#ฟิคป๋อจ้าน

"ก็ในเมื่อเธอเลือกที่จะเป็นนายเอกซูเปอร์สตาร์อยู่หน้าเลนส์กล้อง แล้วจะกลับมาหาเรากับลูกอีกทำไมวะ..." ImageImage
"ไม่ขาย"

"ภาค...."

"ผมบอกแล้วว่าไม่ขาย อยากจะกินกาแฟก็ไปร้านอื่น ร้านนี้ไม่ต้อนรับ-ลูกค้าด้านหลังเชิญสั่งได้เลยครับ"

ผมไล่คนตรงหน้าที่สวมแมสก์และหมวกแก๊ปปกปิดใบหน้า ครั้งที่สามของสัปดาห์นี้แล้วที่คนคนนี้แวะเวียนเข้ามาในร้าน แค่เสียงผมก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

ก็บอกแล้วว่าไม่ขาย
คนคนนั้นยังคงดื้อดึง ยืนอยู่ข้างๆ เคาน์เตอร์กับอีกคนซึ่งน่าจะเป็นผู้จัดการ และผมก็ไม่สนใจ อยากจะยืนอยู่ตรงนั้นจนกว่าร้านจะปิดก็เชิญ

ผมพอแล้ว

แค่สี่ปีที่ผ่านมาก็เจ็บปวดเกินพอ ผมจะไม่ยอมกลับไปเป็นคนโง่ที่เทิดทูนชีวิตให้ความรัก

"นี่คุณ ลูกค้ามาซื้อกาแฟ ไม่ขายอย่างนี้ได้เหรอ"
คนที่น่าจะเป็นผู้จัดการจิกกัดผมอย่างอารมณ์เสีย

"ผมเป็นเจ้าของร้าน มีสิทธิ์จะขายให้ใครก็ได้ แล้วผมก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่ามาเหยียบที่นี่อีก คนของคุณไม่ฟังเอง"

"ภาค..."

"อย่ามาเรียกชื่อผม เราไม่ได้รู้จักกัน" ผมเถียงเสียงแข็ง แม้แต่หน้าก็ไม่คิดอยากจะมอง เสียงก็ไม่อยากได้ยิน
"ถ้างั้นเราก็ไปกันเถอะเพลง เขาไม่ขายเราก็ไปซื้อร้านอื่น ทำไมต้องคะยั้นคะยอให้พี่ขับมาที่ร้านนี้อยู่เรื่อย"

"เราแค่อยากคุยกับภาค" ผมทำหูทวนลม ไม่คิดอยากจะฟังอะไรจากปากคนคนนี้ทั้งสิ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยพูดเคยสัญญากันมา

มันไม่เคยเป็นเรื่องจริง

"...คุยกับลูกด้วย"

"ออกไป!"
แค่ได้ยินคำว่าลูกจากปากเขา ผมก็อดของขึ้นไม่ได้ คนคนนี้ไม่มีโอกาสที่จะเรียกเจ้าตัวน้อยของผมว่าลูกด้วยซ้ำ

เพราะไม่มีแม่คนไหนใจดำทิ้งลูกได้ลงคอ คนคนนั้นไม่สมควรเป็นแม่ ไม่สมควรมาให้ลูกเห็นหน้า และผมจะไม่เห็นใจอะไรทั้งนั้น

"เราขอเจอหนูดี..."

"อย่ามาเรียกชื่อลูกผม คุณไม่มีสิทธิ์"
คนตรงหน้าสะดุ้งถอยหลังไปหนึ่งก้าว คงรู้ตัวว่าถ้าแตะต้องเรื่องลูกเมื่อไร ผมจะไม่ยอมแน่ๆ

เราสองคนพ่อลูกเจ็บกันมามาก และตอนนี้หนูดีก็ไม่จำเป็นต้องมีแม่ที่เห็นแก่ตัวทิ้งลูกไปเลือกอนาคตตัวเอง

"งั้นอาทิตย์หน้าเราจะมาใหม่" ผมไม่ตอบอะไรกลับไป ไม่อยากให้ลูกค้าสังเกตเห็นบรรยากาศเปลี่ยนไป
ก่อนเดินออกไป คนตรงหน้ายื่นกล่องของขวัญชิ้นเล็กให้ตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่ผมยืนอยู่

"ของขวัญวันเกิดลูก..." เพียงเท่านั้นผมก็ปัดมันตกพื้นทันที กำมือหลับตาข่มอารมณ์ไว้ในใจ พยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

"เดือนเกิดลูกยังจำไม่ได้ก็ไม่สมควรเป็นแม่มั้ย อย่าให้ผมเจอหน้าคุณอีก ออกไป"
คนอย่างนี้สมควรเป็นแม่ได้ยังไง ทั้งที่วันเกิดหนูดีผ่านไปเป็นเดือนแล้ว จะให้ผมยินดีกับการกลับมาของเขาได้เหรอ

คนคนนั้นหยิบกล่องของขวัญที่ตกลงพื้น ก้มหน้าสะอื้นเบาๆ แบบที่ผมไม่รู้สึกสงสารเลยสักนิด เดินออกจากร้านพร้อมผู้จัดการไปช้าๆ

ออกไปพร้อมกับหัวใจที่แตกสลายของผม
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมไม่อยากเจอเขา แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีเขาทำให้มีชีวิตของผมมีความสุข ถึงแม้ตอนจบเขาจะทำร้ายหัวใจผมปางตายก็ตาม

ยังไงเขาก็ให้กำเนิดความสุขที่ทำให้ผมยิ้มได้ในทุกวัน นั่นก็คือหนูดี

ผมเดินเข้าไปห้องน้ำหลังร้าน จัดการล้างหน้า ชำระอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองทิ้งไป
อีกครึ่งชั่วโมงหนูดีก็จะเลิกเรียน ผมต้องไปรับแกด้วยใบหน้าที่สดใสที่สุด และหวังว่าคนคนนั้นจะไม่มารบกวนเราสองคนพ่อลูกอีก

"ฝากร้านด้วยนะ เดี๋ยวพี่ไปรับลูกก่อน"

ผมบอกลูกน้อง ก่อนจะเดินออกจากร้านที่ไม่ไกลจากโรงเรียนอนุบาลที่หนูดีเรียนอยู่ ผมเลือกเปิดร้านที่นี่เพราะมันสะดวกแบบนี้แหละ
พอถึงหน้าลานเด็กอนุบาล ผมก็สอดส่องมองหาเจ้าตัวเล็กที่สะพายกระเป๋าสีชมพูลายคิตตี้ ผูกเปียสองข้างด้วยฝีมือทุลักทุเลจากคนเป็นพ่อ ติดกิ๊พโบว์สีชมพูของขวัญวันเกิดจากคุณย่าที่หนูดีชอบนักชอบหนาบอกพ่อให้ติดทุกวัน

"พ่อจ๋า~" และไม่นานเสียงใสๆ พร้อมกับนางฟ้าตัวน้อยๆ ก็กระโดดโลดเต้นมาทางผม
"หนูดีอย่าวิ่งครับ เดี๋ยวล้ม" ผมรีบเดินไปรับ อุ้มแกเข้าอ้อมกอด หอมสองสามที ฟังเจ้านางฟ้าตัวน้อยเล่าเรื่องที่โรงเรียนวันนี้

"คุณครูบอกว่าเป็นนางฟ้าต้องห้ามวิ่งเร็วๆ ไม่งั้นจะล้มเหมือนเพื่อนเลย วันนี้เพื่อนก็ล้ม~"

"ใช่ หนูดีเป็นนางฟ้าตัวน้อยของพ่อ เพราะฉะนั้นต้องเดินดีๆนะรู้มั้ย"
"อื้อ! หนูดีจะเป็นนางฟ้าเด็กดี~" พูดจบก็หอมแก้มผมกลับ เราสองคนเป็นอย่างนี้เสมอ และการเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวก็ไม่ได้ยากเย็นเท่าไร

เว้นแต่...

"พ่อจ๋า...คุณครูบอกว่าที่โรงเรียนจะจัดงานวันแม่"

"หนูดี..."

"เพื่อนๆ บอกจะพาแม่มากัน ทำไมหนูดีถึงไม่มีแม่ แม่จะมาหาหนูดีมั้ย"
พอเห็นแววตาเศร้าของลูก ผมก็พูดไม่ออก การพูดเรื่องแม่กับหนูดีเป็นอะไรที่ลำบากใจมาก เพราะไม่ใช่แค่หนูดีที่เจ็บปวด ผมเองก็เจ็บปวดไม่ต่าง

ทั้งเจ็บ ทั้งแค้นใจ

"แต่หนูดียังมีพ่อนะครับ พ่อจะไปงานวันแม่ให้หนูดีเอง" แต่หนูดีกลับส่ายหน้างอนเบาๆ

"ฮื้อ...ไม่เอา หนูดีอยากเจอคุณแม่"
ผมลูบหัวนางฟ้าตัวน้อยเบาๆ ทุกครั้งที่ลูกถามถึงเรื่องแม่ ผมมักจะบ่ายเบี่ยงว่าแม่ไปทำงานไกลมากๆ ไม่สามารถมาอยู่กับพวกเราได้ในตอนนี้

ทั้งที่รู้อยู่ในใจว่าคนคนนั้นทิ้งพวกเราไป

"แม่ไปทำงานนานจัง แม่ไม่คิดถึงหนูดีเลย หนูดีอยากเห็นหน้าแม่"

แล้วผมควรตอบกลับไปว่ายังไง
"ไม่เอาครับไม่งอแงนะ วันนี้พ่อสัญญาว่าจะพาไปกินไอติมสตรอเบอร์โรยสายรุ้งไง จำได้มั้ย" ผมเอาของโปรดเจ้าตัวน้อยมาหลอกล่อ เพื่ออย่างน้อยลูกจะได้ไม่เศร้าเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองขาดหาย

ถึงไม่มีแม่ พ่อคนนี้ก็จะเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ให้เอง

นางฟ้าตัวน้อยพยักหน้ายินดี เมื่อนึกถึงของโปรด
เราสองคนเดินไปร้านไอศกรีมที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนกับร้านกาแฟของผม ทักทายเจ้าของร้านที่รู้จักกันดี ก่อนจะสั่งเมนูเดิมที่เจ้าตัวน้อยชอบกินประจำ

"โรยสายรุ้งเยอะๆ เลยน้า~"

หนูดีไม่ลืมที่จะกำชับเจ้าของร้านที่หัวเราะเอ็นดูในความน่ารักของลูกสาวผมไม่ไหว ใส่เกล็ดสายรุ้งหนักๆ ตามใจคนขอ
หนูดีตักไอติมรสโปรดเข้าปากโดยมีผมที่บรรจงเช็ดมุมปากให้ ในระหว่างที่หน้าจอทีวีขนาดใหญ่ของร้านก็เปิดไปเรื่อยๆ ต่างตรงที่วันนี้ไม่ได้เปิดการ์ตูนเช่นเคย

"สวยจัง คนในนั้นเป็นนางฟ้ารึเปล่า..."

ดวงตากลมใสแป๋วจ้องมองไปทางทีวี พร้อมกับมือป้อมๆ ของเจ้าตัวชี้ไปยังคนในหน้าจอนั้น
สักพักเสียงบนหน้าจอทีวีก็ดังขึ้น และผมก็เห็นและได้ยินมันเต็มสองตา

'ประกาศ นายแบบนักแสดงชื่อดัง เพลงไพริน ประกาศเลิกถ่ายแบบสุดเซ็กซี่...'

พรึบ!

"คุณพ่อเปลี่ยนทำไม หนูดีจะดูนางฟ้า!"

