#ฟิคป๋อจ้าน

“เราเข้าใจ ไม่ต้องคิดมากนะ เรื่องคืนนั้นเราเข้าใจ แทนไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองเลย...”

“อาย...เราขอโทษ”

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร เราขอให้แทนมีความสุขกับคนนั้นนะ ขอให้งานแต่งเป็นไปได้ด้วยดี ให้แทนสมหวังได้เป็นบาร์เทนเดอร์ตามที่หวัง...เพื่อนอย่างเราจะคอยดูอยู่ตรงนี้” ImageImage
ทำได้มั้ยล่ะ ฟิควันเดียวจบ เลิ่กลั่กๆๆ 😬
ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน และไม่รู้ว่าควรเรียบเรียงเหตุการณ์ใดก่อน ระหว่างความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นแบบที่รู้ตัวเองอีกทีก็แอบรักเพื่อนเข้าไปเต็มเปาแล้ว

และยังจะเรื่องในตอนนี้ที่ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงของเพื่อนสนิท มันอาจดูไม่แปลก เป็นเพื่อนกันจะนอนห้องเดียวกันก็ไม่เห็นเสียหายอะไร
ถ้าไม่ใช่ว่าเราเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าอาภรณ์กันทั้งคู่

ในขณะที่ผมเริ่มปวดเนื้อตัว สติที่เรือนลางค่อยกลับฟื้นขึ้น นาทีนั้นผมรู้ตัวได้เลยทันทีว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของผมบ้าง และมันตอบสนองอีกคนอย่างไร

หลักฐานรอยจ้ำแดงยังคงฝังอยู่บนร่างกายผม อายคนนี้
โดยมีแทน เพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมนอนกอดกันจากข้างหลัง กลิ่นของแอลกอฮอล์ยังคงคละคลุ้งบนตัวของมัน ซึ่งผมยังจำได้ดีว่าเมื่อคืนเราสองคนทำอะไรกันไปบ้าง

แทนมันอกหัก ผู้หญิงกี่คนของมันผมล้วนเห็นหน้าแล้วทั้งสิ้น

โลกช่างเล่นตลกใช่ไหมล่ะ

แต่ใช่ ผมไม่เคยเป็นคนสำคัญที่อยู่ในสายตาของมันเลย
และถ้าหากย้อนอดีตกลับไปตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน ผมจะไม่เลือกที่โบกมือทักทายมันไปแล้วขอให้มันเป็นเพื่อนคนแรกของผมในโรงเรียนแห่งนั้น

เพราะคำว่าเพื่อน เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่ว่าจะทำอย่างไรสถานะนี้ก็คงไม่มีวันลบออก

เป็นได้แค่คนข้างกาย แต่ไม่เคยเป็นคนข้างใจ
คนแล้วคนเล่าที่มันพามาเปิดตัวขอให้ผมยินดีกับรักครั้งใหม่ของมัน ครั้งแรกผมยังจำได้ว่าตัวเองร้องไห้อย่างหนักกลางสายฝนระหว่างทางกลับบ้าน

อกหักมันเป็นอย่างนี้นี่เอง นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้แล้วว่าตัวเองคิดยังไงกับเพื่อนสนิท

ก่อนหลายปีต่อมาจะกลายเป็นความเคยชิน แม้จะเจ็บแค่ไหนก็ตาม
เพราะมันเป็นเพื่อนคนเดียวที่อยู่เคียงข้างผมยามเดือดร้อน หรือแม้กระทั่งยามที่พ่อกับแม่ผมหย่ากันและผมเลือกที่จะปลีกตัวออกมาอยู่คนเดียว

แทนเป็นเพื่อนคนเดียวที่ยื่นมือมาช่วย ปลอบโยนให้ผมเข้มแข็งขึ้น

ผมเลยเลือกเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ให้อยู่ลึกสุดใจ

เพราะผมกลัวมันจะหายไปจากชีวิต
"อยู่ๆ แพรก็บอกว่าไม่อยากแต่งงานกับกูแล้ว ทั้งๆ ที่บัตรเชิญถูกแจกไปเกือบหมด มึงคิดดูสิว่ากูควรรู้สึกยังไง"

แทนคาดหวังกับรักครั้งนี้มาก หลังจากจบมหาลัยผมก็เห็นมันควงผู้หญิงที่ชื่อแพรคนนี้มาตลอด ไม่เคยวอกแวกไปรักใครเลย

มันคงจะเจอรักแท้ของมันแล้ว และผมก็ยินดีกับมันในฐานะเพื่อน
แทนไม่เคยพูดกูมึงกับผม เราสองคนไม่พูดคำหยาบใส่กันเท่าไร ผมจะได้ยินในตอนที่มันเมาเท่านั้น ซึ่งผมรู้ในทันทีว่าสติมันคงไม่เหลือแล้ว

ในตอนที่มันกระดกแก้วเหล้าเป็นแก้วที่หกของคืนนี้

"แล้วแพรบอกเหตุผลว่ายังไง จะยกเลิกงานแต่งก็ต้องมีเหตุผลสิ แทนใจเย็นๆ ก่อน"
"อึก...แพรบอกว่ายังไม่พร้อม กูก็ไม่รู้ว่าไม่พร้อมอะไร ในเมื่อวันที่กูขอเขาแต่งงานเขาก็ดูแฮปปี้และยินดีที่จะอยู่ร่วมชีวิตกับกู แล้วทำไม...ทำไมมันเป็นอย่างนี้วะแม่ง"

แทนสบถขึ้นมาเสียงดังช่วงประโยคสุดท้าย ก่อนจะเติมเหล้าใส่แก้วผมที่พร่องไปเล็กน้อย

"อาย ดื่มเป็นเพื่อนกูหน่อย"
ผมเป็นคนดื่มไม่เก่งนัก แต่ดันมีเพื่องเป็นบาร์เทนเดอร์ทำให้ผมแวะมาที่บาร์นี้บ่อยแต่ก็ไม่ได้ดื่มจริงจังเพราะแทนก็รู้ดีว่าผมดื่มไม่ค่อยได้

แต่คืนนี้มันกลับชงเหล้าให้ผมเข้มจนขมเฝื่อนไปทั้งปากลามไปถึงลำคอ ผมจึงหยุดไว้แค่สองแก้วแรกแล้วชวนมันคุยแทน

"เราว่าเราเข้าใจแพรอยู่นะ-
ก็อยู่ๆ แทนมาบอกว่าหลังแต่งงานจะให้ย้ายไปอยู่อเมริกาด้วยกันเพราะจะไปฝึกงานบาร์เทนเดอร์ที่โน่น เป็นเราก็ต้องคิดมากเหมือนกัน"

ผมพูดจริงๆ ไม่ได้เข้าข้างใครหรือรู้สึกดีใจที่เพื่อนจะโสดอีกครั้ง ผมไม่เห็นแก่ตัวขนาดนั้นหรอก

เพียงแต่ชีวิตของแพรมีพร้อมที่นี่ มีธุรกิจที่ต้องรับผิดชอบ
มีครอบครัวที่ต้องดูแล ทุกคนมีหน้าที่ มีความฝันของตัวเองทั้งนั้น แทนเองก็มีความฝันที่อยากจะเป็นบาร์เทนเดอร์ตั้งแต่สมัยปีหนึ่ง ส่วนผมก็เป็นแค่กราฟฟิคดีไซเนอร์ในบริษัทเล็กๆ ธรรมดาคนหนึ่ง

ไม่มีอะไรพิเศษที่จะดึงดูดใครได้

"ทำไมวะ ไปอยู่ที่โน่นก็ไม่ได้ลำบากอะไรสักหน่อย-
แพรก็รู้ว่ากูมีญาติอยู่ที่นั่น ไม่ได้ไปอยู่ในห้องแคบๆ ซะเมื่อไร มึงคิดว่ากูจะให้เมียตัวเองไปอยู่ที่อโคจรแบบนั้นรึไง"

พูดจบมันก็ยัดเยียดแก้วตรงหน้าให้ผมดื่ม ผมเลยต้องจนใจกระดกมันเข้าไปจนหมดแล้ว สติผมเริ่มพร่าเลือนเล็กน้อย

"ถ้ามึงเป็นแพรมึงจะทำอย่างแพรมั้ย จะเลือกทิ้งกูไปรึเปล่า"
ประโยคนั้นทำให้ผมค้างแก้วเหล้าไว้ในมือ ปล่อยให้หยดน้ำจากน้ำแข็งในแก้วหยดซึมลงกางเกง

ถ้าเป็นผมน่ะหรือ ถ้าเป็นผม...จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ

ได้แต่แค่นหัวเราะกับตัวเองในใจ ขบขันกับความสัมพันธ์ที่แม้แต่สมมติก็ยังเป็นเรื่องยาก

"ถ้าเป็นเรา เราจะไม่มีวันทิ้งแทน" แต่แทนก็คงไม่เลือกผมอยู่ดี
"เราจะจับมือแทน ประคองฝ่าฟันอุปสรรคกันไปเรื่อยๆ จนกว่าแทนจะพูดว่าไม่ต้องการกันแล้วมั้ง"

ผมพูดลงท้ายว่ามั้งลงไปเพราะไม่อยากให้อีกคนรับรู้ได้ว่าผมจริงจังกับประโยคเมื่อครู่แค่ไหน

ทุกคำ เป็นเรื่องจริง

เพราะถ้าผมเป็นแพร ผมจะไม่มีวันทำให้แทนต้องมาดื่มเหล้าย้อมใจแบบนี้
แต่สถานะเพื่อนพ่วงคนแอบรักจะทำอะไรได้มากนอกจากนั่งปลอบเพื่อนสนิทและมองอยู่ห่างๆ พูดว่าเป็นห่วงกันได้เพียงแค่ครั้งคราว

ไม่มีสิทธิ์เข้าไปดูแล เข้าใกล้หัวใจคนตรงหน้าได้เลย

"ทำไมมึงเป็นคนดีอย่างนี้วะ แพรยังไม่ถึงครึ่งของมึงเลย"

"ไม่จริงหรอก ถ้าเราดีจริงแทนคงไม่เลือกแพร จริงมั้ย"
ผมเผลอหลุดพูดความในใจออกไป อาจเป็นเพราะแอลกอฮอล์ในร่างกายที่ผลักดันให้ผมมีความกล้ามากขึ้น และดูเหมือนแทนจะได้ยินประโยคเมื่อสักครู่ทุกคำ

และในวินาทีที่เราสบตากัน เหมือนดั่งประกายไฟบางเบาในแววตามันปะทุขึ้นแบบที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร

แต่บางอย่างในร่างกายของผมร้อนรุ่ม
"แต่มึงก็รู้ว่าตอนนี้แพรไม่ได้ดีจริงอย่างที่คิดอีกแล้ว เขาทิ้งกูไป"

แทนกระดกเหล้าแก้วที่เท่านับไม่ถ้วน เงยหน้าซดมันเข้าไปจนผมแอบชำเลืองเห็นยามลูกกระเดือกของบาร์เทนเดอร์คนนี้ลิ้มรสชาติขมปร่าเข้าไปในร่างกาย

ก่อนสายตาหวานเยิ้มด้วยฤทธิ์เหล้าจะหันกลับมาสบตาผม

"คืนนี้ห้องกูว่างนะ"
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยไปนอนค้างห้องของเพื่อนสนิท แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าคำชวนของแทนมันไม่ปกติ และผมก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ความหมายของประโยคนั้นที่แทนกำลังจะสื่อ

"คิดดีๆ ก่อน วันพรุ่งนี้แทนอาจเสียใจก็ได้นะ"

"แพรคงไม่กลับมาห้องกูแล้ว"

"แทน..."

"หรือมึงก็รังเกียจกูอีกคนวะอาย"
ผมไม่เคยรังเกียจ ไม่มีวันรังเกียจคนตรงหน้าได้หรอก ก็รักไปแล้วจะเกลียดกันได้ยังไงล่ะ

แต่ผมจะรู้สึกยินดีมากว่าถ้าเรื่องราวที่มันกำลังจะเกิดขึ้นมาจากความรู้สึกส่วนลึกของแทนจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ตรงกัน

ไม่ใช่เพราะความเมา หรือประชดคนอื่น

"ก็แค่คืนเดียว กูรู้ว่ามึงก็ต้องการกู"
แทนกระตุ้นผมด้วยคำพูดและการกระทำจากฝ่ามือแกร่งที่ลูบฝ่ามือผมที่วางบนโต๊ะเคาน์เตอร์บาร์ หัวใจของผมกระตุกมันเต้นแรงและหวั่นไหวเกินกว่าจะควบคุมมันได้

ผมกำลังเคลิ้มไปกับสัมผัสบางเบาตรงฝ่ามือนั้น

และประโยคนั้นที่คล้ายว่าแทนรับรู้ความรู้สึกของผมมาโดยตลอด

ว่าผมต้องการเขา ต้องการจริงๆ
"เราเป็นเพื่อนกัน เราอาจจะเสียใจกันทั้งคู่" และอาจมองหน้ากันไม่ติด ผมพยายามประคองสติไม่เคลิ้มไปกับคำพูดของอีกคนที่พยายามหว่านล้อมกัน

แต่เหมือนว่าความรู้สึกของผมมันกำลังต่อต้านหลายล้านเหตุผลที่มี

หากมีโอกาสแค่คืนเดียว ผมก็อยากมีความสุข แม้จะรู้ว่าหลังจากนี้จะเจ็บเจียนตายก็ตาม
"งั้นคืนนี้อายก็ลืมไปซะ ลืมว่าเราเคยเป็นเพื่อนกัน..." ก่อนประโยคต่อมาจะทำให้ผมตัดสินใจทำบางอย่างลงไป

ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงนอนของแทนในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยมีอีกคนนอนกอดกันอยู่ไม่ห่าง

"เพราะคืนนี้เราจะไม่เป็นเพื่อนกัน"

ไม่เป็นเพื่อนกัน มันคือสิ่งที่ผมอยากคว้ามันไว้ที่สุด
แต่สุดท้ายเช้านี้ก็ต้องตื่นมายอมรับความจริง เรื่องเมื่อคืนเป็นแค่อารมณ์พาไป ไม่มีอะไรเพิ่มเติมกว่านั้น

สิ่งที่แทนทำกับผมมันเริ่มต้นจากแอลกอฮอล์ แล้วผมจะมาหวังอะไร หวังให้เขามารับผิดชอบผมเหรอ

อย่างน้อยเมื่อคืนมันก็เป็นความสุขสำหรับคนอย่างผมที่ไม่เคยได้รับความรักจากแทนเลยสักครั้ง
และผมก็โตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะรับได้ว่าสิ่งที่ผมเสียให้กับเขาไป ผมไม่ได้ถูกบังคับ แต่ผมเต็มใจให้เขาต่างหาก

แต่ผมแค่อยากขอเวลากลับมาตั้งสติสักหน่อย กลับมาตั้งหลักพร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับแทนอีกครั้ง ถึงแม้จะรู้ดีว่าอะไรๆ มันจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนับจากนี้
ผมขยับตัวให้เบาที่สุด หลุดออกจากอ้อมกอดของอีกคน หยิบเสื้อผ้าที่กองกระจัดกระจายบนพื้นขึ้นมาใส่ ก่อนจะหันมามองคนที่ยังหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนั้น

พร้อมกับยิ้มออกมาเบาๆ

ไม่ว่าเขาจะทำร้ายผมยังไง ผมก็ยังหวังให้เพื่อนคนนี้มีความสุขอยู่ดี

ก่อนจะเดินออกมาจากห้องนั้นอย่างโดดเดี่ยว
หลังจากนั้นสองอาทิตย์ผมใช้ชีวิตอย่างปกติ ต่างจากเดิมเล็กน้อยตรงที่ผมลาออกจากที่เก่าไปบริษัทใหม่ที่เสนอเงินเดือนให้ผมเพิ่มขึ้น ทำให้ผมต้องย้ายที่อยู่ใหม่แต่ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเพราะข้าวของผมมีไม่เยอะอยู่แล้ว

ผมไม่ได้ติดต่อแทนอีกนับจากคืนนั้น

มันโทรมาหาผมช่วงสองสามวันแรก-
ผมเลือกที่จะไม่รับสาย ไม่ตอบแชทหรืออ่านอะไรทั้งนั้น จากนั้นมันก็หายไป

ผมแค่ขอเวลาสักระยะให้หัวใจผมได้รับการเยียวยามากกว่านี้ก่อน ผมอยากกลับไปเจอหน้าอีกคนในตอนที่หัวใจผมพร้อมรับความเจ็บปวดได้มากพอ

เพราะผมรู้ดีว่าแทนจะพูดกับผมเรื่องอะไร ความรักของผมไม่มีวี่แววจะสมหวังได้อยู่แล้ว
"ได้ข่าวว่าแทนมันจะแต่งงานเดือนหน้าแล้วนะ เห็นว่าแฟนมันกลับมาขอปรับความเข้าใจ ดูเหมือนครั้งนี้รีบแต่งแล้วไปอยู่อเมริกาเลยเพราะแทนมันต้องรีบไปทำงานที่โน่น"

เพื่อนร่วมรุ่นของผมและแทนโทรมาชวนคุยสัพเพเหระจนลามมาถึงเรื่องของแทนคงเป็นเพราะผมดูสนิทกับมันมากที่สุด

"อืม ก็คงจะอย่างนั้น"
ผมรู้เหตุผลในทันทีว่าทำไมแทนไม่ติดต่อมาอีก ตอนนี้มันคงจะวุ่นวายน่าดูและคงจะมีความสุขมากๆ ที่ในที่สุดคนรักก็กลับมาหากัน ซึ่งผมก็อดยินดีกับมันไม่ได้

ในที่สุดชีวิตมันก็ลงตัวทั้งเรื่องความรักและอาชีพการงาน

แม้เสียงสะอื้นของผมจะหลุดออกมาเป็นครั้งคราวตอนคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอีกคนก็ตาม
ไม่เป็นไร ถ้าเพื่อนมีความสุขผมก็ยินดีแม้จะรู้ว่าตัวเองต้องเป็นคนเสียใจที่สุดในเรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งนี้

เพียงแต่ที่ผมเผลอสะอื้นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันประดังประเดเข้ามาในวันเดียวเท่านั้นเอง

เพราะวันนี้เป็นวันเดียวกับที่ผมเพิ่งรู้ว่าร่างกายตัวเองเปลี่ยนไป

ผมกำลังตั้งครรภ์
สองสามวันที่ผ่านมาผมเพลียหนักเหมือนคนไม่สบาย ร่างกายเหนื่อยกว่าปกติ เอาแต่อยากนอนอย่างเดียวจนผิดสังเกต

วันนี้ผมเลยตัดสินใจไปโรงพยาบาลก่อนจะรับรู้ว่าตัวเองกำลังมีเจ้าตัวน้อยอ่อนๆ ในท้องได้สัปดาห์กว่าๆ แล้ว

และรู้ดีว่าพ่อของเด็กเป็นใคร เพราะไม่เคยมีอะไรกับใครนอกจากแทนคนเดียว
"หนูอยากอยู่กับแม่เหรอครับลูก" ผมลูบท้องพึมพำกับตัวเองเบาๆ อย่างน้อยหนึ่งในเรื่องเศร้าก็ยังมีสิ่งดีๆ หลงเหลืออยู่

คือการมีเจ้าตัวน้อยที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของคนที่ผมรัก

ลูกคนเดียวผมเลี้ยงได้ และผมไม่คิดทอดทิ้งเขา ไม่ว่าใครจะสงสัยว่าพ่อของเด็กเป็นใคร ผมก็จะเก็บความจริงมันไว้
แทนจะไม่มีวันได้รับรู้ความจริงข้อนี้ ฝ่ายนั้นกำลังจะแต่งงานและมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ส่วนผมก็คงต้องมีชีวิตของผม เราสองคนก็แค่ต้องใช้ชีวิตในเส้นทางตัวเองต่อไปเท่านั้น

ผมจะไม่รั้งใครไว้ ไม่คิดทำให้ใครต้องมาเดือดร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

บางทีการอยู่เงียบๆ อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เพราะฉะนั้นในวันที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นแม่คน ความกล้าที่จะสะสางเรื่องที่ค้างคาระหว่างผมกับแทนจึงก่อตัวขึ้น

ผมตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาแทนเพื่อนัดมาเคลียร์สิ่งที่อยู่ในใจของเราทั้งคู่ในเช้าวันหนึ่ง

ซึ่งแทนรีบรับโทรศัทพ์ของผมทันที ผมรู้สึกถึงน้ำเสียงกระวนกระวายของเขา
"อายหายไปไหนมา ทำไมถึงไม่รับสายเรา รู้มั้ยว่าเราไปตามหาอายถึงที่ทำงานกับหอพัก อายหนีเราเหรอ...เรา..."

