#ป๋อจ้าน #ฟิคป๋อจ้าน

ดาริการู้ดีว่าตนเป็นเพียงลูกคนสุดท้องที่ถูกเดียดฉันท์เพียงเพราะดันเป็นใบ้แต่กำเนิด

ทว่าช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้คนล้มตายและล้วนอดอยากทำให้ถูกพ่อแท้ๆ จับแต่งงานกับปารัต ทหารฝ่ายพันธมิตรที่ชนะสงครามเพื่อแลกเงิน

ทว่าหัวใจกระด้างเสียยิ่งกว่าแผ่นหิน ImageImage
**🚨warning 🚨**

นิยายเรื่องนี้อาจมีความรุนแรง ทั้งทางกายภาพและจิตภาพ มีประเด็นอ่อนไหวเรื่องความบกพร่องทางร่างกาย การเมือง และอาจมีข้อมูลที่ไม่ตรงตามประวัติศาสตร์ ทุกอย่างเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น

และศิลปินในรูปภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หากตามหาดาริกาที่อาศัยอยู่ย่านบางกอกน้อยในช่วงที่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งผ่านพ้นไปหากแต่ผู้คนยังไม่คลายความเศร้าโศกและตื่นผวา คงไม่มีใครรู้จักเท่าใดนัก

มีแต่เพียงคำว่า 'ไอ้ใบ้' ที่จะดูเหมือนเป็นชื่อจริงติดตัวเขาไปเสียแล้ว เพราะย่านนี้มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่เป็นใบ้แต่กำเนิด
สิ่งหนึ่งที่ดาริกาโชคดีคือเขาเกิดมาในครอบครัวที่ตอนเด็กๆ ไม่เคยอดอยากปากแห้งหรือต้องตระเวนหาบของขายอย่างพวกชาวบ้านร้านตลาด

เขาเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัวแซ่ฮั้วที่รุ่นปู่ย่าล่องเรือเสื่อผืนหมอนใบมาพึ่งใบบุญใต้ร่มเงาพ่อหัวท่านจนเจริญรุ่งเรืองได้ถึงทุกวันนี้
แถมยังโชคดีที่บ้านอยู่ในเมืองเพราะมีแม่เป็นถึงลูกคุณหนูที่ต้นตระกูลตั้งแต่รุ่นทวดเคยรับใช้อยู่ในวังทำให้มีพื้นที่ราคาแพงที่ถึงแม้จะมีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อได้ง่ายๆ

แม้นจะแออัดอยู่สักหน่อยๆต้องเดินทางด้วยเรือผ่านทางแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ก็เข้าใจได้เพราะยามนี้จอมพลท่านกำลังปฏิรูปประเทศ
จากสยามเป็นไทย มีการสร้างถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่องให้ทันสมัยตามพวกฝาหรั่งมังค่าที่มีผมและสีตาแปลกประหลาดแถมยังพูดภาษากระไรไม่รู้เรื่อง

ดาริกาเติบโตมาในสังคมที่ดี หากแต่สิ่งนี้ต้องแลกมาซึ่งภาวะบกพร่องทางร่างกายที่ครอบครัวไม่อาจยอมรับได้

เขาพูดไม่ได้ตั้งแต่กำเนิด
และนั่นเป็นปมที่ติดอยู่ในใจครอบครัวแซ่ฮั้วตลอดมานับตั้งแต่ทารกคนนี้ลืมตาดูโลกแต่ไม่เคยได้ยินเสียงร้องไห้เลยสักแอะแม้จะทำท่ากระจองอแงอยู่ในอ้อมแขนมารดาก็ตาม

ทำไมลูกอิฉันร้องไห้แต่ไม่มีเสียง ลูกอิฉันเป็นอะไร

เท่านั้นดาริกาผู้น่าสงสารคนนี้ก็เหมือนกลายเป็นแกะดำของวงศ์ตระกูล
เป็นจุดด่างพร้อยให้กับบรรพบุรุษที่สร้างชื่อเสียงและนามสกุลนี้มายาวนาน

'ไอ้ใบ้ แน่จริงก็ตะโกนให้คนช่วยสิ กูอยากจะได้ยินเสียงของมึงจริงๆว่าจะดังได้แค่ไหน'

ภาพที่ดาริกาถูกเพื่อนในโรงเรียนรังแก จับขังในห้องน้ำบ้าง ไถเงินบ้าง เป็นสิ่งสะเทือนใจของเด็กคนหนึ่งที่ไม่สามารถลบเลือนได้เลย
ร่างโปร่งจึงเรียนจบแค่ชั้นประถมสี่ จากนั้นพ่อแม่ก็อับอายไม่กล้าส่งลูกเรียนต่อหรือแม้กระทั่งพาออกไปแนะนำให้คนอื่นรู้จักนอกบ้าน

เก็บเขาไว้อยู่แต่ด้านหลังร้านขายผ้าของครอบครัวตอนกลางวัน ตกเย็นก็นั่งเรือกลับบ้านที่อยู่ห่างกันแค่เพียงตรงข้ามฝั่งคลอง

ชีวิตดาริกาก็มีเพียงเท่านี้
ทุกวันร่างโปร่งจะตื่นเช้าขึ้นมาช่วยคนงานเปิดร้าน นั่งรอในร้านเงียบๆ เวลามีลูกค้ามาขอซื้อผ้าจำนวนกี่เมตรก็แค่ตัดให้ตรงตามที่สั่ง แล้วรอทอนตังค์เท่านั้น

ดาริกาก็แค่นั่งซื่อๆ ใส่เสื้อตัวหลวมโคร่งที่ไม่เคยพอดีตัวเนื่องจากเสื้อผ้าส่วนใหญ่ได้จากประดิษฐ์ พี่ชายคนโตของแซ่ฮั้วที่โละให้
เนื่องจากตัวเองตัวเล็ก ซ้ำยังผอมแห้งกว่าพี่ชายที่อายุต่างกันหกปี

ไม่มีใครใส่ใจที่จะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เขาเท่าไร เพราะเขาไม่เคยออกไปไหนหรือไปเที่ยวกับใคร ไม่ต้องออกหน้าออกตาเหมือนพี่ประดิษฐ์ที่เป็นถึงข้าราชการ และพี่สาวคนรองอย่างดุษณีที่กำลังเข้าโรงเรียนฝึกเรียนภาษาปะกิด
ดาริกาอ่านหนังสือไม่ออกไม่ไม่รู้ว่าจะอ่านออกไปทำไมเนื่องจากตัวเองไม่มีเสียง กระนั้นก็หูดี ฟังคนอื่นคุยรู้เรื่อง ยกเว้นภาษาขวานผ่าซากอย่างพวกฝาหรั่งตาน้ำข้าวนั่นแลที่เขาไม่เข้าใจ

พี่ดุษณีมักพูดภาษาเหล่านี้บ่อย แลหลายครั้งเวลาเดินผ่านหน้าร้านก็มักจะเห็นพี่สาวมีเพื่อนเป็นคนผมทอง
แถมยังแตะเนื้อต้องตัวเธอด้วย ซึ่งดาริกาไม่ชอบเสียเลย การแตะต้องตัวกันถือเป็นการหยามเกียรติอย่างยิ่ง แลพี่สาวก็เป็นหญิง

ทว่าดุษณีก็เป็นพี่สาวที่ยิ้มกว้าง ใจดีกับเขาที่สุดแล้วในบรรดาครอบครัวทั้งหมด

'เดี๋ยวนี้ไม่มีใครถือเรื่องแตะเนื้อต้องตัวหรอกน้องพี่ ฝาหรั่งเขาก็เป็นกันแบบนี้'
คนที่น่ากลัวและดาริการู้สึกห่อไหล่เกร็งทุกครั้งที่ได้เจอหน้าเห็นทีจะเป็นพี่ประดิษฐ์

พี่ชายคนนี้เป็นข้าราชการที่ประจำอยู่แถวฝั่งธน สองอาทิตย์จะกลับมาเยี่ยมบ้านหนึ่งครั้งเนื่องจากช่วงนี้ท่านจอมพลปรับเปลี่ยนระบบต่างๆ ภายในราชการทำให้ไม่มีเวลาเหมือนอย่างแต่ก่อน
พี่คนนี้ถูกฝึกมาแบบทหาร ฉะนั้นจึงมักหน้าบึ้งตึงเหมือนมีรังสีอำมหิตแผ่ซ่านอยู่ตลอดเวลา ระเบียบจัดแถมยังไม่อ่อนข้อให้ใครง่ายๆ จนบางทีเขาก็คิดว่าพี่ประดิษฐ์นั้นตึงเกินไป ส่วนพี่ดุษณีก็หย่อนเกินพอดี

แต่เขานั้นคงจะน่าสงสารที่สุดกระมัง เพราะไม่มีกระไรโดดเด่นหรือดีเลยสักอย่าง
ไม่ยิ้มง่ายเหมือนพี่สาว ไม่ทำงานเก่งเหมือนพี่ชาย แถมน้อยคนนักที่จะจำชื่อจริงของเขาได้ เพราะโดนใครต่อใครเรียกบ่อยๆ ว่าไอ้ใบ้ตั้งแต่เด็กจนโต

คนรอบข้างไม่อยากรู้จักด้วยเพราะอยู่ใกล้แล้วรู้สึกเหมือนได้รับพลังงานลบ เหมือนคนเศร้าโศกตลอดเวลา แววตาน่าเวทนาราวกับคนไม่เคยรู้จักความสุข
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พ่อของเขาหรือใครต่อใครเรียกกันว่าเถ้าแก่ฮั้วไม่ได้เข้าร้าน เรียกได้ว่าช่วงนี้พ่อเขาหายไปบ่อยๆ

ส่วนแม่ก็ไม่ค่อยสนใจเขาเท่าไรเพราะเธอต้องดูแลคอยป้อนน้ำป้อนข้าวอาม่าที่ชราแล้ว วันๆจึงทำแต่งานบ้าน ซึ่งมีบางครั้งที่ดาริกาถูกแม่ปลุกมาให้ช่วยงานกันตั้งแต่ตีสี่
คอยทำกับข้าว ถูบ้านกวาดบ้านเท่าที่จะช่วยได้

เสียงบานเหล็กของตึกพาณิชย์ถูกดันขึ้นด้านบนจากฝีมือร่างโปร่งและคนงานอีกสองคนที่ช่วยกันเหมือนทุกวัน ก่อนจะทำการจัดข้าวของ กวาดพื้นให้สะอาดเตรียมรับลูกค้าแต่หัววันเช่นเคย

ช่วงนี้ลูกค้าซบเซาไปมาก น้อยคนที่จะซื้อผ้าไปตัดทำชุด
เนื่องจากหลังสงคราม ใครประหยัดได้ก็ต้องประหยัด เศรษฐกิจจึงซบเซา ต่างคนต่างเก็บเงินไว้เพราะข้าวยากหมากแพงเสียเหลือเกิน ซึ่งดาริกามักได้ยินจากผู้เป็นพ่ออยู่บ่อยๆ ว่าร้านเราขาดทุนไปมากโข

ตึกก็เช่าเขาขายของเสียด้วย ต้องเจียดเข้าเนื้อเดือนต่อเดือนเพราะไม่มีไปจ่ายเขา
ทว่าด้วยความที่ศักดิ์ศรีค้ำคอ ซ้ำพี่ประดิษฐ์ก็รักเกียรติยิ่งชีพ จึงไม่ยอมลดตนไปขอความช่วยเหลือใคร ส่วนพี่ดุษณีที่เรียนโรงเรียนดีๆ มาตลอดก็อาจอับอายขายขี้หน้า หากต้องกลับไปเรียนโรงเรียนไทย หรือต้องลาออกมาช่วยค้าขาย

ลำพังเงินของอาชีพข้าราชการจะมีสักเท่าไรกันเชียว ดาริกาคิด
เพราะไม่มีความรู้ จึงคิดไม่ออกว่าสงครามทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร เขามีชีวิตแค่อยู่ไปวันๆ ตื่นมาหายใจ กินข้าว อาบน้ำ ข้ามเรือมาเฝ้าร้าน ขายของ เสร็จแล้วก็นั่งเรือกลับบ้าน กินข้าวแล้วก็นอน

จึงไม่รู้ว่าครอบครัวตัวเองกำลังเป็นหนี้ก้อนโตจากพวกฝาหรั่งเสียด้วย
จวบจนกระทั่งกลางดึกที่ร่างโปร่งจัดการปูผ้านอนพื้นข้างเตียงของห้องอาม่าดังเช่นทุกคืน ก็ได้ยินเสียงเหมือนพี่ชายโวยวายจากชั้นหนึ่งของบ้าน

"คุณพ่อทำเช่นนี้ได้ยังไง ประวัติของผมเสียหมดแล้ว! หากใครรู้เข้าผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เป็นข้าราชการเสียเปล่าครอบครัวกลับติดหนี้นายทุนฝาหรั่ง!"
"หึ! แล้วจะให้ฉันทำยังไง ฉันเป็นหัวหน้าครอบครัวหาเงินเข้าบ้าน ลูกคนโตก็เงินเดือนน้อยนิด อีกคนก็ค่าเรียนแสนแพง ส่วนอีกคนก็เป็นใบ้ พึ่งอะไรไม่ได้สักอย่าง!"

ประโยคสุดท้ายเหมือนมีดที่กรีดไปที่แผลเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำพูดที่ว่าลูกอย่างเขาไม่มีประโยชน์

มีก็เหมือนไม่มี สู้ไม่มีดีกว่า
"แต่คุณพ่อควรทำอะไรไว้หน้าตำแหน่งการงานผมบ้าง ทุกคนก็รู้ว่าอาชีพข้าราชการไม่ได้มาโดยง่าย ถ้าเบื้องบนรู้ว่าครอบครัวเราติดหนี้ ผมโดนปลดแน่!"

"งั้นก็ช่วยกันคิดสิวะ ใครจะไปรู้เล่าว่าไอ้ฝาหรั่งมันจะคิดดอกเขี้ยวขนาดนี้ หึ! มาลงฐานปักหลักที่สยามไม่กี่ปีก็กว้านต้อนซื้อที่ดินเป็นว่าเล่น"
คนเป็นพ่อที่ยังไม่ชินกับคำว่าประเทศไทย ก็ใช้สยามบ้างไทยบ้าง ผิดๆ ถูกๆ ตามประสา ยิ่งคิดเรื่องไอ้ฝาหรั่งที่ขอซื้อตึกแถวที่ครอบครัวเขาเช่าอยู่จากนายเจ๊กคนเก่า ยิ่งแค้นใจ

มันขึ้นค่าเช่า แถมยังคิดดอกในราคาแพงหากไม่จ่ายตามกำหนด ช่วงนี้ผ้ายิ่งขายไม่ดี แล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย
หากปิดกิจการก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร เพราะร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ลูกชายคนแรกยังไม่เกิด นี่ก็ผ่านมาจะสามสิบปีแล้ว ให้ไปทำอย่างอื่นคงยาก

มีอย่างเดียวที่ทำได้ คือเงื่อนไขที่ไอ้นายทุนหัวทองนั่นเสนอ

มันอยากแต่งกับลูกสาวเขา

"ไม่นะคะ ดุษไม่แต่ง ไม่แต่งแน่ๆ!" หญิงสาวโอดครวญ
ทำไมเธอจะไ่ม่รู้ว่าให้นายทุนหน้าเลือดนั่นมันมีเมียมาแล้วกี่คน เมียหลวงมันอยู่ที่อเมริกา หากเธอแต่งกับไอ้บ้านี่ก็ต้องกลายเป็นเมียน้อย

ซึ่งดุษณีเธอเป็นสาวสมัยใหม่ ไม่คิดเรื่องแต่งงานออกเรือน แค่เห็นแม่ลำบากดูแลทั้งสามีและลูกๆ ไหนจะอาม่าอีก มันทำให้เธอขยาด

เธออยากท่องโลกกว้าง-
หากมีโอกาสก็อยากไปร่ำเรียนที่ปีนัง หรืออเมริกาที่ตอนนี้เป็นถึงผู้นำใหม่ของโลกที่เจริญแล้ว แถมยังชนะสงครามได้

"ทีอย่างนี้ล่ะไม่มีใครยอมสักอย่าง แล้วจะให้ทำยังไงวะ สุดปัญญาแล้ว!" คนเป็นพ่อยืนเท้าเอวตะโกนจนได้ยินถึงชั้นบน

"ผมจะจัดการเอง คุณพ่อไม่ต้องไปทำอะไรทั้งนั้น-
แล้วก็ห้ามบังคับยัยดุษด้วย"

"แล้วเอ็งจะทำอย่างไร" คนเป็นบิดาหัวเสียจนเปลี่ยนสรรพนามเรียกลูกตัวเองเสียสิ้น

"กระผมคิดอยู่ อเมริกามันส่งทหารนายหนึ่งมาร่วมงานกับเราตามคำขอของท่านจอมพล แต่ไอ้ทหารนั่นติดเรื่องวีอะไรสักอย่าง ผมก็ไม่เข้าใจนัก"

"วีซ่า" ดุษณีที่เชี่ยวชาญคำฝาหรั่งตอบแทน
"หนังสือเดินทางข้ามประเทศนั่นแล หากไม่มีก็ข้ามมาไม่ได้" เธอพูดเสริมให้คนที่เหลือเข้าใจ

"ตอนนี้มันเข้ามาแล้ว แต่ต่ออายุไม่ได้เพราะระบบของเราล่าช้า เกรงว่าจะหมดอายุและต้องกลับไปกลับมาอีกรอบ เรือบินก็แสนแพงแถมสองสามวันกว่าจะข้ามมาถึง-
ให้นั่งเรือมาก็หลายต่อนัก เห็นทีไปๆมาๆ อย่างนี้คงหลายเดือน ไม่ต้องทำกระไรกันพอดี" ประดิษฐ์กล่าวเสียงเครียด

"เห็นเขาพูดๆ กันว่าจะดีไม่น้อยถ้าไอ้ทหารนั่นแต่งเมียไทยไปเลย มันเองก็อายุมากกว่าผมไม่กี่ปี น่าจะสามสิบ เคยแต่งกับแหม่มแต่หย่าไปนานแล้ว ไร้ซึ่งพันธะ"
พูดจบก็ปรายตามองน้องสาวคนรอง อย่างที่เธอรู้สึกได้เลยว่าพี่ชายกำลังจะพูดอะไร

"ต่อให้เป็นอเมริกัน ไม่มีเมียติดพันฉันก็ไม่คิดแต่งงานอยู่ดี พี่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าฉันน่ะไม่อยากมีครอบครัว อีกอย่างฉันยังเรียนไม่จบเลย จะให้ออกเรือนแล้วหรือ ฉันไม่เอาด้วยหรอก" ดุษณีเบะปากส่ายหน้าไปมา
"วะ! อันโน้นก็ไม่เอา อันนี้ก็ไม่เอา แล้วจะให้ข้าทำยังไง เงินค่าเรียนเทอมหน้าของเอ็งข้าไม่มีจ่ายแล้วด้วยนะจะบอกให้!"

หัวหน้าครอครัวแซ่ฮั้วเท้าเอวชี้หน้าใส่ลูกสาว

"เป็นลูกก็ต้องตอบแทนพ่อแม่ ครอ[ครัวเดือดร้อนเช่นนี้ยังคิดสุขสบาย เรียนบ้ากระไรไม่รู้แสนแพง ไม่ยอมทำงานทำการเสียที!"
ร่างโปร่งที่ปูพื้นหลับตาฟังเงียบๆ บนบ้านในห้องที่มีแม่และอาม่านอนอยู่บนเตียงข้างๆ เขาไม่รู้ว่าคนชั้นล่างเหล่านั้นพูดเรื่องกระไร แต่สักพักเสียงของคนเป็นมารดาที่คิดว่าหลับไปแล้วก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ

"ดา แม่อยากบอกให้รู้ว่าการที่ลูกเกิดมาแม่ไม่เคยนึกรังเกียจ ต่อให้ลูกจะพูดไม่ได้"
ลมหายใจขาดห้างเบาๆ ของลูกชายคนเล็กบอกให้เธอรู้ว่าลูกกำลังฟังเธออยู่เช่นกัน

"ตอนนี้บ้านของเรากำลังลำบากจริงๆ พ่อเขาเหนื่อยมามาก พี่ชายและพี่สาวของลูกก็ต้องทำงานแลเรียนหนังสือ"

แลในทันทีประโยคต่อมาของมารดาถูกเอื้อนเอ่ย หยดน้ำตาของดาริกาคนนี้ก็ร่วงหล่นลงบนหมอน
ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นอันใดแลไม่มีแม้กระทั่งความสามารถที่จะเปล่งถ้อยคำเถียงมันออกมา

เมื่อไม่มีเสียง ก็ทำได้เพียงต้องยอมรับมันใช่ไหม

"แม่รู้ว่าลูกได้ยินที่เขาพูดทุกคำ ลูกช่วยพ่อกับแม่ทีนะ แต่งงานกับไอ้ทหารฝาหรั่งแทนดุษทีได้ไหม เพื่อแม่ เพื่อพ่อ..."

ไม่อยากได้ยินมันเลย

"เพื่อทุกคน"
ร่างโปร่งไม่รู้ว่าทำไมพี่ประดิษฐ์จู่ๆถึงเอ่ยเรื่องทหารอเมริกันผู้นั้นขึ้นมา เขาหลับไปทั้งน้ำตาในคืนนั้น จากนั้นคนในครอบครัวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

ดาริกาไม่มีเสียงหรือสิทธิ์ที่จะถามอะไรอยู่แล้วก็ได้แต่ใช้ชีวิตประจำวันดั่งเช่นทุกวัน ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ จนลืมเรื่องราวเหล่านั้นไปเสียสิ้น
สองสัปดาห์ผ่านไปอย่างเงียบๆ แต่ช่วงนี้ดูเหมือนพี่ประดิษฐ์จะกลับมาบ้านบ่อยขึ้น

บางครั้งดาริกานั่งเรือข้ามฝั่งกลับมาถึงบ้านก็เห็นพี่ชายนั่งกางหนังสือพิมพ์กลางบ้าน เท่านั้นก็ตัวเกร็ง ก้มหัวรีบเดินเข้าบ้านเหมือนคนมีความผิดติดตัวตลอดเวลา

ไม่ชอบสายตาแบบนี้เลย
หมู่นี้พี่ชายคนโตจ้องเขาเขม็งแม้กระทั่งตอนทานมื้อเย็นด้วยกันพร้อมหน้า จากที่แต่ก่อนแทบไม่เคยสนใจกัน นานๆ ทีจะเรียกหาด้วยซ้ำ

แลนี่ก็เป็นอีกวันที่พี่ประดิษฐ์ไม่ได้แค่อยู่บ้าน หากแต่มาหากันถึงร้านขายผ้าตอนช่วงสายของวัน

"ดา.." แค่เสียงเข้มเอ่ยชื่อกันร่างโปร่งก็สะดุ้งโหยงเหมือนเจอผี
"สะดุ้งกระไรขนาดนั้น พี่แค่เรียกชื่อ" คนที่แทบไม่เคยแวะเวียนมาร้านของพ่อเลย วันนี้กลับมาเหยียบถึงที่แถมยังมาตอนช่วงที่เขากำลังฟังละครวิทยุเพลินๆ กับเหล่าคนงาน

ดาริการีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตัวตรงหลังตรง เก็รงไปทุกส่วน หน้าเริ่มซีดพลางจินตนาการว่าพี่ชายคนโตมีอะไรจะพูดกับเขา
ก่อนที่ประดิษจะกวักมือเรียกเข้าไปยังหมวดผ้าสำหรับตัดเสื้อแลกางเกงสูทสมัยนิยม

ดาริกายืนเอามือกุมกันไว้ข้างหน้า ก้มหน้ามองพื้นด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ไม่ทันสังเกตว่าพี่ชายกำลังหยิบแผ่นกระดานใหญ่ที่มีเศษผ้าตัวอย่างหลากหลายสี

"ชอบสีไหน" พูดจบก็ยื่นมาข้างหน้าให้ดาริกาจำต้องเงยหน้าขึ้น
มองอีกคนราวกับว่าตัวเองฟังผิดไปก็ไม่ปาน

ไม่เคยมีใครเคยถามเขาว่าชอบสีอะไร ชอบกินอะไร หรือแม้กระทั่งสิ่งที่ชอบ แลเมื่อไม่มีใครถามเขาจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย

เขาชอบสีอะไรนะ สิ่งนี้สำคัญหรือเปล่า ดาริกาไม่รู้เลย

หรือพี่ชายคิดอยากจะตัดสูทจึงมาที่นี่เพื่อขอความเห็นกัน
ดาริกามองหน้าพี่ชายแวบหนึ่ง พินิจพิจารณาว่าอีกคนน่าจะเหมาะกับสีไหน ผิวของพี่ชายเขาเป็นสีแทนแบบชายชาติทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดี ต่างจากตัวเขาที่ไม่ค่อยออกไปไหนนอกจากบ้านกับร้านขายผ้า ตัวจึงขาวซีดเหมือนคนป่วย ไร้ชีวิตชีวา

นึกได้ก็ชี้ไปที่สีน้ำตาลเทา

"สีนี้รึ?" ดาริกาพยักหน้าเบาๆ
จากนั้นก็รีบวิ่งไปหลังร้านให้พี่ชายเลิกคิ้วด้วยความงงงวย ก่อนจะพบว่าน้องชายคนสุดท้องเข้าใจผิด เมื่อดาริกาหยิบสายวัดวิ่งปรี่เข้ามา ยื่นให้เขาเห็นพร้อมกับพนมมืองกๆ เหมือนขออนุญาตวัดตัวกัน

"ไม่ใช่พี่เสียหน่อย ใครว่าพี่จะตัดชุดกัน" ประดิษฐ์ส่ายหัวไปมากับความซื่อตาใสของน้องตัวเอง
ดาริกาจึงรีบลดมือที่กำลังจะวัดตัวคนตรงหน้า หน้าถอดสีเหมือนคนทำความผิด

เป็นคนโง่อีกแล้ว ชอบทำอะไรให้คนเขาด่าว่าไอ้โง่อยู่เรื่อย

"พี่ถามใหม่ ดาชอบสีไหน สีที่น้องชอบน่ะ"

คำถามเดิมที่คนเป็นพี่เอ่ยขึ้นมาทำเอาคนฟังสายตาวามไหวอย่างที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
มันเป็นเพียงคำถามธรรมดา ทว่าคนใบ้อย่างเขาไม่เคยได้รับความสนใจ การมีใครสักคนมาถามกันแบบนี้ โดยเฉพาะพี่ชายตัวเองที่เหินห่างกันตลอดตั้งแต่เด็กๆ

พี่ประดิษฐ์ไม่เคยเล่นกับน้อง ไม่เคยถามว่าน้องเป็นอย่างไรบ้างและไม่เคยแนะนำใครต่อใครว่ามีน้องชายคนสุดท้อง

แต่กำลังถามว่าเขาชอบสีอะไร
ดาริกายิ้มอย่างดีใจ แววตาน่าสงสารทำเอาคนเเป็นพี่ได้แต่เวทนาอยู่ลึกๆ

พี่ขอโทษน้อง แต่ตอนนี้เรากำลังลำบาก

"เลือกเลย พี่จะตัดชุดให้ดาเป็นของขวัญ อยากได้แพงเท่าไหนก็ได้ พี่ไม่เกี่ยงเรื่องราคา" พร้อมกับลูบหัวร่างโปร่งแผ่วเบา

ดาริกามีความสุข พี่ประดิษใจฐ์ดีกับน้องคนนี้เหลือเกิน
พร้อมทั้งชี้ไปยังสีครีมแสนเรียบง่ายแลราคาถูกที่สุดเพราะเนื้อผ้าไม่ได้แน่นเหมือนผ้าประเภทอื่นๆ

"พี่บอกแล้วว่าไม่ต้องเกรงใจ อยากได้แพงแค่ไหนพี่จะตามใจน้อง"

ทว่าดาริกาก็ยิ้มเช่นเดิม พร้อมกับส่ายหัวเบาๆ เขาอยากพูดเหมือนเกินว่าแค่พี่ซื้อให้ก็ดีใจล้นเหลือแล้ว เสียดายที่เขาไม่มีเสียง
จึงได้แค่พนมมือกลางอก ก้มลงไหว้พี่ชายหลายทีซ้ำๆ อย่างคนซื่อ น้ำตาคลอเบ้ายิ้มหวานดีใจที่พี่ให้ของขวัญกัน

ดาริกาไม่เคยได้รับของขวัญเลย นี่เป็นสิ่งแรก และเขาจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี

เขาได้ยินเสียงพี่ชายตะโกนเรียกคนงานพากันเขาไปวัดตัวที่ร้านตัดเสื้อป้าประไพที่อยู่ห่างกันไม่ไกลนัก
ถือเป็นร้านตัดเสื้อชื่อดังที่แบบเนี้ยบแถมยังตามแฟชั่นสมัยใหม่จนคนหนุ่มสาวหรือแม้แต่ฝาหรั่งยังต้องมาตัดที่ร้านนี้

"จะตัดทั้งทีก็ตัดให้มันงามไปเลย เดี๋ยวนี้สูทมีหลายแบบจนพี่เองก็ตามไม่ทัน เอาเป็นว่าให้ป้าประไพช่วยดูให้แล้วกัน พี่จ่ายให่ไม่อั้น"

ดาริกายิ้มพยักหน้าก้มไหว้คนพี่ซ้ำๆ
"แล้วก็ศุกร์นี้น้องไม่ต้องมาเปิดร้าน พี่จะให้ยัยดุษพาไปร้านเสริมสวยแถวนี้ ตกเย็นก็ใส่ชุดสูทที่พี่ตัดให้นะ เราจะไปงานเลี้ยงกัน"

สิ้นคำนั้นทำให้คนที่กำลังยิ้มด้วยความดีใจ ตื่นเต้นจนตาเป็นประกายเข้าไปอีกกับสิ่งที่พี่ชายกำลังพูดถึง

ไปร้านเสริมสวย แต่งสูท และที่สำคัญ

ไปงานเลี้ยง!
ร่างโปร่งไม่ค่อยได้ไปร้านเสริมสวยสักเท่าไรหากพี่ดุษณีไม่จูงมือขอให้ไปเป็นเพื่อน ส่วนใหญ่มารดาจะเป็นคนตัดผมให้เขาที่บ้านมากกว่า

ส่วนงานเลี้ยงน่ะหรือ ฝันไปเถอะ ใครจะจูงมือพาคนเป็นใบ้ พูดก็พูดไม่ได้ไปงานเลี้ยงสังสรรค์ให้อายคนอื่น

แต่พี่ประดิษฐ์จะพาน้องไป พี่ไม่รังเกียจน้องแล้ว
ตนนึกน้อยใจมาตลอดว่าพี่ๆไม่รัก ทว่าวันนี้ก็ได้รู้ว่าเข้าใจผิด

พี่ประดิษฐ์กับพี่ดุษณีน่ะหวังดีกับน้องเสมอ

ใยเขาจึงเผลอคิดไม่ดีกับพี่ทั้งสองได้ ดาริกาคนนี้มันช่างโง่เขลายิ่งนัก

คนน้องยิ้มแป้นเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะขยับปากช้าๆ ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ออกมาก็ตาม

'ดารักพี่ประดิษฐ์'
และรู้สึกยินดีที่พี่คนนี้ลูบหัวกันอย่างนึกใคร่เอ็นดู

"อืม จงจิตใจเข้มแข็งดั่งหินผา อยู่อย่างอดทน ให้เขารักให้เขาเอ็นดูนะน้องพี่" ชายหนุ่มเชื้อชาติทหารเอ่ยขึ้นอย่างที่ดาริกานึกว่าคนเป็นพี่อวยพรกัน ก็ได้แต่ยิ้มตาใสด้วยความตื้นตันใจ

แบบที่เก็บไปนอนฝันหวานหลายคืน
คืนก่อนวันนัดพี่ดุษณียิ้มกว้างกวักมือให้เขาไปนั่งเล่นที่ห้องนอนตนเช่นเคย

พี่ชายกับพี่สาวเขานั้นมีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเอง ส่วนพ่อกับแม่จะอยู่อีกห้องหนึ่ง ทว่าแม่จะนอนห้องอาม่าเพื่อเฝ้ากันมากกว่า ห้องนั้นพ่อจึงเอาไว้ใช้ทำบาญชีด้วย ส่วนเขานั้นก็ปูฟูกนอนพื้นข้างเตียงใหญ่ของอาม่า
"มานี่มา นั่งข้างหน้า เดี๋ยวพี่จะช่วยสางผมให้" พี่ดุษณีแสนใจดี ชอบหวีผมให้ บางครั้งก็เอาครีมและแป้งหอมๆ มาประโคมหน้าแลแขนขาเขา คืนนี้ก็เช่นกัน

"จะหญิงฤาชายก็ต้องประทินผิวกันทั้งนั้น เวลาคนอื่นเห็นเรา เขาจะได้ไม่ดูถูกเอาได้ว่าเป็นเด็กกะโปโล ไม่ดูแลตัวเองเหมือนพวกทะโมนท้ายคลอง"
เสียงพี่ดุษณีนั้นหวานน่าฟังจนดาริกาแอบเคลิ้ม ซ้ำยังร้องเพลงเพราะ เวลาเปิดวิทยุทีไรเขาจะได้ยินเสียงของเธอคลอไปด้วยตลอด

"ความจริงพี่ไม่เห็นด้วยกับคนในบ้านที่บังคับน้อง..."