"ดูการ์ตูนดีกว่าครับหนูดี พ่อเปลี่ยนให้นะ" คนแบบนั้นไม่สมควรเรียกว่านางฟ้าหรอก ไม่สมควรเลยจริงๆ
นี่คือเหตุผลที่คอนโดผมจะไม่เปิดทีวีพร่ำเพื่อนอกจากช่องการ์ตูนเท่านั้น ไม่ดูข่าวดารา ไม่ดูละคร ไม่อยากให้ลูกเห็นหน้าอีกคนเลยแม้แต่เศษเสี้ยว

"แต่จริงๆ ถ้าคุณนางฟ้าเมื่อกี้เป็นแม่ของหนูดีก็น่าจะดีน้า~"

"หนูดีพูดอะไร"

"ก็คุณนางฟ้าเมื่อกี้สวย หนูดีอยากสวยเหมือนคุณนางฟ้า"
ผมไม่อยากจะพูดเลยว่าหนูดีสวย สวยเหมือนแม่เขามาก มากจนผมแรกๆ ผมแอบร้องไห้บ่อยครั้งเมื่อมองหน้าลูก

"หนูดีของพ่อเป็นนางฟ้าอยู่แล้ว เท่านี้พ่อก็รักไม่ไหวแล้วครับ" ผมชมแกไปแบบนั้นก่อนจะหยุดพูดเรื่องเมื่อครู่

ทว่าประโยคในข่าวยังคงวนเวียนไม่ไปไหน

เลิกถ่ายแบบแล้วงั้นเหรอ
หรือว่าเงินกับตำแหน่งที่ได้มามันพอใจจนไม่ต้องการอะไรแล้ว ถึงได้มีเวลามากมายมารบกวนเราสองคนพ่อลูก

'รอเราหน่อยนะภาค ช่วยปิดเป็นความลับไว้ก่อน ถ้าเรามีชื่อเสียง มีงานเข้ามาเยอะกว่านี้ จะได้มีเงิน มีบ้าน มีทุกอย่างที่จะสามารถดูแลลูกได้'

โกหกทั้งเพ สี่ปีแล้วที่เธอหายไป
หลังจากกลับมาที่ร้าน ผมก็จับหนูดีอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ร้านกาแฟเลยทันที เสร็จแล้วก็ช่วยสอนการบ้าน ก่อนภารกิจของวันจะจบลงด้วยการปิดร้านและขับรถกลับบ้านเหมือนทุกวัน

กล่อมเจ้าตัวน้อยจนหลับ ถึงได้มีเวลาเป็นของตัวเอง

"เฮ้อ..." ผมเดินออกมาจากห้องนอนลูก นั่งลงบนโซฟาคิดอะไรเงียบๆ
ซูบผอมไปเยอะ ได้กินอะไรดีๆ บ้างมั้ย

"แล้วจะสนใจทำไมวะ ช่างแม่งดิ!" ผมสบถออกมาเบาๆ คนเดียว เขาจะเป็นตายร้ายดียังไงทำไมต้องไปให้ค่าด้วย คนแบบนั้นไม่สมควรมามีผลกับใจผมอีก

"ฮัลโหล" โทรศัพท์ผมดังขึ้นพร้อมกับเบอร์แปลกที่โทรมาแบบนี้ประมาณสองสามวันแล้ว และมันก็เป็นเช่นเคย

ไม่มีใครพูด
"ฮัลโหลครับ..." แล้วก็เหมือนเดิม ผมได้ยินแค่เสียงลมหายใจตะกุกตะกักของปลายสาย อารมณ์เหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูดสักที และวันนี้ผมเหลืออดแล้ว

"นี่ถ้าโทรมาแล้วไม่พูดผมจะบล็อกแล้วนะครับ โรคจิตรึเปล่าเนี่ย โทรมากวนคนอื่นได้ทุกวั---"

"ภาค อย่าเพิ่งบล็อกนะ" เสียงนี้มัน...

"เพลงเอง"
จากที่อารมณ์เสียมาทั้งวัน มันยิ่งทวีคูณเข้าไปอีกเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย

"อย่าเพิ่งวางนะ"

"คุณต้องการอะไรวะ แล้วนี่เอาเบอร์ผมมาจากไหน บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับผมและลูกอีก"

"ขอโอกาสให้เราหน่อยได้มั้ย เราขอโทษ เรามีหลายอย่างที่อยากพูดกับภาคนะ"
"สี่ปีที่ผ่านมาไม่พูด มาพูดเอาตอนนี้ เชิญไปพูดคนเดียวเถอะ ไม่อยากฟัง"

เสียงผมสั่นขึ้นเรื่อยๆ ทุกเหตุการณ์สะท้อนอยู่ในหัวซ้ำๆ

"ก็ในเมื่อเธอเลือกที่จะเป็นนายเอกซูเปอร์สตาร์อยู่หน้าเลนส์กล้อง แล้วจะกลับมาหาเรากับลูกทำไมวะ ไปแล้วก็ไปเลย อย่ากลับมาซ้ำให้มันเจ็บ!"
"เพลงเองก็เจ็บ คิดถึงภาคคิดถึงลูกทุกวัน"

"โกหก เธอมันก็เห็นแก่ตัวเหมือนเดิม ตอนนี้ทำตามความฝันสำเร็จแล้วนิ ก็อยู่เป็นดาวค้ำฟ้าไปแบบนั้นแหละ ไม่ต้องกลับมา"

ติ๊ด!

ผมกดวางและบล็อกเบอร์นั้นทิ้ง ผมเดินออกมาแล้วไม่อยากเหลียวหลังกลับไปอีก

แต่ผมกลับคิดผิด เพราะอีกคนตื้อยิ่งกว่าที่คิด
"ไม่ขาย"

ครั้งที่เท่าไรนับไม่ได้แล้ว ที่คนที่ไม่อยากเจอที่สุดแวะเข้ามาในร้าน โดนปฏิเสธทุกครั้งก็ยังจะมา

"วันนี้เพลงไม่ได้มาทานกาแฟนะ แวะซื้อคุกกี้กับของเล่นมาฝากหนูดี แล้วนี่ก็ขนมเอามาฝากภาคกับน้องๆ ในร้าน"

"ไม่ต้องการ" ผมปัดมันออกจากสายตา
เหลือบเห็นแววตาเศร้า แต่เพียงชั่วครู่ก็กลับมายิ้มอีกครั้ง

"ไม่เป็นไรเนอะ เดี๋ยวเพลงมาหาใหม่ น้องๆในร้านมีใครอยากทานอะไรมั้ยครับ คราวหน้าพี่จะได้แวะซื้อมาฝาก"

ลูกน้องผมไม่มีใครกล้าพูด ได้แต่มองมาทางผมอย่างเกรงใจ คงไม่คิดว่าจะมีคนดังระดับซูเปอร์สตาร์มายืนง้อเจ้าของร้านอยู่ทุกวัน
"หมดธุระแล้วก็เชิญ อย่ามาเกะกะ วันนี้ผมไม่ว่างมาต่อล้อต่อเถียงกับคุณ"

ผมไม่ว่างจริงๆ นั่นแหละ เพราะช่างที่มาซ่อมท่อน้ำหลังร้านเดินเข้ามาแล้ว อีกไม่ถึงชั่วโมงผมก็ต้องไปรับหนูดีที่โรงเรียนอีก เลยทิ้งคนตรงหน้าไว้อย่างนั้น

ล่วงเลยจนไม่ได้ดูนาฬิกาว่ามันบ่ายสามโมงกว่าแล้ว

"เชี่ย..."
ป่านนี้ลูกคงร้องไห้นั่งรอผมแล้ว ผมรีบเช็ดมือ หยิบกระเป๋าสตางค์ กำลังจะวิ่งออกจากร้านลูกน้องก็เรียกหา

"พี่ภาค จะไปรับหนูดีเหรอ"

"ใช่ ฝากร้านก่อนนะ"

"คือ...หนูเห็นว่าพี่ยุ่งก็เลย..."

"ก็เลยอะไร เร็วๆ พี่รีบ"

"...เลยให้ลูกน้องอีกคนกับคุณเพลงไปรับหนูดีแทน"
"ว่าไงนะ..." ขาผมชาไปทั้งสองข้าง กว่าจะรู้สึกตัวกระจกหน้าร้านก็สะท้อนเห็นภาพร่างสูงโปร่งอุ้มเด็กไว้ในอ้อมกอด ทั้งสองคนยิ้มหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข

กระเป๋าสตางค์ผมร่วงหลุดมือ เมื่อเห็นสองคนหอมแก้มกัน พร้อมกับเจ้าตัวน้อยที่เอ่ยคำนั้นออกมา

"นางฟ้าคุณแม่~ แม่มาหาหนูดีแล้ว เย่!"
เท่านั้นผมก็เดินเข้าไปหาทั้งคู่อย่างรวดเร็ว ความไม่เข้าใจและคำถามมากมายเต็มหัวไปหมด ทำไม...

"ทำไมทำแบบนี้ คุณมีสิทธิ์อะไร..." ลมหายใจผมแรงขึ้น ไม่อยากให้ลูกเห็นที่ตัวเองโมโหแบบนี้เลย แต่มันอดทนไม่ไหวแล้ว

"มีสิทธิ์อะไรมาแตะต้อง...มีสิทธิ์อะไร"
"พ่อจ๋าร้องไห้...พ่อจ๋าร้องไห้ทำไม..."

"ภาค...คือเราขอโทษ เราแค่อยากเจอลูก อยากเคลียร์อยากคุยกับภาคจริงๆ นะ" ผมสะบัดมืออีกฝ่ายทิ้ง นั่นยิ่งทำให้หนูดีเริ่มเบะหน้าน้ำตาคลอมากขึ้น

"อย่าเอาลูกมาเกี่ยวเรื่องนี้ อย่าคิดมาแตะต้องดวงใจของผม คุณไม่มีสิทธิ์จะให้เขาเรียกว่าแม่ด้วยซ้ำ"
"ฮึก...คุณแม่ร้องไห้ ฮือ" หนูดีคงจะตกใจที่เราสองคนต่างร้องไห้ใส่กันจนร้องไห้ตาม อารมณ์ของผมมาถึงขีดสุด ที่น้ำตามันไหลคงเป็นเพราะโกรธจนระงับไว้ไม่อยู่

"เขาไม่ใช่แม่เราหนูดี พ่อบอกแล้วไงว่าอย่าไปไหนกับคนแปลกหน้าง่ายๆ อีก..."

ก่อนจะเดินเข้าร้าน ปิดประตูใส่คนตรงหน้า
ไม่ว่าจะได้ยินเสียงร้องไ้ห้หนักเท่าไรก็ไม่คิดจะหันหลังเดินกลับไปอีกแล้ว

"พ่อจ๋าใจร้าย ฮึก...คุณแม่ร้องไห้แล้ว หนูดีจะไปหาคุณแม่"

"พ่อบอกแล้วไงว่าเขาไม่ใช่แม่ ถ้าพูดอีกทีคืนนี้พ่อจะไม่นอนด้วย" เท่านั้นนางฟ้าตัวน้อยก็ร้องไห้ โกรธผมจนไม่ยอมพูดด้วย
ผมไม่รู้ว่าเขากลับไปตอนไหน แต่พอเข้าไปหลังร้าน กลับออกมาอีกทีก็ไม่เห็นเงาคนที่ยืนร้องไห้อยู่หน้าประตูร้านอีกแล้ว

"พี่ภาค...หนูขอพูดอะไรได้มั้ย" เด็กในร้านที่นั่งเงียบมานาน จนร้านจะปิดถึงได้เดินเข้ามาสะกิดกันเบาๆ

"คือจริงๆ แล้วหนูเองที่อาสาให้พี่เพลงเขาไปรับหนูดีเป็นเพื่อน"
"สนิทกันตอนไหนถึงไปเรียกเขาว่าพี่น่ะ" ผมไม่วายประชดกลับไป แต่ก็ยืนรอให้อีกฝ่ายพูดต่ออย่างใจเย็น

"เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้หนูดีรู้ว่าเป็นแม่เลยนะพี่ แต่ตอนที่ไปถึงลานเด็กอนุบาลก็เห็นหนูดียืนร้องไห้อยู่ พอเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นพวกเด็กๆ พูดล้อหนูดีว่าไม่มีแม่"

ผมขมวดคิ้วหันไปมองคนพูดทันที
"แล้วก็โดนล้อว่าเป็นคนเดียวในห้องที่แม่ไม่มางานวันแม่ พี่เพลงได้ยินคงทนไม่ได้ เลยพูดใส่เด็กพวกนั้นกลับไป"

"พูดว่าอะไร"

"ใครว่าหนูดีไม่มีแม่ นี่ไง แม่มารับหนูดีแล้ว เท่านั้นแหละพี่ หนูดีก็ยืนจ้องพี่เพลงไม่หยุดเลย ถามว่าคุณเป็นแม่หนูจริงๆ เหรอ แล้วก็ยืนร้องไห้ขอกอดพี่เพลง"
ผมแอบสะอึกเบาๆ เมื่อนึกถึงภาพหนูดีกับคนคนนั้นหัวเราะและหอมแก้มกันและกัน มันรู้สึกได้เลยว่าลูกดีใจและมีความสุขมากที่ได้เจอแม่เขาสักที

"เด็กอะเนอะพี่ เขาไม่รู้อะไรหรอก เขาแค่รู้ว่าคนนี้คือแม่ก็คงอยากให้แม่กอดแม่หอม พี่อย่าว่าพี่เพลงเขาเลย มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกันดีกว่า"
"แกยังไม่รู้ว่าพี่พบเจออะไรมา บางอย่างบางเรื่องมันก็สายเกินกว่าจะกลับไปแก้ กลับไปได้แล้วไป วันนี้ขอบใจมาก"

ผมพึมพำเบาๆ ก่อนจะไล่อีกคนให้กลับบ้าน วันนี้ผมเหนื่อยเต็มทีแล้ว ปวดหัวจนอยากล้มตัวลงบนที่นอนเร็วๆ

