้ไปที่ไร่กุหลาบ รินจะย้ายไปอยู่ที่นั่น”
หลังจากที่คุณชายกรแวะมาเยี่ยมวันนั้น ผ่านไปสามวันที่นรินทร์ร้องไห้ จะหลับก็หลับไม่ลง เพียงแค่เปลือกตาปิดลงเท่านั้นความทรงจำเลวร้ายในอดีตที่เขาเคยทำให้อีกคนเจ็บช้ำก็ตามมาหลอกหลอน

แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ต่อให้จิตใจย่ำแย่แค่ไหนเขาก็จะสู้ จะเอาเขตน์กลับมาให้ได้

ทว่ามันไม่ง่ายเลย
ร่างโปร่งแบกกระเป๋าตัวคนเดียวมาที่ไร่กุหลาบที่จากมาเกือบสองสัปดาห์ ทันทีที่สองเท้าก้าวขึ้นเรือน คนงานที่ชะโงกหัวเดินตามมาติดๆ ก็พูดแทรกขึ้น

“กลับมาทำไม!” พานให้นรินทร์แทบใจหาย

“เพราะคุณนายใช่ไหม นายเขตน์ถึงทิ้งพวกเรา เป็นเพราะคุณนาย!” นรินทร์ยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่คนงานพูด
แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกไป แม่ครัวที่ยังเห็นใจนรินทร์อยู่บ้างก็รีบช่วยถือกระเป๋าพยุงอีกคนขึ้นเรือน

“ขึ้นไปก่อนเถอะจ่ะคุณนาย เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง” แม่ครัวบอกเพียงเท่านั้นแล้วก็ตะโกนไล่เหล่าคนงานออกไปให้พ้นหน้าเรือน

“เกิดอะไรขึ้น” หลังจากเก็บกระเป๋าร่างโปร่งก็รีบถามขึ้นทันที
“คุณนายรู้จักคุณทิมใช่ไหมจ๊ะ” แม่ครัวถามกลับอย่างลังเลใจ

“ใช่ ทำไมเหรอ”

“นายคนนั้นเพิ่งถูกจับข้อหาโกงที่ดินทำกินชาวบ้าน แถบไร่เราโดนกันเกือบหมด คนงานแต่ละคนโดนกดขี่ โดนพาไปขายตามชายแดนด้วย” สิ้นคำนั้นร่างโปร่งก็ตกใจจนสะดุ้งทันที

“ก่อนหน้านั้นพวกคนงานเห็นคุณนายสนิทกับคุณทิม-
ประสบกับที่นายเขตน์หายไป แถมมีข่าวแว่วๆ ว่านายเขตน์ยกที่ดินให้คุณนายและจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว คนงานเลยคิดว่าคุณนายต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณทิมอะไรนี่แน่ๆ เพราะตอนมันถูกจับ มันสารภาพหมดว่ามีแผนอะไรบ้าง หนึ่งในนั้นคือฮุบไร่กุหลาบของเรา”

นรินทร์ลมแทบจับ
นี่เขาเกือบพาไร่กุหลาบและคนงานทุกคนไปตายหรือนี่ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าวันนั้นตัวเองเซ็นเอกสารพวกนั้นลงไป ป่านนี้พวกคนงานจะมีชีวิตอยู่อย่างไร คงไม่พ้นถูกจับไปขาย และไร่กุหลาบแห่งนี้ก็คงไม่เหลือ

“แล้วทำไมเธอถึงช่วยฉันล่ะ ทำไมถึงไม่ไล่ฉันออกจากไร่เหมือนคนงานพวกนั้น”
“ฉันอยากฟังคำตอบจากปากคุณนายมากกว่า ฉันรู้ว่าคุณนายไม่ได้ใจดี แต่ก็ไม่ใจร้ายถึงขนาดทำร้ายคุณเขตน์กับพวกเราหรอก”

ลึกๆ เธอรู้ว่าคุณชายนรินทร์อ่อนข้อลงมาก ต่างจากวันแรกที่เจอกัน และไอ้คุณทิมนั่นคงเข้ามาหลอกคุณนายของเธอมากกว่า

เพราะหากมันจริงใจอย่างปากว่า มันคงเข้าหานายเขตน์ก่อน
นี่มันคงเห็นว่าคุณนายไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพื้นที่ไร่นี้เท่าไร เลยคิดว่าหากเข้าทางคุณนายคงจะง่ายกว่าน่ะสิ แม่ครัวคิดในใจ

“ขอบใจนะที่ยังเชื่อใจกัน จริงๆ เขาบอกแค่ว่าอยากร่วมลงทุนส่งออกพวกสบู่กุหลาบ ขยายสินค้าสู่ตลาดใหญ่ แต่พอเห็นว่าเขาอยากทำเป็นโรงงานอุตสาหกรรม ฉันเลยปฏิเสธไป”
นรินทร์พูดตามความจริง นั่นทำให้แม่ครัวพยักหน้าเข้าใจในทันที

“ถ้างั้นก็ตรงกับข่าวที่ออกนั่นแหละจ่ะ เห็นตำรวจว่ามันใช้วิธีหลอกล่อแนวเดียวกันกับทุกไร่ พวกโลภมากเห็นว่าน่าจะได้เม็ดเงินดีก็เลยตกหลุมพรางไปตามกัน”

เท่านั้นนรินทร์ก็อดใจหายไม่ได้ ดีนะที่เขานึกเป็นห่วงคนงานมากกว่าเงินทอง
เขายังจำคำที่เขตน์พูดได้ดีว่ามนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะต่ำสูงหรือเป็นเพียงคนงานระดับล่าง ทุกคนล้วนเท่าเทียมกันหมด

ดังนั้นในวันที่ทิมเข้ามาเสนอให้ใช้แรงงานคนในไร่เยี่ยงทาส เขาจึงคิดตงิดในใจว่ามันไม่น่าใช่เรื่องที่ดีแล้ว

ทว่ายามนี้คนงานทั้งไร่ล้วนเข้าใจเขาผิดไปกันหมด
และนี่คืออุปสรรคแรกที่เขาต้องเผชิญมันไปให้ได้ จะทำอย่างไรให้คนงานกลับมาเชื่อใจกัน

เพราะถ้าคนงานแตกแยกกันไปหมด ไร่แห่งนี้ก็จะดูแลยากลำบากขึ้น การตามหาเขตน์ก็จะยากขึ้นด้วยเพราะเขาคงไม่มีเวลา และไม่ได้เก่งพอที่จะดูแลทุกคนในไร้ได้ดีเหมือนเขตน์

แต่เขาต้องทำเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
เผื่อใครบางคนที่อาจมีเสี้ยววินาทีที่คิดถึงกัน หันกลับมามองกัน จะได้เห็นว่านรินทร์คนนี้ทำได้แล้วนะ

น้องรินคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว

และนั่นอาจทำให้อีกคนเปลี่ยนใจกลับมาหากันก็ได้

แต่มันไม่ง่ายเลย

“นี่มันอะไร” นรินทร์ถามขึ้นเมื่อคนงานจำนวนหนึ่งยืนอออยู่หน้าเรือน ยื่นซองเอกสารปึกใหญ่-
“พวกฉันมาลาออก ถ้าที่นี่ไม่มีนายเขตน์อยู่ พวกฉันก็จะไม่อยู่” คนงานคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ซึ่งมันทำให้นรินทร์หน้าซีดทันที

“เดี๋ยวสิ ถ้าพวกนายออกไปกันหมดแล้วจะไปทำอะไร หากไร่ขาดคนดูแลแล้วจะทำยังไง”

“พวกฉันจะไปอยู่ไร่อื่น หากคุณนายยังอยู่ที่นี่ก็จะไม่มีพวกฉัน...”

ไม่มีใครยอมรับเขาสักคน
“พวกนายเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณทิมอะไรนั่นเลย” นรินทร์รีบพูดขึ้น

“พวกฉันจะเชื่อใจคนกรุงเทพฯได้เหรอ คุณนายทำวิธีไหนมาล่ะถึงได้มาเป็นเจ้าของไร่กุหลาบแทนเจ้านายพวกฉัน ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่าทำไมจู่ๆ นายก็มีเมียทั้งที่ไม่มีแม้แต่งานแต่ง-
แถมตอนมาอยู่ใหม่ๆ ก็ไม่ได้ทำตัวเหมือนรักเจ้านายฉันเลยสักนิด คุณนายคิดจะปอกลอกไร่นี้แล้วไสหัวนายเราออกไปใช่ไหม”

นั่นทำให้คนฟังน้ำตาคลอเบ้า รับรู้แล้วว่ากรรมตามสนองนั้นเป็นอย่างไร

หากเราไม่มีความจริงใจให้คนอื่นตั้งแต่แรก ทุกการกระทำนั้นพวกเขาล้วนดูออก

มันก็สมควรแล้วที่ถูกเกลียด
ร่างโปร่งรู้ซึ้งแล้ว ว่าการถูกด่าทอด้วยคำพูดรุนแรง หรือแม้แต่การดูถูกศักดิ์ศรีของคนอื่นมันเจ็บปวดเช่นไร

เขาผิดเอง ไม่คิดโทษหรือโกรธคนงานที่พูดออกมาแบบนั้น เพราะมันล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ความจริงที่เขาต้องยอมรับ

ว่าคนที่ไร่แห่งนี้ไม่ต้อนรับเขาอีกต่อไป

“ให้โอกาสฉันได้ไหม-
ให้ฉันได้แก้ตัว ฉันรู้ว่าฉันผิดที่เคยดูถูกพวกนาย ดูถูกคนที่ต่ำกว่า และฉันจะไม่ทำมันอีกแล้ว”

นรินทร์พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมาก ขอร้องแบบที่ถ้าพวกคนงานบอกให้เขากราบกรานกันต่อหน้า เขาก็พร้อมที่จะทำ

“มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะคุณนาย ในเมื่อนายเขตน์ไม่อยู่แล้ว...” ใจนรินทร์แทบสลาย
“พวกฉันมีเจ้านายคนเดียวคือนายเขตน์ นอกนั้นฉันไม่ถือว่าเป็นเจ้านาย” คนงานปฏิเสธเสียงแข็งก่อนเดินออกจากหน้าเรือนไป

ทิ้งให้คนที่ยืนขอร้องกันตัวแข็งทื่อกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาแบกรับมัน

คนงานในไร่หายไปเกินครึ่ง และนั่นทำให้นรินทร์อยู่อย่างยากลำบาก
เพราะคนงานที่เหลือก็ไม่ได้เต็มใจอยากอยู่ เพียงแต่ไม่มีที่ไปเท่านั้น

“หน่อง เธอช่วยฉันสอนวิธีการแตกหน่อกุหลาบนี่ได้ไหม”

นรินทร์ปั้นหน้ายิ้มให้ได้มากที่สุด ไม่ให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองกำลังทุกข์ ลงทุนใส่เสื้อผ้าและบู๊ทเก่าๆ กับหมวกฟางขาวกันแดด สองมือถืออุปกรณ์ที่เลอะดิน-
เดินทำงานตามคนงานอื่นๆ อย่างไม่รังเกียจ แม้จะโดนคนงานเมินใส่ก็ตาม เขายังคงปาดเหงื่อเดินตามต้อยๆ เนื้อตัวเลอะคราบดิน บางมื้อก็ไม่ได้กินข้าว

เพราะไม่มีคนงาน เขาจึงต้องทำทุกอย่างเองให้เป็น

จะมีก็แต่หน่องที่ยอมปริปากพูดด้วยนิดหน่อย แต่ก็ไม่กี่คำเท่านั้น ทว่าก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
นรินทร์นั่งทานมื้อเย็นคนเดียวด้วยน้ำตาแทบจะทุกวัน มันเหนื่อยไปหมด ที่นี่ไม่มีใครเห็นใจเขาเลยสักคน

ทุกคนล้วนทิ้งเขาให้เผชิญความลำบาก ชีวิตของคุณชายอย่างเขาไม่เคยต้องทำอะไรแบบนี้เลย

ชีวิตที่ไม่มีใครเข้าข้าง ต้องอยู่แบบโดดเดี่ยวเดียวดาย นั่นคือสิ่งที่นรินทร์กำลังชดใช้ให้กับเขตน์
ผ่านไปสองเดือน จากคุณชายที่ผิวเนียยนขาวผ่องราวกับไม่เคยผ่านความยากแค้นมาก่อน

กลายเป็นว่าสองมือของนรินทร์หยาบกร้านจากการทำงานอย่างหนัก เนื้อตัวไม่ขาวเป็นใยบัวอย่างแต่ก่อน

เสื้อผ้าราคาแพงที่เคยใส่ถูกเปลี่ยนเป็นแต่เสื้อเก่าๆ ที่เขตน์เคยซื้อให้ และอีกหลายตัวที่อาศัยซื้อตามตลาดนัด
ไร่กุหลาบขาดทุนอยู่อย่างนี้ แค่เงินเดือนจะจ่ายคนงานเขายังแทบต้องควักเนื้อตัวเอง

สุดท้ายก็ต้องวานให้คนเป็นพ่อช่วยเหลือ

“ลูกแน่ใจแล้วเหรอว่าจะขายของในห้องทิ้งทั้งหมด”

ปลายสายเอ่ยถามเพราะของแบรนด์เนมในห้องนอนลูกมีมากมายเหลือเกิน ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และอีกสารพัด
“ของวางอยู่แบบนั้น ยังไงรินก็ไม่ได้ใช้ แต่คนงานในไร่ตอนนี้กำลังลำบาก รินต้องช่วยพวกเขาก่อน”

“ลูกไหวไหม พ่อบอกแล้วไงว่าถ้าไม่ไหวให้บอกพ่—“

“เราไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว รินบอกพ่อแล้วว่ารินจะจัดการด้วยตัวเอง” เขาไม่อยากรับความช่วยเหลือจากใครอีก ต่อให้ลำบากแค่ไหนเขาขอสู้ด้วยตัวเอง
“คุณนายจ๊ะ แย่แล้ว! พายุฝนชะล้างหน้าดินกุหลาบเสียหมดเลย! เราจะเอาอะไรไปส่งขายเขา!”

