OOC story based on Beauty and the beast
“ หยุดก่อกรรมทำเข็ญกับผู้อื่นได้แล้ว”
“ ไม่ ทำไมข้าต้องให้ความปราณีกับพวกมนุษย์จิตใจต่ำช้าด้วยเล่า” ร่างใหญ่ทะมึนยังคงฉีกทึ้งร่างมนุษย์อย่างไม่สนใจอะไร


“ใครไปทำอะไรให้เจ้า “
“ มนุษย์พวกนี้ทำร้ายลูกๆของข้าจนตาย “
“ หากเดรัจฉานอย่างเจ้าไม่เข้าไปทำร้ายพวกเขาก่อนพวกเขาจะมาทำร้ายเจ้ารึ”
แสงสีดำวูบไหวแผ่เป็นวงรอบตัวหมาป่า ก่อนจะขยายวงกว้างมาถึงตำแหน่งที่หลานซีเฉินยืนอยู่
ร่างกายสูงใหญ่ของค่อยๆทรุดตัวลงกับพื้น อาภรณ์ของเขาร่วงลงกับพื้น แขนทั้งสองถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นขนสีขาวบริสุทธิ์ จากที่เคยหยัดยืนด้วยสองขาก็เปลี่ยนไป ลำตัวขนานไปกับพื้น ยืนด้วยแขนและขาทั้งสองข้าง
“ ข้าบอก..ไปแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าอยากรู้ว่าหากท่านเป็นเดรัจฉานเยี่ยงพวกเราจะมีใครรักใครเมตตาท่าน” หมาป่าสีดำกระอักเลือดออกมากองใหญ่หลังจากใช้พลังชีวิตในการร่ายคำสาป
“ อ่อ แต่ว่าข้าก็ไม่ใจร้ายถึงเพียงนั้นหรอกนะ ...”
ทิ้งให้ประมุขหลานซึ่งตอนนี้อยู่ในสภาพร่างที่ไม่เหมือนเคยงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ในตอนนี้เขาควรกลับอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ให้เร็วที่สุด หวังว่าของต่างๆที่เขาคาบเอามาคงจะพอยืนยันตัวตนของตัวเองได้
ขาทั้งสี่ก้าวเดินไปตามทางที่คิดว่าน่าจะนำทางเขาไปยังหมู่บ้านสักแห่งเพื่อหาอาหารประทังชีวิต เขาเดินทางมาได้ราวๆ4วันแล้ว นอกจากน้ำจากลำธารแล้วก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย
“ เฮ้ย มาช่วยกันเร็ว เมื่อไม่กี่วันมานี้เจ้ารู้หรือไม่พรานหลิวเพิ่งถูกพวกมันสังหารเจอศพที่ชายป่า เละจนแทบระบุตัวไม่ได้”
หลานซีเฉินรีบวิ่งหนีเข้าป่าไป เขาไม่อยากทำร้ายใคร แต่ก็ไม่พร้อมโดนทำร้ายเช่นกัน รู้เพียงว่าต้องออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดยังดีที่ชาวบ้านไม่ตามมา
“ ข้าว่าสงสัยว่าพวกตัวใหญ่มันจะมาเอาขึ้นที่เราไปเอาลูกมันมาเล่นวันนั้น”
“ ความคิดเจ้าคนเดียวเลย ที่เอาไฟไปเผาขนไอ้ตัวเล็กนั้นจนสุดท้ายมันตายไปน่ะทั้งที่จริงๆเก็บไว้เล่นได้อีกหลายวันแท้ๆ”
ผู้คนมักมองว่าเขาทำดี ทำถูกทั้งหมด หากแต่ความจริงมันตรงกันข้าม สิ่งที่เขาทำมีแต่สิ่งผิดพลาด รวมถึงการละทิ้งสกุลออกเดินทางครั้งนี้ด้วย
ในตอนนี้เป็นฤดูหนาว ผลหมากรากไม้หาแทบไม่ได้ ต้นไม้ต่างผลัดใบกิ่งก้านถูกคลุมด้วยหิมะ
ดวงจันทร์กลมสวยที่สาดส่องแสงอยู่บนฟ้าบ่งบอกถึงคืนจันทร์เพ็ญครั้งแรก
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่ด้วยประสาทสัมผัสของสัตว์อย่างเขาจึงสัมผัสได้ไม่ยาก
คบไฟส่องแสงรางๆ และร่างของชายฉกรรจ์สามกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“ เหมือนวันนี้เราจะได้ของดีซะแล้ว “
“ ออกล่าทุกวันได้แค่กระต่ายป่า วันนี้สงสัยจะมีโชคได้หมาป่ากลับบ้านล่ะวะ”
สติค่อยพื้นคืนมาอีกครั้งเมื่อร่างกายลอยไปกระทบฝั่งหนึ่ง หลานซีเฉินตะกายตัวขึ้นไปบนนั้น สภาพของเขาตอนนี้ดูไม่ได้สักเท่าไหร่ ลูกธนูลูกหนึ่งปักที่ขาหน้าซ้าย
หลานซีเฉินกินน้ำในลำธารประทังชีวิตก่อนหยัดยืนขึ้นออกเดินทางต่อไป
“ นั่นตรงนั้นมีหมาป่า “
“ ใช่ๆเจ้าเห็นหรือเปล่ามันคาบบางสิ่งอยู่ด้วย “
คนเหล่านั้นรีบวิ่งมาล้อมเขาเอาไว้จนไร้ทางหนี
“ กระบี่และเซียวอย่างนั้นรึ ดูแล้วเป็นของมีราคาเสียด้วย”
“ ปล่อยนะ ไอ้หมาบ้า “ ไม้ท่อนใหญ่ถูกกระหน่ำฟาดใส่ตัว จนสุดท้ายความเจ็บก็ทำให้เขาต้องยอมแพ้ปล่อยให้คนเหล่านั้นได้ของสำคัญไป
เจียงเฉิงไม่ใช่คนที่สนใจข้าวของที่ขายในตลาดสักเท่าไหร่นัก เขามีชีวิตที่ต้องเจอกับสินค้ามากมายจากพ่อค้าต่างแดนในแทบทุกวันอยู่แล้ว
ไม่ผิดแน่ๆ ยิ่งอยู่คู่กันก็ยิ่งไม่ผิดเพี้ยน นั่นคือ ชั่วเยว่ และ เลี้ยปิง อาวุธประจำกายของเจ๋ออู๋จวิน
“ เหอะ ละทิ้งชีวิตตนเองจนถึงกับเอาอาวุธเซียนมาขายทิ้งเชียวรึ”
หากแต่ชายผู้นั้นก็แค่เพียงหยิบคว้าตั๋วเงินจำนวนนั้นและหยิบยื่นให้อย่างไม่ได้ต่อราคาอะไรราวกับว่าเงินจำนวนนั้นเป็นเพียงเศษกระดาษ
หลังจากที่ได้ของสองสิ่งนั้นมาเขาก็ยื่นให้ศิษย์พร้อมทั้งกำชับให้ดูแลให้ดีด้วย
หากจะมาเอาชีวิตก็เอาไปเถิด เขาทุกข์ทรมานเต็มที
“ พวกเจ้ามาทางนี้เร็ว “ สุรเสียงแข็งกร้าวคุ้นเคยตะโกนสั่งเหล่าศิษย์
“ มีอะไรหรือขอรับท่านประมุข”
แต่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะออกจากป่าไป ลมวูบหนึ่งพัดพากลิ่นเลือดมาเข้าประสาทสัมผัส ถึงจะเบาบางแต่ก็ชัดเจนว่ามันเป็นกลิ่นเลือด
ผ้าเช็ดหน้าลายดอกเหลียนฮวาถูกนำออกมาพันแผลที่ขาข้างซ้ายอย่างเบามือ จากสภาพแผลคงถูกยิงมานานมาสมควร
มือเรียวลูบไปบนหัวของสัตว์ป่าอย่างเบามือ
“ ทนอีกนิดนะเจ้าหมา ข้าจะพาเจ้ากลับไปรักษา”
มีตะเกียงไฟและผ้าห่มผืนหนาที่ห่มคลุมการไว้เพื่อให้ความอบอุ่น
กลิ่นอาหารหอมที่แม้จะเป็นแค่ข้าวกับเนื้อเค็มแต่ก็ดูราวกับเป็นอาหารจากสรวงสวรรค์
“ ไปบอกประมุขเจียงสิ ว่าเจ้าหมาฟื้นแล้ว “ เสียงของศิษย์ที่เดินผ่านมาแล้วเห็นเขากินข้าวอยู่เลยตะโกนบอกคนด้านนอก
“ หิวละสิ เดี๋ยวข้าไปเอามาเพิ่มให้นะ”
“ กินเข้าไปเยอะๆนะเจ้าหมา รู้ไหมว่าเจ้าโชคดีขนาดไหนที่ประมุขเจียงไปเจอเข้าน่ะ”
ประมุขเจียง ... เจียงเฉิงผู้นั้นน่ะหรือที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
“ แผลที่ขามันยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ขอรับ อักเสบมาก เพราะ ทิ้งไว้นาน แต่แผลแตกและฝกช้ำที่อื่นไม่นานก็น่าจะหายนะขอรับ “
“ ถ้าดีขึ้นแล้วก็พาเจ้าหนูนี่ไปอาบน้ำอาบท่าซะนะ เนื้อตัวสกปรกมอมแมมไปหมด”
เจ้าหมานี่วอนหาที่ตายแล้วไหมล่ะ ไปเห่าใส่ประมุขเจียงแบบนั้น ศิษย์ที่นั่งอยู่แอบกลืนน้ำลาย
“ ของสำคัญสินะ “
เสียงอ่อนของประมุขหนุ่มทำให้ศิษย์ล อบถอนหายใจอย่างคลายกังวล
“ ถ้าของสำคัญก็เก็บไว้ดีๆล่ะเจ้าหนู “
เจียงเฉิงกำชับกับลูกศิษย์ที่เป็นผู้ดูแลเขาอีกสองสามประโยคก่อนเดินกลับออกไป
ใจหนึ่งก็ดีใจที่มีใครมาช่วยเอาไว้แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่คิดว่าจะได้รับความเมตตาจากคนที่เขาเคยทำตัวไม่ดีใส่ในยามที่ยังเป็นคน
ปากคอเราะร้ายเกินใคร พูดจาโผงผางการกระทำต่างๆก็ล้วนแข็งกระด้างในหลายคราก็กล่าววาจาล่วงเกินผู้อาวุโส ไม่ว่าจะไปที่ใดก็รังแต่จะทำให้คนหวาดกลัวไม่อยากเข้าใกล้ ราวกับอสูรกายไม่มีผิด
หลานซีเฉินกินน้ำในถ้วยที่ศิษย์ยกมาให้หลังจากกินข้าวไปถึงสองชาม อันที่จริงตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของอวิ๋นเมิ่งเจียง
ในตอนนี้ศิษย์ที่ทำแผลบนร่างกายให้เขาออกไปทำงานทำการสิ่งอื่นแล้ว เมื่อหนังท้องอิ่มหนังตาก็ย่อมต้องหย่อน เปลือกตาของหมาป่าตัวใหญ่ค่อยๆปิดลงก่อนจมลงสู่ห้วงนิทราเพื่อพักผ่อน
แผลของเขาเริ่มดีขึ้นมาก ร่างกายก็เริ่มแข็งแรงจากการได้กินอาหารและพักผ่อน แต่ก็ยังไม่ได้ถูกพาไปอาบน้ำ
เจียงเฉิงเดินเรื่อยเข้ามาจนเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน เจ้าหมานั่นกำลังใช้ปากพยายามคาบผ้าพันแผลอย่างนั้นรึ
“ นี่เจ้ากำลังจะพันผ้าพันแผลใหม่หรือ “ สุรเสียงของประมุขเรียกให้หลานซีเฉินที่กำลังง่วนกับการพยายามพันแผลเงยหน้าขึ้นมอง
เสียงเห่าเหมือนเป็นเสียงตอบรับอย่างไรอย่างนั้น