แต่พอล้มตัวลงนอนจริงๆ ก็นอนไม่หลับเพราะคำพูดพวกนั้นยังวนเวียนในสมอง
หลายวันแล้วที่หนูดีไม่ยอมคุยกับผมดีๆ ตอนจะกล่อมนอนก็หันหน้าหนีใส่กัน กินข้าวก็ไม่ยอมให้ป้อน

พร้อมๆ กับอีกคนที่หายไปเกือบอาทิตย์แล้ว

"หนูดีคิดถึงคุณแม่ อยากให้คุณแม่ไปงานโรงเรียนกับหนูดี" เสียงเล็กๆ ลอดออกมาจากหลังร้าน ผมแอบชำเลืองมองลูกสาวพูดคุยกับลูกน้องในร้าน

"เฮ้อ..."
ความหนักใจทวีคูณมากขึ้น จนผมต้องขอเข้าไปพบคุณครูประจำชั้นที่ดูแลลูก กำชับให้ดูแลเด็กให้ดีกว่านี้ อย่าให้ลูกใครมาล้อหนูดีของผมว่าเป็นลูกไม่มีแม่อีก

แล้วผมก็ต้องมานั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์ที่มีเบอร์โทรที่เคยบล็อกเอาไว้สัปดาห์ก่อน กว่าชั่วโมงแล้วที่ผมนั่งจ้องมันไม่ขยับลุกไปไหน
การที่ลูกไม่ยอมพูดด้วยมันทำให้ผมรู้สึกใจเสีย ผมเลี้ยงแกมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก แล้วต้องมาโดนลูกเมินมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย

ผมไม่อยากให้แกกลายเป็นเด็กมีปมจนไม่อยากไปโรงเรียน

แต่เรื่องราวของผมกับคนคนนั้นก็พังเกินกว่าจะประสานกลับมาเหมือนเดิม

"แต่เอาวะ เพื่อลูก ครั้งนี้ครั้งเดียว"
ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดบล็อกเบอร์บนหน้าจอนั้น สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ กดโทรออกไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว

"ฮะ...ฮัลโหล..." ไม่นานปลายเสียงเล็กๆ ก็กดรับ น้ำเสียงเหมือนลังเล คงกลัวว่าผมจะโทรมาต่อว่าอะไรอีก

เราเงียบกันสักพัก ก่อนผมจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาขึ้น "สะดวกคุยมั้ย"
"สะดวกสิ จริงๆ เราจะแวะไปที่ร้านแล้วแต่ช่วงนี้ติดถ่ายละครก็เลยไม่ได้--"

"จะเข้าเรื่องเลยนะ ไม่อยากเสียเวลาคุย ไม่อยากรู้ด้วยว่าคุณทำอะไรอยู่ที่ไหน" ผมแทรกขึ้นจนอีกฝ่ายเงียบไป ก่อนจะเอ่ยปากพูดต่อ

"หนูดีอยากให้คุณมางานวันแม่ ถ้าคุณสะดวกมาให้แกได้--"

"ไปได้ เพลงจะไป"

"ขอให้จริง"
"ช่วงนี้ใส่แมสก์อยู่แล้วคนคงไม่สังเกตเท่าไร แต่อย่ามาทำให้ลูกผมเดือดร้อนเด็ดขาด เราสองคนไม่ต้องการเป็นครอบครัวคนดังหรือเกี่ยวข้องกับคุณ"

"แค่นี้เพลงก็ขอบคุณมากแล้ว ขอบคุณที่ให้เพลงได้ทำหน้าที่แม่" ปลายสายเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ ซึ่งผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เอาซะเลย
"อย่ามากไป ผมไม่เคยยอมรับว่าคุณเป็นแม่ของลูกผม"

"อืม เราเข้าใจ" เสียงนั้นอ่อนลงเหมือนผิดหวัง

"ที่บอกว่าจะมาก็ช่วยมาให้จริงด้วย อย่าให้เหมือนสี่ปีที่แล้ว อย่าให้เขาต้องรอ อย่าให้เขาต้องหวังลมๆ แล้งๆ เหมือน.."

"ภาค เราออกมาจากบริษัทนั้นแล้ว มันจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก"
"สัญญาทาสกับบริษัทนั้นมันจบลงแล้วภาค ยังไงเพลงก็จะรอวันที่ภาคเปิดใจรับฟังสิ่งที่เพลงจะพูดนะ เพลงจะรอ"

ผมตัดสาย ไม่ขอรับรู้เรื่องราวอะไรอีก อยากกลบฝังอดีตพวกนั้นทิ้งไป

อดีตที่ผมเคยเป็นช่างภาพฝีมือดี ถ่ายรูปปั้นดาราหน้าใหม่ให้โด่งดังได้เกือบทุกราย

รวมทั้งเขา อดีตคนรักของผม
.
.

"ไอ้ภาค กูมีเด็กใหม่อยากจะช่วยให้มึงปั้นหน่อย บริษัทใหญ่จ้างมาโดยเฉพาะเลยนะเว้ย บอกว่าต้องเป็นมึงเท่านั้น"

"ปั้นอะไรอีกวะพี่ ไม่เอาแล้ว แค่นี้ผมก็แทบไม่มีเวลานอนแล้วเนี่ย"

"เอาน่าช่วยกูหน่อย กูรับเงินเขามาแล้ว" การมีอาชีพนักปั้นมือทองผ่านเลนส์กล้องนี่แม่งไม่ง่ายเลยจริงๆ
แต่ก็ยอมรับว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมาทำให้ผมก้าวหน้าทางอาชีพจนกลายเป็นช่างภาพอิสระที่คนตามตัวมากที่สุดในวงการบันเทิง

และแน่นอน วัยรุ่นกลัดมันอย่างผมตอนนั้น ถ้าอยากได้เด็กคนไหนก็แค่ชี้นิ้วสั่ง

เบื้องหลังวงการนี้ ถ้าฐานไม่แข็งแรงพอก็ปลิวได้ไม่ยาก ไม่แปลกที่คนจะยอมเอาตัวเข้าแลก
เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ถ่ายแบบกับช่างภาพอย่างผมได้ง่ายๆ ถ้าผมสกรีนแล้วบุคลิกไม่ผ่าน ไม่ขึ้นกล้อง ไม่มีออร่าความเป็นดาวในตัว ผมก็ไม่เสียเวลาด้วย

“พี่มึง ผมบอกแล้วไงว่าจะรับงานใครให้ผมสกรีนก่อน ถ้าถ่ายแล้วมันห่วยก็เสียชื่อผมหมด”

“ก็เงินมันดีนี่หว่า เอาน่าแบ่งกันคนละครึ่ง”
"เฮ้อ" ผมส่ายหัว ลุกขึ้นจากที่นอนที่งีบยังไม่ถึงสามชั่วโมงดี ห้องก็ยังไม่มีเวลาเก็บจนมันรกเลอะเทอะ เสื้อผ้า ขวดเหล้าและอะไรต่อมิอะไรกองเต็มพื้นจนหาทางเดินไม่ได้

"เออๆ โทรบอกแม่บ้านมาช่วยทำความสะอาดห้องผมด้วย แล้วทีหลังจะรับงานก็บอกก่อน"

"รู้แล้วๆ รีบไปสตูเลย เดี๋ยวกูจัดการให้"
ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เดินออกจากคอนโดหรูใจกลางเมือง ขับรถไปยังสตูของตัวเองที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไร

ถึงช่างภาพส่วนใหญ่มักจะชอบทำบ้านหรือที่พักของตัวเองให้เป็นสตูไปในตัวแต่ผมกลับไม่ชอบ ยังไงสถานที่ทำงานกับบ้านก็ควรจะเป็นคนละที่กัน มันถึงจะพักผ่อนได้อย่างเต็มที่
แต่ก็นั่นแหละ วันๆ นึงผมได้นอนพักกี่ชั่วโมงกันเชียว สุดท้ายก็ต้องมานั่งสัปหงกที่สตูอยู่ดี

ผมจอดรถหน้าสตู กำลังจะกดปลดล็อกประตูอัติโนมัติก็สังเกตเห็นรถตู้สีดำคันใหญ่จอดเทียบเคียงอยู่ก่อนแล้ว แน่นอน รถแวนแบบนี้ก็คงเป็นพวกสังกัดใหญ่ๆ

ผมเดินเข้าไปในสตูเตรียมเซ็ตติ้งกล้องและแสงไฟ-
เช็คอุปกรณ์ไปเรื่อยๆ พลางได้ยินเสียงฝีก้าวที่ค่อยๆ เดินเข้ามา

"น้องภาค ไม่เจอกันนานเลย พี่เอาขนมกับน้ำมาฝากด้วย" เสียงพี่โรซี่ สาวประเภทสองผู้จัดการดูแลดาราหน้าใหม่ในสังกัดเดอะวันเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ทักทายผมเสียงใส

"ครับ พี่แอบยัดงานให้ผมอีกแล้วนะ ไม่คิดจะต่อคิวเลย"
ผมบ่นตามนิสัยโผงผางของตัวเอง พลางมองไปยังคนแปลกหน้าที่มาใหม่ สำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พอเขารู้ตัวว่าผมกำลังจ้องก็สะดุ้งรีบก้มหน้าหลบ

"แล้วนี่ใครนิ"

"เด็กใหม่น่ะ อยากให้ภาคช่วยถ่ายโปรไฟล์หน่อย น้องอายุเท่าภาคเลยนะแต่ยังตื่นกล้องอยู่ ไม่เคยถ่ายแบบก็เลยอยากจะมาให้ภาคช่วยสอน"
"ก่อนอื่นเปลี่ยนชุดก่อนเลย นี่รู้ตัวจริงๆ มั้ยว่าจะมาถ่ายแบบ"

ผมพูดออกไปตามจริง ผมจริงจังกับอาชีพและผลงานที่จะออกสู่สายตาคน แต่ถ้าคนนั้นไม่จริงจัง ไม่เตรียมพร้อมมาก่อนก็ถือว่าไม่ให้เกียรติคนที่ทำงานด้วย

"มาถ่ายโปรไฟล์ ใส่เสื้อยืดธรรมดากางเกงยีนส์ขาดๆ งี้ได้เหรอ"
ผมแอบตำหนิผู้จัดการและน้องใหม่คนนั้นที่ไม่ใส่ใจดูแลตัวเองสักนิด ภาพโปรไฟล์ตัวเองแท้ๆ รู้มั้ยว่าต้องใช้รูปพวกนี้ในการคัดเลือกผลงาน

ถ้ารูปออกมาไม่ดี โอกาสได้งานก็ยาก

"เปลี่ยนเป็นเสื้อคอปกสีขาว กางเกงแสล็คดำ จัดทรงผมใหม่ เอาหน้าม้าลง รองเท้านั่นไม่ได้เรื่อง ไปหารองเท้าหนังมาใส่"
พูดจบพี่โรซี่ก็รีบพยักหน้า วิ่งไปขนเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งออกมาโชว์ให้ผมช่วยเลือก ก่อนจะดึงมือเด็กใหม่ให้ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว

"พี่ทำงานกับผมมานาน รู้ว่าผมต้องการความเป๊ะ ทีหลังอย่าให้มีแบบนี้อีกนะครับ" พี่โรซี่หน้าถอดสี ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องสตูไป
ผมลุกขึ้นไปหรี่ไฟในสตู กลับมาปรับเลนส์กล้องใหม่แบบนี้สองสามครั้ง ก่อนจะสังเกตเห็นคนในเลนส์กล้องที่ยืนตัวแข็งทื่อ ทำท่าเลิกลักมองซ้ายขวาไปมาเหมือนต้องการตัวช่วย

"เป็นอะไร"

"เอ่อ คือ..." เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงคนตรงหน้า

"พี่โรซี่เดินไปแล้ว..."

"ก็แหงสิ คุณถ่ายงานกับผมนิ"
เหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่เข้าใจที่ผมจะสื่อ ทำสีหน้าเหมือนต้องการคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้

"ถ่ายแบบกับผมจะต้องไม่มีใครเข้ามารบกวนทั้งนั้น แล้วก็ไม่ต้องกลัว กระจกมัวๆที่กั้นอยู่นี่ข้างนอกสามารถเห็นคุณกับผมได้ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก พี่โรซี่เขาก็นั่งมองคุณจากข้างนอกนั่นแหละ"
"อ๋อ..." อีกฝ่ายพยักหน้ารับช้าๆ

"ทีนี้ผมจะอัดวิดีโอคุณไว้ก่อนเริ่มถ่ายภาพ ให้พูดชื่อ ความสามารถพิเศษ ถ้าเคยมีผลงานก็พูดมาให้หมด สาม สอง หนึ่ง เริ่ม" คนตรงหน้ามีท่าทีเลิ่กลักอีกครั้งก่อนจะเริ่มพูด

"เอ่อ สวัสดีครับ ผมเพลงไพริน ความสามารถพิเศษคือร้องเพลง ผลงาน เอ่อ ยังไม่มีครับ"
ผมถึงกับส่ายหน้า จากที่ดูไว้ไม่น่าไปรอด ความมั่นใจอะไรก็ไม่มี จะมาเป็นดารานักแสดงได้ยังไง

"ให้มันมั่นใจกว่านี้หน่อยครับคุณเพลงไพริน" ผมพูดก่อนจะเปลี่ยนเป็นโหมดถ่ายรูปเหมือนเดิม

"คราวนี้โพสท่าไปเรื่อยๆ เอาที่คุณคิดว่ามั่นใจและเป็นตัวเองที่สุด อย่าหยุดโพสจนกว่าผมจะบอก"
แต่ก่อนที่จะเริ่มงาน ผมคิดว่าควรละลายพฤติกรรมคนตรงหน้านี้ซะก่อน ยืนตัวแข็งทื่อซะเหลือเกิน ไม่งั้นทั้งวันก็ไม่คืบหน้าแน่

"คุณชอบฟังเพลงแบบไหน"

"ครับ?"