หน้าฝนในปีแรกที่เขตน์จากไป ไม่มีคนงานเพียงพอที่จะดูแลกุหลาบทำให้ทุกอย่างเสียหายไปหมด

หน้าฝนนั้นไร่กุหลาบคุณชายกรขาดทุนย่อยยับ นรินทร์นั่งร้องไห้อย่างคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต

ไม่มีเงินเหลือแล้ว
แต่เช้าวันใหม่นรินทร์ก็ยังคงสู้ ถึงแม้จะรู้ว่ามีโอกาสที่ไร่แห่งนี้จะปิดตัวลง

“เดือนนี้ฉันมีเงินให้พวกเธอคนละเท่านี้จริงๆ หากพวกเธออยากลาออกไปทำที่อื่น ฉันก็เข้าใจ” นรินทร์ก้มหน้าปาดน้ำตาลวกๆ ไม่ให้คนงานเห็น

ทว่าสิ่งที่ทำให้น้ำตาและเสียงสะอื้นดังขึ้นมาคือคำพูดของคนงานเหล่านั้น
คนงานยามนี้เริ่มเห็นถึงความจริงใจ และความพยายามของเขาที่จะพยุงไร่แห่งนี้ให้ถึงที่สุด ยอมอดมื้อกินมื้อเพื่อที่จะให้คนงานได้กินก่อน

“เงินเดือนๆนี้พวกฉันขอไม่รับ พวกฉันยังมีพืชผักในสวนที่ยังพอจิ้มกินกับข้าวได้ คุณนายเก็บมันไว้เถอะ เก็บไว้ใช้ยามจำเป็น พวกฉันรู้ว่าคุณนายลำบาก”
นั่นทำให้นรินทร์มีกำลังที่จะฮึดสู้ต่อกับพวกคนงานอีกครั้ง ยอมคลุกดินคลุกทรายจนเนื้อตัวสกปรก เพื่อทำให้ไร่กุหลาบที่เสียหายจากพายุฝนฟื้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ใหม่

หน้าฝนผ่านไป กับการล้มลุกคลุกคลานของคุณชายนรินทร์ที่หากคนในกรุงเทพฯที่รู้จักเขาหรือคนสนิทมาเห็นคงจำกันไม่ได้
คนงานบางส่วนที่เคยขอลาออกกันไป ยามนี้เริ่มเห็นแล้วว่าคุณนายของไร่กุหลาบคุณชายกรเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ก็เริ่มทยอยขอกลับมาทำงานอีกครั้ง

“คุณนายยังไม่ต้องให้เงินเดือนฉันเท่าเดิมก็ได้ ฉันรู้ว่าคุณนายกำลังลำบาก” นรินทร์เข้าใจแล้วว่าสิ่งใดสำคัญกว่าเงินทอง

คนงานพวกนี้ไม่ได้ต้องการแค่เงิน
หากแต่เป็นความจริงใจและความรักที่มีให้ผืนไร่นาและอาชีพของพวกเขาเหล่านี้ ยอมเข้าใจและเอาใจเขามาใส่ใจเรา

ยอมเหนื่อยไปด้วยกัน นั่นคือสิ่งที่คนงานต้องการ

บางทีการทำงานนั้นไม่ใช่แค่เจ้านายเลือกลูกน้อง แต่ลูกน้องก็อยากอยู่ทำงานกับเจ้านายที่จริงใจกับพวกเขาเช่นกัน

นรินทร์คิดได้แล้ว
หนึ่งปีผ่านไปกับการฟื้นฟูไร่กุหลาบที่ขาดทุนจนเกือบจะต้องขายที่ดินทิ้ง แต่นรินทร์ก็ยังยืนหยัดที่จะสู้ต่อ

เขาขายมันไปไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าคุณค่าของที่ดินผืนนี้ไม่อาจตีค่าออกมาเป็นราคา อีกอย่างไร่นี้ก็ไม่ได้เป็นของเขา

ใช่ นรินทร์ไม่เคยเซ็นยินยอมเป็นเจ้าของไร่นี้อย่างสมบูรณ์
เพราะลึกๆตัวเองกำลังรอคอยให้เจ้าของที่แม้จริงกลับมา และตัวเขาไม่ได้มีค่าพอที่จะรับสิ่งมีค่านี้เก็บไว้กับตน

นรินทร์ยังคงใช้ชีวิตต่อไปบนไร่กุหลาบผืนนี้ กิจวัตรประจำวันก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิมถึงแม้ผลประกอบจะเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ทว่านรินทร์ก็ไม่เคยประมาท

ยังคงนั่งพรวนดินอยู่ทุกวัน-
ผสมปุ๋ยที่ทำจากมูลวัวควายอย่างไม่เคยนึกรังเกียจถึงแม้ว่ามันจะเหม็นสาบแค่ไหน คนงานทำได้ทำไมเขาจะทำไม่ได้ล่ะ

แต่อย่างน้อยการที่คนงานทยอยกลับมาช่วยกันก็ทำให้นรินทร์มีเวลาพักให้ได้หายใจหายคอมากขึ้น

ก่อนหน้านั้นแม้แต่เวลาป่วยเขายังต้องลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อทำงานต่อในวันรุ่งขึ้น
หากคนงานยังลำบากมำงานตัวเป็นเกลียว เขาจะอยู่เฉยไม่ทุกข์ร้อนได้ยังไงกัน เขาต้องเข็มแข็งเพื่อเป็นผู้นำ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยู่ในไร่นี้

ไร่กุหลาบค่อยๆ กลับมาโตขึ้นเรื่อยๆ นรินทร์ก็เริ่มคิดแผนที่จะให้อีกคนกลับมา ใช่แล้ว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ในใจของนรินทร์ยังคงมีเขตน์ตลอดมา
และเขารู้ว่าหากขอร้องคนเป็นพ่อสักนิดให้ช่วยตามหา ช่วยขอใ้ห้อีกคนกลับมาหากัน มันแค่ง่ายนิดเดียว

แต่นรินทร์ไม่ทำ

เขาไม่อยากบังคับจิตใจเขตน์อีกแล้ว หากเขตน์จะกลับมา ก็อยากให้มาเพราะตัวเขาเอง ให้อีกคนได้เห็นว่าคุณชายนรินทร์คนนี้สำนึกผิดแล้ว

และจะไม่มีทางกลับไปทำร้ายเขตน์อีก
เสียงกำไลข้อมือลายดอกกุหลาบสีแดงเรียกความสนใจจากนักยูทูปเบอร์ชื่อดังที่คุณชายนรินทร์จ้างให้มาสัมภาษณ์และช่วยทำคอนเท้นต์โปรโมทไร่กุหลาบให้นักท่องเที่ยวกลับมาสนใจใหม่อีกครั้ง

“กำไลสวยจังเลยค่ะคุณชาย ไม่เคยเห็นจากที่ไหนเลย”

หญิงสาวนักยูทูปเบอร์เอ่ยขึ้นขณะที่กล้องยังคงแพลนมาที่เขา
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจากคุณชายที่เพียบพร้อม เวลาออกงานต่างๆเสื้อผ้าหน้าผมต้องเนี้ยบและดูดี มีบอดี้การ์ดติดตามตัวตลอดเวลา จะกลายเป็นคนธรรมดาที่ตอนนี้ใส่แค่เสื้อเชิ้ตขาว กางเกงยีนส์สีเข้ม รองเท้าผ้าใบธรรมดา กับทรมผมที่แทบเรียกว่าไม่ได้เซ็ตอะไรเลย แถมยังใส่หมวกฟางเก่าๆ อีก
มันเปลี่ยนไปจนนักยูทูปเบอร์และเหล่าทีมงานที่รู้จักชื่อเสียงคุณชายดีได้แต่ยืนอุ้งเมื่อก้าวเข้ามาที่ไร่นี้ครั้งแรก

ใช่คุณชายนรินทร์จริงๆ เหรอ

“ไม่ต้องเรียกเต็มยศขนาดนั้นก็ได้ครับ เรียกว่ารินเฉยๆ ก็พอ” นรินทร์ยังคงยืนให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีสบายๆแถมยังยกน้ำเสิร์พทีมงานทุกคนด้วยรอยยิ้ม
ให้ตายเหอะ นี้คุณชายนรินทร์จริงๆ หรือเนี่ย

หญิงสาวนักยูทูปเบอร์เอ่ยขึ้นในใจเป็นครั้งที่ร้อยของวัน

“กำไลนี้สามีของผมซื้อให้ครับ”

“สามี? คุณชาย เอ่อ คุณรินมีสามีแล้วเหรอคะ หยกไม่ยักรู้” เป็นครั้งแรกที่เธอได้รู้ว่าคนตรงหน้าแต่งงานแล้ว แต่งตั้งแต่เมื่อไรกันไม่เคยเห็นมีข่าวเลย
แถมยังยืนยิ้มพูดออกมาเหมือนไม่ได้จะปิดบังอะไร ซ้ำยังเต็มใจให้ทุกคนได้รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่โสดอีกต่อไปแล้ว

เหมือนตั้งใจประกาศสถานะตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

“ครับ สามีผมเป็นเจ้าของไร่นี้”

“เอ๊ะ เดี๋ยวนะคะ แสดงว่าที่ไร่เปลี่ยนชื่อจากคุณชายกรเป็น ‘ไร่กุหลาบคุณเขตน์’ นี่หมายความว่า-
ไร่นี้เป็นชื่อของสามีคุณรินเหรอคะ”

“ครับ จริงๆ ไร่นี้ไม่ใช่ของคุณพ่อผมด้วย แต่เป็นของสามีผมตั้งแต่แรก ที่เขาตั้งชื่อคุณพ่อเพราะอยากให้เกียรติท่าน” เกียรติที่นรินทร์รู้ดีว่าครอบครัวเขาไม่สมควรได้รับแม้แต่น้อย

“ถ้างั้นสามีคุณรินอยู่ไหนคะเนี่ย ชวนเขามาสัมภาษณ์ด้วยกันน่าจะดีนะคะ”
สิ้นคำนั้นนรินทร์ก็หน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด จนหญิงสาวเริ่มรู้ตัวว่าพูดอะไรผิดไป และเธออาจจะซวยเพราะเคยรู้กิตติศัพท์ของคุณชายนรินทร์ดี

ว่าอย่าได้ไปมีเรื่องกับคุณชายจอมวีนเหวี่ยงคนนี้เชียว

“อะเอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ หยกต้องขอโทษด้วยที่ละลาบละล้วงคุณชายจนเกินไป-
เอาเป็นว่าเราไปเดินชมไร่นี้กันดีกว่าเนอะ” หญิงสาวรีบส่งซิกให้เหล่าทีมงานแพนกล้องออกจากหน้าคุณชายไป จากนั้นก็ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำสีหน้าแบบนั้น ผมไม่ได้ออกสื่อแบบนี้มานานแล้ว ก็เลยทำตัวไม่ถูก”

ผิดคาดไปอีก เธอไม่คิดว่าจะได้ยินคำขอโทษ-
จากอีกฝ่ายที่ทุกคนต่างรู้ดีว่าช่างหยิ่งยโส และไม่เคยขอโทษใครก่อนไม่ว่าตัวเองจะผิดแค่ไหน

นั่นทำให้หลังจากคลิปนี้ถูกเผยแพร่ออกไป บนโลกโซเชียลต่างก็แสดงความคิดเห็นกันให้วุ่น กับเนื้อหาของคลิปและท่าทีของคุณชายที่ดูแปลกตา

จนเรียกได้ว่าต่างจากแต่ก่อนราวฟ้ากับเหว
พร้อมกับโพสต์ของหญิงสาวนักยูทูปเบอร์ที่ออกมายืนยันอีกว่าคุณชายนรินทร์ที่เห็นในคลิปน่ะไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ เธอเห็นกับตาตัวเองจริงๆว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปแล้ว

และเหล่าคนงานในไร่ก็รักและเอ็นดูคุณชายกันทุกคน

นั่นทำให้คนในโลกโซเชียลต่างสงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้คุณชายเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้
เท่านั้นยังไม่พอ เหล่าทีมงานยังลงคลิปเยื้องหลังที่ถ่ายเก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่คุณชายนรินทร์ลงมาเสิร์พน้ำกับอาหารด้วยตนเอง

ขอโทษขอโพยทีมงานที่ทุกครั้งที่ต้องถ่ายใหม่อีกรอบซ้ำๆ และอีกหลายอิริยาบถเพื่อยืนยันว่าคุณชายนรินทร์ในอดีตได้ตายจากทุกคนไปแล้ว

คนในโซเชียลต่างเดาไปต่างๆนานา
โดยเฉพาะช่วงหนึ่งของคลิปที่คุณชายนรินทร์ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข แม้ว่าแววตาข้างในก็ดูเศร้าสร้อยก็ตาม

เมื่อได้พูดถึงคนที่เป็นสามี

เท่านั้นแหละคนส่วนใหญ่ก็เริ่มตามหากันแล้วว่าสามีของคุณชายที่ชื่อเขตน์นี้คือใคร หน้าตาเป็นเช่นไร

ทำไมถึงชนะใจคุณชายจนถึงขนาดลงทุนเปลี่ยนแปลงตัวเอง
และเมื่อสังคมขุดคุ้ยจนถึงแก่นก็ได้รู้ความจริงบางส่วนว่าคนที่ชื่อเขตน์แท้จริงแล้วอดีตเคยเป็นลูกคนใช้ของตระกูลเก่าคุณชายกรที่ปัจจบุบันตัดขาดกันไปแล้ว

ยิ่งทำให้อึ้งเข้าไปใหญ่

คุณชายนรินทร์กับลูกคนใช้เนี่ยนะ มันจะเป็นไปได้หรือ ไม่ได้จะดูถูก แต่นิสัยอย่างคุณชายนรินทร์ที่ชอบเหยียด-
คนอื่น กลับยิ้มยอมรับอย่างเต็มใจว่าตัวเองมีสามีแล้ว และยอมให้ขุดคุ้ยประวัติว่าสามีเป็นใครมาจากไหนโดยไม่คิดปิดบังหรือรังเกียจแม้แต่น้อย

เท่านั้นความสงสัยก็เพิ่มขึ้นเข้าไปอีก เมื่อคนบางส่วนเริ่มรู้ว่าคนที่ชื่อเขตน์อะไรนี่ทิ้งไร่นี้ไปนานแล้ว

อีกทั้งขออีกคนหย่ามาเป็นปีแล้วด้วย
หมายความว่ายังไงกัน

หรือคุณชายนรินทร์กำลังหลอกตัวเองอยู่ หรือสติฟั่นเฟือนเพี้ยนไปแล้ว คิดว่าอีกคนยังรักกัน เลยทำตัวเหมือนรักกันดี ไม่ได้เป็นคนถูกทิ้ง

ช่างน่าสงสาร อีกใจก็สมเพช

บ้างก็สมน้ำหน้า ก็สมควรแล้ว อดีตเคยทำตัวทุเรศแบบนั้นจะโดนทิ้งก็ไม่แปลก มาทำดีตอนนี้ก็คงสายเกินไป
“ครับ เป็นจริงอย่างที่คนในโซเชียลลือกัน”

นรินทร์ฝืนยิ้นยอมรับต่อหน้ากล้องที่ยูทูปเบอร์อีกท่านหนึ่งมาทำคอนเท้นต์ เพราะเห็นว่าชื่อเสียงของไร่นี้เริ่มดัง ส่วนหนึ่งก็เพราะคนให้ความสนใจเกี่ยวกับข่าวของคุณชายท่านนี้ด้วย

“เขาขอหย่ามาเป็นปีแล้ว เพราะผมทำไม่ดีกับเขาไว้มาก มากจริงๆ”
“ผมจึงขอพื้นที่ของสื่อนี้ฝากไปถึงเขา หากเขายังดูอยู่ ผมอยากให้เขาให้โอกาสกันได้ไหม...”

นรินทร์กลืนก้อนสะอื้นลงคออย่างยากลำบาก ฝืนไม่ให้นำตาไหลรินออกมาต่อหน้ากล้อง

เขายอมแลกชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ของตัวเอง นอมให้ทุกคนรุมด่าว่าสมน้ำหน้าที่ถูกทิ้ง กล้าก้าวออกมาต่อหน้าสื่อ-
ยอมแลกกับทุกอย่างเผื่อว่าสื่อต่างๆ ที่ประโคมออกไปจะทำให้เขตน์ที่อยู่มุมใดมุมหนึ่งของโลกนี้ได้เห็น

ได้รับรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ยังยืนอยู่ที่เดิม

รออีกคนกลับมา

“ผ่านมาปีนึงแล้ว...และผมก็ยังรอ สัญญาไว้แล้วว่าครบสามปีถ้าเขาไม่กลับมา ผมก็จะเลิกหลอกตัวเอง” สุดท้ายก็หลุดสะอื้นจนได้
อีกสองปี หากเขตน์ไม่กลับมา นรินทร์ก็คงต้องทำตามที่พูดไว้

คือหยิบเอกสารใบนั้นขึ้นมาเซ็น ให้เขตน์ได้เป็นอิสระ

หลังจากคลิปใหม่ถูกเผยแพร่ออกไป บางส่วนก็กลับมาเห็นใจคุณชายมากขึ้น ไร่กุหลาบเริ่มกลับมามีชีวิตชีวา นักท่องเที่ยวที่กลับมาจากไร่ต่างรีวิวว่านอกจากไร่กุหลาบจะสวยงามขึ้น-
คุณชายนรินทร์ก็ยังใจดี คอยยิ้มต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยท่าทีนอบน้อม ไม่เย่อหยิ่งเหมือนดั่งแต่ก่อน

นั่นทำให้อีกหนึ่งปีที่ผ่านไป นรินทร์ที่คอยตามหาอีกคนโดยใช้พื้นที่สื่อโซเชียลเพื่อหวังว่าอีกคนจะมองเห็น

กลับได้รับกำลังใจและช่วยกันส่งต่อจนกระจายเป็นวงกว้าง

ทว่าเขตน์ก็ยังไม่กลับมา
"คุณนาย วันนี้จะมีทีมวิจัยจากอเมริกามาดูพันธุ์กุหลาบของไร่เรา อย่าลืมนะจ๊ะ"

เสียงคนงานที่เข้ามาแจ้งกันถึงหน้าเรือนตั้งแต่เช้าเอ่ยขึ้นในร่างโปร่งที่ทำงานจนไม่ดูเดือนดูเวลาเพิ่งนึกออก

สองเดือนก่อนหน้ามีอีเมลแปลกๆ ส่งตรงมาถึงเขาพร้อมกับเอกสารที่ยืนยันว่ามาจากสถาบันวิจัยพืชพรรณ-
นานาชาติ เห็นว่ากุหลาบจากไร่นี้เป็นพันธุ์พิเศษที่ไม่เหมือนกับพันธุ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย นั่นทำให้พวกเขาสะดุดตาและอยากขอเข้ามาศึกษาวิธืการปลูกและลักษณะพิเศษที่มีอยู่ในกุหลาบสายพันธุ์ที่มีชื่อว่า 'นรินทร์' นี้

คราแรกร่างโปร่งลังเลใจ เพราะพื้นที่ไร่แห่งนี้ไม่ใช่ของเขา
กระนั้นพอนึกอีกทีว่าสิ่งที่หม่อมธนาและเขตน์เคยค้นคว้าและตั้งใจปลูกมันออกมา ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งล้ำค่า

แล้วทำไมเขาจะต้องเก็บกักมันไว้กับตัวเองด้วย ในเมื่อมันสามารถเป็นความรู้ให้คนอื่นๆ ได้อีกเป็นร้อยเป็นพัน

และนั่นทำให้นรินทร์ตอบกลับอีเมลฉบับนั้นไป

จวบจนกระทั่งวันนี้
นรินทร์ไม่รู้ว่าทีมวิจัยนั้นจะมาตอนกี่โมง เพราะหลังจากสัปดาห์ก่อนที่ฝ่ายนั้นติดต่อกลับเรื่องวันที่จะเดินทางเข้ามา นรินทร์ก็ให้ที่อยู่ไปพร้อมถามว่าจะให้ไปรับที่สนามบินหรือไม่

กลับกลายเป็นว่าฝ่ายนั้นตอบเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆ ว่า

See you soon!

