#ฟิคป๋อจ้าน

omegaverse ; พันธะซ่อนรัก 🍂

ต่อให้อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เกิดรอยพันธะที่ทำให้เราทั้งคู่ไม่อาจพรากจากกันได้ แต่โอเมก้าชั้นสูงอย่างคุณจะมาอยู่กับคนธรรมดาอย่างผมด้วยความรักได้ยังไง…

“รอยพันธะนั้น ผมจะลบมันออก…เพื่อคุณ”
ตี๊ด...

ความรู้สึกมันเลือนรางเหลือเกินในความทรงจำ กับเสียงที่ดังก้องในโสตประสาท ภาพนั้นมืดมัวในดวงตา กับหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่นบนหมอนที่ผมนอนอย่างไร้เรี่ยวแรง

การสิ้นสุดพันธะจะสำเร็จภายใน...

"ไม่! ต้น-ตื่นสิ ฉันบอกให้ตื่น!"

"ผม..."

ตี๊ด!

การสิ้นสุดพันธะสำเร็จแล้ว

"...รักคุณ"
อัลฟ่าชั้นต่ำอย่างผมมันทำเพื่อคุณได้เพียงเท่านี้ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องระหว่างเราไม่มีทางเป็นไปได้ และไม่มีวันที่คำว่ารักนั้นจะเกิดขึ้น

คุณทิวา คนที่ควรจะอยู่จุดสูงสุดท่ามกลางเหล่าสังคมโอเมก้าชั้นสูงกลับต้องมาแปดเปื้อนเพราะผม

ต้นตะวันคนนี้ที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
ซ้ำยังทรยศครอบครัวผู้มีพระคุณที่เก็บเด็กอย่างผมมาเลี้ยงจนเติบโต แต่กลับทำร้ายลูกของเขาให้ต้องลงมาสกปรกกับคนแบบผมที่กำพร้าทั้งพ่อและแม่จากกองเพลิงครั้งนั้น

แล้วผมก็รู้ดี ว่าคุณทิไม่เคยและไม่มีวันจะรักผม

ไม่เคยมี...

และชีวิตนี้คงไม่มีวันนั้น...ที่เราจะได้รักกัน
และถ้าเป็นไปได้

เรื่องราวตลอดหกเดือนที่ผ่านมา ผมก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับตัวผมและเขาเลย

.
.

"ไอ้ต้น มึงเปลี่ยนผ้าเบรครถคันนั้นเสร็จยัง เดี๋ยวช่วยมาดูช่วงล่างของคันนี้ที สตาร์ทเท่าไรก็ไม่ติดว่ะ"

"ครับพี่" ชายหนุ่มหน้าตาและเสื้อผ้าเประอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันจากรถยนต์เอ่ยตอบ
แขนแข็งแรงทั้งสองข้างกำลังทำหน้าที่เปลี่ยนผ้าเบรคอย่างชำนาญ ถ้าเป็นเรื่องรถยนต์ ไม่มีอะไรที่ช่างต้นตะวันคนนี้ทำไม่ได้

ใช่ คนคนนั้นคือผมเอง

หนึ่งในช่างซ่อมบำรุงรถยนต์ชั้นนำของบริษัทเครือ TW จำกัดที่ท่านประธานทัศกรเป็นผู้ชุบเลี้ยงเก็บผมมาตั้งแต่จำความได้แต่ลางๆ เท่านั้น
กลิ่นนำ้มันเครื่องดูเหมือนเป็นกลิ่นประจำตัวผมมากกว่ากลิ่นบนดอกคาโมมายล์อ่อนๆ ที่เหล่าอัลฟ่าด้วยกันได้แต่บอกว่าเป็นกลิ่นที่เหมาะจะอยู่บนตัวโอเมก้ามากกว่าเป็นไหนๆ

"วันนี้ดูเหมือนจะมีคนสำคัญมา กูเห็นข้างในโรงงานเขาทำความสะอาดกันใหญ่เลย"

"ใครเหรอพี่ ศูนย์เราโคตรไกลเลยนะ จะมาทำอะไร"
ผมถามทั้งที่ฝ่ามือด้านทั้งสองข้างเปื้อนสีดำจากคราบเครื่องยนต์ สายตาม่วนอยู่กับงานข้างหน้าเพื่อหวังให้เสร็จไวๆ จะได้เริ่มงานใหม่ ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย

"เขาว่าคุณทิวาจะมาเลยนะเว้ย กูก็ไม่รู้ว่าชัวร์มั้ย"

คุณทิวา...

ได้ยินชื่อนั้นผมก็ขมวดคิ้วละจากงานที่ทำโดยทันที
และไม่รู้ทำไมว่าทันทีที่นึกถึงใบหน้าเย่อหยิ่งนั้น กลิ่นวานิลลาผสมมัสก์ที่ลอยมาจากตัวของคนคนนั้นถึงเป็นสิ่งที่ผมจำได้แม่นตั้งแต่เด็กจนโต

"ไอ้ต้น มึงรู้จักเขาไม่ใช่เหรอ ต้องไปต้อนรับคุณเขารึเปล่า"

"ทำไมผมต้องไป ไม่ใช่ธุระของผมสักหน่อย"

ใช่ เราสองคนไม่ได้ถูกกันอย่างที่ทุกคนเข้าใจ
และการที่ผมย้ายจากศูนย์รถใหญ่หรูในเมืองมาอยู่ที่นี่แทนเป็นเวลาเกือบสามปีก็เพราะไม่อยากเจอหน้าอีกคนั่นแหละ

เราสองคนไม่เคยทะเลาะกันจริงจังให้เห็นก็จริง แต่จากสายตาดูถูกและถ้อยคำบางคำที่ออกจากปากเขามันก็ทำให้ผมคิดได้ว่าควรอยู่ให้ห่างจากเจ้าของกลิ่นวานิลลาเข้มคนนี้
ทะเลาะกันไปก็มีแต่ฝ่ายผมที่แพ้เพราะติดหนี้บุญคุณครอบครัวนี้ไว้มากมายจนทดแทนเป็นชีวิตก็ยังไม่พอ แค่ผมโตมามีอาชีพ มีเงิน มีที่อยู่อาศัยได้ก็เพราะครอบครัวนี้ทั้งนั้น

"กูได้ยินว่าเขาจะปรับปรุงศูนย์ซ่อมของเราใหม่ ของจังหวัดอื่นถูกพัฒนากันไปหมดแล้ว ของเราเครื่องยังรุ่นเก่าอยู่เลย"
ผมได้แต่นั่งฟังไปอย่างนั้น เปลี่ยนระบบใหม่ก็ดีเหมือนกันจะได้ทำงานสบายขึ้น ลูกค้าก็พลายจะได้ประโยชน์ไปด้วย

แต่สำหรับเรื่องอื่นผมขอไม่ยุ่งเกี่ยว

"ต้น อยู่แถวนี้รึเปล่า" เสียงตะโกนมาแต่ไกลของพี่ผู้จัดการ เบต้าหญิงที่ทำงานเก่งและขยันที่สุดในศูนย์แห่งนี้ทำให้ผมต้องรีบลุกขึ้นตอบกลับ
"ครับ มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่า"

"มีสิ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเลย ทางพี่เตรียมชุดใหม่ให้แล้ว"

"ครับ? งานผมยังไม่เสร็จเลย พี่จะไปไหน"

"ไม่มีเวลาแล้ว ด่วนเลย" พูดจบก็ดันหลังผมให้ทำตามที่ตัวเองสั่งด้วยสีหน้าท่าทางกระสับกระส่ายก่อนจะยอมพูดออกมา

"คุณทิวาจะมาแล้ว ต้นต้องออกไปต้อนรับกับพี่"
"เดี๋ยว ทำไมผมต้องไป" ผมฝืนแรงดันจากมือผู้จัดการที่พยายามผลักให้ผมเดินไปอาบน้ำแต่งตัว ไม่เข้าใจว่าทำไมในเมื่อผมก็เป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆคนหนึ่ง

"เพราะคุณทิวาเขารู้จักต้นไง ถ้าต้นไปต้อนรับเขาอาจจะเอ็นดูเรา ต้นก็รู้ว่าศูนย์เราไม่มีใครอยากพัฒนามาหลายปีแล้ว งบก็ถูกเทไปที่อื่นหมด"
"นะพี่ขอร้อง ช่วยพี่สักครั้ง คนในศูนย์จะได้ทำงานกันสบายๆ มากขึ้น" พี่ผู้จัดการทำตาละห้อยน้ำตาปริ่มคลอเบ้าในแบบที่ผมเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

ใครมันจะไปกล้าปฏิเสธลง

"ก็ได้ครับ แค่ไปยืนต้อนรับเฉยๆ นะ" เท่านั้นอีกฝ่ายก็รีบพยักหน้า ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ผมยอมตกปากรับคำได้สำเร็จ
"ได้เลย เซ็ตผมหล่อๆ เลยนะน้องต้น คราบน้ำมันอย่าให้มีเหลือ พี่จะยืนรออยู่ตรงนี้น้า"