ก่อนจะถอนลมหายใจ นัยน์ตาสั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็หวีผมเบาๆ ให้น้องผู้น่าสงารอย่างทะนุถนอมราวกับปลอบใจกัน
ดาริกาไม่เข้าใจว่าพี่สาวพูดเรื่องอะไร แต่ก็เดาว่าคงเป็นเรื่องที่เขาเป็นแกะดำของบ้าน จึงถูกเก็บซ่อนไว้ นอกจากคนในตลาดที่ขายของก็ไม่มีใครรู้นักว่าเถ้าแก่ฮั้วนั้นมีลูกชายสุดท้องอีกคนที่เป็นใบ้

ขนาดคนในที่ทำงานพี่ประดิษฐ์ก็ยังไม่รู้

มีเพียงพี่สาวแสนใจดีที่ไม่เคร่งขนบธรรมเนียมเก่าๆ
แลไม่เคยคิดว่าสิ่งที่น้องชายเป็นนั้นจะน่าอายตรงไหน เมื่อเป็นเช่นนี้คนในครอบครัวก็ควรเอาใจใส่มิใช่หรือ

เธอจึงไม่อายคนในโรงเรียนฝาหรั่งเวลามีใครถามว่ามีพี่น้องกี่คน แลคนน้องเป็นเช่นไร

'ถึงน้องของฉันพูดไม่ได้ แต่มีรูปหน้างดงาม จิตใจก็งาม มีเมตตา ขยันขันแข็ง มิเคยคิดร้ายต่อผู้ใด'
เธอจึงชอบจูงมือคนน้องไปเที่ยวไหนต่อไหนเมื่อมีเวลาว่าง ไม่เคยอายสายตาผู้อื่นที่มองมา

ซ้ำยังบอกอีกว่าในสังคมตะวันตกน่ะ ไม่มีใครเขามาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้กันหรอก ทุกคนมีอิสระ แม้ร่างกายจะพิการก็สามารถมีงานแลชีวิตที่ดีได้

อย่างนี้สินะ พี่เธอจึงชอบเรียนภาษาฝาหรั่งกระไรนั่น
"งานเลี้ยงคืนพรุ่งนี้พี่จะไปด้วย พี่ประดิษฐ์ก็เช่นกัน ที่จริงมันเป็นงานเลี้ยงกระชับมิตรระหว่างทหารไทยกับชาวเมกัน ที่พี่ต้องไปร่วมเพราะต้องแปลภาษาให้พวกนั้นน่ะ" ดาริกาพยักหน้า คลายสิ่งที่สงสัยในใจ

"ส่วนน้อง..." ดุษณีลูบไหล่เล็กๆ บางเบาปลอบโยน

"ถือว่าพี่ๆ พาไปเปิดหูเปิดตาละกัน-
พี่จะคอยอยู่ข้างน้องเท่าที่จะทำได้ ไม่ต้องเกรงกลัวนะ พวกทหารมิได้ใจร้ายหรอก แม้จะนิสัยแข็งกระด้างไปบ้างก็เถอะ จำไว้ว่าอย่าขัดพี่ประดิษฐ์แม้ว่าใจอยากจะขัดแค่ไหน"

จากนั้นก็ถอนหายใจยาวอีกระลอก ปลายเสียงเริ่มสั่นจนคนน้องที่หันหลังให้พี่สางผมให้ต้องเคลื่อนใบหน้าเสมองกัน
"พี่สาวคนนี้ใคร่อยากให้น้องรู้ว่าพี่ทำดีที่สุดแล้ว แต่พ่อแม่ก็เป็นบุคคลที่เราต้องกตัญญู หากพี่ยังขืนรั้นเถียงคำไม่ตกฟากก็คงเป็นเรื่องไม่ดีนัก คนนอกจะครหาเอาได้ว่าครอบครัวเราพ่อแม่ลูกแลพี่น้องทะเลาะกัน"

ดาริกายังคงไม่เข้าใจสิ่งที่พี่สาวคนนี้พูด อยากจะปลอบใจก็พูดไม่ได้
จึงได้เพียงแค่จับมือเรียวของดุษณีมาวางแนบใบหน้า ลูบเบาปลอบใจ ยิ้มหวานดั่งเช่นที่พี่คนนี้ชอบบอกให้ยิ้มบ่อยๆ อย่าทำหน้าเศร้าเลย

นั่นทำให้ดุษณีเกือบน้ำตาไหล ต้องเงยหน้าไล่หยดน้ำตาออกไป เธอสงสารน้องคนนี้เหลือเกิน

ใยฟ้าดินถึงใจดำให้ดาริกาต้องเกิดมามีกรรมหนักเช่นนี้
"น้องรักของพี่ หากออกไปจากที่นี่ได้เมื่อใดได้โปรดจงอย่ากลับมา จงออกบินอย่างอิสระ ไกลแสนไกลเท่าที่จะทำได้นะน้องรัก อย่าหวนกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกเลย ทีนี่ไม่ใช่บ้านอันแสนอบอุ่นของน้องอีกแล้ว จงหาที่ที่เป็นบ้าน เป็นครอบครัวของน้องจริงๆเถิด"

ก่อนจะห่มผ้าชวนน้องให้นอนด้วยกันในคืนนี้
อยากให้น้องคนนี้นอนฝันดี หลับสบายให้มากที่สุด

เพราะไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปในน้องจะต้องเผชิญความลำบาก ต้องตรากตรำลำเค็ญอีกแค่ไหน ดุษณีไม่รู้แลไม่อาจช่วยเหลือได้ดังใจอีกแล้ว

"โปรดจงรู้ไว้ว่าพี่คนนี้รักดาที่สุด"

ดาริกาคนนี้หลับไปอย่างที่ไม่อาจนึกฝันได้ว่าจะมีคืนอันแสนดีเช่นนี้อีกไหม
เช้านี้ดาริกาตื่นเต้นจนกลัวนอนเพลินจนตื่นสาย จึงรีบตื่นตั้งแต่ตีห้าทั้งที่พี่สาวที่นอนข้างเตียงยังหลับสนิท

เขาตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว ให้สดชื่น ถูสบู่เสียหลายทีเพราะกลัวว่าจะสะอาดไม่พอเพราะไม่อยากให้พี่ๆ ขายขี้หน้าในงานเลี้ยงคืนนี้

ลงมาจากบ้าน มองเห็นคนเป็นแม่กำลังกวาดบ้านก็รีบ-
วิ่งจะเอาไม้มาช่วยถูพื้น

"ไม่ต้อง วันนี้ลูกไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวจะเปรอะเปื้อน นั่งอยู่เฉยๆ ให้ร่างกายไม่มีแผลหรือรอยฟกช้ำเป็นพอ"

เท่านั้นดาริกาก็พยักหน้ารัวๆ นั่งบนเก้าอี้ไม้หน้าบ้านเฝ้ารอว่าเมื่อไรพี่ดุษณีจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีก็เห็นว่าหญิงสาวคนพี่-
ใส่ชุดกระโปรงพลีทสบายๆ ถือกระเป๋าที่ข้างในมีชุดราตรีสีชมพูแสนหวานเตรียมไปเปลี่ยนที่ร้านเสริมสวยที่จะพาน้องชายคนดีไปด้วยกันวันนี้

"ตื่นเช้าเสียเชียวนะ พี่ก็นึกว่าน้องหายไปเสียอีก" ก่อนจะหยิบครีมและแป้งชะโลมแขนและขาของน้องให้หอมละมุน

"คืนนี้ดาริกาของพี่จะต้องโดดเด่นในงานเป็นแน่"
พี่สาวพานั่งเรือข้ามฝั่ง เดินผ่านตลาดที่อยู่ไม่ไกลจากร้านขายผ้าของพ่อเท่าใดนัก จากนั้นก็มาถึงร้านเสริมสวยกนกพรที่แสนแพงแลจากชื่อเสียงที่ส่งหญิงสาวศรีสยามส่งเข้าประกวดจนได้รับรางวัลมากมาย

"อ้าว มาแล้วรึ เร็วดีจริง" เจ้าของร้านใบหน้าแต่งแต้มสีจัดเสียจนดาริกายืนอึ้ง ตาระบายสีเข้ม-
ทั้งยังปากแดงเหมือนเลือดนก ทรงผมนั้นสั้นประบ่าแต่ม้วนเป็นเกลียว คาดผมด้วยผ้าลายดอกสีเดียวกับชุดที่ใส่

ไม่ผิดแท้ สตรีสมัยนิยมที่ท่านจอมพลเคยพูดเอาไว้ว่าสตรีควรสวมชุดอย่างไร หญิงคนนี้ก็แต่งได้ไม่ผิดเพี้ยน

"สวัสดีค่ะพี่กนก นี่น้องชายฉันที่จะให้ช่วยแต่งกันวันนี้"
"โอย ไม่ต้องสวัสดีกระไรหรอก คำนั้นฉันฟังแล้วระคายหูนัก สวัสดีกระไร แม้แต่ไทยกับสยามฉันยังพูดผิดๆ ถูกๆ"

หญิงสาวปากแดงหัวเราะร่วน พูดกระโชกโฮกฮาก แถมจริตมือไม้สะบัดไปมาอย่างที่สตรีเรียบร้อยไม่แสดงออกเท่าใดนัก

นั่นทำให้ดาริกายืนมองอย่างมึนงงเพราะไม่เคยเจอคนนอกบ่อยนัก
"มองกระไรฉันขนาดนี้เล่านั่น มานี่เดินตามมา ฉันจะสระผมให้ก่อน"

ก่อนจะโดนหญิงสาวจับมือจนเผลอสะดุ้งให้คนในร้านหัวเราะราวกับว่าดาริกากำลังแตะโดนของร้อนอย่างไรอย่างนั้น

กว่าจะทุกอย่างจะเรียบร้อยดาริกาก็ตัวเกร็ง ซ้ำยังสะดุ้งอีกหลายครั้งตอนแต่งหน้าทาแป้งนั่นแล

"เฮ้อ เสร็จเสียที"
ใบหน้างดงามราวอิสตรี ถูกตัดแลจัดทรงผมให้ให้ปรกหน้าเล็กน้อยดูน่ารักไร้เดียงสาตามนิสัย ผิวขาวดุจใยบัวขับให้ใบหน้าที่แต่งแต้มเพียงแป้งและลิปสีชมพูอ่อนเล็กน้อยเท่านั้นก็สวยระเรื่อราวกับผิวชมอมพูก็ไม่ปาน

"สวยมาก หากเป็นหญิงฉันคงส่งเข้าประกวดศรีสยามปีนี้เป็นแน่แท้" หญิงสาวหัวเราะ
พร้อมกับมองหน้าอีกคนที่ส่องกระจก แววตาตะลึงค้างเหมือนกับที่มองเห็นอยู่นั้นไม่ใช่ตัวเอง

"อึ้งล่ะสิ ไม่คิดว่าตัวเองจะมีใบหน้างามเช่นนี้ใช่ไหม จงจำไว้นะ คนเราจิตใจงามนั้นดีจริง กระนั้นก็ต้องดูแลตัวเองด้วย ผิวพรรณต้องเนียนนุ่ม ใบหน้าต้องสะอาดเกลี้ยงเกลา รู้จักแต่งหน้าแต่งตัว-
สามีจะได้ไม่อายเวลาควงไปงานสังคมอย่างไรเล่า" พูดจบก็เดินจากไปรับลูกค้าคนอื่น ทิ้งดาริกาไว้กับคำถามมากมายในหัวสมอง

แล้วเขาจะดูแลตัวเองไปทำไม ในเมื่อทั้งชีวิตคงไม่มีใครเอาไอ้ใบ้คนนี้เป็นเคียงคู่ครองเรือนหรอก

ต่างจากพี่สาวที่แต่งหน้าทำผมเสร็จแล้วเช่นกัน แถมยังใบหน้าเรียวสวยกว่า-
เป็นไหนๆ ไม่ว่าจะแต่งเต็มหรือใส่กระไรก็ดูดีไปหมด

แต่อย่างน้อยวาสนาอันน้อยนิดก็ทำให้เขามีโอกาสเห็นตัวเองแต่งหน้าแต่งตัวดูแตกต่างจากทุกวันเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้แต่งตัวสวยๆ เช่นนี้อีก

โชคดีของไอ้ใบ้คนนี้แล้วที่มีพี่สาวแลพี่ชายที่รักเขาที่สุด
หลังจากที่ดุษณีแต่งหน้าเสร็จก็พาน้องชายไปร้านตัดสูทที่พี่ชายฝากฝังไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน

สีของชุดนั้นตรงตามที่ร่างโปร่งบอกพี่ชายเอาไว้ว่าอยากได้ทว่าเนื้อผ้าที่คนเฝ้าร้านคอยตัดเมตรผ้าให้ลูกค้าย่อมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ที่ตัวเองเองเลือกไว้ตั้งแต่แรก

ทว่าเนื้อผ้าแน่นแถมตัดได้อย่างปราณีต
สมคำร่ำลือว่าร้านตัดเสื้อประไพนั้นตัดได้งดงามทุกแบบ ทำเอาคนที่ถูกกางแขนกางขาให้เหล่าพนักงานในร้านสวมใส่ แก้นั่นแก้นี่เล็กน้อยยิ้มหน้าบานที่ในชีวิตได้มีสูทกับคนอื่นเขาบ้างแล้ว

ดาริกาคนนี้ขอสัญญาเลยว่าจะไม่ให้สูทตัวนี้เปรอะเปื้อนแม้กระทั่งคราบฝุ่น
เขายืนมองกระจกบานใหญ่กว่าตัวเองสองสามเท่า สำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าที่พี่ประดิษฐ์ให้ร้านตัดเสื้อวานซื้อให้เข้าชุดกัน

"เป็นอย่างไร ชอบไหม"

เจ้าของร้านยิ้มบางนึกใคร่เอ็นดูเด็กตัวน้อยที่ไม่เคยสวมใส่สูท ดาริกาีบพยักหน้ารัวๆ ก้มหน้าไหว้เธอซ้ำๆ ขอบคุณกันจนเธอนึกเกรงใจ
"ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก มันเป็นของซื้อของขาย รับงานรับเงินจากพี่เธอมาแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ คนที่ควรขอบคุณน่าจะเป็นพี่ๆ ของเธอมากกว่า"

ก่อนจะยิ้มบางๆ นึกใคร่เอ็นดูสงสารเด็กน้อยที่เห็นกันตั้งแต่ตัวเล็กๆ นั่งอยู่ในร้านผ้าที่ซื้อกันประจำ

"เติบโตเสียแล้วนะดาริกา"
ก่อนจะลอบมองซ้ายขวาในขณะที่ไม่มีใครเห็น ยัดธนบัตรสิบบาทใส่มือคนตัวเล็กที่พอเห็นจำนวนเงินก็ตกใจส่ายหน้าไปมา จะคืนอีกคนก็ไม่ให้คืนกันเสียนี่

"เป็นของขวัญจากฉัน รับไว้เถิด เอาไว้กินขนม" เท่านั้นร่างโปร่งก็น้ำตาคลอ ขอบคุณน้ำใจที่อีกคนให้กัน

เงินสิบบาทช่างมีค่า ดาริกาผู้นี้จะไม่ลืม
ร่างโปร่งนั่งรอพี่สาวสวมชุดที่ตัวเองเตรียมมา พร้อมให้เหล่าคนในร้านช่วยกันแก้แบบอีกนิดหน่อยให้ดูสวยเพรียวขึ้น

จากสาวแก่นแก้ว คืนนี้พี่ดุษณีกลายเป็นสตรีเต็มตัว ทรวดทรงองค์เอวช่างงดงามราวกับนางกินรีในวรรณคดีอย่างไรอย่างนั้น

"พร้อมไหมคะท่านชาย" หญิงสาวเอ่ยแซวน้องชายตัวเอง-
หัวเราะเบาๆ ให้กับคนที่ถูกแซวทีไรก็เลิ่กลักหน้าแดงจนนึกขัน น้องคนนี้ช่างอ่นอต่อโลกเสียจริง

เพียงไม่นานเสียงของรถยนต์คันหนึ่งก็มาจอดรอถึงหน้าร้าน พร้อมกับคนคุ้นตาที่ยามนี้สวมเครื่องแบบเต็มยศดูน่าเกรงขามแลน่าหวั่นเกรงในเวลาเดียวกัน
ดาริกาตัวแข็งทื่อ ไม่ชินกับเวลาที่พี่ชายสวมเครื่องแบบเช่นนี้เลย ธรรมดาก็เป็นบุคคลที่น่ากลัว ยากจะเข้าถึงอยู่แล้ว ยามนี้กลับดูสุขุมเย็นยะเยือกจนเผลอขนลุกขนพองเข้าไปใหญ่

ถึงแม้จะดูเท่ห์ในสายตาใครต่อใคร แต่ดาริกาน่ะกลัวทหารที่สุด

ทหารเป็นอย่างนี้กันทุกคนไหมนะ ร่างโปร่งคิดในใจ
ชายชาติทหารรูปร่างแข็งแรงกำยำลงจากรถที่หัวหน้าของเขาขอจากเบื้องบนให้เอามาใช้รับคนสำคัญของงานเลี้ยงค่ำคืนนี้

ไม่มีใครรู้แผนการใดๆ และมันจะต้องเป็นความลับเท่านั้น

ทุกแผนการการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับมะกันล้วนมีสัญญาที่ต้องแลก หากอยากได้เงินที่ทั้งชีวิตก็หาไม่ได้-
นั่นต้องแลกกับชีวิตและอิสระของใครคนหนึ่งที่ยอมเสียสละเพื่อชาติแลครอบครัว

ทหารไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ ทว่าอาชีพที่อยู่ในสงคราม ต้องทนเห็นคนอดตายฤาโดนยิงจนสิ้นลมหายใจต่อหน้า จิตใจต้องเข้มแข็งไม่มีหวั่นไหวอ่อนแอให้ใครคนอื่นเห็น

เป็นดั่งเสาใหญ่ที่แข็งแรงให้กับประเทศชาติ
ดาริกายืนตัวเกร็งจนพี่สาวแอบเห็นมือของเด็กน้อยสั่นเทิ้ม จึงต้องรีบลูบหลังปลอบให้คลายความเครียดลง

เฮ้อ เมื่อไรพี่ชายของเธอจะเลิกทำหน้ายักษ์แบบนั้นสักที เห็นไหมนี่น้องดากลัวหมดแล้ว

"ไม่ต้องกลัวนะดา เราจะไปงานเลี้ยงของเหล่าทหารกันจำได้ไหม พี่ประดิษฐ์เลยต้องใส่เสื้อเต็มยศแบบนี้แล"
ดุษณีเองก็จนปัญญาที่จะบอกความจริงกับน้องไปว่าคนที่กำลังจะไปเจอนั้นแข็งกระด้างยิ่งกว่าพี่ชายตรงหน้านี้เสียอีก

แล้วคนที่กลัวทหารต้องมาถูกบังคับให้จดทะเบียนสมรสอยู่กินกับทหารมะกันเนี่ยนะ จะอยู่กันยังไงเธอยังคิดไม่ตก

"ไปกันเถอะ ผ่อนคลายนะดา มันจะไม่เป็นไร"
ดาริกานั่งตัวเกร็งอยู่เบาะของรถ เขาไม่เคยนั่งรถมาก่อน เคยแต่ลงเรือจ้างข้ามฟาก หากไปไกลหน่อยก็ต้องจ้างสามล้อไม่ก็เรือแท็กซี่ ฤาถ้าต้องไปไกลข้ามจังหวัดก็จำเป็นต้องขึ้นรถไฟนั่นแล

การนั่งพาหนะที่คนบางกอกเรียกว่ารถยนต์นั่นคือครั้งแรกในชีวิต

อยากจะจับมือขอความช่วยเหลือให้พี่สาวช่วย-
ปลอบโยนกัน แต่พี่สาวก็ดันถูกบังคับให้นั่งหน้าข้างพี่ประดิษฐ์ที่เป็นคนขับเพราะหากปล่อยว่างไปนั่งเบาะหลังกันหมดจะดูน่าเกลียด พี่ชายคนนี้เป็นถึงทหาร ไม่ใช่คนขับรถเสียหน่อย

ตลอดทางพี่ประดิษฐ์ไม่พูดอะไรเลยสักคำ พี่ดุษณีก็ดูจะเกรงใจพี่ชายไม่น้อย ส่วนเขาน่ะหรือ

พูดไม่ได้อยู่แล้วนี่นา
เลยไม่รู้จะทำตัวอย่างไร มือไม้วางไว้ข้างหน้าลำตัวจนแข็งทื่อไร้ชีวิตเพราะกลัวว่าหากไปแตะบางอย่างในรถเข้าจะเกิดปัญหา

"ดา..."

ทันทีที่พี่ชายพูดชื่อกันเจ้าตัวก็สะดุ้งโหยงเหมือนเห็นผีอีกแล้ว จนคนที่ขับรถอยู่ได้แตส่ายหน้า ขี้กลัวเสียจริง เขาก็แค่เรียกชื่อกันเท่านั้น
"ตอนเข้าไปในงานเลี้ยงห้ามเดินไปไหนคนเดียวเข้าใจรึไม่ เดินตามพี่หรือไม่ก็ยัยดุษเท่านั้น ไม่ก็นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารจนกว่าพี่จะเรียกหา" ดาริกาตัวเกร็งพยักหน้าซ้ำๆ ฟังอย่างตั้งใจ

"ใครถามฤาพูดกระไรก็ไม่ต้องไปใส่ใจฟัง ยกเว้นหากพี่แนะนำตัวให้น้องรู้จักใครก็โค้งไหว้รับ ที่สำคัญ..."
ดาริกาลมหายใจขาดห้วงเมื่อได้ยินคำนั้น

"อย่าให้ไอ้พวกทหารมะกันรู้ว่าน้องพูดไม่ได้ เข้าใจรึไม่"

แล้วเขาจะปฏิเสธอย่างไรในเมื่อแค่พี่ชายให้โอกาสพาออกมางานเลี้ยง แถมยังตัดเสื้อให้ใหม่ในราคาแสนแพง

ให้ดาริกาทำอะไรก็พร้อมทั้งนั้น แม้ใจจะหน่วงลงเล็กน้อยกับคำพูดเมื่อครู่
กระนั้นก็ดีใจที่ได้ออกงานด้วยกันครบสามคนพี่น้อง สำหรับคนเป็นใบ้อย่างเขามันมีความหมายมากที่สุดในชีวิตแล้ว

ไม่นานรถยนต์ก็เลี้ยวเข้าสู่ตึกที่สูงเฉียดฟ้าแบบที่เกิดมาดาริกาไม่เคยเห็นกระไรเทือกนี้ผ่านสายตาชัดๆ มาก่อน ด้านหน้าของตึกมีตัวอักษรถูกทาสีใหม่เอี่ยมอ่อง ทว่าดาริกาอ่านไม่ออก
"โรงแรมเอราวัณน่ะ เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่กี่เดือนนี้เองนะ ไว้รับแขกบ้านแขกเมืองนั่นแล ดูสิ เราสามคนได้มีโอกาสมาเยือนโรงแรมใหญ่เช่นนี้ ช่างน่าตื่นเต้นกระไรยิ่ง"

หญิงสาวดีใจจนเผลอพูดเสียงดังลั่นรถ

"สำรวมหน่อยเถิดยัยดุษ โรงแรมนี้ไม่ใช่ที่วิ่งเล่น-

*โรงแรมเอราวัณสร้างเมื่อปี 2499
แลอีกสี่ปีจะต้องเตรียมไว้สำหรับประชุมสหภาพรัฐสภา เช่นนั้นห้ามทำกระไรสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด ดาก็ด้วย เข้าใจที่พี่สั่งฤาไม่"

หญิงสาวบุ้ยปากพึมพำอย่างหงุดหงิด กลอกตาไปมาแสนเหนื่อยหน่ายกับพี่ชายที่เจ้าระเบียบยิ่งนัก

ส่วนคนน้องน่ะรึ ตอนนี้จ้องกระจกรถจนจะทะลุออกไปข้างนอกอยู่แล้ว
หากพูดได้คงกรีดร้องไม่ต่างจากเธอที่เนื้อเต้นอยู่ตอนนี้หรอก เห็นไหมล่ะ เป็นใครได้มีโอกาสมาโรงแรมใหญ่กลางบางกอกแล้วไม่ตื่นเต้นบ้าง

รถถูกขับเคลื่อนขึ้นไปชั้นบนเรื่อยๆ เหมือนกำลังเล่นเครื่องเล่น ทำเอาคนที่นั่งอยู่เบาะหลังเริ่มนั่งไม่ติดเบาะ

สูงจัง ดาริกาไม่เคยมาตึกสูงเช่นนี้เลย
จากนั้นทันทีที่รถจอดหน้าประตูทางเข้า ก็มีนายทหารสองสามรายที่ป้ายติดยศนั้นดูน้อยกว่าพี่ประดิษฐ์ เปิดประตูให้ดาริกาถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ แต่ก็ก้าวขาสั่นๆของตัวเองออกมา เดินตามคนพี่ต้อยๆ เข้าไปในโรงแรมอันกว้างใหญ่จนเขาดูตัวเล็กไปเลย

จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องที่ไม่ใหญ่มากนัก
ทว่ามีความเป็นส่วนตัวมากโข ซ้ำยังเก็บเสียงในชนิดที่ว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วดาริกาจะนึกว่าไม่มีคนอยู่เสียอีก

ที่ไหนได้ภายในห้องกลับเต็มไปด้วยเหล่าผู้คนในชุดทหาร นั่งและยืนพูดคุยกันไปมา อีกทั้งไม่ได้มีแค่คนไทยเสียด้วย

มีสตรีประปรายในชุดราตรีที่ดูไม่ออกว่าเธอเหล่านี้เป็นภรรยา-
นางบำเรอหรือแค่มาแปลภาษาดั่งเช่นพี่สาวเขาทำ

เสียงเพลงภาษาปะกิดที่ดาริกาไม่เคยได้ยินจากวิทยุคลอเบาๆ อย่างต่อเนื่อง มีทหารทั้งไทยและมะกันบางคนที่เต้นรำกันอย่างสนุกสนานกับหญิงสาวเหล่านั้น

ทุกอย่างมันแปลกตาไปหมด ในชีวิตไม่เคยเจอสังคมกระไรแบบนี้เลย ท่าเต้นรำแบบนั้นก็ไม่เคยเห็น
เขามาทำกระไรที่นี่ ดาริกาคิดวกวนในหัวจนเหงื่อแตกพลั่ก ซ้ำยังฝ่ามือชื้นหนัก กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองหน้าซีดมากก็ตอนที่พี่ดุษณียื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้เช็ด

"ใจเย็นๆ ก่อนดา สิ่งที่เห็นวันนี้มันไม่ใช่ทั้งหมด มันไม่ได้เลวร้ายทว่าน้องแค่ไม่เคยเห็นมันเท่านั้นเอง อีกสักพักน้องก็จะชินและดีขึ้น"
คนน้องยังไม่หายหน้าซีดทว่าก็ดีขึ้นเล็กน้อยจากคำปลอบจากพี่สาว เขารับผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ด สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ

งานนี้เขาจะทำให้พี่ๆ ขายหน้าไม่ได้ พี่ประดิษฐ์อุตส่าห์พาเขามาเปิดหูเปิดตา ฉะนั้นจะต้องปรับตัวให้ได้

เขาน่ะอดทนเก่งอยู่แล้ว แค่ยิ้มเยอะๆ ไม่ทำหน้าบึ้งตึงเท่านั้นเป็นพอ
ดาริกาเดินตามพี่ชายและพี่สาวที่เดินทำความเคารพแลไหว้พวกผู้ใหญ่ที่อยู่ในชุดทหารสีกากีเดียวกันกับพี่ประดิษฐ์จนเขาก็ได้แต่ยิ้มก้มไหว้ตอนที่พี่ๆ แนะนำว่าเขาเป็นน้องคนสุดท้อง

พอพูดว่าน้องคนสุดท้องขึ้นมานั้น พวกทหารชั้นผู้นายเหล่านั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ

"อืม ใช้ได้ๆ" พร้อมกับยิ้มมาทางเขา
นั่นทำให้ประดิษฐ์โค้งรับเกือบเก้าสิบองศาอย่างยินดีที่เจ้านายพวกนั้นพอใจกับสิ่งตรงหน้าที่ได้เห็น

ในขณะที่ดาริกาเริ่มประหม่า

เขาพยายามไม่มองไปยังทหารไทยที่มักจะจ้องกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับพิจารณากระไรบางอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ได้
แต่เพื่อไม่ให้สถานการณ์ดูแย่ลง ดาริการจึงเบนสายตาไปสนใจสิ่งอื่น

เขาถูกพี่ดุษณีพาไปนั่งโต๊ะอาหารวงกลมที่มีชื่อพี่ชายติดอยู่พลางบอกว่าต้องขอตัวไปแปลภาษาให้พวกนั้นก่อน ให้น้องนั่งรอทานอยู่ตรงนี้ หากอาหารมาเมื่อไรก็ทานได้เลย โต๊ะนี้เป็นของเราสามคน
ดาริกาเริ่มสอดส่องไปมาแลเพิ่งสังเกตว่าเครื่องแบบของทหารมะกันนั้นแตกต่างจากของประเทศเขาพอสมควร

ฝาหรั่งผมสีอ่อนสวมสูทสีดำสนิทที่ด้านหน้าติดยศหลากหลายสีตามชั้นยศที่ตัวเองได้รับ พร้มกับสวมหมวกปีกแข็งบ้างอ่อนบ้างตามยศเช่นกัน

เขาเคยเห็นแต่ยามทหารพวกนี้สวมเครื่องแบบสีกากี
ซึ่งนั่นน่าจะเป็นยูนิฟอร์มทั่วไป ส่วนชุดนี้คงมีไว้สำหรับออกงานทางการกระมัง ดาริกาพิจารณามองเงียบๆ

เขากวาดตาสายไปมาเงียบจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านมาถึงกัน แลดูเหมือนความเย็นชานั้นจะถูกแผ่ออกมาโดยใครบางคน

จากสายตาคู่นั้น
ชายที่เขาคิดว่าสวมชุดทหารมะกัน ทว่าผมกลับดำสนิท นัยน์ตาสีนิลไม่เหมือนมะกันทั่วไป

จ้องกันตั้งแต่ทหารสยามไทยนายนั้นพาสองคนนี้เข้ามาในห้อง พาเดินทำความรู้จักคนไปทั่ว

จนกระทั่งเดินมานั่งตรงนี้ โต๊ะตรงข้ามกันกับเขาให้เห็นหน้ากันชัดๆ คิดหรือว่าความแปลกเหล่านี้จะผ่านพ้นสายตาเขาไปได้
แววตาตื่นตระหนกเหมือนคนไม่เคยออกงานสังคม ไม่เคยเห็นคนเต้นรำกัน หรือแม้แต่รู้จักต่างชาติเสียด้วยซ้ำกลับถูกพามางานเหล่านี้

โง่เง่าเสียจริง

ดาริการีบหลบสายตาอันน่ากลัวที่จ้องกันแบบไม่กะพริบตา แถมยังหน้านิ่งสงบจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนคนนั้นกำลังคิดกระไรในใจอยู่
เขาบีบมือตัวเองแน่นด้วยความกลัว

ทหารคนนั้นจะฆ่าแกงกันไหม หรือไม่พอใจกระไรในตัวเขา ดาริกาคนนี้จะทำอย่างไรดี เขาไม่อยากทำให้พี่ๆ ทั้งสองเสียหาย

แต่พอเงยหน้าลอบมองว่าอีกคนเลิกจ้องกันหรือยัง ก็ยังเห็นสีหน้าเดิม ท่านั่งเดิมและสายตาเดิมจ้องกันอย่างกับตัวเองเป็นรูปปั้นที่ขยับไม่ได้
มันทำให้ดาริกาคนนี้อยากร้องไห้ สูดน้ำมูกลึกรีบเอาผ้าเช็ดหน้าของพี่สาวขึ้นมาเช็ดขอบตาเพราะกลัวคนที่จ้องมาจะเห็นว่าเขาร้องไห้

เมื่อไรพี่ดุษจะมานะ พี่ประดิษฐ์ก็ได้ ตอนนี้เขาไม่กลัวใครนอกจากบุคคลตรงหน้านี้อีกแล้ว

"ดา เป็นอะไรทำไมนั่งตัวเกร็งอย่างนั้น ลุกขึ้นมาทักทายผู้ใหญ่เร็ว"
พี่ประดิษฐ์ที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้สะกิดกันจนดาริกาสะดุ้งรีบลุกขึ้นยืนโดยไว หันไปทางนั้นอีกทีทหารอเมริกันผู้นั้นก็หายไปเสียแล้ว

หรือว่า..