เท่านั้นเขาก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก
ร่างโปร่งไม่ได้แต่งตัวดูดีต้อนรับใครเป็นพิเศษ เนื่องจากทุกวันเป็นวันทำงานของเขา เพราะฉะนั้นนรินทร์จำเป็นที่จะต้องใส่ชุดทะมัดทะแมงพร้อมออกลุยทั่วทั้งไร่ได้ทั้งวัน

ดังนั้นวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาสวมเสื้อยืดกับเชิ้ตแขนยาวลายสก๊อตเก่าๆ กับกางเกงยีนส์และผ้าใบที่เขตน์เคยซื้อให้กัน
พร้อมกับเอาผ้าลายสกอ๊อตโพกหัวทับไว้หนึ่งชั้นเพื่อกันเหงื่อ จากนั้นจึงใส่หมวกฟางทับลงไปดังเช่นทุกวัน

พร้อมหยิบอุปกรณ์สำหรับพรวนดินและผสมปุ๋ยให้พร้อม วันนี้ทีมวิจัยจะมา ทุกอย่างจะต้องไม่ขาดตกบกพร่อง

เมื่อสำรวจดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไรก็สตาร์ทมอเตอร์ไซค์ออกลุยทันทีอย่างชำนาญ
ร่างโปร่งและคนงานก้มหน้าก้มตาตรวจดูวัชพืชและสำรวจกลีบกุหลาบแต่ละดอกอย่างตั้งใจ ก่อนจะเริ่มช่วยกันถอนวัชพืชต่างๆ จนแก้มใสทั้งสองข้างเลอะคราบดิน แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้มีทีท่าจะสนใจหรือปัดมันออก

เอาจริงๆ เขาไม่รู้ตัวมากกว่าว่ามีอะไรติดอยู่บนใบหน้าบ้าง

สองมือยังคงถือจอบ
เตรียมหน้าดินให้พร้อมสำหรับการลงเมล็ดพันธุ์ใหม่ในช่วงบ่ายวันนี้

เสียงรถยนต์คันหรูใกล้เข้ามาตรงบริเวณที่นรินทร์นั่งพรวนดินอยู่ เขาไล่เหล่าคนงานให้ไปทานข้าวกลางวันก่อน ตอนนี้จึงมีเพียงเขาคนเดียวที่ยังคงตะบี้ตะบันขุดหน้าดินอย่างตั้งใจ

จนไม่ได้ยินเสียงรถที่ดับเครื่องลงเมื่อสักครู่
"ฮาย ฮัลโหล สวัสดีค่ะ"

เสียงแหลมของหญิงสาวที่ดูเหมือนจะตะโกนใกล้เข้ามาทำให้นรินทร์ที่กำลังพรวนดินต้องชะงัก สองมือปาดเหงื่อหรี่ตามองผู้หญิงที่สวมสูทสีดำกับกางเกงแสล็ค ผมสีน้ำตาลอ่อน

ยิ่งเดินมาใกล้ๆ ยิ่งเห็นว่าหญิงสาวคนนี้ใบหน้าออกไปทางฝรั่งแต่ก็ยังมีความเป็นเอเชียผสม
กำลังเดินตรงมาทางเขาด้วยท่าทีเป็นกันเองแบบสาวชาวตะวันตกแท้ๆ

นั่นทำให้นรินทร์เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าสงสัยคงจะเป็นทีมวิจัยที่นัดกันไว้ว่าจะมาวันนี้

"อะ เอ่อ ฮาย" นรินทร์ตอบไปสั้นๆ แบบที่วางตัวไม่ถูก ไม่คิดว่าคนที่ติดต่อกันมาจะเป็นผู้หญิง แถมมาแค่คนเดียวเสียด้วย
ไหนบอกว่าเป็นทีมวิจัย ทำไมมาคนเดียว นรินทร์ถึงกับงง

แต่ก่อนที่จะพูดแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษใส่ก็ต้องชะงักเมื่อหญิงสาวกลับพูดภาษาไทยใส่กัน ถึงสำเนียงจะค่อนข้างแปร่งแต่มันทำให้เขารู้ว่าเธอน่าจะเป็นลูกครึ่งไทยแน่นอน

"ฉันชื่อเจสสิก้าค่ะ เรียกเจสเฉยๆก็ได้" หญิงสาวยิ้มด้วยท่าทีสบายๆ
พร้อมกับยื่นมืขึ้นมารอเช็คแฮนด์ ทำให้ร่างโปร่งที่ถือจอบแถมมือสองมือยังเลอะคราบดินดำๆ มองมือเรียวสวยของหญิงสาวด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ

เขากลัวมืออีกฝ่ายจะสกปรกมากกว่า ไม่ใช่ว่าไม่มีมารยาทหรอก

"โอ้ว ลืมไปเลย คนไทยไม่ชอบแตะตัวกันใช่ไหม ฉันไม่ถือค่ะ" ก่อนจะกระซิบหยอกล้อแบบชาวฝรั่ง
ก่อนจะโชว์หลังมือด้านซ้ายที่มีแหวนวงเล็กๆ บนนิ้วนางประดับอยู่

"I'm married" ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆให้คนที่ทำตัวไม่ถูก ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่

"เอ่อ คือมือผมเลอะก็เลย..."

"โอ้ว ซอรี่ค่ะ เจสไม่เห็น เอาเป็นว่าเราไหว้กันนะคะ" ก่อนจะไหว้มาทางเขาด้วยท่าทีเก้งก้าง

"มะ-ไม่ต้องครับ"
นรินทร์รีบส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเองออกไป

"ผมชื่อนรินทร์ เป็นคนดูแลไร่กุหลาบที่นี่ครับ คุณคงเป็นทีมวิจัยที่ติดต่อผมมา"

"เยส ใช่แล้วค่ะ ไร่ของคุณสวยกว่าในรูปมากๆ โซ อเมซิ่ง!"

"ขอบคุณครับ ว่าแต่คุณมาคนเดียวเหรอ ผมนึกว่าพวกคุณจะมากันเป็นทีมซะอีก"
พูดจบหญิงสาวก็ทำหน้ากลอกสายตาไปมาแกมรำคาญ พร้อมหันหน้ากลับไปทางรถของเธอที่ขับมา

"เฮ้ ฮันนี่! ยูโซเลท! เมื่อไรจะออกมาจากรถ คุณนะ-เอ่อ อะไรนะคะ"

"นรินทร์ครับ" ร่างโปร่งตอบอย่างกระอักกระอ่วน

"คุณนารินเขารอแล้ว เร็วเข้าที่รัก" จากนั้นร่างโปร่งก็ได้เห็นประตูรถคันนั้นถูกเปิดออก
พร้อมกับเงาของชายรูปร่างสูงโปร่งที่ค่อยๆ ก้าวออกมาจากรถ นรินทร์เห็นชายคนนั้นไม่ชัดนัก ทว่าเสื้อเชิ้ตขาวกับกางเกงแสล็คสีดำขลับให้อีกฝ่ายดูดีได้แม้ในระยะไกลจนที่ร่างโปร่งต้องหรี่ตามอง

ยิ่งเดินเข้ามาร่างโปร่งยิ่งเห็นว่าชายคนนั้นสวมแว่นกันแดดไว้ โดยรวมดูดีไม่น้อยเลยทีเดียว
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว

เสียงฝีเท้าที่ค่อยๆเดินเข้ามาหากัน ทำให้นรินทร์มองเห็นคนตรงหน้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะลักษณะการเดิน การแกว่งมือ หรือแม้แต่ใบหน้าที่ถูกปกปิดไว้ด้วยแว่นตาจนเห็นแค่ครึ่งเดียว

ทว่านรินทร์ยังคงจำได้ดี และมันแจ่มชัดเสียจน..

เคร้ง!

จอบในมือร่วงลงกับพื้น
พร้อมกับชายคนนั้นที่หยุดอยู่ตรงหน้าเขา ร่างกายของนรินทร์ชาวาบจนเริ่มสั่นเทิ้ม แต่ก่อนเคยคิดว่าหากอีกคนกลับมาหากันเขาจะพูดทุกอย่างในใจที่มี ไม่ให้อีกคนจากไปอีก

ทว่านาทีนี้กลับพูดอะไรไม่ออก หัวสมองพลันว่างเปล่า น้ำตาคลอเบ้าจนแทบจะร่วงหล่น

พร้อมกับนาทีที่ชายตรงหน้าถอดแว่นตากันแดด
เผยให้เห็นใบหน้าที่แม้จะผ่านมากี่ปีก็ยังเหมือนเดิม

แถมดีกว่าเขาในตอนนี้ที่เลอะไปด้วยคราบสกปรกไม่น่ามอง

นรินทร์จ้องไปยังนัยน์ตาของอีกคนด้วยความคิดถึง แต่กลับเหมือนว่าเราทั้งคู่ห่างไกลกันเหลือเกิน

ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองไหม ดวงตาคู่นั้นช่างว่างเปล่าจนแทบใจหาย

"สวัสดีครับ ผมเขตน์"
มือไม้ของนรินทร์สั่นเทาไปหมด น้ำเสียงทุ้มต่ำอันเป็นที่คุ้นเคยยามนี้กลับไม่คุ้นชิน กับคำพูดของอีกคนที่แนะนำตัวต่อหน้าเขาเสมือนเรื่องระหว่างเราไม่เคยเกิดขึ้นเลย

ที่ผ่านมาไม่เคยมีความหมาย

และตอนนี้เขตน์ก็กลายเป็นคนใหม่ ที่ไม่มีคนชื่อนรินทร์ในชีวิตอีกต่อไป

เสียงของนรินทร์ขาดหาย-
เขาไม่รู้ตัวตัวเองควรจะพูดอะไรออกไป จู่ๆ น้ำตามันก็ร่วงเผาะต่อหน้าคนทั้งสองพานให้หญิงสาวที่ยืนมองคนทั้งคู่ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจต้องตกใจเบิกตากว้าง

"Are you crying?!! คุณนารินเป็นอะไรคะ"

และนั่นทำให้ร่างโปร่งรู้สึกตัวได้ว่าตัวเองกำลังจ้องร่างสูงจนน้ำตาเอ่อไหลอย่างไม่รู้ตัว
ทว่าเขตน์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม นิ่งเสียจนนรินทร์ใจหาย

อุตส่าห์คิดและทำใจไว้แล้วว่าหากเขตน์กลับมาพร้อมกับใครอีกคน หรือกลับมาขอหย่ากกันต่อหน้า เขาก็คงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากเป็นคนถอยออกจากชีวิตเขตน์ไป

แต่พอต้องมาเจอกับสถานการณ์จริงๆ หัวใจของเขามันกลับแบกรับไม่ไหว

"ปะ-เปล่าครับ-
พอดีแดดมันแรงจนผมแสบตาเฉยๆ" ทำได้เพียงแก้ตัวโง่ๆ ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาของร่างสูงที่จ้องกันไม่หยุดตั้งแต่เดินเข้ามาหากัน

เขาไม่อยากมองหน้าอีกคนตอนนี้ หลายอย่างมันประดังประเดสับสนจนปวดหัวไปหมด

ไหนจะสถานะของหญิงสาวคนข้างๆ ที่เธอเพิ่งพูดออกมาว่าไม่โสดแล้ว ยิ่งทำให้นรินทร์เชื่อสนิทใจ
เขตน์ไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไปแล้ว

"แดดร้อนจริงๆ ด้วยค่ะ ถ้างั้นเราเข้าไปคุยที่อื่นกันดีไหม" หญิงสาวเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างชักอึมครึมแปลกๆ จึงรีบพูดอย่างตื่นเต้นด้วยท่าทีเป็นมิตร

"ถ้างั้น เอ่อ พวกคุณทานอะไรกันมารึยังครับ" นรินทร์เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก เอาแต่มองหญิงสาวข้างหน้า
"ดีเลยค่ะ พอลงจากสนามบินก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย" เจสเอามือกุมท้องเอ่ยเสียงทะเล้นอย่างน่ารัก ที่ทำให้นรินทร์นึกในใจว่าเธอช่างสดใสเหลือเกิน

เขตน์คงชอบผู้หญิงสดใจน่ารัก ต่างจากเขาที่มันช่างมืดมนแถมอดีตยังนิสัยไม่ดีเกินเยียวยาเสียด้วย

ร่างโปร่งพยักหน้าเบาๆ ทิ้งจอบไว้ตรงนั้น-
ก่อนจะเดินนำทางพาคนทั้งคู่ไปยังโรงอาหารใหญ่ที่คนงานบางส่วนทานกันไปเกือบหมดแล้ว

"นายเขตน์! นั่นนายเขตน์ใช่ไหมจ๊ะ!" คนงานกลุ่มหนึ่งที่สังเกตเห็นบุคคลหน้าคุ้นก็รีบกุลีกุจอเข้ามา ก่อนจะชะงักค้างเมื่อเห็นหญิงสาวชาวฝรั่งคนใหม่ที่เดินตามกันมาติดๆ

คุณนายคนใหม่หรือ?
แล้วคุณชายนรินทร์เล่า นายของเขาเอาคุณชายไปไว้ที่ไหน

"พวกเธอไปทำงานกันก่อน ฉันมีแขก แล้วก็เดี๋ยวเตรียมปุ๋ยกับเมล็ดพันธุ์นะ เดี๋ยวสักครู่ฉันจะลงไปหา" คนงานกลุ่มนั้นได้แต่เดินก้มหน้าออกไปเงียบๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคุณนาย

นี่นายเขตน์มีเมียใหม่หรือจริง

คุณนายช่างน่าสงสาร
ร่างโปร่งสำรวจหม้อข้าวและกับข้าวต่างๆ ที่ยังเหลือเยอะพอสมควร ทว่าก็เพิ่งนึกออกว่าอีกคนเป็นชาวต่างชาติ จะทานอาหารพวกนี้ได้ไหม

"คือผมไม่รู้ว่าพวกคุณยังไม่ได้ทานอะไรมา เลยไม่ได้เตรียมอาหารไว้ มีแต่อาหารไทยไม่ทราบว่าทานได้ไหมครับ" นรินทร์ยังคงไม่กล้าสบสายตาอีกคน เอาแต่มองหน้าหญิงสาว
ชาวฝรั่งสลับกับก้มลงมองพื้นด้วยท่าทีไม่มั่นใจเอาเสียเลย

"อาหารไทย! เจสไม่ได้ทานอาหารไทยนานมากเลย ยินดีมากค่ะ" เธอเอ่ยเสียงสดใสถึงแม้สำเนียงไทยจะแปร่งๆ ไปบ้าง