ผมส่ายหน้าระอาเดินห่างออกไป เบต้าอย่างเธอคงไม่รู้ยกเว้นแต่พวกพี่ๆ อัลฟ่าที่นั่งซ่อมงานด้วยกันที่หันหน้ามามองทางผมเพราะเริ่มได้กลิ่นคาโมมายล์ที่เข้มขึ้น

เพราะผมกำลังหงุดหงิดและอึดอัด
ผมชำระร่างกายให้คราบสกปรกบนตัวน้ำเหือดหายไปกับสายนำ้ที่เย็นฉ่ำ ดวงตาทั้งสองข้างหลับลงพลางนึกถึงใบหน้าคมสวยนั้นในยามจ้องกัน

เราสองคนไม่เคยมีรอยยิ้มออกมา หรือแม้แต่คำทักทาย

พี่ผู้จัดการคงไม่รู้เรื่องนี้ ว่าผมก็เป็นแค่ใครคนหนึ่งที่ไม่เคยมีความสำคัญกับคุณทิวาเลยแม้แต่นิดเดียว
'ถ้าไม่สบายใจที่จะเห็นหน้ากันที่ศูนย์ใหญ่ก็ไปทำที่อื่น'

'น่าจะเป็นคุณทิมากกว่าที่ไม่อยากเห็นหน้าผม'

เราสองคนก็เป็นกันแบบนี้ ไม่เคยมีบทสนทนายาวจริงจังหรือหันหน้ากันมาพูดคุยให้จบประโยคเลยสักครั้ง

ทว่าผมไม่รู้ลยสักนิด

ว่าตั้งแต่นี้ต่อไปจะไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมอีก
ในยามที่ผมยืนอยู่หน้าประตูต้อนรับแขกของศูนย์ชานเมืองอันไกลโพ้น ฉากรถยนต์สีดำรุ่นใหม่ของบริษัท TW ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกลิ่นวานิลลาผสมมัสก์อันคุ้นเคยที่สะกดอัลฟ่าให้ลุ่มหลงมานักต่อนัก

โชคดีที่รอบตัวของอีกฝ่ายมีบอดี้การ์ดเบต้าสายแกร่งประชิดอยู่

และมีผมคนเดียวที่เป็นอัลฟ่ายืนต้อนรับเขา
ท่าทางอันสวยสง่ากับสูทสีดำพร้อมเสื้อคอเต่าที่เผยให้คนตรงหน้าดูจับต้องได้ยากขึ้น จมูกคมและปลายคางที่เรียวเป็นสัน บวกกับดวงตาที่สะดุดใจใครหลายคน

ไม่เคยเปลี่ยน โอเมก้าชั้นสูงที่อัลฟ่าอย่างเราไม่มีทางเอื้อมถึง

และอีกฝ่ายคงรู้ดีว่ารอบตัวนั้นมีอัลฟ่าคนหนึ่งยืนให้การต้อนรับอยู่
เพราะในโลกของพวกเรา การได้กลิ่นฝั่งตรงข้ามเป็นอะไรที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะใส่เสื้อคอเต่าที่ด้านในคงมีปลอกคอติดไว้อยู่

กลิ่นดอกคาโมมายล์อันแสนคุ้นเคยคงสะดุดใจอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ถึงได้หันข้างมามองกัน

"คุณทิวา เป็นอะไรรึเปล่าครับ" กับท่าทางที่ยากจะคาดเดา
ราวกับสะกดกลั้นให้ตัวเองสามารถประคองเดินออกไปจากตรงนี้ได้

เสียงของบอดี้การ์ดเอ่ยขึ้นมาไม่หยุด และกลิ่นวานิลลาน่ารำคาญนั่นก็เข้มขึ้นเสียจนผมต้องเอาปิดขึ้นมาปิดจมูกเพราะกลัวจะควบคุมตัวเองไม่ได้

เจอกันในรอบสามปีก็เล่นแบบนี้เลยเหรอ

"ต้น คุณทิวาเขาดูเหมือนไม่สบายรึเปล่า"
ผมปิดจมูกส่ายหน้าแล้วรีบเดินหนีจากตรงนี้ กลิ่นคุ้นเคยมันทำพิษจนเริ่มตาลาย ยาระงับอาการรัทที่ไม่ค่อยได้ใช้ถูกรื้อจากกระเป๋าที่ถูกโยนออกมาจากล็อกเกอร์จนของตกกระจาย

"อึก..." ลมหายใจผมติดขัด มือสั่นเทากำยาระงับอาการกระสันที่จะหลุดการควบคุมในไม่ช้า

ปกติมันไม่เคยเป็นกับกลิ่นนี้นี่
เพราะตอนนี้ไม่มียาฉีดเลยทำได้แค่กรอกยาเม็ดที่ถืออยู่ในมือใส่ปากอย่างรวดเร็ว นอนลงกับพื้นเย็นอยู่อย่างนั้นด้วยอาการหายใจหอบ

ลมหายใจเข้าออกแรงจนหน้าอกกระเพื่อมตามอัตราการเต้นของหัวใจที่ไม่คงที่ กล้ามเนื้อผมเครียดเกร็ง เหนื่อยชุ่มไปทั้งตัวทั้งที่เพิ่งจะอาบน้ำมาไม่กี่ชั่วโมงก่อน
หลับตาพยายามควบคุมลมหายใจร้อนและอาการทรมานจากยาที่พยายามระงับสัญชาตญาณตามธรรมชาติเมื่อได้กลิ่นฝั่งตรงข้ามที่ส่งมาก่อน

ทั้งที่เคยได้กลิ่นอีกฝ่ายมาตลอดตั้งแต่เด็ก ทำไมเพิ่งจะมาเป็นอะไรเอาตอนนี้

เมื่อฤทธิ์ของยาทำงานได้ประสิทธิภาพผมก็ค่อยๆ ลุกขึ้นพาตัวเองไปอาบน้ำเป็นรอบที่สามของวัน
หวังว่าน้ำจะช่วยชำระอาการที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างเราให้จางหายลงไป เพราะยิ่งรู้สึกเท่าไรก็ยิ่งค้นพบว่าตัวเองไม่คู่ควร

"ไอ้ต้นมึงเป็นไรรึเปล่า"

"ผมไม่เป็นไรครับพี่ แค่ร้อนเฉยๆ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จจะออกไป"

"เออๆ พี่ผู้จัดการเขาเป็นห่วงมึงมากนะ อยู่ๆ มึงก็วิ่งหนีออกมา"
ผมปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลลงศีรษะไปเรื่อยๆ เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ผมไม่อาจลืมกลิ่นวานิลลาเข้มแสนน่ารำคาญนั้นได้ง่ายๆ

เพียงแค่คิดก็เหมือนอาการจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้งจนต้องให้สายน้ำเย็นกระแทกใบหน้าให้ตื่นจากภวังค์สักที

พอออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าพี่ผู้จัดการยืนรอกันอยู่ก่อนแล้ว
"ต้น เมื่อกี้เป็นอะไรรึเปล่า พี่ตกใจมากเลยนะ คุณทิวาก็เหมือนจะเป็นลมหมดแรงไปซะอย่างนั้น ส่วนเราจู่ๆ ก็วิ่งไปเร็วมากจนพี่ใจเสีย"

ผมได้แต่ส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร จะติดก็แต่คำพูดของพี่เขาที่บอกว่าอีกฝ่ายมีอาการแปลกๆ ทั้งที่ตอนเดินทางมาไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ
นั่นสิ ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองปล่อยกลิ่นออกมาได้

ถ้าไม่ใช่ผม แต่เป็นคนอื่นที่มายืนตรงนี้อีกฝ่ายคงเป็นอันตรายในแบบที่ไม่กล้าจะจินตนาการออกมาแล้ว เจ้าตัวจะรู้มั้ยว่ากลิ่นวานิลลาตอนนี้มันเข้มมากเสียจนผมเกือบระงับสติตัวเองไม่อยู่

"ถ้าไม่เป็นไรแล้ว พี่รบกวนต้นไปดูคุณทิวาหน่อยได้มั้ย"
"ไม่ครับ ผมยอมพี่ไปแล้วเมื่อกี้"

"โธ่ น้องต้น ช่วยพี่หน่อยเถอะ คุณทิวาไม่ยอมให้ใครเข้าไปในห้องส่วนตัวข้างบนเลย บอดี้การ์ดกับเลขาก็โดนไล่ตะเพิดออกมา"

"แล้วพี่คิดว่าผมจะไม่โดน?"