“ มาให้ข้าช่วยดีกว่า” น้ำเสียงนั้นเหมือนว่าจะอ่อนลง ก่อนร่างสูงจะย่อตัวลงนั่งกับพื้นข้างๆเขา เอื้อมจับขาซ้ายที่มีผ้าพันแผลที่หลุดอยู่ ค่อยๆเอามันออก แล้วใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำที่อยู่ในถัง
“ ข้าว่ามันน่าจะแสบ ยังไงก็อดทนหน่อยนะเจ้าหมา ใครกันนะที่มันช่างใจร้ายทำกับเจ้าถึงเพียงนี้”
เจียงเฉิงควานหากระปุกยาที่อยู่ในชั้นที่ลูกศิษย์เอาไว้วางข้าวของที่ใช้ในการดูแลเจ้าหมาตัวนี้
ในยามอื่นที่ทำแผลเขาก็ว่าศิษย์สกุลเจียงก็ไม่ได้มือหนักเท่าไหร่นัก หากแต่ยามนี้ที่ใครอีกคนกำลังทำแผลให้ กลับทำให้เขาหลงเคลิ้มไปในความอ่อนโยน ไม่น่าเชื่อว่าคนที่กำกระบี่มาทั้งชีวิตจะมือเบาเช่นนี้
“ นอนพักเยอะๆนะ จะได้หายไวๆ”
หลานซีเฉินเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่า(ในยามนี้)
“ ข้าเห็นด้วยกับเจ้านะอาซ่ง เรื่องที่มันเหม็น แต่ข้าไม่กล้า ตัวมันใหญ่ขนาดนี้เกิดกัดขึ้นมาถึงตายเลยนะ”
รู้ถึงไหนอายเขาไปถึงนั่น เจ๋ออู๋จวิน ประมุขแห่งสกุลหลานที่คนล้วนนับหน้าถือตา
“ พวกเจ้าถกเถียงอะไรกัน หากไม่มีใครกล้าก็ไปทำงานอย่างอื่นเสีย เดี๋ยวข้าทำเอง “
“หรือถ้าเจ้าอยากจะทำข้าก็ไม่ขัดอะไร” เมื่อผู้เป็นประมุขเปิดช่องทางรอดมาขนาดนี้แล้ว มีหรือที่ศิษย์อย่างพวกเขาจะไม่รับมันเอาไว้
“ ขอบพระคุณประมุขเจียงมากขอรับ เดี๋ยวพวกข้าจะรีบไปเตรียมอุปกรณ์ให้นะขอรับ”
เจียงเฉิงมีเวลาว่างนั่นแหละ ไม่งั้นเขาคงไม่เสนอตัวทำ ที่บอกว่าทำเพราะเป็นหัวลูกศิษย์ มันก็จริง เขามีวรยุทธสูงกว่า
“ ให้พวกเราช่วยอะไรอีกไหมขอรับ “
“ ไปทำงานที่คั่งค้างไว้ของพวกเจ้าเถอะ”
“ งั้นก็ดี ข้าจะพาไป แต่สัญญากันก่อนว่าเจ้าต้องเป็นเด็กดี ไม่ดื้อซน ถ้าไม่งั้นเห็นนี่ไหม ถ้าเจ้าดื้อข้าจะฟาดเจ้า “เจียงเฉียงแปลงแหวนบนนิ้วเรียวให้กลายเป็นแส้สายฟ้าพร้อมฟาดลงพื้นข่มขู่เจ้าหมา
เจียงเฉิงแอบยิ้มเมื่อเห็นเจ้าหมาตัวสั่นน้อยๆ เจ้าหนูนี่กลัวเขาจริงรึ แต่กลัวก็ดีจะได้ไม่วุ่นวาย
ประมุขเจียงย่อเข่าลงใช้ลูกกุญแจที่วางอยู่บนชั้นปลดโซ่ที่ขาหลังของเจ้าหมาออก ซึ่งอีกฝ่ายก็มีท่าทีสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดีไม่วิ่ง ก่อนจะนำเชือกผูกเป็นห่วง
ลากจูงเจ้าหมาตัวโตไปยังท่าน้ำหลังเรือน ซึ่งไม่มีใครผ่านไปมาเท่าไหร่นัก
ประมุขเจียงตักน้ำจากลำคลองใสขึ้นมารดเขา อีกคนรั้งมือไว้ไม่ให้น้ำเทใส่ตัวแรงและเร็วเกินไปแต่ก็ทั่วตัว
“ แสบนิดนึงนะเจ้าหนูแต่เดี๋ยวเจ้าก็จะได้สบายตัวแล้ว”
เจียงเฉิงราดไปสองสามถังเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าหมาเปียกชุ่มไปทั้งตัวแล้ว
“ เกร็งไปหมดเลยเจ้าหนู กลัวหรือไง “
“ ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะทำเบาๆ “
สถานการณ์นี้มันอะไรกันหลานซีเฉินอยากจะกรีดร้องออกมา นี่มันเหมือนกับบทหนึ่งในหนังสือประโลมโลกที่เขาเคยยึดลูกศิษย์ที่ทำผิดกฏมาเลยไม่ใช่หรือ ทั้งท่าทีและน้ำเสียงเช่นนี้
แล้วประมุขเจียงผู้นั้นก็มีอาวุโสน้อยกว่าเขาแต่กลับลูบหัวเขาอย่างกับเป็นเด็กเล็กๆ แต่มันก็ใช่นั่นแหละก็ตอนนี้เขาเป็นหมา เป็นเจ้าหนูในสายตาของอีกฝ่ายนี่
“ สบายตัวใช่ไหมล่ะเจ้าหมา เดี๋ยวตากแดดอีกหน่อยขนก็แห้งแล้ว ขนหนาเสียจริง”
“ เจ้าอยากเดินเล่นหรือไม่ อุดอู้อยู่ในเรือนเสียนาน”
“ ข้าเพียงแค่อยากให้ท่านประมุขเท่านั้น รับไปทานเถิดนะเจ้าค่ะ” หญิงชราระบายยิ้มออกมา
“ ข้ารับไว้แค่เพียงหนนี้นะ หนหน้าท่านยายต้องรับเงินรู้หรือไม่” ประมุขหนุ่มทำเสียงดุใส่ แต่หญิงชราก็เพียงแค่รับปากผ่านๆ
ประมุขเจียงผู้ที่เป็นที่เลื่องลือในด้านของความร้ายกาจ ดุร้าย ใครเข้าใกล้ก็ต่างขนพองสยองเกล้ากันหมด
“ เจ้าหมาาาา โอ๊ย “ แต่ยังไม่ทันถึงตัวก็สะดุดขาตัวเองล้มลงไปเสียก่อน
“ นี่ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” ประมุขเจียงวิ่งเข้าหาเด็กหญิง
“ อยู่ดีๆก็วิ่งเข้ามาเช่นนี้ได้หรือ แล้วเจ้ามากับผู้ใด”
“ ข้าขออภัยแทนน้องสาวข้าด้วยนะขอรับท่านประมุข ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดก็ขอให้ประมุขโปรดลงโทษข้าแทนเถิดขอรับ” เด็กชายทรุดตัวลงคุกเข่าขอโทษขอโทษแทนน้องสาวเป็นการใหญ่
“ หยุดเถิด เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไร ดูเอาเถิดเสี่ยวฟาง สิ่งที่เจ้าทำทำให้พี่ชายของเจ้าต้องเดือดร้อนเช่นนี้ใช้ได้หรือ ตลาดผู้คนมากมายหากพลัดหลงกันไป—
“ มะ มะ ไม่ เจ้าค่ะ “
“ ถ้าเช่นนั้นต่อไปเจ้าก็ต้องเชื่อฟังพี่ชายเจ้า ห้ามวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาแบบนี้อีกรู้ไหม”
“ เจ้าค่ะ ท่านประมุข”
“ ขอรับท่านประมุข”
“ แล้วเจ้าก็ต้องระวังด้วย ไม่แน่ว่าหมาทุกตัวจะเล่นได้ มันอาจจะกัดเจ้าได้ แล้วเจ้าหมานี่ก็เป็นหมาป่า ถ้าไม่ได้อยู่ในการดูแลของผู้ใหญ่ก็ห้ามวิ่งเข้าไปเล่นเลย—“
“ อ่า มัน ไม่มีชื่อหรอก” เจียงเฉิง อึกอักขึ้นมา เขายังไม่ได้ตั้งชื่อให้เจ้าหนูนี่
“ ทำไมล่ะเจ้าคะ “
“ มันเป็นหมาป่าน่ะ ไม่ใช่หมาเลี้ยง เพียงแต่ตอนนี้มันบาดเจ็บข้าก็เลยพามันมาดูแลก่อน เมื่อหายดีก็จะปล่อยมัน—“
ใช้เวลาไม่นานนักเด็กๆก็ถูกพ่อแม่มาตามกลับบ้าน ส่วนเขาก็เห็นว่าได้เวลาอาหารเย็นสมควรแก่การกลับเรือน
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเขาหวาดกลัวกับโลกที่ต้องออกไปเผชิญนอกเหลียนฮวาอู้ที่ช่างโหดร้ายเหลือเกินก็เป็นได้
หวนให้นึกถึงอดีตครานั้นที่เขาเข้าเรือนสำนึกตน ทำตัวราวกับจะเป็นคนตายเสียให้ได้
“ ท่านอาจารย์หลานแน่ใจหรือว่ายังอยากให้ข้าทำอาหารมาให้เขาอีก ข้าชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าข้าทำอาหารมาให้คนกินหรือมาเซ่นไหว้ภูติผีวิญญาณ มันแทบจะไม่พร่องไปเลยแม้แต่น้อย”
ศิษย์ผู้นั้นทำการผสมแกงรากบัวกับข้าวสุก กระดูกหมูที่ใส่มาให้ก็เยอะไม่น้อย
ยามนี้มีใครยังไม่เข้านอนอีกหรือ
แผ่นหลังที่เคยยืดตรงสง่างามเสมอนั้นห่อลู่ลงต่างจากปกติ
“ แต่เจ้ารู้หรือไม่สิ่งที่ข้าโกรธมากที่สุด—“
“ เคยมีคนบอกกับข้าเอาไว้ ว่าคนร้ายกาจอย่างข้าใครเขาจะอยากอยู่ด้วย ข้าก็คงต้องอยู่คนเดียวและตายเพียงลำพังนั่นแหละ “
“ เจ๋ออู๋จวิน เมื่อใดท่านจะสำนึกได้สักทีว่าสิ่งที่ทำอยู่เช่นนี้มันส่งผลเสีย เรื่องของท่านไม่ใช่ธุระกงการสิ่งใดของข้า ท่านจะเศร้าคร่ำครวญหรือตายไปก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องใส่ใจ แต่ที่ข้าต้องยื่นมือเข้ามาสอด—“
“ สามหาวนัก เจ้าไม่มีสิทธิกล่าววาจาเช่นนี้กับข้า คนสกุลเจียงไม่มีใครสั่งสอนหรือว่าการประพฤติตนต่อผู้อาวุโสกว่าต้องทำเช่นไร”
“ คนหยาบกระด้าง ไร้หัวใจเยี่ยงเจ้าจะไปเข้าใจสิ่งใดกัน ” เรื่องราวมากมายที่เขาต้องประสบอีกคนไม่มีวันเข้าใจได้
“ แล้วต้องให้ข้าพูดจาอย่างไร ยโสโอหัง ปากคอเราะร้ายเช่นเจ้าอย่างนั้นหรือ“ หลานซีเฉินเว้นจังหวะไปเพียงนิดก่อนพูดต่อ
ปึกกระดาษที่ประมุขเจียงโยนลงมาตรงหน้าเป็นรายงานศิษย์ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เขาเป็นคนดูแล
“ เจ้าจะปลอบข้างั้นรึ “ เจียงเฉิงเอามือลูบบนหัวมันหวังให้มันสงบลง
“ ไม่เป็นไรหรอกเจ้าหนูข้าชินแล้ว อยู่คนเดียวมานานขนาดนี้แล้ว อยู่ต่อไปอีกก็ไม่เป็นไรหรอก”
“ เจ้าอย่าทำตัวน่ารักนักสิ เดี๋ยววันที่เจ้าจะไปข้าก็เสียใจแย่ “
“ นี่เจ้าหนู เจ้าเป็นหมาป่า ธรรมชาติของเจ้าย่อมไม่ชอบการถูกกักขัง ในวันนี้เจ้าหายดีแล้ว—“