"ฮันนี่ ยูก็ไม่ได้ทานอาหารไทยนานแล้วนิ เห็นบ่นว่าอยากทาน"

ฮันนี่ ที่รัก...มันทำให้ลมหายใจเขาสะดุด
"อืม" เสียงทุ้มเอ่ยตอบเบาๆ นรินทร์ไม่รู้ว่าอีกคนยังคงจ้องกันอยู่ไหม คิดแค่ว่าไม่อยากอยู่เป็นส่วนเกินตรงนี้แล้ว จึงรีบเดินอาสาไปตักกับข้าวให้คนทั้งคู่

"คุณนาย..." แม่ครัวเอ่ยเสียงเบาด้วยความเป็นห่วง ลูบมือปลอบประโลมกัน

ซึ่งร่างโปร่งทำได้เพียงยิ้มตอบทั้งที่น้ำตายังคลอเบ้า
พร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ ให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาไม่เป็นไร

นรินทร์คนนี้ยังไหว

"ว้าว น่าทานมากเลยค่ะ" หญิงสาวลูกครึ่งฝรั่งเอ่ยเมื่อกับข้าวทุกคนถูกวางบนโต๊ะ พร้อมน้ำและข้าวสวยร้อนๆ หนึ่งโถ

"แกงเลียงนี้มันเผ็ดนิดนึงนะครับ ถ้าทานไม่ไหวก็ลองทานอันนี้ดู อันนี้เรียกว่าไข่พะโล้"
นรินทร์แนะนำเมนูตรงหน้าอย่างเป็นมิตร อย่างน้อยผู้หญิงตรงหน้านี้ก็ไม่ได้ทำอะไรเขา แถมยังเฟรนลี่ตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอกัน

ดังนั้นจึงไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่เขาต้องทำตัวไม่ดีใส่อีกคน ถึงแม้ข้างในจะรู้ว่าลึกๆ ผู้หญิงคนนี้อาจเป็นภรรยาคนใหม่ของเขตน์

ร่างโปร่งที่ยังไม่ได้ทานข้าวกลางวัน-
เหลือบสายตาเพียงเสี้ยววินาทีมองร่างสูงตักข้าวใส่ในจาน ตัวเองจึงเริ่มทานไปด้วย ตักแกงเลียงเข้าปากเงียบๆ

"ซี้ด! เผ็ดๆ แกงนี้เผ็ดจังเลยค่ะ" ร่างโปร่งที่เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ เมื่อเห็นอีกคนทำท่าเผ็ดจนหน้าดำหน้าแดงก็รีบรินน้ำใส่แก้วส่งให้อีกคนทันที

"คะ-คุณนารินทานเผ็ดเก่งจังเลยนะคะ"
"อ่อ เอ่อ ผมชินแล้วล่ะครับ ทานกับพวกคนงานบ่อยๆ" นรินทร์เผลอพูดออกมาเบาๆ ไม่ได้สังเกตุถึงสายตาของอีกคนที่จ้องมาเหมือนคนประมวลความคิดอะไรบางอย่าง

"ถ้าไม่ไหวก็ทานไข่พะโล้นี่ดูครับ แม่ครัวที่นี่ทำไข่พะโล้อร่อยมากเลย" ร่างโปร่งยิ้มตอบ ยื่นชามไข่พะโล้ไปตรงหน้า

"ไม่ทานเหรอครับ"
เสียงทุ้มที่หายไปนานเอ่ยขึ้นอีกแล้ว นั่นทำให้นรินทร์ยิ่งก้มหน้ามุด มองแต่จานข้าว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาเจ้าของเสียง

"คะ-ครับ?"

"ไข่พะโล้ มันเหลือฟองเดียวแล้ว ไม่ทานเหรอ" เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายพูดกับเขาด้วยประโยคยาว แต่น้ำเสียงก็ยังคงนิ่งเช่นเคย

นรินทร์ปวดใจไปหมดแล้ว
อยากจะลุกหนีจากตรงนี้แต่ก็ทำไม่ได้

"มะ-ไม่เป็นไรครับ ริน-ผมอิ่มแล้ว" นรินทร์ไม่รู้ว่าตัวเองอิ่มอะไรทั้งที่เพิ่งตักข้าวเข้าปากไปได้แค่คำเดียว แถมยังทำตัวไม่ถูกจนแทนชื่อตัวเองจนมั่วไปหมด

"ผมนึกว่าเป็นของโปรดคุณซะอีก" สิ้นคำนั้นนรินทร์ห้วงลมหายใจของนรินทร์แทบขาดหาย

เขตน์จำได้หรือ
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ประโยคนั้นกลับทำให้แววตาเศร้าหมองของร่างโปร่งเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย

อย่างน้อยอีกคนก็ยังจำได้ว่าเขาชอบอะไร

แค่นี้ก็ดีใจแล้ว

ก่อนทุกอย่างจะพังทลายลง เมื่อร่างสูงตักไข่พะโล้ฟองสุดท้ายใส่จานหญิงสาว ให้หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยเสียงหวาน

"แต๊งกิ้ว ฮันนี่"
เท่านั้นนรินทร์ก็บอกกับตัวเองว่าควรตื่นได้แล้ว

อย่าฝันอะไรลมๆแล้งๆ ที่ไม่มีวันเป็นจริง การมาของเขตน์ครั้งนี้ก็คงแค่มาทวงสิ่งที่ตัวเองต้องการคืน

ก็แค่เท่านั้น

แต่มันทำให้นรินทร์โมโห เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่เขาทนเห็นภาพพวกนี้ไม่ไหวแล้ว

"อ้าว คุณนารินจะไปไหนคะ"
นรินทร์ลุกพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สูดลมหายใจข่มน้ำตาไม่ให้รินไหล บอกไม่ถูกว่ามันรู้สึกยังไง แต่ข้างในมันจวนจะระเบิดแล้ว

"ผมอิ่มแล้ว ขอตัวไปทำงานก่อน ถ้าพวกคุณทานเสร็จก็เจอกันตรงที่เดิมนะครับ"

พร้อมกับกระแทกฝ่าเท้าเดินออกมา ไม่ขอทนดูภาพสองคนนั้นสวีตหวานกันอีกต่อไป

ไม่อยากแพ้เลย
คนตัวเล็กเดินสับขาออกไปแล้ว นั่นทำให้ร่างสูงที่นิ่งมาตั้งแต่ก้าวเท้าเหยียบไร่อันคุ้นเคยแห่งนี้ ต้องรีบลุกขึ้นยืนขมวดคิ้วหน้าเครียดทันที

"ไอบอกแล้วไงว่าอย่าทำเสียงแบบนั้น" ร่างสูงส่งเสียงเอ็ดใส่เพื่อนตรงหน้า

"หืม เสียงอะไร" เจสยังคงไม่เข้าใจ ซ้ำยังตักไข่พะโล้เข้าปากอย่างอารมณ์ดี
เขตน์ถอนหายใจกับเพื่อนที่แสนยียวนกวนประสาท บอกแล้วว่าอย่าเรียกฮันนี่ที่รักอะไรนี่ต่อหน้าเมียเขา ดูสิพานให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่

แล้วก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่เขาลงจากรถ ยัยเจสตัวแสบนี่พูดอะไรไปบ้าง เมียเขาถึงได้ไม่ยอมมองหน้ากันเลย

ทั้งที่ตกลงกันแล้วว่าอย่าทำให้แผนการง้อเมียของเขาแตก!
"เราตกลงกันแล้ว ยูจะได้งานวิจัยจากไร่ไอไป แล้วไอก็จะกลับมาอยู่ที่นี่กับภรรยา ฉะนั้นช่วยอยู่นิ่งๆ หน่อย" เขตน์กล่าวอย่างหัวเสีย พยายามข่มใจให้เย็นตั้งแต่เห็นหน้าคนที่เขาแสนคิดถึง

แต่อีกคนกลับไม่สบตากันเลย มันทำให้ภายในใจของเขาปั่นป่วนไปหมด แถมเจสก็ชวนคุยจนเขาไม่มีจังหวะได้แทรกเลย
"อ้าวนี่แล้วจะไปไหน เดี่ยวสิ ไอยังทานไม่หมดเลยนะ"

หญิงสาวที่เคี้ยวข้าวในปากตุ้ยๆ ตะโกนเรียกร่างสูงที่คิดแล้วว่าหากเจสเข้ามาคุยเข้ามาแทรกกลางตลอดเวลา เขาคงไม่ได้คืนดีกับอีกฝ่ายง่ายๆ แน่

"เสร็จแล้วก็เดินตามมาแล้วกัน" เท่านั้นเขตน์ก็รีบเดินออกไปหาอีกคนอย่างรวดเร็ว
ฟากฝั่งคนที่ไม่รู้อะไรเลย แถมยังเข้าใจผิดไปใหญ่ว่าอีกคนพ่วงภรรยาใหม่มาตั้งใจเย้ยกัน

มันก็ทำให้นรินทร์ทั้งเสียใจ ทั้งโมโห ทุกห้วงอารมณ์ผสมปนเปไปหมด

ใช่ เขาหึง หวงทุกครั้งที่สองคนนั้นยิ้มให้กัน

"ไอ้เขตน์บ้า ไอ้บ้าๆๆ" ร่างโปร่งตะบี้ตะบันใช้จอบขุดกระแทกหน้าดินระบายอารมณ์พร้อมน้ำตา
ก่อนจะเอามือเลอะคราบดินของตัวเองเช็ดคราบเหงื่อคราบน้ำตาแบบที่ไม่สนใจแล้วว่ามันจะสกปรกแค่ไหน

แถมมือยังพองแดงไปหมดเพราะเผลอใช้แรงกระแทกหน้าดินจนเละเทะ

เขายืนเอาจอบกระแทกหน้าเดินระบายอารมณ์อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งฝ่ามือแกร่งของใครบางคนเอื้อมมาจับมือกันไว้

นรินทร์ตัวแข็งทื่อ
เพราะสัมผัสได้ว่าเสียงที่แสนคุ้นเคยเอ่ยกระซิบข้างหู ในท่วงท่าที่ร่างสูงซ้อนหลังเขาไว้ราวกับโอบกอด

"ทำไมไม่ใส่ถุงมือครับ" พูดจบก็ดึงมืออีกคนออกมานวดเบาๆ ซ้ำๆ

"ดูสิ พองหมดแล้ว" เท่านั้นนรินทร์ก็เผลอสะอื้นก็มาโดยไม่รู้ตัว สัมผัสอันอบอุ่นที่รอคอยมานานกับเสียงอ่อนโยนที่แสนคิดถึง
มาอยู่ตรงหน้ากันแล้ว

สองปีที่ผ่านมา ไม่มีสักวินาทีเลยที่ไม่คิดถึงอีกคน แม้ยามหลับก็ยังคงฝันถึงใบหน้านี้ ใบหน้าของคนที่รอคอยมาตลอด

นรินทร์จับมืออีกฝ่ายกลับแน่น มันแน่นและสั่นราวกับกลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้จะเป็นแค่เพียงฝัน

ไม่อยากให้เขตน์หายไปไหนอีก แค่นี้นรินทร์ก็แทบขาดใจ
เขาไม่รู้ว่าอีกคนตั้งใจหรือแค่เฉียดผ่าน แต่เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รดต้นคอ กับสัมผัสบางเบาที่ปลายจมูกของอีกคนเฉียดผ่านแก้มกัน

แต่นรินทร์ก็ยังหลับตา รับสัมผัสนั้นทั้งน้ำตาอย่างเต็มใจ

ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีก็ต้องตื่นมารับความจริง เมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวที่ตะโกนไล่เลี่ยเข้ามาใกล้
เพียงเท่านั้นร่างโปร่งจึงรีบผลักอีกคนออกจนเขตน์แทบกระเด็น ริมฝีปากของอีกคนที่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่นรินทร์ไม่อยากรับฟังมันอีกต่อไปแล้ว

ผู้หญิงคนใหม่ของเขตน์กำลังเดินมา เขาไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด เธอไม่ผิดอะไรเลย และเธอก็ไม่ควรจะมารับรู้เรื่องระหว่างเขากับเขตน์ด้วย
"คุณริ-"

"คุณเจสมาพอดีเลยครับ เดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดนี้คงไม่เหมาะกับการสำรวจไร่เท่าไร ทางนี้เลยครับ" จากนั้นก็รีบจ้ำอ้าวเดินนำออกไป ไม่หันมาสบตาอีกคนอีก

เขาควรจะอยู่ห่างเขตน์ไว้ ไม่อยากให้ภรรยาของอีกคนต้องมาเห็นภาพอะไรแบบนั้น

เขาจะแบกรับความเสียใจไว้เอง
หลังจากนั้นก็เป็นนรินทร์ที่เดินอธิบายสัดส่วนพื้นที่ของไร่ว่าจัดสรรกันอย่างไรบ้าง รวมถึงสาธิตวิธีการจัดเรียงหน้าดิน การลงเมล็ดพันธุ์ การแตกหน่อ รวมถึงอธิบายที่มาของกุหลายสายพันธุ์พิเศษของไร่กุหลาบแห่งนี้

"ที่นี่เราใช้แค่ปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์เท่านั้นครับ ไม่ใช้สารเคมี"
นรินทร์เดินนำหน้าพาทั้งคู่ชมสัดส่วนที่คนงานช่วยกันผสมปุ๋ย หนึ่งในเคล็ดลับที่ช่วยให้กลีบดอกกุหลาบหนาออกสีแดงสดและไม่สาก แถมยังช่วยให้ลำต้นแข็งแรงกว่ากุหลาบชนิดอื่น

ฝ่ายหญิงสาวเดินอัดคลิปในมือถือ บ้างก็จดโน๊ตลงกระดาษตามอยู่เป็นช่วงๆ

แต่คนที่เดินตามติดแจคงเป็นอดีตนายของไร่มากกว่า
"โอ๊ย!" และเมื่อเห็นคนตัวเล็กที่เดินประหม่าอยู่ด้านหน้าเผลอสะดุดก้อนหินเข้า เขาก็ไม่รีรอที่จะรีบก้าวตามไปประคองหลังด้วยความเป็นห่วง

"ระวังหน่อยสิครับ เจ็บตรงไหนไหม" เสียงทุ้มนี้อีกแล้ว เสียงที่เอ่ยขึ้นด้วยความอ่อนโยน

มันทำให้นรินทร์แพ้แล้วแพ้อีก แต่ก็ต้องข่มใจไว้

"ปล่อยครับ"
นรินทร์รีบแกะมืออีกคนที่รุ่มร่ามบนตัวเขาทันที สายตาเหลือบมองกลัวว่าฝ่ายหญิงจะเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น

"คุณควรไปดูแลเธอมากกว่า เธอไม่ชินเส้นทางเหมือนกับผม" ต่างคนต่างแทนชื่อตัวเองด้วยท่าทีห่างเหินเหลือเกิน

มันห่างเหินจนใจทั้งสองดวงวูบโหวง

"เจสเขาเดินป่าบ่อย"

"รู้ดีจังเลยนะครับ"
เผลอเอานิสัยเดิมมาใช้จนได้ ไอ้เรื่องประชดกันเนี่ยถนัดนัก นรินทร์อยากจะกัดลิ้นตัวเองตายตรงนี้ให้มันสิ้นเรื่อง!