พี่คงไม่รู้ซะแล้วว่าต้นตะวันคนนี้เป็นคนแรกๆเลยมั้งที่เขาเกลียดขี้หน้า จะขึ้นไปให้โดนไล่ออกมาทำไม
"ก็ต้นเป็นอัลฟ่าคนเดียวที่พี่ไว้ใจแล้วคุณทิวาเขาก็รู้จักด้วย พี่ไม่ไว้ใจคนอื่น ต้นก็รู้ว่าพนักงานเราเป็นอัลฟ่ากันหมด ถ้าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมา--"

"พอๆ พอเลยครับ ผมขึ้นไปก็ได้ แต่ไม่รับประกันว่าจะโดนไล่ออกมานะ"

ยอมรับว่ามันก็คิดอยู่นิดหน่อยว่าถ้าให้อัลฟ่าคนอื่นขึ้นไปคงไม่ดีนัก
สองขาของผมก้าวไปยังหน้าลิฟต์ที่มีบอดี้การ์ดยืนขวางไว้ พี่ผู้จัดการพูดกับพวกนั้นสักพักก่อนจะยอมผละออกไปทั้งที่แววตายังระแวงกัน ทว่าก็ปล่อยให้ผมขึ้นลิฟต์ตัวนั้นเพื่อไปยังห้องส่วนตัวของผู้บริหารชั้นสูงที่นานๆ ทีจะแวะเวียนเข้ามา

จนในที่สุดผมก็มายืนอยู่หน้าห้องที่ไม่อยากมาเลย
เบื้องหน้ามีเลขาที่เดินวนไปเวียนมาราวกับเป็นกังวลว่าคนข้างในจะเป็นอะไรหรือไม่เพราะไม่ได้ยินเสียงกันสักพักแล้ว จะขอเข้าไปก็โดนตะโกนไล่กลับมาด้วยเสียงแหบแห้ง

"คุณต้นมาแล้ว"

สีหน้าของเลขาอีกฝ่ายที่ไม่ได้เจอหน้าผมมาเป็นเวลาสามปีแปรเปลี่ยนเป็นโล่งอกทันทีที่ผมมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
"เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่าครับ" แค่เพียงได้ยินประโยคนั้นจากผม สีหน้าแววตาของอีกฝ่ายก็ตึงเครียดขึ้นทันที พลางเม้มปากเป็นเส้นตรงลังเลที่จะพูดมันออกมา

"พี่คิดว่า...คุณทิฮีท"

"เดี๋ยวนะ แล้วพี่เรียกผมมาทำไม พี่ก็รู้ว่าผมเป็นอัลฟ่าและการที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ก็เสี่ยงกับเจ้านายพี่ด้วย"
เลขาสาวสายพันธุ์เบต้าหน้าซีดเผือด รู้ดีว่ามันเสี่ยงแต่มันไม่มีทางเลือกแล้ว เธอไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนอกจากคนตรงหน้าที่ไม่เคยมีปฏิกิริยากับกลิ่นของโอเมก้าที่นอนทรมานอยู่ภายในห้องมาก่อน

"ยาล่ะ ฉีดระงับอาการก็น่าจะหาย"

"ไม่มี...คุณทิไม่พกยาระงับฮีทมาสักพักแล้ว"

"ทำไม"

"พี่ก็ไม่รู้"
"แล้วพี่ก็ปล่อยให้เขาปล่อยกลิ่นออกมาแบบนี้เนี่ยนะครับ รู้มั้ยว่ามันอันตราย! เจ้านายพี่คิดอะไรอยู่!"

ผมเผลอขึ้นเสียงออกไปด้วยความอารมณ์เสีย มีอย่างที่ไหนตัวเองเป็นโอเมก้าแท้ๆ แต่กลับไม่ดูแลตัวเอง ถ้าเผลอเดินไปไหนมาไหนคนเดียวแล้วโดนพวกอัลฟ่ามันทำร้ายขึ้นมาจะทำยังไง
"พี่ขอโทษ เอาเป็นว่าช่วยพี่หน่อยนะคุณต้น"

"จะให้ผมช่วยอะไร ผมเข้าไปในนั้นไม่ได้ เจ้านายพี่จะไม่ปลอดภัย"

"แต่คุณทิเพ้อเรียกชื่อต้นตลอดเลย พี่ไม่รู้แต่คิดว่า..." คนตรงหน้ากลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะหลบสายตาเอ่ยมันออกมา

"...คุณทิอาจต้องการต้น"
สิ้นประโยคนั้นเราสองคนได้แต่นิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี เรื่องทุกอย่างมันไม่มีสิ่งที่เชื่อมเป็นเหตุเป็นผลได้เลย

ทำไมต้องเป็นผม นั่นคือคำถามที่อยากได้คำตอบมากที่สุด ทว่าไม่มีใครตอบมันได้นอกจากเจ้าตัวเท่านั้น

ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ เลขาตรงหน้าก็จัดการเคาะประตูนั้น
"คุณทิคะ ได้ยินเกดมั้ย"

ไม่มีเสียงตอบกลับจนเราสองคนเริ่มเป็นกังวล ประตูล็อกอัตโนมัติจากด้านในก็ไม่ยอมคลายออกให้คนนอกเข้าไป ผ่านไปสักพักเสียงจากด้านถึงได้เล็ดลอดออกมา

"ออกไป..."

"แต่คุณต้นมาแล้วนะคะ" เสียงแหบพร่านั้นเงียบไปอีกระลอก

กริ๊ก...

ก่อนประตูอัตโนมัติจะคลายล็อกออกมา
เพียงเท่านั้นกลิ่นวานิลลาผสมมัสก์เข้มข้นที่อบอวลในห้องก็ตีเข้าจมูกผมอย่างไม่ทันตั้งตัวจนต้องผงะถอยหลังไปหลายก้าวเพื่อตั้งหลัก

ก่อนสติจะขาดหาย จำเป็นต้องบอกคนหน้าห้องไว้ก่อน

"ถ้าผมเข้าไปแล้วพี่รีบปิดประตู ห้ามให้ใครเข้ามาเด็ดขาด"

เพราะถ้าคนข้างล่างได้กลิ่นเข้า เกิดเรื่องใหญ่แน่
ผมฝืนกลั้นหายใจเดินเข้าไปในห้องนั้นพร้อมหันหลังปิดประตูอย่างรวดเร็ว แม้ตัวเองจะกินยาระงับอาการรัทแล้วเรียบร้อย แต่ยาเม็ดไม่ได้มีประสิทธิภาพต้านทานกลิ่นโอเมก้าเข้มข้นที่กำลังฮีทได้ขนาดนั้น

เพียงไม่กี่ชั่วโมงฤทธิ์ของยาก็หมดลง

และร่างกายของผมก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง
"อึก...อือ..."

ภาพข้างหน้าของผมจากชัดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นมัวมากขึ้น ยิ่งกลิ่นของอีกฝ่ายตลบอบอวลโอบล้อมร่างกายผม มันยิ่งทำให้ผมต้องใช้มือดันกำแพงเพื่อพยุงตัวเองให้เดินไหว

ด้วยความที่ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในห้องนี้จึงไม่รู้ว่ามันคล้ายห้องสตูดิโอเล็กๆ ตามคอนโดในเมืองที่มีห้องนอนในตัว
เสียงครางเบาๆ มาพร้อมกับสายตาของผมที่เหลือบเห็นเอวคอดบางของอีกคนนอนขดตัวหันหลังให้กันอยู่ด้วยอาการเนื้อตัวหนาวสั่น

ภาพนั้น...ที่อีกคนเปลือยท่อนบนโดยมีผ้าห่มสีขาวปิดท่อนล่างไว้อย่างหมิ่นเหม่

"อึก...คุณทิ"

"ฮึก...ฮือ...ต้น..."