"คุณบอกว่าคุณชอบร้องเพลง.."

"อ่อ" คนฟังพยักหน้าพลางครุ่นคิด "เราชอบฟังเพลงแจ๊สน่ะ แต่ร้องแจ๊สไม่ค่อยเก่งเท่าไร มันยากมากเลย"
ในขณะที่เจ้าตัวพูด ผมแอบกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ เพราะคนตรงหน้าดูเหมือนจะผ่อนคลายเมื่อเอ่ยถึงสิ่งที่ตัวเองชอบ

"งั้นเหรอ ตัวคุณก็ชื่อเพลงนิ ครอบครัวคุณน่าจะชอบดนตรีใช่มั้ย" ดนตรีแจ๊สที่ผมตั้งใจเปิดเริ่มบรรเลง พร้อมกับสีหน้าอีกฝ่ายที่เริ่มยิ้มออกมา

"ใช่ พ่อเราเป็นนักดนตรีน่ะ.."
"แล้วเพลงคิดว่าดนตรีที่ผมเปิดอยู่ควรโพสท่าแบบไหนถึงจะเหมาะครับ" เสียงผมนุ่มนวลอ่อนโยนลง เปิดรับให้อีกฝ่ายรู้สึกหายเกร็งมากขึ้น

"เพลงลองโพสให้ผมดูหน่อยได้มั้ย ดนตรีกับความเป็นเพลง ผมอยากเห็น" เท่านั้นคนตรงหน้าก็หลับตาลงฟังเสียงเพลง ก่อนจะเริ่มจินตนาการเคล่อนไหวท่วงท่าไปเรื่อยๆ
และนั่นทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างพอใจ

สวย สวยมาก

ผมกดชัตเตอร์รัวราวกับกลัวว่าโอกาสตรงหน้าจะหมดไป ใบหน้าคม สายตาลุ่มลึกที่ถ่ายทอดออกมาทำให้คาแรคเตอร์ดูเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ และผมคิดตัวเองมองไม่พลาด ถ้าคนตรงหน้าลองเปลี่ยนเป็นแนวดู

ผมเชื่อว่าขายได้แน่ นายเอกเซ็กซี่หาง่ายที่ไหนกัน
"โห ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ที่พี่เสนอภาคให้มาช่วยถ่ายโปรไฟล์ให้น้องเพลง ไปกี่เจ้าก็ถ่ายออกมาตัวแข็งทื่อตลอด ภาคทำพี่อึ้งมากนะคะเนี่ย"

พี่โรซี่มองภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ถูกถ่ายโดยฝีมือของผมด้วยแววตาเป็นประกาย ส่วนอีกคนก็ดูจะไม่เชื่อเหมือนกันว่าภาพตัวเองจะออกมาดูดีกว่าที่คิด
"ถ้าอยากให้ขายงานได้ ผมว่าคาแรคเตอร์เซ็กซี่เล็กๆ ก็ดูน่าสนใจ หุ่นทรวดทรงใช้ได้ แต่ต้องเรียนรู้การใช้สายตาให้ดีกว่านี้ก่อน" ผมเสนอพี่โรซี่ไป พลางมองหน้าเด็กใหม่คนนี้ไปด้วย

"ว่าไงเพลง น้องภาคเขาอ่านขาดนะ ทำตามเขาดังทุกรายพี่โรซี่รับประกันเลย" ทว่าคนตรงหน้ากลับมีท่าทีลังเลเล็กน้อย
"เราทำไม่ได้หรอก ภาพที่ออกมาดีก็เพราะว่าคุณช่วย คาแรคเตอร์แบบนั้นมันเกินตัวเราเกินไป"

"เป็นนักแสดงต้องทำได้ทุกบทบาท คุณไม่ได้ดังถึงขนาดชี้นิ้วสั่งว่าจะแสดงบทไหนได้ ยิ่งที่ไม่มีผลงานอะไรด้วยอย่าหวังเลยว่าเขาจะส่งบทเด่นๆ ให้ เพราะฉะนั้นอย่าทำนิสัยปฏิเสธก่อนถ้ายังไม่ลองทำ"
"เอาล่ะๆ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ขอบคุณน้องภาคมากนะคะที่ช่วย ส่วนน้องเพลงไม่ต้องเครียดนะ"

ผมไม่รอให้สองคนนั้นเถียงกัน เมื่อลูกค้าพอใจก็เท่ากับงานเสร็จสิ้น เตรียมเซ็ตฉากสำหรับงานต่อไป

เหลือบสายตาเห็นเด็กใหม่นคนนั้นทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับผม แต่สุดท้ายก็โดนพี่โรซี่เรียกขึ้นรถไป
ไอ้ที่ว่าจบน่ะ มันจบแค่วันนั้น แต่วันต่อมานี่สิ ผมต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นคนหน้าตาคุ้นๆ ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ยืนลอบมองอยู่หน้าสตูดิโอ สองมือหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง ลังเลว่าจะเดินเข้ามาดีมั้ย

"ใครวะ" ผมที่กำลังว่าง ขนเอากล้องหลายตัวออกมานั่งเช็ดก็สบถออกมาเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด
ตัดสินใจเดินไปยังประตู เปิดออกมาจนอีกคนสะดุ้งตกใจถอยหลังไปหลายก้าว พอเห็นหน้าชัดๆ ผมก็ขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก

เด็กใหม่คนเมื่อวานไม่ผิดแน่

"มีอะไรรึเปล่าคุณ มายืนด้อมๆ มองๆ อะไรตรงนี้"

"อะ เอ่อ..." อีกคนทำเหมือนกระอักกระอ่วนที่จะพูด สบตาผมแล้วก็หลบแบบนี้อยู่หลายรอบ
"นี่คุณเพลง ผมไม่ได้มีเวลามายืนฟังคุณพูดขนาดนั้นนะครับ มีธุระอะไรกับผมก็พูดมา" เท่านั้นก็เหมือนได้ยินเสียงพึมพำอยู่ในลำคอเบาๆ จากอีกคน

"ทำไมต้องดุด้วย..."

"อะไรนะ" ผมถามย้ำไปอีกครั้ง ก่อนถุงในมือของอีกคนจะถูกผลักใส่หน้าท้องตัวเองเต็มแรง

"แค่แวะเอาขนมมาฝาก ขอบคุณสำหรับเมื่อวาน"
ผมได้แต่ยืนรับมาแบบงงๆ จะมาขอบคุณทำไม ภาพที่ถ่ายไปก็เป็นงานที่แลกมากับเงินทั้งนั้น ไม่ได้ทำให้ฟรีสักหน่อย

"เรามีเรื่องอยากขอคุยด้วย คุณสะดวกมั้ย" อีกฝ่ายรวบรวมความกล้าถามมาทางผม เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองไปไม่เป็นเหมือนกัน

และก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลีกทางให้อีกคนเดินเข้ามาตอนไหน
"เฮ้ย! เดี๋ยวสิคุณ ผมยังไม่ได้อนุญาตให้เข้ามาเลยนะ" ผมที่เพิ่งสะดุ้งรู้สึกตัวว่าปล่อยให้อีกคนเดินเข้ามาก็เริ่มโวยวาย แต่ดูจะไม่เป็นผล

เมื่ออีกคนหยิบถุงจากมือผม เดินไปเดินมา ถามขึ้นมาอีกรอบ

"ที่นี่มีครัวมั้ย"

"ฮะ?"

"สาคูไส้หมูกับข้าวเกรียบปากหม้อนี่ต้องกินเลย เราจะใส่จานให้"
"นี่คุณได้ยินผมพูดมั้ยเนี่ย มีธุระอะไรก็พูดมา-เฮ้ย จะไปห้องครัวทำไม!" ยิ่งพูดก็เหมือนไม่รู้เรื่องเมื่อเห็นอีกคนวางขนมพวกนั้นจัดใส่จานเรียบร้อยพลางเดินตรงมาที่โต๊ะกลางห้องสตูดิโอ

"คุณต้องการอะไรพูดมาเลยดีกว่า ผมไม่ชอบให้ใครมาเดินป้วนเปี้ยนในห้องทำงานผม"

"กินก่อนสิ"

"เพลงไพริน!"
เจ้าของชื่อสะดุ้งตกใจ จากนั้นก็ถอนหายใจราวกับมีเรื่องกลุ้มใจอะไรบางอย่าง ความกลุ้มใจที่บอกใครไม่ได้

"คุณช่วยเราหน่อยได้มั้ย คุณเป็นคนเดียวที่ดึงศักยภาพของเราออกมาได้" เจ้าตัวก้มหน้าคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดเสริม

"คุณรู้มั้ย แม้แต่งานถ่ายแบบเรายังแคสไม่ผ่าน ไปที่ไหนก็ตกรอบ"
"แล้วจะให้ผมช่วยอะไร นั่นเป็นความสามารถคุณเอง ผมช่วยอะไรไม่ได้หรอก"

"แต่ว่า..."

"คุณรู้มั้ยผมเกลียดอะไรที่สุด" ผมจ้องเข้าไปในดวงตาคู่กลมสวย ถ้ามันยังชัดเจนไม่พอก็จะบอกให้เข้าใจ

"ผมเกลียดคนที่ใช้คนอื่นเพื่อไต่เต้า แต่ไม่คิดจะใ้ช้ความสามรถและความพยายามของตัวเองเพื่อให้ได้มันมา"
ผมมองเหยียดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ภายนอกก็ดูใสซื่อไม่คิดว่าเด็กของพี่โรซี่จะเป็นคนแบบนี้

"มันไ่ม่ใช่อย่างที่คุณคิด"

"แล้วคุณต้องการอะไรล่ะ" ผมเขยิบเข้าไปใกล้จนหลังอีกคนชิดติดกำแพง ลมหายใจแรงของคนตรงหน้ารินรดตรงซอกคอผมพอดี

"แต่ทุกความต้องการย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน คุณรู้ใช่มั้ย"
ผมกระซิบข้างหูจนก่อนสองมืออีกคนจะทุบลงมาที่หน้าอกผมอย่างแรง

"โอ๊ย! นี่คุณผมเจ็บนะ"

"ก็ทุบให้เจ็บจะได้เลิกคิดเรื่องทุเรศ!" ผมเม้มปาก สายตาคาดโทษอีกคนที่รู้จักกันแค่ไม่กี่วันก็ทุบตีกันแล้ว

"ยายเราเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เราแค่อยากหาเงินให้ได้มากที่สุด และนี่มันก็เป็นหนทางเดียว..."
คนตรงหน้าหายใจแรง ผมได้ยินเสียงสะอื้นในลำคอเบาๆ ทุกประโยคที่พูดออกมามันสั่นจนเกินควบคุม

"ขนมพวกนี้ที่คุณเห็น เราก็ทำขาย เรียกว่าทำทุกอย่างนั่นแหละที่มันจะหาเงินมารักษายายได้ เรารู้ว่าเราทำตัวแย่มากๆ ที่มาขอให้คุณช่วย ทั้งที่มันควรจะเป็นความสามารถตัวเอง แต่..."
ผมได้แต่ยืนนิ่ง รู้แล้วว่าตัวเองพูดล้ำเส้นเกินไป ผมไ่ม่ควรไปตัดสินเขาแบบนั้น

"ช่างเถอะ ขอโทษด้วยที่รบกวน เราจะกลับแล้ว จะขอบคุณมากถ้าคุณไม่บอกพี่โรซี่ว่าเรามาที่นี่"

แล้วมันก็ดันเป็นมือผมที่รั้งเขาเอาไว้

"เดี๋ยวก่อน"

เพราะเหตุการณ์วันนั้นแท้ๆ จุดเริ่มต้นที่ผมไม่อาจลืมมันได้
.
.