เขารำคาญตัวเอง ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย ไม่อยากเป็น

ทว่าอีกฝ่ายกลับดูเหมือนชอบใจ แววตาเป็นประกาย อมยิ้มใส่กันอีก

"ไม่ได้รู้ดีสักหน่อย ก็พวกเราเป็นนักวิจัยพืชพรรณนี่ครับ-
เรื่องเดินป่าต้องงานถนัดอยู่แล้ว"

ไม่รู้ทำไม เขตน์ล่ะอยากรังแกคนตัวเล็กข้างหน้านี้เหลือเกิน

ดูก็รู้ว่าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ยอมปริปากเอ่ยออกมา ไหนบอกว่าในคลิปยูทูปประกาศหนักหนาว่าถ้าเขากลับมาต่อหน้าจะไม่ทำให้หายจากกันไปอีก

มันน่าจับฟัดนัก ถ้าเจสไม่อยู่ตรงนี้ล่ะก็อีกคนเสร็จเขาไปแล้ว
ได้แต่ข่มใจไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าไปกินรังแตนมาจากไหน ทำไมถึงหงุดหงิดใส่กันจังเลย

หรือเจสไปพูดอะไรใส่รึเปล่า

ข้อนี้มันน่าสงสัย เพื่อนคนนี้ของเขายิ่งปากเปราะอยู่ด้วย ชอบพูดอะไรไร้สาระไปหมด

สุดท้ายการสำรวจเล็กๆน้อยๆ ในวันแรกก็จบลงตรงที่เจสบ่นว่าหิวข้าวอีกแล้ว-
นรินทร์เลยอาสาชวนให้ทานด้วยกัน โดยวานให้แม่ครัวช่วยทำกับข้าวอย่างสุดฝีมือ

"แล้วนี่พวกคุณพักที่ไหนกันครับ" นรินทร์เอ่ยขึ้นพลางเชิญทั้งคู่ขึ้นเรือน

ภาพเขตน์เดินสำรวจเรือนหลังเดิมที่ไม่ต่างจากวันที่จากมาเลย ทำให้นรินทร์น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง

บ้านของเรา เขตน์ยังจำได้ไหม
แต่ก็ทำได้เพียงสะบัดความคิดนั้นออก อีกคนเดินไปข้างหน้าแล้ว คงไม่คิดก้าวถอยหลังกลับมาหากัน

อดีตก็คืออดีต เรือนหลังนี้อีกหน่อยเขาคงไม่ได้อยู่แล้ว

เมื่อเขตน์กลับมาพร้อมคุณนายคนใหม่ ยังไงเขาก็ต้องออก

"พวกเราจองโรงแรมกันไว้ค่ะ แต่ว่ายังไม่ได้เช็คอิน" จากนั้นเจสก็ก้มหน้ากดโทรศัพท์
ปล่อยให้บรรยากาศกลับมาอึมครึมอีกแล้ว กับการที่เขตน์เอาแต่จ้องมองกันเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

"รินครับ..."

"โอ้มายก็อด ทำยังไงดีคะ ทำยังไงดี!" เขตน์ได้แต่อ้าปากค้างอีกแล้ว วันนี้เขาไม่มีดวงเรื่องความรักหรือยังไงกัน

คิดผิดชะมัดที่พาเจสมา รู้งี้พาจอห์น สามีเธอมาด้วยอีกคนดีกว่า
คิดแล้วก็ได้แต่เกาท้ายทอยด้วยความรำคาญใจ ทิ้งให้ร่างโปร่งที่ตกใจกับคำพูดหญิงสาว รีบถามกลับไปด้วยความเป็นห่วง

"เกิดอะไรขึ้นครับ"

"เจสจองวันเข้าพักผิดวันค่ะ จองไปวันพรุ่งนี้ วันนี้เราคงไม่มีที่พักแล้ว นี่ก็เริ่มดึกแล้วด้วย ทำยังไงดี" เจสพูดความสีหน้าตื่นตระหนก

ให้ตายเถอะ!
สีหน้าของหญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างน่าสงสาร นั่นทำให้นรินทร์ใจอ่อนอีกแล้ว ทั้งที่ไม่สมควรเลย ไม่สมควรต้องใจอ่อนให้กับศัตรูหัวใจที่มาแย่งความรักของเขาไปแบบนี้

"เอ่อ ถ้างั้นพวกคุณนอนที่นี่ก็ได้ครับ ถ้าไม่รังเกียจ"

"จริงเหรอคะ จริงนะคะ พูดแล้วนะคะ" จากนั้นเธอยิ้มหัวเราะอย่างโล่งใจ
พูดขอบคุณเป็นสิบครั้งนับไม่ถ้วนจนนรินทร์เริ่มเกร็ง

โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีคนแอบลอบยิ้มพอใจอยู่

ก็ดีเหมือนกัน คืนนี้จะได้ง้อเมียทั้งคืนสักทีนะเขตน์เอ๊ย

จะไม่มีใครมาขวางเราอีก พี่สัญญาเลย

แค่นั้นแหละร่างสูงก็ยิ้มสบายใจจนออกนอกหน้าพานให้นรินทร์ที่ลอบมองต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
เดินหนีเข้าไปในครัวเพราะเริ่มปรับโหมดอารมณ์ไม่ทัน ก่อนจะช่วยแม่ครัวยกกับข้าวมาเสิร์ฟ ทั้งอาหารอิตาเลี่ยน และอาหารไทยอีกสองสามอย่าง

"ว้าว หน้าตาน่าทานทั้งนั้นเลย"

"ผมคิดว่าคุณเจสน่าจะทานอาหารไทยไม่ค่อยไหว เลยทำสปาเก็ตตี้มาให้ด้วยครับ"

"How nice of you~" หญิงสาวเอ่ยเสียงหวาน
"เอ่อครับ แล้วพวกคุณสนใจอยากดื่มอะไรไหมครับ มีทั้งน้ำผลไม้และก็ไวน์ด้วย" หญิงสาวตื่นเต้นทันทีที่พูดถึงไวน์

"ไวน์ คุณนารินดื่มไวน์ด้วยเหรอคะ"

"ก็นิดหน่อยครับ แต่ไม่บ่อยหรอก พอดีคุณพ่อของผมท่านเป็นเจ้าของไร่องุ่นครับ ก็เลยมีไวน์องุ่นเหลือเพียบเลย ถ้าพวกคุณสนใจ..."
"สนใจสิคะ สนใจมาก ที่รักล่ะ ดื่มไหม" อารมณ์ที่สงบลงจากเมื่อกี้ส่งให้คุกรุ่นอีกแล้วเมื่อได้ยินคำว่าที่รัก

นรินทร์ล่ะอยากจะปาขวดไวน์ใส่คนทั้งคู่ให้รู้แล้วรู้รอด

แต่ต้องท่องไว้ในใจ นรินทร์คนเดิมตายไปแล้ว เขาเป็นนรินทร์คนใหม่ เพราะฉะนั้นจะต้องไม่กลับไปทำนิสัยเสียแบบเดิมอีก
แต่มันทั้งเสียใจ ทั้งเจ็บใจ ซ้ำยังต้องมาทนเห็นสองคนสวีตกันมาทั้งวันแล้ว เขาอยากจะระเบิดตัวตาย

ยอมไม่ได้ นรินทร์ไม่อยากยอมแพ้เลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีก

"ดื่มก็ได้ คุณรินก็ดื่มด้วยกันนะครับ" อีกฝ่ายส่งยิ้มหวานกลับมายิ่งทำให้เขาใจสั่น

เขตน์กำลังเล่นบ้าอะไรอยู่ ปั่นหัวกันงั้นเหรอ
เท่านั้นแหละ นรินทร์ที่เริ่มระงับอารมณ์ตัวเองไม่ไหว มื้อเย็นนี้เลยหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับตัวเองในใจ กรอกไวน์เข้าปากแบบที่ไม่ได้พักหายใจหายคอกันเลย

แก้วแล้วแก้วเล่าถูกกลืนเข้าปาก ยิ่งหญิงสาวชาวเมกันที่ชอบสังสรรค์ทุนเดิมอยู่แล้ว เห็นคนตรงหน้าดื่มหนัก ตัวเองก็ยิ่งคึกหนักเข้าไปใหญ่
เห็นสองคนตรงหน้าพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ซ้ำยังหัวเราะใส่กันอย่างสนุกสนาน

ภาพที่นรินทร์ไม่เคยเห็นกับตาวันนี้ก็ได้เห็น

ภาพที่เขตน์หัวเราะออกมาอย่างจริงใจ ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่กับเขาเลย เขตน์มีแต่ความทุกข์

มันทำให้นรินทร์ต้องก้มหน้าแอบเช็ดน้ำตาลวกๆ

เขาเหมาะสมกันจริงๆ
"อึก..." สะอึกออกมาเบาๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปขวดที่สี่แล้ว

"คุณนาริน ไหวไหมคะ คุณเมาแล้ว" เจสถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ทำให้เขตน์ยิ่งเป็นห่วงหนัก

แค่หันมาคุยกับเจสเรื่องทริปปีนเขาเมื่อครั้งที่แล้วไม่กี่นาที นรินทร์ของเขาก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว

"ที่รัก ไอว่าเมียยูไม่ไหวแล้วนะ"
เจสกระซิบใส่อีกคนเบาๆ เพื่อเตือนว่าเขตน์คงต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่นรินทร์จะเมาหนักไปมากกว่านี้

แต่คนเมาดันได้ยินไม่ชัด แล้วหูไม่รักดีดันได้ยินแต่คำว่าที่รักเสียด้วย

วันนี้ได้ยินมานับไม่ถ้วนแล้ว และจะไม่ขอทนฟังอีก

"ที่รักอะไรนักหนา! เขตน์เป็นของริน ของรินคนเดียว!"
เจสกระซิบเบาๆให้อีกฝ่ายทำอะไรสักอย่างก่อนที่นรินทร์จะอาการหนักไปมากกว่านี้

แต่คนเมาดันได้ยินไม่ชัด แถมหูที่ได้ยินดันเป็นคำว่าที่รักเสียด้วย

ที่รักอีกแล้ว เขาต้องทนฟังคำนี้ไปอีกกี่ครั้งกัน

ทนไม่ไหวแล้วนะ และก็จะไม่ขอทนแล้วด้วย

"ที่รักอะไรนักหนา! เขตน์เป็นของริน ของรินคนเดียว!"
ร่างโปร่งตบโต๊ะดังตึง เรียกให้สองคนตรงหน้าถึงกับสะดุ้ง ไม่เจอนรินทร์ในคราบโวยวายนี้มาตั้งนาน สงสัยคืนนี้เขตน์จะซวยแน่แท้

"อะ-ไอว่าไอไปนอนก่อนดีกว่า แหะๆ" ไม่รู้ทำไมบรรยากาศน่ากลัวมันถึงแผ่ซ่านออกมาจนหญิงสาวคิดว่าตัวเองต้องรีบลุก

ถ้าไม่รีบลุกตอนนี้คงได้ตายคามือเมียเจ้าของไร่แน่ๆ
"อืม ยูนอนห้องคุณรินไปแล้วกัน ที่เหลือไอจัดการเอง" พอเห็นเพื่อนเดินเข้าไปยังห้องนอนช้าๆ เขตน์ก็ขยับตัวลุกขึ้นคว้าแก้วไวน์จากมืออีกคนทันที

"เอามานะ ไอ้คนใจร้าย ไปไกลๆเลย" ร่างโปร่งโวยวายไร้สติ คิดในใจว่าอยากจะดื่มลบเรื่องราวบ้าๆ ที่เกิดขึ้นวันนี้ทิ้งไป

เขาเกลียดคำว่าที่รักที่สุด
เกลียดคนที่พูดมันออกมาด้วย

"ฮึก...ไอ้คนบ้า ยอมให้คนอื่นเรียกว่าที่รักได้ยังไง! มีคนอื่นได้ยังไง!" นรินทร์ที่โดนอีกคนพยุงให้ลุกขึ้น ทุบตีอกแกร่งฟูมฟายน้ำตาไหลพรากระบายอารมณ์ที่อัดแน่นมาทั้งวัน

"คุณรินครับ..." แต่เขตน์ก็ยังเป็นคนเดิมที่พร้อมให้อีกคนระบายอารมณ์ใส่กัน
แขนแกร่งประคองเอวกอดอีกคนไว้ในอ้อมแขนทั้งที่รู้ว่าจะต้องโดนทุบตีจนเจ็บไปหมด

"ชู่วว ใจเย็นก่อนคนดี คนดีของพี่" เขตน์ยังคงแผ่ความอบอุ่น ตระกองกอดจูบขมับลูบผมอีกคนเบาๆ เช็ดคราบน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าสวยที่ต่อให้คล้ำแดด ไม่ขาวใสแบบเดิมแล้ว

แต่เขตน์ก็ยังคงรัก รักไม่เคยเปลี่ยน
กว่านรินทร์จะยอมสงบก็ปาไปเกือบสิบนาที ทว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ไม่สามารถครองสติได้อยู่ ใบหน้าเลอะครอบนำ้ตาเงยขึ้นมาสบกับเจ้าของอ้อมกอดที่ส่งสายตาลึกซึ้ง ริมฝีปากคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม

"คิดถึง รินคิดถึงเขตน์" ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง คงจะเป็นเพราะความเมาล่ะมั้ง-
ที่ทำให้กล้าพูดความในใจออกไป

สิ้นคำนั้นร่างโปร่งรู้สึกได้ถึงความนุ่มหยุ่นแสนอบอุ่นที่สัมผัสตรงริมฝีปากบาง ลิ้นของอีกคนแทรกเข้าตักตวงความหอมหวานที่แสนคิดถึง เสียงลมหายใจที่ขาดห้วงสลับกับริมฝีปากคลอเคลียกันทำให้เผลอคิดบางอย่าง

ขอแค่คืนนี้ ให้เขตน์เป็นของเขาแค่คืนนี้คืนเดียวได้ไหม
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีพังทลายลง อาจเป็นเพราะไวน์จำนวนไม่น้อยที่ดื่มเข้าไปทำให้นรินทร์ไม่อาจต้านทานความรู้สึกที่อัดแน่นในหัวใจได้อีกแล้ว

ขอโทษนะคุณเจส แต่คืนนี้รินขอเขตน์ได้ไหม แค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้น

แต่รินจะปล่อยเขตน์ให้เป็นอิสระ คืนเขตน์ให้กับคุณ พร้อมเซ็นใบหย่าคืนให้
นำ้ตายังคงรินไหลในขณะที่ริมฝีปากของเราไม่ห่างกันเลยสักวินาทีเดียว

นรินทร์ไม่รู้ว่าตัวเองถูกอุ้มเข้าห้องของสามีเมื่อไร รู้สึกตัวอีกทีเขาก็นั่งคร่อมบนตักอีกคน ตักตวงความหอมหวานตรงริมฝีปาก โดยมีฝ่ามือร้อนผ่าวของอีกคนสัมผัสไปทั่วทั้งร่าง

"คืนนี้นอนกับรินนะ ให้รินเป็นของเขตน์"
ร่างโปร่งปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสทุกส่วนได้ตามใจชอบ อีกทั้งยังเต็มใจนอนลงบนเตียงกว้าง ให้อีกฝ่ายคร่อมทับในท่าที่ไม่สมควรให้คนภายนอกได้เห็น

จังหวะขอบเตียงกระทบผนังผสมกับเสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยาวนานจนเกือบรุ่งเช้าที่แสงตะวันค่อยๆ โผล่ขึ้นขอบฟ้า

คนหนึ่งร้องไห้เสียใจทั้งนำ้ตา
อีกคนกลับเป็นสุขที่ได้ภรรยากลับคืนมาหากัน

‘รัก รินรักเขตน์’ ร่างโปร่งคล้องคออีกฝ่ายที่โน้มตัวลงมาหากัน พรมจูบสันกรามด้วยความรักใคร่พร้อมกับใจที่สลายในคราเดียว

ในขณะที่หัวใจของเขตน์เอ่อล้นเต็มไปด้วยความสุข

ในที่สุดก็ได้ยินคำนั้น คำว่ารักจากปากนรินทร์ที่เขาต้องรอคอยถึงสิบกว่าปี
‘คนดีของพี่ อ่า..’ จังหวะสุดท้ายนรินทร์ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ เขาหลับตาไปทั้งที่อีกฝ่ายยังตระกองกอดเข้าหา คลอเคลียไม่ห่างกาย ซึมซับลมหายใจซึ่งกันและกัน

จากนั้นเขตน์ก็จัดการทำความสะอาดให้คนตัวเล็กได้หลับสบาย พร้อมพรมจูบเบาๆที่ริมฝีปาก

‘จุ๊บ’

“ต่อจากนี้พี่จะไม่ทอดทิ้งคนดีอีกแล้ว”
เขตน์ไม่ได้นอนทั้งคืน ไหนๆ ตะวันก็เริ่มพ้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว วันนี้ภรรยาเขาคงไม่มีแรงลุกขึ้นมาทำอะไรแน่ๆ

เพราะฉะนั้นงานของเจ้าของไร่จะเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่วันนี้

เขตน์จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งที่ยังไม่ได้นอน ห่มผ้าให้อีกคนจนมิดชิด พร้อมสั่งแม่ครัวเตรียมข้าวต้มและยาแก้ไข้-
ส่วนเขาคงต้องออกไปดูคนงานพร้อมทั้งช่วยเจสเรื่องวิจัยให้ผ่านไปด้วยดี