“ ข้านี่บ้าเหลือเกิน พูดกับเจ้าเป็นวรรคเป็นเวร เจ้าจะฟังรู้เรื่องได้อย่างไรกัน”
ไม่มียามไหนที่หลานซีเฉินอยากกลับไปเป็นมนุษย์เท่ายามนี้ เขาอยากจะบอกอีกคนหลายอย่างเหลือเกิน อยากบอกว่าเขาฟังรู้เรื่อง อยากพูดปลอบ
ทั้งที่ควรจะแยกกันไปนอนตามประสาหมาที่ฟังรู้เรื่อง แต่เหมือนจิตใต้สำนึกสั่งให้เขาก้าวเดินตามอีกคนไปจนถึงเรือนที่ห่างกันแค่เพียงไม่กี่ก้าว
ตอนนี้ไม่ได้มีเจ๋ออู๋จวินผู้เก่งกาจสามารถ ที่ทุกอย่างต้องสมบูรณ์พร้อม ห้ามทำสิ่งใดผิดพลาด ตอนนี้เขาเป็นแค่เพียงเจ้าหมาหน้าโง่ตัวหนึ่งที่อยากจะทำสิ่งใดก็ได้ และในยามนี้มันอยากอยู่เฝ้าเจ้าของมัน
แสงจันทร์สาดกระทบผ้าม่านผืนบางตรงหน้าต่างฉายให้เห็นเงาของชายร่างสูงใหญ่ที่อยู่อีกฝากก่อนที่สายลมจะพัดให้มันปลิวแง้มออก อาภรณ์ลายเมฆสีขาวสลับฟ้า สัญลักษณ์แห่งสกุลหลาน
เจียงเฉิงลงจากเตียงไปเปิดประตูห้องให้ศิษย์นำสำรับเข้ามา ยังคงคิดไม่ตก ก่อนที่สายตาจะหันไปต้องกับหีบที่ตั้งอยู่มุมหนึ่ง
หรือว่าฝันนั้นจะเป็นจิตวิญญาณตระกูลหลานที่มาทวงของคืน
ของในหีบห่อนี้ หากข้าจำไม่ผิดคิดว่าเป็นกระบี่และเซียวของเจ๋ออู๋จวิน ข้าพบมันเมื่อสองเดือนก่อน มันขายอยู่ที่ตลาดในหมู่บ้านทางตอนใต้ของอวิ๋นเมิ่งเจียง จึงคิดเอาว่าแม้นเจ้าของมันจะไม่ต้องการแต่ตระกูลหลานก็คงอยากจะเก็บมันเอาไว้ —
- เจียงเฉิง- ‘
ข้อความสั้นๆในจดหมายถูกแกะอ่านด้วยใครอีกคนที่ไม่ใช่บุคคลที่ถูกจ่าหน้าซอง ชายหนุ่มรูปงามอาภรณ์สีดำสลับแดงตัดกับสีขาวบริสุทธิ์ของสกุลหลานหยิบมันขึ้นมาอ่านทันทีเมื่อเห็นว่าผู้ส่งคือใคร
“ แต่กระแสพลังเปลี่ยนไป “ ถึงใบหน้านั้นจะดูเรียบเฉยเฉกเช่นเคย แต่เขาก็รู้ดีว่ามันฉายแววความกังวลอยู่ในนั้น
“ ถ้าอยากไปหาเขาก็แค่ไปหา “ ร่างสูงเอื้อมมือมากุมมือของอีกคนเอาไว้ เว่ยอิงอยากกลับท่าเรือสัตตบงกชมาตลอด แต่อีกคนกำลังกลัว
* เนื้อเรื่องไม่เหมือนทล.ในซีรีย์นะคะ*
“ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าไปเป็นเพื่อนข้า” บุรุษในชุดขาวไม่รีรอให้ได้รับคำตอบก็รีบลากจูงข้อมือของอีกคนไปทันที
“ เอาแต่ใจจริงนะคุณชายรองหลาน ลากข้ามาไม่ถามสักคำ “ เว่ยอิงพูดไปอย่างนั้น เพราะ เมื่อถึงอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีอิดออดซ้ำยังอยากมาเสียเต็มประดา เขาจะมองฟูเหรินของตนไม่ออกได้อย่างไร
เว่ยอิงระบายยิ้มเมื่อมองดูภาพน้องชายคนเล็กที่กำลังสนทนากับหลานจ้าน
พลันจังหวะที่เขาก้มหน้าลง ปลายสายตาก็สังเกตเห็นก้อนสีขาวบางอย่างที่เคลื่อนตัวเข้ามาหา
อย่าเลยนะ อย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิด ไม่ใช่หรอกเขาตาฟาดไป
“ หลานจ้าน หมาาาาา !!!”
เขาจะทำอย่างไรให้คุณชายเว่ยใจเย็นลงก่อนได้ หรือจะพยายามยิ้มอย่างเป็นมิตรเฉกเช่นยามเป็นมนุษย์
เจ้าอสูรกายสีขาวขนาดมหึมานั่นอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่สามฉื่อ(~1 เมตรนะคะ)
นอกจากเปล่งเสียงเห่าแล้วมันยังเดินมาใกล้เขามาขึ้นเรื่อยๆ ด้านหลังหมดทางถอยหนี นอกเสียจากจะกระโดดเข้าพุ่มไม้ ไม่ก็โดดหนีลงสระบัว ระหว่างที่เว่ยอู๋เซี่ยนกำลังขบคิดอย่างหนักว่าจะเลือกกระโดดหนีไปทางไหนดี
นั่น เจ้าหมานั่นกำลังจะทำอะไรน่ะ เจ้าอสูรนั่นหยุดเสียงเห่าและกำลังฉีกริมฝีปากแยกเขี้ยวข่มขู่เขาใช่ไหม
ต้องใช่แน่ๆ มันกำลังข่มขู่เขาอยู่
“ หลานจ้านนนนน ช่วยด้วย!!!”
ชายผ้าสีดำสลับแดงพริ้วไสวอยู่ปลายสายตา เสียงคุ้นเคยนั้นย่อมไม่ผิดแน่
เจียงเฉิงออกเดินตามหลังหานกวงจวินแทบจะทันทีเช่นกัน
เว่ยอิงที่แอบหลบอยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งมีพื้นที่ไม่มากนัก ดูแล้วอีกฝ่ายกำลังแอบดูเขาสนทนาอยู่กับหานกวงจวิน แต่กลายเป็นว่าเจ้าหมาเดินมาเจอเสียก่อนเลยทำให้หลุดเผยตัวออกมา
คนที่ซ้อนตัวอยู่หลังคนรัก ยิ่งพยายามทำตัวเล็กลงไปอีกนี่เขาต้องเผชิญทั้งหมา ทั้งอาเฉิงพร้อมกันเลยรึ ทำไมสวรรค์ไม่เมตตา
‘ ประมุขเจียงอย่าได้นำข้าไปขู่คุณชายเว่ยเช่นนั้น ‘
หลานซีเฉินกำลังพยายามประท้วงอีกคราแต่ก็นั่นแหละ ยิ่งเหมือนกับเจ้าหมากำลังเห่าขานรับ
“ เว่ยอิงอยากมาหาเจ้า เอาหมาออกไป” เซียนตูเอ่ยออกมา เขาไม่ใช่คนที่ชอบออกปากมากเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่อยากให้เว่ยอิงต้องมานั่งกังวลใจเรื่องเจียงเฉิงอีกแล้วสู้พูดคุยกันให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า
“ เจ้าหมาออกไปก่อน” เจียงเฉิงยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้าเพียงแต่โบกมือไล่เจ้าหมาตัวโตให้เดินออกไปซึ่งมันก็ดูเข้าใจอละปฏิบัติตาม
“ ไม่ ข้าอยากกลับ อยากกลับมาตลอด แต่...”
“ ไม่เลยนะ อาเฉิงคนดีของข้า “ เป็นเว่ยอิงที่เลือกทำตัวเลิ่กลั่กและพุ่งตัวเข้าโอบกอดคนเป็นน้องเอาไว้
“ ข้าเพียงแค่ไม่มีหน้าจะกลับมาพบเจ้า ข้าเป็นพี่ที่แย่ สิ่งที่ข้าทำผิดพลาดเต็มไปหมด ข้ารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าไม่ได้ “
“ เจ้าบ้าเว่ยอู๋เซี่ยน ข้าเคยบอกเจ้าหรืออย่างไรว่าข้าเกลียดเจ้า ข้าเคยห้ามไม่ให้เจ้ากลับท่าเรือสัตตบงกชมีเพียงเจ้านั่นแหละที่ไม่กลับ”
“ ก็ใช่น่ะสิ “ เจียงเฉิงก็ทอดสายตามองหน้าพี่ชายบุญธรรมอย่างไม่มีแววล้อเล่น
สองพี่น้องไม่พูดสิ่งใดกันต่อมากเพียงแค่กอดกันอยู่อย่างนั้น ชดเชยเวลาที่ขาดหายไป เติมเต็มคำว่าครอบครัว
เสียงเห่าที่ดังขึ้นเรียกความสนใจของเจียงเฉิง
“ ว่าไงเจ้าหมา “ เจียงเฉิงคุกเข่าลงไปนั่งเสมอเจ้าหมาป่า พลางเอามือสอดเข้าไปใต้ขนนุ่มก่อนจะขยี้เบาๆอย่างเอ็นดู
หางฟูสีขาวส่ายไปส่ายมาไม่หยุดตั้งแต่ที่อีกคนเข้ามาหา
“ เหงาหรือ ข้าเพียงไม่มาหาเจ้าแค่วันสองวันเองนะ “
‘ ไม่ใช่เสียหน่อย สามวัน สี่ชั่วยามต่างหาก ‘
เจ้าหมาป่ารีบเห่าประท้วงทันที ไม่ได้มาเยี่ยมตั้งนานแต่มาบอกว่าแค่สองสามวันได้อย่างไรกัน เขาไม่ยอม
แค่เพียงเขาบอกว่าจะพาไปอาบน้ำไปเดินเล่นข้าต้องตื่นเต้นเพียงนี้เชียวหรือ
เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อใดกันนะ เป็นหมาตัวหนึ่งที่เฝ้ารอเจ้าของอย่างใจจดจ่อ
และยิ่งไม่คิดเข้าไปใหญ่ ว่าคนคนนั้นจะเป็นประมุขเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่ง คนที่เคยพบมาตลอดตั้งแต่ยามเป็นศิษย์จวบจนเป็นประมุข แต่ก็ดูเหมือนว่ามีหลายสิ่งที่เขาได้มองข้ามผ่านไป จึงไม่เคยได้มองเห็น
หลานซีเฉินใช้ขาหน้าดันผ้าคาดศีรษะเข้าไปเก็บไว้ตามเดิม อันที่จริงเขาคิดมาสักพักว่าหากนำไปให้วั่งจีที่มาที่นี่บ่อยเสียเหลือเกิน
หากแต่เมื่อคิดไปอีกครา ถ้าหากทุกคนรู้เขาต้องกลับอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ ไม่ได้อยู่ที่นี่อีก แค่เพียงคิดว่าต้องกลับไป สัญชาตญาณก็สั่งให้ตนทำอีกอย่างที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ควร
เป็นการทำสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาตลอดชีวิต การทำตามใจของตัวเอง
There’s something sweet and almost kind but he was mean and he was coarse and unrefined
And now he’s dear and so I’m sure
I wonder why I didn’t see it there before
Who’d have ever thought that this could be
True, that he’s not prince charming
But there something in him that I simply didn’t see.