"คุณแม่จะมาจริงๆ เหรอคะ จะมางานโรงเรียนของหนูดีจริงๆ ใช่มั้ย~" นางฟ้าตัวน้อยของผมกระโดดโลดเต้นบนโซฟาด้วยความดีใจที่รู้ว่าแม่ของเขาจะมาหา

ผมได้แต่ก่นด่ากับตัวเองในใจ สุดท้ายก็กลืนน้ำลายตัวเอง ยอมติดต่อกับฝ่ายนั้นจนได้

ถ้าไม่ใช่เพราะหนูดี ผมไม่ยอมทำเรื่องบ้าๆ นี้แน่
"ดีใจมากเกินไปรึเปล่า พ่องอนแล้วนะ หนูดีไม่รักพ่อแล้ว" ผมแกล้งหันหลังงอนเจ้าตัวน้อยกลับคืนบ้าง ความจริงก็แอบน้อยใจเหมือนกันที่พอหนูดีรู้ว่าตัวเองมีแม่

พ่ออย่างผมก็ดูเหมือนจะหมดความหมาย

"พ่อจ๋าไม่งอนนะ หนูดีโอ๋ๆ น้า หนูดีรักพ่อคุณ หนูดีรักคุณแม่ด้วย" นางฟ้าตัวน้อยยอมกอดผมแล้ว
ผมกอดหอมแกไปหลายๆ ทีเพราะเจ้าตัวน้อยไม่ยอมให้แตะตัวกันหลายวัน พอเจ้าตัวเล็กสมหวังในสิ่งที่อยากได้ก็ส่งเสียงพูดอย่างอารมณ์ดี

"หนูดีอยากคุยกับคุณแม่ อยากเห็นหน้าคุณแม่"

ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ผมอย่างรู้งาน ทำไมเด็กสมัยนี้ฉลาดจังนะ

"โทรหานางฟ้าคุณแม่ให้หนูดีนะคะคุณพ่อ"
"เด็กขึ้นอนุบาลสามทำไมฉลาดจังครับ" ผมแกล้งเปลี่ยนเรื่องแต่เจ้าตัวน้อยดันรู้ทัน จ้องหน้าผมเหมือนจะคาดคั้นเอาให้ได้

"นี่มันสองทุ่มแล้ว ลูกต้องเข้านอน"

"ขอคุยกับคุณแม่ก่อน ฮื้อ.."

"เขาอาจจะไม่ว่าง เอาเป็นว่า.." พอเห็นสายตาตัดพ้อก็จำต้องยอมใจอ่อนจนได้

"...ก็ได้ พ่อให้แป๊บเดียวนะ"
บอกตัวเองว่าจะโทรหาคนคนนั้นแค่ครั้งเดียว แล้วทำไมต้องมากดเบอร์นี้เป็นครั้งที่สองด้วยก็ไม่รู้

"ฮัลโหล..." เสียงปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูด

"คุณแม่~" เพียงแค่หนูดีได้ยินเสียงอีกฝ่าย ก็จำได้ทันทีว่านั่นคือแม่ของเขา

"หนูดี หนูดีเหรอลูก" และอีกฝ่ายก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
ผมก้มหน้าอดคิดไม่ได้ ถ้าเรื่องไม่กลับตาลปัตรเราสามคนพ่อแม่ลูกคงได้อยู่คุยด้วยกันทุกวัน

เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมีความสุข

"หนูดีเป็นยังไงบ้าง เป็นเด็กดีมั้ยคะ"

"หนูดีเป็นเด็กดีค่ะ หนูดีคิดถึงนางฟ้าคุณแม่จังเลย" เจ้าตัวพูดจบก็ดึงชายเสื้อผมเบาๆ

"พ่อจ๋า หนูดีอยากเห็นหน้าคุณแม่"
ปลายสายเงียบไปเมื่อนางฟ้าตัวน้อยเรียกผม เหมือนรู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์อะไรมากนอกจากรอคำอนุญาตก่อนเท่านั้น

ผมอุ้มหนูดีที่ถือโทรศัพท์อยู่ พาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมยอมเปิดวิดีโอคอลให้สองแม่ลูกได้คุยกัน

แค่คืนนี้เท่านั้นแหละที่ยอมให้

"คุณพ่อจะไปไหนคะ มาคุยกับคุณแม่ด้วยกันนะ"
เจ้าของเสียงเล็กๆ เรียกผมพลางดึงแขนเข้ามา ทำให้ใบหน้าผมไปโผล่บนหน้าจอพอดี หน้าจอที่อีกคนกำลังนอนอยู่อีกฝั่งเช่นกัน

ดวงตากลมสวยที่ผมเคยหลงรักจ้องมาทางผมอย่างห่วงหา ให้ตาย ตอนนี้ผมไม่ชอบมันเลยสักนิด

"คุณแม่นอนแล้วเหรอคะ" ผมเมินหันไปทางอื่น ไม่อยากเห็น ไม่อยากมองให้ปวดใจ
"ยังค่ะ แล้วหนูดีไม่นอนเหรอลูก พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนใช่มั้ยคะ"

"ใช่ค่ะ หนูดีจะนอนแล้วแต่ว่าขอพ่อจ๋าให้โทรหาคุณแม่ พ่อจ๋าให้โทรด้วย" เสียงเจื้อยแจ้วกับคำตอบที่เจ้าตัวเล็กพูดออกไปทำให้ผมได้แต่นึกในใจว่าไม่น่าเลย ไม่น่าใจอ่อน

"จริงเหรอ..."

"ใช่ค่ะ คุณพ่อกดโทรให้อย่างนี้เลยๆ"
"หนูดี" ผมหันมาทำหน้าดุใส่แกเล็กน้อย แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มจากอีกคนจนได้

"พ่อจ๋างอนแล้ว คุณแม่ช่วยหนูดีง้อคุณพ่อหน่อยค่ะ"

"อะไร พ่อไปงอนตอนไหนเนี่ย"

ได้ยินแต่เสียงหัวเราะของสองคนที่ประสานกันไปมา หนูดีไม่เคยหัวเราะเสียงดังขนาดนี้เลย แกคงมีความสุขมากจริงๆ
"หนูดีอยากให้คุณแม่มานอนด้วยกันจังเลย ข้างนี้คุณพ่อ ข้างนี้คุณแม่ หนูดีอยู่ตรงกลาง..."

เจ้าตัวเล็กทำท่าทางดีดดิ้นไปมาให้คนบนหน้าจอเห็นว่ามันคงจะดีมากๆ ถ้าเราสามคนนอนกอดหนูดีไว้ตรงกลาง

"คุณแม่จะมานอนกับหนูดีเมื่อไรคะ" ทว่าเสียงเงียบเป็นคำตอบ รอยยิ้มปนเศร้าสะท้อนอยู่บนหน้าจอนั้น
"แม่ยังไปนอนกับหนูดีตอนนี้ไม่ได้ แต่ว่าแม่จะพยายามนะคะ"

"จริงนะคะ" เจ้าตัวน้อยเริ่มสะลึมสะลือ เปลือกตาปรือเหมือนจะหลับแต่ก็ยังเฝ้ารอคำตอบ พร้อมกับหัวใจของผมที่เต้นระรัว

"ค่ะ แม่กำลังพยายามอยู่ หนูดีรอแม่นะ"

"คุณแม่รักพ่อจ๋ามั้ยคะ หนูดีอยากให้คุณพ่อคุณแม่รักกันจังเลย"
เหมือนนางฟ้าตัวน้อยจะไม่อยู่รอคำตอบแล้ว เปลือกตาเล็กๆ หลับสนิทลงพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่หลุดออกจากมือ

"ลูกนอนแล้---"

"รัก..." ต่อให้เสียงปลายสายจะแผ่วเบา แต่ผมได้ยินมันชัดเจน ทั้งแววตาและคราบน้ำตาของคนในหน้าจอนั้น

"แม่รักคุณพ่อ หนูดีอวยพรให้คุณพ่อรับฟังคำขอโทษจากแม่ไวๆ นะคะ"
"รักงั้นเหรอ รักแล้วทิ้งกันไปทำไมล่ะ"

"ภาค..."

"คำพูดของเธอมันเชื่อถือได้แค่ไหน ปากบอกว่ารักแต่ทิ้งลูก ตอนนี้ได้เป็นดาราสมใจแล้วไม่กลัวข่าวว่าดาราดังแอบมีลูกเล็ดลอดออกมารึไงถึงได้กลับมา"

"ที่เราทำไปทุกอย่างมันมีเหตุผล ภาคยังไม่เข้าใจ"

"เข้าใจสิ เข้าใจว่าเธอไม่เคยรักกันเลย"
"ไม่ใช่!"

เท่านั้นปลายสายก็ตะโกนร้องไห้

เราสองคนทะเลาะกันอีกแล้ว ทำไมมันต้องกลับมาวนเวียนซ้ำๆ แบบนี้วะ

"ก็ถ้าภาคกับลูกต้องเป็นอันตรายเพราะเพลง เพลงเลือกที่จะให้ภาคเกลียดดีกว่า คิดว่าการอยู่ตรงนี้คนเดียวโดดเดี่ยวสี่ปีมันมีความสุขหรือไง!"
"ความสุขแบบที่ไม่มีภาคเพลงไม่อยากมีหรอก แต่มันทำไม่ได้ไง! มันทำไม่ได้...ถ้าสักวันภาคกับลูกต้องมาเจอคลิปนั้น มัน...เพลงเกลียดตัวเอง เกลียด!"

ตัวผมชาไปทุกส่วนตั้งแต่หัวจรดเท้า ร่างกายเหมือนคนไม่มีแรง คำว่าคลิปนั่นทำให้ไม่สามารถอยู่เป็นสุขได้อีกต่อไป

"คลิปอะไรเพลง พูดมา"
ทว่าปลายสายเอาแต่สายหน้าร้องไห้ ตอนนี้ผมเหมือนคนบ้าที่ระงับสติอารมณ์ไม่อยู่แล้ว

"เพลง อย่าเอาแต่ร้องไห้ ตอบภาคมา!"

"ฮึก...เพลงมันเป็นตัวน่ารังเกียจ"

"เพลง-โธ่เว้ย!" อีกฝ่ายกดตัดสายไปแล้ว จะโทรก็โทรไม่ติด

แล้วสี่ปีที่ผ่านมามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย!
คืนนั้นผมไม่ได้นอนเพราะกดโทรหาอีกคน เฝ้ารอให้ทางนั้นเปิดเครื่องและรับสายคุยกันดีๆ แต่พอรับสายขึ้นมาจริงๆ กลับเป็นผู้จัดการของอีกฝ่ายพูดแทน

'เพลงไพรินไม่ว่าง เขาฝากมาบอกว่ากรุณาอย่าโทรมารบกวน'

เท่านั้นผมก็ไม่โทรหาเขาอีก ลืมตัวไปว่าผมมันก็เป็นแค่เศษฝุ่นในชีวิตเขา ไม่เคยมีความหมาย
เป็นแบบนี้ตลอดและมันก็เป็นมาเสมอ ไม่ว่าเหตุการณ์ไหนผมมักจะได้รับรู้เป็นคนสุดท้าย หรือไม่ก็ถูกปล่อยทิ้งเหมือนเป็นแค่ขยะที่เขาไม่ต้องการ

นึกจะกลับมาก็กลับ นึกจะไปก็แค่ทิ้งมันไว้กลางทาง

ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมถึงไม่จำว่าเขาทำกับเรายังไง ทำไมถึงเอาหัวใจไปผูกพัน ไปเป็นห่วงเป็นใยเขาด้วย
หลังจากนั้นผมก็ไม่ติดต่อหาเขาอีก วันเวลาล่วงเลยไปจนถึงวันแม่ที่อีกคนสัญญาว่าจะมาหาลูก

ผมหวังอะไรจากเขาได้มั้ย

"พ่อจ๋า คุณแม่จะมามั้ย" เด็กน้อยใส่ชุดนักเรียนกระโปรงสีแดง เด้งตัวตื่นแต่เช้าเพื่อให้ผมถักเปียติดกิ๊ฟสวยๆ กำช่อดอกมะลิเล็กๆ ไว้ในมือ ชะเง้อมองหาคนเป็นแม่

แต่ก็ยังไม่มา
ผมเม้มปาก มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความโมโหและเจ็บใจ

อีกแล้วใช่มั้ย เธอมันก็เป็นแบบนี้ ผมไม่น่าให้โอกาสให้ใจไปเลย ผมเจ็บผมยังทนได้ แต่การที่มาให้ความหวังลูก มาทำให้ลูกผมเจ็บผมรับไม่ได้

"หนูดี ถ้าคุณแม่ไม่มา เดี๋ยวพ่อ..."