"มาเจอกันหน่อยมั้ย" ผมเอ่ยประโยคนั้นออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้

"เราอยากแสดงความยินดีกับแทนต่อหน้าน่ะ เราได้ข่าวจากเพื่อนๆ แล้ว ยินดีด้วยนะแทน"
"อาย..."

เสียงปลายสายของแทนแหบพร่า และผมเข้าใจดีว่าเขาคงรู้สึกผิดกับเรื่องคืนนั้น ยิ่งผมทำน้ำเสียงเป็นปกติเท่าไรเขาคงยิ่งรู้สึกผิดหนักเท่านั้น

"เจอกันที่บาร์เดิมนะ เดี๋ยวเราไปหา" ผมกดวางสายไปและปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบๆ ในห้องตัวเองคนเดียว

บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าผมต้องจบเรื่องนี้
ผมเช็ดน้ำตาลุกขึ้นแต่งตัว พยายามหายใจเข้าออกลึกๆ สงบสติอารมณ์ตัวเองที่กำลังอ่อนแอ ผมจะทำมันพังไม่ได้

ข่มใจไม่ให้ตัวเองร้องไห้จนกระทั่งถึงบาร์แห่งเดิมของคืนนั้น

คืนที่เราสองคนอยู่ด้วยกัน

แต่ละก้าวของผมช่างยากเย็นเหลือเกิน ขาของผมสั่นเทิ้ม ลำคอเริ่มแห้งผาก
กลืนก้อนสะอึกช้าๆ เมื่อเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยที่ผมไม่ได้เห็นมันมาหนึ่งเดือนเต็มๆ

แทนยังคงเป็นแทนคนเดิม

ทว่าสายตาที่เขามองผมมันเปลี่ยนไป แต่ผมไม่คิดโทษเขาเลย เพราะผมเองก็ยินยอมให้เรื่องคืนนั้นเกิดขึ้น แทนไม่ได้ขืนใจผม และผมก็ไม่มีท่าทีปฏิเสธสัมผัสของเขา

"อาย..."
"ว่าไง สบายดีมั้ย" ผมยิ้มอย่างจริงใจให้เขาเหมือนเดิมดั่งเช่นแต่ก่อนที่เราเจอกัน ยังไงเราสองคนก็เป็นเพื่อนกันมากว่าสิบปี ข้อนี้ผมไม่ลืมหรอก

"เอ่อ...อืม สบายดี อายอยากดื่มอะไรมั้ย"

แทนยังทำหน้าที่บาร์เทนเดอร์ประจำร้านแห่งนี้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะเก้ๆ กังๆ ตอนเจอหน้าผมก็เถอะ
"ขอแค่น้ำเปล่าก็พอ ช่วงนี้เราดูแลสุขภาพน่ะ" ผมโกหกเขาออกไป แต่ช่วงนี้ผมต้องดูแลสุขภาพจริงๆ

ก็ผมกำลังมีเจ้าตัวน้อยนี่นา

"เรามาแป๊บเดียวเดี๋ยวต้องกลับแล้ว" ผมบอกไปอย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะอยู่นานไปทำไม มันไม่ใช่สถานที่ที่คนท้องควรจะมา

อีกอย่างคือผมกลัวใจตัวเอง
แทนไม่ได้เถียงอะไรผมกลับ ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาคงคะยั้นคะยอให้ผมดื่มอะไรสักอย่างโดยที่เขาอาสาเป็นคนเลี้ยงแก้วนั้น แต่ยามนี้ท่าทางของเราสองคนดูฝืนอย่างไรบอกไม่ถูก

แทนยื่นแก้วน้ำเปล่าให้ผม ก่อนจะนั่งลงข้างๆ เคาเตอร์บาร์ที่ผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว

ความเงียบก่อตัวขึ้นระหว่างเราทั้งคู่หลายนาที
ผมจ้องมองไปที่ดวงตาของอีกคน ยามนี้มันเต้มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด ริมฝีปากตะกุกตะกักเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ลังเลที่จะพูดมันออกมา

ผมไม่อยากให้เราสองคนเป็นอย่างนี้เลย ไม่อยากเลยจริงๆ

"จำได้มั้ยแทน เราบอกแทนแล้ว..." ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ

"บอกแล้วว่าแทนอาจเสียใจทีหลัง"
เท่านั้นแทนก็พลั่งพรูคำพูดที่คิดไว้ในใจออกมาจนหมด

"อายฟังที่เราพูดก่อนนะ เราไม่ได้ตั้งใจ เราขอโทษที่พูดไม่ดีใส่อายในคืนนั้น แล้วยังทำเรื่องเลยเถิดให้อายเสียหายอีก เราไม่น่าเมาหนักแบบนั้นเลย ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะเราไม่มีสติ เรามันแย่"

"นั่นสินะ เพราะแทนเมา..."
ผมยิ้มให้แทนเหมือนเดิม ไม่โทษเขา เพราะรู้ว่าคืนนั้นมันเกิดจากความเมาของแทนจริงๆ เพียงแต่ไม่คิดว่าคำพูดจากปากแทนจะทำผมเจ็บเกินคาดไว้เท่านั้นเอง

เขาเมา ในขณะที่ผมมีสติครบถ้วน

ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมถึงเป็นผมคนเดียวที่จำเรื่องราวคืนนั้นได้

"เราไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นนะ อายฟังก่อน.."
"อย่าคิดมากเลยแทน เราไม่คิดโทษแทนเลยนะ คืนนั้นเป็นเราเองที่ยอมแทน ถ้าเราไม่ยอมแทนจะทำอะไรเราได้ล่ะ จริงมั้ย" ผมพูดตามที่รู้สึกออกไป

ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ก็คงไม่จำเป็นต้องปิดบังความรู้สึกกันอีก

"แทนคงรู้แล้วว่าเรารู้สึกยังไง แต่เราไม่คิดจะขอให้แทนมาสงสารหรือรู้สึกกับเราหรอกนะ-
สมัยนี้ใครๆ ก็วันไนท์แสตนกันได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าคิดมาก แทนกำลังจะแต่งงาน เราไม่อยากให้แทนเอาเรื่องของเราไปผูกติดกับเรื่องน่ายินดีที่กำลังจะเกิดขึ้น"

ผมพูดอย่างยินดีในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้ที่หวังดีกับคนตรงหน้ามาโดยตลอด

"ยินดีด้วยนะแทน เราขอให้แทนกับแพรมีความสุขนะ"
"อาย...อายจะไม่หนีจากเราไปใช่มั้ย" แทนพูดเสียงสั่นเครือ ขาดความมั่นใจไปเสียดื้อๆ

"จะให้เราไปไหนล่ะ เราก็ยังเป็นเพื่อนแทนอยู่นั่นแหละ แทนนั่นแหละที่จะหนีเรา ก็ไปถึงอเมริกานี่นา" ผมหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนความเจ็บช้ำในใจ

"อายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเรานะ"

"อืม" แค่เพื่อนเท่านั้น
“ฉะนั้นแทนไม่ต้องรู้สึกผิดแล้วนะ ไม่ต้องคิดมาก เรื่องคืนนั้นเราเข้าใจ แทนไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองเลย..”

“อาย...เราขอโทษ”

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร เราขอให้แทนมีความสุขกับคนนั้น และขอให้งานแต่งเป็นไปได้ด้วยดี ให้แทนได้เป็นบาร์เทนเดอร์ตามที่หวัง...เพื่อนอย่างเราจะคอยดูอยู่ตรงนี้”
ผมยิ้มกว้างในเพื่อนรักหนึ่งครั้งก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

เวลาของผมหมดแล้ว

ที่เหลือก็คงแค่เฝ้ามองดูเพื่อนประสบความสำเร็จจากที่ไกลๆ ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่เคยอยู่ข้างกายกันมาตลอด

ข้างกายของแทน ผมคงยืนตรงนั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะหน้าที่นี้คงต้องเป็นคนของใจเท่านั้นที่จะทำมันได้
"เราไปแล้วนะ"

"อายจะมางานแต่งของเรามั้ย" แทนถามเบาๆ ด้วยความรู้สึกผิด

"ถ้าเราไม่ไปแทนจะว่าอะไรเรามั้ย" ผมพูดไปตรงๆ ผมไม่สามารถไปงานแต่งของแทนได้ ผมทำใจไม่ได้จริงๆ หัวใจของผมมันไม่แข็งแรงพอ

"เราเข้าใจ ขอโทษนะที่พูดอะไรไม่คิดอีกแล้ว"

"ไม่เป็นไร ขอให้แทนโชคดีนะ"
ผมจ้องหน้าอีกคนเป็นครั้งสุดท้าย พูดกับเจ้าตัวน้อยในใจเบาๆ

แม่พาหนูมาหาพ่อแล้วนะลูก แต่แม่คงทำได้เท่านี้ แม่ไม่มีสามารถพอเหนี่ยวรั้งให้พ่ออยู่กับพวกเรา

ไม่สามารถให้พ่อกอดลูกได้

ก่อนจะเดินออกจากบาร์แห่งนั้น ในทันทีที่ก้าวพ้นเขตประตู ผมก็ร้องไห้ออกมาเสียงดังที่สุดในชีวิต
รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตัวเองต้องแพ้ในเกมส์นี้ แต่ผมก็ยังก้าวขาลงไปเพราะหวังว่าสักวันอีกคนอาจหันกลับมาว่ามีผมยืนเคียงข้างอยู่ตรงนี้

ยืนอยู่ตรงนี้มาตลอด

แต่สุดท้ายก็ต้องทำใจเพราะต่อให้ทำดีเท่าไร หากเขาไม่รักก็คือไม่รัก

"ไหนว่าเราดีกว่าแพรไง ดียังไงแทนก็ไม่รักใช่มั้ย"
สุดท้ายรักเดียวในชีวิตของผมก็หลุดลอยไป พร้อมกับภาพงานแต่งงานของเพื่อนสนิทกับคนรักที่ถูกจัดขึ้นในเดือนถัดมา

รูปถ่ายของสองคนนั้นถูกโพสต์ลงเต็มโซเชียลโดยกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่น บางคนก็แท็กหาผมว่าเสียดายที่ติดธุระไม่ได้มาแสดงความยินดีในงานมงคลของเพื่อนรัก
ก่อนสัปดาห์หลังจากนั้นจะเห็นรูปของคนทั้งคู่ที่โพสต์ว่าถึงอเมริกาเป็นที่เรียบร้อย

ผมยิ้มทั้งน้ำตา ให้มันจบแบบนี้น่ะดีที่สุดแล้ว

ให้ทุกคนลืมเรื่องของผมไป อย่านึกถึง อย่าคิดถึง อย่ารู้เลยว่าผมจะเป็นยังไงหรือมีชีวิตอยู่แบบไหน

เพราะคนแพ้ก็คือคนแพ้
ผมเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ บล็อคทุกช่องทางไม่ให้ตัวเองได้ติดต่อกับอีกคนได้อีก

ผมใช้ชีวิตกับท้องที่เริ่มโตมากขึ้นทุกที โชคดีที่เป็นท้องแรกเลยไม่ได้ใหญ่มาก คนที่ทำงานบางคนก็พอมองออกบ้าง ผมก็แค่บอกไปตรงๆ ว่าเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว

ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อจากนั้น
ในเดือนที่หกผมก็ได้รับรู้ข่าวดีว่าเจ้าตัวน้อยของผมที่กำลังเกิดมาเป็นเพศหญิงที่แข็งแรงครบสามสิบสอง เท่านั้นผมก็มีความสุขแล้ว

ความสุขเล็กๆ กับชีวิตที่มีลูกสาวน่ารักให้หอมให้กอด ผมไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้

ก่อนเดือนที่เก้าผมจะร้องไห้ในรอบหลายเดือนที่ได้เห็นเจ้าตัวน้อยครั้งแรก
ช่วงอุ้มท้องคนเดียวเป็นอะไรที่ลำบากเหลือเกิน อารมณ์ของคนเป็นแม่ขึ้นๆ ลงๆ รวมถึงความรู้สึกที่ผมอ่อนไหวกว่าปกติ

ผมคิดถึงแทน คิดถึงมากที่สุด

แต่ก็ต้องฝืนตัวเองไม่ให้เอาใจไปผูกไว้กับคนคนนั้น อีกฝ่ายมีครอบครัวแล้ว ถ้าผมรู้สึกเท่ากับว่าตัวเองกำลังทำผิดมหันต์กับภรรยาของแทน
แต่พอได้เห็นเจ้าตัวน้อย ความเหนื่อยที่เผชิญมาคนเดียวโดยตลอดก็หายดีในฉับพลัน

อย่างน้อยเจ้าหนู 'ใจรัก' ของแม่ก็มีส่วนเสี้ยวของอีกคนที่แม่คนนี้คิดถึง ทั้งจมูก ริมฝีปาก หรือแม้กระทั่งรอยยิ้ม

เหมือนจังเลยนะ เหมือนพ่อของเขาไม่มีผิดเพี้ยน
"ใจรักลูกแม่ แม่จะเลี้ยงดูหนูอย่างดีที่สุดเลย"

อีกหนึ่งปีเต็มที่ผมใช้ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยว เฝ้าทะนุถนอมใจรักในขณะที่ตรากตรำทำงานหาเงินไปด้วยเพราะการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อยๆ

ผมรับจ๊อบที่สามารถทำที่บ้านได้ วันๆ แทบไม่ได้นอนเพราะหลังจากใจรักหลับผมก็ต้องนั่งทำงานต่อ
เลยแทบไม่มีเวลารับรู้ข่าวสารความเป็นไปของคนรอบตัว ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ กับลูกตัวน้อยที่นอนเล่นด้วยกันทุกคืน เป็นความสุขเดียวที่ผมมีในชีวิตตอนนี้

"คุณอาย ผมมีโปรเจ็คใหม่อยากให้คุณช่วยออกแบบหน่อย ไม่ทราบว่าคุณยินดีรับมั้ย"

อดีตหัวหน้าของผมใจดีเสมอ เขาช่วยหางานในตอนที่ผมลำบาก
ซึ่งผมยินดีรับมันอยู่แล้ว ไม่ว่างานเหนื่อยแค่ไหนผมทนได้ทั้งนั้นหากมันมาซึ่งเงินที่สามารถเลี้ยงใจรักตัวน้อยของผมได้

"ผมยินดีรับหมดครับ หัวหน้าบอกมาได้เลย"

"พอดีผู้ว่าจ้างเขาเป็นบาร์เทนเดอร์น่ะ กำลังจะทำร้านเป็นของตัวเอง อยากได้คนมาช่วยตกแต่งพวกเว็บไซต์กับแล้วก็พวกแผ่นป้ายโฆษณา"
"บาร์เทนเดอร์เหรอครับ"

ผมสะดุดกับอาชีพนี้ ผมไม่ได้ยินมันนานแล้ว หลังจากมีใจรักผมก็ไม่ได้แวะไปบาร์หรือไปสถานที่บันเทิงที่ไหนอีก

มันทำให้อดคิดถึงคนที่ไม่ควรคิดถึงไม่ได้ ผมจึงต้งองรีบสลัดความคิดนั้นออก ห้ามคิดถึง ต้องห้ามตัวเองให้ได้

"แล้วเขาอยากได้คอนเซ็ปต์ประมาณไหนครับ"
"เขาบอกว่ารอประชุมหลายฝ่ายทีเดียวดีกว่า เจอหน้าพร้อมกันจะได้อธิบายทีเดียวเลย เขาคงยุ่งๆ เรื่องร้านด้วย ต้องคุมงานพวกช่างก่อสร้างน่ะ"

ผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว อะไรที่เขาสั่งมาผมก็แค่ทำตามให้งานออกมาเป็นที่พอใจของลูกค้ามากที่สุด

"เออ แต่เห็นเขาอยากจ้างอีกงานหนึ่งด้วย"
"งานอะไรเหรอครับ"

ผมรีบถามออกไป อย่างที่บอก อะไรที่ผมทำได้ผมก็พร้อมที่จะเสนอตัวเอง การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่มีอะไรง่ายโดยเฉพาะเรื่องค่าใช่จ้ายในแต่ละวัน

"ตามหาคนน่ะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกี่ยวอะไรกับงานสายเรา แต่เขาอยากให้เราทำกราฟฟิคง่ายๆ เอาแบบที่โพสลงโซเชียลได้น่ะแหละ"
"ตามหาคนเนี่ยนะครับ"

ผมโพล่งออกไปด้วยความสงสัย หากจะตามหาคนก็แค่โพสต์ข้อความลงโซเชียลหรือไม่ก็ถามหาคนรู้จักให้ช่วยตามหาก็น่าจะพอแล้วนี่นา ทำไมต้องถึงขนาดจ้างกราฟฟิคดีไซเนอร์ด้วย

ผมไม่เข้าใจ

"นั่นแหละ ผมก็งงเหมือนกับคุณ แต่เขาบอกว่าพยายามตามหาคนคนหนึ่งทั่วทุกสารทิศแล้ว-
แต่อีกฝ่ายหายไปเลย ติดต่อก็ไม่ได้ ถามคนรู้จักก็บอกว่าติดต่อไม่ได้เหมือนกันไม่รู้ด้วยว่าไปอยู่ที่ไหน เลยคิดว่าไหนๆ จะโปรโมทร้านใหม่ จะลองเอาประกาศนี้ลงเพจ เผื่อจะมีคนรู้จัก"

ผมไม่ค่อยเข้าใจผู้ว่าจ้างเท่าไรนัก แต่ในเมื่อมันได้เงินผมก็พร้อมที่จะทำ

"โอเคครับ ผมรับงานนี้"
หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ ผมเคลียร์งานของผู้ว่าจ้างคนเก่าๆ จนเสร็จเพื่อเตรียมรับงานใหม่ที่กำลังจะเดินทางไปรับบรีฟที่บริษัทเก่าวันนี้

ฟรีแลนซ์อย่างผมดีหน่อยตรงที่ไม่ต้องเข้างานตามเวลาที่กำหนด ทำให้มีเวลาอยู่กับเจ้าตัวน้อยเท่าที่ใจต้องการ

วันนี้ผมพาใจรักมาด้วย
เด็กน้อยหัวเราะอารมณ์ดีที่แม่คนนี้พาออกเดินเที่ยว

"ชอบให้แม่พามาข้างนอกใช่มั้ยลูก เด็กดีๆ"

ผมหัวเราะไปกับลูกน้อย หอมแก้มโยกตัวไปมาระหว่างเดินเข้าบริษัท พี่ๆ ในนั้นต่างเอ็นดูยัยหนูของผมและชอบให้ผมพามาหากันบ่อยๆ

"อยู่กับน้าหญิงไปก่อนนะครับ เดี๋ยวแม่มา" ผมฝากลูกน้อยกับพี่คนสนิท
เพราะผมต้องเข้าประชุม คงไม่สะดวกเท่าไรหากจะพาใจรักตัวน้อยเข้าไปด้วย

"รีบเข้าไปเถอะอาย เดี๋ยวพี่ช่วยดูยัยใจรักตัวแสบให้เอง ผู้ว่าจ้างเขาเพิ่งเดินเข้าห้องประชุมไปเมื่อกี้นี้เอง อีกไม่กี่นาทีก็จะเริ่มแล้ว"

เท่านั้นผมก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นจนมาถึงหน้าห้องประชุม เคาะประตูเบาๆ-
ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปอย่างเร่งรีบ ไม่ได้มองหน้าใครเท่านั้น แค่ก้มหัวพูดว่าขอโทษเบาๆ สายตาสอดส่องที่นั่งว่างตรงมุมในสุด จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็ว

ตุ้บ...