“มอนิ่ง” เจสออกจากห้องด้วยท่าทีสบายๆ เช่นเคย คิดตรงที่แววตาเหมือนอยากจะหยอกล้ออะไรกันสักอย่าง

“เมียยูยังไม่ตื่นเหรอ” เขตน์เลิกคิ้วขึ้น

“อืม ทำไม”

“แหงล่ะ ก็ไอได้ยินเสียงทั้งคืนเลย แหม เบาๆ หน่อยก็ไม่ได้-
เข้าใจว่าไม่เจอกันนาน แต่เมียยูจะช้ำหมดน่ะสิ” เจสหัวเราะขำๆ ให้กับคนโลภมากที่ทั้งหวงและคลั่งรักเมียยิ่งกว่าใคร

“วันนี้ไอจะอธิบายเรื่องวิจัยที่เหลือให้เอง ไม่ต้องไปรบกวนคุณริน ให้เขานอนไปเข้าใจไหม”

เขตน์เปลี่ยนเรื่องแต่ก็ยังไม่วายกำชับหญิงสาวที่ชอบวุ่นวายใส่คนอื่นไปทั่ว
ตั้งแต่เช้าจรดเที่ยงจึงเป็นเขตน์ที่ลงมาควบคุมงานทั้งหมดโดยมีหญิงสาวฝรั่งเดินตามต้อยๆ ให้เหล่าคนงานที่อุตส่าห์ดีใจที่นายเขตน์กลับมา แต่ต้องสงสัยอีกครั้งว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร

“เมียใหม่นายรึวะ” เสียงพึมพำเล็ดลอดให้เขตน์คิ้วกระตุก พ่นลมหายใจใส่

“ฉันมีเมียคนเดียว คือคุณนายของพวกนาย-
เพราะฉะนั้นเลิกสงสัยอะไรมั่วซั่วได้แล้ว นี่เพื่อนฉัน เธอแต่งงานมีสามีแล้วด้วย”

เท่านั้นคนงานต่างร้องอ๋อไปตามกัน พร้อมกับรอยยิ้มโล่งใจที่เจ้านายตนไม่ได้ควงเมียฝรั่งมาเย้ยคุณนายของพวกเขา

ต่อจากนี้ไปไร่กุหลาบจะได้กลับมามีชีวิตชีวาสักที คุณนายจะได้ยิ้มอย่างมีความสุขไม่ลำบากอีกแล้ว
แต่พอเขตน์กลับขึ้นมาที่เรือนตัวเองตอนเที่ยงเพื่อดูว่าอีกคนเป็นอย่างไรบ้าง ไข้ขึ้นหรือปวดตรงไหนไหม ก็เห็นแต่แม่ครัวที่ยืนจัดอาหารเที่ยงให้เท่านั้น

“คุณนายเธอบอกว่าจะไปไร่องุ่นค่ะ บ่ายๆ ถึงจะกลับ”

นั่นทำให้เขตน์พะวงหนัก อีกคนลุกขึ้นมาไหวได้ยังไง และทำไมถึงยอมปล่อยให้ออกไปคนเดียว
แถมพอติดต่อหา อีกฝ่ายดันลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องนอนเขาเสียนี่

“คุณนายเธอหน้าซีดมากเลยค่ะ ข้าวก็ทานแค่สองคำ ทานยาเสร็จก็ลุกออกไปเลย เดินแทบไม่ไหวด้วยนั่น ป้าห้ามแล้วก็ไม่ฟัง”

สิ้นคำนั้นเขตน์ก็เดินลงจากเรือน สตาร์ทรถยนต์ทันที ให้คนที่เดินตามกันมาติดๆ ต้องรีบเปิดประตูรถขึ้นตามไปด้วย
“นี่ยูจะไปไหน ไอตกใจหมด เฮ้! อย่าขับเร็วนักสิ!”

เจสเบิกตากว้างรีบคาดเข็มขัดทันทีที่รถยนต์คันหรูขับพุ่งตรงอย่างรวดเร็วจนใจเธอหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม

ตั้งแต่รู้จักกันมาสองปีกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขตน์โมโหและทำท่าวิตกกังวลเช่นนี้เพราะอีกฝ่ายเป็นคนใจเย็นมาตลอด
มีสิ่งเดียวที่เขตน์ไม่อาจวางใจลงได้เลยคือเรื่องของคนรัก ที่พอได้ยินชื่อ ‘นรินทร์’ ขึ้นมาเท่านั้น เขตน์ก็ยอมหมดทุกอย่าง

และเธอก็ขอภาวนาต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าด้วยเถิด ว่าขอให้เพื่อนรักของเธอคนนี้สมหวังในความรักกับภรรยาตัวเองเสียที
.
.

ฝั่งคนตัวเล็กที่ค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นเรือนใหญ่-
ของไร่องุ่นคุณชายกร ด้วยสภาพที่ตัวร้อนด้วยพิษไข้ เนื้อตัวระบมไปทุกส่วน

ทว่าเขาต้องมาที่นี่เพื่อจัดการสิ่งที่ค้างคาไว้

นรินทร์รีบออกจากเรือนนั้นอย่างรวดเร็วเพราะเขาไม่อาจทนเห็นหน้าสองคนนั้นอีกแล้ว เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาเขาก็สำนึกได้

เขาทำผิดกับคุณเจส ทำลงไปได้ยังไงกัน
นรินทร์คนนี้ที่เกลียดคนทรยศหักหลังนอกใจคนรักเท่ากระดูกดำ กลับกลายเป็นคนกระทำมันเสียเอง จึงไม่อาจกล้าอยู่มองหน้าหญิงสาวคนนั้นได้เลย

นรินทร์ละอายใจ เขามันเลว เลวเกินไปแล้ว

ยอมให้ความเห็นแก่ตัวเข้าครอบงำ เพียงแค่คิดว่าอยากได้คนรักกลับคืนมา อยากให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ทั้งที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป

ร่างโปร่งเช็ดน้ำตาที่ไหลมาตลอดทางระหว่างที่ขับรถมาที่นี่ เขาต้องมาที่ไร่แห่งนี้ให้ได้เพื่อมาเคลียร์สัญญาเก่า

สัญญาที่เคยบอกไว้ว่าจะเซ็นเอกสารหย่าให้อีกฝ่าย

เขาทนเก็บเอกสารพวกนี้ไว้ที่เรือนหลังนี้ในห้องของคุณพ่อ เพราะไม่อยากเห็นมันให้ปวดใจ
คิดว่าหากเก็บไว้ที่ไร่กุหลาบ วันใดวันหนึ่งอาจมีอารมณ์ชั่ววูบเผลอหยิบขึ้นมาเซ็นมัน ซึ่งนรินทร์ไม่อยากให้ตัวเองทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้น

จึงหักห้ามใจตัวเอง เก็บซ่อนเอกสารพวกนี้ไว้

ทว่าวันนี้ไม่คิดเลยว่าจะต้องกลับมาเปิดลิ้นชักนี้อีกครั้ง เพื่อหยิบมันขึ้นมาเซ็น

ไม่อยากทำแบบนี้เลย
แต่นรินทร์มีทางเลือกอะไรได้อีก นอกจากต้องยอมปล่อยให้เขตน์ได้มีความสุขกับคนที่ตัวเองเลือก

เรื่องราวเมื่อคืนมันก็แค่ความใคร่ อีกคนคงไม่ได้รักกันอีกแล้ว

ซองสีน้ำตาลถูกหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะ นรินทร์ค่อยๆดึงเอกสารข้างในนั้นออกมาช้าๆ

‘ใบทะเบียนบันทึกการหย่า’ ถูกนำขึ้นมา-
พร้อมกับมือที่สั่นเทาจรดหมึกลงไปในนั้น

‘ข้าพเจ้า นรินทร์ ไม่ประสงค์จะอยู่กินกันฉันสามีภริยากับอีกฝ่ายอีก จึงได้ตกลงหย่าขาดกัน โดยความยินยอมทั้งสองฝ่าย’

พร้อมกับลายเซ็นที่ประทับมันลงไปทั้งที่น้ำตายังรินไหลจนบางส่วนของกระดาษเปียกชื้น

จบลงแล้ว ต่อจากนี้

นรินทร์ขอยอมแพ้
ในจังหวะที่นรินทร์เอี้ยวตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล ซ้ำยังร้อนๆหนาวๆ ด้วยพิษไข้จากเมื่อคืน ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนคนวิ่งขึ้นมาบนเรือนอย่างรีบร้อน

“คนดีครับ! คนดีอยู่ที่นี่รึเปล่า!” สิ้นคำนั้นนรินทร์เม้มปากข่มน้ำตาไม่ให้รินไหล

มันจบแล้วริน มันจบแล้ว
อีกฝ่ายวิ่งตามหาภรรยาตัวเองทั้วเรือน จนสุดท้ายตัดสินใจถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานคุณชายกรที่นานๆ จะกลับมาที ก็เห็นอีกคนยืนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“คนดีมาที่นี่ทำไมครับ ทำไมไม่นอนพัก” เขตน์รีบสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยมีหญิงสาวฝรั่งตาน้ำข้าวยืนมองข้างหลังด้วยความเป็นห่วง
ทว่าเมื่อเข้าประชิดจนใกล้จะถึงอีกฝ่าย กลับมีซองเอกสารฉบับหนึ่งที่ยื่นเข้ามาปะทะอกด้านหน้าแทน

เขตน์ผงะด้วยความตกใจก่อนจะก้มหน้ามองสิ่งที่อีกคนยื่นมาหากัน

พแต่พอเหลือบเห็นซองนั้นเพียงชั่ววินาทีเดียวเท่านั้น เขตน์ก็จำได้

เพราะเขาเป็นคนมอบซองเอกสารนี้ให้อีกฝ่ายเองเมื่อสองปีก่อน
เป็นคนเขียนและเซ็นมันกับมือ ทำไมจะจำไม่ได้

แต่เขาไม่อยากจำเลย ไม่อยากให้เอกสารซองนี้โผล่ขึ้นมาอีกด้วยซ้ำ เขานึกว่าการกลับมาครั้งนี้จะทำให้หลายอย่างดีขึ้น แต่ทำไม

ทำไมเอกสารเหล่านี้จึงถูกเปิดออกมาอีก

“คนดี...”

“ผมเซ็นให้คุณแล้ว ให้ในสิ่งที่คุณต้องการตั้งแต่สองปีก่อน—“
“ไม่เอา คนดีอย่าทำแบบนี้กับพี่” เสียงเขตน์ขาดห้วง พร้อมกับหัวใจที่กระตุกวูบ

“คุณเป็นอิสระแล้ว แล้วก็คุณเจสครับ ผมขอโทษด้วยที่คุณต้องมาเห็นอะไรแบบนี้ แต่ผมหย่าให้พวกคุณเรียบร้อยแล้ว” นรินทร์กำฝ่ามือตัวแน่นข่มความเสียใจไว้จนฝ่ามือเริ่มห้อเลือด

“จากนี้ไปคุณจะไปรักกันที่ไหนก็เชิญ!”
สิ้นคำนั้นก็คนทำท่าจะเดินหนีทั้งที่เรี่ยวแรงทรงตัวยังยืนไม่ไหว เดินผ่านกันไปช้าๆ ปล่อยให้ร่างสูงชะงักงันด้วยความไม่เข้าใจ

แต่เพียงไม่กี่วินาทีดวงตาก็ค่อยๆ เบิกกว้างเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่าอีกคนเข้าใจผิดกันไปมากโข

ไหงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ อีกคนไปได้ยินอะไรมา!
เท่านั้นร่างสูงก็หันขวับดึงคนที่เดินเฉียดกันไปไม่กี่ก้าวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

“ปล่อย! จะเอาอะไรจากอีก รินให้เขตน์ไปหมดแล้ว! แล้วยังมีน่ามากอดผมต่อหน้าเมียใหม่อีกนะ แต่งงานกันแล้วกลับมาหากันทำไม!”

“แต่งงานอะไร พี่มีภรรยาแค่คนเดียว คนดีฟังกันก่อนได้ไหม”

“ฟังให้ได้อะไรล่ะ-
ต้องทนฟังพวกคุณพูดคำว่าที่รักใส่กันอีกกี่ครั้ง ต้องทนเห็นพวกคุณยิ้มให้กันอีกกี่หน ฮึก...รินไม่ไหวแล้ว”

จากนั้นก็เอาฝ่ามือปิดหน้าตัวเองสะอื้นไห้ขึ้นมาอย่างหนัก

“คุณนาริน...” เธอไม่รู้ว่าคำว่าที่รักจะมีอิทธิพลต่อใจอีกคนได้ขนาดนี้ เจสแค่คิดว่ามันเป็นคำที่ฝรั่งอย่างเธอใช้กัน
เวลาเรียกเพื่อนหรือญาติสนิท

เขตน์รีบโผกอดอีกคนที่ยามนี้ช่างน่าสงสารเหลือเกิน แม้แต่แรงดิ้นออกจากอ้อมแขนเขายังไม่มี ซ้ำยังร้องไห้หนักอีกแบบนี้คงไม่พ้นไข้หนักแน่ๆ

แต่ก่อนอื่นเขาคงต้องเคลียร์เรื่องนี้ก่อน

“เจสแต่งงานแล้วครับ”

“รู้แล้ว ฮึก...ไม่ต้องย้ำ” ฟังจบเขตน์ก็คิ้วมุ่นทันที
รู้ได้ยังไง เขาเพิ่งจะบอกเรื่องนี้กับอีกคนเป็นครั้งแรก พอเงยหน้าขึ้นมาหาหญิงสาวอีกคนถึงได้รู้คำตอบ

สีหน้าเหยเกปนรู้สึกผิดแบบนั้น ใช่เลย ยัยเจสคนนี้มันปากเปราะจนสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวเพื่อนสนิทอีกแล้ว

เท่านั้นเขตน์ก็ทำตาดุใส่ พยักเพยิดให้เธอพูดอะไรบ้าง

ขอโทษเมียเขาก่อนเลย!
“ขอโทษนะคะ เจสคือ แต่เจสคือคิดว่าคุณนารินเข้าใจผิดแล้ว เจสบอกว่าแต่งงานก็จริง แต่สามีของเจสไม่ใช่ที่รั- เอ่อ เจสหมายถึงไม่ใช่เขตน์ค่ะ”

สำเนียงเดิมก็ว่าแปร่งแล้ว ยิ่งอยู่ในสถานการณ์ที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ผัวเมียเขาจะหย่ากันอีก

เจสถึงกับลืมภาษาไทยเลยทีเดียว
แต่อย่างน้อยก็ทำให้คนร้องไห้ฟูมฟายยอมเงยหน้าขี้นมาหาเธอ ดวงตาอ่อนล้าที่บวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักเหมือนจะเว้าวอนให้พูดคำเหล่านั้นขึ้นมาอีกรอบว่ามันเป็นเรื่องจริง

ไม่ใช่เรื่องโกหก

“จริงค่ะ เชื่อเจสนะคะ ไม่เชื่อดูนี่เลย” พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือ เผยรูปบนหน้าจอให้อีกฝ่ายเห็น
ภาพของสามีฝรั่งตาน้ำข้าวที่ยืนใส่สูทคู่กับเธอในงานแต่ง

และภาพนั้นทำให้รินหันหน้ามาหาอีคน พร้อมกับโผกอดแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ฮึก...จริงนะ ไม่โกหกรินนะ ไม่โกหกกันใช่ไหม” และก็เป็นเขตน์คนนี้ที่พรมจูบขมับกอดตอบอีกคนด้วยความหวงแหน

“พี่มีภรรยาคนเดียวคือริน นั่นคือความจริงครับ”
“ฮึก...คิดถึง รอคอยมาตลอด รินคิดว่า...คิดว่า...”

รินไม่มีเสียงพูดอีกต่อไป เมื่อจินตนาการถึงภาพที่หากเขตน์ไม่กลับมา ไม่ยืนกอดกันไว้แบบนี้ เขาจะเป็นอย่างไร

“รินอยากบอกเขตน์ซ้ำๆ เขตน์ยังอยากฟังอยู่ใช่ไหม อยากฟังอยู่รึเปล่า...ฮึก”

“ที่สุดเลยครับ...”