อย่า อย่าเรียกชื่อผมตอนนี้ ขอร้อง
ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปใกล้อีกคนที่สุดแล้ว ทว่าร่างกายและสัญชาตญาณดิบกลับไม่เชื่อฟัง สมองผมตื้อขาดการรับรู้ลงไปทุกที

รู้ตัวอีกทีเตียงใหญ่ก็ยวบลง ด้วยฝีมือผมเอง

"คุณทำอะไรผม...ทำไมผมได้กลิ่นคุณแล้วถึงเป็นแบบนี้" มืออันสั่นเทาฝืนท่ีจะไม่จับเอวบางตรงหน้า แต่ก็ทำไม่ได้
และในทันทีที่มือของผมสัมผัสกับร่างกายของโอเมก้าตรงหน้า กลิ่นนั้นก็โอบล้อมไม่ให้ผมสามารถหนีพ้นมันได้อีกต่อไป

พยายามแล้วที่จะไม่รุนแรง ทว่าความต้องการมันทำให้ผมยับยั้งช่างใจไม่ไหว

มันหอมหวานเกินไป ผมกำลังเป็นอะไรไปแล้ว

กลิ่นวานิลลาที่ผมไม่เคยสนใจมัน วันนี้กลับโหยหาอย่างบ้าคลั่ง
ไม่เคยรัทกับกลิ่นนี้ แต่ตอนนี้ทนไม่ไหว

ผมกระชากเอวอีกฝ่ายให้หันหน้ากลับมาหากัน ร่างกายของอีกฝ่ายสั่นไปทั้งตัว มันร้อนราวกับไฟสุมแต่ผมหยุดจับต้องมันไม่ได้

ยิ่งเห็นใบหน้าแดงก่ำที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตายิ่งอยากรังแกแรงๆให้คนในอ้อมกอดร้องไห้งอแง

"ฮึก...ไม่อยากฝืนอีกแล้ว-ต้น"
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด อาจเป็นเพราะประสาทการรับรู้กำลังถูกทำลาย แทนที่ด้วยอาการมัวเมาลุ่มหลงในกลิ่นและร่างกายของคนบนเตียงจนต้องขยับเข้าซ้อนด้านหลัง

กอดขยำสะโพกซุกไซ้ดมกลิ่นของอีกคนที่ซอกคองามระหงนั้นเพื่อค้นพบว่าไม่มีปลอกคอเหลืออยู่แล้ว

และไม่มีร่องรอยของมันตั้งแต่แรก
อีกคนหันกลับมาหาผมอีกครั้งพร้อมกับสองมือเรียวประคองใบหน้าผมเอาไว้ ภาพอันเลือนลางนี้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่ขยับเข้ามามากขึ้น

สัมผัสที่ริมฝีปากอันนุ่มนวลหอมหวานที่แตะลงมา ทำให้สติผมขาดสะบั้นลงในทันที ซึมซับยอมรับและสำรวจรสชาติวานิลลาเข้มข้นนั้นจนอีกคนหายใจไม่ออก

ถึงยอมผละจากกัน
"ไม่ไหวแล้ว..."

เสียงแหบพร่าของผมพยายามพูดมันออกไป ผมจะทรยศทำอะไรเกินเลยกับลูกของผู้มีพระคุณไม่ได้แต่ร่างกายกลับไม่เชื่อฟัง และคุณทิวาก็กำลังกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของผม

"เข้ามาในตัวฉัน...เติมเต็มมัน..."

"คุณทิ...อึก"

"มันแฉะรอนายนานแล้ว เข้ามานะ"

"คุณจะเสียใจที่พูดแบบนี้"
สิ้นคำนั้นเราสองคนเราประโคมจูบกันอย่างโหยหา กลิ่นวานิลลาสลับกับดอกคาโมมายล์เข้ากันได้อย่างน่าประหลาดราวกับบางสิ่งได้ถูกสร้างให้เราสองคนต้องคู่กัน

ผมรู้สึกแบบนั้น

โอเมก้าชั้นสูงปลดเสื้อผ้าผมทอ้งอย่างไม่ใยดี สายตาคมจ้องของคนด้านบนมองเรือนร่างของผมพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

ไม่ไหว
"อื้อ..."

ผมสะดุ้งทันทีที่มือเรียวเล็กประคองความต้องการของผมเอาไว้ พร้อมกับจับถูไถกับร่องลึกด้านหลังอันชื้นแฉะ

ใครจะสามารถทนเห็นท่าทางยั่วแบบนั้นได้อีก

"อ่า...ต้น" ผมลุกขึ้นนั่ง สองมือเน้นหนักไปที่เนินอกกับยอดสีชมพูล่อใจทั้งสองข้าง ก้มหน้าไปลิ้มลองมันจนอีกฝ่ายร้องคราง
ทว่าก็ยังแอ่นเรือนร่างให้ผมได้สัมผัสและฉกชิมมันอย่างเต็มที่ ช่วงล่างไม่ยอมหยุดที่จะขยับสะโพกเข้าหากันทั้งที่ดวงตาปรือนั้นเปรอะเปื้อนด้วยหยาดน้ำตาอันเกิดจากความต้องการที่ระงับเก็บไว้ไม่ได้อีกต่อไป

ผมจูบขมับคนที่ร้องสะอื้นเบาๆ ในตอนที่นิ้วแรกเปิดทางเข้าไป
ความชื้นของช่องทางรักทำให้การเปิดทางเป็นไปอย่างสะดวก ผมดึงคนในอ้อมกอดลงกับเตียงพร้อมกับคร่อมอีกฝ่ายไว้ให้เราสองคนแนบสนิทกันมากขึ้น

"เข้ามา...ไม่ไหวแล้ว"

ไม่รอให้อีกฝ่ายทรมานนาน ผมกดตัวตนเข้าไปอย่างช้าๆ มันตอดรับเสียจนพยายามจะไม่รุนแรงแล้วแต่มันห้ามไม่อยู่
แม้รู้ว่าอีกฝ่ายเจ็บจนน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง เล็บจิกหลังผมจนแสบเพื่อสะกดกลั้นความเจ็บ ผมก็ยังฝืนให้อีกฝ่ายรับความต้องการของผมเข้าไปจนหมด

"ฮึก..."

ก่อนต่อมาเสียงกระทบกันของส่วนล่างจะดังก้องพร้อมกับเสียงครางของเราทั้งสองคนที่ไม่อาจอดทนได้อีก

"หอม...หอมไปทั้งตัว ทำไมถึงหอมอย่างนี้"
ผมก้มลงหอมซอกคอ ลิ้นแลบเลียมันราวกับต้องการอยากแสดงความเป็นเจ้าของ ทั้งที่จิตใต้สำนึกมันบอกว่าผมไม่ควรทำอย่างนั้นเพราะหลังจากที่เรากลับมามีสติกันทั้งคู่

เรื่องมันจะใหญ่จนไม่สามารถกู้กลับมาได้อีก

แต่อีกฝ่ายกลับเงยซอกคอให้ผมดอมดมมันสะดวกขึ้น

"กัดสิ...มันเป็นของนาย"

"อย่ายั่ว"
"มันเป็นของนายตั้งแต่แรก"

ผมไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไงและจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรบ้าง แต่คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมไม่สามารถหลุดจากภวังค์นี้ได้

ผมขบซอกคอหอมกลิ่นวานิลลานั้นจนเป็นรอยแดงช้ำ คนใต้ล่างขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดที่ไม่ยอมทำสิ่งที่ตนต้องการสักที

จัดการลุกขึ้นมาคร่อมตัวผม
เอวคอดบางแอ่นเด้งสวน ผมไม่เคยรู้สึกซาบซ่านเท่าครั้งนี้มาก่อน เราสองคนประสานเข้ากันได้ดีอย่างเป็นธรรมชาติ ตอบสนองกันทุกจังหวะท่วงท่า

ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ปลดปล่อยออกมา

แต่รู้สึกเหมือนยังไม่เต็มอิ่ม

ร่างบางด้านบนประคองศีรษะเผยซอกคอขาวเนียนให้เห็นชัดๆก่อนจะกดหน้าผมลงไปให้ฉกชิม
อดทนไม่ไหวที่จะครอบครองร่างกายนี้ให้เป็นของผมแค่เดียวเท่านั้น

กึก!

"...อ๊า"

พร้อมกับรอยกัดที่ฝังลึกลงไปจนรู้สึกได้ถึงรสชาติคาวเลือด ร่างกายอีกฝ่ายกระตุกแรงไม่ต่างจากผมที่รู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกไฟช็อตไปทั้งร่าง

เราสองคนประสานกันเป็นหนึ่งนับจากนี้

กับพันธะที่ไม่ควรเกิดขึ้น
ไม่รู้ว่านานเท่าไรที่เราสองคนนัวเนียกันอยู่บนเตียงใหญ่ ท่ามกลางห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นดอกคาโมมายล์ผสมวานิลลามัสก์หอมหวนจนยากที่จะประคองสติให้หลุดออกจากห้วงแห่งความปรารถนา

ริมฝีปากเล็กแทมโลมจูบผมเบาๆ ซ้ำๆ ที่อวัยวะเดียวกัน กับอ้อมกอดแนบสนิทที่ไม่คิดอยากจะแยกออกจากกันสักวินาทีเดียว
มือเรียวลูบต้นแขนซ้ายและหน้าท้องของผมที่ยังคงปรากฏรอยนูนจากเหตุไฟไหม้ แผลเป็นที่เปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแม้จะไม่มีอาการเจ็บแล้วก็ตาม

ผมจูบต้นคออีกฝ่ายที่ประทับรอยพันธะลงไปอย่างลุ่มหลงมัวเมา กว่ากลิ่นฟีโรโมนของอีกฝ่ายเบาบางลง พระอาทิตย์ด้านนอกก็ดับแสงลงมา
และผมก็เริ่มรู้สึกตัวลืมตาตื่น มันตาสว่างไปหมดแล้วและภาพเบื้องหน้าก็ชัดเจนจนต้องรีบลุกขึ้นนั่ง เสยผมยุ่งของตัวเองด้วยใบหน้าเครียดตึง

ทำมันลงไปแล้ว และก็ไม่ได้ป้องกันด้วย

โชคดีที่ผมเองก็แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้น็อต แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลยสักนิด

รอยบนคอนั่นต่างหากที่สำคัญ
"แม่งเอ๊ย!"