โดยไม่ได้ยินเสียงเหมือนของหล่นกระทบพื้น ได้ยินแต่เสียงของคนในห้องที่พูดออกมาเบาๆ ว่าโทรศัพท์ของใครสักคนตกเท่านั้น
ผมยังคงก้มหน้าเตรียมเปิดโน๊ตบุ๊คเพื่อรับบรีฟ จึงไม่ได้สังเกตว่าด้านหน้าเกิดอะไรขึ้นบ้าง กว่าจะรู้สึกว่าได้ว่าห้องประชุมมันเงียบกว่าปกติ

"พนักงานมากันครบแล้วครับ คุณแทนเริ่มได้เลย"

เพียงเท่านั้นผมก็หน้าซีดเผือด รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที

กับชื่อของบุคคลคนหนึ่งที่ผมคิดว่าอาจจะหูฝาด
แทนไหน คนชื่อแทนมีมากมายจะตายบนโลกใบนี้

แต่แทนที่เป็นบาร์เทนเดอร์จะมีสักกี่คน

แล้วผมมั่นใจว่าสายตาตัวเองไม่ได้ฝ้าฟาง เพราะคนตรงหน้าห้องประชุมนั้นช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน

และสายตานั้นส่งตรงมาที่ผมเพียงราวกับว่าจ้องมองกันอยู่นานแล้ว

ผมมือสั่นไปหมด ทำไมกัน ทำไมแทนถึงมาอยู่ที่นี่
อีกคนควรจะอยู่ที่อเมริกากับครอบครัวไม่ใช่เหรอ ป่านนี้แพรคงให้กำเนิดทายาทหรือไม่แทนก็คงเป็นบาร์เทนเดอร์ได้ดิบได้ดี ณ ที่แห่งนั้นไปแล้ว

กลับมาทำไม

กลับมาทำไมอีก มาให้ผมเจอหน้าอีกทำไม

ไม่อยากเจออีกแล้ว รู้มั้ยว่ากว่าจะก้าวเดินมาถึงตรงนี้ได้มันยากเย็นแค่ไหน ผมต้องเสียน้ำตาไปเท่าไร
เท่านั้นผมถึงกับหายใจแรงหน้าซีดเผือด มีเพียงแต่ขอบตาที่แดงก่ำราวกับคนจะร้องไห้

"ผม...ผมขอเริ่มที่โปรเจ็คตามหาคนก่อน" ทันทีที่อีกคนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ในขณะที่มองผม ผมก็รู้เลยทันทีว่ามันคืออะไร

คนที่แทนตามหาคือผมเอง

เพราะเป็นคนหนีมา ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าแทนกำลังตามหาใคร
เท่านั้นผมก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เก็บโน๊บุ๊คที่เพิ่งเปิดขึ้นเมื่อกี้เข้ากระเป๋าใบเดิมท่ามกลางสายตานับสิบที่มองมาทางผมอย่างไม่เข้าใจ

แทนลุกขึ้นตามผม สายตาของเขาเหมือนคนกำลังจะเสียของรักบางอย่างไปอีกครั้ง

แต่ผมน่ะ ไม่ขอฟังอะไรต่อไปอีกแล้ว

โปรเจ็คบ้าอะไรนี่ผมขอถอนตัว
ผมเดินออกจากที่นั่งท่ามกลางความสับสนของคนในห้องประชุม เกือบจะถึงประตูแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา

"อาย อย่าเพิ่งไป" เสียงนั้นสั่นเครือจนน่าใจหาย ก่อนต่อมาผมจะรู้สึกถึงฝ่ามือของอีกคนที่จับมือผมไว้

"อย่าหนีเราเลย เราตามหาอายจนทั่ว"

"แทนตามหาเราทำไม เหตุผลคืออะไรเหรอ"
ผมเคลื่อนมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของอีกคน

ผมไม่มีสิทธิ์โกรธ ผมรู้ดี อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรผิด เพื่อนคนหนึ่งจะตามหาเพื่อนที่หายไปมันไม่แปลกหรอก

ถ้าเพื่อนคนนี้ไม่ใช่คนที่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันเมื่อสองปีก่อน

ผมรู้ว่าผมพาล แต่ผมกำลังจะก้าวไปข้างหน้าแล้ว ทำไมต้องมาทำให้เจ็บปวดอีก
"เรามีเรื่องจะคุยกับอาย อายอย่-"

"แต่เราไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับแทนนะ และไม่รู้ว่าแทนกลับมาที่ไทยทำไม เอาเป็นว่าจะกลับมาหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องรู้ ถ้าตามหาเพราะคิดถึงในฐานะเพื่อน เราก็บอกตรงนี้เลยแล้วกันว่าเราสบายดี ไม่ต้องห่วง"

ผมยิ้มฝืนให้อีกคนทั้งที่ขอบตายังแดงก่ำ
"ขอโทษทุกคนในห้องประชุมนี้ด้วยนะครับ แต่ผมขอถอนตัวจากโปรเจ็คนี้ ผมคงไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำงานนี้ได้" ก่อนจะเดินออกมา เช็ดน้ำตาไม่ให้อีกคนเห็นว่ามันรินไหล

ข้างในหัวใจผมยังคงเจ็บ เจ็บที่สุด

คิดว่าจะลืมได้แล้ว แต่พอเห็นใบหน้าของแทนมันทำให้รู้ว่าผมไม่เคยลืมอีกคนได้เลย
ยิ่งตอนเดินออกมา เห็นเจ้าหนูใจรักยิ้มหัวเราะร่าเริง เอื้อมมือทั้งสองให้โอบอุ้มกันเมื่อเห็นหน้าผม ผมก็แทบจะหลุดสะอื้นตรงนี้

"ฮึก...กลับบ้านกันนะครับลูก" ผมกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน อุ้มใจรักไว้ในอ้อมแขนอย่างหวงแหน

ลูกของผม ผมจะไม่มีวันให้ใครเอาแกไปเด็ดขาด

"อาย..."
ผมคิดว่าอีกคนคงไม่ตามออกมาแล้ว แต่มันกลับบ้ามากๆ ที่แทนทิ้งการประชุมไว้ตรงนั้นแล้วเดินตามผมมา ผมจึงไม่ทันได้ตั้งตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

แทนเห็นลูกของเราแล้ว เห็นหมดแล้ว

"เด็กคนนั้น..." แทนพูดตะกุกตะกัก แววตาสั่นไหวเดินมาทางผมกับใจรักช้าๆ

"ไม่ ไม่ใช่" ผมรีบปฏิเสธออกไปก่อน
เบี่ยงใจรักออกจากฝ่ามือที่พยายามจะแตะต้องกัน ไม่ว่าอีกคนจะพูดอะไรก็แล้วแต่ผมจะไม่มีทางให้เขาได้รู้ความจริงนั้น

ไม่อยากให้ใครต้องเจ็บกับความจริงตรงหน้า ผมจะพูดออกไปได้ยังไงในเมื่อเพื่อนคนนี้แต่งงานแล้ว

"เขาเป็นลูกของอายเหรอ" ผมไม่ตอบ ได้ยินแต่เสียงลมหายใจของตัวเองที่สั่นเทิ้ม
สะพายกระเป๋าเดินหนีอีกคนเสียดื้อๆ น้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นไว้ยามนี้ผมปล่อยให้มันร่วงหล่น แม้ในใจลึกจะแอบดีใจที่ใจรักได้มีโอกาสเจอพ่อตัวเอง

แต่ก็ต้องย้ำกับตัวเองว่าคนตรงหน้านั้นรักไม่ได้

รักไม่ได้นะอาย จำเอาไว้

"แทนใช่มั้ย" เสียงนั้นตะโกนไล่เลี่ยมา

"ฮึก..."

"แทนเป็นพ่อของเขา"
สิ้นคำนั้นผมแทบจะเข่าทรุดลงไปตรงหน้า สะอื้นหนักจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว

"ก็บอกว่าไม่ใช่ไง!" ผมตะโกนกลับไป ซบหน้าในอ้อมกอดใจรักแน่น หวังให้ลูกน้อยปลอบโยนกัน

ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อใครอีกคนกอดกันจากทางด้านหลัง

"อย่าโกหกแทนอีกเลย เขาเป็นลูกแทน แทนรู้"
ก่อนจะรับรู้ความจริงข้อใหญ่อีกข้อหนึ่งที่ทำให้หัวใจผมเกินรับไหว

"แทนหย่ากับแพรแล้ว เราเลิกกันไปนานแล้วครับ แต่ที่แทนยังกลับมาไม่ได้เพราะต้องสะสางงาน และอยากจะกลับมาตั้งตัวเป็นพ่อและสามีที่ดีกับอายและลูก แทนตามหาอายไม่เจอจนจะหมดหนทางแล้วรู้มั้ย"

หมายความว่ายังไงกัน
แทนรู้เรื่องที่ผมมีลูกได้ยังไง

"เวลาทะเลาะกันทีไรแพรจะแดกดันเรื่องอายขึ้นมาตลอด เธอบอกว่าแทนมันโง่ แทนมันตาบอดที่มองไม่เห็นความรู้สึกตัวเอง ว่าคนที่แทนขาดไม่ได้ในชีวิตไม่ใ่ช่แพร แต่เป็นอาย"

"ฮึก...โกหก"

"ไม่ได้โกหกครับ-
ที่แทนหย่ากับแพรเพราะแพรสารภาพออกมาทั้งหมดว่าเห็นอายไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลก่อนที่จะแต่งงานได้หนึ่งเดือน เธอเห็นอายเดินเข้าแผนกสูตินรีเวชเลยเดาได้ว่าอายน่าจะท้อง แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก ที่แพรไม่ยอมบอกแทนเพราะกลัวว่าแทนจะยกเลิกงานแต่ง"

น้ำเสียงของแทนสั่นในประโยคสุดท้าย
ผมไม่เชื่อหรอก ไม่อยากจะเชื่อว่าแทนจะรู้สึกดีๆ กับผม ในเมื่อผมเป็นคนทุ่มเทใจให้เขามาตลอดสิบกว่าปี จะมองไม่เห็นเลยเหรอหากจะเขามีใจให้ผมสักนิด

"แทนกลับมาเพราะลูกใช่มั้ย อย่าโกหกเราเลย...ฮึก...อย่าทำร้ายเราด้วยวิธีนี้ ได้โปรด"

"ไม่ใช่นะอาย..."

"พอแล้ว มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น-
ลูกคนเดียวเราเลี้ยงได้ บอกแล้วไงว่าไม่ขอให้แทนมารับผิดชอบอะไรเราทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าทำแบบนี้"

แต่อีกคนกลับไม่ยอมปล่อยกัน ซ้ำยังเคลื่อนใบหน้ามาหอมแก้มผมกับใจรัก ลูบหัวใจรักด้วยความอ่อนโยนทีท่ทำให้ผมน้ำตาไหลไม่หยุด

ภาพที่ผมหวังให้มันเป็นจริงสักครั้ง ภาพที่แทนกอดลูก
"ไม่ต้องให้อภัยแทนตอนนี้ก็ได้ ให้แทนได้พิสูจน์ตัวเองนะ อย่าหนีกันเลย แทนอยากมีอายกับลูกในชีวิตนะครับ ขอร้องให้แทนได้แก้ตัว อายจะโกรธจะด่าแทนยังไงก็ได้แต่อย่าเพิ่งหนีแทนไป"

ผมปล่อยให้แทนโอบกอดผมและลูกไว้ พึมพำออกไปเบาๆ

"พูดอีกทีได้มั้ย เหตุผลในการที่แทนกลับมาที่นี่คือลูกหรือเรา"
"เพราะอายและลูก เพราะทั้งสองคน"

"ถ้างั้นไปพิสูจน์กัน ตามที่ปากของแทนพูด" น้ำเสียงผมเริ่มสงบขึ้น เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว หากจะเจ็บอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป

"แพรอยู่ไหน พาเราไปหาแพร ไปพูดเรื่องนี้ต่อหน้าแพร พูดสิ่งที่แทนบอกกับเราวันนี้ ทำได้มั้ยล่ะ" ก่อนจะหันหน้าไปหาแทนอีกครั้ง
สุดท้ายผมก็มานั่งฝั่งตรงข้ามคนขับที่รีบพาผมเดินขึ้นรถมา ยกเลิกการประชุมพร้อมกับพูดเสียงดังให้คนในบริษัทได้ยินว่าตัวเองเจอคนี่ตามหาแล้ว

ทุกคนจึงได้รู้ว่าเป็นผม แถมป่านนี้คงรู้แล้วด้วยว่าพ่อของยัยหนูใจรักเป็นใคร

ผมประคองลูกที่หลับอยู่บนบ่าตัวเอง แทนหันหน้ามามองผมกับลูกเป็นระยะ
ด้วยท่าทีเหมือนกลัวว่าผมจะหนีหายจากกันไปอีก

"มองไปข้างหน้าถนนสิ จะมองอะไรเรานัก มันอันตราย ไม่กลัวลูกเป็นอะไรรึไง"

"เรากลัวอายกับลูกจะหาย" แทนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

"เราจะหายไปยังไงแทน นี่มันกลางถนนนะ" ผมไม่คิดว่าแทนจะระแวงกันขนาดนี้ อะไรมันไปกระตุ้นส่วนสมองของเขารึเปล่า
ทำไมถึงได้ห่วงผมนักทั้งที่แต่ก่อนก็ไม่เห็นจะอะไรกับผมมากมาย แล้วตัวเองก็เป็นคนทิ้งผมไปด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับทำท่าเหมือนผมกำลังจะทิ้งเขาซะอย่างนั้น

"อาย เราถามได้มั้ย" ท่ามกลางความเงียบ แทนพูดแทรกขึ้นอีกรอบเบาๆ

"ถ้าเกิดได้ฟังเรื่องจากแพรหมดแล้ว อายจะตัดสินใจยังไงต่อไป"
ผมสะดุดกับคำถามนั้นเกือบนาที บอกตามตรงว่าผมไม่รู้ ผมไม่มั่นใจอะไรเลย สิ่งที่แทนพูดมันจะเชื่อได้แค่ไหน แล้วถ้าหากเขาเจอคนใหม่ที่ดีกว่าผมและลูกล่ะ

เขาจะทิ้งเราสองคนไปอีกมั้ย

เพราะหัวใจผมมันแบกรับอะไรต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ให้เจ็บอีกรอบคงไม่ไหว
"แทน เราไม่รู้ว่าตัวเองต้องพูดเรื่องไหนก่อนดี" ผมสูดลมหายใจลึก เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องพูดมันออกมา

"เราชอบแทน ไม่สิ เรารักแทน รักมาตลอดสิบกว่าปีที่เราเป็นเพื่อนกันมา..."

ผมกลืนก้อนสะอึก ข่มใจไม่ให้น้ำตาไหล ผมยังจำฉากตอนสมัยเรียนที่แทนพาแฟนคนแรกมาเปิดตัว ได้ดี
"แล้วเราก็รู้ว่าแทนไม่เคยคิดอะไรกับเราเลยนอกจากเพื่อน เพราะถ้าแทนรู้สึกกับเราสักนิด แค่เพียงนิดเดียว ก็คงไม่มีวันนี้ วันที่แทนเลือกแพร แล้วทิ้งเราไว้..."

"อาย ตอนนั้นเรายอมรับว่าเราไม่คิดอะไรกับอายนอกจากเพื่อนก็จริง แต่ว่า..."