สิ่งที่เห็นจะไม่ใช่คน

ว่าแล้วก็รีบเดินตามพี่ประดิษฐ์จนแทบจะสิง นี่เขาเผลอไปลบหลู่เจ้าที่เจ้าทางที่ใดฤาไม่ ใยต้องมาเจอผีสางในโรงแรมด้วย
อยากถามพี่ชายว่าเมื่อกี้เห็นชายที่นั่งตรงข้ามกันเมื่อกี้ฤาไม่ก็ดันเป็นใบ้พูดไม่ได้อีก จะสะกิดชี้ไปมาพี่เขาก็คงไม่เข้าใจ แลเข้าก็ไม่อยากขัดใจให้พี่อารมณ์เสียด้วย

จึงได้แค่เดินก้มหน้า ไล่ความคิดพวกนั้นออก จะเห็นอะไรก็เห็นไปเถอะ เอาไว้ก่อน ประเดี๋ยวพรุ่งนี้จะรีบตักบาตรกรวดน้ำไปให้
"นี่น้องชายของกระผม ชื่อดาริกาครับ" หูของดาริกายังคงได้ยินพี่ประดิษฐ์แนะนำตัวเขาให้ใครสักคนฟัง ซึ่งเขาก็ไม่รู้ได้เพราะยามนี้ความกลัวสิ่งที่ไม่ใช่คนมันมีมากโข จึงทำได้เพียงก้มหน้า

แลไม่ได้สังเกตว่าพี่สาวตัวเองกำลังพูดภาษาปะกิดเพื่อแปลให้ใครสักคนฟัง

"ดา เงยหน้าสิ เร็วเข้า"
ก่อนจะกลั้นใจเงยหน้าเพราะพี่ชายเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อยจากการที่น้องเป็นเป็นกระไรก็ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อครู่ ซ้ำใบหน้ายังซีดเผือดเหมือนเห็นผี

เพียงเท่านั้นแหละ ดาริกาก็เหมือนเห็นผีจริงๆ

ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ผงะถอยหลัง กำมือที่กุมไว้แน่นจนฝ่ามือแดงแจ๋

นี่มัน...ทหารมะกันเมื่อครู่นี่
ชายผู้นั้นจ้องหน้าเขานิ่งเหมือนเมื่อครู่ มันนิ่งเสียจนเขาแอบคิดจริงๆว่าคนคนนี้ไม่ใช่คน ถ้าปากไม่ขยับพูดภาษาปะกิดสำเนียงแบบที่แม้แต่พี่ดุษณียังเทียบไม่ติด

"ดา ท่านผู้นี้คือพลตรีพอล ชื่อจริงที่คนไทยช่วยกันตั้งให้คือปารัต เรียกพี่เขาว่าปารัตนะ"

พี่? ยศขนาดนี้ให้เขาเรียกพี่จริงรึ
แต่ความคิดต่างๆ ก็หยุดลงเพราะเขาพูดไม่ได้นี่นา

เขาจำได้ว่าต้องไม่ให้พวกมะกันรู้ว่าเขาพูดไม่ได้ พี่ดุษณีเลยต้องแปลออกไปแบบนั้นกระมัง เพราะทหารมะกันบางคนก็ฟังภาษาประเทศเรารู้เรื่องแถมยังพูดชัดเสียด้วย

จึงได้แค่พยักหน้าเบาๆ ไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า
"น้องชายกระผมคนนี้เป็นคนขี้อายจึงไม่ค่อยพูดกับคนแปลกหน้าเท่าไรนัก ได้โปรดอย่าเคืองกัน" พี่ประดิษฐ์พูดเป็นทางการ ชัดถ้อยชัดคำท่ามกลางทหารหลายคนที่ล้อมรอบพวกเราทั้งสามเหมือนกับ...

งานดูตัวอย่างไรอย่างนั้น

นัยน์ตาสีนิลยังคงจ้องเขานิ่งจนไม่รู้ว่าภายในใจคิดสิ่งใด
เขาฟังที่พี่ดุษณีแปลแล้วก็พยักหน้าเบาทั้งที่สายตายังคงนิ่งไม่ขยับไปมองอย่างอื่นเลย

และทันใดนั้นเองก็เปล่งประโยคบางอย่างที่พี่ดุษณีแปลแล้วดาริกาแทบลมจะจับ

"ท่านพลตรีปารัตใคร่อยากจะขอเต้นรำกับน้อง จะยินดีฤาไม่"

และดาริกาคนนี้จะกล้าปฎิเสธคนที่มีรังสีอำมหิตแผ่กระจายเช่นนี้หรือ
แต่พี่ทั้งสองลืมกระไรไปหรือไม่ว่าน้องคนนี้ไม่เคยเต้นรำเลยในชีวิต

แล้วจะเต้นอย่างไร ดาริกาผู้น่าสงสารนี้อยากจะร้องไห้ต่อหน้าทุกคนให้มันจบๆ

ทว่าพี่ประดิษฐ์ก็ทำหน้ากดดันใส่กัน ส่วนทหารตรงหน้าก็จ้องกันนิ่งรอคอยคำตอบแบบที่ไม่ขยับเขยื้อนกายไปไหน

นี่คนฤาก้อนหินกัน ไม่คิดจะขยับตัวเลย
จึงทำได้เก็บใบหน้าที่เบะราวกับเด็กน้อยที่กำลังจะร้องไห้ ฝืนยิ้มแห้งๆ พยักหน้าเบาๆ ตอบรับไป

ถ้าปฏิเสธมีหวังอาจไม่ได้กลับบ้าน ฤาไม่พี่ชายเขาอาจเดือดร้อนเพราะทหารผู้นี้น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา มิเช่นนั้นคงไม่มีลูกน้องยืนตามหลังเรียงกันเป็นแถวหรอก

เฮ้อ เต้นก็เต้น เต้นไม่ได้ก็แค่ตายล่ะ
เพียงแค่เขาพยักหน้าตอยกลับไปเท่านั้น พวกทหารลูกน้องที่ยืนเรียงแถวด้านหลังเมื่อครู่ก็แตกฮือเหมือนขยับขยายพื้นที่ให้กว้างและพร้อมสำหรับคู่สำคัญของ 'งานเลี้ยงดูตัว' วันนี้

ทหารผมดำนัยน์ตาดุสีนิลราวกับราชสีห์ เริ่มขยับกายบ้างแล้ว พลางยื่นมือหนามาข้างหน้า โค้งตัวเล็กน้อยทว่างดงาม
ราวกับเทพบุตรก็ไม่ปาน

เขากำลังก้มโค้งขออนุญาตอีกคนเป็นเกียรติเต้นรำในคืนนี้ และนั่นทำให้ดาริกาจำเป็นต้องวางมือเรียวลงไปบนฝ่ามืออีกคนที่พอได้รับสัมผัสก็กุมมือกันไว้รอบ

ฝ่ามือนี้ช่างอบอุ่น ต่างจากสีหน้าของเจ้าของฝ่ามือที่แสนเย็นชา

แลเมื่อฝ่ามืออีกข้างแตะเบาๆที่เอวบาง-
บทเพลงฝาหรั่งแสนหวานของค่ำคืนนี้ก็เริ่มต้นขึ้น

ราวกับชายผู้นี้รู้ทันว่าดาริกาเต้นไม่เป็นแลไม่เคยเข้าสังคมประเภทนี้จึงก้าวเท้าช้ากว่าจังหวะเพลงเล็กน้อย ส่วนอีกคนที่ประหม่าจนตัวเกร็งก็เอาแต่มองฝ่าเท้าไม่ยอมเงยหน้ามามองกัน

ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ปารัตปรารถนา

"เหยียบปลายเท้าฉัน"
ร่างสูงเข้ามาประชิดตัว กระซิบใส่อีกคนเบาๆ แบบที่ได้ยินกันเพียงสองคน เรื่องที่เขาพูดไทยได้นั้นยังคงเป็นความลับ

ทว่าเขาอยากลองใจคนตรงหน้าผู้นี้เสียหน่อยว่าหากได้รู้ว่าเขาพูดภาษาไทยได้จะปากโป้งไปบอกใครฤาไม่

ซึ่งนั่นทำให้อีกคนตกใจสะดุ้ง ตากลมสวยเบิกกว้างด้วยความตกใจ
"ห้ามบอกใครว่าฉันพูดไทยกับเธอ เราจะรู้กันแค่สองคน" หน้ายังคงนิ่งทว่าเสียงนั้นอ่อนโยนลง พลางพยักเพยิดให้อีกฝ่ายเหยียบปลายเท้ากันเบาๆ

แลได้แต่สงสัยว่าทำไมถึงไม่ถามกันว่าเขาพูดภาษาไทยได้อย่างไร

แปลก พิลึกคน ทว่าน่าสนใจ
เพราะเขาเองก็ไม่ชอบคนจุกจิก หากต้องอยู่ด้วยกันคนผู้นั้นต้องไม่มาแทรกเรื่องการงานของเขาไม่ว่าจะภารกิจใดก็ตาม

"รู้จักเพลงนี้ฤาไม่" ปารัตชวนคุยให้อีกคนหายเกร็ง ทว่าจะทำอย่างไรอีกคนก็ยืนตัวแข็ง ก้าวเดินตามเขาเหมือนหุ่นกระบอก ซ้ำยังหน้าไร้สีเหมือนจะร้องไห้

ถามอะไรก็ได้แต่ส่ายหน้า
ไม่ยอมพูดจาด้วย ราวกับเป็นใบ้เสียอย่างนั้น

จบเพลงปารัตจึงหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตะโกนเป็นภาษาปะกิดที่เขาเองก็ไม่ทราบได้ ทั้งที่ยังกุมมือกันไม่ยอมปล่อย

จากนั้นเพลงไทยที่ดาริกาเคยฟังในวิทยุก็ดังขึ้น

'ถึงฟ้าจะกั้นให้ฉันและเธอไกลกันสุดตา หรือว่าภูผาทอดยาวขวางหน้าบังตาแค่ไหน-
แม้มีทะเลเหลือหยั่งคะเนมากั้นเราไว้ อย่าได้ตกใจถึงห่างแค่ไหนก็ไม่สำคัญ...'

นั่นทำให้ดาริกายอมสบตามองกัน

'อำนาจใดๆที่ในโลกนี้ไม่มีความหมาย แม้แต่ภูผาก็อาจทะลายมิอาจขวางกั้น รักเรามีปีกบินหลีกข้ามฟ้าไปมาหากัน ขอให้รักฉันแน่นอนเท่านั้นฟ้าดินเกรงกลัว'

*ฟ้ามิอาจกั้น : สวลี ผกาพันธ์
อาจเป็นเพราะดาริการู้ความหมายของเพลงว่ามันไม่ต่างจากการถูกหยอดถูกเกี้ยว ใบหน้าที่ซีดเผือดยามนี้จึงแดงระเรื่อดั่งลูกมะเชือเทศสุกก็ไม่ปาน ซ้ำยังไม่กล้าเต้นต่อไปอีกจึงพยายามสะบัดมือดอกจากการเกาะกุม

มิได้ดอก ดาริกาไม่อยากฝัน

เขาเป็นใบ้ อีกคนยังไม่รู้ แลถ้าหากรู้ก็คงรังเกียจกัน
แม้แต่คนรู้จักก็ไม่เหมาะ ไม่มีสิ่งใดที่ดหมาะกันสักอย่าง

"ทำไมล่ะ ฤาเธอไม่ชอบเพลงนี้ อยากให้ฉันเปลี่ยนรึไม่" ชายหนุ่มนัยต์ตาเข้มถามทั้งที่หน้ายังคงนิ่ง แลคงไม่เข้าใจถึงความหมายของเพลงว่ามันลึกซึ้งเช่นไร

ดาริกาตัวแข็งทื่อ ตัวเริ่มสั่นเทิ้มเล็กน้อย เขาอยากกลับบ้านแล้ว
จบงานเลี้ยงคืนนี้ก็ต้องกลับไปสู่ความจริง

คามจริงที่เขาเป็นแค่คนใบ้ที่ตื่นขึ้นมาช่วยพ่อเฝ้าร้าน กินข้าว ขึ้นเรือกลับบ้านแล้วก็นอนเช่นทุกค่ำคืน

ชีวิตไม่มีวันได้บรรจบแลพบกัน

ทว่ายังไม่ทันจะคิดผละออก อีกคนที่ไม่รู้วัฒนธรรมไทย เพียงแค่อยากจะให้อีกคนหายเกร็งกลัวกันก็เข้ามาประชิด
ทำตามแบบฝาหรั่งที่เวลาปลอบโยนหรือทักทายก็แค่หอมแก้มกันเล็กน้อย

ซึ่งเขาไม่รู้ว่าแก้มใสของดาริกาคนนี้มิเคยผ่านมือชายใด คิดเพียงแต่ว่าวิธีนี้คงจะปลอบใจกันได้กระมัง

ปารัตจึงประทับริมฝีปากลงบนแก้มใสเบาๆ ที่พออีกคนรู้สึกได้ว่ากำลังโดนขโมยหอมแก้มก็สะดุ้งสุดตัว

"อย่ากลัวฉัน ดาริกา"
เท่านั้นคนที่โดนช่วงชิงแก้มหอมก็เบิกตากว้าง หากตัวเองมีเสียงคงจะกรีดร้องออกไปแล้วทว่ามีแต่เสียงสะอึกในลำคอเล็กๆ เหมือนคนตกใจสุดขีด

เขาโดนคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงชั่วยามฉวยโอกาส

ตึก ตัก...

แต่ทว่าหัวใจไม่รักดีดวงนี้กลับเต้นหนักจนแทบทะลุอกแลคาดว่าอีกคนคงได้ยินมัน
สีหน้าดาริกายามนี้เหมือนคนจะร้องไห้เพราะโดนรังแก หยาดน้ำใสคลอเบ้า ปากเบะเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าคนตรงหน้าอาจกลั่นแกล้งกันให้อับอาย

เพราะสายตาทุกคนในงานเลี้ยงยามนี้จดจ้องมาที่คนทั้งคู่เหมือนรอลุ้นอะไรบางอย่าง

ดาริกาอยากถามเหลือเกินว่าเหตุใดจึงทำเช่นนี้ นึกจะจูบใครก็จูบอย่างนั้นฤา
แต่นั่นคือสัมผัสแรกของเขาที่ไม่เคยให้ผู้ใดได้แตะต้องมาก่อน

ถึงจะเป็นแค่แก้ม แต่มันก็เป็น...

จูบแรก

แม้นเขาจะเป็นแค่คนใบ้ กระนั้นก็อยากให้สัมผัสเหล่านั้นกับคนที่รักที่สุดถึงแม้จะรู้ตัวว่าคงไม่มีวันที่จะมีใครคนไหนมารักกันก็ตาม

จูบ...จูบ...ดาริกาคนนี้โดนจูบแก้มเสียแล้ว
เขาจะมีหน้าไปมองใครอีก หากเรื่องนี้รู้กันไปถ้วนทั่วอจโดนตราหน้าเอาได้ว่าเป็นคนไม่รักนวลสงวนตัว ทำให้พ่อแม่แลครอบครัวอับอาย

จูบนั้น จูบเดียว

ในหัวของดาริกามีแต่คำว่าจูบเต็มไปหมด

"ได้ยินที่ฉันพูดฤาไม่ ดาริกา...ดาริกา" เจ้าของชื่อสะดุ้งอีกครั้งก็เห็นว่าบทเพลงนั้นจบลงเสียแล้ว
ซ้ำยังเผลอไปสบตากับคนตรงหน้าอีกระลอกให้หัวใจเต้นหนักน่าอายนัก

หัวใจไม่เชื่อฟังกันเลย

แลดูเหมือนชายผู้นี้จะรู้ทันเสียด้วยว่าเขาน่ะแทบอยากจะเอาหน้ามุดดินไปเสียซะตรงนี้เลย

"มิต้องอายหรอก เธอคุยกับฉันแค่สักคำมิได้ฤา ก่อนเราจะจากกันในค่ำคืนนี้" ปารัตลูบฝ่ามือเล็กที่ประคองไว้เบาๆ
กระนั้นสายตายังคงนิ่งสงบราวกับพิจารณากระไรบางอย่าง

เมื่อคำถามจากปากปารัตถูกเอ่ยขึ้น เท่านั้นแววตาของดาริกาก็เศร้าลง เขาบอกคนตรงหน้าไม่ได้ แลมันคงจะต้องเป็นความลับตลอดกาล

ภาวนาแค่ว่าหากชายผู้นี้ยังมีวาสนา ได้โปรดอย่าพบเจอคนกรรมหนักอย่างเขาอีกเลย
ไม่อยากให้อีกคนผิดหวังที่ครั้งหนึ่งฝ่ามืออันอบอุ่นคู่นี้เผลอแตะต้องของไร้ราคาแถมยังบกพร่องทางร่างกาย อีกฝ่ายเป็นถึงทหารยศใหญ่

แล้วเขาน่ะมีดีอะไร

ฉะนั้นให้มันจบไว้เท่านี้เถิด ถึงแม้ฝ่ามือนี้จะทำให้เขารู้สึกอบอุ่น แลสัมผัสที่ทิ้งไว้ที่แก้มใสจะทำให้หัวใจของดาริกาดวงนี้เต้นแรงก็ตาม
ดาริกาส่ายหน้าเบาๆ แววตาหดหู่สะท้อนออกมาชัดเจนจนอีกคนรู้สึกได้

เหตุใดน้องคนสุดท้องของนายทหารคนนี้ถึงได้แลดูเศร้าสร้อยถึงเพียงนี้ ทั้งที่พี่ชายแลพี่สาวก็ดูมีความสุขแถมมีการมีงานที่ดีไม่น้อย

หรือเพียงแค่พูดกันสักประโยคก็ยังรังเกียจกันกระนั้นฤา

"เธอรังเกียจฉันรึ"
ดาริกาได้ยินที่อีกคนเข้าใจผิดก็รีบส่ายหน้ากลับ ทว่าจะมีเหตุผลอะไรเล่าในเมื่อเขาพูดอะไรออกไปไม่ได้ จะบอกว่าไม่ได้รังเกียจก็ไม่รู้จะแสดงออกเช่นไร

จึงได้แต่ถอดใจ ผละมือเล็กออกจากการเกาะกุมของอีกคน

ก่อนจะโค้งตัวบอกลา ถึงเวลาต้องจากกันเสียที

"ฉันจะทำให้เธอพูดกับฉันให้ได้ ในสักวัน"
ระหว่างนั่งรถยนต์กลับบ้านดุษณีได้แต่เหลือบมองกระจกหลังที่น้องคนสุดท้องเอาแต่เหม่อมองออกไปทางกระจกด้านข้าง แต่ทว่าสายตากลับไปได้จดจ้องแสงสีของรถแลตึกรามบ้านช่องยามค่ำคืนเสียเลย

เอาแต่ใจลอยตั้งแต่การเต้นรำกับพลทหารมะกันคนนั้นจบลง

เธอไม่รู้ว่าทหารคนนั้นทำดีกับดาริกาหรือไม่-
สิ่งนั้นทำให้เธอหนักใจ เพราะเธอกับคนอื่นเห็นเต็มตาว่าน้องของตัวเองโดนหอมแก้มอย่างที่ไม่รู้เลยว่าจงใจหรือแค่อุบัติเหตุ

แต่หลังจากนั้นสีหน้าของดาริกาก็หมองลง

น้องคงไม่ชอบพอในตัวพลตรีผู้นั้นกระมัง ถ้าอย่างนั้นจะทำเช่นไรดี เลยได้แต่ภาวนาว่าชายมะกันผู้นั้นจะไม่เลือกน้องเธอ
ใช่ว่างานดูตัวจะมีแค่น้องเธอคนเดียวที่ถูกเลือก มีเหล่าพลเรือนไทยมากมายที่ส่งญาติตัวเองที่คิดว่างดงามแลเหมาะสมจะเป็นภริยาของนายทหารฝาหรั่งที่สุดเข้าดูตัวเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน

แลน้องเธอก็คือหนึ่งในนั้น

ที่เขาว่ากันว่าเม็ดเงินนั้นสำคัญกว่าความรักเห็นทีจะจริงแท้-
เพราะทางกองทัพอเมริกันยอมทุ่มไม่อั้นหากสามารถทำให้พันตรีพอลฤาปารัตผู้นี้สามารถอยู่อาศัยในไทยได้อย่างสะดวกโดยไม่มีปัญหาเรื่องการเข้าออกประเทศ

เม็ดเงินที่ได้นั้นไม่ใช่แค่ใช้หนี้หมด แต่สามารถชี้นิ้วเลือกตึกแถวใหม่ใจกลางพระนครได้สบายๆ แถมมีกินมีใช้ไปตลอดชีวิตเลยด้วยซ้ำ
เงื่อนไขดีเช่นนี้ใครบ้างไม่อยากได้มัน ซึ่งก็ยอมรับว่าตอนนี้ครอบครัวตระกูลฮั้วกำลังเดือดร้อนเสียเหลือเกิน หากการที่ดาริกาแต่งงานออกเรือนไปนอกจากจะไม่เป็นภาระของครอบครัวอีกต่อไป

เงินที่ได้ก็สามารถอุ้มชูทุกคนที่เดือดร้อนจากพิษเศรษฐิกิจหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ได้
รู้ว่าเห็นแก่ตัว แลคิดชั่วแค่ไหนที่ขายลูกขายน้องกิน

อยากขอโทษจากใจ อยากให้ดาิรกาให้อภัยพี่ ให้อภัยพ่อกับแม่ด้วยเถิด ทว่าหากเด็กน้อยไร้วาสนาอย่างดาริกาคนนี้ไปอยู่ตรงนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะสุขสบายแลมีความสุขกว่าอยู่กับครอบครัวสัปปะรังเคที่มีดีแค่เปลือกนี้
หลังจากงานเลี้ยงคืนนั้นดาริกาก็เก็บชุดสูทนั้นใส่ตู้เสื้อผ้าที่ลึกที่สุด บอกกับตัวเองในใจว่าเขาน่ะไม่เหมาะจะไปงานสังสรรค์อะไรพวกนี้ ไม่คู่ควรที่จะพาตัวเองไปยืนอยู่จุดตรงนั้น จุดที่ตัวเองไม่อาจเอื้อม

จึงได้แต่ย้ำเตือนกับตัวเองว่าตื่นได้แล้ว ชีวิตจริงสิ่งนี้ต่างหาก
ตื่นมาหายใจ นั่งเรือไปเฝ้าร้านให้พ่อ ยืนโง่ๆ เวลาลูกค้าแวะมาดูผ้า หากเขาอยากได้ผ้ากี่เมตรก็แค่ตัดให้ รับเงิน ทอนเงิน เสร็จแล้วก็นั่งเรือกลับบ้าน กินข้าวอาบน้ำแล้วก็นอน

นี่คือชีวิตจริงต่างหาก ชึวิตจริงที่ดาริกาต้องย้ำเตือนกับตัวเองทุกวันว่าคงอยู่แบบนี้ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ
หากแต่ทุกคนในบ้านรู้ว่าแม้นจักพูดไม่ได้

ใช่ว่าจะไม่รู้สึก

เจ้าตัวเอาแต่เหม่อลอย จากที่หดหู่อยู่แล้วยามนี้ยิ่งทวีคูณเข้าไปใหญ่ ข้าวปลาอาหารก็กินน้อยลง จากที่ทุกคืนที่เข้ามานั่งเล่นด้วยกันที่ห้องของดุษณีก่อน ยามนี้ก็เอาแต่เดินไปปูผ้านอนตั้งแต่หัววัน ไม่ยอมสุงสิงกับผู้ใด
ใครเล่าจะมารู้หัวใจของดาริกาผู้นี้ ว่าแม้แต่ยามหลับตาใบหน้าของชายผู้นั้นก็มาปรากฎให้เห็น

ยอมให้ชายผู้นั้นเป็นผีสางอย่างที่คิดไว้ตอนแรกเสียยังดีกว่า เพียงแค่ตักบาตรกรวดน้ำก็อาจเลือนหายไปไม่มารบกวนอีก

หากแต่ผู้นั้นเป็นคนแลสัมผัสที่ถึงแม้จะผ่านมาเป็นสองสัปดาห์แล้วทว่ามันยังไม่คลาย
สัมผัสเวลาชายผู้นั้นลูบฝ่ามือเบาๆ รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ขยับตามจังหวะเสียงเพลงไปพร้อมกับอีกคนที่โอบเอวกัน เสียงเข้มที่เอ่ยว่าอยากได้ยินเสียงกันแค่ไหน

แลจูบนั้น...ที่แก้มนวล

มีเพียงน้ำตาช่วยปลอบใจกันให้ผ่านพ้นแต่ละค่ำคืน เฝ้าบอกใจตัวเองว่าอย่าได้พร่ำเพ้อคิดถึงชายผู้นั้นอีกเลย
บางทีชายผู้นั้นอาจเป็นความหวังฤาแสงสว่างแสงแรกที่เข้ามาในชีวิตอันมืดมนของดาริกาผู้นี้ แลเขารู้ดีว่ามันอิทธิพลต่อหัวใจแค่ไหน

คนที่มิเคยมีความหวัง กลับรู้สึกมีความหวังใหม่ขึ้นมาเมื่ออีกคนแค่เอ่ยว่าอยากเต้นรำด้วยกัน อยากรู้จักกัน แลอยากได้ยินเสียงกัน

แต่ดาริกาผู้นี้ทำให้ไม่ได้
วันนี้ก็เป็นอีกวันเช่นกันที่ดาริกามิได้มีใจฟังละครวิทยุที่เจ้าตัวมักจะร่วมฟังกับเหล่าคนงานตอนช่วงสายๆ เอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกร้านดั่งคนไม่มีจุดหมายปลายทางในชีวิต

ไม่รู้แม้กระทั่งว่าพี่ประดิษฐ์เดินเข้ามาในร้านตั้งแต่เมื่อไร

"ดา ดา น้องได้ยินพี่รึไม่" พี่ชายคนโตสะกิดน้อง-
ที่เรียกหลายทีแล้วไม่ได้ยินกันเสียที หมู่นี้ไม่รู้เป็นกระไรนักหนา ทำตัวราวกับไม่มีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

อีกฝ่ายที่เพิ่งจะไ้ด้ยินเสียงพี่ประดิษฐ์เรียกก็สะดุ้งตกใจ ทำหน้าเลิ่กลั่กอีกตามเคย

"เมื่อครู่พี่บอกว่าช่วยไปซื้อโอเลี้ยงที่ร้านแปะกวงท้ายซอยหน่อยได้รึไม่" ก่อนจะยื่นเงินให้
นั่นทำให้คนที่เหม่อมานานสีหน้าเครียดขึ้นมาทันใด ท้ายซอยนั่นไกลจากร้านเขานัก แต่นั่นไม่หนักเท่าพวกขาโจ๋ที่ชอบรังแกแลไถตังค์คนที่อ่อนแอกว่าไปทั่วนั่นแล

เป็นไปได้เขาจึงไม่เดินไปตรงนั้นเลย ซ้ำห่างไปไม่กี่ตึกแถวร้านกาแฟก็มีให้ซื้อ เหตุใดต้องถ่อไปไกลถึงท้ายซอยด้วยเล่า
"โอเลี้ยงต้องร้านแปะกวงเท่านั้น" นั่นคือคำตอบที่อีกคนให้กัน

ดาริกาพยายามสอดสายตาไปหาคนงานในร้านให้ช่วยเหลือกันทว่าพวกนั้นก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับลูกค้าที่มาซื้อผ้า จึงเหลือแค่เขาคนเดียวแล้ว

พี่ประดิษฐ์ไม่ค่อยได้มาที่ร้านจึงไม่รู้ว่าไม่ค่อยมีใครอยากไปแถวนั้นหรอก นอกจากพวกทหารที่กล้า
เพราะพวกจิ๋กโก๋แถวนั้นคงไม่กล้ามีเรื่องกับพวกทหารไทยแลฝาหรั่งหรอก

สุดท้ายจึงต้องจำใจก้าวขาออกจากร้านไปทั้งที่สองเท้าแทบไม่มีแรง นานแล้วที่ไม่ได้ไปแถวนั้นแลหวังแต่เพียงว่าเจ้าตัวจะดวงดี ไม่โดนใครทำร้ายกลับมา

แลเมื่อสองเท้าก้าวถึงหน้าร้านก็เป็นพวกทหารมะกันกลุ่มหนึ่งนั่งกินกาแฟ
ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เขาจะเห็นชาวมะกันเดินไปทั่วตลาดบางกอกน้อย จึงคิดแค่ว่าก้มหน้าเอาไว้ ไม่ต้องสบตาใครก็เพียงพอเพราะไอ้ใบ้อย่างเขาหากไปมีเรื่องกับใครก็มีแต่จะแพ้

ร่างโปร่งที่ใส่เสื้อตัวโคร่งของพี่ชายเช่นเคย แต่งตัวที่ดูก็รู้ว่าครอบครัวคงไม่ได้ใส่ใจกันเท่าไร รองเท้าแตะเก่าๆ-
ที่ไม่รู้ว่ามันจะขาดเมื่อใด ถูกใส่ซ้ำๆ จนสีเลือนกลายเป็นคราบฝุ่น

ยืนถึงเศษตังค์หน้าร้านที่แปะกวงกำลังเทชาร้อนใส่แก้วให้ลูกค้าทหารมะกันที่นั่งอยู่ในร้าน

"อ้าว ทำไมมาถึงที่นี่ อั๊วบอกแล้วไงว่าอย่ามา เดี๋ยวก็โดนไอ้พวกนั้นรังแกอีก"

ดาริกาได้แต่ส่ายหน้า พลางชี้ไปที่ป้ายใหญ่ๆ-
ที่เขียนว่าโอเลี้ยงสูตรเด็ดร้านแปะกวง

"จะกินโอเลี้ยงเหรอ เอากี่ถุง เดี๋ยวอั๊วทำให้แล้วรีบๆไปซะ"

ดาริากรีบพยักหน้าพลางประนมมือไหว้ขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าเมื่อใดคนในตลาดก็ยังมีเมตตาใจดีกับเขาเสมอ

แต่ก็แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ทันทีที่ดาริการับถุงโอเลี้ยงมาจากแปะกวง เขาก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามือใหญ่ที่บีบมาที่ไหล่บางอย่างแรงพลางเอ่ยเสียงที่เขานั้นจำได้ดี

"ไงไอ้ใบ้ ไม่เจอกันนานเลยนะมึง!"

ร่างโปร่งเบ้หน้าน้ำตาเล็ดด้วยความเจ็บ เสียงสะอึกออกมาเล็กน้อยเนื่องจากไม่มีเสียงที่จะร้องมันออกมาได้

"อึก..."
"เฮ้ย! มาทำอะไรหน้าร้านอั๊ว ไม่งั้นอั๊วจะแจ้งตำรวจ" แปะกวงตะโกนไล่พวกขาโจ๋สองสามรายที่พอเห็นไอ้ใบ้เดินมาก็คิดสนุกอยากจะแกล้งมันสักหน่อย แต่ในร้านดันมีพวกมะกันอยู่เสียนี่

"อะไรเล่าแปะ พวกฉันยังไม่ได้ทำกระไรเลย แค่ทักทายเพื่อนเก่าก็เท่านั้น ใช่ไหม ไอ้ใบ้!"
คำว่าไอ้ใบ้ถูกตะโกนดังชัดเจนทะลุเข้าไปภายในร้านที่พวกทหารมะกันเริ่มชะโงกหน้าออกมาดู พวกมันยังคงหัวเราะอย่างสะใจที่ทำให้เขาร้องไห้ตื่นกลัวได้สำเร็จ มือที่ถือถุงโอเลี้ยงนั้นสั่นไปหมด

"ดูนั่น สั่นกระไรขนาดนั้นวะ อย่าฉี่แตกนะมึงกูอายเขา ใบ้ไม่พอยังปัญญาอ่อนอีก ฮ่าๆๆ"
นั่นทำให้ดาริกาทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาสะอึกสะอื้นร้องไห้ออกมา ปล่อยให้น้ำตารินไหล กำลังจะเดินหนีออกไปเท่านั้น

พลั่ก!

"อึก.."