ก็คือเฉลยแล้วนะคะ ว่าใครเป็น beast😂😂 //เวอร์ไทยก็เพราะไปลองฟังกันได้
“ เสียงดังจริง “ ไม่รอให้ผู้เป็นน้าได้ขยับออกจากที่ ร่างเล็กในชุดสีเหลืองทองก็โถมตัวเข้ากอดผู้เป็นน้า
“ คิดถึงข้าหรือเห็นแก่กินกันแน่ห้ะ “
“ ทั้งสองอย่างเลย ว่าแต่เจ้าหมายังไม่กลับป่าไปอีกหรือท่านน้า “ จินหลิงหันมองหมาป่าตัวโตที่นอนอยู่ข้างหมาของตน ถ้าไม่บอกเขาว่าเป็นหมาป่าเขาจะคิดว่ามันเป็นหมาบ้านแล้ว
ดูจากหน้าของมันที่เคลิ้มกับมือของท่านน้าขนาดนั้นจินหลิงคิดว่าเจ้าหมาป่าตัวนี้มันคงไม่อยากจะกลับแล้วล่ะ
“ เออ ข้าพาคนมาหาท่านด้วยล่ะ “
“ ท่านน้าเว่ยบอกว่าท่านรู้จักเขาดีทีเดียวและเห็นว่าข้ากำลังจะมาท่าเรือสัตตบงกชพอดีเลยฝากเขามาด้วยน่ะ มีจดหมายที่ท่านน้าเว่ยฝากข้ามาด้วยนะ “ จินหลิงหยิบแผ่นกระดาษที่ใส่ไว้ในอกเสื้อออกมายื่นให้กับผู้เป็นน้า
ไม่ต้องขอบคุณพี่ชายคนนี้หรอกนะ แต่ข้าเตรียมของขวัญที่เจ้าจะถูกใจมากๆส่งให้ถึงที่เชียวล่ะ หวังว่าเจ้าจะชอบนะ คนนี้น่ะ ตรงกับคุณสมบัติที่เจ้าตั้งที่สุดที่ข้าเคยเจอแล้ว ‘
เจ้าบ้าเว่ยอู๋เซี่ยนคิดจะทำอะไรแผลงๆกับเขาอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย
“ ข้าให้เล่นกับเซียนจื่อรออยู่ที่ศาลาริมน้ำน่ะท่านน้า “ เมื่อได้ฟังเจียงเฉิงก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานพลันเจ้าหมาก็ลุกขึ้นตามไปด้วย
“ งั้นไปกันเถอะ อย่าปล่อยให้นางต้องรอเลย”
“ ชักช้าอยู่นั่นแหละเจ้าลูกกระต่ายมาเร็ว “ ไม่มีเวลาพอให้จินหลิงได้ถกเถียงผู้เป็นน้าก็ลากจูงมือเขาไปก่อน
บุรุษอย่างนั้นหรือ
เว่ยอู๋เซี่ยน เล่นอะไรแผลงๆอีกแล้วสินะ ถ้าเจอเจ้าครั้งหน้าข้าจะฟาดเจ้าให้ตาย
เสี่ยวเฉิงงั้นหรือ
ผู้ที่เรียกเขาอย่างนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ใครคนนั้นที่นานมาแล้วไม่ได้พบ พี่ชายผู้แสนใจดีคนนั้น บัดนี้สง่างามขึ้นมากเหลือเกิน
“ จื้อเว่ยเกอ “
หลานซีเฉินกำลังสับสนว่าชายตรงหน้าผู้นี้คือใครกันแน่ ชายที่กล้าเรียกอาเฉิงอย่างนั้น และอาเฉิงก็ไม่ได้โกรธเคืองซำ้ยังเรียกกลับว่าเกออีก ขนาดเว่ยอู๋เซี่ยนที่เป็นพี่ชายบุญธรรมเขายังไม่เคยได้ยินอีกคนเรียกด้วยความสนิทสนมเช่นนี้เลย
“ ตอนนี้เกอกลับมารับตำแหน่งประมุขตระกูลต่อจากท่านพ่อแล้วล่ะ “
“ แล้วท่านไม่เดินทางต่อแล้วหรือ ท่านเล่าให้ข้าฟังนี่ว่า—“
“ การเดินทางที่ผ่านมาเกอเจอหลายสิ่งหลายอย่างมากเหลือเกิน หากแต่วันหนึ่ง เกอก็รู้สึกว่าถึงเวลาที่เกอควรจะกลับบ้าน “ เส้นทางการค้าในต่างแดน
เขาไม่ได้อยากมีชีวิตที่เดินทางไปเรื่อยๆอีกต่อไป แต่อยากมีชีวิตที่กลับบ้านเพื่อได้เจอใครสักคน
การเดินทางที่แสนยาวนานทำให้เขาได้พบเจอคนมากมาย แต่เมื่อนึกถึงคำว่า ‘ บ้าน ‘ในจินตนาการของเขาแล้ว กลับนึกออกแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
‘ เจียงหวั่นอิ๋น ‘
“ ขออภัยที่ล่วงเกินเจ้า “
“ เกอเห็นใบไม้ตกใส่ผมเจ้าจึงมือไวปัดออกไปก่อน ขออภัยด้วยจริงๆ”
“ ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย ก่อนนี้จับต้องตัวกันยิ่งกว่านี้ก็มี เพียงเท่านี้ไม่ถือสา “ เจียงเฉียงยังคงระบายยิ้มให้กับผู้มาเยือน
ถึงปากจะขอโทษแล้วแต่มือนั่นน่ะยังคงวางอยู่บนผมของอาเฉิงไม่ใช่หรือไง
หลานซีเฉินเริ่มเห่าประท้วงชายแปลกหน้าที่ชักจะทำตัวรุ่มร่ามกับอาเฉิงมากจนเกินงาม
แต่เหตุการณ์ตรงกันข้ามกับที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง เจ้าหนูนั่นนั่งลูบหัวหมาน้อยมองผู้เป็นน้ากับชายคนนั้นด้วยสายตาปิติยินดีเสียด้วยซ้ำ
เจียงเฉิงก้มตัวลงเท่ากับเจ้าหมาป่า ปกติไม่เคยเห็นจะดื้อถึงเพียงนี้ เจ้าหมาจัดเป็นหมาที่สงบเสงี่ยมมาก
“ เป็นอะไรเจ้าหมา ปกติเจ้าไม่เป็นแบบนี้นี่ เด็กดี” มือเรียววางบนหัวก่อนลูบปลอบให้มันสงบลง ซึ่งก็ดูเหมือนจะสงบลงได้บ้าง ก่อนที่คุณชายจ้าวจะถามขึ้นมา
“ ข้าเก็บมันได้เมื่อประมาณเกือบสี่เดือนก่อน ตอนไปออกเยี่ยเลี่ยเจอมันบาดเจ็บอยู่ก็เลยพามันกลับมารักษาน่ะ” เจียงเฉิงตอบไปตามตรง ส่วนเจ้าหมาก็ตวัดสายตามองผู้ถามอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ
“ อาเฉิง จื้อเว่ยเกอให้เอามาให้เจ้า “ เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ยขึ้นพร้อมทำหน้าทะเล้น
“ แล้วเหตุใดเขาจึงต้องฝากเจ้ามาเล่า ทำไมเขาถึงไม่มาให้ด้วยตัวเอง “
“ ไม่เปิดดูหรือว่ามันคือสิ่งใด” เมื่อได้ยินดังนั้นเจียงเฉิงก็เปิดกล่องอย่างไม่ทะนุถนอมเท่าไหร่นัก ภายในเป็นผ้าไหมสีม่วงเข้มเส้นยาวปักลายดอกบัวสัญลักษณ์สกุลเจียงเอาไว้ภายใน ไม่เหมือนเครื่องประดับหญิงสาว แต่ก็งดงามไม่น้อย
“ มันสวยมากเลยอาเฉิง และเข้ากับเจ้ามากๆ “ เว่ยอิงเอ่ยชมออกมาจากใจเพียงปราดตามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าของชิ้นนี้มูลค่าไม่น้อยอันที่จริงมันน่าจะเป็นของสั่งทำ
“ ก็ไม่เท่าไหร่หรอก ที่เจ้ากับพี่หญิงได้ก็งดงามไม่แพ้กันไม่ใช่หรือ”
“ แต่ไม่มีอันไหนงามเท่าของเจ้าหรอก” เจียงเฉิงทำหน้างุนงงใส่คนเป็นพี่
“ไว้โตกว่านี้เจ้าจะเข้าใจ” เว่ยอิงตบบ่าน้องชายเบาๆ
“ มันเป็นอันที่งามถูกใจข้ามากที่สุด “
เจียงเฉิงพูดออกมาอย่างไม่คิดอะไรหากแต่ทำให้ใครอีกคนใจเต้นจนแทบจะหลุดออกจากอก
แค่คืนร่างเท่านั้น
แต่นั่นแหละปัญหา จะคืนร่างได้ยังไง เขาไม่เข้าใจในเงื่อนไขของคำสาปเลยด้วยซ้ำ เขามีความรู้มาว่าสัตว์ปีศาจ
ถ้ามีใครรักใครเมตตาแม้ว่าจะอยู่ในร่างสัตว์เดรัจฉานหรือ
หรือว่าภายในคำสาปนั้นมีเงื่อนไขที่แอบแฝงอยู่ที่เขายังคิดไม่ออก
“ เสี่ยวเฉิงเจ้าลองชิมนี่หน่อยสิ เกอสั่งทำมาเพื่อเจ้าเลยนะ เห็นว่าช่วงนี้เจ้าดูอ่อนเพลียไม่น้อย ”
สำหรับหลานซีเฉินแล้วมันช่างน่าหมั่นไส้เสียจริง
“ ลำบากจื้อเว่ยเกอแล้ว “ เจียงเฉิงพับม้วนกระดาษเก็บเหลือพื้นที่ว่างบนโต๊ะสำหรับวางถาดอาหาร
“ ไม่ลำบากเลยเกอยินดีทำให้เสี่ยวเฉิง เกอยังรู้จักสมุนไพรช่วยผ่อนคลายได้ดีอีกหลายตัว ไว้เกอจะสั่งคนตุ๋นมาให้เจ้าอีก”