"ฟังเราก่อนได้มั้ย ให้เราได้ระบายมันออกมาจนหมด"
พูดจบแทนก็เงียบลงทันที สีหน้าของเขาเศร้าลง แต่ผมแค่เพียงขอให้แทนฟังผมบ้าง ฟังสิ่งที่อยู่ในใจของผมที่มันติดค้างมาตลอดสิบกว่าปี

เพราะที่ผ่านมาผมเป็นฝ่ายรับฟังแทน เป็นผู้ฟังที่ดีของเขา รับฟังทุกเรื่องราวในชีวิตของเพื่อนคนนี้

"สิบกว่าปีมานี้แทนไม่เคยฟังเราเลย ไม่เคยถาม-
ไม่เคยสังเกตว่าเราเป็นอะไร รู้สึกยังไงบ้าง มีแต่เราที่ถามแทนข้างเดียว"

ผมปาดน้ำตา ระบายอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ในใจ ผมไม่สามารถเก็บมันไว้ได้อีกแล้ว

"คืนนั้นคงมีแค่เราที่จำภาพพวกนั้นได้ ภาพที่แทนกอดเรา จูบเรา สัมผัสเรา เรา..ฮึก จำได้ทุกตอน เพราะมันคือความสุขที่เราหวังมาตลอด"
แค่พูดออกมา ฉากคืนนั้นระหว่างผมกับแทนก็ปรากฎขึ้นมาตาเห็น และผมคงไม่มีวันลืมมัน

"จูบของแทนมันดีมากๆ ดีมากจริงๆ ตอนแทนกอดเรารู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนที่ถูกเลือก คนที่แทนเลือก...เลือกที่จะกอด เลือกที่จะจูบ"

"อาย..."

"แต่ไม่เลือกที่จะรัก"
เพราะถ้าแทนเลือกที่จะรักหรือหันมามองผมบ้างแค่เพียงเศษเสี้ยวเดียว คงไม่ใจร้ายทิ้งคนแพ้อย่างผมไว้แล้วเลือกไปแต่งงานกับอีกคน

"เราถึงได้บอกกับแทนไปวันนั้นไง ไม่ต้องมารู้สึกผิด ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรเราทั้งสิ้น เพราะต่อให้แทนรู้สึกผิดแค่ไหน คนที่แทนเลือกก็คือคนอื่น ไม่ใช่เราอยู่ดี"
"เราขอโทษ ครั้งนี้ที่เราตามหาอายไม่ใช่แค่เพราะรู้สึกผิด แต่เราก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับอายเหมือนกัน อายอยู่ข้างเรามาตลอด ซึ่งเราผิดเองที่ไม่เคยมองเห็นจนกระทั่งอายหายไป"

"เราไม่ได้หาย แทนต่างหากที่ทิ้งเรา แทนไปใช้ชีวิตดีๆ ที่อเมริกา แล้วเราล่ะ เราต้องอยู่แบบนี้มาสองปี"
เท่านั้นแทนก็ตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง วันนี้เราสองคนคงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ๆ ถ้ามีแต่อารมณ์โกรธอยู่แบบนี้

"อายอาจคิดว่าเราสบายได้ดีที่อเมริกา เราไม่อยากพูดแก้ตัวให้ตัวเองดูดีเพราะยังไงเราก็ผิดที่ทำให้อายเสียใจมาตลอดสิบกว่าปี แต่ตอนเราอยู่ที่นั่นเราไม่เคยสบายเลย-
อายรู้มั้ยว่าเพราะอะไร เพราะเราติดต่ออายไม่ได้ อายบล็อคเราทุกช่องทาง หลังจากไปอยู่ที่โน่นอาทิตย์นึงเราถามคนรู้จักทุกคนว่าอายหายไปไหน เราแทบบ้า อายไม่เคยหายไป และเรารู้ซึ้งแล้วว่าตอนไม่มีอายมันเป็นยังไง เรา...เรามันบ้า จะทำงานก็ทำไม่ได้จนเกือบโดนไล่ออก-
เราตัดสินใจจะลาออก เพื่อกลับมาตามหาอายที่นี่ นั่นทำให้เราทะเลาะกับแพรอย่างหนัก และที่ทำงานก็จะให้เราจ่ายค่าเสียหายและค่าเสียเวลาถ้าเราจะลาออก เพราะเขาต้องเสียเวลาจ้างคนต่างชาติใหม่ เราไม่มีเงิน ไม่มีจริงๆ ทั้งที่อยากกลับมาใจจะขาด"

น้ำตาของแทนพรั่งพรูไม่ต่างจากผม
"เราเป็นคนขอแพรหย่าเอง เพราะเรามันโง่ที่รู้ตัวช้าว่าในตอนที่คนข้างๆ ที่อยู่ข้างกันมาสิบกว่าปีหายไป วันนั้นแพรเลยบอกความจริงกับเราว่าเห็นอายที่โรงพยาบาล ถึงแพรไม่รู้ว่าอายท้องจริงมั้ย หรือถ้าจริงพ่อของเด็กจะเป็นใคร แต่แพรรู้...รู้ว่าอายไม่เคยมีใครนอกจากเรา-
เพราะแพรสังเกตเห็นหมดในตอนที่เรากระวนกระวายใจพยายามติดต่ออาย ทั้งๆ ที่งานแต่งกำลังจะถูกจัดเดือนหน้าแล้ว เขารู้ รู้ทุกอย่าง"

แทนเบี่ยงหน้าหนีเช็ดน้ำตาตัวเอง เขาคงไม่อยากให้ผมมาสงสารคนอย่างเขา เพราะเขามันเป็นคนไม่น่าสงสารเลย

เขาคงรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากผม
"เราพยายามกลับมาเร็วที่สุดแล้ว ทนฝืนทำงานให้ครบสัญญาเพื่อเอาวุฒิกลับมาสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่ออายกับลูก ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยกลับมาที่นี่ เรากลับมาตามหาอายหลายครั้ง แต่อายลาออกจากที่ทำงานไปหลายที่ ย้ายที่พัก เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ย้ายจังหวัดจนเราไม่รู้ว่าจะไปหาอายได้ที่ไหนแล้ว"
ผมหลุดสะอื้นขึ้นมาบ้าง ทำไมเรื่องทั้งหมดมันถึงกลายเป็นแบบนี้

สู้ให้ผมรับรู้ว่าอีกคนมีอนาคตที่ดี มีครอบครัวที่สมบูรณ์อย่างที่คาดคิดไว้ยังดีซะกว่า เราทั้งคู่จะได้ไม่ต้องมาเจ็บแบบนี้

"แทนมาช้าไป" ผมพูดขึ้น เท่านั้นความเงียบก็ปกคลุมเราหลายนาที ก่อนที่แทนจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
"ไม่มีหวังแล้วใช่มั้ย" แทนสะอื้นเล็กน้อย เขาเช็ดน้ำตาลวกๆ หันมายิ้มฝืนให้กับผมทั้งที่ริมฝีปากยังคงสั่นเครือ

"ไม่เป็นไรเลยครับ แทนยอมรับผิดทุกอย่าง มันก็สมควรแล้ว แทนเต็มใจยอมรับการตัดสินใจของอาย"

ก่อนจะขอร้องคำนั้นๆ ออกมาเป็นครั้งสุดท้าย

"ขอให้แทนได้กอดลูกสักครั้งได้มั้ย"
เขายื่นมือมาหาผมเป็นเชิงขออนุญาต แววตาเหมือนคนไม่มั่นใจเลยสักอย่าง ผมในตอนแรกที่ไม่อยากให้ใจรักได้รู้ว่าพ่อตัวเองเป็นใคร

ยามนี้กลับอยากให้ลูกได้สัมผัสอ้อมกอดจากพ่อเขาเหลือเกิน

ผมอุ้มใจรักตัวน้อยเข้าอ้อมกอดของแทน เพียงแค่ลูกหลับตากอดพ่อของเขา ใบหน้าซบอกแกร่งนั้น

ใจผมแทบขาด
ส่วนแทนมือสั่น น้ำตาเขาไหลทั้งสองข้าง หอมขมับลูกและแก้มลูกน้อยที่พิงซบพ่อตัวเอง หลับสบายในอ้อมกอดที่ลูกรอคอยมานาน

"พ่อมาหาแล้วนะครับ มาหาลูกแล้ว"

"ใจรัก...เขาชื่อใจรัก" ผมพูดออกไปทั้งที่สายตายังไม่หลุดจากโฟกัสตรงหน้า ที่พ่อโอบกอดลูกของเขา

"ใจรัก ลูกของพ่อ พ่อรักลูกนะครับ"
ก่อนจะหันมามองผมอีกครั้ง

"ขอบคุณนะครับอาย ขอบคุณที่อย่างน้อยก็ให้แทนได้กอดลูก" เขาจะกอดหอมลูกอย่างที่โหยหามานาน ผละคืนให้ผมด้วยความเสียดายอย่างถึงที่สุด

ก่อนจะเคลื่อนรถออกไปช้าๆ

"คงไม่จำเป็นต้องไปหาแพรแล้ว เราจะไปส่งอายเอง ไม่ต้องกลัวว่าเราจะมาไล่ตามอายนะ ไม่ต้องย้ายหนีหรอก"
จากนั้นแทนก็ไม่ได้พูดอะไรกับผมอีก ปล่อยให้เสียงสะอื้นของผมหลุดเป็นระยะในระหว่างทางจนถึงที่พัก

เครื่องยนต์ดับลงแล้ว เหลือแต่เพียงเราสองคนที่ยังไม่มีใครกล้าเปิดประตูหรือขยับตัวลงแม้แต่ก้าวเดียว

เพราะรู้ว่าหลังจากก้าวลงจากรถคันนี้แล้ว เรื่องระหว่างเราคงต้องจบจริงๆ
"แทนรู้ว่าตัวเองกลับมาช้าไป อายอาจจะคิดว่าเรื่องที่แทนพูดไปเมื่อกี้เป็นเรื่องโกหกก็ไม่เป็นไร แทนเข้าใจ"

ก่อนจะเคลื่อนมือมาจับมือผมกับใจรักช้าๆ อย่างแผวเบา

"ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้บอกมันมั้ย เพราะมันสายเกินไปแล้ว แต่แทน..."

"ฮึก..."

"รักอาย และแทนมั่นใจว่ามันเป็นเรื่องจริง"
ก่อนจะบรรจงจูบลงไปบนหลังมือของผมและเจ้าตัวน้อย ยิ้มให้ผมทั้งน้ำตาเพื่อเป็นการบอกลา

"ไม่ต้องห่วงเรื่องใจรักนะครับ แทนจะทำเรื่องขอเป็นพ่อของลูก จะรับผิดชอบทุกอย่างไม่ให้อายลำบากเลย แทนยินดียกทุกอย่างที่แทนมีให้ใจรักกับอายทั้งหมด"

"แทน...เรา...ฮึก" ผมพูดไม่ออก ผมควรจะทำยังไงดี
"แต่ขอให้แทนได้มาเจอลูกบ้างได้มั้ยครับ ถ้าอายไม่อยากเจอหน้าแทนแล้วอยากจะฝากเนอสเซอรี่ให้แทนมารับใจรักไปก็ได้ แทนแค่อยากทำหน้าที่พ่อ เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสนี้ถึงเมื่อไร"

"ทำไมถึงพูดแบบนั้น" คำพูดของแทนทำให้ผมกังวลขึ้นมาอีกครั้ง

"ก็บางทีอายอาจไม่อยากให้แทนอยู่ในชีวิตอายแล้ว"
และไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้ผมพูดคำนั้นออกไป

"ไม่ได้หรอก..."

อาจจะเป็นตอนที่แทนร้องไห้ต่อหน้าผม หรืออาจจะเพราะตอนที่เขากอดลูกน้อย หรืออาจเป็นตอนที่เขาบอกรักผมคนนี้

"จะเจอลูกก็ต้องเจอแม่เขาด้วย จะทำหน้าที่พ่อ หน้าที่สามีก็ต้องทำด้วยเหมือนกัน"
ก่อนจะหันมาพูดทั้งน้ำตา

"ใช้ความกล้าของแทนหน่อยสิ ทำให้เราเห็นว่าแทนสามารถเป็นพ่อที่ดีของใจรัก เป็นสามีที่ดีของเราได้ ความกล้าของแทนที่เคยมีมันหายไปไหนหมด"

"อาย..."

"วันนี้เรายังไม่ยอมลงให้แทนหรอกนะ ไม่ได้ยอม แต่พูดให้คิด แทนจะหายจากเราไปเพราะแค่เราพูดไม่กี่ประโยคเหรอ-
เราเข้าใจว่าแทนอาจรู้สึกผิดจนความมั่นใจหายไปหมด แต่เราอยากเห็นแทนคนเดิมที่มีความกล้ากว่านี้ กล้าที่จะรักเรา แทนทำได้มั้ย"

เท่านั้นอีกคนก็รีบตอบรับทันที ฝ่ามือแกร่งเอื้อมมาจับมือผมไว้

"ทำได้ แทนทำได้ครับ! อายให้โอกาสแทนนะ แทนขอโทษ แทนแค่กลัว มันกลัวไปหมด กลัวว่าอายจะพาลูกหนีอีก"
"ไม่หนีหรอก เราก็ไม่รู้จะหนีไปทำไมอีกเหมือนกัน" ในเมื่อคนที่ผมรักและเฝ้าคอยให้เขารักผมอยู่ด้วยกันตรงนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะหนีหัวใจตัวเองไปอีกทำไมให้เหนื่อย

จากนี้ก็แค่ดูว่าอีกคนทำตามที่พูดไว้ได้รึเปล่า

"ร้านบาร์นั่นใส่ชื่อเรา ให้เราเป็นเจ้าของร่วม" ผมเริ่มต่อรองเพื่อลองใจเขา
"ถ้าแทนทิ้งเรากับลูกครั้งนี้อีก เราจะได้มีหลักประกันว่าใจรักจะไม่ลำบาก ส่วนเรื่องขอเซ็นเป็นพ่อ ต้องรอใจรักครบสามขวบก่อน ตอนนี้ใจรักเพิ่งหนึ่งขวบ แทนรอได้มั้ยล่ะ"

ไม่ใช่แค่ขู่เล่นๆ แต่ผมคิดแบบนี้จริงๆ ถ้าแทนอยากจะเป็นพ่อ เป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็ต้องยอมรับข้อตกลงนี้ได้
สองปีที่ผมเสียใจหลังจากแทนเลือกแต่งงานกับอีกคน สองปีต่อจากนี้เขาต้องได้รับรู้เช่นกันว่าการอคอยความรักมันทรมานแค่ไหน และการเลี้ยงลูกคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย

"แทนทำได้ ทำได้ทุกอย่างเลย จะกี่ปีแทนก็รอได้ครับ ให้อายเป็นเจ้าของร้านนั้นแต่เพียงผู้เดียวแทนก็ยินดี"
แทนรีบพูดออกมาเหมือนตัวเองจะไม่มีโอกาสได้พูดมันอีกแล้ว ยกยิ้มอย่างดีใจ พูดขอบคุณซ้ำๆ จนเจ้าตัวน้อยเริ่มขยับตัวหาวเพราะโดนปลุก

"โอ๋ๆ ตื่นแล้วเหรอลูก แม่อยู่ตรงนี้ครับ" ผมปลอบโยนลูกน้อยเบาๆ ที่เริ่มจะเบะแล้ว

"โอ๋ๆ พ่อก็อยู่นี่นะครับ" ผมอึ้งเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงอ่อนโยนของอีกฝ่าย
แถมยัยตัวดีบนอ้อมกอดผมดันหายเบะทันทีที่ได้ยินเสียงของพ่อเขา ทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงวันเลย

ยัยหนูใจรักท่าจะรักคุณพ่อมากกว่าคุณแม่ซะแล้ว

"มาๆ ให้พ่ออุ้มนะครับ เด็กดี ไม่ร้องนะ" แทนส่งมือมาให้ผมช่วยประคองใจรักไปให้เขา และยัยตัวดียังยกยิ้มเมื่อเห็นหน้าพ่ออีกด้วย

นี่มันอะไรกัน
ผมเริ่มเบะปากบ้าง ทำไมใจรักไม่รู้จักหวงตัวบ้างเลย แม่อุตส่าห์พูดขู่ไปนะว่าจะให้พ่อเขาเซ็นยอมรับว่าใจรักเป็นลูกตอนสามขวบ

ทำไมไปยอมพ่อเขาแบบนั้นล่ะ ยังไม่ถึงวันเลยนะ

"ไหนใจรักพูดว่าพ่อซิครับ พ่ออออ~" ใจรักไม่ยอมพูดหรอก ไม่มีทาง

"ปะ...ปะ..."