ขาของใครบางคนก็เข้ามาขัดให้เขาสะดุดล้ม หัวเข่ากระแทกพื้นจนถลอกเลือดซิบ ถุงโอเลี้ยงแตกกระจัดกระจายบนพื้นปูนนั้นพานให้เนื้อตัวแลเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปหมด
"โถ เดินกระไรให้สะดุดล้มขาตัวเองวะนั่น โง่เสียจริงเชียวไอ้ใบ้นี่ ไปไป๊! ไสหัวไปจากถิ่นกูแลอย่าคิดกลับมาอีก"

ก่อนพวกมันจะเดินจากไปทว่าเสียงหัวเราะน่าขยะแขยงนั่นยังไม่คลายไปจากหัวสมอง

"ลื้อไหวไหม ดูซีเนื้อตัวเลอะหมดแล้ว อั๊วบอกแล้วไงว่าอย่ามาที่นี่อีก มาที่ไรก็โดนพวกนั้นแกล้ง"
อาแปะที่ทำกระไรไม่ได้มากนอกจากคอยไล่พวกที่มารังแกคนอื่นหน้าร้านตัวเองเท่านั้น เพราะเขาเองก็กลัวพวกมันไม่ใช่น้อย เคยแจ้งตำรวจหลายคราสุดท้ายก็กลับมาเป็นแบบเดิมอยู่ดี

"เดี๋ยวอั๊วทำโอเลี้ยงให้ใหม่ แล้วลื้อก็รีบๆไปซะนะ"

ดาริกาแทบไม่ได้ยินเสียงใครทั้งนั้น เขาลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล
เนื้อตัวเหนียวเลอะไปด้วยคราบสีน้ำตาลของโอเลี้ยงกับคราบเลือดบนหัวเข่าทั้งสองข้างที่ไหลออกมาไม่หยุด

กับหัวใจที่ร้าวรานไม่ต่างจากน้ำตาที่รินไหล

เสียใจทว่าบอกใครไม่ได้ รู้สึกอย่างไรไม่เคยมีใครสนใจใคร่รับรู้

ได้แต่ยืนร้องไห้ไร้เสียงสะอื้นอยู่อย่างนั้น
แลเหมือนกันฟ้านั้นกลั่นแกล้งเมื่อเงยหน้าขึ้นมากลับเผลอไปสบกับสายตาคู่หนึ่งที่คะนึงหามาสองสัปดาห์

นัยน์ตาสีนิลกับผมสีเข้มในชุดทหารลำลองสีกากี

นั่งจ้องกันอยู่ในร้านนั้น

ในสภาพที่เขาเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว แถมยังแต่งตัวไม่ต่างจากพวกเหลือขอท้ายคลอง
เท่านั้นน้ำตาที่ว่าจะหยุดลงก็ไหลออกมาอีกระลอก

อีกคนรู้แล้ว

รู้แล้วว่าเขาไม่ได้เป็นดั่งที่เห็นกันในงานวันนั้น แถมสภาพยังไร้ซึ่งราคา เป็นแค่โคลนที่ถูกชุบให้เป็นทอง หากแต่เนื้อแท้ก็ยังคงเป็นแค่เศษดิน

เสื้อผ้าฤาก็ใส่แค่ของเก่าๆ มีแต่ของเก่าๆ ที่เหลือใช้จากพวกพี่ๆ เท่านั้น
ที่สำคัญอีกคนคงรู้แล้ว

ว่าเขานั้นเป็นใบ้ หากใช่ไม่อยากพูด แต่ไม่มีเสียงที่จะพูดออกไปต่างหาก

ดาริกาจ้องหน้าอีกคนทั้งน้ำตา หยาดน้ำใสบดบังจนมองไม่เห็นสีหน้าของอีกคนว่าเป็นเช่นไร

คงรังเกียจกันแล้ว รังเกียจกันแล้วใช่ไหม
ความลับที่ไม่อยากให้คนที่คะนึงหาทั้งยามหลับยามตื่นได้รับรู้เพราะคิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

อีกฝ่ายกลับต้องมารู้ความจริงว่าฝ่ามือนั้นดันแตะต้องของสกปรก ไม่งดงามดั่งที่เชยชมกันเมื่อวันก่อน

ฉะนั้นในยามที่ชายผู้นั้นลุขึ้นขยับตัว ดาริกาจึงทำได้แต่เดินถอยหลังไปทีละก้าวพร้อมน้ำตา
เบี่ยงหน้าหลบไม่อยากรับรู้สิ่งใดอีกแล้ว

จบแล้วความหวังเดียวที่ดาริกามี ทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันไขว่คว้าได้ทว่าก็ไม่อยากให้อีกคนต้องมารับรู้ว่าเขาเป็นแค่ไอ้ใบ้คนหนึ่ง

ความอบอุ่นของฝ่ามือแกร่งที่อยากสัมผัสอีกครั้ง ยามนี้ยิ่งไม่มีหวัง

ขอโทษ คุณปารัต ดาริกาคนนี้ขอโทษ
ได้โปรดอย่าได้พบเจอกันอีกเลย ขอร้อง

อย่าให้ชีวิตดีๆ ของคุณต้องมาแปดเปื้อนเพราะไอ้ใบ้คนนี้เลย

ก่อนที่ชายผู้นั้นจะเดินเข้ามาใกล้กัน ดาริกาคนนี้จึงทำได้แค่วิ่งหนีให้ไกลที่สุดทั้งที่หัวเข่าระบมจนเกือบก้าวเท้าไม่ออก

ทว่าในจังหวะที่กำลังจะล้มลงไปบนพื้นอีกครั้ง-
กลับได้รับสัมผัสจากฝ่ามืออันคุ้นเคยที่มอบให้กันเมื่อคืนนั้นยังตราตรึง

"เจ็บฤาไม่" เสียงเข้มเอ่ยขึ้นช้าๆ ทั้งที่ก็น่าจะรู้ว่าเขาตอบกลับไปไม่ได้ จึงได้แต่เบี่ยงหน้าหนี

อับอายขายขี้หน้าเหลือเกิน เขาโกหกอีกคนไว้ ความผิดนี้ไม่มีวันลบเลือนจากใจได้
"อย่าหนีฉันเลยดาริกา หากเจ็บก็แค่จับมือฉัน" ก่อนจะประคองให้คนที่ยังดื้อดึงไม่ยอมมองหน้ากันลุกขึ้นมาช้าๆ

"ได้ฤาไม่ ให้ฉันช่วยรักษาแผลของเธอ จับมือฉันเอาไว้ให้แน่น เพราะฉันไม่เคยนึกรังเกียจ" พลางเช็ดน้ำตาให้กันเบาๆ

"ขอให้จำไว้ว่าไม่เคยรังเกียจ แลไม่มีวันรังเกียจ"
อีกคนที่ได้ยินเสียงเอ่ยเพียงว่าไม่รังเกียจก็ยิ่งร้องไห้หนัก

เขาหลอกอีกคนเช่นนี้ ทั้งยังเป็นใบ้ที่เนื้อตัวสกปรก ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ หรือแม้กระทั่งคบหาสมาคมเป็นเพื่อน กลับไม่โกรธกัน ซ้ำยังเป็นมาหา มาประคองกันโดยไม่สนสายตาที่มองมาไม่น้อย

ดาริกาส่ายหน้าไปมา อย่ามายุ่งกับเขาเลย
แต่ยิ่งสะบัดมือออกเท่าไร คนตรงหน้าก็ยิ่งเหนี่ยวรั้งกันไว้แน่นขึ้น

แลในวินาทีนั้นเอง เขาสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดจากฝ่ามือแกร่งที่โอบเอวรั้งกันเอาไว้ พร้อมกับลูบหัวเบาๆ ไม่กลัวที่เปรอะเปื้อนคราบสกปรกจากเนื้อตัวเขา

"ไม่เป็นไร ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว จะไม่มีใครกล้าทำกระไรเธอ"
ดาริกาที่ได้รับสัมผัสอันอบอุ่นที่รอคอยแลหวังว่าสักวันจะได้รับมันอีก ทว่าครั้งนี้กลับแนบแน่นอบอุ่นกว่าครั้งก่อน มันทำให้เขาเริ่มหายสะอื้น แต่ก็ยังไม่ยอมหันหน้ามามองกัน

ยามนี้เขาดูไม่ได้เลย ใบหน้าก็เปรอะเปื้อนคราบน้ำตา

"หากไม่หันหน้ามาหา เห็นทีต้องใช้ไม้ตายแล้วกระมัง"
ก่อนที่จะโน้มใบหน้าลงมาประชิดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ ใบหน้ายิ่งสงบของทหารหนุ่มนั้นใก้เข้ามาทุกทีพร้อมกับแววตาที่ตอนนี้ไม่ได้เยือกเย็นดั่งเช่นวันก่อน

มันสั่นไหวแลลึกซึ้งอย่างที่ดาริกาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดเขาถึงรู้สึกอย่างนั้น

ความรู้สึกที่ทำให้หัวใจเต้นแรงอยู่ร่ำไป
ก่อนจะสัมผัสได้ว่าแก้มขวานั้นโดนอีกคนช่วงชิงเสียแล้ว จากปลายริมฝีปากได้รูปนั้นที่ประทับลงมา แลครานี้มันมิได้แค่ผ่านเฉียดฉิว แต่จงใจกดลงแนบแน่นจนแก้มเนื้อนางยุบลง ดวงตาเบิกกว้าง

พร้อมกับเสียงดัง 'ฟอด' ใหญ่

"คราที่แล้วแก้มซ้าย ครานี้ก็แก้มขวา" คนฉวยโอกาสพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย
"เห็นไหมเล่า ฉันทำให้เธอเห็นเป็นประจักษ์แล้วว่ามิได้รังเกียจ ฉะนั้นก็อย่าหนีฉัน อย่าหลีกหน้ากันเลย" พลางลูบหัวเบาๆ ก้มตัวลงแทบจะคุกเข่าพานให้คนที่ตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกที่อีกคนลดตัวลงไป

หยิบผ้าเช็ดหน้าราคาแพงของตัวเองเช็ดตามตัวที่เลอะคราบโอเลี้ยง-
แลคราบเลือดตรงหัวเข่าอย่างไม่สะทกสะท้านว่าจะมีผู้ใดมองมา จนดาริกาต้องเขยิบเท้าหนีเพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่าทหารยศใหญ่อย่างเขามานั่งคุกเข่าให้กับคนใบ้แถมยังสภาพไม่สมประดีอีก

"อย่าขยับซี เดี๋ยวเธอจะเจ็บ"

อีกคนเงยหน้าขึ้นปรายตามองดุกันเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าอีกคนเริ่มกลัวแลหยุดขยับก็เช็ดแผลที่หัวเข่าต่อ

"เธอควรไปทำแผล แถวนี้มีคลินิกเล็กๆ ฉันจะพาไป" สิ้นคำนั้นดาริกาก็โบกไม้โบกมือส่ายหน้าปฏิเสธเป็นการใหญ่

เขาออกมาจากร้านนานแล้ว ความจริงแค่มาซื้อโอเลี้ยงไม่น่าจะนานขนาดนี้ มิรู้ว่าป่านฉะนี้พี่ประดิษฐ์จะด่าว่ากันอย่างไรบ้าง
"มิได้ ห้ามปฏิเสธ หากไม่ล้างแผลเดี๋ยวจะลุกลามเป็นการใหญ่" พูดพลางเอาผ้าเช็ดหน้าพันปิดแผลไว้

"เดินไปไม่ไกลหรอก กลางซอยนี่ฉันเคยเห็นว่ามีคลินิกอยู่"

แต่เขาจะเดินไปไหวได้อย่างไร แค่ขยับเตรียมออกวิ่งเมื่อครู่ยังเกือบล้มหน้าคะมำถ้าไม่ใช่ว่าอีกคนประคองกันไว้ทันคงได้แผลใหม่บนใบหน้า
ทว่าดาริกาแทบไม่ต้องหาคำตอบใดๆ ให้ตัวเองอีกแล้ว เมื่อร่างสูงกำยำอย่างชายชาติทหารเอี้ยวตัวลงช้อนขาเรียวทั้งสองข้างพร้อมกระชับเอวบางให้แน่นในท่าเจ้าสาว

อุ้มอีกคนทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาต

กระไรกันนี่ชายผู้นี้ ทำไมถึงขยันทำให้ตกใจอยู่เรื่อย

เพราะตกใจใช่ไหม หัวใจจึงได้เต้นแรงซ้ำๆ
ไหนจะคำพูดหวานๆ ที่ออกมาจากใบหน้านิ่งสงบนั่นอีก ดูแล้วขัดกันนัก ทว่ากลับทำให้ดาริการู้สึกหวิวแปลกๆ

ซ้ำน้ำเสียงก็ยังน่าฟังก็เก็บไปนึกถึงอยู่บ่อยๆ

"หากได้เป็นเจ้าสาวฉันเมื่อใด จะไม่ใช่แค่อุ้ม แต่จะโอบอุ้มจนชีวาวาย"

ดูนั่น พูดกระไรไม่รู้อีกแล้ว ไปเรียนภาษาไทยจากที่ใดกัน
ดาริกาไม่รู้ว่ายามนี้แก้มตัวเองแดงระเรื่อยั่วยวนสายตาอีกคนแค่ไหน สัมผัสยามที่จูบบนแก้มนวลนั้นช่างหอมหวาน อยากจะรังแกอีกคราทว่าต้องยั้งใจไว้ก่อน

กลัวอีกคนจะตื่นกลัว ไม่ยอมไม่แตะต้องกันอีก

ร่างแกร่งพยุงอีกคนมาถึงคลินิกเล็กๆ ไม่เกี่ยงหากใครจะรู้ว่าทหารหนุ่มพูดไทยได้
ไม่เป็นไร หากชาตินี้จะไม่มีวันได้ยินเสียงกัน ถ้าดาริกาคนนี้ไม่มีเสียง เขาจะเป็นดั่งเสียงนั้นแทนเอง

"กินยาให้ครบ แลล้างแผลตามที่หมอบอก เข้าใจฤาไม่" ทหารหนุ่มอธิบายให้อีกคนฟังเป็นรอบที่สี่เพราะกลัวอีกคนไม่เข้าใจ

เขาเพิ่งจะรู้เมื่อกี้ว่านอกจากจะพูดไม่ได้ เจ้าตัวยังอ่านไม่ออก
ที่อ่านๆชี้ๆ เอาก็มีแต่จำจากสิ่งที่พ่อแม่พี่น้อง ฤาไม่ก็คนรอบตัวสอนกันมาเท่านั้น ถ้าอันไหนคุ้นก็แค่ชี้ป้ายเหมือกับที่เดินมาซื้อโอเลี้ยงวันนี้

ฉะนั้นตัวหนังสือบนฉลากยาจึงอ่านไม่ออก จนดาริกาจึงได้แต่ก้มหน้าหลีกหนีสายตา กลัวว่าอีกคนจะรังเกียจกันอีกแล้ว

ไม่อยากเป็นตัวปัญหาให้ใครเลย
จะว่าแปลกก็ได้ ฤาทหารถูกฝึกให้รับมือกับความอดทนอย่างไรไม่ทราบ ทหารมะกันผู้นี้ถึงไม่เดินหนีแถมยังนั่งเขียนตัวเลขบนฉลากให้ว่าต้องกินตัวไหนก่อน

"กินหลังอาหารทั้งหมด หากปวดก็กินสองเม็ด" แลยังอธิบายซ้ำๆว่าขวดแก้วที่มีน้ำสีฟ้านั้นเอาไว้ล้างแผล ห้ามกินเป็นอันขาด

ไม่นึกรำคาญกันสักนิด
ดาริกาเหลือบมองเสี้ยวใบหน้าอีกคนที่ยามนี้กำลังตั้งใจอ่านฉลากยาแลอธิบายให้เขาฟังอย่างใจจดใจจ่อ ท่าทางจริงจังนั้นสง่างามหาผู้ใดเทียบติด

แลนั่นทำให้ดาริกาเผลอยิ้มมุมปากขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

เขามองอีกคนจนเพลิน ไม่ว่าจะมุมไหนก็ดูดีสมเป็นชายชาตรี หากใครได้หัวใจชายผู้นี้ไปคงโชคดีนัก
ดาริกาไม่หวังหรอก ไม่คิดหวังกระไรลมๆแล้งๆ เพราะรู้ผลลัพธ์ตั้งแต่แรกแล้วว่าคงมีแต่เสียน้ำตา ไม่มีวันได้สมดังใจ

ร่างโปร่งจึงสะกิดฝ่ามือหนาเล็กน้อยให้เงยหน้ามามองกัน พร้อมกับพนมมือก้มไหว้จากใจจริง

หากพูดได้ อยากจะพูดขอบคุณสักร้อยครั้งพันครั้ง ทว่าทั้งชีวิตคงทำได้แค่ไหว้กันเท่านั้น
"มิต้องไหว้ฉันหรอก" เสียงเข้มเอ่ยขึ้นทว่าดาริกาก็ยังส่ายหน้า ก้มไหว้กันสามสี่ครา ก่อนจะก้มลงหาเศษตังค์สิบบาทในกระเป๋าที่ช่างร้านตัดเสื้อเคยให้กันไว้

รู้ว่าค่าหมอนั้นแพงนัก แต่ดาริกามีจ่ายให้เท่านี้

พร้อมยื่นให้คนตรงหน้า

"กระไร" ปารัตขมวดคิ้วเข้ม
แลนั่นทำให้ดาริกายัดเงินสิบบาทลงบนมืออีกคนอีกรอบ

"ค่ายาแค่นี้ไม่ต้องจ่ายฉันหรอก ฉันจ่ายให้หมดแล้ว" แต่อีกคนก็ยังดื้อดึง ส่ายหน้าไม่ยอมรับเงินคืน

เขาไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณอีกคน เมื่อไม่มีบุญคุณต่อกัน ก็จะได้ไม่คิดถึงกันอีก

"เฮ้อ ฉันเก็บไว้ก็ได้ พอใจรึยัง"
พอเห็นอีกคนพยักหน้าอย่างยินดี ปารัตก็หยิบกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก พับธนบัตรสิบบาทอย่างเรียบร้อย สอดแนบไว้ช่องที่ลึกที่สุด

ธนบัตรนี้จะเก็บไว้เท่าชีวี ไม่คิดใช้เป็นอันขาด

ก่อนจะเห็นว่าคนตัวเล็กกว่าเรอ่มขยับตัวลุกขึ้น พอได้ยาเสร็จสรรพก็จะเดินหนีกันอีกแล้ว

"ประเดี๋ยวก่อนสิ"
หากจากกันตอนนี้จะได้เจอกันอีกเมื่อใดเล่า

พรากจากกันตลอดไปคงไม่ดีแน่ ยังไม่อยากจากกันเลย

ดาริกาคงไม่รู้ว่าหลังจากงานเลี้ยงคืนนั้นเขาก็ไม่ดูตัวคนงามจากที่ใดอีก ไม่ใช่แค่สนใจ แต่เขาอยากรู้จัก อยากได้ยินเสียงแลอยากมองหน้ากันนานๆ

ช่วงที่เต้นรำด้วยกัน มันช่างดีจริงๆ ดีเสียเหลือเกิน
ไม่ใช่แค่ดาริกาที่คิดถึง หากเขาเองก็คะนึงหา ยามหลับยามตื่นก็มีแต่ใบหน้าหวานเข้ามารบกวนในความฝันทุกคืน

อยากเจอต้องทำเช่นไร หากไปหาพี่ชายของดาริกาจะถูกหาว่าไร้มารยาฤาไม่ เขายังไม่ได้ทำเรื่องถึงทหารชั้นผู้ใหญ่ให้เรียบร้อยเลย

ว่าเขาน่ะจองแล้ว

จองคนคนนี้ แลต้องเป็นคนนี้เท่านั้น
กระนั้นก็อยากจะให้เรื่องมันถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่อยากให้อีกคนเสียหายฤาถูกว่าร้ายนินทาให้เสียศักดิ์ศรี

เขาจึงหายไปสองสัปดาห์เต็มเพื่อส่งเรื่องข้ามน้ำข้ามทะเลไปอีกฝั่งของประเทศว่าพลตรีพอลคนนี้หาคู่ครองได้แล้ว

คู่ครองที่ไม่ใช่แค่แต่งๆ ไปเท่านั้นเหมือนคราวก่อน
ทว่าวันนี้เป็นวันหยุด เขาลองสอบถามกับทหารยศผู้น้อยก็พบว่าครอบครัวของนายพลประดิษฐ์ผู้นั้นอยู่แถวบางกอกน้อย แลมีร้านขายผ้าอยู่ตรงข้ามฝั่งคลอง จึงทำทีมาเดินเตร็ดเตร่ จนมาหยุดที่ร้านโอเลี้ยงท้ายซอยที่เขาว่าต้องมาลองให้ได้

แลในนาทีนั้น สองตาก็มองเห็นใครบางคนในชุดที่แปลกตาออกไป
คราแรกเขาคิดว่าตัวเองตาฝาด พอจ้องกันนิ่งๆ อีกทีก็ได้รู้ว่าเป็นดาริกาจริงๆ

ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าหลวมโคร่งขนาดนั้นเล่า แถมยังเก่า รองเท้าก็จะขาดแล้วนั่น ครอบครัวพลทหารประดิษฐ์มิน่าขาดแคลนเสียจนไม่สามารถซื้อเสื้อผ้าให้ลูกได้นี่

หรือเขาพลาดกระไรไป
ในจังหวะที่จะลุกขึ้นยืนก็ดันเห็นพวกขาโจ๋เดินเข้ามารังแกคนตรงหน้า จะเดินเขาไปช่วยเท้ากับลมหายใจก็พลันสะดุดกับประโยคที่ตัวเองได้ยิน

'ไอ้ใบ้'

มันทำให้เขาตกใจแทบจะล้มทั้งยืน

แสดงว่าวันนั้นที่ไม่ยอมพูดกันไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่เป็นเพราะพูดไม่ได้ใช่ฤาไม่
แล้วเขาก็ดันพูดพล่อยๆ ไปว่าอยากได้ยินเสียงแลจะทำให้อีกคนยอมพูดกับเขาให้ได้ ทั้งๆ ที่อีกคนรู้ในใจว่าไม่มีวันด้วยซ้ำ

ไม่มีวันที่ดาริกานั้นจะพูดกับเขาได้เลย

เขาดันพูดแทงใจดำอีกฝ่ายไปแล้ว ไม่น่าเลย เขาทำดาริกาเสียใจ

ยิ่งตอนที่อีกฝ่ายสะดุดล้มลงบนพื้น หัวใจของเขาเหมือนกำลังแหลกสลาย
จังหวะที่ดาริกาลุกขึ้นยืนแลดันมองเห็นเขา ปารัตจึงมิอาจอยู่เฉยได้อีกแล้ว จะเดินไปบอกให้แน่ใจ ให้อีกคนได้ยินซ้ำๆ ว่าต่อให้ดาริกาจะพูดไม่ได้ฤาเป็นเช่นไรก็ตาม

เขามิเคยรังเกียจ

"ใครทำดาริกา จัดการมันให้สิ้น" เขากัดฟันพูดคำสั่งนั้นออกมาให้ลูกน้องที่นั่งล้อมรอบต่างรีบลุกขึ้นมาโดยเร็ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด เขาพลาดกระไรหลายอย่างในชีวิต ไม่มีโอกาสได้ช่วยอีกคนจนกระทั่งล่วงเลยมาขนาดนี้

ที่ดาริกาใช้ชีวิตอย่างคนน่าสงสาร เขาอยากกระชากไอ้นายประดิษฐ์นั่นมาถามไถ่ให้รู้เรื่องเสียเหลือเกิน ว่าเหตุใดจึงปล่อยให้น้องตัวเองตกระกำลำบากเช่นนี้ แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่นึกเมตตาสงสาร
ให้น้องตัวเองเดินใส่ชุดนี้ออกมาเยี่ยงพวกเหลือขอไอ้อย่างไร

พลตรีที่ภายนอกนั้นสุมขุมเยือกเย็น ทว่ายามนี้กลับเดือดดาลเหลือเกินเมื่อเห็นคนที่เขาเฝ้าถวิลหาโดนรังแกกันเช่นนี้ เลือดในกายมันแตกพล่านนึกอยากชกใครสักคน

ใครก็ได้ในครอบครัวสัปปะรังเคนั่นที่บังอาจรังแกดาริกาแสนบอบบางผู้นี้
แต่คำว่าชายชาติทหารมันค้ำคอ เขาจึงยังไม่คิดทำกระไรบุ่มบ่ามให้พวกนั้นตื่นกลัว เพราะหากเป็นเช่นนั้นคงไม่มีวันที่คนในครอบครัวนั้นจะยอมยกดาริกาให้เขาเป็นแน่

เขาจะไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้น

หากได้เคียงคู่กับดาริกาแล้วไซร้ จะจัดการเสี้ยนหนามที่ตำดาริกาให้เจ็บช้ำจนสิ้นซาก เขาขอสาบาน
"เสื้อเธอเลอะโอเลี้ยงหมดแล้ว จะกลับทั้งอย่างนั้นฤา"

ทหารหนุ่มถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ซึ่งไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ทว่าเขากลับเห็นแววตาละห้อยบนใบหน้านิ่งเฉยนั้น

"แถวนี้ร้านเสื้อเยอะแยะ เธอจะไม่ยินดีให้ฉันซื้อเสื้อให้เธอสักตัวก่อนลาจากกันหรือดาริกา"
อีกคนที่ได้ยินคำว่าซื้อก็รีส่ายหน้าให้กันอีกแล้ว ไม่ว่าจะยามไหนดาริกาคนนี้ก็ไม่คิดละโมบโลภมากอยากได้ของๆ ใคร

แลนั่นทำใหปารัตเห็นว่าอีกคนช่างมีจิตใจงดงามบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาดั่งเพชรที่ดันอยู่ผิดที่ โดนโคลนตมสาดใส่จนเปรอะเปื้อน
"เอาล่ะ ฉันจะไม่ซื้อตอนนี้ก็ได้ เดี๋ยวคนที่บ้านเธอจักสงสัยอีก"

ก่อนสุดท้ายจะพากลับไปซื้อโอเลี้ยง แลเดินประคองกลับมาจนเกือบถึงหน้าร้าน ดาริกาก็หยุดนิ่ง ส่ายหน้าโบกมือให้เขากลับไป

"ทำไมเล่า ฉันเข้าไปในร้านเธอมิได้ฤา แค่อยากไปส่งให้ถึงที่"

แต่ก็ได้รับการปฏิเสธกลับมาอีกเช่นเคย
"ก็ได้ ฉันจะยอมให้เธอวันนี้ แต่ว่า..." อีกคนเสียงขาดห้วงไปหนึ่งจังหวะ นั่นทำให้ลมหายใจของดาริกาสะดุด รอคอยคำพูดต่อไปอย่างมีความหวัง

กระนั้นฝ่ามือเรียวบางกลับสัมผัสถึงความอบอุ่นที่คิดถึงมานานเมื่อครั้นได้เต้นรำด้วยกัน

ฝ่ามือที่โอบอุ้มกันไว้ ช่างอบอุ่น
แลสัมผัสจากริมฝีปากที่จูมพิตลงมายังฝ่ามือดาริกาผู้นี้

หัวใจเผลอเต้นแรงเหมือนที่นึกสงสัยว่าเขาอาจเป็นโรคหัวใจ ฤาที่ตัวร้อนรุมอาจเป็นเพราะพิษไข้

จึงทำได้เพียงเบี่ยงหน้าหลบอย่างเอียงอาย ดึงฝ่ามือออกจากเกาะกุมเบาๆ เพราะทนอยู่เฉยให้อีกคนจูบซ้ำๆ ไม่ได้

"หวังว่าเธอจะคิดถึงฉัน...
เหมือนที่ฉันคิดถึงเธอ"

พร้อมกับรอยยิ้มแรกที่อีกคนมีให้กัน

สีหน้าเรียบนิ่งที่เห็นคราแรก ยามนี้ขยับมุมปากยิ้งอย่างอ่อนโยนผสานกับแววตาลึกซึ้งละมุนที่ส่งให้กัน พลันให้ดาริกาผู้นี้ยิ้มออกมา

แสงสว่างของดาริกา แท้จริงแล้วคือคุณปารัตผู้นี้นี่เอง
อีกคนเดินเข้าร้านไปแล้ว กระนั้นปารัตก็ยังคงยืนรอจนคิดว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีจึงเดินกลับ

พลันรอยยิ้มนั้นหุบลงทันทีทันใด กับแผนการในหัวที่คิดว่าตั้งแต่วันนี้จะต้องจัดการเป็นการใหญ่เสียแล้ว

หากปล่อยให้นานกว่านี้ดาริกาอาจตกเป็นของผู้อื่น ฤาไม่ก็อาจโดนใครรังแกอีก
แล้วเราจะได้พบกันในไม่ช้าดาริกา

หวังว่าเธอจะใจตรงกันกับฉัน แลหากเธอไม่รังเกียจที่จะมีคู่ครองเป็นชาวมะกันคนนี้ ถึงวันนั้นฉันจะไปถึงหน้าบ้านเธอพร้อมกับแหวนหมั้นสัญญารัก ยอมแลกกับทุกอย่างที่จะทำให้เธอมาเป็นเจ้าสาวของฉัน

ของปารัตคนนี้เพียงผู้เดียว

เพราะจากนี้ไปฉันจะปกป้องเธอเอง
ในส่วนอีกมุมหนึ่งของหัวใจ อีกคนคงไม่รู้ว่าดาริกาคนนี้จะตายเอาให้ได้

หลังจากกลับมาที่ร้าน พี่ชายที่เอาแต่ถามไถ่ว่าไปทำกระไรมาจึงเปรอะเปื้อนแถมหัวเข่ายังมีสำลีใหญ่ปิดแผลไว้ทั้งสองข้าง คนน้องก็เอาแต่ส่ายหน้า

ทว่าดวงตาเหม่อลอย ใบหน้าก็แดงก่ำ
จากนั้นก็เอาแต่หลบมุมนั่งใจลอยฃ บางช่วงก็เผลอยิ้มออกมาคนเดียว ก้มหน้าก้มตาบิดตัวไปมาเหมือนขวยเขินกระไรสักอย่าง

ทว่าช่วงหนึ่งก็กลับมาทำหน้าเศร้าราวกับคนอกหัก ส่ายหน้าไปมาเหมือนจะร้องไห้จนเขาอยากจะถามเหลือเกิน

แค่ไปซื้อโอเลี้ยงกลับมา เหตุใดน้องเขาจึงแปลกไปเช่นนี้
ร่างโปร่งเอาแต่นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่ถึงชั่วยามดี ความอบอุ่นที่ได้รับเมื่อครู่ยังโอบล้อมไว้ยากที่จะคลายออก

โดยเฉพาะจุมพิตที่หลังฝ่ามือแลแก้มขวาที่หากพี่ชายได้รู้ว่าดาริกาผู้นี้ไม่รักนวลสงวนตัวเสียเลย ปล่อยให้เขากอดเขาหอมทั้งยังอุ้มกันไปไหนมาไหนคงได้โดนเอ็ดเป็นแน่
จึงทำได้เพียงนั่งอยู่คิดคะนึงถึงช่วงเวลาเมื่อครู่เงียบๆ ด้วยหัวใจที่สับสน

ดาริกาไม่เคยมีความรัก ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเรียกว่าความรักได้ฤาไม่ ทว่าหากเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีนัก เพราะอีกคนอาจเข้ามาทำดีกับเขาด้วยความสงสาร

แลคงไม่มีพลหทารยศสูงคนไหนที่สิ้นคิด ยอมลดตัวลงมารักกับคนใบ้
"ดา น้องยังจำพลตรีปารัตผู้นั้นได้ฤาไม่ ทหารมะกันที่เต้นรำกับน้อง"

พี่ชายเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าคงได้โอกาสพูดเปรยสักหน่อย เผื่อหากทหารมะกันผู้นั้นเลือกน้องเป็นเจ้าสาวจักได้ไม่ตกใจเกินเหตุ

"เขากำลังหาเจ้าสาวที่จะแต่งงานด้วย คาดว่าจะแต่งเร็วๆ นี้" เท่านั้นรอยยิ้มของดาริกาพลันจางหาย
ราวกับมีก้อนหินที่ถูกโยนจากที่ใดไม่รู้ได้ กระแทกสมองแลหัวใจอย่างแรงจนเจ็บลึก ความหวังที่ไม่มีอยู่แล้วพังทลายไปในพริบตา

คุณปารัตกำลังจะแต่งงาน

บอกแล้วอย่างไรเล่าดาริกา คนใบ้อย่างเราใครเขาจะมาสน อย่างมากก็แค่อยู่เป็นคนใช้คอยถูเรือนเขาก็เท่านั้น