“รัก...รินรักพี่เขตน์ที่สุด”
เขตน์ที่ได้ยินคำนั้นอีกครั้งก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ทั้งชีวิตไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้อีกแล้ว

“พี่ก็รอคอยมาตลอด รอคอยให้คนดีรักพี่...” ก่อนจะพรมจูบคลอเคลียทั่วไปใบหน้าและแก้มใส ฝังริมฝีปากประทับไปที่มุมปากอีกคนอย่างบางเบา

แต่หวานละมุนเป็นที่สุด

“เพราะพี่ก็รัก รักรินคนเดียวครับ”
เท่านั้นหัวใจของนรินทร์ที่ห่อเหี่ยวก็เหมือนได้ยาดีเยียวยาให้พองฟูขึ้นมาใหม่ หญิงสาวที่มองภาพคนทั้งคู่ยิ้มให้กันทั้งน้ำตามันทำให้เธอรู้สึกว่าทุกอย่างสำเร็จแล้ว

เพื่อนเธอได้ภรรยากลับมาสมใจ

ก่อนจะเดินยิ้มออกไปนั่งรอที่ระเบียงช้าๆ ปล่อยให้คนทั้งคู่ใช้เวลาด้วยกันสักพัก
เขตน์จูบเปลือกตาทั้งสองข้างของภรรยาที่บวมช้ำ จัดการเช็ดน้ำตาของอีกคนอย่างไม่นึกรังเกียจ

“พี่ขอโทษที่จากคนดีไปโดยไม่บอก พี่เข้าใจผิดคิดว่าคนดีคงไม่รักพี่ แล้วคุณทิมอะไรนั่นก็ดูเหมาะสมกับคนดีเหลือเกิน เหมาะกันจนพี่เทียบไม่ติด”

เขตน์แอบตัดพ้อน้อยใจ ทั้งที่รับรู้ข่าวมาบ้างแล้ว-
ว่านายทิมอะไรนี่เกือบจะทำให้เขาต้องสูญเสียไร่และคนรักไป

“ไม่จริงเลย รินต่างหากที่ไม่มีอะไรดี ไม่คู่ควรกับเขตน์ รินทำร้ายจิตใจเขตน์สารพัด แถมเขตน์ยังต้องแบกรับอะไรมากมายจากสิ่งที่ครอบครัวรินทำ”

นั่นทำให้เขตน์ต้องผละออกมามองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ

“คนดีรู้เรื่องทั้งหมดแล้วเหรอครับ”
อีกฝ่ายพยักหน้า เช็ดน้ำตาตัวเองที่รินไหลเมื่อนึกถึงสิ่งที่พ่อเล่าให้ฟัง

“รินขอโทษที่ทำผิดต่อเขตน์ น้านิลและหม่อมธนา ขอโทษแทนคุณพ่อคุณแม่ แทนหม่อมปู่หม่อมย่า ถึงแม้รินกับครอบครัวจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่รินจะใช้ชีวิตที่เหลือ...” ก่อนจะโผกอดร่างสูงอีกครั้ง

“เพื่อรักเขตน์นะ”
พลางสะอื้นขึ้นมาอีกระลอกยามที่อีกคนกอดตอบกัน เป็นสัญญาณว่านับจากนี้จะไม่มีเรื่องอะไรมากั้นขวางเราสองคนได้อีก

“พี่ให้อภัยต่อทุกคนไปหมดแล้วครับ ไม่ยึดติดหรือโกรธอะไร แค่รินรักพี่ก็ถือว่าพอแล้ว พี่ไม่ต้องการอะไรอีก”

“เขตน์ดีจังเลย ทำไมนะ ทำไมรินถึงปล่อยตัวเองให้โง่มาตั้งสิบกว่าปี-
ทั้งที่มีคนดีๆ ที่รักรินอย่างจริงใจ ยืนอยู่ข้างกันมาตลอด แต่รินก็ยังมองข้าม รินมันโง่ โง่มากๆ” แค่คิดถึงเรื่องอดีตมันก็ทำให้หัวใจนรอนทร์เจ็บช้ำ

เขาช่างโง่งมงาย เสาะหาความรักที่จริงใจจากคนอื่นมาทั้งชีวิต โดยไม่รู้ว่าตัวเองมีสิ่งล้ำค่าอยู่ในมือ

กลับเลือกที่จะปัดมันทิ้งไม่ดูดำดูดี
โชคดีแค่ไหนที่สิ่งๆ นั้นไม่เคยหายไป

ไม่สิ ต้องพูดว่าเกือบจะหลุดมือไปหากเขาไม่สำนึกได้ว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ตนรักและหวงแหนมาตลอด

“เกือบไปแล้ว รินเกือบทำเขตน์หายไป ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆที่กลับมา” พร้อมกับกอดอีกคนแน่นขึ้น

“พี่ก็ขอบคุณที่รินดูแลไร่ของเรา รินเก่งมากๆเลยรู้ไหมครับ”
ร่างสูงหอมหัว พลางลูบเส้นผมอีกคนปลอบโยนกัน

“วันแรกที่พี่กลับมา รู้ไหมว่าที่ทึ่งมากๆ คนดีสามารถทำให้คนงานทุกคนรักได้อย่างไม่มีเงื่อนไข แถมยังดูแลไร่ของเราอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พี่เห็นทุกสิ่งที่คนดีทำ คนดีขุดดิน ผสมปุ๋ย เดินลุยน้ำลุยโคลน ยอมตากแดดตากฝนอย่างไม่นึกรังเกียจ-
ซ้ำยังเรียนรู้ทุกอย่างจากไร่ของเรา รักกุหลาบพี่พ่อที่สร้างมันเอาไว้อย่างจริงใจ พี่ขอบคุณ ขอบคุณมากๆนะครับ”

“เพราะว่าเขตน์ต่างหากล่ะ เป็นเขตน์ที่ทำให้รินยอมทุกอย่าง ยอมเปลี่ยนตัวเอง ยอมเปิดใจทำทุกอย่างให้เขตน์เห็นว่ารินคนนี้ทำได้ และอยากจะขอโอกาสได้แก้ตัว...”
พลางเงยหน้าหอมแก้มร่างสูงเบาๆ

“ขอบคุณที่เขตน์หันกลับมามอง ขอบคุณที่กลับมาหากัน ขอบคุณที่ยังรัก รักคนนิสัยไม่ดีคนนี้”

ร่างโปร่งเคยคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในไม่กี่คนมี้โชคดี เพราะหากคนนั้นไม่ใช่เขตน์ คงไม่มีใครทนคนอย่างเขาได้

และเขาก็อาจไม่สำนึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ดีต่อคนอื่นไว้บ้าง
“จากนี้ไปเรามาสร้างครอบครัวด้วยกันนะเขตน์ ในไร่กุหลาบจะมีเขตน์ มีริน มีเรา...และลูกๆของเราวิ่งไปมา”

สิ้นคำนั้นมันทำให้เขตน์หัวใจพองโต กอดอีกคนโยกไปมาเบาๆ ฟัดแก้มด้วยความชื่นใจ ยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงอนาคตที่มีเขาเข้าไปอยู่ด้วย

มีพ่อ แม่ และเจ้าตัวน้อยในไร่กุหลาบแห่งนี้
“ตลอดไป...” เขตน์เอ่ยขึ้นมาเบาๆ และนรินทร์ไม่คิดฝืนใจที่จะตอบอีกฝ่ายคืน

“ตลอดไป” ก่อนจะจูบเบาตรงริมฝีปากหนาเพื่อย้ำว่าสัญญาตลอดไปของสองเรา จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

เขตน์ยิ้มอย่างมีความสุข สิ่งที่รอกันมาสิบกว่าปียามนี้เป็นดังหวัง เขาหยิบซองเอกสารขึ้นมาจากพื้น
คลี่มันออก จัดการเอาปากกากากบาททับทุกแผ่น เพื่อบ่งบอกว่าเอกสารทั้งหมดต่อจากนี้เป็นโมฆะ

เราสองคนจะไม่พรากจากกันจนกว่าลมหายใจของใครคนหนึ่งจะหายจากไป

จากนั้นจึงฉีกกระดาษจนเป็นแผ่นละเอียด ขยำมันอีกครึ่งพร้อมกับทิ้งลงถังขยะ

สิ้นสุดลงแล้ว เอกสารบ้านั่นจะไม่มีทางโผล่มาให้เห็นอีก
“คนดีตอบพี่ได้ไหม ทำไมคนดีถึงไม่คิดเซ็นยินยอมเป็นเจ้าของไร่กุหลาบของพี่” เขตน์ถามด้วยรอยยิ้ม

“เพราะรินรู้ว่าเขตน์รักที่นี่ ไร่ผืนนี้เป็นของหม่อมธนา เป็นของน้านิล รินจะรับมันไว้ได้ยังไงในเมื่อที่ดินผืนนี้เป็นครอบครัวของเขตน์”

นรินทร์กุมมืออีกฝ่าย
“แล้วรินก็รอให้เขตน์กลับมาเติมเต็มคำว่าครอบครัวที่ขาดหายไปจากไร่ของเรา”

ร่างสูงพอใจในคำตอบนั้น นรินทร์ของเขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ต่อจากนี้เราสองคนจะมีแต่ความสุข

อดีตที่ผ่านมาล้วนเป็นบทเรียนที่เราทั้งคู่จะไปกลับไม่แตะหรือเจ็บปวดกับมันอีกแล้ว

“รินของพี่ พี่รักไม่ผิดคนเลยจริงๆ”
หลังจากเคลียร์ใจกันเป็นที่เรียบร้อย นรินทร์ที่ตัวรุมด้วยพิษไข้ ไหนจะครั้นตามเนื้อตัวถูกสามีอย่างเขตน์โอบอุ้มท่าเจ้าสาวพาขึ้นรถ

โดยมีเพื่อนอย่างเจสอาสาเป็นสารถี พากลับไร่กุหลาบด้วยรอยยิ้มที่เห็นทั้งสองมีคงามสุขด้วยกันเสียที

นรินทร์ที่เพลียตั้งแต่เช้าซุกใบหน้าใสหลับพริ้มในอ้อมกอด
ถูกอุ้มเมื่อลงจากรถไปถึงห้องนอนของอีกฝ่าย ยอมให้เขตน์ป้อนยาและเช็ดตัวอยางเต็มใจ ซ้ำยังหลับสนิทกว่าค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นไหนๆ

"จากนี้ไปไม่ต้องแยกห้องนอนแล้วนะครับ คนดีมานอนกับพี่นะ"

พร้อมทั้งจูบแก้มซ้ายขวาอีกฝ่ายที่เปลือกตาแทบจะปิดสนิทเมื่อยาลดไข้เริ่มออกฤทธิ์
ร่างสูงห่มผ้าให้อีกคนนอนหลับสบาย จากนั้นก็ลุกขึ้นเต็มความสูงกำลังจะเดินออกจากห้องถ้าไม่มีมือของอีกคนเหนี่ยวรั้งกันไว้เสียก่อน

"อือ..."

"อะไรครับคนดี"

"ไม่ให้ไป" นรินทร์พยายามใช้สติสุดท้ายก่อนเข้าสู่นิทราพูดอย่างเชื่องช้าทว่ายังคงจับข้อมืออีกคนไว้แน่น
เขายังหึงเขตน์กับเจส ก็มันหวงนี่นา ถึงผู้หญิงคนนั้นจะพูดว่าแต่งงานกันแล้วแต่สมัยนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ

นรินทร์หวงทุกอย่าง ทุกอย่างที่เป็นเขตน์

"นอนกับรินนะ ได้ไหม" เสียงแหบแห้งออดอ้อนกันอย่างน่าสงสาร และมีหรือที่สามีอย่างเขาจะขัดใจภรรยาผู้เป็นที่รัก
เขตน์ยิ้มมุมปากให้กับมุมแปลกใหม่ของอีกฝ่ายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาอีกคนอ้อนกันจะน่ารักน่าฟัดได้ขนาดนี้

ถ้าไม่ติดว่าไข้ขึ้นน่ะนะ เขตน์ขอสาบานเลยว่านรินทร์ไม่ได้ออกจากอ้อมกอดเขาง่ายๆ แน่

เขตน์ไม่ด้ตอบอะไรอีกฝ่ายกลับไป ทว่ายามที่พื้นที่ของเตียงด้านข้างยวบลง-
พร้อมกับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันก็ทำให้นรินทร์รู้สึกคลายความกังวลต่างๆ นอนหลับสนิทได้อีกครา

เขตน์สอดแขนใต้ท้ายทอยของอีกฝ่ายให้นอนเกยกัน พร้อมกับกอดอีกฝ่ายไว้อย่างหวงแหน คลอเคลียใบหน้าสวยหวาน จุ๊บเบาๆไปที่ตำหนิใต้ริมฝีปากบางซ้ำๆ

"อุ่นจัง กอดรินนานๆ นะ"
"ได้เลยครับ เจ้าหญิงของพี่" เพียงเท่านั้นทั้งคู่ก็หลับตาลง ปล่อยเวลาและปล่อยใจส่งความรักให้กันและกันบนเตียงนุ่มนั้น

พร้อมกับความคิดของเขตน์ที่ว่าหลังจากนี้คงต้องเข้าไปเจรจากับคุณชายกรจริงจังเสียแล้ว

ไม่อยากให้รินเสียหาย

อยากทำมันให้ถูกต้อง อยากมีงานแต่งงานของเรา
หลายวันผ่านพ้นไป บรรยากาศของไร่กุหลาบดีขึ้นเรื่อยๆ นับจากวันแรกที่เขตน์และหญิงสาวชาวฝรั่งมาเยือนไร่แห่งนี้

แรกๆ นรินทร์ยอมรับว่าตัวเองยังมีระแวงเจสอยู่บ้าง มันเป็นอารมณ์หึงหวงมากเป็นพิเศษเพราะเขาเคยเกือบเสียอีกฝ่ายไปแล้ว เลยกลัวไปหมดว่าจะโดนทอดทิ้งอีก
แต่เจสก็ทำให้มั่นใจขึ้นโดยการเลิกเรียกสามีเขาว่าที่รัก ไม่แตะเนื้อต้องตัวหรือหยอกล้อโจ่งแจ้ง ระวังคำพูดตัวเองมากขึ้น

แถมบทสนทนาของมื้อค่ำวันนี้ยังเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

"คุณนารินรู้ไหมคะ เขตน์น่ะดูคลิปยูทูปที่คุณออกทุกอันเลย ดูซ้ำๆเหมือนคนบ้า" เจสหัวเราะเสียงดัง-
กับพฤติกรรมที่เรียกได้ว่าคลั่งรักภรรยาสุดๆ ของเพื่อน พร้อมกับเล่าว่าที่มาที่ไปว่าทำไมเธอกับสามีถึงเจอกับเขตน์ได้

หลังจากเขตน์ตัดสินใจออกจากไร่พร้อมทั้งทิ้งเอกสารให้คุณชายกร เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะขอไปท่องโลกกว้าง เดินทางเพื่อลืมอีกคน และอยากมีเวลาคิดทบทวนชีวิตตัวเองมากขึ้น
เขาไม่เคยมีโอกาสไปต่างประเทศเลย และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขตน์ตัดสินใจกำเงินจำนวนหนึ่งที่เก็บหอมรอมริบ ไม่เคยได้ใช้มัน พร้อมทั้งแบกกระเป๋าขึ้นบ่า ออกเดินทางสำรวจในที่ที่อยากไป

เขตน์ช่างใจอยู่นานมากว่าตัวเองจะไปไหน หรืออยากทำอะไรบ้าง
ทว่าในวันนั้นที่กำลังจัดของใส่กระเป๋าก็ค้นเจอสมุดของพ่อที่เขียนเกี่ยวกับการวิจัยสายพันธุ์กุหลาบไว้และพืชพรรณชนิดอื่นๆที่อยากปลูกในผืนไร่ของตัวเอง

และมันทำให้เขตน์อยากจะศึกษาแนวทางที่คนเป็นพ่อเคยปูทางไว่ให้

การเดินทางของเขตน์จึงเป็นการสำรวจพืชพรรณในแถบประเทศต่างๆ เดินป่าบ้าง-
ขึ้นเขาบ้าง แต่ละทริปที่แวะเวียนไปถึงนั้นแสนลำบาก ถึงกระนั้นก็แทบจะไม่ได้ใช้โทรศัพท์ติดต่อใคร