"โอ้ หนูเรียกพ่อใช่มั้ยครับ เก่งมาก"
ผมเบะปากเงียบด้วยความน้อยใจลูกที่ส่งเสียงหัวเราะอารมณ์ดียามที่ถูกแทนหอมแก้มซ้ายขวา แถมยังส่งเสียงจ้อไม่หยุดตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

แทนเลยหันมาหาผมอีกครั้ง

"ดูสิครับ แม่งอนพวกเราสองคนแล้ว ใจรักต้องเอาใจช่วยให้พ่อง้อแม่ได้สำเร็จนะ"
ก่อนแทนจะเขยิบเข้ามาใกล้ๆ ประคองให้ใจรักอยู่ตรงกลางระหว่างเราสองคน มือโอบด้านหลังผมกับใจรักจนเราสองคนชิดใกล้แบบที่ลมหายใจรินรดกัน

หลังจากนั้นผมถึงได้รับสัมผัสเบาๆ ที่แก้ม

"รักแม่ใจรักเช่นกันครับ ขอบคุณที่ให้โอกาสแทนนะ" แล้วผมจะพูดอะไรต่ออีกได้นอกจากปล่อยให้หน้าตัวเองแดงก่ำ
"สัญญาเลยครับว่าจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ จะเป็นผู้นำครอบครัวให้อายกับลูก จะทำให้อายเห็นว่าแทนทำได้"

"อืม"

ก็คงต้องปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็คงดีไม่น้อย เพราะผมอยากมีความสุขสมหวังกับรักตัวเองสักทีแล้ว

เพราะผมรักเขาอยู่แล้ว รักเขาไม่เปลี่ยน
หลังจากนั้นเป็นต้นมาชีวิตผมก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิดโดยมีสมาชิกใหม่เข้ามาป้วนเปี้ยนในกิจวัตรประจำวันของผม

เพราะว่าผมเป็นฟรีแลนซ์ก็เลยไม่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้นใจรักก็เป็นเด็กตื่นเช้ามาก แค่เจ้าตัวน้อยขยับตัวผมก็ต้องตื่นขึ้นมากอดหอมชงนมให้แกแล้ว
แต่ตั้งแต่แทนกลับเข้ามาในชีวิตตอนเช้าผมจะเห็นถึงโจ๊กหรือไม่ก็ข้าวต้มและขนมสองสามอย่างแขวนไว้หน้าประตูห้องทุกวัน

เพราะผมเคยกำชับไว้ว่าตอนเช้าผมคงไม่มีเวลาเปิดประตูต้อนรับเขาเพราะต้องดูแลเจ้าตัวน้อย เขาจึงใช้วิธีนี้แล้วส่งข้อความมาแทนจากนั้นก็ขับรถไปดูร้านที่ก่อสร้างใกล้เสร็จแล้ว
ช่วงประมาณสี่ห้าโมงแทนจะแวะมาที่ห้อง ผมให้เขาเล่นกับลูกได้แค่ที่ห้องนั่งเล่นเท่านั้น ยังไม่อนุญาตให้เข้าห้องส่วนตัวของผมกับลูก ซึ่งเขาก็ปฏิบัติตามแต่โดยดีเพราะกลัวว่าผมจะไล่หรือหนีเขาอีก

เราทานข้าวเย็นกันสามคนด้วยกันทุกวัน โดยเจ้าตัวน้อยใจรักนั้นอ้อนพ่อเขามาก
ส่งเสียงกรี้ดดีใจทุกครั้งที่แทนมาถึงและชอบอ้อนให้ป้อนข้าวป้อนนมพาไปนอนทุกวัน

ส่วนเรื่องระหว่างเราผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืบหน้ามั้ย แต่เราพูดกันน้อยเพราะผมก็รู้สึกแปลกๆ แทนเองก็คงรู้สึกเช่นกัน ก่อนหน้านั้นเราเป็นเพื่อนกันมาตลอด จู่ๆ มีลูกหนึ่งคนแถมต้องมาใช้ชีวิตเป็นครอบครัว-
แต่ผมเห็นถึงความพยายามของแทนที่ชวนผมคุย ทั้งเรื่องสัพเพเหระรวมไปถึงเรื่องร้านที่เดือนหน้าน่าจะเปิดได้แล้ว

"อายไม่มีเรื่องอยากพูดกับเราเลยเหรอ"

แทนถามขึ้น มันทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมมักจะฟังแต่เรื่องของเขาอีกแล้ว
"เราอยากฟังเรื่องของอายบ้างนะ อายบอกเราว่าเราไม่ค่อยรับฟังอายใช่มั้ย ตอนนี้เราอยากฟังแล้ว ถ้าอายไม่รังเกียจ จะเล่าเรื่องลูกหรือเรื่องอะไรก็ได้ โกรธเรา ไม่เข้าใจเราตรงไหน หรือไม่ชอบให้เราทำอะไร อายบอกเราได้ทุกอย่าง"

ผมบอกตามตรงว่าผมกลัว กลัวใจตัวเองมากๆ เลยพยายามไม่เผยความรู้สึก
กลัวว่าถ้าผมพูดออกไปทั้งหมด ให้ใจแทนไปเหมือนครั้งที่ผ่านมา แล้ววันหนึ่งแทนจากไปผมจะอยู่ยังไง ผมกลัวว่าตัวเองจะชินกับการที่มีเขาอยู่ในชีวิตจนอยู๋ไม่ได้ถ้าขาดเขา

"เราแค่คิดว่าแทนจะทำแบบนี้ได้ถึงเมื่อไร หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน มันไม่มีอะไรการันตีว่าแทนจะเป็นแบบนี้ไปตลอด"
เท่านั้นผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกคน กับสัมผัสที่ฝ่ามือที่จับมือผมไว้ บีบเบาๆ เพื่อให้หันมามองหน้ากัน

"แทนบอกอายแล้วไง ไม่ต้องเชื่อแทนตอนนี้ก็ได้ แค่ดูไปเรื่อยๆ แทนเข้าใจว่าอายเจ็บเพราะแทนมากมายขนาดไหน เพราะฉะนั้นแทนจะไม่เร่งรัดหรือเร้าหรือให้อายมายอมรับแทนตอนนี้หรอก"
ก่อนจะยิ้มให้ผมพลางเกลี่ยแก้มกันเบาๆ

"ขอแค่อายอย่าฝืนได้มั้ยครับ ทำตัวปกติเถอะ อะไรที่ไม่ชอบก็บอกกันตรงๆ แทนจะได้รู้ อย่างเช่นเมื่อกี้ที่อายพูดว่าไม่มั่นใจในตัวแทน อายพูดออกมาได้ทุกอย่างนะ แค่เปิดใจให้กันเหมือนแต่ก่อนที่เราสองคนสามารถพูดกันได้ทุกเรื่อง"
แทนประคองเจ้าตัวเล็กที่หลับในอ้อมกอดให้กระชับขึ้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

"ช่วงนี้แทนงานเยอะก็จริง แต่อายอย่าเกรงใจหรือรู้สึกว่าแทนจะท้อใจในสักวันเลยนะ แทนไม่เหนื่อยเลยครับ ที่แทนอยู่กับอายกับลูกจนดึกไม่ได้เพราะบาร์มันเป็นร้านกลางคืน แทนมาหาช่วงดึกก็รบกวนเวลานอนของอายกับลูก-
พวกกลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่ก็ด้วย แทนไม่อยากให้ลูกสูดดมพวกนี้เข้าไป แทนไม่สูบไม่ดื่มนะครับ แต่อายก็รู้ว่าอาชีพของแทนมันหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ไม่ได้"

ผมพยักหน้าเข้าใจและก็คิดว่าแทนตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่คิดเรียกร้องให้ผมย้ายไปอยู่กับเขา หรือให้เขามาอยู่กับผม

"รอใจรักครบสามขวบก่อน"
ผมพูดประโยคนั้นออกไป และแทนเข้าใจดีว่าผมกำลังจะสื่ออะไร

"เข้าใจแล้วครับ แทนเคารพการตัดสินใจของอาย ใจรักครบสามขวบเมื่อไรเราย้ายมาอยู่ด้วยกันนะ แทนจะซื้อบ้านของเรา มีพื้นที่ให้ใจรักวิ่งเล่น จะไม่ให้อายอยู่ในห้องแคบๆ นี้แล้ว ดีมั้ย"

"อืม" ผมไม่กล้าบอกว่ามันดี ดีมากๆ และผมคาดหวัง
ผมชอบที่แทนพูดเรื่องของเรา พูดอนาคตที่มีผมในลูกอยู่ในนั้น ชอบน้ำเสียงอ่อนโยนที่เขาพูดกับผมหรือแม้แต่ท่าทางตอนจับมือและโอบกอดเพื่อปลอบโยนกัน

และท่าทางของแทนในตอนที่ทำหน้าที่พ่อมันช่างดีเหลือเกิน

ผมคาดหวังให้เขาอยู่กับผมไปเรื่อยๆ เป็นผมเองด้วยซ้ำที่เฝ้ารอให้ใจรักครบสามขวบไวๆ
วันนี้แทนกอดเจ้าตัวน้อย ร้องเพลงกล่อมจนหลับปุ๋ยในอ้อมกอด ผมไม่รู้ว่าเขาทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยโดยเฉพาะการร้องเพลงกล่อมเด็ก มองยังไงก็ยังไม่ชินสักที

เป็นคุณพ่อที่อบอุ่นจัง อยากให้ใจรักอยู่กับพ่อเขาไปนานๆ

แทนวางลูกน้อยบนเตียงเล็ก วันนี้เขาอยู่นานกว่าปกติเพราะผมเริ่มคุยกับเขามากขึ้น
"แทนกลับดีกว่า อายพักผ่อนเถอะครับ อย่าหักโหมงานเกินไป แทนส่งเงินให้อยู่แล้วไม่ต้องรับงานเยอะก็ได้"

ผมพยักหน้าให้เขา ช่วงนี้ผมเหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ หลายสิ่งหลายสิ่งประดังประเดเข้ามา ผมจึงรับงานน้อยลงเพื่อใช้เวลาอยู่กับใจรักแทน
แทนเดินไปหน้าประตู ผมใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก แต่ก่อนเวลาแทนกลับผมก็แค่เดินมาส่ง แต่ตอนนี้ผมอยากลองสักครั้ง

เหมือนที่แทนบอกว่าผมสามารถพูดกับเขาได้ทุกเรื่อง

"กลับดีๆ นะ ถ้าขับรถไม่ไหวก็นอนที่ร้าน ดึกๆ มันอันตราย แล้วก็..."

ผมเบี่ยงหน้าเก็บอาการเขินอาย

"ถึงบ้านแล้วโทรมาบอกด้วย"
ผมพูดเบาๆ ด้วยจังหวะที่เนิบช้า ทำเอาเราสองคนเกือบหยุดหายใจไปชั่วขณะ มีเพียงแต่เสียงหัวใจของผมที่เต้นแรง และถ้าผมไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป

ผมได้เสียงหัวใจที่เต้นแรงของแทนด้วยเช่นกัน

"อาย..."

"อะ...อะไร"

"พูดแบบเมื่อกี้อีกทีได้ไหมครับ" ผมอยากจะมุดหน้าหนีเดี๋ยวนี้เลยให้ตาย
"ทำเหมือนเราไม่เคยพูดอย่างนี้กับแทนไปได้ สมัยก่อนตอนเป็นเพื่อนกันก็พูดออกบ่อย"

ผมเบี่ยงหน้าหนีบุ้ยปากบ่นพึมพำแก้ตัวไปอย่างนั้น ทั้งที่ในใจมันตื่นเต้นจนแทบทะลุออกจากอก

"ก็ตอนนี้ไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้วนี่นา สิ่งที่อายพูดทุกคำย่อมสำคัญกับแทนอยู่แล้ว"
"โมเมไปเองคนเดียว ไม่เป็นเพื่อนอะไร ยังไม่ได้ตกลงสักหน่อย" ผมปากดีไปอย่างนั้น ในใจของผมตอนนี้จินตนาการกับสิ่งที่แทนพูดไปร้อยแปด หากกระโดดโลดเต้นตรงนี้ได้ผมคงทำไปแล้ว

ผมจะได้หลุดออกสถานะเพื่อนแล้วใช่มั้ย

"ก็อายบอกกับแทนเอง จะทำหน้าที่พ่อก็ต้องทำหน้าที่สามีด้วย"
บอกตรงๆ ผมไม่กล้ามองหน้าแทนตอนนี้เลย และไม่รู้ด้วยว่าแทนกำลังมองผมด้วยสายตาแบบไหน ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังบิดชายเสื้อตัวเองจนยับยู่ยี่

ผมไม่เคยเจอแทนในมุมนี้มาก่อน ตอนเขาจีบคนอื่นก็คงพูดคำหวานแบบนี้ใช่มั้ย แอบเจ็บเหมือนกันนะ

แต่เอาเป็นว่าผมจะลองชินกับมันสักครั้ง
"กลับได้แล้วน่า นี่ก็เริ่มดึกแล้ว เดี๋ยวก็เลิกงานดึกอีกหรอก" ผมพูดปัดไป เก็บอาการเขินของตัวเอง หากอยู่นานกว่านี้หน้าผมคงร้อนจนไหม้

แทนหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่เขาจะเปิดประตูเดินออกไป ไม่วายพูดบางสิ่งให้หัวใจผมสั่นไหวอีกครั้ง

"ขอบคุณนะครับ คำพูดเมื่อกี้ของอาย มันดีมากๆ เลย"
คืนนั้นทั้งคืนผมนอนกอดยัยหนูใจรักด้วยความรู้สึกยุบยิบในหัวใจ ผมลืมตาในความมืดโดยที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมริมฝีปากให้หยุดยิ้มได้เลย

มันดีจริงๆ ดีมากๆ พอได้พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดกับแทนแล้วผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญกับเขาแค่ไหน

แต่ก่อนผมไม่เคยสำคัญกับใคร แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
ที่แทนบอกว่าคำพูดที่ผมพูดกับเขาทุกคำมันมีความหมายกับความรู้สึกเขามาก ทำให้ความหวังของผมเพิ่มขึ้นทุกวัน

ความหวังที่จะเห็นเขาอยู่ในชีวิตผมตลอดไป เป็นครอบครัวที่น่ารักในแบบที่ผมเคยฝันถึง

คนมันรักอยู่แล้ว ยิ่งเจอคนที่ตัวเองแอบรักทำแบบนี้ ผมยิ่งบังคับตัวเองไม่ให้ถลำลึกยากยิ่งขึ้น
วันแล้ววันเล่าที่ผมเปิดใจรับแทนเข้ามาในชีวิตและจิตใจมากขึ้น ผมสังเกตว่าตัวเองสดใสกว่าเมื่อสองปีก่อน ผมยิ้มและหัวเราะมากขึ้นโดยมีแทนอยู่ข้างๆ

เขาไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามหรือฉวยโอกาสผมแม้แต่น้อย แต่ผมรู้สึกอบอุ่นเหมือนตัวเองกำลังได้รับความรักทุกครั้งที่แทนนั่งอยู่ข้างกัน
"เป็นไงครับ พอได้มั้ย ร้านดูทึบไปรึเปล่า" วันนี้แทนขับรถพาผมกับเจ้าตัวน้อยมาสำรวจร้านที่จะเปิดในอีกสองวัน และแน่นอนว่าร้านแห่งนี้แทนยกให้ผมเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวตามสัญญา

"ไม่หรอก ถ้าแทนชอบก็โอเค" ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ถ้าเรื่องดีไซน์ของร้านผมก็ว่าไม่เลวเท่าไรนัก
อีกอย่างจากที่เป็นเพื่อนกันมา ผมรู้อยู่แล้วว่ารสนิยมของแทนดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว ข้าวของที่ใช้ หรือแม้กระทั่งการเลือกน้ำหอมที่ผมได้กลิ่นแล้วรู้เลยว่าเป็นเขา

มันแตกต่างจากคนอื่น ต่างแบบที่ผมไม่สามารถหันไปมองคนอื่นได้นอกจากเขา

"เราจำได้ว่าแทนอยากแต่งร้านสไตล์นี้มานานแล้ว"
ผมยิ้มเล็กน้อย บาร์นี้ถูกตกแต่งด้ดวยสไตล์ผู้ดีอังกฤษสมัยศตวรรษที่สิบเก้า

กำแพงประดับด้วยอิฐสีส้มสลับกับปูนเปลือย เฟอร์นิเจอร์ข้างในเป็นไม้สีน้ำตาล สาดด้วยแสงไฟสีเหลืองที่รับกับกรอบรูปตามผนังที่ล้วนเป็นภาพฟิล์มและขาวดำสลับกันไป

"เสียดายที่อายไม่ได้ทำกราฟฟิกโปรโมทร้านให้แทน"
คำพูดของแทนทำให้ผมอดนึกไปถึงวันนั้นไม่ได้ วันที่ผมเดินออกจากห้องประชุมพร้อมประกาศเสียงดังว่าจะไม่รับงานของแทน

ก็ตอนนั้นผมทั้งโมโหแล้วก็เสียใจมากด้วยนี่นา ใครไม่ลองมาเป็นผมไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บแค่ไหน

"เราไม่พูดเรื่องนี้กันดีกว่า เอาเป็นว่าตั้งแต่นี้ต่อไปแทนจะพยายามมากขึ้น-
จะตั้งใจทำงานเก็บเงิน จะดูแลอายกับใจรักอย่างดีเลย"

"ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้" ผมก็ยังคงปากดีอย่างเดิมเช่นเคย ทั้งที่หัวใจเต้นระส่ำกับคำพูดของแทนไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

"พอเปิดร้านสักพักเดี๋ยวก็เจอสาวสวยๆ..." ผมเผลอหลุดพูดในสิ่งที่คิดออกไปอีกแล้ว ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย
สารภาพตามตรงผมกังวลเรื่องนี้มาตลอด ยิ่งใกล้วันที่จะเปิดร้านมากเท่าไรผมยิ่งคิดมาก ความสัมพันธ์ของผมและแทนกำลังเพิ่มมากขึ้น

ยิ่งดีมากเท่าไร ผมยิ่งกลัวมากเท่านั้น

เพราะแทนเป็นผุ้ชายที่มีเสน่ห์มากๆ รวมทั้งอาชีพบาร์เทนเดอร์ยิ่งเสริมให้แทนดูดีไปอีกถึงแม้จะเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วก็ตาม
เขาว่ากันว่าผู้ชายที่เป็นพ่อลูกอ่อนนั้นเสน่ห์ท่าจะจริง

เพราะแทนจริงจังและรักในอาชีพตัวเองมากๆ เขาจะใส่ใจการแต่งตัว บุคลิกท่าทางของตัวเองและท่าทางตอนคุยกับลูกค้า ทำให้สมัยก่อนลูกค้าติดเขาเยอะมาก และผมก็เห็นมันกับตามาหมดแล้ว

ในตอนที่แทนควงลูกค้าบางคนกลับไปกับเขา
นี่คือหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมผมถึงเสนอให้แทนยกร้านนี้ให้ผมเป็นเจ้าของ เพราะมันไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าเขาจะอยู่กับผมตลอดไป

ผมกลัว แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะนี่เป็นอาชีพที่แทนรักและเป้นเส้นทางที่แทนเลือก

"แทนรู้ว่าอายคงยังไม่สามารถเชื่อใจแทนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แทนไม่โกรธครับ-
แต่แทนเข็ดแล้วจริงๆ จะไม่ทำตัวเหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่ว่าอายจะเคยเห็นอะไรมาขอให้อายทิ้งมันไปได้มั้ย แล้วเริ่มต้นกันใหม่ แทนกเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ นะ"

แทนกอบกุมมือผมกับใจรักไว้ด้วยสองมือของเขา

"งานก็คืองาน แทนหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่แทนเลือกที่จะวางตัวได้ แทนจะไม่ทำให้อายเสียใจอีกแล้ว"
"เรามีใจรักแล้ว คงมาเฝ้าดูแทนตอนกลางคืนเหมือนสมัยสองปีก่อนไม่ได้ แทนรู้ใช่มั้ย"

เพราะผมต้องเลี้ยงลูก ฉะนั้นผมไม่มีทางรู้เลยว่าในระหว่างที่แทนทำงานจะได้พบเจอใครหรือทำอะไรบ้าง

อีกอย่างสถานะที่ผมให้เขาตอนนี้มันคลุมเครือ แทนจึงมีสิทธิ์ที่จะไปไหนทำอะไรกับคนอื่นได้อย่างอิสระ
"รู้ครับ และแทนรู้ตัวเองดีว่าทำผิดกับอายไว้เยอะมากๆ แทนไม่คิดจะยุ่งกับใครอีกแล้ว ตอนนี้แทนมีใจรักกับอาย มันดีมากๆ ดีที่สุดจนไม่คิดจะมีใครอื่นอีก"

แทนกอดผมที่อุ้มลูกน้อยในอ้อมแขน เขาจูบขมับผมกับใจรักเบาๆ และครั้งนี้ผมไม่เบี่ยงตัวออกเหมือนครั้งก่อนๆ

"อืม เราจะรอดู"
"ครับ อายรอดูได้เลย แทนจะไม่ทำตัวเหลวไหล จะกลับบ้านทุกวัน เลิกงานปิดร้านเสร็จจะโทรรายงานทุกคืน เอางี้ แทนจะวิดีโอคอลให้อายเห็นตลอดทางกลับบ้านเลยดีมั้ย"