แต่ทำไมต้องเล่นกับใจเขาขนาดนี้ด้วย
ฤาที่ทำดีต่อกันจะเป็นแค่ความสงสารจริงๆ ไม่มีกระไรมากไปกว่านั้น เขาก็แค่ละเมอเพ้อพกหลงคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายอาจเห็นกันในสายตาบ้าง

"เร็วสุดน่าจะไม่เกินสัปดาห์หน้า เราคงได้เห็นข่าวดี"

จบเพียงเท่านั้นดาริกาก็ลุกขึ้นเดินหนีเข้าหลังร้าน เช็ดน้ำตาไม่ให้ใครเห็นว่าเขากำลังร้องไห้
ร่างโปร่งควรจะยินดีที่อีกคนกำลังจะมีคู่ครอง ได้อยู่เคียงคู่กับคนที่ดหมาะสมทั้งฐานะแลชาติตระกูล

เพราะถ้าเจ้าสาวคนนั้นเป็นเขา คงมิวายปฏิเสธอีกคนออกไป

มิใช่ว่ารังเกียจ หากแต่รู้ตัวว่าอาจเป็นภาระให้คุณเชาทั้งชีวิต แลยศทหารก็ต้องมาปแดเปื้อนเพราะดันมีภรรยาเป็นใบ้

ใครรู้คงตลกขำขัน
สามคืนต่อมาหมอนของดาริกาจึงมีแต่รคราบรอยน้ำตาเปียกชื้น กระทั้งวันที่สี่ เจ้าตัวซมด้วยพิษไข้จนไม่สามารถลุกขึ้นจากฟูกที่นอนได้ไหว

"วันนี้ไม่ต้องไปเฝ้าร้านหรอก เอ็งพักผ่อนเสียเถิด" คนเป็นบิดากล่าวขึ้นก่อนออกไปดูร้านแทน

หมู่นี้ลูกคนสุดท้องซมหนักประหนึ่งมีเรื่องทุกข์ใจ
เรียกก็ไม่หัน ข้าวปลาก็ไม่ค่อยกิน ล่าสุดก็มาป่วยอีก

"คุณพ่อครับ หากดาป่วยอยู่แบบนี้คงมิได้การแน่ ทหารมะกันนั่นกำลังจะมาสู่ขอที่บ้านเราแล้ว ไม่ค่ำวันนี้ก็เช้าวันพรุ่ง หากยังป่วยแล้ววันแต่งจะทำเช่นไร" ประดิษฐ์กล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวล

"ไม่ว่าอย่างไรงานแต่งจักต้องมีให้ได้-
หากไอ้มะกันนั่นจะมาคืนนี้ก็อย่าได้ขัด จักไม่มีการเลื่อนงานกระไรทั้งนั้น หากมันไม่ไหวก็รีบพาไปโรงหมอเสีย ทำอย่างไรก็ได้ให้มันหายทัน"

หมดหนทางแล้ว หากไม่รีบแต่งให้เร็ววัน ไอ้ทหารนั่นอาจเปลี่ยนใจไม่เลือกลูกเขาเป็นเจ้าสาว ถึงครานั้นเม็ดเงินตรงหน้าอาจหายวับแบบไม่ทันได้เอื้อมมือคว้า
ฉะนั้นวันนี้ประดิษฐ์จึงอาสาหยุดงานป้อนน้ำป้อนข้าวน้องคนสุดท้อง ซ้ำยังพาไปโรงหมอใหญ่ ลงทุนจ่ายแพงเพื่อหวังว่าดาริกาจะหายไม่สบายในเร็ววัน

ไข้กายน่ะหายง่าย แต่ไข้ใจเล่า ใครจักใครรู้ว่ามันมิอาจหายได้ในชั่วค่ำคืน

ดาริกาเบือนหน้าหนีไม่ยอมกินแม้กระทั่งโจ๊ก น้ำตาคลอเบ้า เปลือกตาบวมช้ำ
ขาดชีวิตชีวา เอาแต่ซุกตัวนอนอยู่ในผ้าห่ม เผลอนึกถึงใบหน้าชายผู้นั้นขึ้นมาเมื่อไรน้ำตาก็ไหล

ชาตินี้คงไม่มีวาสนา จักไม่ขอพบหน้าชายผู้นั้นตลอดไป

ทว่ายามดึกก็ถูกรบกวนให้ตื่นจากที่นอน พร้อมกับเสียงกระซิบจากพี่ชายเบาๆ ที่ฟังอย่างไรก็ไม่ชัดทเพราะยังงัวเงียด้วยฤทธิ์ยา
ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองถูกประคองให้ลงไปชั้นล่างของบ้านที่สายตาเริ่มเห็นบางสิ่งเลือนลาง

แลสิ่งนั้นทำให้เขาคิดว่าตัวเองคงเป็นบ้าไปแล้วที่ดันเห็นคนที่อยากจะลืมไปจากหัวใจยืนอยู่ตรงหน้ากัน พร้อมด้วยทหารมะกันชั้นผู้ใหญ่หนึ่งท่านแลลูกน้องอีกจำนวนไม่น้อย
พลตรีปารัตสวมชุดเต็มยศเหมือนยามที่เราเจอกันคราแรก

ดาริกาฝัน ฝันไปแน่ๆ

ชายผู้นั้นคงไม่มีวันมาหากันถึงบ้าน แลไม่มีวันมาพบเขาอีกแล้ว อีกคนกำลังจะแต่งงาน เขาไม่ควรคิดถึงคนที่กำลังจะมีพันธะกับผู้อื่นอีก

ทำไมนะ ทำไมหัวใจแลหัวสมองถึงไม่ยอมลืม ไม่ยอมลบภาพชายผู้นั้นออกไปเสียที
ภาพที่ชายผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้า ขนาดข้างด้วยทหารยศชั้นสูงกว่าแลลูกน้องอีกหนึ่งนาย ใบหน้านั้นยังนิ่งสงบทว่าแววตาอ่อนละมุนนั้นยังคงจ้องกันไม่ละสายตา

แลเหมือนดาริกาคนนี้จะรู้สึกได้เพียงผู้เดียว ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มให้เขาอย่างยินดี

มันจึงทำให้ดาริกาคนนี้กอดแขนพี่ชายแน่น ร้องไห้ออกมา
ไม่เอาแล้ว เขาอยากตื่นจากฝันเสียที

"ดา น้องเป็นกระไร ใยร้องไห้เช่นนี้" พี่ชายถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ไม่ต่างจากคนตรงหน้าที่ตกใจจนเกือบเสียมารยาทเอื้อมมือไปคว้าเอวอีกคนไว้ถ้าไม่มีสายตาของเจ้านายที่ส่งมาปรามกันเสียก่อน

"อึก..." เสียงสะอึกเล็กๆ ในลำคอ-
ผสานท่าทางฟูมฟายพานให้ปารัตคิดหนัก ฤาเขาทำกระไรผิดพลาดไปทั้งที่ตัวเองก็ปฏิบัติตามประเพณีไทยทุกประการไม่มีขาดตกบกพร่อง

บอกให้รอเขาก็รอ ทั้งที่ตัวเองอยากจะมาหาดาริกาทุกวันแต่ก็ต้องย้ำเตือนใจว่ายังไม่ได้

สินสอดตามสัญญาฤาก็ยินยอมหมดแล้ว
ใยอีกคนจึงร้องไห้เหมือนไม่เต็มใจ ฤาถูกคนในครอบครัวบังคับใจให้แต่งงานกับคนอย่างเขา

"ดา พอก่อน ลูกร้องไห้เยี่ยงเด็กแบบนี้ต่อหน้าพลทหารมันเสียมารยาท" ฝ่ายบิดาพยายามพูดเสียงอ่อนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่เลือดในหัวแทบจะระเบิด

กลัวว่าลูกเขาจะทำให้พิธีสู่ขอวันนี้ล่มน่ะสิ
ประดิษฐ์พาน้องนั่งลงบนพื้นที่ปูด้วยพรมสวยงาม เพราะมัวแต่ร้องไห้จึงไม่ทันได้สังเกตถึงทองคำแลธนบัตรปึกใหญ่ที่วางอยู่บนพานทองตรงกลางบ้านที่ทุกคนนั้งรายล้อม

"ดา ลูกไหว้พี่ปารัตเขาก่อน" ร่างโปร่งที่ยังไม่หายสะอื้นถูกมือของพี่ชายบังคับให้ประนมมือไหว้คนตรงหน้า ทั้งที่พิษไข้ยังไม่ซา
ถูกบังคับให้ทำกระไรก็กระไรที่เจ้าตัวแทบไม่มีสติ ครั้นเห็นใบหน้าอีกคนที่ต้องย้ำกับตัวเองว่าต้องตัดใจก็ยิ่งเจ็บช้ำ ไม่มีทีท่าว่าน้ำตาจะหยุดไหลจากใบหน้าสวยนี้ได้เลย

ถ้าหมดแล้ว ดาริกาของพี่ หากทำได้เขาอยากคว้าอีกคนมากอดประเดี๋ยวนี้เลย ทว่าทำได้แค่นั่งเงียบๆ ตามคำสั่งเจ้านายเท่านั้น
"กระผมขออภัยหากรบกวนเถ้าแก่ฮั้วยามดึกเช่นนี้ ได้ข่าวว่าดาริกาไม่ค่อยสบายเสียด้วย คงเจ็บมากพอดูถึงได้ร้องไห้เช่นนี้ กระผมขออภัยจริงๆ" ทหารชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายว่าที่เจ้าบ่าวเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ

"มิได้ขอรับ ฝ่ายกระผมต่างหากที่ต้องขออภัย ลูกกระผมยังเด็กนัก ได้โปรดอย่าถือโทษโกรธกัน"
ฝ่ายปารัตแทบนั่งไม่ติดพื้น เห็นดาริกาก้มหน้าร้องไห้ตัวโยนตัวเขาก็บีบมือแน่น ใบหน้าเครียดขึงคิดคำนวณว่าตัวเองกำลังรังแกอีกฝ่ายใช่ฤาไม่

บางทีดาริกาคงไม่ได้อยากครองคู่กับเขา มิได้มีใจรักใคร่ต่อกัน

"เช่นนั้นเพื่อมิให้เสียฤกษ์ ทางฝ่ายกระผมใคร่ขออนุญาติสวมแหวนเจ้าสาวเพื่อเป็นสัญญาใจ"
ทหารชั้นผู้ใหญ่พูดจบพลางสะกิดร่างสูงที่นั่งถือกล่องแหวนที่เผยให้เห็นเพชรเม็ดงามที่หาดูมิได้ง่ายหากฐานะแลยศศักดิ์ไม่ถึง

เขาหยิบแหวนวงเล็กกว่าขึ้นมา ยื่นให้คนตรงหน้าเห็น แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดอีกคนก็ได้แต่ก้มหน้าบ่ายเบี่ยง

"ดา น้องอย่าดื้อเลย ยื่นมือซ้ายของน้องขึ้นมาเร็วเถิด"
เพียงเท่านั้นดาริกาก็เหมือนได้สติ

แหวนกระนั้นฤา หมายความเยี่ยงไร

พลันเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่กำลังยื่นแหวนเพชรเม็ดงามให้กัน ชายผู้นั้นที่หัวใจเฝ้าเพรียกหาทั้งวันทั้งคืน

ยามนี้กำลังขอเขาสวมแหวน ขอตรีตราจองเป็นเจ้าของกันแลกัน

ใยความฝันนี้จึงไม่ยอมหายไปเสียที
ประดิษฐ์กับเถ้าแก่ฮั้วที่ทนรอลูกคนสุดท้องไม่ไหว จึงพยายามดึงมือซ้ายของดาริกาออกมาจนแทบจะกระชาก ทว่าดาริกาก็ยังคงขัดขืนซ้ำยังร้องไห้อีกระลอกใหญ่

ไม่ว่าจะเป็นความฝันฤาความจริง เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาแต่งงานกับคนเป็นใบ้อย่างเขาเลย

หากคนในพระนครรู้คงนินทากันสนุกปาก
ว่าพลทหารมะกันระดับเจ้านายเลือกคว้าคนเป็นใบ้ทำเมีย น่าขายขี้หน้านัก

"อย่ากระชากเขา!" แลเสียงเข้มนั้นก็ทำให้ทุกคนโดยรอบสะดุ้งพร้อมกัน แลมันทำให้เถ้าแก่ฮั้วแลประดิษฐ์รับรู้เป็นครั้งแรก

ทหารมะกันผู้นี้พูดไทยได้

"หากต้องบังคับจนถึงกับกระชากลากถู กระผมคงไม่ยินดีกับการสู่ขอครานี้"
นั่นทำให้เถ้าแก่ฮั้วเบิกตาโพลง รีบส่ายมือส่ายหน้าโพล่งคำพูดออกมาเป็นการใหญ่

"มิได้นะขอรับ! สัญญาก็ต้องเป็นสัญญา คนในละแวกบ้านกระผมรู้กันถ้วนทั่วแล้ว หากดาริกาเป็นม่ายขันหมากเยี่ยงนี้จะทำอย่างไร!"

ทว่าปารัตไม่ยอมฟังคำพูดของใครเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องการอย่างเดียวคือคำตอบของอีกคน
หากอีกคนไม่ยินยอมพร้อมใจ เขาก็จะไม่โกรธเคือง แม้นหัวใจดวงนี้จะเจ็บช้ำที่รักไม่สมดั่งที่ตั้งใจหวัง ทว่าเขาคงเสียใจยิ่งกว่าหากดาริกาต้องมาทนอยู่กับเขาโดยที่ไม่ได้รัก

"กระผมขอเวลากับดาริกาสักครู่ จะได้ฤาไม่" ปารัตเอ่ยถามทั้งที่แววตายังคงจ้องอีกคนนิ่ง ไม่วอกแวกไปหาผู้ใด
สิ้นคำนั้นทุกคนก็กระเถิบถอยห่าง ให้พลตรีหนุ่มได้มีโอกาสย่างกรายเข้าไปประชิด วางแหวนไว้นกล่องตามเดิมทว่ายังเปิดให้อีกฝ่ายให้เห็นมัน

"ฉันมาวันนี้มิได้ตั้งใจบังคับเธอ" พลางเอื้อมฝ่ามือคล้ายจะแตะต้องมือเรียวเล็กของอีกคน แต่ก็คว้าได้แค่อากาศ

คนตรงหน้าไม่ยอมให้แตะกันเสียแล้ว
"ฉันขอโทษหากทำเธออึดอัด ทว่าขอแค่คำตอบเดียว" ก่อนจะวางกล่องแหวนไว้ที่หน้าตัก เงยหน้ามองคนที่ยังบ่ายเบี่ยงหลบสายตากัน

"หากใช่ก็ขอให้พยักหน้า แลถ้าหากใคร่อยากปฏิเสธก็ขอให้ทำตามหัวใจของเธอเถิด" ปารัตพยายามประนีประนอมที่สุด

แม้นรู้ว่าคำตอบนั้นอาจทำให้หัวใจเจ็บช้ำ ไม่เป็นดั่งหวัง
"เธอพึงใจในตัวฉันบ้างฤาไม่" ปารัตถามออกไป ทั้งที่แทบควบคุมเสียงตัวเองไว้ไม่อยู่ ร่างกายแลหัวใจมันกำลังสั่นไหว

กระนั้นอีกคนก็ไม่ยอมพยักหน้าหรือคิดจะส่ายหน้าให้กัน

มีเพียงแต่สายตาที่ลอบมองเพียงครู่เดียวก็รู้ได้ทันใดว่าอีกคนกำลังคิดหนัก แลเขาเดาได้ดีว่าดาริกากำลังพะวงถึงสิ่งใด
"โปรดจงรู้ไว้ว่าสิ่งใดที่เธอกำลังกังวล ฉันจะไม่ขอสัญญาว่ามันจะไม่มีวันเกิด คำพูดคนเป็นร้อยเป็นพัน ฉันมิอาจหยุดพวกเขาไม่ให้พูดได้" ปารัตสูดลมหายใจลึก

"ทว่าหากหัวใจของเธอคิดเหมือนกับฉัน ฉันขอสัญญาประการหนึ่งกับเธอว่าจนกว่าชีพวายฉันจะไม่ปล่อยมือเธอ" พลางกำมือตัวเองแน่น

"ไม่มีวัน"
ก่อนจะยื่นกล่องแหวนให้อีกฝ่ายเห็นเป็นประจักษ์อีกครา

"ฉะนั้นฉันใคร่ขอถามอีกครั้ง เธออยากจะอยู่เคียงข้างฉันดั่งร่มโพธิ์ร่มไทรที่คอยให้ร่มเงากันแลกันฤาไม่ เป็นเจ้าสาวของฉันคนนี้"

ประโยคสุดท้ายของปารัตสั่นไหวไม่ต่างกับหัวใจที่กำลังสั่นระรัว หากคำตอบเป็นเช่นไรก็ได้แต่ยอมรับมัน
ยามนี้ร่างโปร่งตัวสั่นมือสั่นจนน่าสงสาร คำพูดของอีกคนดังก้องในหัวสมองซ้ำไปซ้ำมาดั่งบทเพลงที่เปิดวนไม่รู้จบ กระนั้นมันยากเหลือเกินที่หัวใจดวงนี้จะสามารถทำกระไรได้ตามที่ตัวเองหวัง

พึงใจ...รักอย่างนั้นฤา

ดาริการักคุณปารัต เพียงแค่คิดเท่านั้นน้ำตาก็ไหลรินลงบนแก้มใส
หากร่างกายนี้ปกติไร้ซึ่งความบกพร่อง คุณปารัตจะหันมาสนใจกันฤาไม่ จะสงสารดาริกาดั่งเช่นในตอนนี้หรือเปล่า

เหตุผลในการพึงใจในตัวเขาคือกระไรเล่า หากมิใช่ว่าสงสาร

แลเขาคงทำหน้าที่ภรรยาให้อีกฝ่ายไม่ได้ ซ้ำร้ายยังสร้างภาระให้อีกคนต้องมาดูแลคนเป็นใบ้อย่างเขาอีก

เขามีกระไรดีรึก็เปล่า
ฉะนั้นในยามที่ตัวเองต้องตัดสินใจ ดาริกาจึงจำต้องหลับตากลั้นใจ แม้ร่างกายจะสะอื้นตัวโยนออกมาเท่าใดก็ตาม

มิอาจทำตามหัวใจ มิอาจเห็นแก่ตัวให้คุณปารัตต้องลำบากไปพร้อมกับดาริกาผู้นี้เลย

ดังนั้นจึงกระทำสิ่งนั้นลงไป สิ่งที่ทำให้พลทหารหนุ่มหน้าถอดสี

ดาริกาผู้นี้ส่ายหน้าปฏิเสธเป็นคำตอบ
จากนั้นจึงมีแต่เสียงลมหายใจสะดุดแลขาดห้วงราวกับคนไร้เรี่ยวซึ่งเรี่ยวแรงยาวนานเป็นนาที

กับนัยน์ตาเศร้าที่ยังคงจ้องกันอยู่อย่างนั้น

ยามสหายสิ้นลมต่อหน้าในสงครามว่าเจ็บแล้ว มิเคยรู้เลยว่าพิษรักจักทำให้ทหารที่ไม่กลัวตายอย่างเขานั้นเจ็บปวดแทบบ้า

"กระนั้นฤา..." เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้น
ปารัตแค่นยิ้มนึกหัวเราะเยาะในโชคชะตาตัวเองที่ยามแต่งงานคราแรกก็ถูกบังคับให้แต่งกับคนที่มิได้มีใจรัก

กระทั่งได้พบรักก็มีอันต้องได้พบกับความผิดหวังอีก

ทว่านัยน์ตาเศ้ราก็พลันเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นทันใด

"แต่ฉันไม่ยอมแพ้หรอกนะดาริกา" ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีวันยอมแพ้
"วันนี้ปฏิเสธกัน วันพรุ่งฉันจะมาอีก หากวันพรุ่งยังปฏิเสธกัน วันอื่นฉันก็จะมาใหม่..."

ก่อนจะรีบคว้ามือของอีกคนไม่ให้มีโอกาสบ่ายเบี่ยงได้อีก

"จะมาสู่ขอเธอทุกวันจนกว่าเธอจะใจอ่อน" พลางดึงมือนั้นขึ้นมาจุมพิตซ้ำๆ

"เพราะหัวใจของพี่ มันมีแต่น้องดาจนไม่สามารถแต่งงานกับผู้ใดได้อีก"
มือหนาคลายออกจากมืออีกคนอย่างเสียดาย เสียใจที่ไม่อาจกุมมือปกป้องร่างกายแลหัวใจบอบบางของคนตรงหน้าไว้ได้

อยู่ใกล้ หากแต่หัวใจของสองเราช่างห่างไกลกันเหลือเกิน

มิรู้ได้ว่าสิ่งใดที่ให้ดาริกาคนนี้เลือกปฏิเสธน้ำใจกัน หากแต่เป็นเพราะปารัตคนนี้ยังพยายามไม่พอ

มิเป็นไร เขาจะพยายามมากขึ้น
"อย่ากังวลเรื่องของฉันเลย อย่าร้องไห้ให้กับฉัน" หากเป็นเรื่องของเขาแล้วไซร้ ได้โปรดดาริกาคนนี้อย่าเสียใจร้องไห้ให้กับเขา

เพราะอีกคนไม่เหมาะกับน้ำตา ไม่ควรเสียน้ำตาให้กับใครอีก เขาอยากเห็นคนตรงหน้ามีความสุขแม้นมิอาจได้เคียงคู่

ถ้าความพยายามไม่เป็นผล เขาจะปล่อยดาริกาไป
คนที่ได้ยินเสียงกัน แต่มิอาจส่งเสียงใดๆ ตอบรับกลับไปได้ จ้องมองมือของตัวเองที่ยามนี้ความอบอุ่นนั้นค่อยๆ เลือนหายไปแล้ว จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถเห็นแก่ตัวครอบครองคนผู้นี้

หากฟ้าดินพอเห็นใจให้ดาริกาคนนี้ได้รับพรวิเศษสามารถพูดได้สักแค่หนึ่งประโยค ดาริกาคนนี้ก็อยากพูดชื่อคุณปารัตซ้ำๆ
ทว่าทำได้เพียงขยับปากที่ไม่มีแม้แต่เสียงพูดเล็ดลอดออกมา เงยหน้ามองนัยต์ตาเข้มที่ยามนี้มีแต่ความเศร้าปะปนเกาะกินในหัวใจ

'คุณปารัต ขอโทษ'

แลปารัตผู้นี้เข้าใจในทันที

ร่างสูงทำได้เพียงส่ายหน้า ยิ้มให้กันทั้งที่แววตายังคงเศร้าหมอง น้ำตาคลอหน่วงทว่าไม่อยากให้อีกคนได้เห็น
"เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษ มิใช่ความผิดของเธอเลยสักนิด" ก่อนจะค่อยๆ พยุงอีกคนให้ลุกขึ้นพร้อมกัน ก้าวถอยหลังให้ระยะห่างของเราเพิ่มมากขึ้น

วันนี้จำเป็นต้องถอยห่าง ทว่าวันพรุ่งจะกลับมาใหม่

ห่างกันวันนี้ให้ดาริกาได้คิดทบทวน เผื่อวันหน้าปารัตผู้นี้จะมีโอกาสได้ขยับใกล้ชิดอีกคน
แค่อีกหนึ่งย่างก้าวก็ยังดี

ดวงตานั้นยังคงจดจ้องใบหน้าอีกคนเอาไว้ เผื่อมิอาจได้ครอบครองฤาเจอะเจอกันอีก อย่างน้อยก็ขอจดจำเสี้ยวใบหน้างดงามของดาริกาเอาไว้ในใจ

ก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัดให้ผู้ใหญ่ทั้งสองได้รับรู้

"วันนี้กระผมคงไม่มีบุญวาสนาเพียงพอ-
ไม่อาจบังคับใจดาริกาให้รับหมั้นกระผม แต่ได้โปรดอย่าต่อว่าในสิ่งที่ดาริกาตัดสินใจเลย แลกระผมจะกลับมาใหม่"

พลางมองไปยังเถ้าแก่ฮั้วที่ยามนี้ชักสีหน้าอย่างแรง อ้าปากโวยวายออกมา

"ไม่ได้นะ! จักทิ้งให้ลูกฉันเป็นม่ายงานหมั้นเช่นนี้ได้อย่างไร ใครเขาจะครหาว่าลูกแซ่ฮั้วโดนคนมะกันทิ้ง"
ก่อนจะชี้หน้าใส่อย่างเสียมารยาท

"ฤาว่ามะกันมันสันดานอย่างนี้ทุกคน ยามชอบพอก็สัญญาว่าจะมาขอเสียดิบดี พอมาเห็นอีกทีว่าเป็นของไร้ราคาก็จะทิ้งขว้างกระนั้นรึ"

เท่านั้นปารัตผู้นี้ก็ไม่อาจทนไหวได้อีก

"ถ้าเช่นนั้นใครเล่าบอกกระผมไว้คราแรกว่าดาริกาเป็นคนพูดน้อย..."
ก่อนจะปรายตามองไปทางประดิษฐ์ที่ยามนี้หน้าซีดเผือด หลบสายตาเป็นพัลวัน

"ทั้งที่พวกคุณรู้ดีว่าความจริงเป็นเช่นไร หลอกกระผมแลทหารฝ่ายมะกัน คิดจักย้อมสีขายกัน เรื่องนี้กระผมยังใจเย็นไม่คิดชำระความ พวกคุณยังจะมากล่าวหาว่ากระผมนั้นจะทิ้งขว้างดาริกาอีก"
เถ้าแก่ฮั้วเลิ่กลั่กขึ้นทันใด มันรู้เรื่องพวกนี้ได้เช่นไรวะ

พวกเขากะจะให้แต่งกันไปเสียก่อนเพื่อเอาสินสอดมา จากนั้นถึงจะรู้ว่าเป็นใบ้อย่างไรก็ช่วยไม่ได้แล้วเพราะไอ้ทหารนั่นมันดันเลือกเอง

จึงทำได้แค่สบถคำสกปรกน่าขยะแขยงออกไป

"กะ-ก็เช่นนั้นไหนๆ ชาวบ้านเขารู้กันทั่วแล้ว
ว่าทหารมะกันจักมาสู่ขอลูกบ้านแซ่ฮั้ว หากท่านมิพึงใจดาริกาเพราะว่ามันเป็นใบ้ ลูกสาวของฉันก็พร้อมจะแต่งกับท่านแทนให้ ดุษณีนั้นเพียบพร้อมเป็นกุลสตรีแลยังพูดภาษาปะกิดเก่ง จักให้หมั้นกันตอนนี้เลยก็ยังได้"

ปารัตไม่เคยคิดเลยว่าบิดาของคนที่ตัวเองอยากครองคู่จะเป็นได้ถึงเพียงนี้
มิน่าเล่า ดาริกาจึงเป็นเด็กเศร้าหมอง

อย่างนี้เขาจะทิ้งดาริกาได้อย่างไร มิอาจทำให้ให้ดาริกาอยู่กับคนแบบนี้ได้อีกแล้ว แต่ก็ทำกระไรมิได้อีกเนื่องจากดาริกากลับเลือกปฏิเสธกัน

"ให้กระผมแต่งกับใครอื่น กระผมขอไม่แต่ง หากจะแต่งก็ต้องเป็นดาริกาเท่านั้น ถ้ามิได้ก็จะไม่ขอตบแต่งกับผู้ใดแทน"
สิ้นคำนั้นปารัตผู้นี้กลับได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ภาพพ่อกระชากแขนลูกคนสุดน้องที่ร้องไห้กระจองอแง เนื้อตัวสั่น

"กระนั้นดาริกา เอ็งสวมใส่แหวนเดี๋ยวนี้! จะให้พ่อขายหน้าอกแตกตายหรือไร เป็นลูกประสากระไรคิดปฏิเสธงานหมั้นให้อับอายขายขี้หน้าชาวบ้าน สวมแหวนนั่นเดี๋ยวนี้ พ่อบอกให้สวม!"
ปารัตจึงรีบกระโจนเข้าหา กอดอีกคนเอาไว้แนบแน่น เนื้อตัวของดาริกาสั่นเทา สีหน้าตื่นตระหนกทั้งที่เนื้อตัวยังร้อนรุ่มด้วยพิษไข้

จึงมิอาจทนครองสติไหวได้อีก

"ดาริกา!" ปารัตเรียกชื่อีกคนที่ตกใจจนสลบไปต่อหน้ากัน ตัวร้อนดั่งไฟ ซ้ำร้ายมือเรียวยังคงกระตุกเบาๆ ด้วยความหวาดกลัว
เท่านั้นแววตาวาวโรจน์ของพลตรีพอลก็กระจ่างชัดขึ้น

พร้อมกับคำสั่งภาษาปะกิดที่มิอาจแปลใจความออก ทว่าน้ำเสียงนั้นกังวานราวกับราชสีห์คำราม

แลรู้คำตอบได้ทันทียามที่เจ้านายแลลูกน้องของทหารมะกันชักกระบอกปืนสั้นขึ้นมาเล็งกะโหลกศีรษะสองพ่อลูกเรียงตัว

"กูบอกแล้วใช่ฤาไม่ ว่าอย่าทำดาริกา"
คนที่ไม่เคยเห็นแม้แต่กระบอกปืนเป็นๆ อย่างเถ้าแก่ฮั้ว ยามที่ปลายกระบอกเล็งที่ขมับก็รู้สึกขนลุกซุ่ไปเสียทั้งร่าง ความรักตัวกลัวตายเกาะกินจิตใจขาสั่นผับๆ รีบคุกเข่ากราบกรานคนตรงหน้า เสียหลักไม่ต่างจากคนบ้าไร้สติ

"อย่าทำกระผมเลยขอรับ กระผมผิดไปแล้ว อย่ายิงกระผมเลย กระผมกลัวแล้ว!"
จะมีเสียแต่นายประดิษฐ์ที่ถูกฝึกเป็นทหารมาเสียหลายปี ยังคงยืนนิ่งทั้งที่สีหน้าหวาดหวั่น

ทว่าศักดิ์ศรีมันค้ำคอจึงไม่อาจก้มลงยอมคุกเข่าให้ใครง่ายๆ

แม้จะกลัวจนมิอาจระงับปลายนิ้วมือแลริมฝีปากให้หายสั่นให้หายสั่น แลเพียงได้สบสายตาปารัตก็ทำให้รู้แล้วว่า

อย่าได้คิดเล่นกับพลทหารผู้นี้
ปารัตโอบอุ้มคนที่สลบในอ้อมแขนเดินออกจากบ้านเงียบๆ ก่อนจะหันกลับมาพูดกับสองคนพ่อลูกอีกครา

"หากยังตามมาก่อกวนดาริกาถึงที่โรงหมอ ฉันจะไม่ปราณีแม้แต่ชีวิตเดียว"

ก่อนจะเดินจากไปเงียบ ตามด้วยลูกน้องที่ค่อยๆ เดินถอยห่างจนยอมลดกระบอกปืนเดินออกไป

ปล่อยให้เถ้าแก่ฮั้วหมอบตัวสั่นน้ำตาไหล
เช้าวันใหม่ที่ร่างบางนอนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นที่ไม่คุ้นจมูก แถมตอนลืมตาขึ้นมาร่างกายแลศรีษะยังรู้สึกหนักอึ้ง ทั้งร้อนทั้งหนาวในคราเดียว

กับภาพห้องที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย

ทว่ามีสิ่งเดียวที่คุ้นมากว่าสิ่งใด นั่นคือบุคคลที่ยืนมองกันอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย

"เธอตื่นแล้วรึ"
เพียงประโยคนั้นประโยคเดียวที่ได้ฟังก็เหมือนโลกทั้งใบของดาริกาได้รับการปลอบโยนอีกครั้ง

เพียงคนนี้คนเดียว

ร่างโปร่งไม่รู้ได้ว่าตัวเองฝันไปนานเท่าใด ทว่ามันยาวนานและทุกข์ทรมาณเหลือเกิน เกินที่หัวใจของดาริการคนนี้จะทนไหว ภาพที่บิดาส่งเสียงตะคอกฉุดกระชากกันมันช่างโหดร้ายจนมิอาจทนไหว
"อึก..."