"ไม่ คุณแม่ต้องมาแน่ คุณแม่สัญญากับหนูดีว่าจะมา"
ผมสะบัดหน้าหนี ไม่อยากเห็นสีหน้าเจ็บปวดของลูกที่ผมเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงแกมาตั้งแต่เกิด กลับต้องมาถูกทำร้ายจิตใจจากคนที่เป็นแม่แท้ๆ ของตัวเอง

ถ้าเป็นแม่ที่ดีไม่ได้ จะกลับมาทำไม

"ไม่เอา หนูดีไม่เข้าห้องเรียน หนูดีจะรอคุณแม่"

"หนูดีอย่าดื้อ ฟังพ่อ เพื่อนๆ เข้าห้องเรียนกันหมดแล้ว"
ขอบตาของเด็กน้อยแดงก่ำ ริมฝีปากน้อยๆ เริ่มสั่นพร้อมกับช่อดอกมะลิที่ถูกกำจนช้ำคามือ ผมได้แต่สงสารลูกที่มองไปเข้าไปในห้องเรียนตัวเอง

ในบรรยากาศที่แม่ของเพื่อนๆ ทุกคนมากันพร้อมหน้า

"ฮึก...คุณแม่สัญญากับหนูดีแล้ว"

แค่เพียงเห็นน้ำตาลูก ผมก็แทบจะอกแตกตายอยู่ตรงนั้น
ตัดสินใจอุ้มลูกน้อยที่ร้องไห้งอแงเข้าห้องเรียน ใครจะมองว่าหนูดีไม่มีแม่ยังไงก็ช่าง ผมไม่สน

ต่อจากนี้ไปคนคนนั้นจะไม่มีสิทธิ์แตะต้องหรือเห็นหน้าผมกับลูกอีกแม้แต่ปลายเล็บ ถ้ายัง...

"หนูดี แม่มาแล้ว หนูดีอยู่ไหนลูก!"

"คุณแม่ คุณแม่มาแล้ว ฮึก...คุณแม่มาตามสัญญา หนูดีอยู่ตรงนี้"
เสียงกระหืดกระหอบกับฝีเท้าที่วิ่งมองหาห้องเด็กอนุบาลที่เจ้าตัวน้อยอยู่ จนในที่สุดก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาให้คนเป็นแม่รีบวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว

"ขอโทษที่มาช้าครับ" คนคนนั้นหันไปขอโทษครูประจำชั้นกับผู้ปกครองหลายๆ คน พอเห็นผมก็รีบหลบสายตาหันไปหาลูกแทน

"แม่ขอโทษที่มาช้านะคะ"
นางฟ้าตัวน้อยของผมยิ้มแก้มปริ ยอมให้คนเป็นแม่ก้มลงไปเช็ดน้ำตาพร้อมส่งดอกมะลิที่กำมันไว้ตั้งแต่เช้า

"หนูดีให้คุณแม่ค่ะ หนูดีได้เจอคุณแม่แล้ว คุณแม่อย่าหายไป อยู่กับหนูดีนานๆ นะคะ"

ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นจะได้ยินคำขอร้องจากเด็กตัวเล็กๆ คนนึงบ้างมั้ย มีแต่ผมที่ก้มหน้าปัดน้ำตาเงียบๆ
ถ้าวันหนึ่งคนคนนี้คิดจะหายไปจากชีวิตของพวกเราอีก สภาพจิตใจขอลูกผมจะเป็นยังไง จากกันครั้งที่แล้วมันยังง่ายตรงที่หนูดียังเป็นแค่ทารกตัวเล็กๆ

แต่ตอนนี้ลูกจำได้และรับรู้หมดแล้วว่าใครเป็นแม่ ถ้าต้องขาดแม่ไปอีกครั้ง ลูกผมจะใจสลายแค่ไหน

สู้ฆ่าผมให้ตายๆ ไปยังดีกว่าเห็นลูกเจ็บ
"ดอกมะลิสวยมากเลยค่ะ แม่จะอยู่ตรงนี้กับหนูดีไปนานๆ เลย สัญญา" เสียงสั่นเล็กๆ ตอบกลับมา ผมไม่รู้ว่าจะเชื่อมันได้รึเปล่า

ดาราดังอย่างเขาน่ะเหรอ จะมาอยู่กับเราสองพ่อลูกตลอดชีวิต

ผมปล่อยให้สองแม่ลูกใช้เวลาด้วยกัน หนูดีคงต้องการอย่างนั้นจึงได้แต่ทำหน้าที่พ่อที่ยืนมองอยู่ไกลๆ
นางฟ้าตัวน้อยยิ้มกอดแม่ตัวเองทั้งวัน และผมไม่ได้คิดจะห้าม ถ้ามันทำให้ลูกผมมีความสุขผมก็ยอมแลก ทั้งที่หัวใจเจ็บปวดเมื่อเห็นหน้าเขาก็ตาม

"นี่ กาแฟเย็นไม่หวาน เธอกินได้"

ผมยื่นกาแฟของร้านตัวเองที่ชงกับมือให้คนที่ไม่เคยคิดจะขายให้แม้สักแก้ว ทำเอาลูกน้องในร้านมองกันเป็นตาเดียว
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีลูกเจ้าของร้านกาแฟอย่างหนูดีนั่งอยู่บนตักไม่ห่าง จ้องมองแก้วกาแฟสลับกับใบหน้าของผมด้วยแววตาเศร้า พร้อมกับน้ำตาหนึ่งหยดกระทบลงบนโต๊ะนั้น

"คุณแม่ร้องไห้ทำไมคะ"

คนตรงหน้าโดนมือป้อมๆ ของเจ้าตัวน้อยเช็ดน้ำตาให้ กอดโอ๋แม่ตัวเองไปมาอยู่อย่างนั้น
หยิบแก้วกาแฟขึ้นมา ก่อนจะยอมปริปากพูดเพราะทั้งวันนี้เราแทบจะไม่ได้พูดจากันเลย

"นึกว่าจะไม่มีวันได้กินกาแฟร้านภาคแล้วซะอีก และก็ยังจำได้อีกว่าเพลงกินกาแฟแบบไหน"

"ใช่ จำได้ทุกเหตุการณ์นั่นแหละ ไม่เคยลืม ไม่เคยเลยสักวินาที" และนั่นทำให้อีกคนพยักหน้าทั้งน้ำตาเหมือนคนยอมรับความผิด
พอเห็นแววตาสลดของลูก ผมก็จำต้องปัดเรื่องที่คลางแคลงใจมาหลายวันไปก่อน

"ไม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก เอ้านี่ เช็ดน้ำตาก่อน จะร้องไห้ทำไมกับแค่กาแฟแก้วเดียวเนี่ย"

อีกคนก็หยิบทิชชู่จากมือผมไปพลางหัวเราะกับน้ำเสียงห้วนๆ สไตล์ผมที่ไม่เคยเปลี่ยน

"แค่ภาคยอมพูดดีๆ กับเราก็ดีมากแล้ว ขอบคุณนะ"
"วันนี้คุณแม่จะมานอนกับหนูดีมั้ยคะ"

อยู่ดีๆ คนที่นั่งอยู่บนตักแม่ก็โพล่งถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น และคำถามนั้นก็ทำให้คนที่เช็ดน้ำตาอยู่หันมาทางผมเพื่อรอคำตอบ

เหมือนหนูดีจะรู้ว่าหากผมไม่อนุญาต วันนี้เธอคงอดนอนกับแม่ เลยเป็นกำลังเสริมส่งสายตาอ้อนวอนตามมาอีกคน

"เฮ้อ คืนเดียวนะ"
แค่เห็นสายตาลูกผมก็ใจอ่อนแล้ว พ่อคนไหนจะใจดำห้ามแม่ลูกนอนด้วยกันได้บ้าง ห้ามก็เหมือนผมดูเป็นพ่อที่ใจร้ายในสายตาหนูดีไปอีก

"จริงเหรอ เรานอนกับหนูดีได้เหรอ"

"ก็ถ้าไม่รังเกียจ"

"ไม่เลย สามวันนี้เราไม่มีงานด้วย อยู่กับลูกได้ทั้งวัน"

"เย่! คุณแม่จะอยู่กับหนูดีทั้งวันไปเลย~"
ผมจะอ้าปากเถียงก็ไม่ทันแล้วเมื่อสองคนแม่ลูกดันตื่นเต้นกอดกันไปมาติ๊ต่างไปเองว่าผมอนุญาตให้อยู่กันทั้งวันทั้งคืนขนาดนั้น

"เย่! เรากลับบ้านกันเถอะค่ะพ่อจ๋า คุณแม่กลับบ้านกันนนน~"

ผมส่ายหน้าระอา แต่สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างจำยอม เจ้าตัวน้อยกำลังอารมณ์ดีพ่ออย่างผมจะไปกล้าขัดอะไร
"ถ้างั้นก็เก็บของเล่น พ่อจะชงนมเย็นให้ด้วย กลับบ้านไปหนูดีต้องกินแก้วนี้ให้หมดนะครับ เดี๋ยววันนี้ให้พวกเด็กๆ ปิดร้านกันไป"

ผมพูดกับหนูดีพลางหันไปสั่งเด็กๆให้ช่วยดูแลและปิดร้านให้แทนหนึ่งวัน หันกลับมาก็เห็นสองแม่ลูกช่วยกันรีบเก็บของอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้ม

นี่ผมใจอ่อนเกินไปมั้ยนะ
"รีบอะไรกันขนาดนั้น เธอดูลูกก่อนเดี๋ยวลูกล้ม มานี่ภาคเก็บเอง"

ผมเผลอใช้สรรพนามกับอีกคนอย่างสนิทสนมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ราวกับยอมรับให้อีกคนก้าวเข้ามาในครอบครัวเราในฐานะแม่ของหนูดีไปโดยปริยาย

ส่วนตัวแสบเจ้าของเรื่องน่ะเหรอ ร้องเพลงอารมณ์ดีวิ่งไปรอหน้าประตูรถแล้ว
ผมถือกระเป๋านักเรียนและของเล่นของลูกขึ้นรถโดยมีอีกคนช่วยอาสาเปิดท้ายรถให้

"มื้อเย็นจะกินอะไรกัน" ผมหันไปถามหนูดีและเบนสายตามาทางอีกคนที่ไม่แน่ใจว่าผมกำลังถามเจ้าตัวอยู่รึเปล่า

"อยากกินอะไรมั้ย จะสั่งหรือจะไปซูเปอร์ก็แล้วแต่"

"เพลงกินอะไรก็ได้ที่ลูกกินได้ จะให้เพลงทำก็ได้นะ"
"หนูดีอยากกินอาหารฝีมือคุณแม่ค่ะ!" เจ้าตัวแสบที่นั่งอยู่บนฝั่งข้างคนขับโดยมีแม่ตัวเองประคองอยู่ก็ยกมือแสดงความเห็น

"ถ้างั้นก็ต้องกินผักเยอะๆ ด้วย โอเคมั้ย" เจ้าตัวลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าแรงๆ หลายที

"หนูดีจะยอมกินผักฝีมือคุณแม่ค่ะ" คำตอบนั้นทำให้ผมพอใจ
ขับรถไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ ปล่อยให้สองแม่ลูกคุยเล่นกันตลอดทาง แปลกที่มันกลับไม่หนวกหูหรือน่ารำคาญเลยสักนิด

แอบเหลือบมองด้านข้างก็เห็นบางคนหันมายิ้มบางๆ ให้กัน ผมกระแอมไอกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ ในใจ หันไปมองทางข้างหน้าตามเดิม

"สัญญาว่าจะทำให้มันดี ขอบคุณภาคที่ให้โอกาสนะ"
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับ แต่หัวใจกลับเต้นแรงจนกลัวอีกฝ่ายจะได้ยินมัน

"ไม่ใช่แค่เรื่องลูก แต่เพลงจะทำให้เรื่องของเราดีขึ้นด้วย ขอโทษที่วันก่อนปิดเครื่องใส่ เพลงแค่ยังไม่พร้อมจะเล่า แต่ถ้าภาคยังอยากฟัง--"

"คืนนี้ รอลูกหลับก่อน"

ผมพูดปัดไป ไม่อยากให้ลูกได้ยินสิ่งที่เด็กไม่สมควรรับรู้
ยิ่งอีกคนพูดถึงคลิป ลางสังหรณ์ถึงเรื่องไม่ดีก็ปรากฏเด่นชัดจนผมคิดว่าไม่ควรเล่าออกมาในขณะที่เด็กยังนั่งอยู่ด้วย

และดูท่าอีกคนจะคิดแบบเดียวกับผม เขาพยักหน้าเข้าใจและส่งยิ้มมาทางผมที่สุดท้ายก็ยอมรับฟังเขาสักที

"หวังว่าเรื่องที่จะเล่ามันจะมีเหตุผลพอสำหรับสี่ปีที่หายไปนะ"
เพราะถ้ามาแนวแต่งเรื่องโกหกผมคงจะผิดหวังมากที่เคยรักคนแบบเขา คนที่คิดว่าจะมีความจริงใจให้กันมากกว่านี้

แม่หนูดีพยักหน้าพูดขอบคุณซ้ำๆ ก็ดีเหมือนกันถ้าเราสองคนพูดเปิดใจพูดกันแล้วมันจะไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ จะได้ไม่มีอะไรค้างคาอีก

เพราะสี่ปีผมก็แบกรับอะไรมามากจนเหนื่อยแล้ว
ผมจอดรถเมื่อถึงซูเปอร์ที่ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไร และเหมือนจะนึกขึ้นได้เมื่ออีกคนเริ่มเอาแมสก์และหมวกขึ้นมาใส่

"ถ้าไม่สะดวกก็รออยู่ในนี้ ไม่อยากให้ต้องมาเดือดร้อนคอยแก้ข่าวเพราะผมกับลูก"

"ไม่เป็นไร เราจะลงไปด้วย ใครจะเห็นก็ช่างมันเถอะ"

"คุณแน่ใจเหรอ รับได้เหรอถ้าข่าวออกขึ้นมา"
"เรายินดี จะเขียนข่าวเราเสียหายยังไงมันก็สมควรแล้วเพราะมันคือความจริง ที่เรามีลูกคือเรื่องจริง"

"เพิ่งมาคิดได้นะ ทำไมไม่คิดออกให้เร็วกว่านี้" ผมแอบประชดตามนิสัยจนอีกคนถึงกับหน้าถอดสี

"นั่งอยู่กับลูกในนี้แหละ ผมไม่อยากให้หนูดีเดือดร้อนไปด้วยกับข่าวของคุณ เดี๋ยวผมลงไปซื้อของเอง"
การที่เด็กถูกจับจ้องเป็นข่าวเกรงว่าจะทำให้หนูดีจิตตก ผมยังไม่พร้อมให้ลูกไปอยู่กลางพื้นที่สาธารณะแบบนั้น

"ขอโทษ..."