ผมสบถเบาๆ เหลือบมองคนที่นอนสลบไสลหันหน้าเข้าหากันโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าได้ถูกตีตราแสดงความเป็นเจ้าของไปเรียบร้อยแล้ว

ต่อไปนี้ผมจะทำยังไง ไม่รู้เลย

กลิ่นวานิลลาจากได้เคยคุ้นชิน มันกลับแปรเปลี่ยนเป็นหวานเลี่ยนมากขึ้นหลังจากการผูกพันธะเริ่มต้น และมีแค่ผมที่ได้กลิ่นนั้น
ดวงตาทั้งสองข้างสอดส่ายมองสภาพภายในห้องที่ข้าวของกระจัดกระจายตั้งแต่ก่อนผมเข้ามาถึงทว่าผมไม่ทันได้สังเกตมัน อีกฝ่ายคงทรมานและไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้

ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องการการเติมเต็มจากผม

และผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

"คุณทำแบบนี้ทำไมคุณทิ ผมไม่เข้าใจเลย"
ผมพึมพำเบาๆ พลางมองคนบนเตียงด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ จากนั้นก็ถือวิสาสะจับอีกคนเช็ดตัวหาเสื้อผ้าสบายๆ ในห้องนั้นมาใส่เพื่อให้หลับสบายขึ้น พิษไข้จากอาการฮีทยังคงอยู่ สังเกตได้จากกลิ่นพีโรโมนที่ไม่คงที่ของอีกฝ่าย

และนั่นทำให้ผมกลุ้มใจ

กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นหนักขึ้นมาอีก ยาอะไรก็ไม่มี
และถ้ามันกำเริบขึ้นมาอีก รอยผูกพันธะคงทำให้ผมเกิดปฏิกิริยาตอบสนองได้ไม่ยาก แต่ผมไม่อยากจะให้เรื่องผิดพลาดนี้เกิดขึ้นซ้ำสองอีกแล้ว

แค่นี้ก็รู้สึกว่าตัวเองทำผิดมหันต์

เรื่องรอยบนลำคออีกฝ่ายคงต้องปล่อยไปก่อน ตอนนี้ต้องให้อีกฝ่ายกลับไปโรงพยาบาลในเมือง อยู่ห่างจากผมไว้ก่อน
ผมรีบแต่งตัว แผลด้านหลังจากการถูกรอยเล็บขีดข่วนทำให้เผลอนิ่วหน้าด้วยอาการแสบ แต่จำเป็นต้องออกจากห้องนี้ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมเปิดประตูออกไป ไม่รู้ว่าเลขาของอีกฝ่ายจะยังเฝ้ากันอยู่มั้ยเพราะล่วงเลยเวลามาครึ่งวันแล้ว

แต่เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบวิ่งเข้ามา
"คุณต้น เฮ้อ! ในที่สุดก็ออกมาแล้ว"

เสียงกระหืดกระหอบวิ่งมาแต่ไกลทันทีที่ผมเปิดประตู เขาคงรอผมมาทั้งวันและเฝ้าดูว่าเมื่อไรประตูบานนี้จะเปิดออกมาสักที

"คุณทิเป็นยังไงบ้างคะ ใช่อย่างที่คิดไว้รึเปล่า"

"ครับ เขาฮีท"

เท่านั้นอีกฝ่ายก็เข้าใจได้เลยทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนี้บ้าง
"ดิฉันขอเข้าไปได้มั้ย ดิฉันเป็นห่วงคุณทิ" สีหน้าอีกฝ่ายดูเป็นกังวล กำลังจะเดินเข้าไปในห้องก็โดนมือของผมรั้งเอาไว้ก่อน

"มีสิ่งหนึ่งที่พี่ควรต้องรู้ และผมก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวด้วย"

"ถ้าเป็นเรื่องที่คุณต้นช่วยให้คุณทิหายฮีท นั่นเป็นความต้อง--"

"ไม่ใช่เรื่องนั้นครับ มันใหญ่กว่านั้น"
ไม่อยากบอกแต่ยังไงสักวันหนึ่งก็ต้องมีคนรู้และคนที่ตื่นขึ้นมาก็คงตกใจมากถ้าจู่ๆ ก็มีคนตีตราแสดงความเป็นเจ้าของโดยไม่เต็มใจ

"รอยที่คอ ถ้าพี่เห็น...เป็นรอยของผมเอง"

"คุณต้นหมายความว่ายังไงคะ พี่ไม่เข้าใจ" พยายามพูดอ้อมๆ ที่สุดแล้วแต่เบต้าหญิงไม่รู้

"ผมผูกพันธะกับคุณทิไปแล้วครับ"
สิ้นคำนั้นอีกฝ่ายก็อ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจรีบเปิดประตูเข้าไปดูอาการคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยพิษไข้ที่ไม่หายไปง่ายๆ

"คุณทิเธอเต็มใจมั้ยคะ" ผมยืนอึ้งทำตัวไม่ถูกและไม่รู้ว่าควรจะพูดอธิบายออกมายังไง

"คุณต้น ดิฉันถาม ตอบด้วยค่ะ!" เลขาสาวเริ่มขึ้นเสียง

"ผม...ผิดเองครับ"
"ตายแล้ว อย่างนี้จะกลับบ้านยังไง คุณทัศกรเล่นงานพี่ตายแน่ที่ดูแลคุณทิวาไม่ดี รอยนี้จะปิดมันยังไงดีเนี่ย"

คนตรงหน้าพูดพลางแอบเปิดคอเสื้ออย่างเบามือเพื่อดูรอยกัดที่ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วมันกลับยิ่งเข้มขึ้นชัดเจน ส่วนผมได้แต่เบือนหน้าหนีเพราะกลัวจะเกิดปฏิกิริยาแปลกๆในร่างกายอีก
"พี่ผิดหวังที่ไว้ใจคุณต้นนะคะ ฉวยโอกาสตอนคุณทิอ่อนแอพี่ยังพอเข้าใจได้เพราะคุณทิเป็นคนเรียกคุณเข้าไปเอง แต่ไม่คิดว่าคุณต้นจะทำถึงขั้นนี้ แล้วนี่ดูสิ เราจะแก้ไขมันยังไงพี่ไม่อยากจะคิดเลย"

ผมถอนหายใจยาว ก้มลงมองพื้น

ผมผิดเอง รู้ตัวดีว่าเรื่องนี้ผิดเต็มๆ
"ผมผิดเองและยินดีจะรับผิดชอบความผิดต่อหน้าคุณทัศกรครับ แต่ตอนนี้ผมเป็นห่วงคุณทิมากกว่า"

"มันก็น่าห่วงแหละค่ะ พี่ไม่อยากให้อยู่ใกล้คุณแล้ว" อีกคนมองหน้าผมอย่างโกรธเคือง

"แต่เรื่องนี้คุณทัศกรจะยังรู้ไม่ได้ ต้องรอให้คุณทิฟื้นขึ้นมารับรู้ด้วยตัวเองก่อน แต่ไข้ขึ้นขนาดนี้จะไหวมั้ย"
ผมทำท่าจะเข้ามาช่วยก็โดนเบต้าสาวตีมืออย่างแรงเพราะคิดว่าจะแอบฉวยโอกาสเจ้านายของเธออีก

"ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมจะอุ้มคุณทิไปส่งที่รถ รีบไปโรงพยาบาลดีกว่าปล่อยให้ไข้ขึ้นแบบนี้"

"เดี๋ยวพี่ให้บอดี้การ์ดอุ้มไปเองค่ะ"

"ไม่ได้ครับ" ปฏิกิริยาแปลกๆ เริ่มเกิดขึ้นกับตัวผมแล้ว

อาการหวงคู่
"ผม...ผมแค่กลัวคนอื่นได้กลิ่นฟีโรโมนจากคุณทิแล้วคุณทิจะไม่ปลอดภัย อย่างน้อยผมก็ปกป้องเขาได้"

ถึงจะไม่ค่อยเชื่อใจตัวเองสักเท่าไรก็ตาม

และเลขาคุณทิก็คงคิดไม่ต่างจากผม ทว่าไม่มีทางเลือกเพราะเธอก็กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายอีกซ้ำสอง แค่นี้ก็เป็นเรื่องใหญ่จนไม่รู้จะแก้ยังไงแล้ว
ผมถือวิสาสะเขยิบตัวขึ้นไปบนเตียงเดิมอีกครั้ง คนบนเตียงงอแงทันทีเมื่อมีคนมารบกวนการนอน คิ้วสวยขมวดมุ่นทั้งที่เปลือกตายังคงหลับสนิท ร่างกายก็ยังคงร้าวระบมไปทั้งสรรพางค์