แทนกระวนกระวายรีบพูดออกมาเพราะกลัวว่าผมจะคิดมากไปอีก เขาคงไม่รู้จะทำยังไงให้ผมเชื่อเขาแล้วนอกจากวิธีนี้
ซึ่งผมคิดว่าเหมือนผมเอาแต่ใจตัวเองเกินไปจนกลายเป็นบังคับแทนให้ต้องมาทำอะไรที่วุ่นวายเพราะช่วงเปิดร้านใหม่ๆ ก็เหนื่อยพออยู่แล้ว

ผมเลยพูดบางสิ่งออกไปที่พอนึกขึ้นได้ก็เอ่ยกับตัวเองในหัวซ้ำๆ ว่าบ้ามากๆ

"ถ้ามันยุ่งยากขนาดนั้นก็กลับมานอนที่คอนโดเรา จะได้ไม่ต้องโทรรายงานทุกคืน"
เท่านั้นแทนก็ยิ้มร่า แต่ก็กลับมาทำสีหน้ากังวลอีกรอบเหมือนเกรงใจ กลัวว่าผมจะอึดอัด

"มันจะดีใช่มั้ย แทนกลัวอายอึดอัด อายอาจจะอยากได้เวลาส่วนตัวกับลูก"

"หรือจะไม่นอน?" ผมถามซื่อๆ กลับไป เท่านั้นแทนก็รีบตอบกลับทันที

"นอนครับ ทำไมจะไม่นอนล่ะ อายอุตส่าห์เปิดโอกาสเปิดใจให้แทนขนาดนี้"
"อืม แต่ต้องอาบน้ำจากที่ร้านมาก่อน ไม่อยากให้ลูกได้กลิ่นเหล้าบุหรี่" แทนพยักหน้าเข้าใจที่ผมพูด ใบหน้าเขาเปื้อนรอยยิ้มจนหุบไม่ลง ดูเหมือนเขาจะดีใจที่สถานะของเราสองคนเริ่มกระจ่างมากยิ่งขึ้น

แต่แทนคงไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่เขากลับมาทำดีกับผมวันแรก ผมก็เทใจให้เขาหมดแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
คืนแรกของการเปิดร้าน ผมแวะไปช่วยแทนนิดหน่อยเพราะลูกค้ายังไม่ค่อยเยอะ และลูกน้องที่แทนจ้างก็ยังไม่มากเท่าไรด้วย

ผมยังกระเตงลูกน้อยเดินไปมาได้เพราะวันแรกไม่มีกลิ่นบุหรี่กับเหล้าเท่าไร ผมทักทายลูกน้องและลูกค้าพร้อมอุ้มใจรักไปด้วย

ใครจะหาว่าผมแสดงความเป็นเจ้าของแทนแล้วยังไงล่ะ
กว่าที่ผมกับแทนจะมาถึงขนาดนี้ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมผ่านความเจ็บปวดมาขนาดไหน เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมให้ใครแย่งแทนไปง่ายๆ

โชคดีที่แทนให้เกียรติและยินดีแนะนำให้ทุกคนรู้จักว่าผมอยู่ในสถานะอะไร มันทำให้ผมใจชื้นขึ้น

"ถ้าอายไม่ไหวก็ขึ้นไปพักที่ข้างบนนะ แทนกลัวลูกจะง่วงด้วย เดี๋ยวลูกงอแง"
ผมพยักหน้าช้าๆ คืนนี้ผมคงนอนที่นี่ทั้งคืนเพราะกว่าแทนจะปิดร้านก็ดึกเกินกว่าที่จะกระเตงลูกกลับด้วยกันแล้ว

ส่วนใจรักตอนนี้ก็ครึกครื้นเหลือเกิน พอได้ยินเสียงเพลงพร้อมกับคุณพ่อในลุคบาร์เทนเดอร์หนุ่มหล่อที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็กระโดดโหยงเต้นตามเพลง กรี๊ดจะให้พ่ออุ้มอยู่ตลอดจนอดขำไม่ได้
"ใจรักจะติดพ่อมากเกินไปแล้ว เห็นพ่อหล่อไม่ได้เลยนะยัยตัวดี" ผมจิ้มแก้มเจ้าตัวน้อยเล่นในอ้อมแขนอย่างนึกเอ็นดู ใจรักร่าเริงขึ้นมากตั้งแต่พ่อเขากลับเข้ามาในชีวิต

"หล่อมากจริงรึเปล่าครับ" แทนหันมากระซิบกับผมเมื่อได้ยินที่ผมหยอกล้อลูกไปเมื่อครู่

"ไม่ต้องมาทำแววตาเจ้าชู้เลยใส่เราเลย"
แทนหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจในคำตอบของผม

"แทนยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ก็อายชมว่าแทนหล่อ เมื่อกี้ใจรักก็ได้ยินใช่มั้ยลูก" แทนพูดพร้อมกับหอมแก้มใจรักไปหนึ่งทีเพื่อขอคำตอบ

"ปะ...ปะ..."

"เห็นมั้ย ลูกบอกว่าใช่"

"ตอนไหนเนี่ย ขี้โม้ไปเรื่อยเลยแทน" ผมพูดไปหัวเราะไป

มีความสุขจัง
ลูกน้องที่เป็นผู้ช่วยอยู่ข้างๆ ได้ยินเราสองคนพูดกันก็สมทบเข้ามาด้วย แต่ประโยคนั้นมันกลับเล่นเอาผมหน้าแดงจนชาถึงหูไปหมด

"พ่อหล่อแม่สวยขนาดนี้ เห็นทีน้องใจรักคงมีน้องอีกคนในไม่ช้าแน่ๆ เลย ใช่มั้ยครับ"

แล้วผมจะตอบอะไรได้ทัน นอกจากเม้มปากแน่นกลั้นความเขินอายแทบไม่ไหว
ก่อนแทนจะหันมามองหน้าผมพร้อมกับคำตอบที่จำเอาหัวใจผมแทบจะระเบิดออกมาตรงนี้

"ก็คงต้องถามแม่ใจรักแล้วล่ะว่าอนุญาตมั้ย"

"อะ...อนุญาตอะไรเล่า" ผมอุ้มลูกน้อยเตรียมจะเดินหนีไปชั้นบน ตอนนี้ผมหน้าร้อนไปถึงหูแล้ว

"อนุญาตให้แทนรักคุณแม่ของใจรักไงครับ"

"ทะลึ่ง!" ผมตีแขนอีกคนไปฉาดใหญ่
ส่วนอีกคนก็สำออยทำมาเป็นบ่นว่าเจ็บทั้งที่ผมไม่ได้ตีแรงสักหน่อย

"อายต่างหากที่ทะลึ่ง ที่แทนบอกว่ารักคือรักจริงๆ นะ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย ฮ่าๆ โอ๊ยๆ ยอมแล้วครับ ยอมแล้ว"

ผมตีเขาไปอีก มีเหรอที่คำพูดของแทนจะไม่สองแง่สามง่าม ผมเป็นเพื่อนเขามาตั้งกี่ปีทำไมจะไม่รู้นิสัย
"ใจรักช่วยพ่อด้วยครับ" อีกคนทำเสียงสองเสียงสามใส่ลูกตามเคย สองพ่อลูกนี่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจนน่าหมั่นไส้

"ตีกันแบบนี้แหละครับ โบราณเขาว่าลูกดก"

ลูกน้องตัวดีสมทบเจ้านายอีกรอบ ไม่สงสารผมที่ยืนหน้าร้อยอยู่ตรงนี้บ้างเลย จะเดินไปไหนก็ไม่ได้ เจ้าตัวน้อยติดพ่อเขาอย่างกับอะไรดี
"พอเลย เราขึ้นไปข้างบนแล้ว ไม่อยากให้ลูกนอนดึก" ผมอ้างไปอย่างนั้นแหละ ความจริงคือเขินจนทนไม่ไหว

ผมอุ้มใจรักขึ้นไปบนห้องของแทนด้วยรอยยิ้ม แทนหอมหัวผมกับลูกก่อนจะหันไปทำหน้าที่บาร์เทนเดอร์อีกครั้ง

เราต่างทำหน้าที่ของตัวเอง โดยไม่ลืมห่วงใยกันและกัน

ผมชอบช่วงเวลาตอนนี้ที่สุดเลย
ผมกอดใจรักผล็อยหลับบนเตียงในห้องของแทน ไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมงที่หลับไป แต่ ณ ช่วงขณะหนึ่งผมรู้สึกตัวนิดๆ ว่าพื้นที่เตียงข้างๆ ยุบลงไป พร้อมกับกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย

กลิ่นที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น

"มาแล้วเหรอ..." ผมสะลืมสะลือพูดออกไปทั้งที่ตายังปิดสนิท

"ครับ"
แทนหอมแก้มผมพร้อมล้มตัวลงนอน กอดผมจากด้านหลังให้ผมรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก นานแล้วนับจากคืนนั้น

เราสองคนก็ไม่เคยนอนกอดกันอีกเลย

"ฝันดีนะครับ รักอายนะ" เสียงกระซิบเบาๆ ข้างหูทำให้ผมยิ้มขึ้นมาเบาๆ

"อืม ฝันดี" ก่อนจะเอี้ยวใบหน้าหันไปจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากพ่อของเจ้าหนูใจรัก
หลังจากนั้นแทนก็จุ๊บผมตอบกลับมาไม่หยุด และผมเองก็เต็มใจที่จะให้เขาตักตวงจูบจากริมฝีปากของผม เสียงลมหายใจและเสียงจูบของเราสองคนดังเนิ่นนาน แต่ไม่มีใครคิดจะผละมันออกเลยสักวินาทีเดียว

"อื้อ พอก่อน เดี๋ยวลูกตื่น..." ผมหอบหายใจแรง มองหน้าแทนดวงตามีหยาดน้ำใสเล็กน้อย

"รักแทน..."
อารมณ์ของผมแปรปรวนไปหมด เพราะมีความสุขที่มีตอนนี้มันมากล้นผมจึงกลัว กลัวจนร้องไห้ออกมา

"ฮึก...อย่าทิ้งอายกับลูกนะ"

พูดจบน้ำตาผมก็หยดลงมาข้างแก้ม แทนเกลี่ยน้ำตาให้ผม จูบแผ่วเบาไปลงมาที่เปลือกตาทั้งสองข้าง กระชับอ้อมกอดผมกับลูกไว้

"ไม่ทิ้งครับ แทนจะไม่กลับไปทำผิดซ้ำสองแล้ว"
"กอดอายกับลูกนานๆ ได้มั้ย ไม่อยากให้แทนไปรักใครแล้ว"

ผมกลัวจนเผยความรู้สึกออกไปจนหมดเปลือก ผมรู้ดีว่าไม่อาจสู้คนรักเก่าๆ ของแทนได้เลยสักคน สู้ไม่ได้เลย

"อายของแทนดีที่สุดแล้วครับ อย่าคิดมากนะ แทนจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนอีกแล้ว เราจะอยู่เป็นครอบครัวจนกว่าลมหายใจของแทนจะหมดลง"
ก่อนเราสองคนที่จูบกันเนิ่นนานอีกครั้ง

สองปีก่อนที่ผมเคยชอบรสจูบและสัมผัสจากแทนอย่างไร วันนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน ผมรักทุกอย่างที่เป็นแทนและยินดีให้แทนได้สัมผัสทุกส่วนบนร่างกายผม

"อืม...คืนนี้ยังไม่ได้" ผมกระซิบข้างหูแทน ยิ้มให้กับเขา

"ใจรักน่าจะอยากได้น้องแล้ว ไว้เรากลับบ้านก่อนนะ"
แทนยิ้มให้กับผม ปลายจมูกของเราสองคนเกลี่ยกันไปมา เขาพูดออกมาคำหนึ่งทั้งที่ริมฝีปากของแทนกับผมยังแตะกันอยู่

"แทนไม่อยากฉวยโอกาสอายตอนนี้ครับ แทนทนได้ ไม่ใช่ว่าแทนไม่อยากมีเจ้าตัวน้อยอีกคนนะ แทนอยากมากๆ เลย แต่แทนอยากให้อายเชื่อใจแทนกว่านี้ ให้แทนได้พิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างก่อน"
ผมไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากแทน

เพราะผมมัวแต่คิดว่าเขาจะหายไปอีก เลยอยากเหนี่ยวรั้งเขาไว้ให้อยู่กับผมนานที่สุด รู้ว่าตัวเองคิดน้อยไปว่าลูกคงเป็นหนึ่งในหนทางที่จะทำให้แทนไม่ไปไหน

"แค่อายอนุญาตให้แทนได้กอดได้จูบอายอย่างนี้แทนก็รู้สึกดีใจมากๆ แล้วครับ-
แทนไม่นึกว่าตัวเองจะมีโอกาสได้รับความรักจากอายอีกครั้งด้วยซ้ำ มันเลยเหนือความคาดหมายมากๆ แต่แทนก็อยากให้อายรู้สึกว่าที่แทนกลับมาหาอายไม่ใช่เพราะแค่ลูก แต่เป็นเพราะแทนรักอายจริงๆ"

ประโยคนั้นของแทนทำผมน้ำตาไหลอีกครั้ง จุ๊บลงไปที่ริมฝีปากนั้นหนักแน่นและเนิ่นนาน

"ขอบคุณที่กลับมา"
หลังจากคืนนั้นที่ผมเผยความในใจโดยมีแทนนอนกอดกันอยู่ข้างๆ ทั้งคืน เราสองคนก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น

การกอด หอมแก้ม หรือแม้กระทั่งจูบกลายเป็นเรื่องปกติที่ทำกันเป็นประจำ ไม่ว่าจะตื่นนอน ก่อนนอน หรือก่อนออกไปทำงานก็ตามแทนจะแสดงความรักแบบนี้กับผมและใจรักเสมอ

ผมเองก็ทำกับเขาเช่นกัน
เมื่อเราทั้งคู่ตัดสินใจที่จะสร้างครอบครัวด้วยกันแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปากแข็งหรือทำตัวเฉยชาใส่กันอีก ผมคิดว่าผมเสียเวลาไปมากพอแล้วสำคัญการเฝ้ารอความรักจากแทน

เพราะฉะนั้นตอนนี้เมื่อโอกาสมาถึง ผมจะทำเต็มที่ในฐานะแม่และคนรักของแทนให้ดีที่สุดเท่าที่คนธรรมดาอย่างผมจะทำได้
แทนบอกให้ผมเลิกทำงานแล้วมาทำหน้าที่แม่แทน แต่ด้วยความที่ผมทำงานมานาน อยู่ๆ จะให้เลิกทำก็รู้สึกแปลกๆ อีกอย่างการทำงานสองคนอย่างน้อยผมยังพอมีเงินฉุกเฉินเก็บไว้ยามจำเป็น

อีกอย่างแทนกำลังตั้งตัว ผมไม่อยากพึ่งพาเขาอย่างเดียว มีอะไรก็ต้องช่วยกัน ก็เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนี่นา
"แทน อย่าลืมข้าวกล่อง วันนี้เราทำข้าวผัดกุ้งกับไข่เจียว แทนอย่าอดข้าวแบบครั้งที่แล้วอีกนะเดี๋ยวปวดท้อง ก่อนเปิดร้านก็กินก่อนเข้าใจมั้ย"

"รับทราบครับ"

หลังๆ ผมเตรียมข้าวให้แทนก่อนออกไปเปิดร้าน เพราะเจ้าตัวเวลาทำงานมักจะจริงจังจนลืมเวลากินข้าว แถมบ่นว่าร้านแถวนั้นแพงด้วย
แทนตอบรับพร้อมกับหอมแก้มเจ้าตัวน้อยและผม ก่อนจะหยิบกระเป๋าใส่ข้าวกล่องที่ผมเตรียมไว้ให้ออกไปทำงาน

ผมไม่เหนื่อยที่จะทำอะไรเพื่อเขา สองเดือนแล้วที่กิจวัตรประจำวันของเราสามคนเป็นไปอย่างเรียบง่าย พื้นที่บนเตียงในห้องนอนของผมคับแคบขึ้นเมื่อมีแทนเข้ามา

แต่เป็นความคับแคบที่ผมมีความสุข
"อ้อ อายครับ วันนี้ฝากดูกล้องวงจรปิดของที่ร้านอีกวันนะครับ ร้านข้างๆ แอบเอาขยะมาทิ้งตรงหลังร้านเราอีกแล้ว แทนจะเอาหลักฐานไปให้เขาดู จะได้ไม่ทำแบบนี้อีก"

"อื้ม"

ผมพยักหน้ากลับ พักนี้แทนทำงานหนักพอสมควร เพราะมีลูกเล็กทำให้ผมไปร้านได้ไม่บ่อยนัก อะไรที่ผมช่วยเขาได้ผมก็อยากช่วย
"ครับ แทนไปทำงานแล้วนะ พ่อไปทำงานแล้วนะลูกใจรัก" แทนหอมผมกับใจรักรอบสุดท้ายก่อนเปิดประตูเดินออกไป ส่วนใจรักที่เห็นคุณพ่อหายลับไปจากประตูก็ส่งเสียงงอแง ยื่นมือเล็กๆ ไปมาเหมือนไม่อยากให้คนเป็นพ่อไป

"ปะ...ป้อ..."

