, 501 tweets, 19 min read
My Authors
Read all threads
#ซีเฉิง 12 คืนเพ็ญ (นึกชื่อไม่ออกจริงๆ ออกไปคล้ายวันเพ็ญเดือน 12 ซะได้)
OOC story based on Beauty and the beast

“ หยุดก่อกรรมทำเข็ญกับผู้อื่นได้แล้ว”
“ ไม่ ทำไมข้าต้องให้ความปราณีกับพวกมนุษย์จิตใจต่ำช้าด้วยเล่า” ร่างใหญ่ทะมึนยังคงฉีกทึ้งร่างมนุษย์อย่างไม่สนใจอะไร
(2) ชั่วเยว่ถูกส่งไปขัดขวางสัตว์ร้ายไม่ให้กัดมนุษย์ผู้เคราะห์ร้ายที่ยังไม่สิ้นชีวิตนั้นต่อ
“ใครไปทำอะไรให้เจ้า “
“ มนุษย์พวกนี้ทำร้ายลูกๆของข้าจนตาย “
“ หากเดรัจฉานอย่างเจ้าไม่เข้าไปทำร้ายพวกเขาก่อนพวกเขาจะมาทำร้ายเจ้ารึ”
(3) “ หึ คำก็เดรัจฉาน สองคำก็เดรัจฉาน ท่านตัดสินว่าพวกเราไปทำร้ายเขาก่อนเสียแล้ว ท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ท่านเกิดมามีแต่คนนับหน้าถือตายกย่อง ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าหากท่านต้องมาตกอยู่ในสภาพเดรัจฉานเยี่ยงพวกข้า จะมีใครรักใครเมตตา” หมาป่าสีดำทะมึนแสยะยิ้มออกมาก่อนเริ่มร่ายเวทมนตร์
(4) เวลาของมันเหลือไม่มากเท่าไหร่นัก แผลที่เกิดจากกระบี่เซียนหลายจุด เลือดเริ่มรินออกเยอะมากจน สายตาเริ่มพร่ามัว อย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้วก่อนตายก็ขอทำอะไรบางอย่างก่อนแล้วกัน
แสงสีดำวูบไหวแผ่เป็นวงรอบตัวหมาป่า ก่อนจะขยายวงกว้างมาถึงตำแหน่งที่หลานซีเฉินยืนอยู่
(5) อีกฝ่ายพยายามกระโดดหลบด้วยสัญชาตญาณของเซียนที่ถูกฝึกมาแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ร่างกายสูงใหญ่ของค่อยๆทรุดตัวลงกับพื้น อาภรณ์ของเขาร่วงลงกับพื้น แขนทั้งสองถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นขนสีขาวบริสุทธิ์ จากที่เคยหยัดยืนด้วยสองขาก็เปลี่ยนไป ลำตัวขนานไปกับพื้น ยืนด้วยแขนและขาทั้งสองข้าง
(6) “ จ..เจ้า ทำอะไรกับข้า “
“ ข้าบอก..ไปแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าอยากรู้ว่าหากท่านเป็นเดรัจฉานเยี่ยงพวกเราจะมีใครรักใครเมตตาท่าน” หมาป่าสีดำกระอักเลือดออกมากองใหญ่หลังจากใช้พลังชีวิตในการร่ายคำสาป
“ อ่อ แต่ว่าข้าก็ไม่ใจร้ายถึงเพียงนั้นหรอกนะ ...”
(7) “ ถ้าหากท่านพิสูจน์ได้ว่ามีใครรักเมตตาท่านถึงแม้ท่านจะเป็นเดรัจฉานเยี่ยงนี้ ท่านจะได้กลับคืนเป็นมนุษย์เช่นเดิม แต่ข้าก็ไม่ได้ใจดีขนาดนั้น ท่านมีเวลาเพียง12คืนเดือนเพ็ญเท่านั้น และทุกๆคืนเพ็ญที่ผ่านไป จิตสำนึกท่านจะเลือนหายทีละน้อยจนสุดท้ายท่านจะกลายเป็นเดรัจฉานอย่างสมบูรณ์”
(8) หมาป่าสีดำคลายข้อสงสัยของหลายซีเฉิน ก่อนที่มันจะค่อยๆเดินโซเซไปหา ร่างหมาป่าเพศเมียสีน้ำตาลที่นอนจมกองเลือดสิ้นชีวิตอยู่ก่อนหน้านี้ แล้วทิ้งร่างลงนอนเคียงข้างกันก่อนจะสิ้นลมหายใจ
ทิ้งให้ประมุขหลานซึ่งตอนนี้อยู่ในสภาพร่างที่ไม่เหมือนเคยงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
(9) หมาป่าสีขาวค่อยๆเดินออกมา โดยไม่ลืมที่จะคาบชั่วเยว่ เลี่ยปิง และผ้าคาดหัวออกมาด้วย สำหรับเสื้อผ้าของเขามันใหญ่เกินกว่าที่จะเอาออกมาด้วยได้
ในตอนนี้เขาควรกลับอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ให้เร็วที่สุด หวังว่าของต่างๆที่เขาคาบเอามาคงจะพอยืนยันตัวตนของตัวเองได้
(10) เวลานี้ที่ไม่อาจเหินกระบี่ไปได้นั้นช่างทำให้การเดินทางยากลำบาก ยังดีที่ขนหนาช่วยป้องกันลมหนาวได้ไม่น้อย
ขาทั้งสี่ก้าวเดินไปตามทางที่คิดว่าน่าจะนำทางเขาไปยังหมู่บ้านสักแห่งเพื่อหาอาหารประทังชีวิต เขาเดินทางมาได้ราวๆ4วันแล้ว นอกจากน้ำจากลำธารแล้วก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย
(11) เพราะเขียนจดหมายชี้แจงเอาไว้ชัดเจนว่าจะออกบำเพ็ญเพียรเพียงลำพัง จึงไม่แปลกที่ไม่มีคนออกตามหา แต่ใครเล่าจะคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา ร่างหมาป่าเดินตามกลิ่นหอมของอาหารที่สัมผัสได้แม้จะอยู่ไกลเข้ามาจนถึงหมู่บ้าน ยิ่งใกล้ เสียงอื้ออึงของชาวบ้านที่กำลังทำสิ่งต่างๆอยู่นั้น
(12) กลับเสียดแสบแก้วหูที่ประสาทสัมผัสไวกว่ามนุษย์หลายเท่า เขาไม่คุ้นชิน ระยะเวลาที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ที่ต้องใช้ชีวิตกลางป่า เสียงของธรรมชาติและสัตว์ไม่ดังถึงเพียงนี้ แต่ตอนนี้เสียงต่างๆดังตีกันเสียจนเขาเวียนหัวไปหมด ถึงอย่างนั้นความหิวที่มีก็ชนะ สั่งให้ขาทั้งสองเดินต่อไปอยู่ดี
(13) หลานซีเฉินวางชั่วเยว่และเลี่ยปิงหลบไว้ในพุ่มไม้ชายป่า ก่อนจะเดินตามกลิ่นอาหารเข้าไปในหมู่บ้าน เนื้อเค็มตากแห้งที่ชาวบ้านวางไว้ช่างล่อตา ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นการขโมย แต่สำหรับเขาที่ต้องเดินทางมาตลอดสองอาทิตย์และไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องก็ทำให้ศีลธรรมและกฏสกุลหายไปจากหัวชั่วขณะ
(14) “ หมาป่า เจ้าข้าเอ๊ยหมาป่ามา” ชามใบใหญ่ถูกปาใส่หัวของเขาทันทีที่ก้าวเดินเข้ามาในระยะสายตาของคนผู้หนึ่ง
“ เฮ้ย มาช่วยกันเร็ว เมื่อไม่กี่วันมานี้เจ้ารู้หรือไม่พรานหลิวเพิ่งถูกพวกมันสังหารเจอศพที่ชายป่า เละจนแทบระบุตัวไม่ได้”
(14) “ มันจะเข้ามาทำร้ายพวกเราแน่ๆ “ ข้าวของจำนวนมากถูกกว้างปาใส่ จรเกิดบาดแผลแตก เลือดสีแดงรินใส่ขนสีขาวบริสุทธิ์
หลานซีเฉินรีบวิ่งหนีเข้าป่าไป เขาไม่อยากทำร้ายใคร แต่ก็ไม่พร้อมโดนทำร้ายเช่นกัน รู้เพียงว่าต้องออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดยังดีที่ชาวบ้านไม่ตามมา
(16) เมื่อยังออกมาไม่ไกลระยะที่หูได้ยินพลันเสียงสนทนาก็ดังขึ้น
“ ข้าว่าสงสัยว่าพวกตัวใหญ่มันจะมาเอาขึ้นที่เราไปเอาลูกมันมาเล่นวันนั้น”
“ ความคิดเจ้าคนเดียวเลย ที่เอาไฟไปเผาขนไอ้ตัวเล็กนั้นจนสุดท้ายมันตายไปน่ะทั้งที่จริงๆเก็บไว้เล่นได้อีกหลายวันแท้ๆ”
(17) หรือว่าลูกหมาที่คนพวกนั้นพูดถึงจะเป็นลูกของเจ้าหมาป่าสีดำและน้ำตาลที่ออกอาละวาดทำร้ายผู้คน เจ้าหมานั่นไม่ได้พูดโกหก มันถูกกระทำก่อน เป็นเขาที่โง่เขลาตัดสินผู้อื่นจากภายนอกอีกครั้ง หลานซีเฉินพยายามสลัดความคิดถึงความผิดพลาดในอดีตที่เขาหลงเชื่อน้องร่วมสาบานจนทุกอย่างเกินแก้ไข
(18) พี่ใหญ่ต้องตาย คนมากมายต้องเดือดร้อนและเป็นเขาที่ต้องลงมือฆ่าน้องร่วมสาบานผู้นั้นกับมือ ไม่ว่าเมื่อใดเขาก็คือคนเขลาเช่นเดิม
ผู้คนมักมองว่าเขาทำดี ทำถูกทั้งหมด หากแต่ความจริงมันตรงกันข้าม สิ่งที่เขาทำมีแต่สิ่งผิดพลาด รวมถึงการละทิ้งสกุลออกเดินทางครั้งนี้ด้วย
(19) หมาป่าสีขาวรอนแรมเข้าป่าไปอีกครั้ง แผลแตกที่ถูกข้าวของขว้างปาใส่ไม่ได้รับการดูแลดีนักเหลือทิ้งไว้เพียงคราบเลือดที่แห้งกรัง
ในตอนนี้เป็นฤดูหนาว ผลหมากรากไม้หาแทบไม่ได้ ต้นไม้ต่างผลัดใบกิ่งก้านถูกคลุมด้วยหิมะ
(20) ตามธรรมชาติของหมาป่าย่อมต้องกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร หากแต่เพียงคิดว่าเขาต้องกินเจ้าก้อนขนสีขาวตรงหน้าสดๆก็ทำใจไม่ได้ เขาจึงเลือกที่จะเดินทางต่อไป หวังว่าจะมีแหล่งน้ำให้พอประทังชีวิตได้บ้าง
ดวงจันทร์กลมสวยที่สาดส่องแสงอยู่บนฟ้าบ่งบอกถึงคืนจันทร์เพ็ญครั้งแรก
(21) ร่างของหมาป่าทรุดตัวลงนอนที่ข้างต้นไม้ใหญ่หวังพักพิงจากการเดินทางวันแสนยาวนาน ผ้าคาดหัวสกุลและอาวุธประจำกายทั้งสองยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้เขาไม่หลงลืมไปว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นใคร
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่ด้วยประสาทสัมผัสของสัตว์อย่างเขาจึงสัมผัสได้ไม่ยาก
(22) มีคนกำลังมาทางนี้
คบไฟส่องแสงรางๆ และร่างของชายฉกรรจ์สามกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“ เหมือนวันนี้เราจะได้ของดีซะแล้ว “
“ ออกล่าทุกวันได้แค่กระต่ายป่า วันนี้สงสัยจะมีโชคได้หมาป่ากลับบ้านล่ะวะ”
(23) เสียงบทสนทนาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลานซีเฉินรีบลุกขึ้นคาบอาวุธประจำกายแล้วออกวิ่งทันที ซึ่งเสียงฝีเท้านั้นก็เรียกให้พรานทั้งสามคนออกวิ่งตาม ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งตรงมาใตความมืด แม้ยามนี้จะเป็นหมาป่าแต่วิชาเซียนที่เคยพร่ำฝึกมาแต่เล็กก็ยังช่วยชีวิตเขาไว้ให้หลบไม่ให้ลูกศรโดนส่วนสำคัญ
(24) ถึงจะวิ่งออกมาไกลแต่เหมือนฝีเท้าที่ตามมาไม่ได้ล่าถอย เรี่ยวแรงของเขาน้อยลงทุกที จากความอ่อนแอของร่างกาย คบไฟถูกโยนลงมากระทบกับพื้น สะเก็ดไฟกระเด็นขึ้นเผาไหม้ขนสีขาว ทางด้านหน้าเป็นทางตันติดแม่น้ำ ไร้ทางหนี หากย้อนหลังกลับไปก็คือความตาย หลานซีเฉินขอเลือกไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า
(25) หมาป่าตัวใหญ่กระโดนลงไปในแม่น้ำที่เย็นเยียบ สติค่อยๆพร่าเลือนลงก่อนดับไป

สติค่อยพื้นคืนมาอีกครั้งเมื่อร่างกายลอยไปกระทบฝั่งหนึ่ง หลานซีเฉินตะกายตัวขึ้นไปบนนั้น สภาพของเขาตอนนี้ดูไม่ได้สักเท่าไหร่ ลูกธนูลูกหนึ่งปักที่ขาหน้าซ้าย