"...อือ"

"แป๊บเดียวครับคุณทิ" ผมลูบศีรษะอีกคนเพื่อปลอบจากนั้นก็ประคองขึ้นมาในท่าเจ้าสาวอย่างเบามือที่สุด
ผมไม่เคยมีคู่พันธะและไม่เคยสนใจเรื่องความรักเลยไม่รู้ว่าหลังจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน และการปล่อยให้คู่ออกห่างจากตัวจะส่งผลยังไง

ผมเดินลงจากตึกนี้อย่างระมัดระวัง ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองปล่อยฟีโรโมนข่มอัลฟ่าตนอื่นจนเดินยอมห่างกระจายกันไปหมด
แม้แต่บอดี้การ์ดผมก็ยังไม่งดเว้น ผมจ้องทุกคนที่เดินผ่านและพยายามจะเข้ามาทางผม สัญชาตญาณมันบอกแค่ว่าผมพร้อมจะสู้ทุกเมื่อหากมีคนแตะต้องคนในอ้อมกอดแม้แต่เพียงปลายเล็บ

ทุกคนจึงยอมถอยออกให้ผมไปส่งคุณทิถึงเบาะยาวหลังรถได้อย่างปลอดภัย

"...อึก...หนาว"

"ไม่เป็นไรแล้วครับ"
ผมลูบหัวอีกฝ่ายแผ่วเบา กลิ่นวานิลลายังคงฟุ้งกระจายจนต้องปล่อยกลิ่นดอกคาโมมายล์ของตัวเองโอบล้อมเขาไว้

ไม่อยากให้ใครได้กลิ่นและอยากให้คุณทิรู้สึกปลอดภัยราวกับมีผมอยู่ข้างกายตลอดการเดินทาง

"ไปหาหมอนะครับ แล้วก็...ขอโทษคุณ"

ผมผละจากใบหน้าอีกฝ่าย จ้องมองรถคันนั้นขับเคลื่อนออกไปช้าๆ
.
.

เพียงแค่รถยนต์คันสีดำเข้าเขตสถาบันโรงพยาบาลรักษาโอเมก้าชั้นสูง ร่างบางที่นอนซมด้วยพิษไข้จากอาการฮีทที่ยังไม่จางหาย ผสมกับการโดนสร้างพันธะทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงหรือสติมากพอจนต้องถูกหามส่งตรงไปยังหมอประจำตัวทันที

"อื้อหือ กลิ่นอัลฟ่าเข้มเต็มตัวมาก เกิดอะไรขึ้นกับทิเนี่ยคุณเกด"
แค่ยืนอยู่ไกลๆ ยังได้กลิ่นคาโมมายล์เข้มฉุนตลบอบอวลทั่วร่างของเพื่อนสนิทจนต้องเอามือปิดจมูก

กางอาณาเขตขนาดนี้เลย อัลฟ่าคนนั้นเป็นใครกัน

อยากปกป้องสินะ

หมอสาวสายพันธุ์อัลฟ่าที่ผ่านการฝึกจนสามารถทำงานในโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยโอเมก้าได้ รู้สึกถึงความหมายของกลิ่นนั้นได้ทันที
แต่ไปทำอีท่าไหนถึงมีกลิ่นของอัลฟ่าแผ่กระจายตามตัวทุกซอกมุมขนาดนี้ได้ หมอแพรได้แต่นิ่วหน้าพร้อมกับเอ่ยถามเลขาของเพื่อนสนิทที่ทำสีหน้าราวกับโลกจะแตกยังไงยังงั้น

"นี่มันอาการฮีทนิ ดูแค่ภายนอกก็รู้แต่ทำไม..."

มันแปลกๆ ยังไงไม่รู้

ทิวาฮีทน่ะใช่ แต่มันไม่ใช่แค่อาการฮีทธรรมดา
คุณหมอสาวมองหน้าจอวัดชีพจร พร้อมฉีดยาระงับฮีทผ่านทางสายน้ำเกลือ ทว่าอาการหนาวสั่นของคนไข้ก็ยังไม่จางหาย

เท่านั้น ดวงตากลมก็เบิกกว้าง

รีบแหวกคอเสื้อของเพื่อนเปิดดูทันทีแล้วก็พบว่าใช่อย่างที่คิด

มิน่า กลิ่นชัดเจนมาก

กลิ่นวานิลลาที่กำลังหลอมรวมกับดอกคาโมมายล์จนกลายเป็นกลิ่นเดียว
"นี่ยัยทิไปผูกพันธะกับใคร เจ้าตัวรู้เรื่องรึเปล่าว่ามีเรื่องแบบนี้ขึ้น" หมอแพรพูดออกไปอย่างร้อนรน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ระดับชีวิตคนคนหนึ่ง และใช่ว่าการลบสิ่งพวกนี้จะทำได้ง่ายๆ

"เกดก็ไม่รู้ค่ะ..."

"พี่เกดไม่รู้ได้ยังไงคะ ยัยทิโดนอะไรมาไม่รู้เรื่องเลยเหรอ"

"ก็คุณทิฮีทแล้ว..."
เลขาสาวกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบาก จะบอกคุณหมออัลฟ่าคนนี้ยังไงว่าเจ้านายตัวเองน่ะเป็นคนต้องการให้อัลฟ่าหนุ่มอีกตนเ้าไปตอบสนองอาการฮีทของตัวเอง

"พี่เกดรู้ใช่มั้ยคะว่าอัลฟ่าตนนั้นเป็นใคร"

"...ค่ะ"

"ยัยทิรู้มั้ยว่าเป็นเขา"

"คะ-คุณทิเป็นคนเรียกหาเองค่ะ"

"เฮ้อ! ยัยทินะยัยทิ!"
หมอแพรยืนเท้าเอวมองเพื่อนที่นอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยสายตาหงุดหงิด

ไม่เข้าใจทำไมถึงไปฮีทต่อหน้าอัลฟ่าตนนั้นได้

ในเมื่อโอเมก้าทุกตนย่อมรู้ว่าภาวะฮีทของตัวเองจะเกิดขึ้นเมื่อไรและช่วงเวลานั้นไม่ควรออกไปไหนทั้งนั้น หากจำเป็นต้องไปจริงๆ ยาระงับการฮีทก็ควรจะมีติดตัวไว้ตลอด
แต่นี่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ใช้ยาระงับฮีทเลย ไม่เช่นนั้นคงไม่อาการหนักกลับมา

นี่เพื่อนของเธอคิดทำอะไรอยู่

"คุณทิจะเป็นอันตรายมั้ยคะหมอแพร"

"ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่เอฟเฟคหลังจากสร้างพันธะกับเพศตรงข้ามเท่านั้น จริงๆ มันไม่ควรจะเป็นไข้หนักแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนเป็นแบบนี้"
เลขาสาวพยักหน้าด้วยความโล่งอก แต่ก็ยังไม่สุดเพราะปัญหาใหญ่ยังไม่สามารถเคลียร์ออกไปได้ง่ายๆ และหลังจากคนป่วยฟื้นขึ้นมาเธอก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายหลักฐานบนคอนั้นยังไงด้วย

"แล้วรอยบนคอนี่มันลบได้มั้ยคะ"

"หนึ่งเปอร์เซ็นต์ยังแทบไม่ถึงเลยค่ะพี่เกด มันอันตรายถึงชีวิตของคนทั้งคู่เลย"
มีคนมากมายอยากลบพันธะกับคู่ของตัวเอง ทว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ เพศที่อ่อนแอกว่าอย่างโอเมก้าจึงต้องระมัดระวังตัวเองเป็นพิเศษจากการโดนกัด

เพราะมีหลายคู่ที่ต้องตายจากกันไปจากการสละให้รอยการแสดงความเป็นเจ้าของของอีกคนจางหาย

"แต่ถ้าคุณทัศกรรู้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่เลยค่ะ"
คุณหมออัลฟ่าส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน ยังไงสักวันทุกคนก็ต้องรู้เรื่องนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะปิดบังมันชั่วคราวไม่ได้

"เอาเป็นว่าสัปดาห์นี้อย่าเพิ่งกลับไปเจอคนที่บ้านเพราะเป็นช่วงที่กลิ่นอัลฟ่าจะไม่จาง ต้องรอก่อนอย่างน้อยอาทิตย์สองอาทิตย์กลิ่นถึงจะกลับมาเป็นปกติ"

เลขาสาวรีบพยักหน้ารับ
ถึงจะไม่เข้าใจเรื่องกลิ่นเพราะตัวเองเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับกลิ่นนั้น แต่ก็ยินดีจะทำตามเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น

"พรุ่งนี้ยัยทิฟื้นค่อยว่ากัน พี่เกดไปพักผ่อนเถอะค่ะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว"

หลังจากเลขาสาวเดินออกไป หมอประจำตัวคนไข้ก็ถอนหายใจแรงขึ้นมาอีกครั้ง

"นี่แกเอาจริงเหรอวะทิ"
.
.