หลานซีเฉินขยับหัวขึ้นไปเกยบนตักของอีกคนก่อนจะไถไปมาเรียกความสนใจ
“ ว่าไงเจ้าหมา อยากกินมั่งรึ “
‘ ข้าไม่ได้อยากกิน ข้าเพียงอยากให้เจ้าสนใจข้าบ้างเท่านั้น ‘
มือเรียวลูบหัวสีขาวอย่างเบามือ หางของเจ้าหมาป่าก็สั่นตามไม่หยุด
เจียงเฉิงกินข้าวต้มเห็ดหลินจือร้อนๆที่เขาเอามาเสร็จ ลูกศิษย์ก็มาแจ้งข่าวถึงการมาเยือนอย่างกะทันหันของเรือสำเภาจากตะวันตก อีกฝ่ายจึงรีบขอตัวออกไปก่อน โดยให้เขารออยู่ในห้องกับเจ้าหมาป่าสีขาวที่โดนสั่งห้ามไม่ให้ตามไปเช่นกัน
ความลับที่ไม่เคยมีใครรู้ของเขา ความสามารถพิเศษของจ้าวจื้อเว่ย ดวงตาแห่งสวรรค์ ดวงตาที่มองเห็นจิตวิญญาณ
แต่อย่างไรก็รักษาไม่หาย จนสุดท้ายเขาก็ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ และในหลายครั้งมันก็มีประโยชน์
ยามนี้ที่ได้อยู่เพียงลำพังเขาจึงได้โอกาสถาม
“ ท่านไม่ใช่หมาป่าอย่างที่รูปกายท่านเป็น ท่านมีจิตวิญญาณเป็นมนุษย์ ท่านคือสิ่งใดกันแน่ “
จ้าวจื้อเว่ยได้ยินคำของหมาป่าผ่านเสียงเห่า เล่นแง่เสียจริงนะเจ้าหมา หลังจากเจอกันหลายคราเขาก็พอรู้ล่ะว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะทำร้ายเสี่ยวเฉิง น่าจะตรงกันข้ามเสียมากกว่า
ยังไม่ทันที่จะได้สนทนากันต่อเจียงเฉิงก็เดินกลับเข้ามาพอดีทั้งสองจึงต้องกลับไปทำตัวอย่างเดิมเหมือนตอนที่อีกฝ่ายจากไป
“ เห้ย เจ้าหมาหยุดก่อน อย่าเข้าไปรบกวนท่านประมุข ออกมา” ศิษย์สกุลเจียงที่นำท่านหมอหันหลังขวับร้องเสียงหลง
“ ว่าไงเจ้าหนู “ เจียงเฉิงเอื้อมมือมาแตะกลุ่มขนสีขาวฟูที่สูงเลยขอบเตียงมาไม่มาก ขณะที่ยืนสี่ขา ใบหน้าคนงามซีดเซียวลงจากพิษไข้
“ อาเตี่ย... อาเหนียง ... อาเจี่ย อย่าทิ้งข้าไป “ เสียงแหบพร่าพูดออกมาอย่าไม่ได้สติ แขนทั้งสองพยายามโอบกอดให้ความอบอุ่น
หลานซีเฉินไม่รู้จะทำเช่นไร หากในยามนี้เขาเป็นคนก็คงจะทำอะไรได้มากกว่านี้ การติดอยู่ในร่างนี้ทำให้จะทำสิ่งใดก็ยากลำบาก
แต่มันก็ทำสิ่งใดไม่ได้เลยในยามที่ยังเป็นแบบนี้อยู่ ต้องทำอย่างไรกันถึงจะได้กลับคืนร่างมาเป็นเช่นเดิม
ปลุกร่างที่นอนอยู่บนเตียงให้ตื่นขึ้น เปลือกตายังคงหนักอึ้งแต่ก็พยายามจะลืมขึ้นมา สิ่งแรกที่รู้สึกคือสัมผัสนุ่มนิ่มจากอะไรบางอย่างในอ้อมแขน ก้อนขนสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏแก่สายตา
ภาพอาเตี่ย อาเหนียง อาเจี่ย ที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆวิ่งตามเท่าใดก็ไม่อาจไขว่คว้าเอาไว้ สุดท้ายก็เหลือเพียงเขาแค่คนเดียว ภาพฝันที่มันเกิดขึ้นกับเขา
ข้าเสียครั้งแรกให้เจ้าหลายอย่างเหลือเกินอาเฉิง หากข้าได้กลับเป็นคนเห็นทีข้าคงต้องมาสู่ขอเจ้าเป็นจริงเป็นจังเสียแล้ว
หลานซีเฉินลอบคิดในใจ
“ ใช่ๆ ปัญหาแค่เพียงนี้พวกเราจัดการเองก็ได้อย่าไปรบกวนท่านประมุข”
เสียงจอกแจกจอแจที่อีกฝากของบานประตูเรียกให้คนที่อยู่ด้านในซึ่งมีชื่อในบทสนทนานี้เดินออกมาดู
“ เออ คือ ... “
“ ชักช้าจริงมีอะไรก็รีบๆว่ามา” เสียงหงุดหงิดทำให้ลูกศิษย์รีบแจ้งข่าวไปอย่างรวดเร็ว มีการวิวาทกันของคุณชายสกุลหลี่ ลูกชายคหบดีที่เป็นคู่ค้าประจำของสกุลเจียงมายาวนาน
ร่างโปร่งรีบเข้ามาผลัดผ้าให้เป็นชุดออกทำงานก่อนรีบออกจากเรือนไปทันที
พลันแขนของใครบางคนที่คุ้นเคยก็เอื้อมมาโอบประคองไว้ พร้อมเสียงน่ารำคาญหูที่ตามมา
“ ข้าไม่เป็นไรหรอกน่า”
เจียงเฉิงไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก ยามนี้เขาปวดหัวจนไม่มีแรงจะเถียงแล้ว ได้แต่ปล่อยให้พี่ชายบุญธรรมพากลับห้อง
“ มีเรื่องอะไร “ เป็นเสียงของคนป่วยที่พูดขึ้นมาแทน
“ นั่งลงก่อนนะอาเฉิง เดี๋ยวข้าจะไปเอาผ้ากับน้ำมาเช็ดตัวให้เจ้า”
“ แต่ว่า...”
“ ไม่มีแต่ หรือจะให้ข้าออกไปเอง” เสียงแหบพร่าพูดขู่ออกมา จนทำให้คนพี่จำต้องยอม แย่จริงที่ต้องรีบไปจัดการเรื่องข้างนอกก่อน จึงยังไม่ได้ดูแลคนป่วยเลย
“ อาอิง “
“ จื้อเว่ยเกอ” เว่ยอิงหันมองผู้ที่มาเยือน ช่างมาทันเวลาที่เขาต้องการพอดีเลย
“ ท่านมีธุระอันใดหรือไม่ “
“ ถ้าอย่างนั้นช่วยดูแลอาเฉิงแทนข้าสักครู่ได้หรือไม่ ข้าต้องรีบออกไปทำธุระ เสร็จแล้วจะรีบกลับมา “ เว่ยอิงรีบฝากฝังให้กับคุณชายจ้าว ที่ดูเหมือนจะดีใจกับหน้าที่ที่ตนได้รับเสียเต็มประดา
“ ข้าสั่งให้คนต้มยาและข้าวต้มไปแล้วอีกไม่นานคงเอาขึ้นมาให้ ท่านเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนอาเฉิงก่อนเถิด” เว่ยอิงรีบพูดฝากฝังก่อนจะรีบเดินไปหาศิษย์สกุลเจียงที่ยืนรอด้วยสีหน้าไม่สู้เท่าไหร่นัก เรื่องคงจะเร่งร้อนน่าดู
“ โปรดหลบไปด้วย “
จ้าวจื้อเว่ยพูดกับหมาป่าที่เขาเห็นร่างวิญญาณ
“ ข้าจะเช็ดตัวให้เสี่ยวเฉิง “
‘ ท่านไม่มีสิทธิ์แตะต้องตัวอาเฉิง ‘ หมาป่าขู่อย่างเอาเรื่อง
“ จะไม่มีได้อย่างไร พี่เขาเป็นคนให้ข้าเข้ามาดูแลเขา หลบไปเสียเถิดมันเสียเวลา “
หลานซีเฉินยังคงไม่ไว้วางใจหลบให้อีกฝ่าย
มือของคุณชายพ่อค้า วางผ้าลงข้างๆตัวคนป่วยก่อนจะปลดผ้าคาดเอวบางนั้นออก พร้อมแหวกสาบเสื้อเพื่อที่จะได้เช็ดตัวบริเวณที่ซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์
ฟันคมของหมาป่างับลงไปที่ท่อนแขนแกร่งผู้มาเยือนอย่างไม่ปราณี
“ โอ๊ย นี่ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือไร “
หมาป่าไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำรุ่มร่ามกับอาเฉิงรวมถึงคนผู้นี้ด้วย
เสียงร้องของอีกฝ่ายเรียกให้ใครอีกคนที่จมในห้วงนิทราลืมตาตื่นขึ้น
“ ปล่อยข้านะ “ จ้าวจื้อเว่ยสะบัดแขนออกแต่เจ้าหมาก็ยังคงงับค้างไว้
เจียงเฉิงสลัดความง่วงออกได้เต็มตาก่อนจะผุดลุกขึ้นมาจากเตียง
“ เสี่ยวเฉิงช่วยเกอด้วย “ ฟันคมเพิ่มแรงฝังคมเขี้ยวเข้าไปอีกเมื่อได้ยินอีกฝ่ายทำตัวออเซาะใส่เจียงเฉิง
“ เจ้าหมาปล่อยเดี๋ยวนี้”
วชิระสีม่วงบนนิ้วเปล่งประกายตอบรับกับความโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นนาย แปรเปลี่ยนสภาพเป็นแส้ยาวตวัดฟาดเจ้าหมาป่าอย่าแรง
“ ข้าบอกให้เจ้าปล่อย!!!”