(26) ยังดีที่ลูกมันปักค้างอยู่อย่างนั้นเลือดจึงไม่ไหลทะลักออกมามาก ขนที่ด้านหลังที่ต้องสะเก็ดไฟบางส่วนเผาไหม้เป็นสีดำ ยังดีที่ไม่เข้าไม่ถึงเนื้อภายใน
หลานซีเฉินกินน้ำในลำธารประทังชีวิตก่อนหยัดยืนขึ้นออกเดินทางต่อไป
(27) หลานซีเฉินลัดเลาะแนวป่าไปไม่ให้ใกล้กับหมู่บ้าน ยามนี้เขารู้แล้วว่าการเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งปลอดภัยเมื่อเข้าใกล้กับมนุษย์แม้ยามที่ไม่ทำสิ่งใดเลย แต่มนุษย์ก็ย่อมหวาดกลัวในสิ่งที่มีรูปลักษณ์ต่างจากตน ซึ่งแม้แต่เขาเองก็เป็นในยามเป็นมนุษย์
(28) ลักษณะดวงจันทร์บนฟ้าที่เปลี่ยนไปในทุกค่ำคืนบอกกับเขาว่าเวลาล่วงไปเกือบจะถึงคืนเพ็ญที่สองแล้ว ร่างกายที่เคยแข็งแรงซูบผอมลง เพราะได้กินเพียงแค่น้ำและผลไม้ที่นานๆทีจะเจอก็เพียงเท่านั้น รอยแผลต่างๆไม่ได้หายดี แผลจากลูกธนูเริ่มจะไม่ดีจนเขาคิดว่าไม่นานน่าจะต้องเสียขาหน้าซ้ายไปแน่ๆ
(29) เสียงของคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินทางมาทางนี้
“ นั่นตรงนั้นมีหมาป่า “
“ ใช่ๆเจ้าเห็นหรือเปล่ามันคาบบางสิ่งอยู่ด้วย “
คนเหล่านั้นรีบวิ่งมาล้อมเขาเอาไว้จนไร้ทางหนี
“ กระบี่และเซียวอย่างนั้นรึ ดูแล้วเป็นของมีราคาเสียด้วย”
(30) “ เอามานี่นะ “ กลุ่มคนเหล่านั้นพยายามยื้อยุดแย่งอาวุธประจำกายของเขา ถึงเรี่ยวแรงจะเหลือน้อยเต็มทน แต่ก็ขัดขืนสู้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“ ปล่อยนะ ไอ้หมาบ้า “ ไม้ท่อนใหญ่ถูกกระหน่ำฟาดใส่ตัว จนสุดท้ายความเจ็บก็ทำให้เขาต้องยอมแพ้ปล่อยให้คนเหล่านั้นได้ของสำคัญไป
(31) ร่างโปร่งในอาภรณ์สีม่วงสัตตบงกช นำเหล่าศิษย์เดินทางสอบถามเรื่องของปีศาจจิ้งจอกที่ออกอาละวาดแถวๆหมู่บ้านเดินเรื่อยมาจนถึงตลาด
เจียงเฉิงไม่ใช่คนที่สนใจข้าวของที่ขายในตลาดสักเท่าไหร่นัก เขามีชีวิตที่ต้องเจอกับสินค้ามากมายจากพ่อค้าต่างแดนในแทบทุกวันอยู่แล้ว
(32) แต่กระบี่สีขาวบริสุทธิ์และเซียวหยกเลานั้น เรียกสายตาเขาให้จ้องมองมัน
ไม่ผิดแน่ๆ ยิ่งอยู่คู่กันก็ยิ่งไม่ผิดเพี้ยน นั่นคือ ชั่วเยว่ และ เลี้ยปิง อาวุธประจำกายของเจ๋ออู๋จวิน
“ เหอะ ละทิ้งชีวิตตนเองจนถึงกับเอาอาวุธเซียนมาขายทิ้งเชียวรึ”
(33) “ พี่ชายกระบี่กับเซียวนั่นขายเท่าไหร่” เมื่อเงยหน้ามาเห็นว่าชายคนถามราคานั้นดูท่าจะเป็นผู้ดีมีเงิน พ่อค้าก็โพล่งราคาที่ไม่ธรรมดาเลยออกไป
หากแต่ชายผู้นั้นก็แค่เพียงหยิบคว้าตั๋วเงินจำนวนนั้นและหยิบยื่นให้อย่างไม่ได้ต่อราคาอะไรราวกับว่าเงินจำนวนนั้นเป็นเพียงเศษกระดาษ
(34) ประมุขเจียงมองพ่อค้าที่ตาเป็นมันเมื่อได้เงินจากการขายกระบี่และเซียวของเจ๋ออู๋จวิน มันเป็นเงินจำนวนมากก็จริง แต่พ่อนั่นก็คงไม่รู้ว่าของสองสิ่งนี้มีราคาจนประเมินค่าไม่ได้
หลังจากที่ได้ของสองสิ่งนั้นมาเขาก็ยื่นให้ศิษย์พร้อมทั้งกำชับให้ดูแลให้ดีด้วย
(35) จันทร์เพ็ญสาดแสงส่องลงมาในแนวป่าเผยให้เห็นร่างซูบผอมของหมาป่าตัวหนึ่ง ขาหน้าข้างซ้ายของมันมีลูกธนูปักอยู่ ปากแผลบวมช้ำจากการอักเสบและเป็นหนอง ขนที่เคยขาวตอนนี้ทั้งคลุกฝุ่น ทั้งมีคราบเลือดทั้งสดและแห้งกรังจากบาดแผลแตก รอยแผลไหม้จากสะเก็ดไฟ และรอยแผลฝกช้ำที่ถูกทุบตี
(36) ลมหายใจของเขาตอนนี้รวยรินเต็มทีเปลือกตาก็คล้ายว่าจะปิดลงได้ทุกเมื่อ คงมีชีวิตรอดไปไม่พ้นคืนนี้เสียแล้ว ผ้าขาดหัวที่เคยขาวบัดนี้กลายเป็นสีดำคล้ำสกปรก แต่เขาก็ยังคงคาบเอาไว้ ถึงแม้จะเสียอาวุธเซียนไปแล้ว แต่ก็ขอไม่ยอมสูญเสียตัวตน หากใครมาพบศพก็ขอให้สงสัยสักเพียงนิดว่าเขาคือใคร
(37) เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากใกล้เข้ามา แต่เขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะวิ่งหนีต่อไปได้อีกแล้ว
หากจะมาเอาชีวิตก็เอาไปเถิด เขาทุกข์ทรมานเต็มที
“ พวกเจ้ามาทางนี้เร็ว “ สุรเสียงแข็งกร้าวคุ้นเคยตะโกนสั่งเหล่าศิษย์
“ มีอะไรหรือขอรับท่านประมุข”
(38) การออกล่าราตรีครั้งนี้ไม่ได้ใช้เวลานานอย่างเช่นทุกครั้ง ศิษย์ของเขาสามารถรับมือได้ดี จนบางทีเขาแทบไม่ต้องออกโรงเอง
แต่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะออกจากป่าไป ลมวูบหนึ่งพัดพากลิ่นเลือดมาเข้าประสาทสัมผัส ถึงจะเบาบางแต่ก็ชัดเจนว่ามันเป็นกลิ่นเลือด
(39) เจียงเฉิงจึงตัดสินใจออกตามกลิ่นนั้นไป บางทีอาจจะมีผู้ใดบาดเจ็บที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ เมื่อตามมาไม่ไกลนัก หลังพุ่มไม้ สายตาของเขาก็กวาดไปพบกับสุนัขที่สภาพน่าเวทนาตัวหนึ่ง ร่างกายของมันซูบซีด เต็มไปด้วยบาดแผลจนน่าสงสาร กอปรกับความที่เขาเป็นคนรักสุนัขความสงสารจึงทวีคูณ
(40) แม้ว่ามันจะดูคล้ายสุนัข แต่ดูจากคมเขี้ยวและลักษณะของมันแล้วคงจะเป็นหมาป่า แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด หากอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็ควรได้รับการช่วยเหลือ
ผ้าเช็ดหน้าลายดอกเหลียนฮวาถูกนำออกมาพันแผลที่ขาข้างซ้ายอย่างเบามือ จากสภาพแผลคงถูกยิงมานานมาสมควร
(41) ไม่นานนักศิษย์ที่ถูกเรียกก็มาถึง ที่นี่คงรักษาเจ้าหมาตัวนี้ไม่ได้ อย่างไรคงต้องพามันกลับอวิ๋นเมิ่งเจียงก่อนดีกว่า
มือเรียวลูบไปบนหัวของสัตว์ป่าอย่างเบามือ
“ ทนอีกนิดนะเจ้าหมา ข้าจะพาเจ้ากลับไปรักษา”
(42) กลิ่นหอมของสมุนไพรปลุกประสาทสัมผัสที่ไวเกินมนุษย์ของหลานซีเฉิน ความเจ็บแปลบน่ารำคาญจากลูกธนูที่ฝังขาข้างซ้ายของเขามาได้เกือบเดือนถูกเอาออกไปเรียบร้อยแล้ว แทนที่ด้วยผ้าผันแผลขาวสะอาด
มีตะเกียงไฟและผ้าห่มผืนหนาที่ห่มคลุมการไว้เพื่อให้ความอบอุ่น
(43) แม้ว่าขนสีขาวหนานุ่มจะช่วยให้ความอบอุ่นในยามอยู่ท่ามกลางอากาศโหดร้ายที่ข้างนอกนั่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาต้องการความอบอุ่นเฉกเช่นที่ได้รับยามเป็นมนุษย์
กลิ่นอาหารหอมที่แม้จะเป็นแค่ข้าวกับเนื้อเค็มแต่ก็ดูราวกับเป็นอาหารจากสรวงสวรรค์
(44) หลานซีเฉินไม่ได้รักษากิริยามารยาทมากนัก รีบพุ่งตัวเข้าไปกินอาหารในชามที่วางอยู่ไม่ไกลจากตัวเขาเท่าไหร่
“ ไปบอกประมุขเจียงสิ ว่าเจ้าหมาฟื้นแล้ว “ เสียงของศิษย์ที่เดินผ่านมาแล้วเห็นเขากินข้าวอยู่เลยตะโกนบอกคนด้านนอก
“ หิวละสิ เดี๋ยวข้าไปเอามาเพิ่มให้นะ”
(45) ศิษย์ผู้นั้นหยิบชามอาหารที่เขากินหมดเกลี้ยงเอาไปเติมอาหารมาให้จนพูนชาม
“ กินเข้าไปเยอะๆนะเจ้าหมา รู้ไหมว่าเจ้าโชคดีขนาดไหนที่ประมุขเจียงไปเจอเข้าน่ะ”
ประมุขเจียง ... เจียงเฉิงผู้นั้นน่ะหรือที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
(46) “ มันเป็นอย่างไรบ้าง “ เสียงของประมุขแห่งเหลียนฮวาอู้ดังนำมาก่อนตัว
“ แผลที่ขามันยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ขอรับ อักเสบมาก เพราะ ทิ้งไว้นาน แต่แผลแตกและฝกช้ำที่อื่นไม่นานก็น่าจะหายนะขอรับ “
“ ถ้าดีขึ้นแล้วก็พาเจ้าหนูนี่ไปอาบน้ำอาบท่าซะนะ เนื้อตัวสกปรกมอมแมมไปหมด”
(47) เจียงเฉิงก้มลงจะหยิบเศษผ้าข้างตัวของหมาตัวนั้น นี่มันอะไรกันนะ จริงๆเขาก็เห็นมันคาบไม่ปล่อยตั้งแต่ตอนพามา ไม่มีใครกล้าหยิบเอาออกจากปากมันเพราะกลัวว่าจะโดนกัดเอา เพิ่งเห็นมันปล่อยก็ตอนที่ไปกินข้าวนั่นแหละ
(48) เสียงเห่าของสุนัขที่กำลังกินอาหารดังขึ้นเมื่อมือเรียวกำลังจะแตะของสำคัญ
เจ้าหมานี่วอนหาที่ตายแล้วไหมล่ะ ไปเห่าใส่ประมุขเจียงแบบนั้น ศิษย์ที่นั่งอยู่แอบกลืนน้ำลาย
“ ของสำคัญสินะ “
เสียงอ่อนของประมุขหนุ่มทำให้ศิษย์ล อบถอนหายใจอย่างคลายกังวล
(49) ไม่เป็นไรเมื่อไม่อยากให้จับก็จะไม่จับ เจ้าหนูนี่คงผ่านเรื่องราวโหดร้ายมาเยอะ จากบาดแผลบนตัว คงไม่ยอมวางใจกับใครง่ายๆ
“ ถ้าของสำคัญก็เก็บไว้ดีๆล่ะเจ้าหนู “
เจียงเฉิงกำชับกับลูกศิษย์ที่เป็นผู้ดูแลเขาอีกสองสามประโยคก่อนเดินกลับออกไป
(50) เจ้าหนูอย่างนั้นหรือ เขาไม่คิดว่าจะได้ยินประมุขหนุ่มผู้นั้นเรียกเขาเช่นนี้ อันที่จริงเขาอายุมากกว่าเจ้าตัวได้ 6-7 ปีด้วยซ้ำ
ใจหนึ่งก็ดีใจที่มีใครมาช่วยเอาไว้แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่คิดว่าจะได้รับความเมตตาจากคนที่เขาเคยทำตัวไม่ดีใส่ในยามที่ยังเป็นคน
(51) ระหว่างเขากับเจียงเฉิงไม่ได้มีความสัมพันธ์ต่อกัน แต่คนอย่างนี้ก็ไม่ใช่ลักษณะของคนที่เขาชอบ
ปากคอเราะร้ายเกินใคร พูดจาโผงผางการกระทำต่างๆก็ล้วนแข็งกระด้างในหลายคราก็กล่าววาจาล่วงเกินผู้อาวุโส ไม่ว่าจะไปที่ใดก็รังแต่จะทำให้คนหวาดกลัวไม่อยากเข้าใกล้ ราวกับอสูรกายไม่มีผิด
(52) แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็เป็นผู้มีพระคุณต่อเขาในยามยากอยู่ดี ถ้าหากไม่ได้ประมุขเจียงป่านนี้เขาก็คงนอนตายอยู่ในป่าอย่างไร้คนเหลียวแล
หลานซีเฉินกินน้ำในถ้วยที่ศิษย์ยกมาให้หลังจากกินข้าวไปถึงสองชาม อันที่จริงตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของอวิ๋นเมิ่งเจียง