เสียงสะอึกในลำคอกับหยดน้ำตาที่หางตาพานทำให้ปารัตร้อนรนแทบบ้า เขากลัวว่าดาริกาจะเป็นหนักจนไม่ฟื้นตื่นมามองหน้ากันเสียแล้ว

"ฉันอยู่นี่ ไม่เป็นไรแล้ว"

พร้อมกับลูบผมอีกคนอย่างแผ่วเบา ไ่ม่อยากให้ดาริกาเจ็บปวดตรงไหนเพิ่มเติมอีก เพียงแค่นี้ก็มากเกินที่คนคนหนึ่งจะรับไหว
คำพูดที่เป็นห่วงกันกับฝ่ามือที่ลูบผมกันอย่างทะนุถนอมทำให้ร่างโปร่งไม่สามารถห้ามใจตัวเองได้อีกแล้ว

ใบหน้าที่ถวิลหา สัมผัสที่คิดถึง แลเสียงของคนอีกที่ใคร่ครวญคะนึง

ผลักดาริกาให้เอื้อมมือออกไปตรงหน้ารากับอยากคว้าสิ่งนั้นมาเป็นของตนเสียทั้งหมด ไม่อยากสนใจความจริงอื่นใดอีก
แลอีกคนก็เหมือนกับอ่านใจกันได้ดี

ปารัตจับมือบางนั้นมาหอมดอมดมซ้ำๆ มิรู้เบื่อ ก่อนจะผละมองที่หลังมือนี้อย่างพินิจพิจารณา

"อยากให้นิ้วนางบนฝ่ามือซ้ายนี้ของเธอมีแหวนของฉันอยู่ มันคงจะงดงามนัก" ก่อนจะจุมพิตประทับลงบนนิ้วนางอีกคราเงยหน้ามองคนบนเตียงด้วยแววตาลึกซึ้ง
"ยังปวดหัวอยู่ฤาไม่"

พลางเอาหลังมืออังหน้าผากด้วยความเป็นห่วง เมื่อคืนอีกคนไข้ขึ้นหนัก โชคดีที่ถึงมือหมอได้อย่างปลอดภัยไม่มีเรื่องใดน่าเป็นห่วง แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้ จึงอยู่เฝ้ามองคนบนเตียง จ้องใบหน้านวลอยู่อย่างนั้นไม่ยอมหลับทั้งคืน

หากดาริกาเป็นกระไรไป เขาจะไม่ให้อภัยตัวเอง
ดาริกาพยักหน้าเล็กน้อย เปลือกตายังคงกะพริบได้เชื่องช้าคงเพราะฤทธิ์ยาที่หมอให้ทางสายน้ำเหลือนั้นยังไม่จางหาย ทหารมะกันจึงคิดเป็นห่วงจะเดินไปบอกให้พยาบาลกับหมอมาตรวจดูอาการกันอีกครั้ง

ทว่ามือบางนั้นยังคงจับกันแน่นไม่ยอมปล่อย พร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ กลัวว่าเขาจะหายไปไม่กลับมา
ร่างสูงจึงต้องทำพันธะสัญญา โน้มตัวจุมพิตกลางกระหม่อมอย่างแผ่วเบาทว่าเนิ่นนาน ตอกย้ำสัมผัสให้คนบนเตียงมั่นใจว่าเขาจะไม่ไปไหน

"ฉันฉวยโอกาสเธอไปมาก คงทอดทิ้งเธอต่อไปมิได้แล้ว ไม่ต้องกลัว ฉันแค่จะไปตามหมอเท่านั้นแลจะอยู่กับเธอจนกว่าจะเบื่อหน้ากันไปทั้งชาติ"

พลางหัวเราะในลำคอเบาๆ
เท่านั้นก็ได้เห็นรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยกับสีหน้าที่สดชื่นขึ้นให้พลทหารหนุ่มโล่งใจ ลูบผ่ามือบางเบาๆ วางลงบนเตียง ก่อนจะเดินออกไปตามหมอเข้ามาตรวจอาการกันอีกครั้ง

"ไข้ลดลงแล้วขอรับ ไม่มีเรื่องน่าเป็นห่วง หมอฉีดยาไปอีกครั้งเย็นนี้น่าจะดีขึ้น วันพรุ่งหากไม่มีปัญหากระไรก็กลับบ้านได้"
ทหารมะกันพยักหน้า ก่อนมองหมอแลพยาบาลออกจากห้องพิเศษไปจนลับตา นัยน์ตาเข้มจึงตวัดกลับมามองคนที่นอนหลับไปอีกคราด้วยฤทธิ์ยาที่หมอให้ด้วยสีหน้าเครียดขรึม

หากกลับไปบ้านหลังนั้นคงไม่ดีแน่ แลเขาเองจะไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น

อีกทั้งปารัตเองก็เริ่มแน่ใจว่าดาริกาเองก็น่าจะมีใจให้เขาเช่นกัน
มิเช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้คนที่เกิดแลเติบโตในเมืองฝาหรั่ง เป็นชาวมะกันเต็มตัวเช่นเขาจูบหอมคลอเคลียกันเช่นนี้โดยไม่บ่ายเบี่ยงปฏิเสธ

เป็นอเมริกันแล้วอย่างไร เขาก็จักใช้วิถีแบบอเมริกันแล้วกัน

พาดาริกามาอยู่ที่บ้านเขาเสียก่อนเลยเป็นไร แล้วจะตบแต่งไม่ให้ต้องอายผู้ใดในบางกอกน้อยเลย
เพียงคิดได้เท่านั้น ในยามที่ลูกน้องเข้ามาเยี่ยมเยียนส่งข่าวของคนในครอบครัวตระกูลฮั้วให้ฟัง พลตรีพอลจึงกำชับเสียงฟังชัด

แบบที่ไม่ว่าใครก็คงไม่เสี่ยงตายหากคิดขัดคำสั่ง

"ไปเก็บของทุกสิ่งของดาริกาในบ้านนั้นให้หมด หากมันขัดขืนก็ขู่สั่งปลดไอ้ประดิษฐ์ออกจากราชกรได้เลย"
ต่อไปนี้ดาริกาจะไม่โดนใครรังแกหรือตีตราหาว่าเป็นไอ้ใบ้อีกแล้ว แลเขาก็ไม่กลัวที่จะโดนคำนินทาดูถูกไร้สาระพวกนั้นที่หาว่าปารัตผู้นี้โง่เง่าคว้าคนพูดไม่ได้ทำเมีย

กระไรที่เป็นความสุขของดาริกา พลตรีพอลผู้นี้พร้อมเป็นให้ทุกอย่าง

ฉะนั้นยามที่อีกคนตื่นขึ้นกลางดึก เขาจึงรีบลุกขึ้นมา-
ปรณนิบัติทุกอย่างโดยไม่รังเกียจ ประคองพาเข้าน้ำ ป้อนข้าวต้มป้อนยา ฤาแม้กระนั่งอาสาพยาบาลเช็ดตัวแทนให้จนดาริกานึกเกรงใจจนต้องส่ายมือส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร

"เรื่องเท่านี้เอง ฉันยินดีทำให้เธอ" ทว่าคนบนเตียงจะทำเช่นไรหากผู้ใดเปิดประตูมาเห็นเข้า ต้องมาเห็นทหารยศสูงผู้นี้เช็ดตัวคนใบ้
คงไม่ดีแน่

จึงเอี้ยวตัวนอนหันหลังนอนตะแคงใส่กัน ไม่ให้อีกคนที่ยืนอยู่เช็ดแขนกันต่ออีกแล้ว ท่าทางปฏิเสธซ้ำๆ ของคนดื้อรั้นทำให้ปารัตนึกมองอย่างเอ็นดู

หนีไปเถิดน้องดา อย่างไรเสียน้องก็มิอาจหนีพี่พ้น

"ใจดีจริง ที่นอนตะแคงให้กันเพราะอยากแบ่งพื้นที่ให้ฉันนอนด้วยใช่ฤาไม่"
ดื้อนัก มันต้องโดนกำราบเช่นนี้แล

ทหารหนุ่มจึงตีหน้าตายล้มตัวลงนอนเตียงเดียวกับคนป่วยเสียเลย นขณะที่อีกคนเลิ่กลั่กรีบหันกลับมาท่าไม่ทันเสียแล้ว ซ้ำยังถูกรวบกอดอยู่ในอ้อมอกของอีกคน จะพูดก็พูดไม่ได้อีก

จะขยับตัวก็โดนดักทุกทาง โดนรวบเอวจนแนบชิดรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รินรดกันแลกัน
ดูซิ จะปฏิเสธกันอย่างไรอีก

"ฝาหรั่งเขาวัดไข้เช่นนี้แล เธอไม่ต้องตื่นกลัว ยิ่งกอดแน่นยิ่งวัดไข้ได้ผลชะงักนักเชียว ตำราหมอไทยฤาก็ยังสู้ไม่ได้" พร้อมสายตาแพรวพราวที่ดูอย่างไรก็เป็นการหยอกล้อ

นั่นทำให้ดาริกาหน้างองุ้ม เผลอตีเบาๆ ที่ไหล่อีกคนอย่างนึกหมั่นไส้

"เธอกล้าตีฉันหรือ หืม"
น้ำเสียงเข้มเอ่ยขู่ ตรงข้ามกับแววตาที่ยังหยอกล้ออย่างนึกเอ็นดูคนในอ้อมกอดที่ยามนี้หน้าแดงจนลามไปถึงคอ เม้มปากแน่นด้วยความเขินอาย

"ตีกันเช่นนี้ต้องโดนลงโทษ" ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาจนปลายจมูกสัมผัสกัน คลอเคลียมันอยู่นานเช่นนั้นจนดาริกาเผลอหลับตาลง

รับจูบแรกที่ถูกริมฝีปากหนาช่วงชิง
ร่างสูงไม่คิดล่วงเกินไปกว่าการแตะริมฝีปากคู่นั้นเบาๆ ทว่าไม่ยอมผละออกง่ายๆ เขาติดใจในรสหอมหวานนี้เหลือเกิน มันทำให้คล้ายจะเป็นบ้า

จึงผละออกเล็กน้อยแลจูบลงไปอีก ผละออกแลจูบอีก จูบอีกซ้ำๆ ทั้งริมฝีปากบน ริมฝีปากล่าง มุมปากซ้าย มุมปากขวา

แลตำหนิน่ารักใต้ริมฝีปากหวานนั้น
ในขณะที่คนในอ้อมกอดหลับตาตัวสั่นเกร็ง จับแขนเสื้อกันแน่น หายใจหอบแรงจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นจนแทบทะลุอก

"มิต้องกลัว จูบนี้ของฉันไม่ได้คิดล่วงเกินให้เธอเสื่อมเสีย แต่หากเป็นการตีตราจองเธอไว้เท่านั้น" ร่างสูงพูดในขณะที่ริมฝีปากยังคงคลอเคลียแก้มใส

"ฉันไม่มีวันทำร้ายเธอ-
แลยินดีรับผิดชอบการกระทำทั้งหมดที่ได้ฉวยโอกาสเธอลงไป อย่าโกรธเคืองกันเลยดาริกา เพราะฉันมิอาจห้ามหัวใจตัวเองได้อีกแล้ว"

ยิ่งได้ชิดใกล้ หัวใจนี้ก็ยิ่งทนไม่ไหว เขาเหมือนไม่สามารถควบคุมตัวเองให้เผลอกอดเผลอจูบอีกคนได้อีกแล้ว

ก่อนจะเชยคางให้อีกคนเงยขึ้นมาสบตามองกัน
"ไม่ว่าสิ่งใดที่ทำให้เธอพะวง ขอให้เธอปล่อยมันลงไปแล้วมองแค่เพียงฉัน ฟังสิ่งที่ฉันจะพูดกับเธอต่อไปนี้" พลางลูบผมอีกฝ่ายแผ่วเบา

"ชีวิตตั้งแต่เด็กของฉันถูกฝึกให้เข้มแข็ง ในยามที่ต้องโหดร้ายก็ต้องพยุงหัวใจแลร่างกายเพื่อปกป้องประเทศ ต้องทนเห็นคนรอบตัวหรือแม้แต่สหายล้มตายในหน้าที่-
จึงได้รู้ว่าการรักษาคนรักให้อยู่เคียงข้างกันนั้นสำคัญเพียงไหน"

ก่อนจะเช็ดน้ำตาของอีกคนที่ไหลอาบแก้มทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา

"ฉันเสียทั้งแม่แลพ่อในศึกสงคราม กระนั้นก็ร้องไห้ให้ใครเห็นมิได้ หากทหารอย่างฉันอ่อนแอจะปกป้องชีวิตคนอื่นได้เช่นไร ดาริกา ชีวิตคนเรามันช่างสั้นนัก-
เพียงผิดพลาดแม้แต่เพียงนิด ลมหายใจของฉันหรือเธออาจไม่มีถึงวันพรุ่งนี้..." นั่นทำให้อีกคนรีบส่ายหน้าสะอึกสะอื้น มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อทหารหนุ่มไว้แน่น

ไม่อยากให้จากไปเลย ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

"เช่นนั้นทำไมเราสองคนมิอาจอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้เล่า ใช้เวลาที่เหลือในชีวิต-
ยิ้มให้กันยามตื่น เต้นรำด้วยกันในบ้านหลังเล็กๆ ของเรา ฉันจะสอนเธออ่านเขียนหนังสือ จะกินกับข้าวที่เธอทำให้ทุกมื้อ จะนอนกอดเธออย่างนี้ ยิ้มให้เธอจนกว่าจะหลับ"

พร้อมกับจูบหน้าผากนั้นอย่างอบอุ่น

"ช่างคนอื่นปะไร ฉันมิใคร่สนว่าเธอจะพูดได้ฤาไม่ในชาตินี้-
ขอแค่ได้อยู่ด้วยกันจนลมหายใจสุดท้ายก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ"

สิ้นคำนั้นดาริกาก็พยักหน้าเบาๆ ทั้งน้ำตา เขายอมแล้ว

ดาริกาผู้นี้อยากอยู่กับชายตรงหน้าไปตลอดชีวิต อยากเห็นใบหน้านี้ทุกเมื่อเชื่อยาม คุณปารัตมิใช่แค่ความหวัง มิใช่แค่แสงสว่างที่ทำให้เขาอบอุ่นเท่านั้น

แต่เป็นความรัก
รักตั้งแต่บทเพลงแรกที่อีกคนประคองเอวกันในงานเลี้ยงคืนนั้น

รักตั้งแต่คราที่อีกคนสัมผัสบนแก้มนวลแลเสียงเข้มอันมั่นคงที่เอ่ยปลอบโยนกันว่ามิเคยนึกรังเกียจต่อให้เขาเนื้อตัวสกปรก

รักแม้ในยามที่อีกคนรู้ว่าเขาพูดไม่ได้แต่ก็ยินดีที่จะเป็นเสียงให้กัน ประคองกันไปแบบนี้ตราบสิ้นลม
นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นที่จ้องมองกันตั้งแต่แรกเห็น

ยามนี้ยังคงแจ่มชัดเสมอ แลจะยังคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป

ไม่ว่ายามใดนัยน์ตาคู่นี้ก็จะมีไว้มองดาริกาผู้เดียวเท่านั้น

"ฉะนั้นเธอจะตอบฉันอีกครั้งได้ฤาไม่ นิ้วนางมือซ้ายของเธอที่ยังว่าง ยินดีที่จะให้แหวนของฉันได้ประทับเป็นเจ้าของมันรึเปล่า"
พลางจับมือซ้ายอีกคนขึ้นมาหอมดอมดมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอื้อมหยิบกล่องแหวนที่วางอยู่บนหัวเตียงผู้ป่วยตั้งแต่คืนก่อน

เขามองดูมันทั้งคืนเพราะหวังว่าสักวันดาริกาอาจใจอ่อน

ดังนั้นจึงรีบเปิดกล่องนั้น หยิบแหวนวงเล็กขึ้นมาให้อีกคนได้เห็นความสวยงามของมันอีกครั้ง

"แต่งงานกับฉันนะ ดาริกา"
พานให้คนในอ้อมกอดที่ถึงแม้จะพูดไม่ได้ ทว่าทุกคำพูดของคนตรงหน้าดาริกานั้นได้ยินแจ่มชัด

ถึงแม้วันนี้น้ำตาจะไหลท่วมสองแก้ม ทว่ามันมิใช่น้ำตาแห่งความเศร้าโศกอีกแล้ว

หากแต่เป็นความยินดีที่ไม่คิดว่าคนเป็นใบ้อย่างเขาสมควรจะได้รับ

แลดาริกาคนนี้จะไม่ปฏิเสธหัวใจตัวเองอีกต่อไป
เขาอยากรัก อยากมีความสุขกับผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าทางที่เดินไปข้างหน้าจักลาดชันแลเต็มไปด้วยขวากหนามสักเพียงใด เขายอมที่จะเจ็บแลมีความสุขไปพร้อมกับมัน

พร้อมกับผู้ชายคนนี้

ดังนั้นดาริกาจึงเช็ดน้ำตา ยิ้มให้กับคนตรงหน้า พยักหน้าด้วยความเต็มใจอย่างที่ชีวิตไม่เคยมั่นใจกระไรเท่านี้อีกแล้ว
ยื่นมือซ้ายให้คนตรงหน้าได้สวมแหวนเพชรเม็ดนั้น พร้อมกับหยิบแหวนให้กล่องนั้นอีกวง สวมมันลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของฝ่ามือหนาเช่นกัน

ความสุขแรกในชีวิตของดาริกา คือคุณปารัตผู้นี้

ถึงแม้นชีวิตต้องโชคร้ายมานับไม่ถ้วน เขาก็ยินดีหากช่วงชีวิตที่เหลือได้เจอสิ่งโชคดีสิ่งเดียวในชีวิตเช่นนี้
พร้อมกับประทับจุมพิตลงบนฝ่ามือหนากลับไปบ้าง ขอบคุณที่คุณปารัตเกิดมาให้ดาริกาคนนี้ได้รู้จักความรัก

ให้ดาริกาคนนี้ได้รัก

พลางยิ้มทั้งน้ำตา โอบกอดกันไว้ทั้งคืนด้วยความสุขที่มิอาจล้นไปกว่านี้ได้

'ขอบคุณ'

แลริมฝีปากที่ขยับคำพูดนี้ไม่รู้จบ
ย่ำรุ่งที่แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามายังห้องผู้ป่วย ทหารชาวมะกันพยุงร่างบางที่สวมเสื้อผ้าแลรองเท้าใหม่แสนสะอาดที่ปารัตวานให้ลูกน้องช่วยจัการเตรียมให้เสร็จสรรพ

ว่าที่ภรรยาของเขาจะต้องไม่ใส่เสื้อผ้าเก่าๆ แบบนั้นอีกต่อไป

"เราจะกลับบ้านกัน" แลนั่นทำให้ดาริกาเลิกคิ้วฉงน
จากนั้นสีหน้าแววตาตะหนกว่าคนเป็นบิดาจะโมโหจนทำร้ายกันอีกก็ฉายชัดเจนให้อีกคนต้องรีบพูดออกไป

"มิใช่บ้านเธอหรอก แต่เป็นบ้านของฉันแถวเจริญกรุง"

เมื่อพูดถึงเจริญกรุงดาริกาก็เข้าใจได้อย่างดี ถึงแม้นจะไม่เคยไปหากพี่ดุษณีเคยเล่าให้ฟังว่าแถวนั้นเป็นย่านคนฝาหรั่ง
ฉะนั้นตึกรามบ้านช่องจึงสร้างด้วยปูน ทาสีสวยงามตั้งตระหง่านอยู่บนถนนใหญ่ที่รถราขวักไขว่ไปมา ต่างจากแถวบางกอกน้อยเสียสื้นเชิงที่มักจะเป็นบ้านไม้ริมคลอง ใช้เรือเป็นพาหนะเสียส่วนใหญ่

"เพราะสงครามเพิ่งจบเพียงมินาน รางรถไฟแลถนนหลายเส้นยังเป็นหลุมเป็นบ่อ กระนั้นแถวบ้านฉันก็มีโรงละคร-
มีโรงเรียนสอนภาษาปะกิดที่พี่สาวเธอเรียนอยู่ แลตรงนั้นกำลังจะสร้างห้างให้เธอได้ยลโฉมอีกมาก อาจจะไม่เงียบสงบเท่าบางกอกน้อยบ้านของเธอ ทว่าฉันอยากให้เธอได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ในสังคมของฉัน ให้เราเรียนรู้กันแลกัน"

พลางจับมือเล็กลูบอย่างเบามือ

"ฉะนั้นแต่นี้ต่อไปเธอมาอยู่กับฉันนะดาริกา"
กระนั้นร่างโปร่งก็ยังกังวลไม่น้อย สังคมของชาวมะกันเป็นเช่นไรมิอาจทราบได้ ทว่าคนไทยอย่างเราการเข้าบ้านฝ่ายชายทั้งที่ยังไม่ทำพิธีตบแต่งเป็นทางการนั้นมิใช่เรื่องถูกเรื่องควรนัก

อีกอย่างพี่ประดิษฐ์ก็เป็นถึงราชการ คงไม่ดีแน่หากคนวงในรู้เข้าว่านอกจากน้องตัวเองจะแต่งงานกับฝาหรั่งแล้ว-
ยังจะหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับเขาก่อนแต่งให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูลอีก

"ไม่ต้องกังวลไปหรอก ไหนว่าจะเชื่อให้กันอย่างไรเล่า เมื่อคืนเราคุยกันแล้ว"

ดาริกาเงยหน้าคนที่กุมมือที่สวมแหวนให้กันตั้งแต่เมื่อคืน แลสัมผัสนี้ก็ไม่คลายหายจากกัน

บอกให้มั่นใจ ให้เชื่อใจ ว่าจะอยู่ตรงนี้

ไม่ปล่อยมือ
"เชื่อฉันสิ ฉันขอเธอแต่งงานแล้วจะคิดทำร้ายให้เธอเสื่อมเสียเกียรติได้อย่างไรกัน แล้วไม่ต้องไปคิดเรื่องคนอื่น คิดถึงตัวเองบ้างเถิด ทำตามที่ตัวเองใคร่อยากทำ ช่างพวกปากหอยปากปูปะไร พวกนั้นไม่เคยมารับรู้ความลำบากของเธอเสียหน่อย"

จากนั้นดาริกาจึงพยักหน้าเบาๆ แม้จะไม่มีความมั่นใจมากนัก
เขาเป็นคนไม่เคยได้ทำกระไรตามหัวใจตัวเอง ทุกอย่างในคราแรกจึงดูฝืนมิใช่น้อย ซึ่งปารัตเองก็เข้าใจมิได้คิดเร่งรัด มันเป็นสิ่งที่ดาริกาต้องเรียนรู้

สังคมฝาหรั่งแตกต่างจากสังคมไทยนัก ทุกคนต่างพูด ต่างแสดงออกคามรู้สึกนึกคิดได้ดั่งใจ

ทว่าไทยนั้นหาทำเช่นนั้นได้ไม่
การรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาช่วยให้สยามเจริญขึ้น เปลี่ยนไปเป็นประเทศไทยราวกับแค่กะพริบตาคราเดียว

กระนั้นก็น้อยมากที่จะเห็นครอบครัวไทยต้อนรับคนฝาหรั่งถึงขนาดอนุญาตให้ตบแต่งกันเป็นสามีภรรยา

'พวกผมทองนั่นน่ะรึ ชอบสังสรรค์ไปเรื่อย มีแต่พวกหญิงบำเรอเท่านั้นแลที่จะอยู่กับคนพวกนี้ได้'
หากคนทั่วไปมิรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเพราะการผูกมิตรระหว่างประเทศโดยส่งตัวแทนฝ่ายมะกันเป็นทหารยศสูงผลงานดีมาตบแต่งกับญาติฝ่ายทหารไทย

เพื่อให้ทหารมะกันทำงานราชการในไทยได้สะดวกขึ้น

ถ้ามิใช่เหตุผลนี้ ครอบครัวแซ่ฮั้วคงได้เป็นขี้ปากชาวบ้านถ้วนทั่ว
ฉะนั้นในตอนที่ดาริกาก้าวสองเท้าเหยียบย้ำพื้นปูนเรียบ ไม่ขรุขระชื้นแฉะเหมือนดั่งพื้นดินใกล้เขตคลอง หัวใจจึงเต้นแรงกวาดสายตามองทั่วทิศทางที่ประดับด้วยตึกสูงฉาบด้วยปูน ลวดลายพิลึกพิลั่น

ทว่าก็สวยงามแปลกตาไปเหลือเกิน

สวยจนดาริกาไม่อยากหลับตา เพราะเกรงกลัวว่าภาพตรงหน้าจะหายไป
ตึกรามส่วนใหญ่หลังคาเป็นสามเหลี่ยมบ้างโค้งบ้าง แต่ที่เด่นชัดคงจะเป็นประตูหรือหน้าต่างใหญ่ที่ดาริกาเองก็มิทราบนัก ทว่ามันกลับมาระเบียงยื่นออกมาให้ยืนตรงนั้นได้

ยืนจากมุมสูงเพื่อมองดูผู้คนด้านล่างกระนั้นฤา

พิลึกแท้ เหตุใดคนฝาหรั่งถึงมีรสนิยมแปลกประหลาด

ทว่าปฏิเสธมิได้เลยว่างดงาม
"ฉันพาเธอมาที่ใจกลางเจริญกรุงก่อน ให้เธอได้รู้ว่าสังคมข้างนอกนั่นเป็นเช่นไร"

พูดจบก็ชี้ไปยังรางยาวๆ คล้ายรางรถไฟใจกลางถนนที่สองฝั่งเป็นตึกล้อมรอบ

"เห็นเขาว่าเคยมีรถรางผ่านแต่มิได้ใช้แล้ว" ช่างน่าเสียดาย หากยังมีอยู่เขาก็อยากพาดาริกานั่งพาชมเมืองให้เสียถ้วนทั่ว

*ขอบคุณภาพประกอบ ImageImage
แววตาเป็นประกายของอีกคนช่างน่าเอ็นดู ทว่าปารัตไม่ปล่อยให้อีกคนยืนเหม่อนาน เขาจูงมือร่างโปร่งให้เดินตาม ลัดเลาะไปทั่ว ทักทายคนรู้จักด้วยภาษาปะกิดตลอดทางด้วยความคุ้นชิน

โดยไม่ลืมแนะนำคนข้างกายว่าเป็นใคร

มาดามหน้าตาสะสวยแถวนี้มีเต็มไปหมด สวมชุดกระโปรงที่พี่ดุษเองก็เคยใส่เช่นกัน
"ฉันจะพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าแลรองเท้าใหม่" อีกคนเอ่ยคำตอบให้ดาริกาที่สงสัยอยู่นานพยักหน้ากลับ

"อ้อ แล้วก็หมวกด้วย สมัยนี้มิใช่แค่ฝาหรั่ง คนไทยก็ชอบใส่หมวกแบบมะกันนัก เธอใส่คงน่าเอ็นดูทีเดียว"

ปารัตแทบไม่เว้นจังหวะให้อีกคนได้โบกมือส่ายหน้าปฏิเสธก็จับมือกันเข้าร้านเสื้อผ้าทันที
ก่อนที่ร่างโปร่งจะเกร็งไปทั้งร่างเมื่อเห็นเจ้าของร้านที่เป็นมาดามผมทอง ยืนยิ้มต้อนรับด้วยภาษาที่ดาริกาฟังไม่ออก แถมทำท่าจะเข้ามาทักทายกันด้วยการแตะแก้มเสียนี่

นั่นทำให้ดาริกาต้องรีบเดินหลบหลังทหารหนุ่มทันที

"มิต้องกลัว มาดามคนนี้ชื่อแมรี่ คนไทยเรียกเธอว่าแม่มะลิ-
เป็นเจ้าของร้านตัดเสื้อแลแถวนี้ไม่มีใครเย็บหมวกได้สวยเท่าร้านของเธออีกแล้ว"

จากนั้นปารัตก็หันกลับไปพูดกับมาดามท่านนั้นสองสามประโยค เธอจึงหันมาทางดาริกาด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี

"Congratulations!" คอนกระไรนะ ดาริกาฟังไม่ถนัดนัก

"เธอแสดงความยินดีที่เราจะแต่งงานกันในไม่ช้าน่ะ"
เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามทว่าดาริการู้สึกเหนื่อยล้ากว่าคราไหนๆ

สังคมฝาหรั่งนั้นยากที่จะปรับตัว แลเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจไปนั้นถูกต้องสมควรแล้วฤาไม่

คนอย่างเขาไม่รู้กระไรเลยสักอย่าง ชุดที่ถูกสวมใส่นั้นงดงามไม่ผิดแน่ หากแต่ผู้คนรอบกายแลท่าทางเหล่านั้นที่แสดงออกให้กัน-
มันช่างยากเหลือเกินที่ดาริกาจะเข้าใจแลยอมรับได้โดยง่าย

ภาพผู้คนที่จะเรียกว่าไม่มีมารยาทก็ไม่แน่ใจนัก แต่ฝาหรั่งผมทองบางคนก็พร้อมที่จะยกมือตะโกนทักทายกันกลางถนน ฤาไม่ก็โอบกันโดยไม่อาย

แลที่เขาเห็นล่าสุดคือมาดามมะลิกระไรนั่นกอดแลเอาแก้มแตะแก้มคุณปารัตเพื่อทักทายกัน

มันใช่หรือ
มันทำให้ดาริกานึกย้อนกลับไป เช่นนั้นคุณปารัตทำเช่นนี้กับทุกคนฤาไม่

ไม่ใช่แค่เขา แลเขาก็มิได้พิเศษ แต่ทว่าฝาหรั่งเป็นกันเช่นนี้อยู่แล้ว ร่างโปร่งจึงสับสนไปหมดจนสีหน้าคร่ำเครียด

"เป็นกระไรไป" ปารัตที่เห็นว่าอีกคนหน้าบึ้งตั้งแต่ที่ร้านเสื้อผ้าแล้ว แต่เสียมารยาทต่อหน้ามาดามแมรี่
หลังจากซื้อเสื้อผ้าเรียบร้อยจึงรีบพาอีกคนที่ดูเหมือนคนหายใจไม่ออกมาตลอดทางได้หายใจลึกเมื่อเดินออกจากร้าน

"เธออึดอัดหรือ"

แต่ดาริกามิกล้าส่ายหน้าหรือพยักหน้าตอบกลับไป อีกคนมีน้ำใจมีบุญคุณต่อกันถึงเพียงนี้ เขาไม่อยากให้ความหวังดีของคุณปารัตต้องสะดุดลงเพราะคำตอบของตัวเอง
จึงทำได้เพียงส่ายหน้ากลับไปทั้งที่สีหน้ายังคงตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

"อย่าปดฉันเลย หากเธออึดอัดก็ขอให้พยักหน้าตามตรง คนเราจะอยู่ด้วยกันมิใช่แค่ความรักภักดี แต่หากต้องเข้าใจแลรับฟังจิตใจคู่ครองด้วยใช่ฤาไม่เล่า"

ปารัตกว่างเสียงเครียด

"ฉันอาจเร่งเร้าเธอเร็วเกินไป-
มิได้อธิบายวัฒนธรรมประเทศของฉันให้เธอได้ฟังเสียก่อน แต่อย่าคิดมากเลย เมื่อครู่ฉันกับมาดามแมรี่แค่ทักทายกัน ไม่มีกระไรไปมากกว่านั้น แลความรู้สึกของฉันเวลากอดทักทายผู้อื่นกับกอดเธอนั้นย่อมต่างกัน"

แต่ดาริกาก็ไม่วายส่งแววตากังวล ดั่งคนที่ต้องการคำปลอบโยนที่เชื่อมั่นได้มากกว่านี้
เพราะไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะต้องเจอกับเรื่องที่ทำให้หัวใจไขว้เขวได้อีกมากแค่ไหน

ลำพังพูดก็ไม่ได้ อ่านเขียนก็ไม่ออก ซ้ำยังต้องมาอยู่ในสังคมที่คนพูดภาษาที่ไม่เข้าใจใส่กันอีก

เหมือนยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางพายุฝนที่ซัดกระหน่ำตรงหน้า ไม่มีที่หลบภัยใดๆ ที่จะพอซุกตัวหลบได้เลย
"เธอรู้ฤาไม่ ผู้คนที่ทักทายฉันระหว่างทางที่เราเดินจับมือไปด้วยกันล้วนชมว่าเธองามนัก แลฉันก็ยินดีที่จะบอกพวกเขาทุกคนว่าเธอเป็นคนรักของรัก"

คนรักกระนั้นฤา ดาริกาเพิ่งได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรก

"คนรัก หมายความว่าเธอคือคนที่ฉันรัก" เป็นคราแรกที่ปารัตพูดคำว่ารักให้กัน
นั่นทำให้ดาริกาเผลออ้าปากขยับคำพูดนั้นตามด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ

'รัก' พร้อมรอยยิ้มบางแลแก้มใสที่ขึ้นสีระเรื่อน่ารัก เอียงอายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดกระไรออกไป

"ใช่แล้ว ฉันรักเธอ แล้วเธอเล่า จะแต่งงานกับฉันอยู่แล้ว รักฉันบ้างฤาไม่" สิ้นคำนั้นก็เชยคางอีกคนให้สบตามองกัน
ถึงดวงหน้าจะนิ่งเก็บอารมณ์ได้ดีสมชายชาติทหาร ทว่าใครจะสังเกตเห็นแววตาผูกพันลึกซึ้งได้เท่าดาริกาคนนี้