“ จื้อเว่ยเกอ ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่
ผ้าไหมสีเทาชั้นดีถูกฟันกัดจนแหว่งวิ่นเผยให้เห็นเนื้อภายในที่เป็นรอยกัดและเลือดที่ไหลออกมา มือเรียวเอื้อมเปิดลิ้นชักของโต๊ะข้างเตียงหยิบผ้าฝ้ายสีม่วงผืนไม่ใหญ่นักออกมา
หลานซีเฉินพยายามลุกขึ้นความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างแต่ภาพที่เห็นตอนนี้ก็เจ็บไม่แพ้กันเลยสักนิด อาเฉิงอ่อนโยนกับเจ้าหมอนั่นเหลือเกิน หมาป่าตัวโตค่อยๆเดินเข้ามาหาผู้เป็นเจ้าของของมันอีกครั้ง
ในสายตาของเจียงเฉิงหมาป่าตัวนี้ช่างดุร้าย
“ หยุดบ้าเดี๋ยวนี้ หากเจ้าทำร้ายศิษย์สกุลเจียงข้าจะไม่จบแค่ฟาดทีเดียวแน่ๆ” เจียงเฉิงลุกขึ้นฟาดจื่อเตี้ยนลงกับพื้นเพื่อขู่เจ้าหมาป่าที่กำลังคุ้มคลั่งอีกทีหนึ่งจนมันยอมสงบลง
“ พวกเจ้าจงนำมันออกไปรักษาแผลให้หายดีแล้วจงเอามันออกไปปล่อย” ดวงตาเรียวรีเหยียดมองหมาป่าขาวที่ตนเก็บมาเลี้ยงด้วยความผิดหวัง
“ แล้วก็ให้ใครเอาอุปกรณ์ทำแผลมา ข้าจะทำแผลให้คุณชายจ้าว “
“ เสี่ยวเฉิงพักก่อนเถิดเดี๋ยวเกอไปจัดการทำแผลแล้วจะกลับมาเฝ้าเจ้าใหม่นะ “
“ ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านต้องลำบาก ข้าควรจะเชื่อท่านตั้งแต่แรกว่ามันเป็นสัตว์ป่า อย่างไรก็ไม่สามารถทำให้มันเป็นสัตว์เลี้ยงได้”
ศิษย์สกุลเจียงออกไปแล้ว เขามันโง่เต็มทนที่ไม่หักห้ามใจตนเอง แล้วตอนนี้เขาเหลือสิ่งใดบ้าง
อันที่จริงจ้าวจื้อเว่ยก็ไม่ได้ทำเกินเลย แต่ทำไมเขาถึงยั้งตัวเองไว้ไม่ได้ ทำอะไรไปตามอารมณ์จนมันเกิดผลเสีย ได้ความสะใจแต่เขาไม่เหลือสิ่งใดเลย
เมื่อเจ้าออกปากไล่ก็จะไม่อยู่ให้เจ้าลำบากใจ หลานซีเฉินออกแรงรั้งโซ่ที่ล่ามไว้จนขาดออก ก่อนก้มลงคาบผ้าคาดหัวที่ยามนี้มันเปื้อนจนแทบดูไม่ออกว่าเป็นอะไร
เวลานี้มีเพียงหมาป่าตัวหนึ่งที่ยังคงไม่หลับ
ประมุขแห่งท่าเรือสัตตบงกชยามนี้อยู่ในห้วงนิทรา คล้ายจะหลับสนิทกว่าเคยด้วยฤทธิ์ยา
เสียงนกเริ่มร้องบอกเวลาของวันใหม่ที่กำลังจะเริ่ม
หมาป่าตัวใหญ่หันหลังเดินกลับผ่านประตุออกไปโดยพยายามไม่หันกลับมามอง
มือเรียวยันเตียงก่อนผุดลุกขึ้น
สายน้ำชะล้างความสกปรกจากฝุ่นได้บ้างแต่คงเหลือร่องรอยคราบเลือดนิดหน่อยหากใช้ผงขี้เถ้าล้างคงจะสะอาดได้ไม่ยาก
แต่เขาก็ยังไม่อาจด่วนสรุปควรไถ่ถามให้แน่ใจเสียก่อน อาจจะเป็นเพียงสิ่งที่คล้ายกันก็ได้ แต่หากใช่จริงมันเป็นของใครและเจ้าหมาเอามันมาจากไหน
“ เว่ยอู๋เซี่ยน “
“ เจ้าดีขึ้นแล้วหรืออาเฉิงถึงออกมาแบบนี้ ทำไมไม่ให้คนยกสำรับและยาเข้าไปให้ที่ห้อง”
“ ข้าดีขึ้นมากแล้ว เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถิดข้ามีเรื่องต้องคุยกับหานกวงจวิน”
เจ้าของฉายาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินนามฉายาของตนแต่สีหน้าคงเรียบนิ่ง
“ เจ้ามีอะไรจะคุยกับหลานจ้านเหรอ”
“ มันใช่ผ้าคาดหัวสกุลหลานหรือไม่”
หานกวงจวินพยักหน้าตอบรับทันทีอย่างไม่ต้องคิด
“ ได้มันมาจากไหน”
“ จากเจ้าหมาป่าที่ข้าเลี้ยงไว้ “
“ น่าแปลกจริงอาเฉิง หมาป่าที่เจ้าเก็บมาเลี้ยงมีผ้าคาดหัวสกุลหลานได้อย่างไร มันคือของใครหรือหลานจ้าน “ เว่ยอิงเอ่ยถามคนรัก ถึงแม้สีหน้าของอีกฝ่ายจะไม่เปลี่ยนแต่เขาก็สัมผัสได้ว่ามันไม่ดีนัก
“ เป็นของต้าเกอ “
“ ไม่ต้องมากพิธี มีเรื่องอันใดก็ว่ามาเถิด”
“ มีศิษย์สกุลหลานได้รับการขอความช่วยเหลือให้ไปปราบปีศาจร่วมกับสกุลอื่นๆทางป่าด้านตะวันตก และมีคนพบกับอาภรณ์ชุดนี้โดยบังเอิญ มันฝังอยู่ใต้หิมะ ดูแล้วน่าจะเป็นของเจ๋ออู๋จวินขอรับ “
แต่ก็ยังอดคิดไม่ตกไม่ได้ เรื่องของเจ้าหมา เหตุใดมันจึงมีผ้าคาดหัวของเจ๋ออู๋จวิน
แล้วถ้าทิ้งจริงแล้วเจ้าหมาไปเอามาได้เช่นไร
หรือเจ้าหมาทำร้ายเจ๋ออู๋จวินและแย่งชิงมา
แต่หลังจากที่เขาเก็บมาเลี้ยงนอกจากที่กัดจ้าวจื้อเว่ยแล้ว มันก็ไม่มีแววดุร้ายใดๆ มันจะทำจริงๆหรือ
“ นี่เจ้า เห็นเจ้าหมามันบ้างหรือเปล่าหายดีหรือยัง “
เจียงเฉิงที่ออกมาทำงานวันแรกหลังจากที่พักไปเอ่ยถามศิษย์
“ เออ ... มันหนีไปตั้งแต่สามวันก่อนแล้วขอรับ “
“ คือ... พวกข้าเห็นว่าท่านประมุขกำลังป่วยอยู่จึงไม่ควรไปกวนท่านด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะขอรับ “
“ อืม เอาเถอะ ช่างมัน อย่างไรเสียข้าก็จะไล่มันออกไปอยู่แล้ว “ เจียงเฉิงหันกลับมาทำงานเอกสารต่อ ถึงจะพูดไปอย่างนั้น
แต่ถ้าหากมันดุร้ายและเป็นอันตรายเขาก็ไม่ควรเก็บมันเอาไว้
แต่แล้วความเงียบสงบของยามราตรีก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงของฝีเท้าและเสียงคนพูดที่อยู่ด้านนอกประตู
บานประตูถูกผลักให้เปิดออก เผยให้เห็นบริเวณลานฝึก ดวงตาคมทอดมองเห็นร่างของลูกศิษย์สกุลเจียงนอนขดแข็งอย่างผิดธรรมชาติ คนที่มีสติอยู่ก็พยายามให้การช่วยเหลือ
เมื่อเข้ามาใกล้ก็พบลูกศิษย์สกุลเจียงซึ่งเขาจำหน้าได้ดีว่าเป็นคณะที่มีเวรออกเยี่ยเลี่ยของเมื่อวาน สองร่างไร้ชีวิตที่นอนอยู่ฝากหนึ่งเป็นศิษย์ที่ถึงจะยังอ่อนประสบการณ์
“ เกิดเหตุอันใดขึ้น ต้าเฟิน”
“ มะ มะ มี ผู้ ศึก ษา วิชา มาร ออก อาละวาด ขอรับ” ต้าเฟินพยายามรวบรวมสติและกำลังที่มีตอบออกไป
ใช้เวลาเพียงอึดใจศิษย์เจียงที่ไปตามหมอก็กลับมา
“ เป็นพวกข้าขอรับ “ เหล่าศิษย์หนุ่มที่เป็นเวรออกเยี่ยเลี่ยวันนี้ตอบผู้เป็นประมุข
“ จางหมิน เจ้าจงเล่าให้ข้าฟังว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น “ เจียงเฉิงกล่าวกับศิษย์อาวุโสที่สุดในกลุ่ม
ประมุขแดนดอกบัวเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นทั้งให้ศิษย์นำไปส่งแก่พี่ชาย
“ เราต้องไปจริงๆหรือท่านพี่ ข้าได้ข่าวมาจากป้าอี้ ว่าเรื่องครานี้ประมุขเจียงลงมาจัดการด้วยตนเองเลยทีเดียวนะ “
“ ถึงอย่างนั้นก็เถิดอย่างไรก็ไม่ปลอดภัย”
หญิงชราเอ่ยเล่าเรื่องราวอย่างละเอียดตามประสาคนทันเหตุการณ์
“ ใช่เจ้าค่ะ อาซ่ง เจ้ากลับมาแล้วรึ ”
หญิงชราหันไปทักชายหนุ่มที่เปิดประตูเข้ามา ดูจากลักษณะแล้วชายผู้นี้คงจะเป็นพรานป่า เมื่อเห็นแขกผู้มาเยือนในชุดสีม่วงและตราสัตตบงกชเก้ากลีบ
“ เป็นอย่างไรบ้าง น่าหลันปลอดภัยดีหรือไม่ “
“ ข้าตามมันไปถึงแค่เชิงเขาจ้ะยาย คล้ายว่ามันจะรู้ตัวจึงรีบกลับมาก่อน “
“ แล้วเจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าหานปิงอยู่ที่ใด” เป็นศิษย์สกุลเจียงเอ่ยถาม
“ เช่นนั้น เจ้านำทางพวกเราไปได้หรือไม่” ประมุขสกุลออกปากถาม
“ ย่อมได้ขอรับ”
“ อย่างนั้นพวกเจ้าส่วนหนึ่งอยู่เฝ้าชาวบ้านที่นี่ ส่วนพวกเจ้าที่เหลือไปกับข้า”
“ ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย “ นางรีบร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเห็นคนที่ยืนรออยู่ข้างหน้า
“ น่าหลัน “ เป็นพรานหนุ่มที่รีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยประคองนางเอาไว้
“ รีบหนีกันเถิด หานปิงเสียสติไปแล้ว”
“ น่าหลัน “ เสียงแข็งกร้าวนั้นเอ่ยเรียกนามหญิงที่ตนหลงรัก ซึ่งพรานหนุ่มและศิษย์สกุลเจียงก็ต่างดันนางไปอยู่ที่ข้างหลังแทน
“ ใครจะพานางไปไม่ได้ทั้งนั้น !!! “ หุ่นเชิดขนาดเท่าตัวคนปรากฎขึ้นล้อมทุกคนเอาไว้ภายใน ก่อนที่พวกมันจะเริ่มโจมตี
ศิษย์สกุลเจียงเมื่อเห็นดังนั้นก็เร่งช่วยกันต้านเอาไว้เพื่อช่วยสร้างโอกาสให้กับประมุขของตน และอีกส่วนพยายามพาพรานหนุ่มกับหญิงสาว
ลมหนาวที่แผ่ออกมาไม่หยุดยิ่งทำให้การต่อสู้ยากลำบากกับชาวเขตร้อนอย่างมาก
ลิ่มเกล็ดน้ำแข็งพัดวนสร้างเป็นพายุ กรีดร่างของอนุชนสกุลเจียง ที่พยายามจะฝ่ากำแพงพายุเข้ามา
เมื่อเห็นคู่ต่อสู้เบี่ยงความสนใจไปจากตน หานปิงก็ส่งแท่งน้ำแข็งคมเข้าหาร่างโปร่ง
“ เจ้าหมา!!!” ความสนใจของเจียงเฉิงถูกเบี่ยงเบนอีกครั้ง เมื่อเห็นสีขาวที่คุ้นเคยเปื้อนหยาดโลหิต