(53) แต่ความบาดเจ็บในยามนี้ก็ไม่ทำให้เขาอยากออกไปจากที่พักพิงแห่งนี้สักเท่าไหร่นัก
ในตอนนี้ศิษย์ที่ทำแผลบนร่างกายให้เขาออกไปทำงานทำการสิ่งอื่นแล้ว เมื่อหนังท้องอิ่มหนังตาก็ย่อมต้องหย่อน เปลือกตาของหมาป่าตัวใหญ่ค่อยๆปิดลงก่อนจมลงสู่ห้วงนิทราเพื่อพักผ่อน
(54) ผ่านไปสามวันแล้วที่เขาได้เข้ามาอยู่ที่อวิ๋นเมิ่งเจียง ถึงจะถูกโซ่ล่ามเอาไว้แต่สภาพความเป็นอยู่ก็นับว่าค่อนข้างดี ที่จริงเขาไม่แปลกใจที่สกุลเจียงจะล่ามโซ่เขาเอาไว้ อย่างไรก็ตามในสายตามนุษย์หลานซีเฉินก็เป็นสัตว์หน้าขนที่ไม่อาจวางใจ ต่อให้อยู่ในภาวะบาดเจ็บแต่ก็อาจไปทำร้ายใครได้
(55) หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอเจียงเฉิงอีก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คนผู้นั้นเป็นประมุขตระกูลจะให้มีเวลาว่างมาดูหมาบาดเจ็บก็คงจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่นัก
แผลของเขาเริ่มดีขึ้นมาก ร่างกายก็เริ่มแข็งแรงจากการได้กินอาหารและพักผ่อน แต่ก็ยังไม่ได้ถูกพาไปอาบน้ำ
(56) เขาได้ยินศิษย์ที่แวะเวียนกันมาดูแลพูดว่า แผลหลายจุดที่เป็นแผลสด แผลแตก หากโดนน้ำคงจะแสบน่าจะดู และถ้าหากหมามันเจ็บแสบคงจะแว้งกัดเอา จึงลงความเห็นกันว่าควรจะทิ้งไว้อย่างนี้ก่อนรอให้แผลแห้งแล้วเดี๋ยวจะพาไปอาบน้ำ ซึ่งก็คงต้องใช้คนหลายคนถึงจะซูบผอม แต่โครงร่างของเขาก็จัดว่าใหญ่
(57) เสียงขลุกขลักจากห้องหนึ่งที่เดินผ่านเรียกให้ประมุขแห่งเหลียนฮวาอู้ผู้ที่เพิ่งทำงานเสร็จและกำลังจะกลับเรือนนอนไปพักผ่อนให้เดินไปตามเสียง เสียงนั้นดังมาจากห้องเก็บของเก่าที่บัดนี้กลายเป็นห้องของเจ้าหมาป่าตัวใหญ่ที่เขาเก็บได้มาเมื่ออาทิตย์ก่อน
(58) ประตูห้องและหน้าต่างไม่ได้ปิดเอาไว้ ด้วยกลัวว่าสิ่งมีชีวิตในห้องจะตื่นตระหนกและรู้สึกอึดอัด แต่เจ้าหมาป่าก็ดูคุ้นชินกับคนและสถานที่มากจนผิดวิสัยหมาป่าที่เขาได้รู้มา
เจียงเฉิงเดินเรื่อยเข้ามาจนเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน เจ้าหมานั่นกำลังใช้ปากพยายามคาบผ้าพันแผลอย่างนั้นรึ
(59) หมาตัวโตกำลังใช้ปากของมันคาบปลายผ้าพันแผลที่ขาซ้ายที่หลุดออกมาอย่างทุลักทุเล หากมองๆไปคล้ายว่ามันกำลังจะพยายามพันผ้าพันแผลที่หลุดรุ่ยกลับเข้าที่
“ นี่เจ้ากำลังจะพันผ้าพันแผลใหม่หรือ “ สุรเสียงของประมุขเรียกให้หลานซีเฉินที่กำลังง่วนกับการพยายามพันแผลเงยหน้าขึ้นมอง
(60) โฮ่ง
เสียงเห่าเหมือนเป็นเสียงตอบรับอย่างไรอย่างนั้น
“ มาให้ข้าช่วยดีกว่า” น้ำเสียงนั้นเหมือนว่าจะอ่อนลง ก่อนร่างสูงจะย่อตัวลงนั่งกับพื้นข้างๆเขา เอื้อมจับขาซ้ายที่มีผ้าพันแผลที่หลุดอยู่ ค่อยๆเอามันออก แล้วใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำที่อยู่ในถัง
(61) บรรจงเช็ดคราบเลือดและหนองบนแผลอย่างเบามือ
“ ข้าว่ามันน่าจะแสบ ยังไงก็อดทนหน่อยนะเจ้าหมา ใครกันนะที่มันช่างใจร้ายทำกับเจ้าถึงเพียงนี้”
เจียงเฉิงควานหากระปุกยาที่อยู่ในชั้นที่ลูกศิษย์เอาไว้วางข้าวของที่ใช้ในการดูแลเจ้าหมาตัวนี้
(62) ยาสมุนไพรสีเขียวแก่ถูกโปะลงที่แผลก่อนที่จะนำผ้าพันแผลอีกผืนมาพันให้ใหม่
ในยามอื่นที่ทำแผลเขาก็ว่าศิษย์สกุลเจียงก็ไม่ได้มือหนักเท่าไหร่นัก หากแต่ยามนี้ที่ใครอีกคนกำลังทำแผลให้ กลับทำให้เขาหลงเคลิ้มไปในความอ่อนโยน ไม่น่าเชื่อว่าคนที่กำกระบี่มาทั้งชีวิตจะมือเบาเช่นนี้
(63) หลังจากทำแผลให้เจ้าหมาเสร็จสิ้น เจียงเฉิงก็หันไปจุดสมุนไพรกันยุงที่สงสัยว่าจะโดนลมพัดใส่จึงมอดไปแล้ว จึงเดินออกไปจากห้องโดยไม่ลืมหันมาพูดกับเจ้าหมาตัวต่อ อย่างกับว่ามันจะเข้าใจ
“ นอนพักเยอะๆนะ จะได้หายไวๆ”
หลานซีเฉินเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่า(ในยามนี้)
(64) ใบหน้านั้นถึงเรียบนิ่งแต่ก็ดูผ่อนคลาย ไม่มีวี่แววขุ่นเคือง หงุดหงิด โกรธเกรี้ยวเฉกเช่นที่เขาเคยเห็นยามเป็นมนุษย์ ดวงหน้านั้นไม่ได้เชิดรั้นอย่างที่ทำอยู่เสมอ ในคราแรกเขาเคยแปลกใจที่คนผู้นี้ติดทำเนียบหนุ่มรูปงามอันดับ5แห่งยุทธภพ แต่คล้ายว่าเขาจะได้คำตอบของความคลางแคลงใจแล้ว
(65) กลิ่นกายหอมของประมุขแห่งท่าเรือสัตตบงกชไม่อาจถูกกลบโดยกลิ่นยาสมุนไพร กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกเหลียนฮวาทำให้เขาผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก บาดแผลที่อีกคนทำให้ใหม่ก็ทำให้สบายตัวมากขึ้นเยอะ ถึงมันจะดีกว่านี้ถ้าเขาได้อาบน้ำก็เถอะ
(66) “ เจ้าหมานี่เริ่มเหม็นมากแล้วนะ ข้าว่าเราควรได้ฤกษ์อาบน้ำให้มันเสียที “
“ ข้าเห็นด้วยกับเจ้านะอาซ่ง เรื่องที่มันเหม็น แต่ข้าไม่กล้า ตัวมันใหญ่ขนาดนี้เกิดกัดขึ้นมาถึงตายเลยนะ”
รู้ถึงไหนอายเขาไปถึงนั่น เจ๋ออู๋จวิน ประมุขแห่งสกุลหลานที่คนล้วนนับหน้าถือตา
(67) บัดนี้มีแต่คนถกเถียงเกี่ยงกันเรื่องจะอาบน้ำให้ แถมตอนนี้ยังเหม็นสกปรกเป็นที่น่ารังเกียจอีก ถึงเขาจะไม่ได้ใส่ใจกับตำแหน่งหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งของยุทธภพนัก แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรีอย่างไรก็ไม่รู้
(68) หนุ่มรูปงามผู้เป็นหนึ่งในยุทธภพ มีแต่คนนับหน้าถือตา เอาเป็นแบบอย่างในความสงบเสงี่ยม สง่างาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในตอนนี้กลายเป็นตัวเห็บหมัดน่าอดสูไปเสียแล้ว
“ พวกเจ้าถกเถียงอะไรกัน หากไม่มีใครกล้าก็ไปทำงานอย่างอื่นเสีย เดี๋ยวข้าทำเอง “
(69) เจียงเฉิงเดินผ่านมาเห็นลูกศิษย์ที่กำลังเกี่ยงกันอาบน้ำเจ้าหมาอย่างเอาเป็นเอาตายพูดแทรกขึ้นมา อันที่จริงศิษย์เหล่านั้นก็ไม่ผิดที่จะหวาดกลัว เจ้าหมานี่เป็นหมาป่าย่อมต้องมีสัญชาตญาณสัตว์ป่า แล้วขนาดตัวมันก็ไม่ธรรมดาเลย ถึงจะผ่ายผอมแต่เมื่อมันยืนขึ้นความสูงก็เกินครึ่งตัวคน
(70) “ จะดีหรือขอรับท่านประมุข “ เจียงซ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างหวาดๆ
“หรือถ้าเจ้าอยากจะทำข้าก็ไม่ขัดอะไร” เมื่อผู้เป็นประมุขเปิดช่องทางรอดมาขนาดนี้แล้ว มีหรือที่ศิษย์อย่างพวกเขาจะไม่รับมันเอาไว้
“ ขอบพระคุณประมุขเจียงมากขอรับ เดี๋ยวพวกข้าจะรีบไปเตรียมอุปกรณ์ให้นะขอรับ”
(71) “ พวกเจ้านี่ตาขาวกันเสียจริง รีบไปเถอะข้าไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวัน “ ยอมโดนด่าว่าตาขาวดีกว่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับเจ้าหมาป่าตัวใหญ่ล่ะนะ
เจียงเฉิงมีเวลาว่างนั่นแหละ ไม่งั้นเขาคงไม่เสนอตัวทำ ที่บอกว่าทำเพราะเป็นหัวลูกศิษย์ มันก็จริง เขามีวรยุทธสูงกว่า
(72) หากเกิดเหตุการณ์คับขันก็ย่อมรับมือได้ดีกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความต้องการลึกๆที่แอบเก็บซ่อนเอาไว้ของเขา นี่มันหมาตัวใหญ่ตัวเป็นๆตรงหน้าเลยนะ จะให้เขานิ่งเฉยทำเป็นไม่รู้สึกอะไรได้หรือ ถึงเจ้านี่มันจะเป็นหมาป่าก็เถอะแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีดุร้ายอะไร ยังไงหมาก็คือหมาอยู่ดี
(73) เวลาเพียงชั่วครู่ ศิษย์สองคนก็รีบนำถังน้ำ แปรง เครื่องหอมที่พอหามาได้เพื่อมาดับกลิ่นเจ้าหมาตัวนี้ เชือกที่คิดว่าพอจะเอาไว้ลากจูงหมาได้มามอบให้กับผู้เป็นประมุข
“ ให้พวกเราช่วยอะไรอีกไหมขอรับ “
“ ไปทำงานที่คั่งค้างไว้ของพวกเจ้าเถอะ”
(74) “ เจ้าหนู อยากไปอาบน้ำไหม “ หมาตัวโตพยักหน้าก่อนจะเห่าตอบรับออกมาหนึ่งครั้ง
“ งั้นก็ดี ข้าจะพาไป แต่สัญญากันก่อนว่าเจ้าต้องเป็นเด็กดี ไม่ดื้อซน ถ้าไม่งั้นเห็นนี่ไหม ถ้าเจ้าดื้อข้าจะฟาดเจ้า “เจียงเฉียงแปลงแหวนบนนิ้วเรียวให้กลายเป็นแส้สายฟ้าพร้อมฟาดลงพื้นข่มขู่เจ้าหมา
(75) แค่เห็นก็เสียวสันหลังวาบแล้ว หลานซีเฉินให้คำสัญญาในใจว่าเขาจะไม่ดื้อไม่ซน ไม่วุ่นวาย แม้แสบแผลก็จะไม่ร้องแม้แต่แอะเดียวเลยล่ะ ดูจากสีหน้าของอีกคนคล้ายว่าจะพูดจริงทำจริง
เจียงเฉิงแอบยิ้มเมื่อเห็นเจ้าหมาตัวสั่นน้อยๆ เจ้าหนูนี่กลัวเขาจริงรึ แต่กลัวก็ดีจะได้ไม่วุ่นวาย
(76) “ ถ้าข้าปล่อยเจ้าห้ามวิ่งนะ “ ซึ่งก็ได้รับเสียงเห่าตอบกลับมาเหมือนจะรู้เรื่องให้มันรู้เรื่องจริงๆก็ดี
ประมุขเจียงย่อเข่าลงใช้ลูกกุญแจที่วางอยู่บนชั้นปลดโซ่ที่ขาหลังของเจ้าหมาออก ซึ่งอีกฝ่ายก็มีท่าทีสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดีไม่วิ่ง ก่อนจะนำเชือกผูกเป็นห่วง
(77) ขนาดที่กะแล้วน่าจะพอดี สวมเข้าที่หัวของเจ้าหมา แล้วดึงให้ไม่หลุดแต่ก็ไม่รัดตึงจนรัดคอของมัน มือข้างหนึ่งจับปลายเชือกที่เป็นสายจูงเอาไว้ส่วนอีกข้างก็หิ้วถังน้ำที่ใส่อุปกรณ์ที่เหลืออยู่ภายใน
ลากจูงเจ้าหมาตัวโตไปยังท่าน้ำหลังเรือน ซึ่งไม่มีใครผ่านไปมาเท่าไหร่นัก
(78) เจียงเฉิงผูกปลายสายจูงอีกข้างเข้ากับไม้ที่ท่าน้ำ ก่อนจะเดินไปปลดผ้าคาดเอวและถอดเสื้อตัวนอกของตนออก พับแขนเสื้อตัวในที่กรอมข้อมือให้ขึ้นมาเหลือเพียงแค่ข้อศอก พับขากางเกงขึ้นมาถึงเข่า เสร็จแล้วจึงเดินมาหาเจ้าหมาที่ยืนรออยู่