"เดี๋ยวพ่อก็กลับมาลูก แป๊บเดียวเนอะ อยู่กับแม่ก่อนนะคนดี"
ผมปลอบลูกที่งอแงเรียกแต่ชื่อพ่อ ใจรักชอบเล่นกับแทนบ่อยๆ ตอนเช้าก็อาบน้ำเล่นน้ำด้วยกันเป็นปกติ ไม่แปลกที่ลูกจะติดแทนมากกว่าผมซะแล้ว

ผมป้อนนมให้ลูกสักพัก เจ้าตัวน้อยก็หลับพริ้มอยู่บนเตียงเล็ก จึงได้เวลาที่ผมจะทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จ แล้วคืนนี้ค่อยแว๊บไปดูกล้องวงจรปิดอีกที
จนเวลาล่วงเลยไปประมาณสองทุ่ม ผมอาบน้ำและรีบกลับมาดูลูกอีกรอบ จัดการเปลี่ยนผ้าอ้อมและชุดนอนใหม่ให้เจ้าหนูใจรักหลับสบายขึ้น

จากนั้นผมก็เปิดคอมพิวเตอร์หาหนังดูไปด้วย เปิดไอแพดเข้าแอพกล้องวงจรปิดให้มันเปิดไปเรื่อยๆ
จวบจนกระทั่งสี่ทุ่มผมไม่เห็นความผิดปกติอะไรเลยทำท่าจะปิด กล้องบริเวณเคาน์เตอร์บาร์ที่แทนยืนทำงานอยู่ ผมกลับเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ใส่เสื้อผ้าสไตล์ที่ผมคุ้นตา

ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่ทั้งลักษณะการเดินหรือทรงผมที่ถึงแม้จะเห็นเพียงด้านหลังผมก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร

แพร...
ผมหน้าซีดเผือด ร่างกายชาวาบไปทุกส่วน มือสั่นเทาจนระงับให้มันหยุดไม่ได้ ภาพเคลื่อนไหวที่ผมเห็นตรงหน้าไม่มีทางที่จะตาฝาดได้เลย

ผมเห็นแพรอุ้มเด็กคนหนึ่ง เธอเดินมายืนตรงหน้าที่แทนทำงานอยู่ เด็กคนนั้นน่าจะอายุไล่เลี่ยกับใจรักของผม

ผมเห็นทั้งสองพูดคุยกัน เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าคุยอะไร
ภาพในกล้องเผยให้เห็นแทนกำลังกระแทกแก้วน้ำลงบนเคาน์เตอร์บาร์ เสยผมขึ้นด้วยอารมณ์เสียสุดขีด ในขณะที่คนอื่นๆ เริ่มหันมามองทั้งสองคน

"อึก...ฮึก..." ผมช็อกจนหายใจแทบไม่ออก ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไงดี

แพรกลับมาแล้ว แพรกำลังจะมาเอาแทนไป ในหัวของผมพูดคำนี้วนซ้ำๆ
ถ้าแทนกลับไปหาแพรแล้วผมจะทำยังไง ผมจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเขา

แต่ผมสู้แพรไม่ได้ และผมมีความผิดติดตัวด้วยซ้ำ ถึงจะหย่ากันแล้วแต่แพรก็เป็นอดีตภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนผมต่างหากที่หลับนอนกับแฟนคนอื่น

แล้วยังจะท้องกับสามีเธออีก ผมจะเอาอะไรไปสู้หากเธอจะมาขอสามีตัวเองคืน
แต่สมองอีกส่วนของผมมันทรยศความถูกต้อง ผมรู้ว่าความคิดนี้มันเลวแค่ไหน จะว่าผมเห็นแก่ตัวหรืออะไรก็ช่าง

แต่ผมไม่อยากให้แทนไป และผมจะไม่ยอมให้ใครเอาพ่อของลูกผมไปเด็ดขาด

แทนเป็นของผม ผมรักเขามาก่อนแพรด้วยซ้ำ ทำไมผมต้องยอมให้แพรเอาแทนไปด้วย

ผมจะไม่ยอมเป็นคนแพ้เหมือนสองปีก่อนอีกแล้ว
ถ้าวันนี้ผมจะเป็นคนแพ้หรือต้องคืนแทนให้กับแพร ผมก็อยากได้ยินมันต่อหน้าผมเองทั้งคำพูดและการกระทำของทั้งสองคน

ผมไม่รู้ว่าเด็กน้อยที่แพรอุ้มมาเป็นลูกของใคร แต่ถ้าเธอมาที่ร้านของผมแบบนี้ ผมก็จะอุ้มใจรักของผมไปให้เห็นเหมือนกัน

เพราะผมเองก็อยากรู้ว่าระหว่างผมกับแพร

แทนจะเลือกใคร
ที่แทนบอกว่ารักผม มันมีน้ำหนักพอจะทำให้แทนหันมาเลือกผมบ้างรึเปล่า หรือแค่แพรเดินกลับมาขอคืนดีแทนก็เลือกที่จะกลับไปแล้ว

ถ้าเป็นอย่างหลัง ผมก็แค่เสียใจเจียนตาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าต่อไปนี้ใจรักจะไม่มีพ่ออีกต่อไป

เพราะผมคงไม่มีวันให้โอกาสคนที่ลังเลแบบนี้อีกแล้วตลอดชีวิต
ผมไม่มีทางเลือกแล้ว สิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งแทนได้เห็นจะเป็นเพียงใจรักตัวน้อยเท่านั้น

ผมอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นรถ ตั้งสติขับไปจนถึงร้านทั้งที่น้ำตายังไหลทั้งสองข้างจน ขอบตาผมร้อนจนแสบไปหมดเนื่องจากความเสียใจที่เอ่อล้นทนไม่สามารถเก็บมันได้อีกต่อไป
ผมรีบอุ้มใจรักเดินเข้าร้านทั้งที่ขาทั้งสองข้างแทบไม่มีแรงเหลือ ใจรักมองหน้าผมที่ยังส่งเสียงสะอื้น ก่อนจะเอื้อมมือเล็กจับแก้มผมไว้

ลูกรู้ว่าผมกำลังเสียใจ เขารู้ว่าผมกำลังร้องไห้

"ฮึก...ใจรัก..." สุดท้ายใจรักที่เห็นแม่อย่างผมร้องไห้ก็กอดคอผมแน่น ร้องไห้ตามไปอีกคน
ภายในร้านผมยังเห็นสองคนคุยกัน ถึงแม้จะไม่ได้ทะเลาะกันเสียงดัง แต่ผมเห็นสีหน้าของแทนก็รู้สึกได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องดี เสียงของผู้หญิงที่ยืนหันหลังให้ผมไม่ต่างจากที่เดาไว้เลย

แพรจริงๆ ด้วย

ผมเหมือนคนแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่งขัน แต่ผมก็ยังโง่เหมือนสองปีก่อนไม่เคยเปลี่ยน
ที่คิดว่าแทนจะกลับมารักผม และเชื่อว่าครั้งนี้ที่เขากลับมาเพราะรักผมจริงๆ จะยอมเป็นคนโง่อีกครั้ง ถึงแม้ผลสุดท้ายผมอาจจะต้องสูญเสียแทนไปอีกครั้งก็ตาม

"แทน!"

ผมตะโกนส่งเสียงสั่นเครือออกไปทั้งน้ำตา เรียกสติให้เขากลับมามองผม มองมาที่ผมกับลูกเท่านั้น

ขอร้อง
"อาย..." แทนตกใจตาเบิกกว้างเมื่อเห็นผมกับลูกยืนร้องไห้เหมือนใจจะขาด เพียงเท่านั้นเขาก็รีบวิ่งมาหาผมทันที

แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังเดินตามมา มองหน้าผมด้วยแววตาที่แสดงท่าทีรังเกียจ เธอเดินกระแทกรองเท้าส้นสูงจนเกิดเสียงดัง เข้ามาใกล้ผมกับลูก

แต่แทนยืนขวางไว้ได้ทัน

"อย่าทำอะไรอาย!"
แทนตะโกนใส่แพรกับเด็กที่ถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับที่แพรตะโกนสวนกลับ

"ทำไม หวงมากเหรอ แพรก็แค่อยากดูหนังหน้าคนที่มันแย่งผัวชาวบ้านเท่านั้นเอง ไงอาย สบายดีมั้ย นอนกับผัวคนอื่นยังไม่พอ ยังทำให้เรากับแทนหย่ากันได้ ขนาดหย่ากันไปปีนึงแล้วยังทำให้แทนกลับมาหาตัวเองได้อีก สุดยอดจริงๆ"
"แพร มันจะมากเกินไปแล้วนะ!"

"มากอะไร ก็มันเรื่องจริงทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะมันแทนก็คงไม่หย่าแล้วทิ้งเราไว้กับลูกแบบนี้!"

ลูก...หมายความว่ายังไง

ผมหน้าซีด แทบล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินคำนั้น

เด็กที่แพรประคองไว้ในอ้อมแขนเป็นลูกของแทนเหรอ นี่ผมกำลังพรากพ่อไปจากครอบครัวคนอื่นใช่มั้ย
"ฮือ...ไม่จริง....ไม่จริง!" ผมตะโกนสุดเสียง ต่อให้แพรด่าว่าผมยังไงผมยังพอรับได้ แต่มันต้องไม่ใช่ความจริงข้อนี้

ต้องไม่ใช่ความจริงที่ผมทำครอบครัวคนอื่นแตกแยก พรากพ่อลูกเขาออกจากกัน เพราะผมรู้ว่าการที่ลูกไม่มีพ่อมันแย่ยังไง ลูกของผมเคยเป็นแบบนั้น

ผมรับไม่ได้ ผมทำอะไรลงไป
"มันไม่จริงนะอาย อย่าไปฟังเขา" แทนหันมาทำท่าจะกอดผมไว้ แต่ผมเดินถอยหลัง หัวใจของผมไม่อาจรับความจริงตรงหน้าได้อีกแล้ว

"อาย...อย่าเดินหนีแทน ฟังแทนก่อนได้มั้ย"

"ฮึก...."

"แค่นี้ทำเป็นรับไม่ได้เหรอ ทีแย่งผัวเขาหน้าตาเฉยยังทำได้ คิดว่าตัวเองมีลูกได้ฝ่ายเดียวรึไง"

"แพร หยุดสักที!"
แทนตะโกนใส่หน้าแพรเสียงดังจนใจรักและเด็กอีกคนที่แพรอุ้มไว้สะดุ้งร้องไห้ ไม่สนใจว่าลูกค้าหรือคนในร้านจะมองว่ายังไง

คืนนี้เรื่องทุกอย่างมันต้องจบ

"แพรบอกกับเราว่ายังไงจำได้มั้ย เราบอกตั้งแต่หลังหย่าสามเดือนแล้วว่ายินดีไปตรวจดีเอ็นเอถ้าเขาเป็นลูกแทนจริง-
แต่ตอนนั้นแพรคบกับฝรั่งกี่คนบ้างล่ะ ต้องให้แทนสาธยายมั้ย แล้วจู่ๆ จะมาบอกวันนี้ว่าแทนเป็นพ่อของเด็ก ทั้งที่มันผ่านมาปีนึงแล้วเนี่ยนะแพร คิดว่าแทนโง่เหรอ!"

"แล้วเด็กที่แทนรักนักรักหนา มั่นใจได้ไงว่ามันเป็นลูกแทน อาจจะไม่ใช่ก็ได้ แทนเอาอะไรไปเชื่อว่ามันเอาแค่แทนคนเดียว!"
เท่านั้นแทนก็หันมาหาผมกับลูก แววตาเจ็บปวดของเขาบาดลึกเข้าไปในหัวใจผมคนนี้

ระหว่างผมกับแพร แทนจะเชื่อใครมากกว่ากัน ผมไม่สามารถคาดเดาได้เลย

"แทนเชื่อ...เชื่อว่าอายไม่มีวันทำแบบนั้น ไม่มีวันโกหกแทน"

"ฮึก..." ก่อนจะยิ้มให้ผมทั้งที่น้ำตายังคลอเบ้า

"เพราะอายรักแทน แล้วแทนก็รักอาย"
"แทนต่างหากทำผิดกับอาย อายไม่ผิดในเรื่องนี้เลยสักนิดเดียว แทนเลือกกลับมาหาอายเอง อายไม่ได้แย่งใครทั้งนั้น เราสองคนสัญญากันแล้วว่าต่อไปนี้มีอะไรเราจะพูดกัน เราจะไม่โกหกกัน เพราะฉะนั้น..."

"แทน..."

"แทนเชื่อ...ว่าใจรักเป็นลูกของเรา"

เท่านี้ เท่านี้จริงๆ แค่แทนอยู่ข้างผม
"ส่วนแพร แทนรู้ว่าที่แพรมาเพราะเห็นว่าแทนกำลังไปได้สวยกับกิจการใหม่ เลยอยากจะมาเรียกร้องค่าเลี้ยงดูในฐานะภรรยาเก่าโดยเอาเด็กมาอ้างใช่มั้ย แทนเคยบอกไปแล้วว่าสินทรัพย์หลังจากหย่าแทนให้แพรไปหมดแล้ว อีกอย่างแทนจะบอกอะไรให้ ร้านนี้ไม่ใช่ของแทน"

"หมายความว่าไง"

"มันเป็นของอายต่างหาก"
แพรหน้าซีดลงทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากแทน เธอคงมาที่นี่อย่างมั่นใจเต็มที่ว่าแทนจะยอม หากไม่กลับไปรับผิดชอบก็อาจจะได้ค่าเรียกร้องเป็นเงินสักก้อน

ซึ่งถือว่าโชคดีมากที่แทนโอนทุกอย่างให้ผมดูแล

"ตอนนี้แทนเหลือแต่ตัว หากแพรอยากให้แทนกลับไป แทนก็คงไม่มีอะไรให้แพรหรอกนะ เอามั้ยล่ะ"
แววตาลังเลของแพรสะท้อนออกมาชัดเจน มันทำให้ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่แทนพูดไม่ได้เป็นเรื่องโกหก

"อย่ามาโม้หน่อยเลย คนอย่าแทนน่ะเหรอจะไม่มี แทนไม่มีทางยกอะไรให้ใครแน่ๆ เราไม่เชื่อ!"

"ไม่เชื่อก็ไปตรวจสอบทรัพย์สินด้วยกัน แทนยินดีจะเปิดให้ดูทุกหน้าว่าแทนเป็นคนเซ็นยกให้อายไปหมดแล้ว-
เพราะแทนอยากแสดงความจริงใจให้อายเห็นว่าแทนไม่มีวันทิ้งอาย ถ้าแทนทิ้งเท่ากับแทนไม่เหลืออะไรเลย แต่ถ้าแพรยังยืนยันว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของแทนก็ไปตรวจด้วยกันที่โรงพยาบาล แต่จะบอกอะไรให้นะแพร..."

"......."

"ต่อให้ใจรักจะไม่ใช่ลูกทางสายเลือด แต่สำหรับแทน เขาคือลูกคนเดียวที่แทนรัก"
แทนเดินเข้ามาหาผมอีกครั้ง และครั้งนี้ผมไม่คิดจะหนีเขาอีกแล้ว

ไม่คิดเลยว่าแทนจะเลือกผม ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีวันนี้

"ไม่ต้องกลัวแล้วครับ แทนบอกอายแล้วไงว่าแทนจะไม่ไปไหน ก็สัญญากันไว้แล้วว่าจะกอดแค่อายกับลูก"

"แทน...ฮือ...ใจรักเป็นลูกของแทนจริงๆ เชื่ออายนะ"

"แทนเชื่อครับ"
พูดจบก็เช็ดน้ำตาให้ผมกับลูก โอบกอดเราสองคนไว้หลวมพร้อมกับพูดกับแพรอีกครั้ง

"จะนัดตรวจดีเอ็นเอวันไหน นัดมาได้เลยนะ แทนยินดีตรวจเต็มที่"

"ไม่ต้องตรวจก็ได้! แต่ขอแค่ค่าเลี้ยงดูหนึ่งก้อน ไม่งั้นเราจะแฉให้หมดเลยว่าแทนกับอายทำอะไรกับเราไว้บ้าง อย่าคิดว่าเราไม่กล้านะ"
"งั้นก็แฉให้เต็มที่เลยครับ แล้วก็เตรียมรับหมายศาลที่บ้านด้วยแล้วกัน เพราะแทนไม่ได้ทำอะไรผิด เราหย่ากันแล้ว เท่ากับว่าอายไม่ได้แย่งแทนไปจากใครทั้งนั้น ถึงแม้ใจรักจะเกิดมาหลังจากเราสองคนแต่งงานกันไม่นาน แต่แทนก็มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าระหว่างนั้นอายไม่ได้เข้ามาแย่งแทนจากแพรเลย"
"แทน..." ผมลูบฝ่ามือเขา ไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้

สำหรับผม ต่างคนต่างอยู่เป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่สำหรับแทนเขาคงทนมาหลายครั้งแล้ว

"แทนจ้างนักสืบแป๊บเดียวก็รู้แล้วว่าเด็กคนนี้เป็นลูกใคร แพรอยากให้เรื่องถึงขั้นนั้นมั้ย"

แทนในตอนนี้น่ากลัวจริงๆ เขาไม่เคยโมโหขนาดนี้
"มายุ่งวุ่นวายกับแทนยังพอทนได้ แต่นี่ถึงขั้นระรานอายกับลูก แทนบอกเลยว่าเรื่องนี้จบไม่สวยแน่ถ้าแพรยังดันทุรังแบบนี้ต่อ"

ก่อนแทนจะเรียกบอดี้การ์ดของร้านเข้ามา

"พาผู้หญิงคนนี้ออกไป แล้วถ้ามาที่นี่อีกให้ไล่ออกไปได้เลย จะเรียกตำรวจก็อะไรก็ตามสบายเพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แขกของร้านเรา"
แพรที่อุ้มเด็กน้อยในอ้อมแขน ถูกบอดี้การ์สองนายรวบสองแขนพาเดินออกไปทั้งที่ยังตะโกนไล่หลังมาไม่หยุด พลอยทำให้ลูกค้าหลายรายตกใจไปกับเหตุการณที่เกิดขึ้น

ก็คงจะทำอะไรไม่ได้มากนอกจากขอโทษเป็นการใหญ่พร้อมกับลดราคาให้แขกของร้านในค่ำคืนนี้เป็นพิเศษ
"แทนขอโทษครับ เรื่องทุกอย่างเป็นเพราะแทนเอง แทนเลือกเส้นทางผิดตั้งแต่แรก ถ้าแทนรู้ตัวเร็วกว่านี้อายคงไม่ต้องมาเจ็บกับเรื่องบ้าๆ นี่ซ้ำๆ"

แทนกอดผมไว้ น้ำตาของผมเหือดหายลงแล้ว แต่ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ยังติดตาและกระทบกระเทือนจิตใจอย่างมากจนพูดไม่ออกนอกจากตัวแข็งทื่อกอดใจรักไว้แน่น
"อายจะไม่หนีไปจากแทนใช่มั้ย แทน...แทนขอโทษจริงๆ นะ แทนไม่รู้ว่าแพรรู้ที่อยู่ของแทนได้ยังไง แทนไม่เคยติดต่อเขาเลย อายจะเอาโทรศัพท์แทนไปดูก็ได้ อยากจะเช็กกล้องในรถแทนก็ได้ แทนยอมหมดเลย"

"ใจเย็น ค่อยๆ พูด"

"อย่าทิ้งแทนไปนะครับ อย่าไป..." น้ำเสียงของแทนขาดห้วงอย่างคนไร้เรี่ยวแรง
กอดผมจากด้านหลัง ไหล่ข้างหนึ่งของผมเปียกชื้นตรงที่แทนเอาใบหน้าซุกลงพอดี ผมถึงรู้สึกได้

แทนกำลังร้องไห้

"แทน..."