จื่อเตี้ยนโดนกำแพงพายุสะท้อนกลับมา ยามนี้อาณาเขตถูกกั้นแบ่งด้วยลมพายุรุนแรง หิมะขาวพัดวนจนมองไม่เห็นลูกศิษย์ที่อยู่อีกฝากหนึ่ง
ไม่มีเวลามากมาย ประมุขแห่งท่าเรือสัตตบงกช รีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนออก
หมาป่าพยายามหยัดกายฝืนความเจ็บเพื่อยืนขวางหน้าผู้เป็นเจ้านาย
“ แส่ไม่เข้าเรื่อง ทั้งคนทั้งหมา “
“ ทำไมพวกเจ้าทุกคนต้องแส่หาเรื่อง ข้าแค่อยากอยู่กับคนที่ข้ารัก “ เสียงแข็งกร้าวตะโกนขึ้นมาราวกับคนเสียสติ ยันต์มารปรากฎขึ้นเรียกลิ่มน้ำแข็งจำนวนมากพุ่งเข้าใส่เจียงเฉิง
หากตอนนี้เขาคือเจ๋ออู๋จวิน เซียนผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น เขาคงได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนตรงหน้า
ยามนี้เขาเป็นเพียงแค่สัตว์ตัวหนึ่งที่แค่เพียงจะหยัดยืนต้านลมพายุหิมะให้ได้ยังยากลำบาก
เรียกเสียงคำรามด้วยความบ้าคลั่งออกมาจากผู้ใช้วิชามาร
“ พวกเจ้าอย่ามาขวางทางข้า “ กระแสพลังสีดำพุ่งออกมาจากร่างของผู้ร่ายเวทย์ เส้นสายพลังสีดำนั้นกำลังจะพุ่งใส่เจียงเฉิง
อีกฝ่ายอ่อนล้าจากการต่อสู้ที่หนักหน่วงจากเมื่อครู่ ทั้งสภาพอากาศที่เลงร้ายไม่เป็นใจต่อการต่อสู้ทำให้ความเร็วลดลงมากโข หากได้รับกระแสพลังนี้ไปเต็มๆคงแยา
‘ ข้าไร้ประโยชน์ไม่อาจสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้า หวังว่าร่างไร้ประโยชน์นี้จะพอ—‘
หมาป่าหลับตาลงก่อนกระโดดเข้าขวางผู้เป็นนายเอาไว้
กระแสพลังสีดำหักเหออกตามแนวกระบี่ แต่กระนั้นเส้นสายเส้นหนึ่งยังคงพุ่งเข้ามา ไวกว่าความคิดร่างโปร่งกระโดดขวางเจ้าก้อนสีขาวเอาไว้
กระบี่เซียนปักเข้าที่กลางลำตัวของผู้ใช้วิชามารที่ยามนี้ไม่หลงเหลือสติใดๆจึงไม่อาจป้องกัน
หมาป่าสีขาวเดินเข้ามาเคียงกายผู้เป็นนาย นอกจากเขาจะไร้ประโยชน์แล้วยังต้องให้อาเฉิงมาปกป้องจนชีวิตตัวเองตกอยู่ในอันตรายอีกหรือ
“ หนี หนีไปเจ้าหมา มันอันตราย “ เสียงของอีกฝ่ายอ่อนแรงลงเต็มทีแต่ก็พยายามไล่เจ้าหมาป่าออกไปให้พ้นเขตอันตราย ถึงศัตรูจะอยู่ในสภาพนั้นแล้วแต่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัย เขาในตอนนี้ปกป้องมันไม่ได้
ในยามนี้อาเฉิงกำลังทรมาน ข้าทำสิ่งใดไม่ได้เลยหรือ หากอยากขอคืนพลังได้หรือไม่ ต่อให้ไม่ได้กลับร่าง แต่ก็อยากขอคืนพลังที่มีเผื่อเอามาช่วยคนตรงหน้าเอาไว้ ถึงเขาไม่ได้รักข้า ถึงคำสาปจะไม่ได้ถูกแก้ไข
ร่างของเจียงเฉิงบิดเร่าด้วยความทรมาน ความหนาวเย็นกัดกินจากภายใน ปราณในกายปั่นป่วน พลังวิญญาณนั้นแทรกแซงการทำงานของร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นปราณลดลงฮวบฮาบจากการใช้พลังควบคุมซานตู๋
ปราณในร่างกายของอีกคนกำลังปั่นป่วนและมันกำลังลดลง รวมถึงพลังชีวิตของอีกฝ่ายที่เบาลงทุกทีจนแทบจะจับสัมผัสไม่ได้
ปราณสีฟ้าถูกถ่ายออกจากร่างกายของหลานซีเฉิน
“ เสี่ยวเฉิง “
เสียงคุ้นเคยเรียกคนในอ้อมแขนเรียกให้หลานซีเฉินเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้มาเยือน
ใบหน้าของจ้าวจื้อเว่ยส่งยิ้มมาให้ฉายชัดในสายตา
#ซีเฉิง
“ เจ้าฟื้นแล้ว เกอจะไปบอกคุณชายเว่ย เขาเป็นห่วงเจ้ามากนี่เกอเพิ่งมาผลัดเปลี่ยนแทนให้เขาไปพักผ่อนก่อน “
ไม่นานนักเสียงโหวกเหวกของพี่ชายก็ดีงเข้ามาในโสตประสาท
“ อาเฉิง เจ้าฟื้นแล้ว ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ “
“ ใจเย็นๆ ข้าหายใจไม่ออก “ เจียงเฉิงใช้มือดันตัวพี่ชายที่โถมทับลงมาบนตัวเขา
“ ข้าขอโทษๆ เมื่อครู่ข้าตื่นเต้นดีใจไปหน่อย “
“ เกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าจำได้ว่าข้าโดนกระแสพลังของเจ้านั่น—“
“ มีคนช่วยเจ้าไว้ ตอนที่จื้อเว่ยเกออุ้มพาเจ้ากลับมา ในกายเจ้ายามมีปราณของผู้อื่นปะปน ข้าสัมผัสได้ตั้งแต่คราแรก แต่ไม่รู้ได้ว่าเป็นปราณของผู้ใด จื้อเว่ยเกอก็เป็นเพียงพ่อค้าวาณิช ไม่ได้ศึกษาวิชาเซียน—“
“ มีสิ่งใดหรือเปล่าหลานจ้าน “
“ ข้าจะกลับกูซูก่อน ได้จดหมายว่าต้าเกอกลับมาแล้ว”
“ งั้นเจ้าจงล่วงหน้ากลับก่อนเถิดข้าขอดูแลอาเฉิงต่อที่นี่สักพัก “
“ ต้าเกอ “
“ ไปกันเถิดวั่งจี “
หลานวั่งจีพยักหน้ารับแล้วหยกคู่สกุลหลานจึงเรียกกระบี่ประจำกายตนออกมา
“ เบาหน่อยสิเว่ยอู๋เซี่ยน เจ้าจะเรียกให้คนทั้งท่าเรือได้ยินเลยหรือไร “ ประมุขหนุ่มตีหน้าขาพี่ชาย โดยไม่หันหลังไปมองแขกผู้มาเยือน
คู่นกยวนยางเขาเรียกหากันถึงเพียงนี้เห็นทีคงจะไม่เป็นก้างขวางคอ
“ ข้าไปก่อนตรวจตราที่ตลาดก่อนแล้วกัน เจ้าค่อยตามมา”
เห็นดังนั้น มือทั้งสองจึงรีบทำความเคารพผู้อาวุโสกว่าทันที
“ ข้าขออภัยด้วยจริงๆที่ไม่ได้แจ้งก่อนว่าจะมา ผู้แซ่หลานต้องรบกวนประมุขเจียงแล้ว “ ใบหน้างามนั้นแค่เพียงเงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่ได้สนใจสิ่งใดมากนัก
เจียงเฉิงแทบจะไม่มองหน้าเขาตรงๆเลยเสียด้วยซ้ำ มันไม่ใช่เพราะความขวยเขินอย่างที่เคยอ่านมาบ้างในนิยายประโลมโลก แต่เขารู้ว่าเป็นเพราะอีกคนไม่ได้ใส่ใจที่จะพบหน้า แค่เพียงต้อนรับตามมารยาทเท่านั้น
“ ได้ยินว่าประมุขเจียงจะไปตรวจตราความเรียบร้อยของงาน เออ ผู้แซ่หลานขอติดตามไปด้วยได้หรือไม่ “
“ อ่า นั่นสิอาเฉิงพาต้าเกอไปเปิดหูเปิดตาก็ดีนะ “
“ งั้นก็เชิญตามมาเถิด”
“ ท่านมีเรื่องข้องใจอันใดกับข้าหรือไม่ประมุขหลาน “ หลานซีเฉินตกใจกับท่าทีไม่เป็นมิตรอย่างมากของอีกคน เขาเผลอไปทำให้เจ้าตัวไม่พอใจอะไรหรือเปล่า
“ เหตุใดประมุขเจียงจึงคิดเช่นนั้น”
เจียงเฉิงขุ่นเคืองใจกว่าที่เคยเป็น เพราะเขารู้สึกว่าโดนคนผู้นี้จดจ้องมานานมากเกินไปแล้ว เป็นบ้าหรือไร เรื่องคราก่อนยังไม่จบไปอีกหรือ อันที่จริงเขาควรจะเป็นคนโมโหดสียด้วย
หลานซีเฉินรีบลนลานแก้ตัว เมื่อเห็นอีกคนไม่พอใจ
“ อาเฉิง ? “ เจียงเฉิงทวนคำของหลานซีเฉินขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง
“ ขออภัย แต่เราสนิทกันถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อใดหรือประมุขหลาน”
ยามนี้เขาไม่ได้เป็นเจ้าหมาป่าของอาเฉิง
ประมุขหลานกับประมุขเจียงไม่เคยสนิทสนมกัน รู้จักกันแค่เพียงหน้าที่เท่านั้น ยิ่งคราวที่เกิดเรื่อง ยิ่งไม่อยากจะพบหน้ากันเลยด้วยซ้ำ
“ ขออภัยประมุขเจียง ผู้แซ่หลานมิได้มีเจตนาล่วงเกิน “
เจียงเฉิงรับคำขอโทษนั้น
แต่เมื่อครู่ที่เขาพูดไปอย่างนั้น เหมือนว่าหลานซีเฉินจะซึมลงไปอย่างไรไม่รู้ ดูแล้วคล้ายกับเจ้าหมาตอนที่โดนเขาดุ
“ จื้อเว่ยเกอ !!! “
“ อ้าว เสี่ยวเฉิง เดี๋ยวเกอลงไปนะ “ คุณชายรูปงามรีบผูกปมผ้าให้เสร็จเรียบร้อยก่อนจะกระโดดลงมาอย่างคล่องแคล่ว
“ เกอตรวจดูซุ้มตระกูลจ้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงมาหาเจ้าและเห็นว่าศิษย์สกุลเจียงนั้นงานล้นมือทีเดียวจึงมาช่วย “
“ ท่านพ่อไม่ว่าเจ้าหรอก ท่านพ่อรักเจ้ากว่าเกอเสียอีก คงจะมาตีเกอแทนที่ทำให้หลานรักขุ่นเคืองใจ”
สองคนหยอกล้อกันราวกับว่าเขาเป็นอากาศธาตุไม่ได้อยู่ตรงนี้
“ อ่า เสี่ยวเฉิง คุณชายผู้นี้คือใครกันหรือ”
“ อือ ข้าลืมแนะนำไปเลย—“
“ ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหยกผู้พี่สกุลหลานมานาน ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการเสียที ประมุขหลาน”
คุณชายใหญ่หลานเช่นนั้นหรือ
หนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งของยุทธภพ
แล้วเหตุใดจึงมาทำตัวพิกลเป็นหมาป่าสีขาวตัวนั้นอยู่ข้างกายเสี่ยวเฉิงกันเล่า
“ เช่นนั้น เกอขอตัวก่อนนะเสี่ยวเฉิง ประเดี๋ยวคงจะได้เจอกันในงาน “
“ ตามสบายเถิด เดี๋ยวท่านลุงจะรอนาน “ จ้าวจื้อเว่ยจัดเสื้อผ้าตนให้เรียบร้อย ก่อนจะออกเดินตามคนรับใช้ไป
“ ตามแต่ประมุขเจียงเถิด “ อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจงานอะไรสักนิด แค่เพียงได้ใช้เวลาอยู่กับคนข้างตัวก็เท่านั้น