"ผมไม่ได้โทษคุณ หนูดียังเด็กไป ถ้าจะเป็นข่าวผมแค่อยากให้เราเคลียร์กันก่อน เพราะยังไงความจริงที่หนูดีเป็นลูกคุณกับผมมันก็เปลี่ยนไม่ได้อยู่แล้ว"
พูดจบผมก็เปิดประตูลงไปซื้อของ ทิ้งให้สองแม่ลูกอยู่ด้วยกันไปก่อน อีกฝ่ายจะคิดยังไงผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ความรู้สึกของลูกสำคัญที่สุด

มื้อเย็นของผมกับหนูดีวันนี้ค่อนข้างจะพิเศษตรงที่หนูดีตั้งหน้าตั้งตาคอยคุณแม่ทำต้มจืดเต้าหู้ผักกาดขาวให้ทาน

โดยมีผมที่ยืนช่วยหั่นผักอยู่ไม่ห่าง
"เอาแครอทส่เข้าไปด้วย หนูดีไม่ชอบกินแครอท"

"จะดีเหรอ"

"ดีสิ ถ้าคุณป้อนต้องยอมกินแน่" วันนี้เป็นโอกาสดีที่หนูดีจะได้กินแครอทโดยที่มีแม่ของเขาป้อน เพราะตอนผมป้อนทีไรเจ้าตัวจะเบะปากคว่ำหันหน้าหนีเสมอ

"ภาคอยากกินอะไรอีกมั้ยนอกจากต้มจืด ไข่เจียว แล้วก็ไก่ผัดกระเทียม"
ผมส่ายหน้า แค่รู้ว่าเขายังไม่ลืมที่ผมชอบกินไก่ผัดกระเทียมฝีมือเขาผมก็ทำตัวไม่ถูกแล้ว

อาหารเย็นมื้อนี้จบลงตรงที่หนูดีกินข้าวหมดจาน แถมยังลงทุนยอมกลืนแครอทเข้าปากโดยไม่คายออกเลยสักชิ้น

นี่คือข้อดีของการมีแม่สินะ

"ห้องของหนูดีสวยมั้ยคะ ตุ๊กตาตัวนี้พ่อจ๋าซื้อให้ด้วย"
"สวยค่ะ ตุ๊กตานางฟ้าก็สวยเหมือนหนูดีของแม่เลย" หนูดียื่นตุ๊กตาผ้านางฟ้าใส่ชุดสีชมพูให้แม่ของเขาชื่นชม พลางจูงมือแขกคนสำคัญขึ้นเตียงนอนด้วยกัน

"คืนนี้คุณแม่นอนกับหนูดีนะคะ ตรงนี้เลย" พูดจบก็เอามือป้อมๆตีไปตรงที่นอนด้านซ้ายของตัวเอง

"ส่วนคุณพ่อนอนตรงนี้ค่ะ หนูดีจะนอนตรงกลางเอง"
"พ่อบอกตอนไหนว่าจะนอนด้วย" ผมพูดไปพลางลอบมองอีกคนที่ถูกดึงตัวลงบนที่นอนเรียบร้อยแล้ว

"นะพ่อจ๋า เร็วๆ สิคะ" นางฟ้าตัวน้อยคะยั้นคะยอเขย่าแขนผมจนต้องยอมล้มตัวลงอีกฝั่งหนึ่งของที่นอน

"หนูดีจะกระเถิบตัวลงทำไมครับ"

"คุณพ่อกับคุณแม่จะได้กอดกันได้ค่ะ กอดหนูดีด้วยนะแบบนี้เลย รักกันๆ"
พอลูกกระเถิบตัวลงจากหมอนเพื่อมาอยู่ตรงกลางระหว่างผมกับคนที่นอนอีกฝั่ง ทำให้เห็นใบหน้าของกันและกันชัดขึ้น และมันใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รินรดกัน

อีกฝ่ายจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว และไม่หลบสายตาไปไหน สักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากเจ้าตัวเล็กลอดออกมา

"คุณพ่อจุ๊บๆ คุณแม่เลยค่ะ"
"ไปเอาคำพวกนี้มาจากไหนเนี่ยหนูดี" ผมเอ็ดลูกเบาๆ แต่ดูเหมือนลูกจะไม่สนใจ เงยหน้ามาอีกทีก็พบว่าหน้าเราสองคนใกล้กันมาก

ใกล้จนริมฝีปากเผลอแตะกันเบาบาง

เพียงแค่เฉียดเล็กน้อยเท่านั้น ทำไมมันถึงมีอิทธิพลต่อหัวใจผมได้ขนาดนี้

แต่ไม่ได้ ผมต้องผละออกมาก่อน ถอยออกมาเพื่อห้ามใจตัวเอง
สีหน้าอีกคนดูเศร้าลงเล็กน้อยเมื่อคิดว่าผมคงรังเกียจเขาไปแล้ว เลยกระเถิบใบหน้าออกไป หลุบตาลงมองหนูดีอย่างเงียบๆ เราสองคนไม่พูดอะไรกันอีกจนกระทั่งหนูดีผล็อยหลับไป

"เมื่อกี้ขอโทษ เรารู้ว่าภาคคงรังเกียจ เราไม่ได้ตั้งใจจะให้มันโดน--"

"บอกตอนไหนว่ารังเกียจ ไม่ได้พูดสักคำอย่าคิดไปเอง"
บรรยากาศเงียบแสนอึดอัดใจกลับมาอีกครั้ง และคราวนี้คงเป็นเวลาของเราสองคนที่จะได้เคลียร์ใจกัน เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกมั้ย

"ที่เธอบอกเรื่องคลิป มันคืออะไร" คนฟังแน่นิ่งไปชั่วครู่ ท่ามกลางความมืดในห้องนอน ผมกลับเห็นแววตาเจ็บปวดและบอบช้ำอยู่ในนั้น

"เพลงน่ะ มันสกปรกมากเลยภาค"
เสียงสั่นเครือและลมหายที่แรงถี่ขึ้นพานให้ผมใจเสีย ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เพลงพูดมันหมายถึงอะไร ภายในใจมันเริ่มกระอักกระอ่วน

"เธอไปทำอะไรมา พูด" เพลงส่ายหน้าก่อนจะพยายามเค้นเสียงตัวเองออกมา

"เพลงโดน...ฮึก" ผมชาวาบไปทั้งตัวเมื่อปะติดปะต่อประโยคนี้เข้ากับคำว่าคลิปที่ได้ยินก่อนหน้า
"เพลงจะเข้าไปขอยกเลิกสัญญา ที่เพลงไปหาภาคกับลูกไม่ได้เพราะโดนมอมยาแล้วก็ ฮึก..."

"ทำไมไม่บอกภาค ทำไมเธอถึงเก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียว!"

"มันบอกว่าถ้าคลิปนั้นเผยออกไป ลูกกับภาคต้องโดนคลิปนี้ตามหลอกหลอนจะเป็นยังไง เพลงเป็นคนเดียวที่ทำเงินให้กับมัน ถ้าทนจนหมดสัญญาได้มันจะปล่อยเพลงไป"
"กี่ครั้งเพลง เธอทนให้มันย่ำยีกี่ครั้ง! ไอ้เสี่ยธีร์นั่นใช่มั้ย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมเธอไม่บอกภาค ทำไม!"

น้ำตาผมไหล ร่างกายผมสั่นไปทั้งตัวเมื่อรับรู้ว่าคนที่ผมรักโดนอะไรมา สี่ปีที่ผมได้แต่คิดว่าเพลงเลือกทิ้งผมกับลูก หันไปเลือกอนาคตตัวเอง

แต่มันกลับไม่ใช่
"ครั้งเดียว มันบอกว่าถ้าเรื่องลูกไม่เล็ดลอดออกไป มันก็จะไม่ทำอะไรเพลงอีก"

ทำไมมันกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้ มันเป็นผมที่ผิดเอง ถ้าวันนั้นผมคาดคั้นเพลงมากกว่านี้ รั้งเพลงมากกว่านี้ ผมคงช่วยเขาได้ ช่วยครอบครัวเราได้

สี่ปีที่ผมเจ็บปวด มันเท่ากับสี่ปีที่เพลงตกนรก
ผมรั้งเพลงมากอดไว้กับตัว คนในอ้อมกอดสะอื้นร้องไห้พร่ำบอกว่ากลัวผมคงรังเกียจเขาแล้ว

"ภาคขอโทษ ขอโทษที่ช่วยเธอไม่ได้ ถ้าภาคเข้าไปช่วยเธอทัน ถ้าภาคอยู่ข้างเธอในวันนั้น ถ้าภาค.." ผมร้องไห้จนพูดไม่ออก มันจุกในหัวใจไปหมด ผมมันเป็นสามีที่แย่

"ไม่ ภาคไม่ผิดเลย เพลงผิดเอง เพลงขอโทษ"
อีกฝ่ายกอดจูบที่แก้มผมที่ร้องไห้ฟูมฟายไม่ต่างกัน ผมยอมให้เขาบอกว่าทิ้งผมไปเพราะอยากเป็นดาราดัง หรือสู้บอกว่าไม่รักผมแล้วซะยังดีกว่า

"ไอ้เหี้ยธีร์ มึงทำเมียกู!"

ผมกัดฟันพูดอย่างโกรธแค้น ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมให้เรื่องมันจบ เพลงเจ็บปวดเท่าไร มันจะต้องเจ็บมากกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่า
หลังจากรู้สาเหตุที่อีกฝ่ายเลือกเก็บความเจ็บปวดและเลือกก้าวต่อไปคนเดียวถึงสี่ปีเต็มๆ พอเพลงได้ระบายมันออกมาผมก็ปล่อยให้เพลงนอนหลับอย่างสบายใจ

ส่วนผมเลือกที่จะมานั่งบนโซฟามืดๆ คนเดียวในห้องนั่งเล่น

ไม่สามารถฝืนข่มใจหลับตาลงได้ หลากหลายความรู้สึกมันกันมั่วไปหมด
แต่ก่อนเคยรักเพลงยังไง วันนี้ก็รักไม่เคยเปลี่ยน นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกได้ ต่อให้เขาจะเป็นยังไง จะโดนทำร้ายมากี่ครั้ง ผมก็ยังรักและไม่คิดจะเกลียดเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมเกลียดตัวเองมากกว่าที่ไม่สามารถปกป้องคนรักได้ในตอนที่เขาต้องการผมมากที่สุด

"ภาค..."
เสียงเล็กๆ พร้อมกับคนที่ยืนพิงประตูห้องนอนลูกเรียกชื่อผม ผมเลยรีบใช้ฝ่ามือปาดน้ำตาลวกๆ ตอบเขากลับไปด้วยเสียงปกติที่สุด

"ทำไมไม่นอน" ผมถามคำถามโง่ๆ ออกไป

"ลืมตาตื่นมาแล้วไม่เจอภาค"

"ภาคไม่ได้ไปไหนหรอก แค่ออกมานั่งเฉยๆ"

"ถ้าภาครังเกียจเราแล้วก็บอกมาตรงๆ เรารับได้ทุกอย่าง"
บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความมืด แต่ทุกประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาผมรู้สึกได้ทันที

เพลงกำลังร้องไห้

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปหาเขาที่ยืนห่อไหล่เอาสองแขนกอดตัวเองไว้

"จะรังเกียจเพลงได้ยังไง เพลงเป็นแม่หนูดี เป็นเมียภาค"