(79) ตั้งแต่จำความได้หลานซีเฉินไม่เคยต้องให้ใครอาบน้ำให้มาก่อน ในคราแรกก็แสนดีใจที่ได้อาบน้ำเสียที แต่คราวนี้เขาชักเริ่มไม่แน่ใจเสียเท่าไหร่
ประมุขเจียงตักน้ำจากลำคลองใสขึ้นมารดเขา อีกคนรั้งมือไว้ไม่ให้น้ำเทใส่ตัวแรงและเร็วเกินไปแต่ก็ทั่วตัว
(80) สัมผัสเย็นจากน้ำนั้นช่างสดชื่นเหลือเกินถึงแม้ว่าจะแสบแผลบ้างบางจุด แต่สำหรับชีวิตการเป็นเซียนความเจ็บปวดแค่นี้นับว่าเล็กน้อยเหลือเกิน
“ แสบนิดนึงนะเจ้าหนูแต่เดี๋ยวเจ้าก็จะได้สบายตัวแล้ว”
เจียงเฉิงราดไปสองสามถังเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าหมาเปียกชุ่มไปทั้งตัวแล้ว
(81) จึงหันไปผสมเครื่องหอมกับน้ำในขันเล็กๆ เอามาขึ้นมาถูกับมือจนเป็นฟองแล้วจึงเริ่มไล่ถูจากกลางหลังก่อน ถึงจะนานแล้วที่ไม่ได้อาบน้ำให้สุนัขแต่เขาก็จะวิธีการได้ดี เมื่อก่อนนั้นเจียงเฉิงเคยเลี้ยงถึงจะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆก็เถอะ จนมาถึงเซียนจื่อที่เขาช่วยจินหลิงเลี้ยง
(82) สัมผัสอุ่นจากมือของอีกฝ่ายที่ตัดกับสัมผัสเย็นของน้ำสร้างความรู้สึกประหลาดให้กับหลานซีเฉิน เขาไม่เคยมีผู้ใดแตะเนื้อต้องตัวมากถึงขนาดนี้มาก่อน จะบอกว่าศิษย์ตระกูลหลานเป็นพระก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพราะวัตรปฏิบัติก็ไม่ได้ต่างจากพระสักเท่าไหร่
(83) ยิ่งสำหรับคนที่ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดยึดมั่นในการปฏิบัติตนอย่างเขาแล้ว ยิ่งห่างไกลจากเรื่องทางโลกมากกว่าผู้ใด ถึงอีกฝ่ายจะเป็นบุรุษเหมือนกันก็เถอะ แต่การที่มีคนอื่นมาจับต้องร่างกายมากถึงเพียงนี้ เขาก็ทำใจได้ยากเหมือนกัน
“ เกร็งไปหมดเลยเจ้าหนู กลัวหรือไง “
(84) เจียงเฉิงเอื้อมมือขึ้นไปลูบบนหัวของเจ้าหมาตัวโตที่ตอนนี้เหมือนจะยืนแข็งทื่อไปตั้งแต่เขาเริ่มอาบน้ำให้ ก็พอเข้าใจหรอกนะ เจ้านี่มันหมาป่าไม่ใช่หมาบ้านคงไม่คุ้นชินกับการมีใครอาบน้ำให้แบบนี้
“ ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะทำเบาๆ “
(85) มือเรียวนั้นลูบช้าๆจากหัวไปถึงกลางหลังคล้ายกับกำลังปลอบประโลม
สถานการณ์นี้มันอะไรกันหลานซีเฉินอยากจะกรีดร้องออกมา นี่มันเหมือนกับบทหนึ่งในหนังสือประโลมโลกที่เขาเคยยึดลูกศิษย์ที่ทำผิดกฏมาเลยไม่ใช่หรือ ทั้งท่าทีและน้ำเสียงเช่นนี้
(86) อย่างกับบุรุษที่กำลังปลอบประโลมหญิงสาวแรกแย้มที่สั่นกลัวขณะกำลังจะเสพสังวาสกันอย่างนั้น
แล้วประมุขเจียงผู้นั้นก็มีอาวุโสน้อยกว่าเขาแต่กลับลูบหัวเขาอย่างกับเป็นเด็กเล็กๆ แต่มันก็ใช่นั่นแหละก็ตอนนี้เขาเป็นหมา เป็นเจ้าหนูในสายตาของอีกฝ่ายนี่
(87) ใช้เวลาไม่นานมากเขาก็อาบน้ำเจ้าหมาตัวโตเสร็จ เมื่อกำจัดคราบสกปรกต่างๆออกจนหมด เจ้าหมาที่ดูสีกระดำกระด่างก็เผยให้เห็นสีขนขาวสว่างดั้งเดิมของมัน เจียงเฉิงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดลงไปบนขนที่ถึงสะอาดแล้วแต่ก็ยังเปียกอยู่อย่างเบามือ ระวังอย่างยิ่งตรงที่มันเป็นแผล
(88) เป็นหมาที่ดูว่าง่ายดี ขนาดเซียนจื่อที่ไม่ได้ดื้อมากเขายังใช้เวลานานในการอาบน้ำ เพราะมันชอบสะบัดขน ไม่ก็พยายามจะวิ่งหนีน้ำ แต่เจ้าหมาตัวนี้ไม่แน่ใจว่ามันชอบ หรือมันกลัว แต่ที่แน่ๆยืนแข็งเกร็งไปเสียหมด เลยทำให้เขาทำอะไรได้ง่ายหน่อย ไม่มีแม้กระทั่งเห่าเลยด้วยซ้ำ
(89) การอาบน้ำที่แสนจะยาวนานของเขาใกล้จบลงแล้ว ใจนึงอยากจะร่ำไห้ออกมาจริงๆ คล้ายว่าความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเขาเหมือนจะถูกพรากออกไปเสียหมด เรือนร่างที่แทบไม่เคยมีใครแตะต้อง กลับถูกประมุขเจียงผู้นั้นสัมผัสไปจนถึงไหนต่อไหน
(90) แต่อีกใจก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสัมผัสอ่อนโยนจากมือคู่นั้นทำให้เขาหลงเคลิ้มไป กลิ่นหอมจากเครื่องหอมของอวิ๋นเมิ่งนั้นไม่ได้รุนแรงนัก เป็นหอมอ่อนๆทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย แต่ก็ต่างจากกลิ่นกายผู้เป็นประมุข ก็แน่ล่ะสิใครเขาจะเอาเครื่องหอมของประมุขมาอาบน้ำให้หมากันเล่า
(91) ประมุขเจียงใช้แปรงข้างตัวแปรงขนให้เขาเป็นสัมผัสที่เพลินเสียจริง เงาสะท้อนจากในน้ำทำให้เขารู้สึกกลับมาภาคภูมิใจในตัวเองอีกครั้ง ถึงจะเป็นหมาแต่ก็ดูงดงามสมภาคภูมิไม่ได้เป็นหมาที่สกปรกน่ารังเกียจ
“ สบายตัวใช่ไหมล่ะเจ้าหมา เดี๋ยวตากแดดอีกหน่อยขนก็แห้งแล้ว ขนหนาเสียจริง”
(92) ไม่พูดเปล่า เจียงเฉิงวางแปรงและเอามือยีหัวเจ้าหมาอย่างหมั่นเขี้ยว เป็นพออาบน้ำแล้วก็ดูเป็นเจ้าหมาที่นุ่มฟูอย่างกับก้อนสำลี ขนาดตอนนี้ตัวยังเปียกก็ดูพองฟูแล้ว หากขนแห้งทั้งหมดคงจะเพิ่มความนุ่มฟูอีกเป็นเท่าตัว
“ เจ้าอยากเดินเล่นหรือไม่ อุดอู้อยู่ในเรือนเสียนาน”
(93) “ เดี๋ยวข้าพาเจ้ากลับไปทายาพันแผลให้ใหม่แล้วเราไปเดินเล่นกัน “ เจียงเฉิงเก็บอุปกรณ์การอาบน้ำใส่ลงในถังเหมือนเดิมแล้วจึงลุกขึ้นไปจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองที่ไม่เปียกเท่าไหร่นัก เพราะเจ้าหนูนี่เป็นเด็กดีที่แทบจะไม่สะบัดน้ำใส่เขาเลย ผิดวิสัยหมาแต่ก็เป็นเรื่องดี
(94) ไม่นานนักเจ้าหมาสีขาวที่ได้รับการอาบน้ำและทายาทำแผลเสร็จเรียบร้อยก็ได้ออกมาอวดโฉมเคียงข้างประมุขแห่งท่าเรือสัตตบงกช ยิ่งมีหมาป่าสีขาวตัวโตข้างกายยิ่งเพิ่งความน่าเกรงขามให้กับประมุขผู้ที่น่าเกรงขามมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
(95) เจียงเฉิงออกเดินตรวจตราชาวบ้านท่าเรือสัตตบงกช แม้จะดูน่าเกรงขามเพียงใดแต่ก็ไม่มีใครหวาดกลัว อาจจะเพราะทุกคนในที่แห่งนี้ต่างรู้ดีว่าประมุขเจียงของพวกเขาถึงจะปากร้าย ดูดุอยู่ตลอดเวลาแต่ก็เป็นคนใจดีและใส่ใจความเป็นอยู่ของพวกเขายิ่งกว่าใคร
(96) “ ประมุขเจียงเจ้าคะ “ เสียงของหญิงชราเอ่ยเรียกท่านประมุขที่เดินผ่านหน้าร้าน
“ ท่านยายลู่ มีอะไรหรือ” หญิงชรายื่นห่อกระดาษที่เต็มไปด้วยขนมหม่าฮัวให้กับประมุขหนุ่ม ทันทีที่รับของมาเจียงเฉิงก็รีบยื่นตั๋วเงินใส่มือหญิงชราทันที ซึ่งนางก็รีบโบกมือปฏิเสธทันที
(97) “ ทำเช่นนี้ได้อย่างไร ของซื้อของขายนะ “
“ ข้าเพียงแค่อยากให้ท่านประมุขเท่านั้น รับไปทานเถิดนะเจ้าค่ะ” หญิงชราระบายยิ้มออกมา
“ ข้ารับไว้แค่เพียงหนนี้นะ หนหน้าท่านยายต้องรับเงินรู้หรือไม่” ประมุขหนุ่มทำเสียงดุใส่ แต่หญิงชราก็เพียงแค่รับปากผ่านๆ
(98) เจียงเฉิงส่งชิ้นขนมเข้าปากของตนให้ท่านยายเห็นจะๆ จะได้ไม่เสียน้ำใจ และหักเป็นชิ้นเล็กๆ ส่งลงมาป้อนเขาด้วยซึ่งเขาก็รับไปกินอย่างว่าง่าย อีกฝ่ายถือขนมไว้ในมือชิ้นหนึ่งก่อนจะส่งถุงขนมไปให้เหล่าศิษย์ในสกุลที่ตามมาด้วยกัน เขาเห็นอยู่ว่าเด็กน้อยพวกนั้นตาวาวตั้งแต่ที่ประมุขได้ขนมมา
(99) ตลอดทางที่เดินไปผู้คนต่างยิ้มแย้มให้ประมุข หลายร้านค้าต่างส่งข้าวของมาให้ เจียงเฉิงรับไว้บ้าง ไม่รับบ้างหากของนั้นมีมูลค่ามากเกินสมควร ต่างจากภาพที่เขาเคยคิดว่าจะเป็น
ประมุขเจียงผู้ที่เป็นที่เลื่องลือในด้านของความร้ายกาจ ดุร้าย ใครเข้าใกล้ก็ต่างขนพองสยองเกล้ากันหมด
(100) แต่เหมือนว่าผู้คนของท่าเรือสัตตบงกชไม่ได้คิดเห็นเช่นนั้น ทุกครั้งในงานประชุมเซียนเขามักได้ยินที่พวกประมุขตระกูลอื่นพูดเล่ากันเรื่องความร้ายกาจของประมุขเจียงแม้ไม่ได้เชื่อถือทั้งหมด แต่ก็ย่อมต้องมีฟังไว้บ้าง และที่เห็นกับตนเองก็มาก ไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกฝ่ายในมุมเช่นนี้
(101) “ เสี่ยวฟางกลับมานี่ “ เด็กชายอายุประมาณ 12 ปีวิ่งไล่ตามเด็กหญิงตัวเล็กกว่าที่พุ่งกระโจนเข้าหาเขาทันทีที่หันมามองเห็น
“ เจ้าหมาาาา โอ๊ย “ แต่ยังไม่ทันถึงตัวก็สะดุดขาตัวเองล้มลงไปเสียก่อน
“ นี่ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” ประมุขเจียงวิ่งเข้าหาเด็กหญิง
(102) คุกเข่าลงยกตัวเด็กน้อยที่ล้มลงไปกับพื้นให้ลุกยืนขึ้นมา ก่อนจะตรวจสอบว่ามีบาแแผลอะไรหรือเปล่า ก็พบแผลถลอกที่เข่าทั้งสองข้าง จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเศษดินทรายออกจากบาดแผลให้ แต่ก็ไม่วายดุเด็กหญิง
“ อยู่ดีๆก็วิ่งเข้ามาเช่นนี้ได้หรือ แล้วเจ้ามากับผู้ใด”
(103) “ เสี่ยวฟาง” เด็กชายรีบถลาเข้ามาหาน้องสาวที่อยู่กับประมุขเจียงตอนนี้
“ ข้าขออภัยแทนน้องสาวข้าด้วยนะขอรับท่านประมุข ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดก็ขอให้ประมุขโปรดลงโทษข้าแทนเถิดขอรับ” เด็กชายทรุดตัวลงคุกเข่าขอโทษขอโทษแทนน้องสาวเป็นการใหญ่
(104) เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้หวนนึกถึงพี่สาวที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ และพี่ชายที่ในตอนนี้ความสัมพันธ์ไม่อาจเป็นเหมือนเดิมได้อีก