เมื่อได้ยินดังนั้นเจียงเฉิงจึงเดินไปตรวจตราตามสถานที่ต่างๆเพื่อเตรียมความพร้อมของงาน
“ เป็นงานที่ผู้ค้าทั้งหลานสกุลพ่อค้าต่างๆหรือเรือสำเภาจะนำของมาลงเพื่อให้ผู้ซื้อต่างมาเลือกซื้อหาของกัน”
“ มีมานานแล้วหรือ ข้าไม่เคยได้ยินเลย “
“ มาให้ข้าช่วยถือบ้างดีกว่า “
ดวงตางามเงยมองอีกคนอย่างแปลกใจ แต่ก็นั่นล่ะ สกุลหลานมีจิตใจดีงามย่อมยื่นมือมาช่วยเหลือผู้อื่น
ครานั้น เหม่อลอยราวกับผีตายซาก ปล่อยเนื้อปล่อยตัว พูดจาไม่รู้ความ
ถึงเขาจะไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแต่ก็น่าดีใจแทนท่านอาจารย์หลานและหานกวงจวิน
“ ท่านประมุข เกิดปัญหาระหว่างซุ้มตระกูลซ่งกับสำเภาจากเปอร์เซีย ขอรับ” ศิษย์น้อยวิ่งหน้าตื่นมารายงานประมุข
“ ย่อมได้ ท่านรีบไปเถิด ข้าจะรออยู่ที่นี่แหละ “ หลานซีเฉินรีบรับของจากมือคนงามมา พร้อมชี้ไปยังป้ายร้านน้ำชาที่ตนจะอยู่
“ เคยได้ยินว่างานประจำปีที่นี่ยิ่งใหญ่แต่ไม่คิดเลยว่าจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้”
“ ท่านเพิ่งเคยมาครั้งแรกล่ะสิ—“
“ สมแล้วที่เป็นอวิ๋นเมิ่งเจียง “
“ ใช่น่ะสิ ประมุขเจียงของเราน่ะเก่งเป็นที่สุด ตอนเข้ารับตำแหน่งก็ยังเยาว์วัยนัก แต่ฟื้นฟูที่นี่ขึ้นมาได้ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้—“
“ แต่น่าเสียดายจริงๆที่ยังไร้คู่ครอง”
“ ไม่แปลกหรอก คุณสมบัติฟูเหรินเลิศเลอราว—“
“ คุณสมบัติสิ่งใดกันหรือท่านป้า” บุรุษงามอันดับหนึ่งลุกขึ้นเพื่อไปร่วมวงสนทนา
เมื่อลองทบทวนจากคำบอกเล่า
งามธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง มีคนจัดให้เขาเป็นถึงหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งของยุทธภพ ก็คงจะไม่ขี้ริ้วขี้เหร่
สุภาพ อ่อนโยน มีมารยาท เขาก็ว่าเขาไม่ด้อยไปกว่าใครในด้านนี้
ไม่พูดจากโหวกเหวกโวยวาย ใช้เงินมัธยัสถ์อดออมก็เป็นกฎของสกุลที่ยึดถือปฏิบัติมาแต่จำความได้ ยกเว้นก็แต่อยากใช้เงินเพื่อซื้อของกำนัลให้อีกคนเท่านั้น
คงมีแต่งานบ้านที่เขาทำได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ของแบบนี้มันฝึกปรือกันได้ไม่ใช่หรือ
คุณสมบัติคู่ครองของเจียงเฉิงเมื่อคิดดูแล้วเขาก็เข้าเค้าไปเก้าในสิบส่วนแล้ว คงยังพอมีหวังอยู่บ้าง
“ ก็สนใจอยู่บ้าง ขอบใจท่านน้ามาก แต่ข้ามีคนในใจอยู่แล้วล่ะ “ หยกผู้พี่ระบายยิ้มอ่อนโยนพร้อมตอบกลับ
“ ว้า น่าเสียดายจริงเชียว “
“ รอข้านานหรือไม่ประมุขหลาน”
“ คารวะเจ้าค่ะประมุขเจียง อ้าว นี่ท่านประมุขหลานเองหรือ ข้านี่มีตาหามีแววไม่จริงๆ “ เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยขึ้นมา
“ กำลังจะเป็นแม่สื่อแม่ชักอีกแล้วหรือไรท่านป้าอี้ “
คงจะเป็นจินกวงเหยา
เจียงเฉิงเผลอตอบตัวเองในใจ
สองประมุขสนทนากับป้าอี้เจ้าของโรงน้ำชาอีกสักพักก่อนขอตัวออกไปชมงานต่อ
“ หืม ท่านคงไปฟังพวกในตลาดพูดกันมามากสินะ เรื่องคุณสมบัติฟูเหรินของข้า เล่ากันจนเหมือนเป็นตำนานเมืองไปเสียแล้ว— “
เรื่องฟูเหรินของเขาเล่ากันเป็นเรื่องตลกขบขันไปเสียแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจสิ่งใด อายุก็ปูนนี้แล้ว เรื่องรักๆใคร่ๆก็เลิกสนใจไปนานแล้ว
“ บางทีหากเจ้าลองมองหาดีๆอาจจะมีอยู่ก็ได้นะ “ อันที่จริงมันมีหญิงที่ตรงต้องตามคุณสมบัติของเขา ก็คือพี่สาวเจียงเยี่ยนหลี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหาได้อีกแล้ว
ได้แต่หวังว่าให้อีกคนพอใจในคำตอบที่จะได้เย้ยหยันเขาแล้วจะได้หยุดถามเสียที
“ ไม่ต้องเวทนาข้าหรอกประมุขหลาน ข้าก็พอรู้ตัวดี และสิ่งที่ท่านพูดมันก็ถูก ข้าไม่ได้ถือสาสิ่งใด “ สายตาที่มองมานั้นแลดูเวทนาสงสาร ช่างน่ารำคาญตาเสียจริง ราวกับเป็นพระโพธิสัตว์จะมาโปรดคนทั้งโลก แต่มันไม่ใช่สำหรับเขา
“ ประมุขเจียงเดี๋ยวก่อนท่านจะไปที่ใด”
“ ไปทำการทำงานของข้าน่ะสิ เชิญประมุขหลานเดินชมงานตามสบายเถิด ผู้แซ่เจียงขอตัว”
สิ่งที่เคยพูด เคยทำไว้ล้วนกลับมาทำร้ายตนเองทั้งนั้น
ในยามนี้อย่าว่าแต่เป็นคนรักอย่างที่หวังเลย แม้แต่ความเป็นมิตรอีกคนก็ยังไม่อยากมีให้
อดไม่ได้ที่จะเดินไปยังที่ที่เขาพักอาศัยเป็นเวลาหลายเดือน ตอนนี้ห้องนั้นถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นห้องเก็บของเช่นเดิมแล้ว
เจียงเฉิงใช้เวลาในงานไม่นานนักคาดหวังจะกลับมาพักผ่อนเสียหน่อย หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเตรียมงานมาหลายวัน ขณะนั้นก็เห็นแผ่นหลังกว้างของประมุขแดนเร้นเมฆาที่คล้ายว่าจะเดินไปผิดทางจากเรือนนอนแขกเขาจึงตามมา
กฎสกุลหลานว่าไว้ห้ามโกหก ซึ่งเขาก็ทำผิดกฎไปแล้วด้วยการโกหกคำโต
หลานซีเฉินจดจำได้ทุกเรือนทุกห้องของอวิ๋นเมิ่งเจียง หลับตาเดินยังไปถูก
“ ไปเถิด นั่นไม่ใช่เรือนรับรองแขก มันเป็นห้องที่ข้าเอาไว้เลี้ยงหมา”
“ มันไม่อยู่แล้วล่ะ ธรรมชาติของหมาป่าก็คงอยากจะอยู่ตามธรรมชาติไม่ใช่ถูกกักขังอยู่ที่นี่” เจียงเฉิงยิ้มบางๆตอนเล่าเรื่องราว ป่านนี้เจ้าหมาคงจะได้กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวแล้วก็ได้
“ ท่านตอบราวกับเป็นมันเสียเอง มันจะไปมีเหตุผลมากมายขนาดนั้นได้เช่นไร “
“ แล้วถ้า...ข้าบอกว่าข้าเป็นมันล่ะ”
“ ข้าก็จะคิดว่าท่านประสาทกลับไปเสียแล้ว คนอะไรจะไปเป็นหมา ประหลาดนัก” ใบหน้างดงามซีดเซียวลงทันตาเมื่อได้ฟังคำกล่าวของประมุขเจ้าบ้าน แค่เป็นมิตรยังแทบจะไม่นับ หากโดนคิดว่าเป็นบ้าอีกคงจะแย่กว่าเดิม
“ มีอะไรรึ “
“ ข้าอยากจะขอโทษเรื่องที่เคยพูดไม่ดีกับท่าน ไม่มีผู้ใดสมควรจะโดนพูดใส่แบบนั้น—“
หลานซีเฉินพยายามเรียบเรียงคำพูดเอ่ยออกมา ในใจมีถ้อยคำมากมาย แต่กลับพูดออกมาได้แค่เพียงไม่กี่คำอย่างยากลำบาก
“ ช่างเถอะ ก็ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ถือสา “ เจียงเฉิงลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
ปกติแล้วหากเจ้าคู่ยวนยางมาสำรับจะตั้งสองครั้ง หรือสายขึ้นหน่อย
“ เหตุใดสำรับวันนี้จึงไม่ตั้งเสียทีเล่า ข้าหิวจนไส้จะขาดแล้วเนี่ย “
“ นั่นสิ อาฮง ไปตามทีซิ” เจียงเฉิงสั่งให้ศิษย์เจียงที่เดินผ่านมาไปตามคนครัว
“ อ้าว ต้าเกอมาพอดี เชิญเถิดๆ มากินอาหารเช้ากัน” เว่ยอิงเรียกพี่เขยที่เพิ่งมาถึงซึ่งอีกคนก็ยิ้มตอบและนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆเจียงเฉิง
สองบงกชรีบตักอาหารเข้าปากรับประทาน
ผัดผักกาดขาวถูกตักเข้าปากบัวคนพี่ ส่วนซุปกระดูกหมูถูกก็ตักเข้าปากบัวคนน้อง
“ใครทำอาหารนี่รึ / วันนี้แม่ครัวคือใคร “
“ เป็นเจ๋ออู๋จวินขอรับ “
เว่ยอู๋เซี่ยนเหงื่อตกเมื่อรู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ เกิดอะไรขึ้นกับพี่เขยเขาที่อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นมาทำอาหารเสียอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของคนรักและประมุขเจียงไม่ดีเท่าไหร่ และพี่ชายก็ดูคาดหวังเป็นอย่างมาก หลานวั่งจีจึงพูดตอบแทน
“ อือ ใช่ๆ มากินปลากันต่อดีกว่า เดี๋ยวข้าแกะให้นะอาเฉิง “ เว่ยอู๋เซี่ยนลอบมองหน้าขอบคุณคนรักที่ช่วยแก้สถานการณ์
“ แล้วประมุขเจียงเล่า ว่าอย่างไร”
“ มันก็ไม่ได้เลวร้าย “
เจียงเฉิงตอบไปเรียบๆ
ตะเกียบของปรมาจารย์อี๋หลิง ปักลงไปในปลา ก่อนจะแหวกออกและพบว่าเนื้อของปลาตัวโต ยังไม่สุกเลยด้วยซ้ำ
“ อ่า ข้าว่าปลาน่าจะยังกินไม่ได้มันไม่ค่อยสุกสักเท่าไหร่ “
“ เช่นนั้นหรือ เดี๋ยวข้าไปทำให้ใหม่”
“ ประมุขเจียงขอรับ พ่อค้าวังที่นัดพบท่านประมุขไว้มาแล้วขอรับ “ เสียงศิษย์เหมือนระฆังสวรรค์ช่วยชีวิต
“ อ่า งั้นรึ งั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน “
“ ไม่ดีกว่า ข้าต้องรีบไปทำงานเชิญเจ้ากับคุณชายรองหลานกินให้อร่อยเถิด” บัวคนน้องยิ้มใส่คนพี่อย่างคนมีชัยที่ไม่ต้องกินอาหารตรงหน้า