"นั่นมันเมื่อสี่ปีก่อน แต่ตอนนี้มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้ว"
"เธอยังรักภาคเหมือนเดิมมั้ยล่ะ" อีกฝ่ายพยักหน้า ปลายนิ้วโป้งผมเกลี่ยซับน้ำตาให้เขาด้วยความทะนุถนอม

"ขอโทษที่ดูแลเธอไม่ดี ขอโทษที่ปล่อยให้เธอทุกข์ทรมานคนเดียว"

"ไม่เลย ภาคลำบากกว่าเพลงอีก เลี้ยงดูจนหนูดีเติบโตมากอย่างดีมากๆ จนต่อให้ไม่มีเพลงเชื่อว่าภาคจะดูแลลูกอย่างดีได้"
"เธอพูดเหมือนจะจากภาคกับลูกไปอีกแล้ว ถ้าเธอไปหนูดีก็คงร้องไห้ทุกวัน และภาคก็คงทนรับมันเป็นครั้งที่สองไม่ไหว"

หากเพลงหายออกไปอีกรอบ คงไม่มีแรงลุกขึ้นมาได้ไหว ผมจะปลอบลูกยังไงในเมื่อใจตัวเองกำลังจะพังลงไปตามๆ กัน

"กว่าจะทนตามหาภาคกับลูกเจอลำบากมากๆ เพลงจะไปไหนได้ยังไง"
"เพลงทนมานานถึงสี่ปี เฝ้ารอนับเวลาทุกวันจนสัญญากับบริษัทนั้นสิ้นสุด ถึงได้มาหาภาคที่ร้านกาแฟ เพลงรู้ดีว่ายังไงก็โดนไล่ โดนกีดกันไม่ให้เจอลูก แต่แค่ภาคยอมฟังสิ่งที่เพลงพูดก็ขอบคุณมากแล้ว"

"แล้วเธอจะกลับมามั้ย มาเป็นครอบครัวเดียวกัน" ความเงียบระหว่างเราก่อตัวกันอีกครั้ง
สายตาของอีกคนแสดงถึงความไม่มั่นใจออกมา

"หรือว่าเพราะเธอยังห่วงอาชีพตัวเอง ถ้าการที่ลูกกับภาคไปขวางทางเดินของเธอ ภาคก็จะยอมรับ และครั้งนี้จะไม่เกลียด จะให้เธอไปตามทาง"

ผมก้มหน้าหลบซ่อนดวงตาของตัวเองที่กำลังร้อนผ่าว ผมคงรั้งคนที่ไม่มีใจอยากจะอยู่ด้วยกันไว้ไม่ได้
"แต่อยากให้เธอรู้ว่าภาคกับลูกยังอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่มีที่ไปเมื่อไรตรงนี้ยังมีที่ให้เธอกลับมาพักได้เสมอ ให้ภาคเป็นแค่คนรู้จักเธอเท่านั้นก็ยังดี"

หยดน้ำตาผมกระทบพื้น เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับเขา มือสั่นเทาลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ

ผมไม่เป็นไร

"ขี้แง ร้องไห้มากเดี๋ยวไม่สวยหรอก"
"ฮึก...ขอโทษ เราไม่คิดว่าจะเป็นคนรักที่ดีให้ภาคได้มั้ย เรากลัวไปหมดทุกอย่าง ไม่มีความมั่นใจเลยภาค"

"ทำทุกอย่างที่เธอสบายใจเถอะ ภาคเข้าใจ แค่กลับมาหาลูกบ้างก็พอ"

ผมจับมือให้กำลังใจเขา เพลงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ผมไม่เคยคิดจะลืม ต่อให้เขาเลือกเดินเส้นทางไหนผมก็พร้อมจะยินดี
"แค่อยากให้เธอรู้ ไม่ว่าเธอจะบอบช้ำมาอีกกี่ครั้ง ภาคคนนี้ก็ยินดีจะโอบกอดเธอไว้ แค่เธอบอกมาคำเดียว..."

ผมกลืนก้อนสะอึกและความเจ็บปวดเอาไว้

"แค่เธอบอกมาคำเดียวว่าอยากจะเดินไปด้วยกัน เพราะภาคไม่ได้คิดว่าจะต้องให้เธอเลิกเป็นดาราเพื่อภาคกับลูก แค่จับมือไปด้วยพร้อมๆ กัน"
เสียงสะอื้นของเราสองคนดังมากขึ้น ผมเผลอฟูมฟายจนสัมผัสได้ถึงไหล่ของตัวเองที่กำลังสั่นไหว

"ภาคแทบขอร้องเธอแล้ว แทบจะคุกเข่าตรงนี้แล้ว เธอก็จะไม่เลือกกลับมาหน่อยเหรอ"

"ภาคอย่าทำแบบนี้ อย่าคุกเข่าให้เพลงเลย"

"ต้องยอมแพ้ให้เธอไปอีกแล้วใช่มั้ย ภาคต้องยอมปล่อยเธอไปอีกแล้ว"
เพลงก้มตัวลงมากอดผมที่เข่าอ่อนทรุดตัวลงร้องไห้อยู่ตรงนั้น หัวใจผมแหลกสลายไม่ต่างจากสี่ปีก่อนที่อีกฝ่ายเลือกเดินจากกันไป

และผมไม่มีทางเลือกเลยนอกจากยอมรับมันอย่างเดียว

"เพลงแค่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ถ้าวันนึงภาคเจอคนที่ดีกว่าเพลง..."

"เธอยังไม่รู้อีกเหรอ ว่าไม่มีใครแทนเธอได้แล้ว"
"เราเสียเวลาเสียใจมาหลายปีแล้วเพลง ลูกเราโตขึ้นทุกวัน แค่เธอปล่อยวางเรื่องทั้งหมดแล้วหันมามองแค่ภาคไม่ได้เหรอ ไม่ว่าเธอจะอยากเป็นอะไรภาคไม่ขัดขวาง ภาคแค่ขอให้เราเริ่มต้นกันใหม่ ภาคไม่อยากเสียเวลาอีกแล้วเพลง"

ผมกอดอีกฝ่ายแน่น ตอนแรกที่บอกอีกฝ่ายว่าไม่เป็นไร มันก็แค่เรื่องโกหก
"มันจะไม่เป็นไรใช่มั้ย เพลงกลัวทำภาคเสียใจ"

"มันจะไม่เป็นไร เธอเชื่อภาคนะ มันจะไม่เป็นไรจริงๆ" ผมผละอ้อมกอดออกมาจูบซ้ำเปลือกตาที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาของอีกคนอย่างอ่อนโยน

"ภาคอยู่ตรงนี้ มันจะดีแน่นอน" เท่านั้นอีกฝ่ายก็พยักหน้าช้าๆ เป็นฝ่ายเช็ดน้ำตาให้ผมด้วยจุมพิตบางเบา
"ถ้าเพลงทำผิดพลาดตรงไหนอีก ภาคอย่าโกรธเลยนะ ฝากดูแลคนโง่คนนี้ด้วย"

"ตลอดทั้งชีวิต ภาคดูแลได้" เพลงพยักหน้าให้ผม ไม่นานเราสองคนก็มองหน้าสลับกันไปมาพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ

"พ่อหนูดีร้องไห้ขี้มูกโป่งเลย"

"เธอเองก็ตาบวม มานี่มา ให้ภาคจูบเธอหน่อย"

"ฮื้อออ อะไรเนี่ย"

"ลงโทษคนดื้อไง"
ผมกระชับเอวให้อีกคนขึ้นมานั่งบนตัก จัดการเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้าคนที่กว่าจะง้อกลับมาได้ช่างยากเย็น พร้อมจุมพิตลงไปที่ริมฝีปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า บรรจงแตะมันลงไปเบาๆ แต่หนักแน่นด้วยความรู้สึกทั้งหมดของหัวใจ

"รักนะรู้มั้ย รักเพลงมากๆ"

"เพลงก็รักภาค ขอบคุณที่ภาคยังอยู่ตรงนี้"
หน้าผากของเราคลอเคลียไปมาด้วยความคิดถึง เรื่องอดีตและอนาคตของเพลงเป็นสิ่งที่ผมกับอีกฝ่ายต้องคิดหาหนทางแก้มันต่อไป

"ดึกแล้วไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้คอยเริ่มต้นคิดกันใหม่ ไม่ต้องเครียด ภาคจะอยู่กับเธอ"

ตอนนี้ขอใช้เวลาเก็บเกี่ยวความสุขก่อน

เวลาที่เราสามคนพ่อแม่ลูกจะได้นอนกอดกันสักที

• • •

Missing some Tweet in this thread? You can try to force a refresh
 

Keep Current with 𝑺𝒉𝒆𝒓𝒍𝒊𝒚𝒏 🥀

𝑺𝒉𝒆𝒓𝒍𝒊𝒚𝒏 🥀 Profile picture

Stay in touch and get notified when new unrolls are available from this author!

Read all threads

This Thread may be Removed Anytime!

PDF

Twitter may remove this content at anytime! Save it as PDF for later use!

Try unrolling a thread yourself!

how to unroll video
  1. Follow @ThreadReaderApp to mention us!

  2. From a Twitter thread mention us with a keyword "unroll"
@threadreaderapp unroll

Practice here first or read more on our help page!

More from @sherilynisgood

6 Mar 21
#ป๋อจ้าน #ฟิคป๋อจ้าน

ดาริการู้ดีว่าตนเป็นเพียงลูกคนสุดท้องที่ถูกเดียดฉันท์เพียงเพราะดันเป็นใบ้แต่กำเนิด

ทว่าช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้คนล้มตายและล้วนอดอยากทำให้ถูกพ่อแท้ๆ จับแต่งงานกับปารัต ทหารฝ่ายพันธมิตรที่ชนะสงครามเพื่อแลกเงิน

ทว่าหัวใจกระด้างเสียยิ่งกว่าแผ่นหิน ImageImage
**🚨warning 🚨**

นิยายเรื่องนี้อาจมีความรุนแรง ทั้งทางกายภาพและจิตภาพ มีประเด็นอ่อนไหวเรื่องความบกพร่องทางร่างกาย การเมือง และอาจมีข้อมูลที่ไม่ตรงตามประวัติศาสตร์ ทุกอย่างเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น

และศิลปินในรูปภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หากตามหาดาริกาที่อาศัยอยู่ย่านบางกอกน้อยในช่วงที่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งผ่านพ้นไปหากแต่ผู้คนยังไม่คลายความเศร้าโศกและตื่นผวา คงไม่มีใครรู้จักเท่าใดนัก

มีแต่เพียงคำว่า 'ไอ้ใบ้' ที่จะดูเหมือนเป็นชื่อจริงติดตัวเขาไปเสียแล้ว เพราะย่านนี้มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่เป็นใบ้แต่กำเนิด
Read 442 tweets
15 Jan 21
ขออนุญาตลงในเธรดใหม่นะคะ

#ฟิคป๋อจ้าน #ป๋อจ้านฟิค

#จะไม่รัก🌹

"ทะเบียนสมรสนี้มีอายุแค่หกเดือน ไปอยู่กับเขตน์ซะ เขตน์จะเป็นคนทำให้รินกลับมาเป็นลูกที่ดีของพ่อได้"

มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อไอ้เขตน์เป็นลูกคนใช้ของบ้านเขา ที่เมื่อสิบปีก่อนแม่มันพยายามไต่เต้าเพื่อให้ได้เป็นหม่อม ImageImage
warning** มีถ้อยคำส่อเสียดรุนแรง ดูถูกเหยียดหยามทั้งทางกายภาพและจิตภาพ มีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับชนชั้น ฐานะ และอาชีพ โดยผู้เขียนมิได้ดูหมิ่นชนชั้นสูงหรืออาชีพใดๆ ที่มีในเนื้อหาของเรื่องนี้

และศิลปินในรูปภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิยายเรื่องนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“รินไม่มีวันลืม ว่ามันกับแม่ของมันทำกับครอบครัวเราไว้ยังไง และรินจะไม่มีวันญาติดีกับไอ้คนใช้นั่นเด็ดขาด!”

ไม่มีวันให้อภัยคนที่ทำให้นรินทร์คนนี้เจ็บราวกับหัวใจแหลกละเอียด

มันเกลียดจนถึงขั้นสาปส่งพวกมันทุกวัน

และน้ำตาที่รินไหลทุกหยดหยาดในวันนั้น มันต้องชดใช้!
Read 1146 tweets

Did Thread Reader help you today?

Support us! We are indie developers!


This site is made by just two indie developers on a laptop doing marketing, support and development! Read more about the story.

Become a Premium Member ($3/month or $30/year) and get exclusive features!

Become Premium

Too expensive? Make a small donation by buying us coffee ($5) or help with server cost ($10)

Donate via Paypal

Or Donate anonymously using crypto!

Ethereum

0xfe58350B80634f60Fa6Dc149a72b4DFbc17D341E copy

Bitcoin

3ATGMxNzCUFzxpMCHL5sWSt4DVtS8UqXpi copy

Thank you for your support!

Follow Us on Twitter!

:(