เป็นคนแรก แลอาจเป็นคนเดียวที่ทำให้เขาไม่รู้สึกนึกกลัวแม้นว่าตัวจะเป็นทหาร

ดังนั้นเมื่อมั่นใจในความรู้สึกแล้วไซร้ จึงไม่ลังเลใจที่จะขยับริมฝีปากเอ่ยออกไปแม้นไร้เสียง

'รัก'
จึงได้เห็นรอยยิ้มเห็นฟันของพลทหารมะกันเป็นครั้งแรก ราวกับคำพูดพยางค์เดียวนั้นเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิต

"สัญญาด้วยเกียรติของชายชาติทหารเลยว่าจะไม่ทำให้เธอต้องเสียดายที่บอกรักฉันวันนี้" พลางความคิดหนึ่งก็เข้ามาแทรก

หากพาดาริกาไปที่ที่นั้นก่อนกลับบ้านคงทำให้ดีไม่น้อย
"ก่อนกลับช่วยแวะไปกับฉันสักที่ได้ฤาไม่"

ยังไม่ทันจะให้คำตอบดาริกาก็ถูกจูงมือเดินเคียงข้างกันอีกครา ก่อนสายตาจะเลิกกว้างเมื่อยินอยู่หน้าร้านใหญ่แห่งหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยเสียงเพลงแลแผ่นเสียงจำนวณมากมายที่คนภายในร้านเข้าออกกันเป็นว่าเล่น

"ฉันชอบฟังเพลงแลฉันคิดได้อยู่ประการหนึ่ง-
บางทีการส่ายหน้าหรือพยักหน้าอาจไม่ช่วยให้ฉันได้เข้าใจเธอได้ลึกซึ้ง ทว่าเพลงสามารถช่วยได้ ในบ้านของฉันมีเครื่องเล่นเสียงแลเพลงไทยมากมาย ฉันอยากให้เธอเลือกไปสักหลายแผ่น"

แต่กระนั้นราคาของแผ่นเสียงไม่ใช่ถูก จะให้เลือกก็เกรงใจจึงหยิบมาแค่แผ่นเดียวเท่านั้น

เพราะมีสิ่งที่ต้องใจกว่า
ดาริกาสอดส่ายสายตาไปเรื่อยจนสะดุดกับเครื่องที่ดูคล้ายกับวิทยุที่ชอบฟังกับพวกคนงานตอนเฝ้าร้านให้พ่อแต่ขนาดใหญ่แลมีปุ่มเยอะกว่า

ดาริกาอยากได้ พักนี้มิได้ฟังละครวิทยุมาหลายตอนแล้ว ไม่รู้ว่านางเอกในเรื่องจะโดนนางร้ายกระทำกระไรไปบ้าง

ทว่าราคาก็แพงเสียเหลือหลาย จึงได้แค่ยืนด้อมๆ มองๆ
หากถามว่างานอดิเรกฤาสิ่งที่ดาริกาชอบคือสิ่งใด เจ้าตัวคงตอบให้มิได้เพระไม่รู้จักถึงสิ่งนั้น

ต่างจากพวกฝาหรั่งที่จะมีสิ่งที่เรียกว่า 'Hobby' ที่พี่ดุษณีเคยเล่าว่ามันคือสิ่งที่เราสนใจใคร่รู้แลหากได้ทำจะมีความสุข

เช่นนั้นการฟังละครวิทยุคงเป็นงานอดิเรกของดาริกากระมัง
"หืม? เธออยากได้วิทยุหรือ ที่บ้านของฉันมีอยู่หนึ่งเครื่องไว้ฟังข่าว รุ่นใหม่ล่าสุดเชียวนา หากเธอชอบฟังวิทยุฉันจะยกให้" เท่านั้นดาริกาก็ตาใสเป็นประกายด้วยความยินดี

ให้กันจริงหรือ

ปารัตเห็นท่าทางนั้นก็นึกหยอกเย้าอยากแกล้งอีกคนที่ดูท่าทางจะติดวิทยุไม่น้อย

"คิดดูอีกทีให้ยืมดีกว่า-
ยืมหนึ่งชั่วยามแลกกับหนึ่งจูบ หากใคร่อยากยืมทั้งเช้ากลางวันเย็นถึงค่ำก็ย่อมได้ เพื่อแลกกับสี่จูบ"

เท่านั้นก็โดนดาริกาตีไหล่เบาๆ ไปเสียหลายที

"กระไรเล่า อย่างนี้ยุติธรรมที่สุดแล้ว ฉันไม่เก็บค่าเช่าแม้แต่สะตางค์แดงเดียวเชียวนา"

จากนั้นจึงได้เห็นทั้งสองหัวเราะหยอกล้อกันไปตลอดทาง
ขนาดแค่เพียงค่ำคืนแรกที่ดาริกาพอเห็นเครื่องวิทยุเท่านั้นก็ตาลุกวาว ละล่ำละลั่กทำท่าจะกดปุ่มเปิด ส่งสายตาอ้อนวอนว่าเมื่อไรเจ้าของจะบอกว่าอนุญาตเสียทีก็ทำเอาปารัตหัวเราะกับภาพนั้น

พร้อมกับได้รับจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มที่ดาริกามอบให้แทนค่าเช่ายืมหนึ่งชั่วยาม

ช่างคุ้มกระไรเช่นนี้
ยามย่างกรายเข้ามาในบ้านสองชั้นของอีกคนเป็นครั้งแรก ดาริกาไม่นึกแปลกใจกับสภาพภายนอกที่เป็นบ้านฉาบด้วยปูนสองชั้นดั่งเช่นบ้านสมัยใหม่ที่เขาเคยเห็นอยู่บ้าง

ทว่าเมื่อเข้าไปสำรวจด้านในก็เห็นว่าถูกประดับด้วยเครื่องเรือนที่ต่างออกไป

มีเก้าอี้นวมยาวนิ่มๆ ที่เจ้าตัวเรียกว่าโซฟา
บุอย่างดีแลน่าจะราคามิใช่น้อย แม้แต่ตู้วางของที่เป็นไม้แกะสลักด้วยลายดอกไม้คดโค้งแบบฝาหรั่ง บนชั้นวางของนั้นประดับด้วยแจกันดอกไม้แลเครื่องเล่นแผ่นเสียงทำจากทองคำวับวาวที่คนอย่างดาริกาไม่คิดกล้าแตะต้อง

ห้องชั้นล่างนี้เป็นห้องหนังสือ ด้านในมีหนังสือมากมาย มิใช่แค่ไทยกับฝาหรั่ง
แต่ยังมีภาษาที่อีกคนเรียกว่าฝรั่งเศส สเปน แลจีน ญี่ปุ่นอีกด้วย

"เธอสามารถใช้ห้องนี้ได้เสมอ คราวหลังฉันจะสอนอ่านเขียนที่ห้องนี้ เธอจะได้หยิบอ่านหนังสือได้เท่าที่ต้องการ"

ดาริกาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโชคดีได้กลับมาเรียนอ่านเขียนอย่างที่ใจหวัง ไม่รู้จะตอบแทนคนตรงหน้านี้อย่างไร
นอกจากหากคุณปารัตเอ่ยปากขอสิ่งใด เขายินดีจะมอบให้ทุกอย่างโดยไม่เกี่ยง

อย่างตอนนี้ที่ทหารมะกันขอให้หอมแก้มกันเพื่อแลกกับที่เขาจะได้ฟังละครวิทยุในคืนนี้

"ชื่นใจที่สุด" ร่างสูงยิ้มมุมปากหน้าชื่น หยิบวิทยุมาวางบนโต๊ะกลางโซฟา โอบเอวอีกคนให้เดินมาด้วยกัน
ทว่าดาริกาก็ยังคงไม่กล้านั่งเก้าอี้นวมนั่น ทันทีที่เจ้าของบ้านนั่งลงบนโซฟา ดาริกาจึงคุกเข่านั่งพื้นอย่างคนเจียมตัวที่เกรงว่าของราคาแพงในบ้านนั้นจะสกปรกเลอะเทอะเพราะเนื้อตัวเขา

"กระไรนั่น ทำไมถึงนั่งพื้น" ปารัตต้องรีบยืนขึ้นทันทีที่ดาริกานั่งพับเพียบเรียบร้อยที่พื้น
"ขึ้นมานั่งตรงนี้ เธอมิใช่คนใช้เสียหน่อย ต่อไปนี้ไม่ต้องนั่งพื้นแล้วนะเข้าใจฤาไม่" ก่อนจะพยุงอีกคนที่ทำท่าทางฝืนเมื่อถูกขืนให้มานั่งบนโซฟาจนได้

"ถ้ายังเห็นนั่งพื้นอีก ฉันจะเก็บค่าเช่าพื้นเป็นหอมแก้ม จะกอดจะหอมทั้งวันเลยคอยดู" เท่านั้นดาริกาก็รีบนั่งหลังตรงทันใดจนอดหัวเราะไม่ได้
ดาริกานั่งฟังละครวิทยุอย่างตั้งใจ ในขณะที่อีกคนทำทีเอาแขนมาเท้าโซฟายาวด้านหลังคล้ายจะโอบกันก็ไม่ปาน นัยน์ตาสีนิลบนใบหน้านั้นยังคงนิ่ง พิจารณามองอีกคนอย่างเพลินใจเหมือนยามเจอกันคราที่งานเต้นรำคืนนั้น

ใบหน้าอีกคนอย่างสวยหวาน มองอย่างไรก็ไม่รู้เบื่อ
จังหวะเดียวกับที่อีกคนหน้าแดงเป็นตำลึงสุก มือปิดหน้าอย่างเขินอายเมื่อในวิทยุบรรยายฉากที่พระเอกอุ้มนางเอกขึ้นเตียง จุมพิตเบาๆ อย่างรักใคร่ จนในที่สุดก็บอกรักกันจนได้

พร้อมกับฉากเข้าด้ายเข้าเข็มที่ดาริกาต้องรีบปิดหู หน้าแดงตัวแดงไปหมด

"มิยักรู้ว่าเธอชอบฟังเรื่องแบบนี้ด้วย"
แววตากรุ้มกริ่มสะท้อนในดวงตาทหารหนุ่ม จากที่เขินละครวิทยุที่บรรยายฉากพลอดรักแล้ว ตอนนี้ดาริการ้อนรุ่มไปทั้งตัว มือไม้อยู่ไม่สุกทำท่าจะปิดวิทยุปุ่มก็เยอะเหลือเกิน จนต้องปล่อยให้มันบรรยายฉากล่อแหลมต่อไป

พร้อมกับประกายแววตาของราชสีห์ที่ยังคงนิ่ง ตั้งหลักเตรียมพร้อมขยุ้มเจ้ากระต่าย
พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากข้างเดียวที่ดูอย่างไรก็เหมือนคนเจ้าชู้ขึ้นมาทันใด

เป็นครั้งแรกที่ดาริกาเห็นมุมของอีกคนที่ดูต่างออกไปจากปกติ แลเขาเองก็ดูเหมือนเหยื่อที่กำลังโดนพ่อราชสีห์แยกเขี้ยวขย้ำกินอย่างไรอย่างนั้น

"ดาครับ..." กับเสียงแหบพร่าที่เอ่ยคำหวานๆ นั้นออกมา
"อยากเป็นนางเอกในละครของพี่ไหม ให้ดาเป็นนางเอกที่พระเอกอย่างพี่จะอุ้มดาขึ้นเตียงด้วยตัวเอง"

สิ้นคำนั้นก็โอบเอวอีกอีกที่ทำหน้าเอียงอายให้ขึ้นมานั่งตัก หันหน้าเข้าหากันจนดาริกาที่กลัวตกต้องรีบเอามือคล้องคอกันไว้

ส่วนปารัตก็ก้มหน้าดอมดมซอกคออีกคนด้วยแรงเสน่หา
"เธอหอม...หอมไปทั้งตัว"

เสียงแหบดั่งคนเพ้อของปารัตเอ่ยขึ้นให้หัวใจของดาริกาเบาหวิว ท่านั่งส่อกิริยาเปิดเผยให้อีกฝ่ายสัมผัสแลจุมพิตไล้ผิวเนียนจนปกเสื้อหล่นเผยเห็นลาดไหล่ให้อีกฝ่ายไล่พรมจูบตามไม่เว้นพื้นที่ว่าง

ไปจนถึงเนินอกน่ารักที่ปารัตช้อนมองแล้วแตะริมฝีปากจุ๊บลงไปเพียงบางเบา
"อึก..." แต่สติก็พลันฟื้นตื่นเมื่อได้ยินเสียงสะอึกเบาๆ ในลำคอของอีกคนพร้อมกับเนื้อตัวของดาริกาที่สั่นเทา มันทำให้ทหารมะกันคนนี้คิดได้

ดาริกาเป็นเด็กบริสุทธิ์ ไม่เคยผ่านมือชายใด ไม่เคยให้ใครสัมผัสตัวถึงขึ้นนี้ แลเขากำลังทำให้ดาริกากลัว

ปารัตจึงจูบไหปลาร้าอีกคนซ้ำๆ เพื่อปลอบโยน
ถึงอีกคนจะไม่ได้ร้องไห้ออกมา ทว่าคงตื่นตระหนกพอดู ดาริกายังไม่พร้อมแลเขาอยากให้อีกคนเตรียมตัวเตรียมใจ พร้อมเป็นของกันแลกันด้วยความเต็มใจเสียดีกว่า

คิดเท่านั้นก็กอดเอวอีกคนแน่น โยกไปมาเบาๆ ปลอบโยนด้วยความอบอุ่น

"ฉันขอโทษ อย่ากลัวอย่าโกรธฉันเลยนะ ที่ทำไปทั้งหมดเพราะฉันรัก"
ถึงดาริกาจะส่ายหน้า ขยับปากไร้เสียงนั้นว่าไม่เป็นไรซ้ำๆ หลายครั้ง ปารัตก็รู้ดีว่าเขาฉวยโอกาสอีกคนมากเกินไป

"เธอสวยไปหมดฉันจึงอดใจไม่ไหว" ก่อนจะผละออกด้วยความเสียดาย

"รอให้งานแต่งเรียบร้อยก่อน เราจะมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองไม่ให้แพ้พระนางในละครวิทยุเลยเชียวดาของพี่"
ฉะนั้นภายในห้องนอนที่มีเพียงเตียงขนาดใหญ๋อยู่กลางห้อง ดาริกาจึงเลือกหยิบหมอนบนเตียงหนึ่งใบวางลงที่พื้น พร้อมกับท่าทางที่กำลังจะจะทิ้งตัวลงนอน

หากไม่ได้อีกคนรั้งเอาไว้

"กลัวที่ฉันรังแกเธอไปเมื่อครู่หรือ ถึงไม่ยอมนอนด้วยกัน" ได้ยินดังนั้นคนฟังก็รีบส่ายหน้าไปมา
ตั้งแต่เกิดจนโตเจ้าตัวไม่เคยมีห้อง ไม่เคยมีเตียงเป็นของตัวเอง หากคืนไหนพี่ดุษไม่ได้เรียกชวนไปนอนด้วย ดาริกาก็จะได้นอนแค่ที่พื้นห้องนอนอาม่าเท่านั้น

มันเป็นความเคยชินเสียแล้ว ความเคยชินที่ไม่กล้าอาจเอื้อมขึ้นไปนอนด้านบนหากไม่ได้รับอนุญาต

เขานอนไหนก็ได้ ต่อให้ไม่มีหมอนหรือผ้าห่ม
เพราะไม่มีเสียงจะเรียกร้อง ดาริกาจึงเป็นเด็กอดทนเก่ง ไม่เคยมองว่าคนอื่นเอาเปรียบตน แค่ขอให้ตัวเองไม่อดอยากหรือถูกไล่ออกจากบ้านไปเผชิญความน่ากลัวข้างนอกเป็นพอ

ฉะนั้นดาริกาจึงไม่เคยขอร้องใครหรือทำตัวเป็นภาระให้คนอื่นพร่ำบ่น เพราะแค่พิการเป็นใบ้ก็ทำเอาครอบครัวขายขี้หน้าพออยู่แล้ว
แลดาริกาเองก็เกรงใจคุณปารัตมากพอที่จะไม่เห็นแก่ตัวขึ้นไปนอนเบียดรบกวนให้รำคาญกัน

จึงดึงมืออีกคนออก ยิ้มส่ายหน้าว่าไม่เป็นไรก่อนจะค่อยๆ ก้มตัวลงนอนพื้นช้าๆ

ทว่ากลับโดนอีกคนอุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาวโดยไม่ทันตั้งตัว

"ฉันให้เธอมาอยู่เป็นคุณนายเมียฝาหรั่ง มิใช่คนใช้-
เธอคิดว่าฉันจะรู้สึกเช่นไรที่เห็นว่าที่เมียตัวเองนอนหนาวสั่นที่พื้นอยู่คนเดียว ส่วนฉันนอนสบายคนเดียวอยู่บนเตียง เป็นเธอจะหลับตาลงได้รึ!" ปารัตพ่นลมหายใจแรง หงุดหงิดเบาๆ ที่อีกฝ่ายเจียมตัวจนเกินพอดี

นึกแล้วก็เกิดโทสะในใจ บ้านนั้นสอนลูกตัวเองอย่างไรให้ทำตัวดั่งคนใช้ในเรือนเช่นนี้
ทั้งที่เป็นลูกก็ควรให้สิทธิ์เหมือนเป็นผู้อาศัยในบ้านคนหนึ่ง มิได้เป็นกาฝากมาขออยู่ขอกินเสียเมื่อไร

"ต่อแต่นี้เธอต้องนอนกับฉันที่เตียงนี้ ที่นอนแลห้องนี้เป็นของเธอครึ่งหนึ่ง รวมทั้งบ้านหลังนี้ด้วย อยากจะเดิน จะนั่ง จะนอนที่ไหนย่อมได้ทั้งนั้น แต่มิใช่พื้น เข้าใจฤาไม่"
ก่อนจะวางอีกคนลงบนเตียงนุ่มที่ยามหลังของดาริกาสัมผัสก็รู้ได้เลยทันทีว่าเตียงนี้ราคาคงมิใช่น้อย

ในชีวิตไม่เคยได้นอนสบายอย่างนี้ คิดแล้วน้ำตาก็ค่อยๆ คลอเบ้าช้าๆ สบตาคนที่นั่งลงตรงปลายเตียงข้าง

พร้อมประนมมือก้มลงกราบไปที่ตักอีกฝ่าย

พระคุณนี้ดาริกาจักไม่มีวันลืมเลยตลอดชีวิต
"เธอทำกระไร!" ทหารมะกันที่ไม่ชินกับวัฒนธรรมไทยที่อีกฝ่ายจู่ๆ ก็ก้มกราบกัน ซึ่งนั่นหมายถึงดาริกายอมทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดที่ตนมีก้มกราบเขาที่เป็นเพียงทหารคนหนึ่ง

มิใช่บิดามารดา เหตุใดต้องมาก้มกราบกัน

ปารัตจึงรีบประคองอีกคนให้เงยหน้าขึ้นมา เช็ดคราบน้ำตามองดาริกาด้วยความไม่เข้าใจ
"ใยจึงต้องทำถึงเพียงนี้ เธอไม่จำเป็นต้องก้มกราบฉัน ไม่จำเป็นต้องเอาศักดิ์ศรีตัวเองไปแลกกับกระไรหรือใครทั้งนั้น บุญคุณตอบแทนกันได้หากแต่มิใช่การก้มกราบ"

ทหารถูกฝึกว่าแม้นตัวเองแพ้พ่ายในสงครามก็จะไม่มีวันก้มกราบให้ใคร

การก้มกราบบุคคลที่มิใช่บิดามารดาย่อมเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ
แลเขาไม่อยากให้ดาริกาเผยความอ่อนแอให้ใครได้เห็น ใช่ว่าพิการแล้วจะต้องก้มกราบทุกคนที่มาทำดีด้วยเสียหน่อย

ทว่าอีกคนดูจะเข้าใจยากกว่าที่คิด

ดาริกาทำท่าอธิบายให้อีกคนเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อให้ได้มากที่สุด ทำไม้ทำมือส่ายไปมาพร้อมกับขยับปากที่ไร้เสียงนั้น

'ดาไม่มีเงิน'
จากนั้นก็ทำท่าเอามือทั้งสองกุมอกแลแบออกให้อีกคนเห็นซ้ำๆ พร้อมกับขยับริมฝีปากให้ช้าที่สุด หวังว่าอีกคนจะรับรู้

'ไม่มีกระไรให้คุณ'

พร้อมกับทำท่าเอามือทั้งสองข้างแนบกับแก้มข้างหนึ่งเหมือนท่าคนอนหลับ พลางส่ายหน้าไปมา พูดในสิ่งที่คิดแม้นเสียงจะไม่มีเลยก็ตาม

'ดาไม่เคยมีที่นอน'
ก่อนจะยิ้มทั้งน้ำตา ขยับปากคำว่าขอบคุณซ้ำๆ

ขอบคุณที่ให้เขาได้นั่งเก้าอี้นวมบุดีๆ ที่ในชีวิตไม่เคยได้นั่ง ได้สวมใส่เสื้อผ้าแลหมวกสวยราคาแพงที่ชาตินี้คงไม่มีบุญวาสนาที่จะหาซื้อเองได้

ได้ฟังวิทยุเครื่องใหญ่แบบที่ไม่ต้องแย่งใครฟัง ได้เดินหยิบจับหนังสือ ได้รับโอกาสให้นอนบนเตียงใหญ่
คุณปารัตจึงเป็นดั่งเทวดาเดินดิน เป็นผู้มีพระคุณของดาริกาอย่างหาที่เปรียบมิได้

ก่อนจะประนมอีกครั้ง ก้มลงกราบตรงบ่ากว้างค้างไว้เนิ่นนานพร้อมกับไหล่ของตนที่สั่นเทาจากการร้องไห้

หากตายแทนได้ ดาริกาจะไม่คิดลังเลที่จะยอมแลกชีวิตเพื่อชายตรงหน้าเพราะเท่านี้ชีวิตก็เกิดมาเกินคุ้มแล้ว
เท่านั้นปารัตจึงกอดอีกฝ่ายแน่นโดยพลัน แนบแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้

ไม่อยากให้ดาริกาต้องโดดเดี่ยวเดียวดายอีกแล้ว

"เธอไม่จำเป็นต้องให้กระไรฉันทั้งนั้น จากนี้ไปเธอจะมีชีวิตใหม่กับฉันคนนี้ เตียงนี้เธออยากใช้พื้นที่นอนกว้างเท่าใดก็ได้ มันเป็นของเธอแลจะเป็นของเธอผู้เดียว"
คืนนี้คงเป็นคืนที่ดาริกาฝันดีที่สุด ถึงแม้จะหลับไปทั้งน้ำตาทว่ายังคงมีอ้อมกอดแลจุมพิตของอีกฝ่ายที่ปลอบโยนกันตลอดทั้งคืน

เป็นคืนที่ดาริกามีความสุขกว่าคืนไหนๆ ที่เคยผ่านมาในชีวิต

จึงแตะริมฝีปากที่ปลายคางอีกคนเบาๆ เป็นการตอบแทนความรักที่อีกคนมอบให้กัน

'รัก'
ยามเช้าที่เสียงนกส่งเสียงร้องเป็นพยานให้กับความรักของคนทั้งคู่ ปารัตก้มลงจุมพิตบางเบาที่ตำหนิน่ารักใต้ริมฝีปากคนในอ้อมแขนที่ยังคงสะลืมสะลือ ขยี้ตาไปมาน่าเอ็นดู

"มอนิ่งคิสครับ" พร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาด้วยความมันเขี้ยว

"มอนิ่งแปลว่าตอนเช้า ส่วนคิสก็แปลว่า..."

จุ๊บ!

"แบบนี้"
เท่านั้นดาริกาก็ตีแขนอีกคนเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ คนกระไรคารมแพรวพราวเช่นนี้

ดูสิ แค่ยามเช้าก็โดนอีกฝ่ายขโมยจูบขโมยหอมไปเสียหลายทีแล้ว

"เช้านี้ฉันต้องเข้าไปรายงานตัวที่ทำงาน ส่วนเรื่องกับข้าวแลอาหารเธอไม่ต้องห่วง จะมีป้าแม่บ้านเข้ามาตอนสายทุกวัน-
ฉันบอกหล่อนไว้แล้ว ว่าให้ถามเธอหากเธออยากไปจ่ายตลาดด้วยเธอจะได้ไม่เบื่อ ดีหรือไม่" ดาริกาพยักหน้าตอบรับอีกฝ่ายโดยไม่เกี่ยงงอน

เจ้าบ้านบอกกระไร ดาริกาไม่เคยคิดปฏิเสธ

"ไม่ต้องเป็นห่วง ป้าแม่บ้านจะไม่ดูถูกดูแคลนฤาทำร้ายเธอ หล่อนรู้จากฉันแล้วว่าเธอพูดไม่ได้แลหล่อนเต็มใจช่วย"
ก่อนจะยอมผละจากอีกฝ่ายอย่างเสียดายเพราะเขาเองก็ต้องกลับไปทำภารกิจแลหน้าที่ในฐานะตัวแทนของประเทศชาติ

กระนั้นก่อนเดินออกจากประตูบ้านก็ยังจูงมืออีกคนให้เดินมาส่งกันเสียหน่อย

อย่างน้อยได้เห็นหน้า ได้รู้ว่ามีคนรอกันที่บ้าน เท่านี้ก็กระชุ่มกระชวยหัวใจจนเก็บซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่ไหว
ชีวิตคู่มันดีเช่นนี้นี่เอง เขามิเคยรู้มาก่อน

คราก่อนที่แต่งงาน เขามิได้อยู่กินกับหญิงสาวผู้นั้นเป็นกิจจะลักษณะ เพียงแค่แต่งงานเพื่อสร้างพันธไมตรีระหว่างประเทศ เข้าร่วมงานพิธีให้ดูเป็นทางการ

จากนั้นก็แยกย้ายเพราะฝ่ายหญิงก็มีคนรักของตนอยู่แล้ว แลเขาก็มิได้มีใจเสน่หาในตัวหล่อน
"ฉันไปจริงๆ แล้วนะ แลจะรีบกลับมากินมื้อเย็นร่วมกับเธอให้ทัน" ก่อนจะจับฝ่ามืออีกคนมาประทับจูบตรงแหวนหมั้นวงนั้นสองสามครา ให้ดาริกาเขินอาย ยิ้มหวานหน้าแดงดั่งลูกตำลึกสุก

"มิอยากไปเลย เธอทำฉันจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ดาริกา ฉันจะทำเช่นไรดี"
เท่านั้นดาริกาที่กลัวว่าอีกคนจะไม่ยอมไป

จึงสาวเท้าเข้าไปประชิดกัน แขนเรียวทั้งสองข้างคล้องคออีกคนให้โน้มตัวลงมาแนบชิดแผ่ความอบอุ่นให้กันแลกัน

พลางแตะริมฝีปากไปที่อวัยวะเดียวกันแผ่วเบาก่อนจะขยับปากช้าๆ

'รีบกลับมานะ' เท่านั้นทั้งสองก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขที่สุดในชีวิต
ทว่าในชีวิตคนเราหากได้รับความสุขอย่างเต็มที่ย่อมต้องยอมรับอีกประการหนึ่งว่า

ความสุขเหล่านั้นไม่ยั่งยืน

"เวียดนามตั้งกลุ่มต่อต้านเรา พวกมันฮึกเหิมมากขึ้นทุกที" เท่านั้นลมหายใจของทหารหนุ่มแทบจะขาดห้วง

"เร็วๆนี้เราอาจได้รับภารกิจใหม่"

แลเขารู้ดีว่า...

สงครามใหม่กำลังจะเกิดขึ้น
“ถ้ากระผมจะขอถอนตัวจากภารกิจนี้—“

“พอล ภารกิจนี้กระทันหันมาก ไม่มีใครขอถอนตัวได้ ฉันรู้ว่านายมีคนรัก คนอื่นๆเองก็มีเช่นกัน แต่นายต้องไม่ลืมว่าหน้าที่ทหารของเราคืออะไร”

ใช่ เขาไม่ลืม

หน้าที่ของเขาคือการเสียสละเพื่อให้คนอีกร้อยพันชีวิตรอด

“ครั้งสุดท้าย แล้วฉันจะปล่อยนายไป พอล”
"แต่งานสมรสระหว่างกระผมกับดาริกากำลังจะเริ่ม..." ทหารหนุ่มเอ่ยเสียงเบาแทบขาดห้วง

ยังไม่ทันจะได้มีความสุขเต็มที่ก็พลันมีลางร้ายมาผจญเสียแล้ว

"นายย่อมรู้ดีว่าการทำสงครามครั้งหนึ่งเราต้องสูญเสียงบไปเท่าไร เงินค่าสินสอดเราเอาคืนจากทางนั้นมามิได้-
แต่ค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่ง หากจะกล่าวตามตรงคงดูไม่ดีนัก ยามสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดเห็นสมควรให้เอางบไปใช้ในด้านอื่นๆ แลก็คงไม่เหมาะสมหากจะจัดงานรื่นเริงในเพลานี้"

"หมายความว่า..." จะไม่มีงานแต่งเกิดขึ้นกระนั้นหรือ

"ฉันเสียใจด้วยจริงๆ พอล-
แต่นายก็รู้ว่าภารกิจแลความปลอดภัยของประเทศเราต้องมาก่อนสิ่งอื่น เรื่องคนรักของนายหากใคร่อยากจดทะเบียนสมรสย่อมได้ตามนั้น แต่งานรื่นเริงเห็นทีเราต้องงดไว้ก่อน ฉันเสียใจจริงๆ"

ก่อนหัวหน้าจะเอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย

ที่ทำให้ทหารมะกันพูดกระไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
"แต่โปรดอย่าลืมว่าการจดทะเบียนสมรสกับใครแลทิ้งเขาไว้ข้างหลังเท่ากับนายกำลังผูกขาเขาไว้กับตัวนายข้างหนึ่ง ชีวิตทหารอย่างเราจะตายวันตายพรุ่งไม่มีผู้ใดรู้ ฉันกับนายจะได้กลับมาที่นี่อีกไหมไม่มีใครเดาได้นอกจากโชคชะตาเท่านั้น-
สิ่งที่ฉันพูดอาจดูใจร้ายแต่ฉันไม่อยากให้อีกคนเขารอคอยนายโดยที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาฤาไม่ แต่หากนายมั่นใจแน่แท้แล้วว่าจะขอผูกใจไว้กับคนผู้นั้นก็ขอให้คนผู้นั้นมั่นใจเช่นกันว่าจะเข้มแข็งรอคอยนายได้ แลทำใจได้ว่านายอาจไปอย่างไม่มีวันกลับ"

แล้วเขาควรทำเช่นไร

"ภารกิจนั้นจะเริ่มเมื่อไร"
ปารัตเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง ก้มหน้ากลบความรู้สึกวูบโหวงในหัวใจ

ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าอาชีพตัวเองนั้นเสี่ยงเพียงใด สงครามเพิ่งจะจบไปไม่นาน ฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ทว่าเขาคิดไว้แล้วว่าจะขอถอนตัวจากการออกไปเสี่ยงในสนามรบเป็นแค่ทหารที่ทำงานอยู่เบื้องหลังแทน

ทว่าเขาช้าเกินไป
"กระผมจะเข้าร่วมภารกิจแต่มีข้อแม้ประการหนึ่ง" ปารัตเงยหน้าเอ่ยขึ้น

"กระผมไม่คิดเปลี่ยนใจไม่ว่าชีวิตฤาลมหายใจจะสิ้นในสนามรบ กระผมก็ยังยินดีจะจดทพเบียนสมรสกับคนที่กระผมรัก ฉะนั้นกระผมอยากจะขอร้องแค่สักอย่าง...ท่านไม่ต้องจัดงานรื่นเริงให้เราสองคนก็ได้..."
ทหารหนุ่มพูดไปพลางกำมือแน่น

"ท่านคงทราบดีแล้วว่าดาริกาพูดไม่ได้ เขาไม่มีอาชีพ คนในครอบครัวไม่ยอมรับ ผมจึงไม่อยากทิ้งเขาไว้ข้างหลัง แต่หากกระผมต้องไปแลไม่ได้กลับมา...ได้โปรดท่านช่วงสงเคราะห์คนคนหนึ่งให้มีค่ากินค่าอยู่อาศัยจนกว่าจะสิ้นลมได้ฤาไม่-
ส่วนบ้านแลทรัพย์สินของกระผม กระผมจะยกให้เขาแต่เพียงผู้เดียว ได้โปรดท่านช่วยดูแลเขาแทนกระผมด้วย" ปลายเสียงสั่นเอ่ยอย่างที่มิอาจควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อีกต่อไป