“ หยุดเถิด เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไร ดูเอาเถิดเสี่ยวฟาง สิ่งที่เจ้าทำทำให้พี่ชายของเจ้าต้องเดือดร้อนเช่นนี้ใช้ได้หรือ ตลาดผู้คนมากมายหากพลัดหลงกันไป—
(105) “ — เจ้าอาจไม่ได้กลับไปเจอพี่ชายเจ้าครอบครัวเจ้าอีก เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือไม่ “
“ มะ มะ ไม่ เจ้าค่ะ “
“ ถ้าเช่นนั้นต่อไปเจ้าก็ต้องเชื่อฟังพี่ชายเจ้า ห้ามวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาแบบนี้อีกรู้ไหม”
“ เจ้าค่ะ ท่านประมุข”
(106) “ ส่วนเจ้า เจ้าเป็นพี่ก็ต้องจูงนางเอาไว้ให้ดี”
“ ขอรับท่านประมุข”
“ แล้วเจ้าก็ต้องระวังด้วย ไม่แน่ว่าหมาทุกตัวจะเล่นได้ มันอาจจะกัดเจ้าได้ แล้วเจ้าหมานี่ก็เป็นหมาป่า ถ้าไม่ได้อยู่ในการดูแลของผู้ใหญ่ก็ห้ามวิ่งเข้าไปเล่นเลย—“
(107) “— แต่เอาเถอะยามนี้ถือว่ามีข้าที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ด้วย ข้าอนุญาตให้เล่นกับมันได้ “ ประมุขเจียงจับมือเด็กหญิงที่ยังกล้าๆกลัวๆให้ลูบเบาๆที่ขนของเจ้าหมาตัวใหญ่ ซึ่งมันก็หมอบราบกับพื้นให้เด็กหญิงจับได้ง่ายๆ เด็กชายจึงเอื้อมมือเข้ามาลูบบ้าง
(108) “มันชื่ออะไรหรือเจ้าคะท่านประมุข”
“ อ่า มัน ไม่มีชื่อหรอก” เจียงเฉิง อึกอักขึ้นมา เขายังไม่ได้ตั้งชื่อให้เจ้าหนูนี่
“ ทำไมล่ะเจ้าคะ “
“ มันเป็นหมาป่าน่ะ ไม่ใช่หมาเลี้ยง เพียงแต่ตอนนี้มันบาดเจ็บข้าก็เลยพามันมาดูแลก่อน เมื่อหายดีก็จะปล่อยมัน—“
(109) “—ให้กลับบ้านไป “ ผู้เป็นประมุขเอ่ยตอบเด็กหญิงออกไปตามสิ่งที่เขาคิดไว้ในใจจริงๆ ซึ่งเด็กหญิงกับเด็กชายก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ใช้เวลาไม่นานนักเด็กๆก็ถูกพ่อแม่มาตามกลับบ้าน ส่วนเขาก็เห็นว่าได้เวลาอาหารเย็นสมควรแก่การกลับเรือน
(110) ทั้งที่มันเป็นเรื่องปกติแท้ๆ เจียงเฉิงคงไม่ได้คิดจะเก็บเขาเอาไว้นาน แต่ทำไมเมื่อได้ยินคำว่าจะนำไปปล่อยแล้วเขาต้องเศร้าด้วย
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเขาหวาดกลัวกับโลกที่ต้องออกไปเผชิญนอกเหลียนฮวาอู้ที่ช่างโหดร้ายเหลือเกินก็เป็นได้
(111) ชีวิตในการเป็นหมาของหลานซีเฉินผ่านไปไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็วมากนัก บาดแผลค่อยๆหายดี จากการทำตัวดีมาตลอด ตอนนี้เขาจึงไม่ต้องถูกล่ามโซ่เอาไว้แล้ว เพราะ ศิษย์สกุลเจียงต่างได้ลงความเห็นกันว่า เขาไม่มีพิษภัยหรือท่าทีดุร้าย ที่จะไปกัดใครเข้า ไม่จำเป็นที่ต้องพันธนาการเอาไว้ก็ได้
(112) เขาจึงสามารถเดินเล่นไปมาได้อย่างค่อนข้างจะอิสระ ที่เหลียนฮวาอู้ไม่ได้แย่ถึงกับดีมากๆเสียด้วยซ้ำ มีที่พักให้อยู่ มีคนดูแล ซ้ำยังมีอาหารให้กิน
หวนให้นึกถึงอดีตครานั้นที่เขาเข้าเรือนสำนึกตน ทำตัวราวกับจะเป็นคนตายเสียให้ได้
(113) อาหารก็แทบไม่แตะต้อง เสียงของใครบางคนดังขึ้นที่นอกเรือนจนแทบจะขัดกับกฏของอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่
“ ท่านอาจารย์หลานแน่ใจหรือว่ายังอยากให้ข้าทำอาหารมาให้เขาอีก ข้าชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าข้าทำอาหารมาให้คนกินหรือมาเซ่นไหว้ภูติผีวิญญาณ มันแทบจะไม่พร่องไปเลยแม้แต่น้อย”
(114) “ ถึงจะเล็กน้อยแต่ก็ถือว่ามากกว่าปกติ หากไม่จวนตัวจริงๆ ข้าคงไม่รบกวนประมุขเจียง “ น้ำเสียงของท่านอาเต็มไปด้วยความกังวล ซึ่งก็ตามจริงดังที่พูด หากไม่สิ้นสุดหนทางก็คงไม่ขอให้คนช่วยเหลือ ยิ่งโดยเฉพาะคนใจยักษ์ใจมารผู้นั้น เขาไม่ได้อยากกินอาหารของคนผู้นั้นนักหรอก
(115) ยามนั้นมีของกินมาวางตรงหน้าเขาก็กินเพียงแค่แมวดม ปล่อยให้ความทุกข์ครอบงำเสียจนมองไม่เห็นสิ่งใด เมื่อถึงยามที่เป็นหมาป่าไม่มีอาหารตกถึงท้องร่วมสองเดือน เขาจึงได้รู้รสของความอดอยาก ว่ามันโหดร้ายเพียงใด ในครานี้ทุกมื้อจึงสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะ
(116) “ เจ้าหมามานี่เร็ววันนี้ลาภปากเจ้าแล้ว วันนี้ประมุขเจียงทำแกงรากบัวกระดูกหมูเลี้ยงศิษย์ แล้วยังปันให้เจ้าบางส่วนด้วยนะ” กลิ่นหอมของแกงมาก่อนที่เสียงของศิษย์จะเอ่ยเรียกเขาเสียอีก
ศิษย์ผู้นั้นทำการผสมแกงรากบัวกับข้าวสุก กระดูกหมูที่ใส่มาให้ก็เยอะไม่น้อย
(117) ต้องยอมรับว่าอาหารฝีมือเจียงเฉิงนับเป็นอาหารเลิศรส หากในวันนั้นเขาละทิ้งทิฐิมานะและอคติที่บังตาเอาไว้ เขาคงรับรู้ว่ามันอร่อยมาก และคงจะลิ้มรสและดื่มด่ำกับมันมากกว่านี้ในยามเป็นมนุษย์ไม่ใช่ผ่านชามข้าวสุนัขเช่นวันนี้
(118) คืนนี้เป็นจันทร์เพ็ญหนที่สี่แล้วสินะ ถ้านับตั้งแต่ประมุขเจียงพาเขามายามนั้นเป็นคืนเพ็ญคืนที่สอง เขาใช้เวลาราวๆสองเดือนอยู่ ณ อวิ๋นเมิ่งเจียง บาดแผลทั้งหมดหายเป็นปลิดทิ้งจากการดูแลอย่างดีของเหล่าศิษย์สกุลเจียง และประมุขผู้นั้น
(119) แต่จนถึงตอนนี้หนทางแก้คำสาปก็ยังคงเลือนราง หนทางกลับอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่นั้นก็ยังคงลำบากเกินไป เมื่อคิดดีๆแล้วหากกลับไปก็อาจจะโดนขับไล่ออกมา เพราะ อวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่มีกฏห้ามเลี้ยงสัตว์นี่ ย่อมไม่สามารถกลับไปในร่างนี้ได้
(120) หลานซีเฉินเดินทอดน่องออกจากห้อง สายตางเงยขึ้นชมดวงจันทร์งามอย่างคิดไม่ตกเรื่องปัญหาของตน คืนเงียบสงบ เหล่าศิษย์ต่างแยกย้ายกันไปนอนจวนจะหมดแล้ว แต่ด้วยประสาทหูที่ดีของสุนัข เขาจึงได้ยินเสียงที่อยู่ห่างออกไป
ยามนี้มีใครยังไม่เข้านอนอีกหรือ
(121) ขาทั้งสี่เลือกที่จะก้าวตามเสียงนั้นไป จนไปสิ้นลงที่ศาลาริมบึงบัวข้างเรือนนอนของประมุข กลิ่นสุราที่เขาไม่ใคร่จะชอบเท่าไหร่นักลอยคลุ้งออกมา ร่างคุ้นเคยกำลังร่ำสุราอยู่เพียงคนเดียว
แผ่นหลังที่เคยยืดตรงสง่างามเสมอนั้นห่อลู่ลงต่างจากปกติ
(122) ไม่รู้เพราะเหตุใดหลานซีเฉินจึงยิ่งเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เขาควรหันหลังและกลับห้องนอนไปเสีย กลิ่นหอมของดอกบัวจากกายของประมุขตีกันกับกลิ่นสุราชั้นดีในมือของอีกฝ่าย จนเขามึนงงไปเสียหมด บางทีประสาทสัมผัสที่ดีเกินไปของสุนัขก็ช่างน่ารำคาญ
(123) แค่เพียงเสี้ยวหนึ่งของใบหน้านั้นเขาก็เห็นได้ถึงความหม่นเศร้าเหลือคณา ดวงตาคู่งามฉายแววความโศกออกมาอย่างไม่ได้ปิดบังสิ่งใด เหมือนในยามนี้อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการที่จะปิดบัง ต้องการเพียงปล่อยตัวเองไปกับห้วงความรู้สึกนี้เท่านั้น
(124) “ เจ้าหมาเองรึ “ เจียงเฉิงผินหน้าไปมองเจ้าก้อนขนตัวใหญ่ที่ลอบเดินมายืนอยู่ข้างกาย มือเรียวเอื้อมไปลูบหัวของมันเบาๆ กวาดสายตามองเจ้าหมาที่ยามนี้ดูแข็งแรงและงดงาม ต่างจากสภาพใกล้ตายที่เขาพามา สองเดือนบาดแผลหายดีทั้งหมด กลับมามีเนื้อมีหนังหลังจากได้กินอาหารอย่างพอเพียง
(125) “ หายดีแล้วสินะ นี่ ตอนเด็กๆข้าก็เคยเลี้ยงหมาล่ะ สามตัวเลยเจ้ารู้ไหม มันชื่อว่า โม่ลี่ เฟยเฟย แล้วก็เสี่ยวอ้าย คนอื่นบอกว่าข้าตั้งชื่อได้ห่วย ข้าก็ว่ามันน่ารักดีไม่เห็นจะห่วยตรงไหนเลย “ หลานซีเฉินเผลอยิ้มออกมาเมื่อได้ฟัง ก็ดูเป็นชื่อที่น่ารัก แต่ไม่คิดว่าเจียงเฉิงจะตั้งมัน
(126) “ ถึงจะน่ารักอย่างไรแต่พวกมันก็ถูกเอาไปปล่อย เมื่อตอนที่ท่านพ่อรับเว่ยอู๋เซี่ยนเข้ามาเลี้ยง ข้าโกรธเขามาก โกรธมากเหลือเกิน เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ข้าต้องสูญเสียทุกอย่างไปมากมาย “ แววตานั้นฉายแววแตกร้าวอย่างปิดไม่มิด
“ แต่เจ้ารู้หรือไม่สิ่งที่ข้าโกรธมากที่สุด—“
(127) “ คือข้าโกรธตัวเองที่ไม่อาจเกลียดชังเขาได้ เว่ยอู๋เซี่ยนคนไม่รักษาสัญญาผู้นั้น ทำสิ่งมากมายเพื่อปกป้องข้า จินตานที่ไหลเวียนอยู่ในกายข้ามันก็เป็นของเขา ข้าไม่อาจเกลียดชังเขาได้เลย แต่สุดท้ายเขาก็ทิ้งข้าไว้เบื้องหลังเฉกเช่นทุกคน “
(128) หลานซีเฉินขยับเข้ามาใกล้คนตรงหน้ายกขาหน้าแตะเบาๆที่เข่าของคนตัวสูงกว่าคล้ายจะพยายามปลอบประโลมอีกคน
“ เคยมีคนบอกกับข้าเอาไว้ ว่าคนร้ายกาจอย่างข้าใครเขาจะอยากอยู่ด้วย ข้าก็คงต้องอยู่คนเดียวและตายเพียงลำพังนั่นแหละ “
(129) ภาพความจำของหลานซีเฉินไหลย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์หนึ่ง
“ เจ๋ออู๋จวิน เมื่อใดท่านจะสำนึกได้สักทีว่าสิ่งที่ทำอยู่เช่นนี้มันส่งผลเสีย เรื่องของท่านไม่ใช่ธุระกงการสิ่งใดของข้า ท่านจะเศร้าคร่ำครวญหรือตายไปก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องใส่ใจ แต่ที่ข้าต้องยื่นมือเข้ามาสอด—“
(130) “— ก็เพราะการกระทำของท่านมันส่งผลกระทบต่อผู้อื่น “ เจียงเฉิงโยนปึกกระดาษลงตรงหน้าของผู้อาวุโสกว่าอย่างไม่เคารพ
“ สามหาวนัก เจ้าไม่มีสิทธิกล่าววาจาเช่นนี้กับข้า คนสกุลเจียงไม่มีใครสั่งสอนหรือว่าการประพฤติตนต่อผู้อาวุโสกว่าต้องทำเช่นไร”
(131) “ พอดีว่าข้าเคารพแค่เพียงผู้อาวุโสที่ต้องเคารพหาใช่ผู้อาวุโสที่เลอะเลือนเลื่อนลอยราวกับคนบ้าใบ้ ท่านรู้หรือไม่ว่าคำสั่งการของท่านนั้นเป็นการให้เหล่าศิษย์ที่น่าสงสารพวกนั้นมุ่งหน้าเข้าหาความตาย”ในงานประชุมเซียนครั้งล่าสุด มีปีศาจงูออกอาละวาดที่ทางตอนใต้ของอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่