"...อือ"

ใบหน้าเรียวเล็กขมวดคิ้วมุ่นเมื่อความเจ็บแปลบทั้งร่างกายกำลังเล่นงานกันอย่างหนัก ที่คอด้านซ้ายมีผ้าก๊อซบางๆ แปะไว้ทั้งคืนจนถึงตอนนี้ อยากจะขยับตัวแต่มันยากเสียเหลือเกิน

ทำได้แค่พยายามเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
ภาพที่ค่อยๆ ชัดเจนในสายตาทำให้ต้องสำรวจมันช้าๆ

และก็รู้ได้เลยทันทีกับสถานที่อันคุ้นตาที่มักจะแวะเวียนมาเยี่ยมเพื่อนสนิทบ่อยๆ

โรงพยาบาล...อีกแล้ว

"อือ...เจ็บ..." ร้าวระบมไปทั้งตัวโดยเฉพาะบริเวณคอที่ร้อนแสบผิดปกติ กับช่วงล่างที่รับรู้ว่าคงโดนอะไรมา

"ไง เพื่อนตัวดี ฟื้นแล้วเหรอ"
เสียงคุ้นหูของแพทย์ประจำตัวเอ่ยขึ้นในขณะที่มาเยี่ยมไข้คนป่วย ยืนตรวจความดันและวัดไข้ให้กันจนเสร็จสรรพจึงได้เห็นเปลือกตาของคนบนเตียงลืมขึ้นพร้อมกับเสียงแหบแห้งที่บ่นว่าเจ็บไปทั้งตัว

"น่วมไปทั้งตัวเลย โชคดีนะที่มาโรงพยาบาลทันไม่งั้นได้เป็นไข้จนช็อคแน่เพื่อนฉัน"
โอเมก้าชั้นสูงหันหน้าไปหาเพื่อนสนิทที่ตอนนี้รับบทคุณหมอขี้บ่นยืนเท้าสะเอวมองเพื่อนที่ทำอะไรไม่รู้จักปรึกษากันก่อน เอาตัวเองไปเสี่ยงในหมู่อัลฟ่าแบบนั้น

แล้วดูสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น

"ไข้ดีขึ้นแล้ว ทีนี้จะบอกได้รึยังว่าทำอะไรลงไป" ฟื้นขึ้นมาก็เจอคำถามแรกที่ไม่ให้เวลาได้ตั้งตัวกันเลย
ใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ ใช้เวลาตั้งสติพักใหญ่ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

"..ต้น"

"ห๊ะ?"

"ไปหานายต้นตะวันมา"

"ไอ้ทิ! รู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป แล้วนี่อย่าบอกนะว่าคนที่ทำแกขนาดนี้ก็คือนายต้นน่ะ" พออีกฝ่ายพยักหน้าหมอแพรกุมขยับอย่างหนัก

"รู้มั้ยเขาทำอะไรแกบ้าง ที่คอน่ะรู้ตัวมั้ย"
เท่านั้นทิวาก็รีบเอามือลูบบริเวณคอที่มีผ้าก็อซปิดไว้ แค่เพียงสัมผัสก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้แต่มันเลือนรางในความรู้สึกเอามากๆ

และเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกของตัวเองล้วนๆ

"รอยกัด...ใช่มั้ย"

"ถามได้ ก็ใช่น่ะสิ นายคนนั้นผูกพันธะแกไปแล้ว"
ลมหายใจของทิวาสะดุดเล็กน้อยพร้อมกับแววตาที่เบิกกว้างผิดปกติ ทว่าไม่ได้เหนือความคาดหมายสักเท่าไร เพราะเขาตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นตั้งแต่แรก

"จะไม่พูดอะไรกับเพื่อนแกหน่อยเหรอทิ ทำไปทำไม ฉันบอกแล้วไงว่าถึงทำไปพี่เชนทร์เขาก็ไม่กลับมาสนใจหรอก"

"หยุดพูดถึงชื่อผู้ชายคนนั้นเลยนะแพร"
"ไม่ ฉันจะไม่หยุด ในเมื่อเพื่อนสนิททำเรื่องสิ้นคิดที่ไม่ควรจะทำ แล้วแกก็รู้ดีแก่ใจว่าแกกับนายต้นตะวันนั่นน่ะเป็น--"

"ก็เป็นคู่พันธะกันไง"

"ไอ้ทิ! แกมันดื้อ! แล้วงี้แกจะกินยาฉีดยามาเกือบตลอดชีวิตเพื่ออะไร เห็นแก่หน้าพ่อฉันหน่อยที่รักษาแกมาตั้งแต่เด็กตามคำขอของคุณทัศกรน่ะ"
คนก่อเรื่องได้แต่หันหน้าหนีเมื่อได้ยินถึงเรื่องเก่าๆ แสนทรมานกับการที่ตัวเองถูกฝืนให้ทุกอย่างที่ควรจะเป็นกลับตาลปัตรจนไม่ทุกทิศรู้ทาง

"แล้วนี่จะเอายังไง รอยที่คอก็เกิดขึ้นไปแล้ว"

"ก็ไม่ยังไง มีรอยพันธะก็เท่ากับเรื่องจบ"

"มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกทิ"

"ทำไม"

"เดี๋ยวก็รู้"
แพทย์ที่รักษาโอเมก้ามานักต่อนักย่อมรู้ดีกว่าคนป่วยบนเตียง และบอกเลยว่าการถูกตีตราจองนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะจบได้ง่ายๆ

มันเป็นการเริ่มต้นต่างหาก

เป็นคู่กันจะอยู่ห่างกันย่อมเป็นไปไม่ได้ อาการห่วงหาอาวรณ์จะเริ่มมีมากขึ้นจนนอนข่มตาไม่ลงหากไม่ได้เจอหน้าอีกฝ่ายเลยเชียวล่ะ
และอาการเหล่านี้มันเริ่มตั้งแต่วันที่สองของการมานอนเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลแห่งนี้ที่บอกได้เลยว่าการแพทย์ก็ช่วยรักษาไม่ได้

"คุณทิไม่ยอมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยครับ" พยาบาลชายกล่าวด้วยเสียงเป็นกังวล และหมอแพรเองก็เข้าใจได้

อาบน้ำแล้วกลัวกลิ่นบนตัวหายสินะ มันเริ่มขึ้นแล้วไงอาการนี้
"เช็ดตัวสักนิดก็ไม่ยอมเลยเหรอ"

"ครับ ไม่ยอมให้แตะต้องตัวเลย" หมอแพรพยักหน้ารับรู้ เพื่อนเขาคนนี้คงกลัวกลิ่นฟีโรโมนของคนอื่นจะมากลบกลิ่นคู่ของตัวเอง ไม่แปลกที่จะหวงตัวและพยายามไม่ให้กลิ่นของอัลฟ่าเจ้าของรอยพันธะนี้หายไป

"ข้าวล่ะ กินบ้างมั้ย"

"กินอยู่ครับ แต่ไม่ยอมนอน"
จากนั้นก็ได้รับคำอธิบายว่าคนไข้ประจำตัวเอาแต่ดิ้นขลุกขลักไปมาบนเตียงเหมือนหงุดหงิดตัวเอง แล้วก็ชอบเอาหน้าตัวจมูกซุกดมที่ซอกคอตรงจุดที่โดนกัดทั้งที่ก็เอื้อมหน้าไปไม่ถึง

"ให้มันได้อย่างนี้สิ จะทนได้ถึงเมื่อไรกันขนาดแค่คืนเดียวนะเนี่ย"

ถ้ากลิ่นมันจางลงไปมีหวังร้องไห้งอแงตายแน่
"แล้วนายต้นตะวันล่ะ ทางเลขาได้ติดต่อเขาไปรึยัง" ถ้าให้เดาหากทิวาเป็นถึงขนาดนี้อีกฝ่ายก็น่าจะเป็นไม่ต่างกัน ทว่าพยาบาลส่วนตัวของคนไข้พิเศษท่านนี้เอาแต่ส่ายหน้า

"คุณทิบังคับไม่ให้ติดต่อทางนั้นครับ"

"ทำไมล่ะ ถ้าไม่พาอีกฝ่ายมาหายัยทิแย่กว่าเดิมแน่"

"ผมเองก็ไม่ทราบแต่คุณทิกำชับไว้"
สิ้นคำนั้นคุณหมออัลฟ่าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มือถือกดเบอร์หาเลขาส่วนตัวของเพื่อนสนิททันที