ถึงเสียใจทว่าอย่างน้อยหากเขาจากโลกนี้ไปแล้ว ดาริกาจะสามารถอยู่ด้วยตัวเองได้อย่างสุขสบาย ไม่ลำบากอีกต่อไป
"ย่อมได้" ก่อนจะกล่าวต่อ

"ภารกิจคงไม่เกินสามเดือนนี้ เตรียมตัวไปเวียดนามให้ดี ใช้เวลาของนายกับคนรักให้คุ้มค่า หากได้กลับมา ฉันสัญญาด้วยเกียรติว่าจะไม่ให้นายทำงานสุ่มเสี่ยงพวกนี้อีกแล้ว"

ซึ่งเขาก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

ที่จะได้กลับมาเจอดาริกาผู้เป็นดั่งดวงใจอีกครา
ตะวันเริ่มสาดทอแสงสีส้มคล้ายกำลังจะตกดิน ดาริกาเดินออกมาชะเง้อมองรอคอยอีกคนตรงรั้วหน้าประตูบ้านอย่างใจจดใจจ่อ

"คุณดาอย่าเดินออกไปข้างนอกบ่อยๆ เลยเจ้าคะ ประเดี๋ยวคุณปารัตก็กลับมา เข้ามารอข้างในเถิด" ป้าแม่บ้านส่ายหน้ายิ้มอย่างเอ็นดู

คุณนายของทหารมะกันคนนี้ช่างน่ารัก
ตั้งแต่เช้าก็มานั่งรอกันจวบจนกระทั่งเธอเข้ามาในบ้านก็ยิ้มไหว้อย่างยินดีจนเธอต้องรีบไหว้กลับแทบไม่ทัน

จะมีเจ้านายคนไหนกันไหว้คนใช้ก่อน

แลยังจะเดินตามมาช่วยกวาดถูบ้าน ซักเสื้อผ้า จนเธอต้องบอกว่าไม่เป็นไรซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทว่าการมีคนไปช่วยจ่ายตลาดก็ดีไม่น้อย
เธอไม่รู้ว่าคุณนายคนนี้ทานสิ่งใดมิไ้ด้บ้างเพราะพูดไม่ได้ แต่เธอก็พูดสุ่มไปเรื่อยจนได้รายการอาหารดาริกาพยักหน้าตาเป็นประกายว่าอยากกินอย่างอารมณ์ดี

"คุณปารัตเธอชอบกินอาหารไทยค่ะ กระนั้นก็ไม่ทานเผ็ดนัก" ดาริกาพยักหน้ารับซ้ำๆ พลางใช้ทัพพีในมือเคี่ยวแกงพะแนงไก่ในหม้อไปมา
สิ่งหนึ่งที่เธอคิดในใจคือทั้งคุณนายแลทหารหนุ่มล้วนแต่เป็นคนกินง่ายกันทั้งคู่ ถือว่าการเป็นแม่บ้านในบ้านหลังนี้ดูจะไม่หนักหนาอย่างที่คิด

เว้นเสียแต่ว่าคุณนายของเธอดูจะติดสามีตัวเองไปสักหน่อย

พอเห็นว่าถึงเวลาห้าโมงเย็นก็ออกมาชะเง้อรอคอยอีกคน เดินไปเดินมาจนเธอชักเวียนหัว
ไม่น่าเลย เธอไม่น่าเผลอพูดออกไปว่าคุณปารัตมักจะกลับมาช่วงประมาณห้าหกโมงเย็นเลย

พอสี่โมงเย็นเท่านั้นแหละ คุณนายเธอก็รีบอาบน้ำแต่งตัวให้หอมๆ ลงมายืนรอหน้ารั้วประตูบ้านทั้งๆ ที่ยังประแป้งไม่เนียน เผยให้เห็นคราบขาวๆ เล็กๆ ติดอยู่ตรงแก้มใส

เพราะกลัวมารอรับอีกฝ่ายไม่ทัน
โถแม่เจ้าประคุณ เมียของนายทหารมะกันนี้ช่างแสนใสซื่อ ิมแปลกใจเหตุใดคุณปารัตถึงได้หลงนักหลงหนา กำชับให้เธอดูแลคุณนายให้ดี

ช่างน่าเอ็นดูอย่างที่คุณปารัตกล่าวไว้ไม่มีผิด

แลสุดท้ายเธอก็ได้เห็นภาพคนตรงหน้ายิ้มจนตาหยี กระโดดโลดเต้นเล็กน้อยที่เห็นเงาตะคุ่มของอีกฝ่ายลงจากรถเดินมาหากัน
แม้นจะพูดไม่ได้ แต่อากัปกิริยาแลสีหน้าก็บอกได้ชัดเจนว่าอีกคนคิดถึงแลรอคอยให้คุณปารัตกลับมาแค่ไหน

ขนาดไม่ถึงครึ่งวันยังรอแทบขาดใจ

ถ้าหากอีกฝ่ายต้องไปต่างจังหวัดนานๆ ฤากลับไปบ้านเกิดจะเป็นเช่นไรไม่อาจรู้ได้เลย

"ทำไมมายืนตรงนี้เล่า ไม่ร้อนฤา" ปารัตเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนระคนเอ็นดู
อีกฝ่ายส่ายหน้าทั้งที่ใบหน้ายังคงยิ้มด้วยความปิติยินดี อีกทั้งยังช่วยแบมือขอกระเป๋าอีกคนมาถือไว้อย่างที่หน้าที่ภริยาควรพึงกระทำ

"มิต้องหรอก กระเป๋าฉันหนัก" ทว่าอีกคนก็ยังคงดื้อ แบมือขออยู๋อย่างนั้นจนปารัตส่ายหน้า หัวเราะในลำคอเบาๆ ส่งกระเป๋าให้อีกคนถืออย่างยอมจำนน
แต่สายตาแพรวพราวดันเห็นบางสิ่งที่น่าสนใจเข้าแล้ว

คราบแป้งขาวๆ ที่แก้มนวลนั่นมันช่าง..

"เธออยากรู้ฤาไม่ วัฒนธรรมฝาหรั่งเวลาสามีกลับมาถึงบ้านต้องทำอย่างไร" เท่านั้นดาริกาก็เอียงศีรษะมองอีกคนด้วยความสงสัย

ก่อนจะรู้คำตอบได้ในทันทีที่จมูกของอีกคนกดลงมาที่คราบแป้งบนแก้มนั้น

'ฟอด'
ทั้งซ้ายแลขวา ไม่อายฟ้าดินฤาแม้กระทั่งแม่บ้านที่รีบหันหลังรีบวิ่งเข้าบ้านไปก่อนเงียบๆ

ก่อนปารัตจะเอ่ยกระซิบข้างหูกันเบาๆ

"พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกันเถิดนะ" นั่นทำให้ดาริกาที่เอียงอายจากการโดนขโมยหอมแก้ม แต่ก็เต็มใจให้อีกฝ่ายหอมโดยดีต้องเงยหน้าขึ้นมาฟังอีกคนอีกครั้ง
ด้วยสายตาฉงนที่อยากจะถามว่าทำไมช่างเร็วนัก งานสมรสยังไม่ทันได้จัดขึ้นเลย

"เธอจะโกรธฉันฤาไม่ หากฉันจะบอกว่าช่วงนี้สถานการณ์ของประเทศฉันไม่ค่อยสู้ดีนัก แลพวกเราไม่สามารถจัดงานรื่นเริงได้ ฉะนั้นงานแต่งของเรา..."

ปารัตก้มหน้าลงแลดาริกาได้ยินเสียงสั่นเล็กๆ ในประโยคสุดท้ายได้ดี
"ฉันเป็นคนไม่ดีเอาเสียเลย เอาเปรียบเธอเสียขนาดนี้ยังไม่สามารถจัดงานแต่งให้สมกับเกียรติที่เธอเสียไปได้ ฉัน...ฉัน..."

แลน้ำเสียงสั่นเครือนั่นทำให้ดาริกาตื่นตะหนกจนต้องรีบส่ายหน้า พลางจูงมืออีกคนเข้ามานั่งในบ้าน ก่อนเจ้าตัวจะเข้าไปหลังบ้านแลมาพร้อมกับกะละมังเล็กๆ ใส่น้ำอุ่น
คุกเข่าลงวางมันไว้บนพื้น เท่านั้นปารัตก็ตกใจจนเผลอเอ่ยเสียงดังที่เห็นอีกคนยกเท้าของเขาทั้งสองข้างแช่ลงไปในน้ำอุ่นนั้น

"เธอทำกระไร"

ก่อนจะตกใจอีกรอบที่ดาริกานั่งพับเพียบบนพื้นนวดฝ่าเท้าให้กันอย่างไม่รังเกียจด้วยสีหน้าที่ยังคงยิ้ม
"อิฉันบอกไว้เมื่อสายเจ้าค่ะว่าถ้าคุณนายเห็นคุณปารัตเครียดมากๆ ให้ลองเอาเท้าแช่น้ำอุ่น บรรเทาความเครียดได้ชะงัดนัก"

แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำจริง

เพียงฟังจบปารัตก็เหมือนคนพูดไม่ออก ไม่สามารถทำกระไรต่อไปได้ไหว

"เธอไม่โกรธฉันฤาที่ฉันจัดงานแต่งให้เธอมิได้ ได้แต่จดทะเบียนให้เธอเท่านั้น"
แต่แทนที่จะเห็นแววตาเศร้าหมองของอีกฝ่าย พลหทารมะกันกลับได้เห็นรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับศีรษะที่ส่ายไปมาว่าไม่เป็นไรซ้ำๆ ให้เขารู้สึกผิดเพิ่มขึ้น

"เธอยังมีโอกาสนะดาริกา หลังจากเธอได้ฟังสิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้จนจบ ก่อนวันพรุ่งจะมาถึงเธอยังมีเวลาปฏิเสธฉันได้"
ร่างสูงประคองอีกคนให้ขึ้นมานั่งลงบนตัก เกยคางไว้กับไหล่นวลเนียนพักใหญ่ ก่อนจะผละออกเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วแน่

ทว่าดาริการู้ดีว่านัยน์ตาสีนิลดวงนี้ช่างเศร้าสร้อยเหลือเกิน

"ฉันจำเป็นต้องไปที่ที่ไกลแสนไกลสักพักใหญ่" เขาไม่กล้าบอกว่าตัวเองกำลังจะไปเสี่ยงชีวิตในสนามรบ
เพียงพูดจบ ดวงตาของดาริกาทั้งสองดวงก็เบิกกว้าง กอดอีกฝ่ายแน่นส่ายหน้าไปมา

ไม่ให้ไป

พร้อมขยับปากทำท่าพยายามตะโกนอย่างสุดเสียงจนแทบขาดใจ

ทว่ากลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

'อย่าไป!'

เพราะดาริการู้อยู่เต็มอกว่าที่ที่นั้นคือที่ใด

แลเขารู้ดี..ว่าปารัตอาจมิได้กลับมา
ปารัตเองก็เจ็บช้ำมิต่าง ซ้ำยังรู้สึกผิดเต็มอก ทั้งที่สัญญากันไว้แล้วว่าจะดูแลกันไปตราบสิ้นลมหายใจ ทว่าเขาจำเป็นต้องจากไปเสียก่อน

จึงอยากให้โอกาสดาริกาเป็นผู้ตัดสินใจ

แลหากวันพรุ่งนี้อีกคนเลือกจะปฏิเสธที่จะจดทะเบียนสมรสกับเขา เขาก็จะไม่โกรธเคืองเพราะนั่นคือทางที่ดาริกาเลือกแล้ว
"ฉันขอโทษที่ฉันเลือกเส้นทางตัวเองไม่ได้ ฉะนั้นทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับเธอ"

ปารัตเกลี่ยน้ำตาข้างแก้มอีกคนที่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ดวงตาแดงก่ำซ้ำริมฝีปากยังสั่นระริก จ้องมองกันด้วงแววตาตัดพ้อ

รักที่เพิ่งได้ประสบพบเจอเพียงแค่ชั่วประเดี๋ยว ใยฟ้าดินถึงกลั่นแกล้งให้เราต้องพรากจากด้วย
"หากวันพรุ่งเธอเลือกปฏิเสธฉันก็จะไม่ถือโทษโกรธ แลจะไม่ยึดสินสอดใดๆ กลับคืน จะคืนอิสระให้เธอทั้งหมด ถึงแม้หัวใจฉันอยากเลือกคว้าเธอไว้กับตัว แต่ฉัน...ฉัน..."

ทหารมะกันเผลอสะอื้นยามเห็นแววตาสีหน้าโศกเศร้าของอีกคน มันแทบพูดกระไรไม่ออก

ทุกอย่างมันจุกอยู่ในอกจนอยากจะร้องไห้ออกมา
ทหารเข้มแข็งยามอยู่ท่ามกลางสนามรบ กับต้องแพ้หัวใจตัวเองให้กับคนตรงหน้านี้

ยามโดนยิงใกล้ขั้วหัวใจยังไม่เจ็บเท่าเห็นดาริการ้องไห้ต่อหน้ากันเลย

เขาไม่เคยคิดเสียดายที่ชีวิตหากได้ตายอย่างสมเกียรติในสงคราม หากแต่ยามนี้เขากลับกำลังกลัวว่าตัวเองอาจจะตาย

กลัวว่าจะไม่มีลมหายใจกลับมาอีก
จึงไม่อาจเห็นแก่ตัวทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะรู้ดีว่าการรอคอยใครคนหนึ่งอย่างยาวนานนั้นช่างแสนทรมาน

ยิ่งรอคนรักที่เสียสละตัวเองปกป้องแผ่นดิน ใจคนรอยิ่งเป็นทุกข์ ดั่งฝันร้ายที่ไม่อาจตื่นขึ้นมาได้ จะหลับตานอนก็หลับไม่ลง

เขาไม่อยากให้ดาริกาเป็นเช่นนั้น อีกคนทุกข์มามากพอแล้ว
"ฉันมิอาจเห็นแก่ตัวรั้งเธอไว้ การรอคอยมันแสนทรมานแลฉันเองก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไร"

หรืออาจไม่มีวันนั้น

ความหวังช่างริบหรี่เพราะตอนนี้เขารู้สถานการณ์แล้วว่ากลุ่มต่อต้านของเวียดนามนั้นรุนแรงขึ้นทุกที

แลมีโอกาสที่มะกันอย่างเขาจะแพ้พ่ายในสงครามนี้
"แต่ถ้าหากเธอเลือกจะรอ ฉันจะขอบน้ำในยิ่งแลจะไม่มีวันลืมเธอ อาจสัญญาไม่ได้ว่าจะกลับมารึไม่ ฤาเธอต้องรอนานเพียงใด แต่ถ้าเธอเลือกฉัน ฉันจะรักษาตัวเองเท่าชีวิตเพื่อกลับมาหาเธอให้ได้ในสักวัน"

"อึก..."

เท่านั้นก็จุมพิตที่ริมฝีปากเล็กที่ยามนี้เลอะคราบน้ำตาจนเช็ดไม่หมด
ลากไล้ริมฝีปากพรมจูบทั่วใบหน้าเพื่อปลอบโยนกันแลกันให้ได้มากที่สุด

"อย่าเศร้าไปเลย เหลือเวลาอีกสามเดือน เรามาใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า มีความสุขไปด้วยกันดีฤาไม่"

พร้อมกับกอดเอวอีกคนโยกไปมาราวกับเด็กน้อย

"ฉันยังมิได้สอนเธอเขียนหนังสือเลย ก่อนไปฉันอยากให้เธออ่านเขียนได้"
เขาหวังไว้เช่นนั้นจริงๆ หากในยามที่เขาไม่อยู่ฤาอาจไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว อย่างน้อยดาริกาก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างไม่ลำบาก ฉะนั้นการอ่านเขียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ทว่าอีกคนยามนี้เอาแต่ร้องไห้ ไม่มีสติฟังกันเสียแล้ว

"ดาริกา หากเธอยังร้องไห้อย่างนี้พี่จะไม่บอกกระไรเธออีกแล้วนะ"
ปารัตแสร้งทำเสียงดุหน้าเรียบนิ่งแลมันทำให้ดาริกาต้องรีบหยุดน้ำตาของตัวเองแล้วเงยหน้าหันมาสบตากัน แม้ริมฝีปากจะยังไม่หายสั่นก็ตาม

"หากเธอเขียนหนังสือได้ เราจะได้ส่งจดหมายหากัน มันอาจจะนานกว่าจดหมายจะมาถึงเธอแลฉัน แต่มันคงดีไม่น้อยมิใช่ฤาหากเธออ่านจดหมายที่ฉันส่งให้ด้วยตนเองได้"
สิ้นคำนั้นแววตาของดาริกาก็ทอประกายอย่างมีความหวังอีกครั้ง เขานึกว่าจะต้องลาจากอีกคนไปอย่างไม่มีวันหวนคืนเสียแล้ว

ถึงแม้การเขียนจดหมายจะยากเย็นแสนเค็ญเพียงใด เขาจะทำให้ได้ เพราะมันเป็นความหวังเดียวที่ทำให้ได้รู้ว่าอีกคนยังมีลมหายใจอยู่

แลหัวใจยังรักภักดีต่อกันแม้นตัวจะไกลก็ตาม
'จดหมาย' ดาริกาขยับปากช้าๆ ถึงแม้เสียงจะไม่ออกมาด้วยก็ตามปารัตก็พยักหน้าอย่างเข้าใจดี พลางหอมไปที่แก้มมอมแมมของอีกคน

"ใช่แล้ว ดาอยากได้จดหมายของพี่ฤาไม่ หืม"

ไม่รีรอให้อีกคนถามประโยคนั้นจบ ดาริกาก็ขยับปากไร้ซึ่งเสียงนั้นขึ้นมาทันที

'อยาก!' พร้อมประโยคต่อมา

'ดาจะรอ...'
"เช่นนั้นไม่ต้องร้องแล้ว เธอไม่เหมาะกับน้ำตาเลย แล้วตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้จากไปไหนด้วย อย่าเพิ่งโศกไป"

ปารัตยิ้มให้อีกคนรู้สึกอุ่นใจขึ้น

"เรายังมีเวลาทำกระไรร่วมกันอีกตั้งเยอะ ฉันจะพาเธอไปดูภาพยนตร์ ไปเดินห้าง เต้นรำด้วยกันอีกครั้ง เห็นฤาไม่ว่าเราสามารถทำหลายอย่างร่วมกันได้อีก"
ทว่าดาริกากลับส่ายหน้าให้กันช้าๆ สิ่งเหล่านั้นเขามิต้องการหรอก มันไม่สำคัญเลยว่าเขาจะได้ดูภาพยนตร์หรือเที่ยวห้างหรือไม่

เพราะต่อให้เต้นรำเก่งเพียงใด หากไม่มีอีกคนข้างกันก็ไม่มีประโยชน์

สิ่งสำคัญยามนี้คือการได้อยู่กับคุณปารัตต่างหาก

'อยากอยู่กับคุณ' ดาริกาเอ่ยจากก้นบึ้งของหัวใจ
แลดาริกาตัดสินใจแล้ว

ว่าต่อให้ต้องรอเป็นสิบปี ยี่สิบปี ฤาตลอดชั่วชีวิตจะหาไม่

เขาก็จะรอ รออีกฝ่ายกลับมาหากัน

เพราะเขาเชื่อว่าสักวันคุณปารัตจะกลับมา ไม่ว่าครานี้จะจากเป็นฤาจากตาย ต้องมีสักวันที่เราจะได้เจอกัน

บางทีบนสวรรค์นั้นอาจเป็นที่ที่เราจะไม่ต้องพรากจากกันอีกต่อไปเลยก็ได้
ฉะนั้นในเช้าวันต่อมาหลังจากที่เรานอนกอดกันทั้งคืนบนเตียงใหญ่

ดาริกาคนดีก็ไม่ลืมสิ่งที่ปารัตสอนไว้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้

'จุ๊บ'

'มอนิ่งคิส' กับปากที่ขยับคำพูดนี้สองสามรอบให้ปารัตอึ้งกับการกระทำอีกคนจนนิ่งค้าง

เป็นครั้งแรกดาริกาจูบเขาก่อนโดยที่เขาไม่ได้ร้องขอ
ดาริกาสัญญากับตัวเองแล้วว่าระหว่างที่อยู่ด้วยกันเขาจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ปารัตเสียสละเพื่อเขาในหลายๆ อย่าง

หน้าที่ภรรยาของทหารมะกันผู้นี้ ผู้เดียวเท่านั้น

จึงไม่ลังเลยามที่อีกคนพามาที่อำเภอ จูงมือกันไปนั่งลงต่อหน้าเจ้าหน้าที่พร้อมกระดาษใบหนึ่งที่เขียนกำกับไว้
ดาริกาอ่านมันไม่ออก ทว่าเขาเชื่อใจอีกคนว่ามิได้หลอกลวงกัน ฉะนั้นในยามที่ปลายปากกาของปารัตเขียนชื่อของตัวเองลงไป

เขาจึงหันกลับมาถามกันอีกครั้ง

"เธอมั่นใจแล้วฤาไม่..."

ดาริกาที่เขียนหนังสือไม่ได้จึงทาบนิ้วด้วยหมึกแดง จรดลงบนแผ่นกระดาษใบนั้นพร้อมหันหน้ามาหากันด้วยรอยยิ้ม
เป็นรอยยิ้มทั้งน้ำตาที่ปารัตมองว่าสวยที่สุดในชีวิตตั้งแต่เขาเกิดมา

"ตอนนี้เราสองคนเป็นสามีภรรยากันจริงๆแล้วนะ น้องดาของพี่" พลางเกลี่ยน้ำใสๆ ออกจากแก้มนวลของอีกฝ่าย

ในขณะที่อีกคนประนมมือก้มลงกราบแนบอกแกร่ง ต่อจากนี้ไปขอฝากชีวิตไว้กับชายผู้นี้

ปารัตผู้เป็นสามี ตลอดกาลแลตลอดไป
มิสนคำครหาอื่นใดที่กล่าวกันถ้วนทั่วว่าทั้งคู่แอบจดทะเบียนกันข้ามหน้าข้ามตาผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว อีกทั้งงานแต่งก็ไม่ยอมจัดให้เป็นทางการ

ช่างงามหน้าเสียนี่กระไร

แต่ครอบครัวแซ่ฮั้วน่ะหรือจะจะสนใจคำพูดพวกนั้น โดยเฉพาะผู้เป็นบิดา

พอได้จับสินสอดเท่านั้นก็เงียบหาย
ไม่ถามหาลูกตัวเองด้วยซ้ำว่าไปอยู่ที่ใด สุขสบายดีฤาไม่

ซึ่งนั่นก็ดีเหมือนกัน ตัดขาดกันไปได้ก็ดี คนจำพวกนั้นไม่ควรค่าให้ดาริกาต้องเก็บเอามาคิดมากอยู่แล้ว

แลปารัตคนนี้จะไม่ยอมยกสมบัติฤาทรัพย์สินมีค่าใดให้พวกมันอีก
แลจะไม่เสียน้ำลายยอมเรียกมันว่าพ่อตาด้วย

เขากับดาริกาผู้เป็นภรรยาหมาดๆ ยามนี้นั่งฟังละครวิทยุด้วยกันเช่นเคย กิจกรรมที่เขาทั้งคู่ไม่พลาดก่อนเข้าสู่นิทรา

ทว่าวันนี้ดาริกาแปลกไปอยู่เล็กน้อยตรงที่ไม่รอฟังละครจนจบแต่กลับหนีไปอาบน้ำเสียก่อน
ทิ้งให้เขาต้องปิดวิทยุ เดินขึ้นมาอ่านหนังสือบนเตียงในห้องนอนรออีกคน

แต่จนแล้วจนรอดดาริกาก็ยังอาบน้ำไม่เสร็จเสียที อีกคนไม่เคยอาบน้ำนานอย่างนี้จนผิดสังเกต

เขาเกือบจะลุกไปตามเสียแล้ว หากไม่เห็นอีกคนเดินเข้ามาในห้องเสียก่อน

พร้อมกับกลิ่นสบู่ติดตัวที่หอมคละคลุ้งไปทั่วห้อง
มิรู้ได้ว่าเขาคิดไปเองฤาไม่ แต่มันหอมมากกว่าคืนไหนๆ ที่ได้นอนเคียงข้างกัน

ปารัตชะงักค้างมองอีกคนที่ทำท่าเอียงอาย จับชายเสื้อนอนของตัวเองบิดไปมา ดวงหน้าแดงก่ำราวกับโดนพิษไข้

ดาริกาจำที่พี่ดุษณีสอนได้อย่างดี หมั่นประทินผิวให้เนียนนวล ส่งกลิ่นหอมรัญจวนเย้ายวนให้ผัวรักผัวหลง
อย่าให้เขาหน่ายที่มีภรรยาไม่ดูแลตัวเอง ดาริกาจำได้ขึ้นใจ

ทำหน้าที่เมียให้ดีทั้งงานบ้านงานเรือน แลเรื่องบนเตียงก็อย่าให้ขาด

ดังนั้นยามที่ปารัตกำลังนิ่งอ้าปากค้างมองกัน ดาริกาจึงรวบรวมความกล้า ปิดไฟในห้องให้เหลือแค่แสงไฟสลัวจากโคมไฟทรงยุโรปราคาแพงบนหัวเตียงเท่านั้น
ขยับตัวเดินเข้ามาช้าๆ จนปารัตได้สติอีกทีก็ตอนที่เตียงยวบลงไปพร้อมกับร่างโปร่งที่นั่งคร่อมทับกันอยู่อย่างหมิ่นเหม่

ดาริกาของเขาฤานี่ ปารัตมิเคยคิดว่าจะต้องมาตั้งรับอีกคนในมุมนี้มาก่อน

ความจริงอยากถนอมอีกคนไว้ ไม่อยากรังแกให้ภรรยาตัวเองเจ็บ ทว่าอารมณ์ในตอนนี้ยากเกินจะควบคุมแล้ว
กับภาพตรงหน้า

ที่ดาริกาหลบตาเขินอาย ทว่ามือเรียวทั้งสองกำลังไล่เรียงปลดกระดุมเสื้อนอนตัวเองทีละเม็ด ทีละเม็ด

ก่อนจะถอดให้มันหลุดออกไป จนเผยไหล่แลเนินอกนวลเนียนแสนเย้ายวนนั้น

"สวยเหลือเกิน น้องดาของพี่..." ปารัตเหมือนคนละเมอเพ้อรักไปเสียแล้วยามได้เห็นคนตรงหน้ายั่วอารมณ์ใส่กัน
ดาริกายิ้มรับอย่างเขินอาย แต่มิวายโน้มตัวลงมาไล่ปลดกระดุมเสื้อเขาทีละเม็ดอย่างเชื่องช้าด้วยท่าทางราวกับจะขย้ำเขาให้จมเตียงตายตรงหน้า

แพ้ไปหมด ปารัตคนนี้มันแพ้เมียตัวเองอย่างราบคาบ

เสื้อของเขาถูกปลดออกโดยอีกคนที่ปรณนิบัติให้ถึงที่โดยไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด
แลด้วยความที่พูดไม่ได้จึงมิอาจร้องขอในสิ่งที่ต้องการได้เต็มที่ หากแต่ดาริกาไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นการยั่วอารมณ์ให้คนที่พยายามข่มกลั้นอารมณ์อย่างถึงที่สุด

ทนมิไหวแล้ว

กับภาพที่ดาริกาจับมือทั้งสองของเขามาสัมผัสเนินอกน่ารักนั้น คล้ายบอกในทีว่าอนุญาตให้สัมผัสกัน
เท่านั้นปารัตก็พร้อมฟ่อนเฟ้นเนื้ออกเนียนจนแดงก่ำ ลุกขึ้นนั่งละเลียดชิมความหอมหวานจากยอดปทุมถันนั้นดั่งลูกน้อยในอ้อมอกแม่ก็ไม่ปาน

"ดาจ๋า ดาของพี่ อืม..."

กับคำพูดหวานหยดย้อยที่เพ้อออกมาไม่หยุด พานให้สติของทั้งคู่กระเจิดกระเจิง น้ำตาเอ่อล้นด้วยความรู้สึกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พร้อมกับเสียงเนื้อหนั่นกระทบแบบที่ปารัตได้แต่พูดขอโทษอีกคนไว้ในใจที่ทนถนอมกันไม่ไหวอีกแล้ว

สองมือแกร่งเคี่ยวกรำเนื้อเนียนจนแดงไปทั้งตัว ไม่มีจุดใดที่ไม่ได้สัมผัส เขาพรมจูบลูกไล้จนอีกคนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง อ้าปากหายใจหอบ ฟังเสียงสามีที่กระซิบข้างหู

"เมียพี่ ชอบที่พีทำให้ฤาไม่"
ดาริกาไม่มีแรงแม้แต่จะพยักหน้าออกไป น้ำตาเอ่อด้วยความสุขที่ล้นออกมา สบตามองคนบนร่างผู้เป็นสามีก่อนจะเอี้ยวใบหน้าขึ้นมาจูบสันกรามแลปลายคางเป็นการตอบรับ

เท่านั้นปารัตก็ส่งสายตาลึกซึ้งกลับไป พร้อมจูบประทับลงบนริมฝีปากสวยซ้ำๆ ไม่ห่างออกจากกันแม้วินาทีเดียว

"พี่รักดา รักที่สุดครับ"
จากนั้นดาริกาก็ได้รู้ว่าผู้เป็นสามีนั้นเรี่ยวแรงดั่งม้าพยศ กว่าจะยอมให้เขาได้นอนก็ตอนได้ยินเสียงไก่ขันแลดวงตะวันขึ้นพร้อมรับเช้าวันใหม่

กับสภาพของทั้งคู่ที่เหนอะนะไปทั้งตัว ทว่าไม่รังเกียจที่จะนอนกอดก่ายกันไว้ไม่ยอมห่าง

บนเตียงของเรา ห้องของเรา

แลจะมีเพียงแค่เราเท่านั้น

• • •

Missing some Tweet in this thread? You can try to force a refresh
 

Keep Current with 𝑺𝒉𝒆𝒓𝒍𝒊𝒚𝒏 🥀

𝑺𝒉𝒆𝒓𝒍𝒊𝒚𝒏 🥀 Profile picture

Stay in touch and get notified when new unrolls are available from this author!

Read all threads

This Thread may be Removed Anytime!

PDF

Twitter may remove this content at anytime! Save it as PDF for later use!

Try unrolling a thread yourself!

how to unroll video
  1. Follow @ThreadReaderApp to mention us!

  2. From a Twitter thread mention us with a keyword "unroll"
@threadreaderapp unroll

Practice here first or read more on our help page!

More from @sherilynisgood

15 Jan
ขออนุญาตลงในเธรดใหม่นะคะ

#ฟิคป๋อจ้าน #ป๋อจ้านฟิค

#จะไม่รัก🌹

"ทะเบียนสมรสนี้มีอายุแค่หกเดือน ไปอยู่กับเขตน์ซะ เขตน์จะเป็นคนทำให้รินกลับมาเป็นลูกที่ดีของพ่อได้"

มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อไอ้เขตน์เป็นลูกคนใช้ของบ้านเขา ที่เมื่อสิบปีก่อนแม่มันพยายามไต่เต้าเพื่อให้ได้เป็นหม่อม ImageImage
warning** มีถ้อยคำส่อเสียดรุนแรง ดูถูกเหยียดหยามทั้งทางกายภาพและจิตภาพ มีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับชนชั้น ฐานะ และอาชีพ โดยผู้เขียนมิได้ดูหมิ่นชนชั้นสูงหรืออาชีพใดๆ ที่มีในเนื้อหาของเรื่องนี้

และศิลปินในรูปภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิยายเรื่องนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“รินไม่มีวันลืม ว่ามันกับแม่ของมันทำกับครอบครัวเราไว้ยังไง และรินจะไม่มีวันญาติดีกับไอ้คนใช้นั่นเด็ดขาด!”

ไม่มีวันให้อภัยคนที่ทำให้นรินทร์คนนี้เจ็บราวกับหัวใจแหลกละเอียด

มันเกลียดจนถึงขั้นสาปส่งพวกมันทุกวัน

และน้ำตาที่รินไหลทุกหยดหยาดในวันนั้น มันต้องชดใช้!
Read 1146 tweets

Did Thread Reader help you today?

Support us! We are indie developers!


This site is made by just two indie developers on a laptop doing marketing, support and development! Read more about the story.

Become a Premium Member ($3/month or $30/year) and get exclusive features!

Become Premium

Too expensive? Make a small donation by buying us coffee ($5) or help with server cost ($10)

Donate via Paypal Become our Patreon

Thank you for your support!

Follow Us on Twitter!