(132) ด้วยความเชื่อใจของที่ประชุมถึงแม้ยามนี้ประมุขหลานจะอยู่ในห้วงความเศร้าแต่ฝีมือนั้นก็ยังมิได้ลดน้อยถอยลงจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นคนนำทัพไปจัดการ พร้อมทั้งพาศิษย์จากหลายสกุลไปช่วยกำจัด แต่เพราะความเลื่อนลอยไม่อยู่กับร่องกับรอยของอีกคนจึงทำให้เกิดความผิดพลาดมากเหลือเกิน
(133) “ ต่อให้ท่านจะเศร้าจนตายตกไปตามกันพี่น้องของท่านก็ไม่มีวันฟื้นคืน “ เมื่อได้ฟังคำพูดของอีกคนยิ่งทำให้ความโกรธของเขามากขึ้นเท่าทวี
“ คนหยาบกระด้าง ไร้หัวใจเยี่ยงเจ้าจะไปเข้าใจสิ่งใดกัน ” เรื่องราวมากมายที่เขาต้องประสบอีกคนไม่มีวันเข้าใจได้
(134) “ใช่คนไร้หัวใจเยี่ยงข้าไม่อาจเข้าใจคนที่อ่อนไหวเหลือเกินอย่างเช่นท่าน และก็คงไม่มีใครจะมาเข้าใจด้วย หยุดพูดจาเลอะเลือนเสียที “
“ แล้วต้องให้ข้าพูดจาอย่างไร ยโสโอหัง ปากคอเราะร้ายเช่นเจ้าอย่างนั้นหรือ“ หลานซีเฉินเว้นจังหวะไปเพียงนิดก่อนพูดต่อ
(135) “ ข้าไม่แปลกใจเลยที่เจ้าต้องอยู่คนเดียว คงไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้อยู่กับคนโหดร้ายป่าเถื่อนไร้หัวใจเช่นเจ้า ไม่แปลกใจที่แม้แต่เว่ยอู๋เซี่ยนผู้หวนคืนจากความตายยังไม่อยากจะกลับไปหาเจ้าเลยด้วยซ้ำ คนเช่นนี้ใครเขาจะอยากอยู่ด้วย คงต้องอยู่คนเดียวและตายเพียงลำพังนั่นแหละ”
(136) ในครานี้คนปากร้ายไม่ได้พูดอะไรต่อกลับมาแค่เพียงหันหลังและเดินกลับไปออกไปเท่านั้น หลานซีเฉินจึงได้รู้ตัวว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปนั้นมันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าอะไร
ปึกกระดาษที่ประมุขเจียงโยนลงมาตรงหน้าเป็นรายงานศิษย์ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เขาเป็นคนดูแล
(137) หลานซีเฉินคิดทบทวนอยู่นาน เขาละอายใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไร้คุณค่าเกินกว่าจะเรียกตนเองว่าเป็นประมุขแห่งสกุลหลานได้ สิ่งที่เจียงเฉิงผู้นั้นพูดถูกทั้งหมด เขาไม่อาจแบกหน้ารับตำแหน่งประมุขต่อไปได้อีก จึงเขียนจดหมายอำลาและออกเดินทางจนมาเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น
(138) ‘ ประมุขเจียงข้าขอโทษ คำพูดของข้าเป็นเพียงคำพูดคนเลอะเลือนอย่างเจ้าว่า อย่าได้นำมันมาใส่ใจเลยนะ เจ้าไม่คู่ควรกับความเศร้าเช่นนี้ ‘ หลานซีเฉินพยายามพูดบอกออกมา แต่มันก็เป็นได้เพียงแค่เสียงเห่า คำพูดเพียงไม่กี่คำแต่คนจำไม่เคยลืมนั้นจริงเหลือเกิน
(139) เขาไม่เคยรู้เลยว่าคนแข็งกร้าว ไร้หัวใจที่เขาด่าว่าต้องเจ็บปวดถึงเพียงนี้ คนที่เขาเคยตัดสินไปแล้วว่าเย่อหยิ่ง ยโสโอหัง ร้ายกาจ แท้จริงภายใต้เปลือกนอกอันแข็งกร้าวเจียงเฉิงเป็นคนที่จิตใจดีและมีเมตตากับผู้อื่นยิ่งกว่าใคร เขาคือหนึ่งในผู้ที่ได้รับความเมตตานั้น
(140) แม้ไม่อ่อนหวานนุ่มนวล แต่ก็ช่างซื่อตรงและจริงใจ เด็กคนนี้ถูกบีบบังคับให้ต้องโตเร็วกว่าที่ควร สูญเสียทุกอย่างไปมากเหลือเกิน ในขณะที่เขาถึงจะเจอกับความสูญเสียแต่ก็ยังมีท่านอาที่คอยช่วยเหลือชี้แนะ เด็กคนนี้ต้องต่อสู้ด้วยตนเอง ท่ามกลางเหล่าผู้อาวุโสที่ไม่ต่างกับเหล่าจิ้งจอก
(141) หากอ่อนแอก็มีแต่โดนดูถูกเหยียดหยามไม่ให้เกียรติ และด้วยความที่ตระกูลเจียงเป็นเมืองท่า ย่อมต้องพบป่ะเจรจาค้าขายกับพวกพ่อค้าที่เล่ห์เหลี่ยมจัดตลอดเวลา สภาวะรอบกายหล่อหลอมให้เด็กหนุ่มผู้นี้ต้องแข็งแกร่ง กดความอ่อนแอไว้ให้ลึกที่สุด ไม่ยอมถูดเอาเปรียบข่มเหง
(142) เขากับอีกคนเหมือนกันมากกว่าที่คิด เหมือนกันกับเขาตรงที่ต้องขึ้นเป็นประมุขตั้งแต่อายุยังน้อย ต้องเผชิญหน้ากับความร้ายกาจของโลกใบนี้เร็วกว่าผู้อื่น หากแต่แตกต่างในการเลือกหน้ากากมาสวมใส่ เขาเลือกหน้ากากเจ๋ออู๋จวิน ผู้อ่อนโยนสง่างาม ซ่อนความอ่อนแอและเจ็บปวดเอาไว้ใต้รอยยิ้ม
(143) ที่ปรากฎอยู่บนใบหน้าเสมอ ต่อให้จะอยากร้องไห้ออกมา อยากจะเกรี้ยวกราดอาละวาด หรือความหวาดกลัวใดๆ มันเกิดได้แค่เพียงอยู่ในจิตใต้สำนึกเท่านั้น กดมันเอาไว้ให้ลึกที่สุดแล้วฉาบมันเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน คล้ายกับจะบอกกับทุกคนและทุกสิ่งว่าไม่เป็นไร ทั้งที่ในใจมันตรงกันข้าม
(144) สองขาหน้าของสุนัขตะกุยเข้าที่ตักของบุรุษในอาภรณ์ม่วง ทั้งยังเห่าออกมาตลอด
“ เจ้าจะปลอบข้างั้นรึ “ เจียงเฉิงเอามือลูบบนหัวมันหวังให้มันสงบลง
“ ไม่เป็นไรหรอกเจ้าหนูข้าชินแล้ว อยู่คนเดียวมานานขนาดนี้แล้ว อยู่ต่อไปอีกก็ไม่เป็นไรหรอก”
(145) หมาป่าวางหัวของมันไถกับตักของเจียงเฉิง ขนสีขาวนุ่มฟูทำให้เขาผ่อนคลายอย่างไม่รู้เบื่อ
“ เจ้าอย่าทำตัวน่ารักนักสิ เดี๋ยววันที่เจ้าจะไปข้าก็เสียใจแย่ “
“ นี่เจ้าหนู เจ้าเป็นหมาป่า ธรรมชาติของเจ้าย่อมไม่ชอบการถูกกักขัง ในวันนี้เจ้าหายดีแล้ว—“
(146) “— หากเจ้าอยากกลับบ้านไปเมื่อใดก็จงไปเถอะ กลับไปหาครอบครัวที่เจ้าจากมา ข้าว่าพวกเขาก็คงจะรอเจ้าอยู่ “ ร่างโปร่งหยิบไหสุราข้างตัวขึ้นมาดื่มอีกหน ร่ำสุรากับเจ้าหนูนี่ก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่
“ ข้านี่บ้าเหลือเกิน พูดกับเจ้าเป็นวรรคเป็นเวร เจ้าจะฟังรู้เรื่องได้อย่างไรกัน”
(147) “ ข้าไปนอนดีกว่า เจ้าก็ควรจะไปเช่นกันนะเจ้าหมา “ มือเรียวยกหัวของสุนัขที่อยู่บนตักขึ้น ก่อนจะลุกเดินออกจากศาลาเพื่อเข้าเรือนนอน
ไม่มียามไหนที่หลานซีเฉินอยากกลับไปเป็นมนุษย์เท่ายามนี้ เขาอยากจะบอกอีกคนหลายอย่างเหลือเกิน อยากบอกว่าเขาฟังรู้เรื่อง อยากพูดปลอบ
(148) อยากทำหลายสิ่งเพื่อบอกให้เจียงเฉิงได้รับรู้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง และเขาก็ไม่ได้อยากจากไปไหนด้วย
ทั้งที่ควรจะแยกกันไปนอนตามประสาหมาที่ฟังรู้เรื่อง แต่เหมือนจิตใต้สำนึกสั่งให้เขาก้าวเดินตามอีกคนไปจนถึงเรือนที่ห่างกันแค่เพียงไม่กี่ก้าว
(149) อีกฝ่ายเข้าเรือนนอนไปแล้ว เขาจึงนอนลงบ้างที่ข้างหน้าประตูเรือน ส่วนหนึ่งก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายให้ได้รู้ว่าไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่อีกส่วนหนึ่งเหมือนเจียงเฉิงได้ไขเปิดความปรารถนาบางสิ่งที่เขามักเก็บเอาไว้ให้ลึกตลอดมา
(150) ไม่ใช่แค่เจียงเฉิงที่ไม่อยากอยู่คนเดียว เขาก็ไม่อยากอยู่คนเดียวเช่นกัน
ตอนนี้ไม่ได้มีเจ๋ออู๋จวินผู้เก่งกาจสามารถ ที่ทุกอย่างต้องสมบูรณ์พร้อม ห้ามทำสิ่งใดผิดพลาด ตอนนี้เขาเป็นแค่เพียงเจ้าหมาหน้าโง่ตัวหนึ่งที่อยากจะทำสิ่งใดก็ได้ และในยามนี้มันอยากอยู่เฝ้าเจ้าของมัน
(151) ‘ ข้าขอโทษจริงๆนะ ถ้าหากมีโอกาสได้กลับคืนร่างเดิม ข้าจะมาพูดกับเจ้าอีกครั้ง’ หลานซีเฉินยังคงนอนไม่หลับ เขาย้ายตัวเองจากหน้าประตูเรือนมายังบานหน้าต่างด้านข้างที่เปิดเอาไว้มีเพียงแค่ม่านบางกั้นเพื่อให้ลมเย็นผ่านเข้าออกได้ ก่อนจะทอดสายตามองอีกคนที่จมเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
(152) เสียงของใครบางคนดังขึ้นเรียกให้เจียงเฉิงหันไปหา แม้ได้ยินเสียงแต่กลับจับความไม่ได้ว่าพูดสิ่งใด
แสงจันทร์สาดกระทบผ้าม่านผืนบางตรงหน้าต่างฉายให้เห็นเงาของชายร่างสูงใหญ่ที่อยู่อีกฝากก่อนที่สายลมจะพัดให้มันปลิวแง้มออก อาภรณ์ลายเมฆสีขาวสลับฟ้า สัญลักษณ์แห่งสกุลหลาน
(153) “ ประมุขเจียงขอรับ สำรับอาหารเช้ามาแล้วขอรับ “ เสียงของลูกศิษย์ตะโกนดังเข้าโสตประสาท สลายภาพความฝันประหลาดให้เหลือความจริงที่ว่ายามนี้เช้าแล้ว
เจียงเฉิงลงจากเตียงไปเปิดประตูห้องให้ศิษย์นำสำรับเข้ามา ยังคงคิดไม่ตก ก่อนที่สายตาจะหันไปต้องกับหีบที่ตั้งอยู่มุมหนึ่ง
(154) หีบไม้ใบนั้นใช่แล้ว เขาลืมไปเสียสนิทเลย เขาซื้อชั่วเยว่กับเลี่ยปิงมาจากพ่อค้าในตลาดยามไปออกเยี่ยเลี่ยครั้งนั้น คิดเอาไว้ว่าจะส่งคืนให้สกุลหลานทันทีแต่ด้วยมีเรื่องเจ้าหมาและงานที่เข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้ลืมไปเลย
หรือว่าฝันนั้นจะเป็นจิตวิญญาณตระกูลหลานที่มาทวงของคืน
(155) หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจียงเฉิงก็ไม่รอช้ารีบสั่งให้ลูกศิษย์นำหีบที่เก็บอาวุธเซียนชั้นสูงขึ้นเรือเพื่อมุ่งหน้าไปยังอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ทันที โดยไม่ลืมเขียนจดหมายแนบติดไปด้วย
(156) ‘ เรียน เซียนตู
ของในหีบห่อนี้ หากข้าจำไม่ผิดคิดว่าเป็นกระบี่และเซียวของเจ๋ออู๋จวิน ข้าพบมันเมื่อสองเดือนก่อน มันขายอยู่ที่ตลาดในหมู่บ้านทางตอนใต้ของอวิ๋นเมิ่งเจียง จึงคิดเอาว่าแม้นเจ้าของมันจะไม่ต้องการแต่ตระกูลหลานก็คงอยากจะเก็บมันเอาไว้ —
(157) ‘ — ขออภัยที่ส่งคืนไปช้า
- เจียงเฉิง- ‘