"เอาเบอร์ของคุณต้นอะไรนี่มาให้แพรเดี๋ยวนี้เลยพี่เกด ไม่งั้นเจ้านายพี่ขาดใจตายแน่ เลือกเอาค่ะว่าอยากจะให้เรื่องถึงคุณทัศกรมั้ย"

เท่านั้นเบอร์โทรก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอเรียบร้อย
"...ฮัลโหลครับ" เสียงปลายสายแหบแห้งของคนนอนป่วยอยู่บนเตียงนอนในห้องเช่าใกล้โรงงานเอ่ยขึ้น ไร้เรี่ยวแรงออกไปทำงานเหมือนวันก่อน

"สวัสดีค่ะ ใช่คุณต้นตะวันรึเปล่า"

"พูดอยู่ครับ"

"ดิฉันหมอแพรนะคะ แพทย์ประจำตัวของทิวา คุณจำได้มั้ย" พูดจบเพียงเท่านั้นปลายสายก็เหมือนจะกระตือรือร้นขึ้น
เอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างรีบร้อน

"คุณทิอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วใช่มั้ยครับคุณหมอ เขาปลอดภัยดีรึเปล่า"

"ตอนนี้ทิปลอดภัยดีแล้วค่ะ แต่ว่ามีบางอย่างที่ยังน่ากังวล"

"เรื่องอะไรครับ เขาเป็นอะไร"

"คุณต้นช่วยมาที่โรงพยาบาลหน่อยได้มั้ยคะ"

"ครับ?"

"เพราะเรื่องนี้มีแค่คุณคนเดียวที่จะช่วยทิได้"

• • •

Missing some Tweet in this thread? You can try to force a refresh
 

Keep Current with 𝑺𝒉𝒆𝒓𝒍𝒊𝒚𝒏 🥀

𝑺𝒉𝒆𝒓𝒍𝒊𝒚𝒏 🥀 Profile picture

Stay in touch and get notified when new unrolls are available from this author!

Read all threads

This Thread may be Removed Anytime!

PDF

Twitter may remove this content at anytime! Save it as PDF for later use!

Try unrolling a thread yourself!

how to unroll video
  1. Follow @ThreadReaderApp to mention us!

  2. From a Twitter thread mention us with a keyword "unroll"
@threadreaderapp unroll

Practice here first or read more on our help page!

More from @sherilynisgood

Jan 9
#ฟิคป๋อจ้าน

"ก็ในเมื่อเธอเลือกที่จะเป็นนายเอกซูเปอร์สตาร์อยู่หน้าเลนส์กล้อง แล้วจะกลับมาหาเรากับลูกอีกทำไมวะ..." ImageImage
"ไม่ขาย"

"ภาค...."

"ผมบอกแล้วว่าไม่ขาย อยากจะกินกาแฟก็ไปร้านอื่น ร้านนี้ไม่ต้อนรับ-ลูกค้าด้านหลังเชิญสั่งได้เลยครับ"

ผมไล่คนตรงหน้าที่สวมแมสก์และหมวกแก๊ปปกปิดใบหน้า ครั้งที่สามของสัปดาห์นี้แล้วที่คนคนนี้แวะเวียนเข้ามาในร้าน แค่เสียงผมก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

ก็บอกแล้วว่าไม่ขาย
คนคนนั้นยังคงดื้อดึง ยืนอยู่ข้างๆ เคาน์เตอร์กับอีกคนซึ่งน่าจะเป็นผู้จัดการ และผมก็ไม่สนใจ อยากจะยืนอยู่ตรงนั้นจนกว่าร้านจะปิดก็เชิญ

ผมพอแล้ว

แค่สี่ปีที่ผ่านมาก็เจ็บปวดเกินพอ ผมจะไม่ยอมกลับไปเป็นคนโง่ที่เทิดทูนชีวิตให้ความรัก

"นี่คุณ ลูกค้ามาซื้อกาแฟ ไม่ขายอย่างนี้ได้เหรอ"
Read 165 tweets
Mar 30, 2021
#ฟิคป๋อจ้าน

“เราเข้าใจ ไม่ต้องคิดมากนะ เรื่องคืนนั้นเราเข้าใจ แทนไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองเลย...”

“อาย...เราขอโทษ”

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร เราขอให้แทนมีความสุขกับคนนั้นนะ ขอให้งานแต่งเป็นไปได้ด้วยดี ให้แทนสมหวังได้เป็นบาร์เทนเดอร์ตามที่หวัง...เพื่อนอย่างเราจะคอยดูอยู่ตรงนี้” ImageImage
ทำได้มั้ยล่ะ ฟิควันเดียวจบ เลิ่กลั่กๆๆ 😬
ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน และไม่รู้ว่าควรเรียบเรียงเหตุการณ์ใดก่อน ระหว่างความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นแบบที่รู้ตัวเองอีกทีก็แอบรักเพื่อนเข้าไปเต็มเปาแล้ว

และยังจะเรื่องในตอนนี้ที่ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงของเพื่อนสนิท มันอาจดูไม่แปลก เป็นเพื่อนกันจะนอนห้องเดียวกันก็ไม่เห็นเสียหายอะไร
Read 255 tweets
Mar 6, 2021
#ป๋อจ้าน #ฟิคป๋อจ้าน

ดาริการู้ดีว่าตนเป็นเพียงลูกคนสุดท้องที่ถูกเดียดฉันท์เพียงเพราะดันเป็นใบ้แต่กำเนิด

ทว่าช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้คนล้มตายและล้วนอดอยากทำให้ถูกพ่อแท้ๆ จับแต่งงานกับปารัต ทหารฝ่ายพันธมิตรที่ชนะสงครามเพื่อแลกเงิน

ทว่าหัวใจกระด้างเสียยิ่งกว่าแผ่นหิน ImageImage
**🚨warning 🚨**

นิยายเรื่องนี้อาจมีความรุนแรง ทั้งทางกายภาพและจิตภาพ มีประเด็นอ่อนไหวเรื่องความบกพร่องทางร่างกาย การเมือง และอาจมีข้อมูลที่ไม่ตรงตามประวัติศาสตร์ ทุกอย่างเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น

และศิลปินในรูปภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หากตามหาดาริกาที่อาศัยอยู่ย่านบางกอกน้อยในช่วงที่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งผ่านพ้นไปหากแต่ผู้คนยังไม่คลายความเศร้าโศกและตื่นผวา คงไม่มีใครรู้จักเท่าใดนัก

มีแต่เพียงคำว่า 'ไอ้ใบ้' ที่จะดูเหมือนเป็นชื่อจริงติดตัวเขาไปเสียแล้ว เพราะย่านนี้มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่เป็นใบ้แต่กำเนิด
Read 442 tweets
Jan 15, 2021
ขออนุญาตลงในเธรดใหม่นะคะ

#ฟิคป๋อจ้าน #ป๋อจ้านฟิค

#จะไม่รัก🌹

"ทะเบียนสมรสนี้มีอายุแค่หกเดือน ไปอยู่กับเขตน์ซะ เขตน์จะเป็นคนทำให้รินกลับมาเป็นลูกที่ดีของพ่อได้"

มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อไอ้เขตน์เป็นลูกคนใช้ของบ้านเขา ที่เมื่อสิบปีก่อนแม่มันพยายามไต่เต้าเพื่อให้ได้เป็นหม่อม ImageImage
warning** มีถ้อยคำส่อเสียดรุนแรง ดูถูกเหยียดหยามทั้งทางกายภาพและจิตภาพ มีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับชนชั้น ฐานะ และอาชีพ โดยผู้เขียนมิได้ดูหมิ่นชนชั้นสูงหรืออาชีพใดๆ ที่มีในเนื้อหาของเรื่องนี้

และศิลปินในรูปภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิยายเรื่องนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“รินไม่มีวันลืม ว่ามันกับแม่ของมันทำกับครอบครัวเราไว้ยังไง และรินจะไม่มีวันญาติดีกับไอ้คนใช้นั่นเด็ดขาด!”

ไม่มีวันให้อภัยคนที่ทำให้นรินทร์คนนี้เจ็บราวกับหัวใจแหลกละเอียด

มันเกลียดจนถึงขั้นสาปส่งพวกมันทุกวัน

และน้ำตาที่รินไหลทุกหยดหยาดในวันนั้น มันต้องชดใช้!
Read 1146 tweets

Did Thread Reader help you today?

Support us! We are indie developers!


This site is made by just two indie developers on a laptop doing marketing, support and development! Read more about the story.

Become a Premium Member ($3/month or $30/year) and get exclusive features!

Become Premium

Too expensive? Make a small donation by buying us coffee ($5) or help with server cost ($10)

Donate via Paypal

Or Donate anonymously using crypto!

Ethereum

0xfe58350B80634f60Fa6Dc149a72b4DFbc17D341E copy

Bitcoin

3ATGMxNzCUFzxpMCHL5sWSt4DVtS8UqXpi copy

Thank you for your support!

Follow Us on Twitter!

:(