เรียกได้ว่าหนึ่งปีแรกนั้นเขาแทบไม่ได้แตะโทรศัพท์หรือโลกของโซเชียลเลย มากสุดก็แค่แวะเข้าร้านกาแฟเพื่อเชื่อมต่อวายฟายที่ยากกว่าจะเชื่อมติด แถมยังต้องแลกกับค่ากาแฟหนึ่งแก้วที่แพงแสนแพง
หนึ่งปีของเขาในฐานะนักสำรวจป่ามือใหม่เต็มไปด้วยความลำเค็ญจนกระทั่งเริ่มชินกับการเดินทาง ถึงได้เจอกับสองสามีภรรยาชาวอเมริกันที่ทริปสำรวจสมุนไพรบริเวณป่าแห่งหนึ่งทางฝั่งเอเชียตะวันออก

นั่นทำให้จอห์น สามีของเจสนั้นสนใจมากทันทีเห็นสมุดบันทึกของหม่อมธนาและของเขตน์ที่สำรวจพืชพรรณต่างๆ
'คุณสนใจมาทำงานกับพวกเราไหม'

เป็นคำถามแรกที่จอห์นเชิญชวนอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ นัยน์ตาเป็นประกายเมื่อคิดว่าหากได้ร่วมทำวิจับด้วยกันคงจะสำเร็จแน่ๆ

'ผม เอ่อ...' ร่างสูงปฏิเสธจนกระทั่งวันสุดท้ายของทริปก็ยังคงยืนกรานว่ายังไม่อยากผูกติดกับใครหรือสถานที่ใดในตอนนี้
เพราะเขายังคงนึกถึงใบหน้าหนึ่งแม้ในยามหลับหรือยามตื่น

'ถ้าโชคชะตาทำให้พวกเรามาพบกันอีกครั้ง คุณต้องมาทำงานกับผมนะ' จอห์นเอ่ยขำๆ

ทว่าหลังจากนั้นหกเดือนพวกเขาก็ได้เจอกันอีกครั้งจริงๆ

และเขตน์ก็เป็นคนรักษาสัญญา

บางทีการได้ทำอะไรใหม่ๆอาจจะช่วยทำให้เขาลืมคนที่อยู่ในใจตลอดมาก็ได้
สุดท้าย้ขตน์จึงล้มเลิกการเดินทางสะเปะสะปะ กลายมาเป็นคนอยู่ติดที่ ทำงานให้กับสองสามีภรรยาในองค์กรวิจัยและศึกษาพืชพรรณจากทั่วทุกมุมโลก

และนั่นทำให้เขาได้เปิดมันขึ้นมาอีกครั้ง

โทรศัพท์ที่ไม่ได้ใช้มานานเกือบสองปีแล้ว

เขาเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์จึงไม่รู้ว่ามีใครส่งข้อความมาหากันบ้าง
ทว่าหนึ่งในเบอร์พวกนั้นเขากลับจำมันได้อย่างขึ้นใจ

'หากนายเห็นข้อความนี้ ฉันอยากบอกว่าลูกชายของฉันยังคงรอนายอยู่ ใบหย่าและใบยินยอมรับมอบที่ดิน ลูกฉันได้เห็นมันแล้ว ฉันไม่ได้ขอร้องให้นายช่วยเห็นใจ แต่ยามนี้นรินทร์กำลังลำบากทั้งกายใจ แต่เขาก็ไม่เคยคิดทิ้งไร่กุหลาบที่นายสร้างเลย-
ลูกฉันทำทุกอย่างคนเดียวเพื่อรักษาไร่ของนายไว้ เขาไม่ยอมเซ็นอะไรทั้งนั้นโดยเฉพาะเอกสารมอบที่ดิน เจ้าตัวรั้นว่าตัวเองไม่เหมาะสมจะเป็นเจ้าของ ส่วนใบหย่า นายอาจหาว่าฉันโกหกและเข้าข้างลูกชายตัวเอง แต่รินทุกข์มากเมื่อเห็นลายเซ็นของนายที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้น และยังคงทำใจเซ็นไม่ได้-
เขาขอเวลาสามปีในการรอคอยนายกลับมา วันเดือนปีที่ฉันส่งข้อความนี้ ล่วงเลยมาหนึ่งปีเต็มแล้ว ฉันตามหาช่องทางที่จะติดต่อนายได้หากแต่ลำบากมาก หากนายไม่ต้องการกลับมาก็ไม่จำเป็นต้องตอบกลับหรือเกรงใจกัน ปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไป ครบสามปีเมื่อไรฉันจะจัดการทุกอย่างให้จบเอง-
หวังว่านายจะสุขสบายดีและมีความสุขในเส้นทางใหม่ที่ตัวเองเลือก ฉันจะสนับสนุนมันเสมอ จากคุณชายกร

ps. ไม่ต้องเสียเวลาเปิดดูก็ได้ แต่ฉันอยากให้นายได้ลองเปิดยูทูปค้นหาชื่อไร่ตัวเองดูนะ'

อ่านจบเขตน์ก็ปิดหน้าจอโทรศัพท์ลงพร้อมกับความคิดมากมายที่ไหลเวียนในหัวสมอง
ทำไมกัน อีกคนน่าจะดีใจไม่ใช่หรือที่สลัดเขาให้หลุดพ้นได้

แล้วทำไมถึงไม่ยอมเซ็นใบหย่า ซ้ำยังไม่ยอมมีสิทธิ์ในที่ดินผืนนั้น

เขาไม่อยากใส่ใจหรือเก็บเรื่องอีกฝ่ายมาคิดอีกแล้ว ทว่าตัวเองก็เอาแต่นอนก่ายหน้าผากพลิกตัวไปมาทั้งคืน

มัวแต่คิดเรื่องข้อความที่คุณชายกรส่งมาจนนอนไม่หลับ
เป็นเวลากว่าหลายคืนที่เขตน์หลับไม่ลง ซ้ำยังแอบนั่งเหม่อในเวลางานจนเจสเริ่มสงสัยว่าทำไมเพื่อนเขาถึงมีอาการผิดแปลกจากปกติ

จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขตน์ทนไม่ไหว เปิดคอมพิวเตอร์เข้าเว็บไซต์หนึ่งแล้วคลิปไปที่คลิปวิดีโอนั้น

คลิปที่อีกคนพูดว่าตัวเองมีสามีแล้ว และยังคงรอให้เขาคนนั้นกลับมา
เขตน์มองภาพบนหน้าจอคอมอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง คนที่เขารู้จักมาครึ่งชีวิตยามนี้เปลี่ยนไปมาก ร่างกายซูบผอม ผิวคล้ำแดดจากการทำงานหนัก ซ้ำเขายังเห็นร่องรอยบนฝ่ามือว่ามันช่างหยาบกร้าน

แต่นรินทร์ก็ยังยิ้มด้วยแววตาเศร้าหมอง พูดในคลิปนั้นซ้ำๆ ว่าอยากขอโอกาสหากอีกฝ่ายยังมีเยื่อใยกันอยู่
'ที่รัก ยูดูอะไรน่ะ' เจสที่เป็นห่วงเพื่อนมากกว่าใคร แวะเข้ามาห้องทำงานอีกคนที่เหม่อลอยจนไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าเธอถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาตอนไหน

'โห ไร่กุหลาบเหรอ สวยจัง แล้วนั่นเจ้าของไร่รึเปล่า' ทว่าคำตอบที่ได้กลับทำให้ดวงตาสีน้ำทะเลนั้นเบิกกว้างด้วยความตกใจ

'เขาคือภรรยาของผมเอง'
สุดท้ายคืนนั้นเขตน์ก็เปิดใจยอมพูดเรื่องราวของตนเองเพื่อของให้เพื่อนลองช่วยคิดหน่อยว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี

ไปต่อหรือพอแค่นี้

'ถ้าพูดในฐานะเพื่อนร่วมงาน ฉันคงเห็นแก่ตัวที่จะต้องบอกนายว่าอย่ากลับไป เพราะฉันคงไม่สามารถหาเพื่อนร่วมกันที่มีศักยภาพแบบนายได้ง่ายๆ แต่ถ้าพูดในฐานะสหาย-
ฉันก็อยากบอกว่าอย่าให้เมียนายรอนานเลย เขาอดทนมามากแล้ว และเวลาสองปีกว่านี้มันก็พิสูจน์แล้วว่าเขารักนายจริงๆ ไม่ใช่เหรอ'

เขตน์ใช้เวลาสองสามวันในการนั่งคิดทบทวนตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าจิตใต้สำนึกตัวเองน่ะ คิดถึงและพร่ำเพ้อหาอีกฝ่ายแค่ไหน
'ที่รัก ยูจะคิดอะไรมากมายอีก คิดถึงก็แค่กลับไป ไม่ใช่วันๆ เอาแต่เปิดยูทูปดูหน้าเมียซ้ำๆ อยู่ที่นี่ โน่น ไปเก็บกระเป๋าแล้วกลับไปดูหน้าเมียนายตัวเป็นๆ ซะ'

และนั่นมันทำให้แผนการง้อเมียของเขตน์เริ่มต้นขึ้น

เขตน์ลาออกและยอมแลกให้เจสเข้าไปสำรวจและทำวิจัยในไร่ของเขา
'See you soon!'

กับข้อความอีเมลฉบับสุดท้ายที่เขาส่งไปหาภรรยาที่จะเจอหน้ากันในอีกไม่ช้า

จากนี้ไปจะไม่มีอะไรมาขวางกั้นรักของเราได้อีกแล้ว

คนดี รอพี่นะครับ

รอพี่กลับไปสร้างครอบครัวของเรา..
.
.

กลิ่นเขียวชอุ่มของต้นหญ้าผสมกับกลิ่นหอมเป็นพิเศษจากดอกกุหลาบที่ถูกคิดค้นสายพันธุ์จนกระทั่งไร่กุหลาบคุณเขตน์แห่งนี้เติบโตไปในทิศทางที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวนกุหลาบแห่งความรักบนเขาใหญ๋แห่งนี้

"นิลอย่าวิ่งซนลูก"

เด็กหญิงตัวน้อยวัยห้าขวบกำลังซนได้ที่ ชอบวิ่งเล่นบนทุ่งหญ้ากว้าง
สำรวจต้นไม้กับคุณพ่อ และชอบเล่นเป็นเจ้าหญิงแห่งไร่กุหลาบกับคุณแม่บ่อยๆ

"คุณแม่ดูนี่สิคะ กุหลาบของนิลสวยไหม" เธอหยิบดอกกลีบกุหลาบ 'กุหลาบแม่นิล' เหมือนชื่อของเธอ

และใช่ เขาและเขตน์ตั้งใจตั้งชื่อลูกให้เหมือนกับบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งและไม่อาจลืม
ห้าปีที่แล้วหลังจากงานวิจัยของเจสผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเธอก็กลับประเทศบ้านเกิด มีแวะมาเยี่ยมกันบ้างปีละครั้งพร้อมกับสามีของเธอ

กระทั่งได้รับข่าวดีว่าภรรยาของเพื่อนตั้งครรภ์

'อะไรกัน อย่างนี้ต้องรีบจัดงานแต่งแล้วนะ' หญิงสาวกำชับปลายสายที่ยังคงใจเย็นอยู่ได้ แต่ก็ยิ้มอย่างยินดี
ที่ในที่สุดเพื่อนรักของเธอก็มีชีวิตที่สงบสุข มีความครอบครัวอันอบอุ่นสมดั่งใจปรารถนา

หลังจากนั้นสามเดือนทั้งคู่ก็จัดงานแต่งเล็กบนไร่กุหลาบแห่งนั้น โดยมีเพียงญาติสนิทและคนรู้จัก ไม่ได้หรูหราอลังการหากแต่อบอุ่นไปด้วยบรรยากาศของครอบครัว

นรินทร์ขอเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ส่วนคุณหญิงเนตรตัดสินใจอยู่ร่วมชายคากับคุณชายกรต่อไปในฐานะเพื่อนคู่คิด ถึงแม้หย่ากันแล้วทว่าความหวังดีให้แก่กันยังคงมีอยู่เสมอ

เราอยู่มาด้วยกันเกินครึ่งชีวิตแแล้ว หากหมดลมหายใจเมื่อใด อย่างน้อยลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็ยังมีคนที่แสนดีอยู่ข้างกัน

"คุณย่านิลสวยไหมคะ" เด็กน้อยเอ่ยถาม
อย่างไร้เดียงสา

"สวยสิคะ คุณย่าของคุณพ่อเขตน์น่ะ งดงามที่สุด" นรินทร์ยิ้มให้ลูกสาวอย่างนึกเอ็นดู

"แล้วลูกของแม่ก็สวยเหมือนคุณย่านิลเลย ชื่อก็เหมือนกันอีก"

พลางหอมหัวลูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะปล่อยให้เจ้าหญิงตัวน้อยวิ่งเล่นในทุ่งหญ้ากว้างอีกครั้ง
"คนดีครับ ไม่เดินแล้ว มานั่งพักตรงนี้ดีกว่า เดี๋ยวพี่ดูลูกให้เอง" เสียงของร่างสูงที่ผละจากงานในไร่มาเอาใจเมียที่ชอบเดินเหินไปมา ดูแลลูกไม่ให้คลาดสายตา ทว่ากลับไม่คิดดูแลตัวเอง

เขตน์จึงต้องประคองร่างโปร่งให้กลับมานั่งบนเก้าอี้นวมที่จัดวางไว้หน้าเรือนตรงที่ลูกสาวชอบวิ่งเล่น
พร้อมกับลูบท้องอีกคนไปมา

"ห้าเดือนแล้วนะ คุณหมอบอกว่าไงจำได้ไหม คนดีห้ามเดินบ่อยจนเกินไปนะครับ" พร้อมสายตาที่เป็นห่วงสุดหัวใจ

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เขตน์ยังคงทำหน้าที่สามีที่ดีเสมอต้นเสมอปลายไม่เคยเปลี่ยน

และนรินทร์เองก็ทำหน้าที่แม่และภรรยาให้เขาอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
ร่างโปร่งนั่งลงช้าๆ โดยมีอีกคนนั่งอยู่ข้างกายไม่ห่าง มองลูกน้อยที่ยิ้มร่าเริ่งอย่างมีความสุข ทั้งสองยังคงจับมือกันไว้ไม่คลายออกจากกัน

"ขอบคุณนะครับคนดี คนดีกับลูกคือของขวัญที่พิเศษที่สุดในชีวิตพี่เลย"

และนรินทร์ก็ไม่เคยนึกเสียใจที่ได้ยินคำตอบนั้น
"รินก็ขอบคุณเขตน์ที่ยอมให้กับคนที่เคยนิสัยไม่ดีคนนี้ได้มีโอกาสแก้ตัว"

ก่อนจะพิงไปที่บ่ากว้าง รับสัมผัสจากริมฝีปากที่ประทับลงมาที่หน้าผาก

"ไม่เคยนึกเสียใจที่ได้รักเขตน์เลย"

"พี่ก็เช่นกัน รักนรินทร์คนนี้ที่สุดครับ"

และเราจะจับมือเดินหน้าไปด้วยกันแบบนี้ ไปอีกนานเท่านาน

The End
อ่านต่อตรงนี้ได้เลยค่ะ

• • •

Missing some Tweet in this thread? You can try to force a refresh
 

Keep Current with 𝑺𝒉𝒆𝒓𝒍𝒊𝒚𝒏 🥀

𝑺𝒉𝒆𝒓𝒍𝒊𝒚𝒏 🥀 Profile picture

Stay in touch and get notified when new unrolls are available from this author!

Read all threads

This Thread may be Removed Anytime!

PDF

Twitter may remove this content at anytime! Save it as PDF for later use!

Try unrolling a thread yourself!

how to unroll video
  1. Follow @ThreadReaderApp to mention us!

  2. From a Twitter thread mention us with a keyword "unroll"
@threadreaderapp unroll

Practice here first or read more on our help page!

Did Thread Reader help you today?

Support us! We are indie developers!


This site is made by just two indie developers on a laptop doing marketing, support and development! Read more about the story.

Become a Premium Member ($3/month or $30/year) and get exclusive features!

Become Premium

Too expensive? Make a small donation by buying us coffee ($5) or help with server cost ($10)

Donate via Paypal Become our Patreon

Thank you for your support!

Follow Us on Twitter!