ข้อความสั้นๆในจดหมายถูกแกะอ่านด้วยใครอีกคนที่ไม่ใช่บุคคลที่ถูกจ่าหน้าซอง ชายหนุ่มรูปงามอาภรณ์สีดำสลับแดงตัดกับสีขาวบริสุทธิ์ของสกุลหลานหยิบมันขึ้นมาอ่านทันทีเมื่อเห็นว่าผู้ส่งคือใคร
(158) “ เป็นของต้าเกอจริง “ หยกคนน้องพูดขึ้นมา เมื่อเปิดหีบที่ถูกส่งมาจากอวิ๋นเมิ่งเจียงก็พบกับเซียวหยกขาวเนื้อดี และกระบี่ประจำกายของผู้เป็นพี่ชายที่อยู่ภายใน
“ แต่กระแสพลังเปลี่ยนไป “ ถึงใบหน้านั้นจะดูเรียบเฉยเฉกเช่นเคย แต่เขาก็รู้ดีว่ามันฉายแววความกังวลอยู่ในนั้น
(159) “น่าแปลก ต้าเกอไม่น่าทิ้งอาวุธประจำกายของตน จากจดหมายเขียนไว้ว่าเจอเมื่อสองเดือนที่แล้ว ส่วนต้าเกอออกเดินทางเมื่อสี่เดือนที่แล้ว ถ้าของนี่ขายอยู่ในเขตอวิ๋นเมิ่ง บางทีผู้คนแถวนั้นอาจจะเคยเห็นเขาก็ได้นะหลานจ้าน “ปรมาจารย์อี๋หลิงออกความเห็น
(160) “ คงต้องลองไปถามประมุขเจียงให่แน่ชัด “ หลานวั่งจีเอ่ยขึ้นมาก่อนจะหันไปสบกับสายตาของคนรักที่มีแวววูบไหวไป
“ ถ้าอยากไปหาเขาก็แค่ไปหา “ ร่างสูงเอื้อมมือมากุมมือของอีกคนเอาไว้ เว่ยอิงอยากกลับท่าเรือสัตตบงกชมาตลอด แต่อีกคนกำลังกลัว
* เนื้อเรื่องไม่เหมือนทล.ในซีรีย์นะคะ*
(161) “ หลานจ้าน ข้าไม่มีหน้ากลับไปที่นั่นได้อีกแล้ว ข้าผิดสัญญากับเขา เขาคงไม่ให้อภัยข้า “ เว่ยอู๋เซี่ยนมักมีสีหน้าหม่นเศร้าลงเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
“ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าไปเป็นเพื่อนข้า” บุรุษในชุดขาวไม่รีรอให้ได้รับคำตอบก็รีบลากจูงข้อมือของอีกคนไปทันที
(162) ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งสองก็มาถึงยังท่าเรือสัตตบงกช
“ เอาแต่ใจจริงนะคุณชายรองหลาน ลากข้ามาไม่ถามสักคำ “ เว่ยอิงพูดไปอย่างนั้น เพราะ เมื่อถึงอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีอิดออดซ้ำยังอยากมาเสียเต็มประดา เขาจะมองฟูเหรินของตนไม่ออกได้อย่างไร
(163) “ เจ้าเข้าไปถามเรื่องต้าเกอเถอะ ข้าจะเดินเล่นรอบๆอยู่แถวนี้ “ เว่ยอิงโบกมือไล่ฟูจวินของตนให้ไปทำธุระที่ทำให้ต้องมาเยือนถึงอวิ๋นเมิ่ง เขายังไม่กล้าเผชิญหน้ากับเจียงเฉิงอยู่ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากเจอหน้า ปรมาจารย์อี๋หลิงสาวเท้าอย่างว่องไวไปตามทางที่คุ้นชินมาแต่เด็ก
(164) แน่นอนว่าเจียงเฉิงต้องออกมารับรองหลานจ้านที่เรือนรับรอง เขาพอจะรู้ว่ามุมไหนที่จะเห็นภาพการสนทนาได้ชัดเจนที่สุด เว่ยอิงหลบหลีกศิษย์ได้อย่างง่ายได้ เพราะ เวลานี้เป็นเวลากลางวัน ศิษย์ล้วนแยกย้ายทำงานของตน ไม่มีใครอยู่บริเวณทางเดินมากนักไม่นานเขาก็ถึงจุดกำบังที่ดี
(165) แม้จะไม่มีเขาคอยช่วยเหลือ แต่เจียงเฉิงยืนหยัดด้วยตนเอง เติบโตอย่างสง่างามกับเป็นประมุข เห็นแล้วอดยิ้มตามไม่ได้ ถ้าหากเขามีโอกาสได้ยืนเคียงข้างอีกคนช่วยกันดูแลท่าเรือสัตตบงกชแห่งนี้จะดีขนาดไหนกันไหน
เว่ยอิงระบายยิ้มเมื่อมองดูภาพน้องชายคนเล็กที่กำลังสนทนากับหลานจ้าน
(166) อดนึกถึงความหลังไม่ได้ เจ้าน้องชายขี้งอนแสนเอาแต่ใจคนนั้น บัดนี้เติบโตขึ้นมากจริงๆ
พลันจังหวะที่เขาก้มหน้าลง ปลายสายตาก็สังเกตเห็นก้อนสีขาวบางอย่างที่เคลื่อนตัวเข้ามาหา
อย่าเลยนะ อย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิด ไม่ใช่หรอกเขาตาฟาดไป
“ หลานจ้าน หมาาาาา !!!”
(167) ‘ เดี๋ยวก่อนคุณชายเว่ย ใจเย็นก่อน’ หลานซีเฉินเผลอพยายามพูดออกมา แต่เหมือนว่าสถานการณ์จะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม เพราะเสียงพูดนั้นได้กลายเป็นเสียงเห่า
เขาจะทำอย่างไรให้คุณชายเว่ยใจเย็นลงก่อนได้ หรือจะพยายามยิ้มอย่างเป็นมิตรเฉกเช่นยามเป็นมนุษย์
(168) รอยยิ้มของเจ๋ออู๋จวินน่ะ ไม่ว่าใครในยุทธภพก็ต่างพูดกันว่าเป็นรอยยิ้มที่ละมุนละไม เป็นมิตรราวกับเทพจากสรวงสวรรค์ลงมาโปรดเชียวนะ ถึงจะรู้สึกว่าเป็นคำเปรียบเทียบที่เยินยอไปสักหน่อยแต่เขาก็ได้ยินมาอย่างนั้นจริงๆ หวังว่าพอจะเป็นมิตรได้บ้างละน่ะ
(169) สถานการณ์ตอนนี้ช่างเลวร้ายยิ่งนักสำหรับเว่ยอู๋เซี่ยน ปรมาจารย์อี๋หลิงผู้เก่งกาจสามารถ ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด แต่ในตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับความกลัวอย่างมากที่สุดที่อยู่
เจ้าอสูรกายสีขาวขนาดมหึมานั่นอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่สามฉื่อ(~1 เมตรนะคะ)
(170) ( จากอ้างอิงที่หามา 1 ฉื่อประมาณ 1 ฟุต)
นอกจากเปล่งเสียงเห่าแล้วมันยังเดินมาใกล้เขามาขึ้นเรื่อยๆ ด้านหลังหมดทางถอยหนี นอกเสียจากจะกระโดดเข้าพุ่มไม้ ไม่ก็โดดหนีลงสระบัว ระหว่างที่เว่ยอู๋เซี่ยนกำลังขบคิดอย่างหนักว่าจะเลือกกระโดดหนีไปทางไหนดี
(171) ปากก็พร่ำเรียกคนรักไม่หยุด หนึ่งวินาทีช่างผ่านไปแสนยาวนานเหลือเกิน
นั่น เจ้าหมานั่นกำลังจะทำอะไรน่ะ เจ้าอสูรนั่นหยุดเสียงเห่าและกำลังฉีกริมฝีปากแยกเขี้ยวข่มขู่เขาใช่ไหม
ต้องใช่แน่ๆ มันกำลังข่มขู่เขาอยู่
“ หลานจ้านนนนน ช่วยด้วย!!!”
(172) เสียงโหวกเหวกโวยวายเรียกให้เซียนตูและประมุขเจียงที่กำลังคุยกันเรื่องอาวุธเซียนที่พบหันเหความสนใจไปหาต้นเสียง เป็นชายชุดขาวที่เคลื่อนที่ออกจากจุดเดิมที่ตนอยู่ด้วยความเร็วสูงเมื่อได้ยินเสียงคนรัก
ชายผ้าสีดำสลับแดงพริ้วไสวอยู่ปลายสายตา เสียงคุ้นเคยนั้นย่อมไม่ผิดแน่
(173) ‘ เว่ยอู๋เซี่ยน ‘
เจียงเฉิงออกเดินตามหลังหานกวงจวินแทบจะทันทีเช่นกัน
เว่ยอิงที่แอบหลบอยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งมีพื้นที่ไม่มากนัก ดูแล้วอีกฝ่ายกำลังแอบดูเขาสนทนาอยู่กับหานกวงจวิน แต่กลายเป็นว่าเจ้าหมาเดินมาเจอเสียก่อนเลยทำให้หลุดเผยตัวออกมา
(174) ทำดีมากเจ้าหมา เจียงเฉิงหันไปส่งยิ้มพร้อมยกนิ้วให้กับเจ้าหมาตัวโตที่ตอนนี้ก็มีท่าทีเลิ่กลั่กไม่ต่างกัน เขารู้สึกเหมือนว่าเว่ยอู๋เซี่ยนก็กำลังหวาดกลัวเจ้าหมา ในขณะเดียวกันเจ้าหมาก็คงจะหวาดหวั่นกับทีท่าโวยวายกรีดร้องของอีกคนไม่น้อยเหมือนกัน
(175) “ คิดอย่างไรจึงลักลอบเข้ามาใน อวิ๋นเมิ่งเจียง “ เจียงเฉิงกล่าวขึ้นเสียงดุแม้ในใจจะเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นที่ได้พบกับพี่ชายบุญธรรมอีกครั้ง
คนที่ซ้อนตัวอยู่หลังคนรัก ยิ่งพยายามทำตัวเล็กลงไปอีกนี่เขาต้องเผชิญทั้งหมา ทั้งอาเฉิงพร้อมกันเลยรึ ทำไมสวรรค์ไม่เมตตา
(176) “ ว่าอย่างไร ตอบมา ไม่งั้นข้าจะสั่งเจ้าหมาให้ไปกัดเจ้า “ หลานซีเฉินกรีดร้องในใจครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่ได้นับ
‘ ประมุขเจียงอย่าได้นำข้าไปขู่คุณชายเว่ยเช่นนั้น ‘
หลานซีเฉินกำลังพยายามประท้วงอีกคราแต่ก็นั่นแหละ ยิ่งเหมือนกับเจ้าหมากำลังเห่าขานรับ
(177) หานกวงจวินตวัดสายตามองเจียงเฉิงตาเขียวปั๊ดเมื่อยามที่เห็นอีกคนขู่คนรักของเขา
“ เว่ยอิงอยากมาหาเจ้า เอาหมาออกไป” เซียนตูเอ่ยออกมา เขาไม่ใช่คนที่ชอบออกปากมากเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่อยากให้เว่ยอิงต้องมานั่งกังวลใจเรื่องเจียงเฉิงอีกแล้วสู้พูดคุยกันให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า
(178) คนสกุลหลานไม่พูดปด เมื่อฟังหานกวงจวินพูดเช่นนั้น หัวใจของเจียงเฉิงก็แอบวูบไหวไปไม่น้อย เว่ยอู๋เซี่ยนอยากมาหาเขาอย่างนั้นหรือ
“ เจ้าหมาออกไปก่อน” เจียงเฉิงยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้าเพียงแต่โบกมือไล่เจ้าหมาตัวโตให้เดินออกไปซึ่งมันก็ดูเข้าใจอละปฏิบัติตาม
(179) หมาป่าสีขาวเดินคอตกออกไปจากสถานการณ์ตรงนั้น นี่เขาดูเป็นเหมือนสัตว์ดุร้ายเยี่ยงนั้นเลยหรือ คุณชายเว่ยก็กรีดร้องออกมาไม่หยุด ประมุขเจียงก็ยังจะสั่งให้เขากัดคุณชายเว่ยอีก ที่ร้ายที่สุดคือน้องชายแท้ๆของเขา วั่งจีไม่เคยออกปากไล่เขามาก่อนเลย ชีวิตหมาป่าของหลานซีเฉินช่างเจ็บปวด
(180) แต่อดคิดไม่ได้ทั้งคุณชายเว่ยและประมุขเจียงนั้นบาดหมางกันไม่ใช่หรือ เขาไม่ได้ใส่ใจอีกคนมากนักแต่ก็รู้ว่าตั้งแต่ฟื้นคืนก็ไม่กลับมาหา แต่สายตายามที่คุณชายเว่ยมองประมุขเจียงยามที่คุยกับวั่งจีนั้นต่างออกไปจากที่คิด มันเหมือนกับเขาที่มองวั่งจีด้วยความภาคภูมิใจในตัวน้องชายอย่างมาก
(181) ส่วนสายตาที่ประมุขเจียงมองยามพบเจอคุณชายเว่ยก็ไม่ได้มีแววแห่งความเกลียดชังกลับดีใจเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้น้ำเสียงจะยังคงความขุ่นเคืองไว้เหมือนเดิม แต่เขาก็อยู่กับอีกคนจนมองออกแล้วว่านั่นคงเป็นแค่การแสดงออกอย่างหนึ่งอีกฝ่ายไม่ได้ดูโกรธเกรี้ยวอย่างที่ตนเองชอบแสดงออก
(182) “ กลับมาได้แล้วหรือ คิดว่าเจ้าจะลืมทางกลับอวิ๋นเมิ่งไปเสียแล้ว” เจียงเฉิงกอดอกกผินหน้าไปอีกทางไม่มองพี่ชายบุญธรรมโดยตรงบัดนี้เขาได้มานั่งอยู่กับเว่ยอู๋เซี่ยนส่วนหานกวงจวินก็เลือกออกไปข้างนอกเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับคนรัก
“ ไม่ ข้าอยากกลับ อยากกลับมาตลอด แต่...”