"อย่าหนีแทนไปเลย แทนอยู่ไม่ได้ถึงไม่มีอายกับลูก แทนรู้ว่าตัวเองเป็นพ่อที่ไม่ดีเท่าไร ไม่มีโอกาสทำหลายสิ่งเพื่ออาย มารู้ตัวก็ตอนที่สาย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ารักอายจริงๆ"
จากที่ต้องปลอบใจรัก กลายเป็นว่าผมต้องปลอบพ่อใจรักด้วยอีกคน พ่อลูกนี่เขาเหมือนกันไม่มีผิด

"แทน ใจเย็นๆ เรายังไม่ได้พูดอะไรเลย"

"แทนถึงได้กลัวไง กลัวว่าอายจะพูด...จะขอให้เราสองคนไม่เจอกันอีก แทนไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แค่นี้แทนก็จะขาดใจแล้วครับ"

รู้เลย ใจรักได้นิสัยขี้งอแงจากใคร
ผมหันไปหาเขา รอยน้ำตาเกรอะกรังบนกรอบหน้าของแทนที่ช่างขัดกับลุคบาร์เทนเดอร์สุดเท่ห์ในวันนี้ ทำผมเกือบหลุดขำออกมา

เอ็นดูเขามากขนาดนี้เลยนะอาย

"จะให้อายไปไหนล่ะ พ่อใจรักก็อยู่ตรงนี้"

"เรื่องแพร..."

"แทนเชื่อว่าใจรักเป็นลูกของแทน อายก็จะเชื่อใจแทนเหมือนกัน ไม่ต้องคิดมาก โอเคมั้ย"
"อายอนุญาตให้แทนเป็นพ่อของใจรักแล้วใช่มั้ย แทนจะเซ็นยกทุกอย่างให้ลูกกับอาย ให้หมดเลยครับ"

"แค่เซ็นรับเป็นลูกก็พอ..." ผมรู้ว่าเขาทำจริง หากคิดจะให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรแทนยินดีให้หมด แต่ผมกับลูกไม่ได้ต้องการมัน

"...แล้วอยู่กันเป็นครอบครัว เป็นคนรัก เป็นสามีของเราตลอดไปก็พอ"
ผมเช็ดน้ำตาให้เขา เหมือนกับที่แทนทำแบบนั้นกับผมเสมอมา หลังจากที่เราสองคนอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตเป็นครอบครัว แทนเปิดใจรับฟังผม ในขณะที่ผมเลือกที่จะพูดมากขึ้น ไม่เก็บอะไรไว้ในใจแล้วเอากลับไปคิดมากอีก

เราสองคนต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ดูแลสายใยแห่งรัก ใจรักตัวน้อยด้วยความรัก
"รู้มั้ย พอเราเห็นแพรในกล้องวงจรปิด เราก็รีบขับรถออกมาเลย เพราะเราก็กลัวเหมือนกับที่แทนกลัว กลัวว่าแทนจะทิ้งกัน"

"......"

"แต่พอได้ฟังสิ่งที่แทนพูดจากปากต่อหน้าแพรวันนี้ สิ่งที่ติดค้างในใจของเรามาตลอดหลายปี ตอนนี้มันหมดลงแล้ว"

ผมยิ้มให้แทน ในขณะที่แทนกุมมือแนบลงบนใบหน้าเขา
"ขอบคุณนะแทน ขอบคุณที่ทำเพื่อเราและลูก ขอบคุณที่หันมามองกัน มองคนธรรมดาคนนี้ที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากหัวใจบริสุทธิ์ที่มันมีเพื่อรักแทนจริงๆ"

ผมพูดพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงหล่น หากแต่มันไม่ได้เกิดจากความเสียใจแล้ว

มันเกิดจากความตื้นตันใจหัวใจ
ชีวิตผมไม่คิดเลยว่าจะสมหวังในความรัก ได้มีโอกาสได้ยินคำว่ารักจากคนที่ผมแอบรักมาสิบกว่าปี

ผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาผมในตอนที่ผมโบกมือทักทาย แนะนำตัวและขอเขาเป็นเพื่อน เพื่อนคนเดียวที่ผมเฝ้ามองจากมุมใดมุมหนึ่งของหัวใจมาตลอด

แต่ในตอนนี้ผมไม่ต้องหลบซ่อนความรู้สึกพวกนั้นอีกแล้ว
ไม่รู้ว่าจะด้วยความรู้สึกใดที่ดึงแทนกลับมา ผมอยากขอบคุณ ถึงแม้มันอาจจะไม่คุ้มกับการที่ผมต้องทนเจ็บมาหลายปี และการมีลูกทำให้ผมพลาดโอกาสหลายๆ อย่างในชีวิต

แต่หนึ่งในนั้นคงเป็นความโชคดี

ที่ในที่สุดสายตาของแทนก็หันมามองผมที่ยืนเคียงข้างเขาอยู่มุมใดมุมหนึ่งของชีวิตมาตลอด
"...แทนก็ขอบคุณ ขอบคุณที่หัวใจของอายมีแต่แทนเสมอมา ขอบคุณที่ให้อภัยกันนะครับ"

เราสองคนขอบคุณกันและกัน ขอบคุณความสัมพันธ์ของเพื่อนที่ทำให้เราเติบโตด้วยกันมาพร้อมเรื่องราวต่างๆ ที่ทั้งดีและแสนเจ็บปวดพร้อมๆ กัน

ขอบคุณบทเรียนจากฤทธิ์แอกอฮอล์ในคืนนั้นที่เราสองคนไม่คิดจะกลับไปพลาดอีก
ขอบคุณแพรที่เข้ามาเป็นตำราบทหนึ่งของชีวิต ที่ทำให้ผมรู้ว่าการดูแลคนที่ตัวเองรักแต่งงานทั้งที่ยังตัดใจจากเขาไม่ได้มันช่างแสนทรมานราวกับมีดกรีดหัวใจซ้ำๆ

แต่หนึ่งในความเจ็บช้ำนั้น ก็มีเรื่องที่น่าขอบคุณ ตรงที่มันทำให้ผมมีเจ้าตัวน้อยใจรักคนนี้ คนที่เป็นดั่งของขวัญพิเศษที่สุด
ทำให้ผมกลายเป็นแม่ของลูกที่แข็งแกร่งขึ้น เพื่ออยู่เป็นอ้อมกอดที่ปลอดภัยและอบอุ่นของลูกเสมอ

และสุดท้ายผมขอบคุณแทน บทเรียนสำคัญที่สุด หากไม่มีแทน ผมคงไม่รู้จักความรัก และถ้าหากเขาไม่กลับมาหาผม ไม่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อผม ผมก็ไม่รู้ว่าป่านนี้เราสองคนจะเป็นอย่างไร
"จากนี้ไปชีวิตของเรากับลูกคงต้องฝากไว้ที่แทนแล้ว"

"ครับ สามีคนนี้จะดูแลภรรยาและลูกอย่างดีที่สุด"

คำพูดเหล่านั้นในงานแต่งงานของเรา วันที่ผมอุ้มใจรักในชุดเจ้าหญิงสวมมงกุฎดอกไม้ เริงร่าหัวเราะตลอดทั้งงาน ยินดีไปกับความสุขของพ่อและแม่

พร้อมจุมพิตสัญญาที่จะรักกันนานเท่านานนับจากนี้
งานแต่งงานที่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็ถูกจัดสรรให้กลายเป็นบาร์ชิลๆ ตามสไตล์บาร์เทนเดอร์หนุ่มพ่อลูกอ่อนที่อาสาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้กับแขกคนสำคัญโดยเฉพาะ

นั่นคือผม ที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์

เหมือนค่ำคืนนั้นของเรา

ค่ำคืนแรกที่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนพังทลายลง
แทนยื่นออนเดอะ์ร็อคให้ผมเหมือนกับคำ่คืนนั้น รวมทั้งปริมาณแอลกอฮอล์ที่ขมปร่าราวกับเขาจำได้ว่าคืนนั้นผมดื่มไปเท่าไร

"อายรู้มั้ยครับ ทำไมแทนถึงอยากชงเครื่องดื่มให้อาย และมันต้องเป็นออนเดอะร็อคแก้วนี้"

แทนจับมือผมอีกข้างที่างบนเคาน์เตอร์บาร์ ลูบมันแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มลึกซึ้ง
ผมส่ายหน้ากลับไป เท่านั้นแทนก็ตอบกลับทันที

"เพราะถ้าหากแทนย้อนเวลานั้นกลับไปได้ แทนจะไม่พูดจาแบบนั้นใส่อาย จะไม่ทำให้อายเสียใจและจะจำทุกเรื่องราว ไม่ปล่อยให้อายจำคนนั้นของเราไว้แค่คนเดียวอีก"

จากนั้นเขาก็กระดกแก้วของตัวเองจนหมด ก่อนจะมองมาที่ผมอีกครั้ง

"คืนนี้ห้องแทนว่างนะ"
ประโยคเดิมเมื่อสองปีก่อนผุดเข้ามาในหัวราวกับภาพตรงหน้าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน น้ำเสียงและท่าทางของแทนยังคงเป็นเช่นเดิมไม่ต่างจากคืนนั้น

"และแทนก็ไม่คิดเสียใจ ที่หลังจากวันนีไปเราสองคนจะไม่เป็นเพื่อนกันอีก"

มันเป็นประโยคที่ผมเคยพูด ว่าเขาอาจเสียใจที่ทำแบบนั้น ทว่ามันไม่ใช่อีกแล้ว
คงอยากแก้ตัวและแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองทำสินะ

และก็เป็นตัวผมเองที่บ้ามากๆ ที่ทำพฤติกรรมแบบเดิม กระดกแก้วในมือจนหมด ปล่อยให้หยดน้ำจากน้ำแข็งในแก้ว หยดกระทบกางเกงและพื้น พร้อมกับแววตาเยิ้มที่ส่งไปหาเขาอย่างลึกซึ้ง

"อืม...คืนนี้ของเรา"

"ใช่ครับ คืนนี้ของเรา แทนจะเป็นคนจำมันไว้เอง"
พร้อมกับจุมพิตที่สอดแทรกรสขมปร่าของแอลกอฮอล์ ประสานอบอวลด้วยความรักคละคลุ้งในหัวใจ

"อืม แทน..." ผมเริ่มเมาแล้ว แต่สัณชาติญาณความเป็นแม่ย่ิมห่วงลูกเสมอ สายตาผมเริ่มสอดส่ายหาใจรัก

"ให้คืนนี้ใจรักอยู่กับคุณย่าไปก่อน...อายไปกับแทนนะ"

"ไปไหน..." เสียงผมเริ่มยานแปลกๆ

"ห้องของเรา"
แทนไม่ได้รอคำตอบจากผม เขาอุ้มผมออกจากงานทั้งที่ริมฝีปากของเรายังคงละเลียดชิมความหวานของกันและกัน

จนในที่สุดหลังของผมก็สัมผัสกับเตียงนุ่มในห้องวีไอพีของโรงแรมที่แทนจองไว้พิเศษเพื่อคืนนี้ของเรา

"อืม..." ผมส่งเสียงแปลกๆ ขึ้นมาอีกแล้วในยามที่แทนสัมผัสและพรมจูบทุกส่วนบนร่างกายผม
"ปากหวาน หวานไปหมด ตรงนี้ยิ่งหวาน" พูดจบก็โน้มตัวลงละเลียดชิมความหวานละมุนจากปลายยอดทับทิมจนผมถึงกับสะดุ้ง

"ทำไมหวานแบบนี้ครับ"

"อ๊ะ...ยะ-อย่าพูด...เราอายเป็นนะ"

"ก็แทนอยากจำนี่นา จะจำก็ต้องพูดออกมาให้หมด จริงมั้ย อย่างตอนที่นี้ที่อายขึ้นให้แทน--"

"ทะลึ่ง! อ๊ะ...พอแล้ว"
เสียงของผมและแทนประสานกันทั้งคืน ทว่าคืนนี้มันไม่เหมือนคืนก่อนหน้าอีกแล้ว

มันเต็มไปด้วยความสุข

ความสุขที่แทนกอดผมไว้อย่างเต็มใจ กอดหอมผมด้วยความรัก ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์

รวมทั้งความสุขที่ผมได้ยินคำว่ารักจากเขาตลอดทั้งคืน

"รักอายนะครับ"

"รักแทนเหมือนกัน"
ผมซบอยู่บนลาดไหล่ของแทนที่พรมจูบผมเรื่อยๆ ทั้งคืน ผมชอบที่เขาสัมผัสผม จูบผม กอดผม บอกรักผม

อย่างที่เคยบอกแทนไป ผมชอบทุกสิ่งของแทนที่ทำกับผมแบบนี้มากๆ เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองถูกเลือก เลือกที่จะกอด เลือกที่จะจูบ

และตอนนี้...แทนเลือกที่จะรักผม
"อยากให้อายรู้ไว้ว่าคืนนี้แทนไม่ได้เมา แทนมีสติครบทุกอย่าง"

"อืม เราก็เหมือนกัน" ผมกอดเขา เราสองคนยิ้มหัวเราะอยู่บนเตียง ซึมซับความอบอุ่นของกันและกัน

และเพียงคำนี้คำเดียว ผมก็ไม่ต้องการอะไรแล้วต่อจากนี้

"ต่อจากนี้ไป แทนจะตอบแทนอายที่รักแทน ด้วยความรักของแทนเองครับ"

The End

• • •

Missing some Tweet in this thread? You can try to force a refresh
 

Keep Current with 𝑺𝒉𝒆𝒓𝒍𝒊𝒚𝒏 🥀

𝑺𝒉𝒆𝒓𝒍𝒊𝒚𝒏 🥀 Profile picture

Stay in touch and get notified when new unrolls are available from this author!

Read all threads

This Thread may be Removed Anytime!

PDF

Twitter may remove this content at anytime! Save it as PDF for later use!

Try unrolling a thread yourself!

how to unroll video
  1. Follow @ThreadReaderApp to mention us!

  2. From a Twitter thread mention us with a keyword "unroll"
@threadreaderapp unroll

Practice here first or read more on our help page!

More from @sherilynisgood

9 Jan
#ฟิคป๋อจ้าน

"ก็ในเมื่อเธอเลือกที่จะเป็นนายเอกซูเปอร์สตาร์อยู่หน้าเลนส์กล้อง แล้วจะกลับมาหาเรากับลูกอีกทำไมวะ..." ImageImage
"ไม่ขาย"

"ภาค...."

"ผมบอกแล้วว่าไม่ขาย อยากจะกินกาแฟก็ไปร้านอื่น ร้านนี้ไม่ต้อนรับ-ลูกค้าด้านหลังเชิญสั่งได้เลยครับ"

ผมไล่คนตรงหน้าที่สวมแมสก์และหมวกแก๊ปปกปิดใบหน้า ครั้งที่สามของสัปดาห์นี้แล้วที่คนคนนี้แวะเวียนเข้ามาในร้าน แค่เสียงผมก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

ก็บอกแล้วว่าไม่ขาย
คนคนนั้นยังคงดื้อดึง ยืนอยู่ข้างๆ เคาน์เตอร์กับอีกคนซึ่งน่าจะเป็นผู้จัดการ และผมก็ไม่สนใจ อยากจะยืนอยู่ตรงนั้นจนกว่าร้านจะปิดก็เชิญ

ผมพอแล้ว

แค่สี่ปีที่ผ่านมาก็เจ็บปวดเกินพอ ผมจะไม่ยอมกลับไปเป็นคนโง่ที่เทิดทูนชีวิตให้ความรัก

"นี่คุณ ลูกค้ามาซื้อกาแฟ ไม่ขายอย่างนี้ได้เหรอ"
Read 165 tweets
6 Mar 21
#ป๋อจ้าน #ฟิคป๋อจ้าน

ดาริการู้ดีว่าตนเป็นเพียงลูกคนสุดท้องที่ถูกเดียดฉันท์เพียงเพราะดันเป็นใบ้แต่กำเนิด

ทว่าช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้คนล้มตายและล้วนอดอยากทำให้ถูกพ่อแท้ๆ จับแต่งงานกับปารัต ทหารฝ่ายพันธมิตรที่ชนะสงครามเพื่อแลกเงิน

ทว่าหัวใจกระด้างเสียยิ่งกว่าแผ่นหิน ImageImage
**🚨warning 🚨**

นิยายเรื่องนี้อาจมีความรุนแรง ทั้งทางกายภาพและจิตภาพ มีประเด็นอ่อนไหวเรื่องความบกพร่องทางร่างกาย การเมือง และอาจมีข้อมูลที่ไม่ตรงตามประวัติศาสตร์ ทุกอย่างเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น

และศิลปินในรูปภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หากตามหาดาริกาที่อาศัยอยู่ย่านบางกอกน้อยในช่วงที่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งผ่านพ้นไปหากแต่ผู้คนยังไม่คลายความเศร้าโศกและตื่นผวา คงไม่มีใครรู้จักเท่าใดนัก

มีแต่เพียงคำว่า 'ไอ้ใบ้' ที่จะดูเหมือนเป็นชื่อจริงติดตัวเขาไปเสียแล้ว เพราะย่านนี้มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่เป็นใบ้แต่กำเนิด
Read 442 tweets
15 Jan 21
ขออนุญาตลงในเธรดใหม่นะคะ

#ฟิคป๋อจ้าน #ป๋อจ้านฟิค

#จะไม่รัก🌹

"ทะเบียนสมรสนี้มีอายุแค่หกเดือน ไปอยู่กับเขตน์ซะ เขตน์จะเป็นคนทำให้รินกลับมาเป็นลูกที่ดีของพ่อได้"

มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อไอ้เขตน์เป็นลูกคนใช้ของบ้านเขา ที่เมื่อสิบปีก่อนแม่มันพยายามไต่เต้าเพื่อให้ได้เป็นหม่อม ImageImage
warning** มีถ้อยคำส่อเสียดรุนแรง ดูถูกเหยียดหยามทั้งทางกายภาพและจิตภาพ มีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับชนชั้น ฐานะ และอาชีพ โดยผู้เขียนมิได้ดูหมิ่นชนชั้นสูงหรืออาชีพใดๆ ที่มีในเนื้อหาของเรื่องนี้

และศิลปินในรูปภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิยายเรื่องนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“รินไม่มีวันลืม ว่ามันกับแม่ของมันทำกับครอบครัวเราไว้ยังไง และรินจะไม่มีวันญาติดีกับไอ้คนใช้นั่นเด็ดขาด!”

ไม่มีวันให้อภัยคนที่ทำให้นรินทร์คนนี้เจ็บราวกับหัวใจแหลกละเอียด

มันเกลียดจนถึงขั้นสาปส่งพวกมันทุกวัน

และน้ำตาที่รินไหลทุกหยดหยาดในวันนั้น มันต้องชดใช้!
Read 1146 tweets

Did Thread Reader help you today?

Support us! We are indie developers!


This site is made by just two indie developers on a laptop doing marketing, support and development! Read more about the story.

Become a Premium Member ($3/month or $30/year) and get exclusive features!

Become Premium

Too expensive? Make a small donation by buying us coffee ($5) or help with server cost ($10)

Donate via Paypal

Or Donate anonymously using crypto!

Ethereum

0xfe58350B80634f60Fa6Dc149a72b4DFbc17D341E copy

Bitcoin

3ATGMxNzCUFzxpMCHL5sWSt4DVtS8UqXpi copy

Thank you for your support!

Follow Us on Twitter!

:(