(183) “ แต่อะไร ไม่อยากเจอหน้าข้าถึงเพียงนั้น หรือว่ากลัวคนอย่างข้าจะทำร้ายเจ้า “ แว่วเสียงหลานซีเฉินดังขึ้นมาอีกครั้งในหัว คนอย่างเขาใครมันจะอยากอยู่ด้วย
“ ไม่เลยนะ อาเฉิงคนดีของข้า “ เป็นเว่ยอิงที่เลือกทำตัวเลิ่กลั่กและพุ่งตัวเข้าโอบกอดคนเป็นน้องเอาไว้
(184) เมื่อเห็นท่าทีและคำพูดของอีกฝ่าย เจียงเฉิงเป็นเช่นนี้ ชอบคิดว่าตัวเองไม่ดีและร้ายกาจ ไม่มีใครรักตน เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดเช่นนั้น
“ ข้าเพียงแค่ไม่มีหน้าจะกลับมาพบเจ้า ข้าเป็นพี่ที่แย่ สิ่งที่ข้าทำผิดพลาดเต็มไปหมด ข้ารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าไม่ได้ “
(185) เว่ยอู๋เซี่ยนพยายามจะโอบกอดคนที่ผลักไสเอาไว้ จนอีกคนนิ่งสงบลง บางทีสิ่งที่เขาหวาดกลัวอาจไม่เคยเป็นจริง ที่เราสองคนพี่น้องไม่มีความสุขอาจเป็นเพราะไม่ได้คุยกัน เขาไม่พูดหลายเรื่องกับอาเฉิง อาเฉิงก็เช่นกัน ถ้าหากเขาลองเสี่ยงดูสักครั้ง ถ้าหาลองพูดกัน ผลลัพธ์มันอาจเปลี่ยนไป
(186) “ ข้ากลัวว่าเจ้าจะเกลียดข้า ไม่อยากเจอหน้าข้าอีก” เจียงเฉิงที่สงบลงแล้วเอื้อมมือโอบกอดอีกคนอยู่เช่นกันแต่ก็ไม่วายทุบอีกฝ่ายเบาๆ
“ เจ้าบ้าเว่ยอู๋เซี่ยน ข้าเคยบอกเจ้าหรืออย่างไรว่าข้าเกลียดเจ้า ข้าเคยห้ามไม่ให้เจ้ากลับท่าเรือสัตตบงกชมีเพียงเจ้านั่นแหละที่ไม่กลับ”
(187) “ ข้า ... กลับมาได้งั้นหรือ “.เว่ยอิง อึกอัก เอนตัวกลับมามองหน้าน้องชาย
“ ก็ใช่น่ะสิ “ เจียงเฉิงก็ทอดสายตามองหน้าพี่ชายบุญธรรมอย่างไม่มีแววล้อเล่น
สองพี่น้องไม่พูดสิ่งใดกันต่อมากเพียงแค่กอดกันอยู่อย่างนั้น ชดเชยเวลาที่ขาดหายไป เติมเต็มคำว่าครอบครัว
(188) หลานซีเฉินไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างระหว่างคุณชายเว่ยกับประมุขเจียง เพราะ เขาโดนไล่ให้ไปที่อื่น เลยพยายามเดินตามหาวั่งจี ก็ได้เพียงท่าทีเย็นชาเฉยเมยใส่ แต่หลังจากวันนั้นเขาก็ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงเฉิงบ่อยขึ้น เรื่องที่เกิดขึ้นก็คงจะเป็นเรื่องดีๆนั่นแหละ
(189) แต่ที่ไม่ดีก็คงจะเป็นตัวเขานั่นแหละ ที่โดนจับมาขังไว้ที่ห้องทุกทีที่คุณชายเว่ยมาหา แล้วเหมือนว่าอีกคนจะมาบ่อยเสียเหลือเกิน ยังพ่วงน้องชายเขามาด้วยอีก แล้วมาแต่ละทีก็อยู่นานสองนาน บางทีก็ค้างอีก เขาก็ต้องนอนแกร่วรออยู่ในห้องทั้งวันอย่างเช่นวันนี้
(190) ขณะที่กำลังเบื่อแสนเบื่อ พลันจมูกก็ได้กลิ่นหอมคุ้นเคยที่กำลังเดินมาทางนี้ หมาป่าตัวโตรีบลุกขึ้นยืนและเดินออกไปหน้าประตูที่สุดเท่าที่สายเชือกที่ผูกเอาไว้จะลากไปถึง ก่อนส่งเสียงเห่าเรียกอีกคน
เสียงเห่าที่ดังขึ้นเรียกความสนใจของเจียงเฉิง
(191) เหมือนว่าทุกอย่างที่ยุ่งๆจะทำให้เขาลืมเจ้าหมาไปเลย
“ ว่าไงเจ้าหมา “ เจียงเฉิงคุกเข่าลงไปนั่งเสมอเจ้าหมาป่า พลางเอามือสอดเข้าไปใต้ขนนุ่มก่อนจะขยี้เบาๆอย่างเอ็นดู
หางฟูสีขาวส่ายไปส่ายมาไม่หยุดตั้งแต่ที่อีกคนเข้ามาหา
(192) หัวนั้นโอนเอนไปตามฝ่ามือของอีกคนโดยง่าย
“ เหงาหรือ ข้าเพียงไม่มาหาเจ้าแค่วันสองวันเองนะ “
‘ ไม่ใช่เสียหน่อย สามวัน สี่ชั่วยามต่างหาก ‘
เจ้าหมาป่ารีบเห่าประท้วงทันที ไม่ได้มาเยี่ยมตั้งนานแต่มาบอกว่าแค่สองสามวันได้อย่างไรกัน เขาไม่ยอม
(193) “ เด็กดี เจ้าคงเหงามากสินะ แล้วนี่ก็โดนล่ามไว้เสียหลายวัน ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาพาเจ้าอาบน้ำแล้วพาไปเดินเล่นด้วยดีหรือไม่ “ เจียงเฉิงส่งยิ้มที่ทำให้หัวใจของหมาบางตัวเต้นรุนแรงเสียจนแทบจะหลุดออกมาจากอก
แค่เพียงเขาบอกว่าจะพาไปอาบน้ำไปเดินเล่นข้าต้องตื่นเต้นเพียงนี้เชียวหรือ
(194) เจียงเฉิงกลับออกไปแล้ว แต่สัมผัสอุ่นจากมือของอีกคนเหมือนจะประทับติดกับผิวกายของเขา กลิ่นหอมสัตตบงกชจากร่างกายและอาภรณ์ของเจียงเฉิงก็ยังคงตรึงอยู่ในประสาทรับกลิ่นที่ดีเกินมนุษย์ของเขา
เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อใดกันนะ เป็นหมาตัวหนึ่งที่เฝ้ารอเจ้าของอย่างใจจดจ่อ
(195) อาจจะเป็นตอนที่เห็นความน่ารัก ใจดี ของเจียงเฉิง ถึงแม้ก่อนหน้า จะเห็นเพียงความดุดัน ใจร้อน และดูน่ากลัว จู่ๆเมื่อได้รับความเมตตา ได้รู้ว่ามือที่ไม่ได้บอบบางเฉกเช่นหญิงสาวเป็นมือแข็งแกร่งที่จับดาบและตรากตรำทำงานคู่นั้นช่างนุ่มนวลอ่อนโยนอย่างไม่เคยคิดฝัน
(196) แปลก ที่ตัวเขาเริ่มไหวหวั่นขึ้นมา ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ตลอดชีวิตที่ผ่านมา จวบจนตอนนี้ก็พูดได้ว่า นอกจากการปฏิบัติตนตามวิถีเซียน เรื่องราวของสกุลหลาน พี่น้องร่วมสาบานความสงบสุขของยุทธภพ แล้วเขาก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องรักใคร่
(197) ไม่เคยคิดว่าจะมีใครสักคนเข้ามาทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้
และยิ่งไม่คิดเข้าไปใหญ่ ว่าคนคนนั้นจะเป็นประมุขเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่ง คนที่เคยพบมาตลอดตั้งแต่ยามเป็นศิษย์จวบจนเป็นประมุข แต่ก็ดูเหมือนว่ามีหลายสิ่งที่เขาได้มองข้ามผ่านไป จึงไม่เคยได้มองเห็น
(198) รู้ตัวอีกทีก็โดนโชคชะตาเล่นตลกเข้าเสียแล้ว มาหลงรักเขาในยามที่ไม่สามารถจะทำให้เขากลับมารักตอบได้เสียด้วยซ้ำ
หลานซีเฉินใช้ขาหน้าดันผ้าคาดศีรษะเข้าไปเก็บไว้ตามเดิม อันที่จริงเขาคิดมาสักพักว่าหากนำไปให้วั่งจีที่มาที่นี่บ่อยเสียเหลือเกิน
(199) น้องชายเขาก็อาจจะรู้ก็ได้ว่าเขาคือใคร แค่เพียงเชือกที่ล่ามเขาเอาไว้ ไม่ได้ยากเกินกำลังที่จะจัดการ
หากแต่เมื่อคิดไปอีกครา ถ้าหากทุกคนรู้เขาต้องกลับอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ ไม่ได้อยู่ที่นี่อีก แค่เพียงคิดว่าต้องกลับไป สัญชาตญาณก็สั่งให้ตนทำอีกอย่างที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ควร
(200) จันทร์คืนเพ็ญที่ห้า ฉายอยู่บนผืนฟ้ากว้าง เขาไม่รู้ว่าเขาใช้อะไรในการตัดสินใจ หรือว่าเป็นสติสัมปัชชัญญะที่ค่อยๆหมดลงตามคำสาป การตัดสินใจที่มีจึงค่อยๆลดเหตุผลลงเรื่อยๆจนเหลือแค่เพียงสัญชาตญาณ
เป็นการทำสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาตลอดชีวิต การทำตามใจของตัวเอง
*** พาร์ทของพี่ซีเป็นเพลงนี้นะคะ Somethime there ost. Beauty and the beast
There’s something sweet and almost kind but he was mean and he was coarse and unrefined
And now he’s dear and so I’m sure
I wonder why I didn’t see it there before
New and a bit alarming
Who’d have ever thought that this could be
True, that he’s not prince charming
But there something in him that I simply didn’t see.


ก็คือเฉลยแล้วนะคะ ว่าใครเป็น beast😂😂 //เวอร์ไทยก็เพราะไปลองฟังกันได้
(201) “จิ้วจิ่วววว~~~ “ เสียงดังของหนุ่มน้อยดังขึ้นเรียกความสนใจหนึ่งคนที่กำลังทำงานและหนึ่งหมาป่าตัวใหญ่ที่นอนฟุบอยู่เคียงกายโดยมีมือคอยลูบหัวมันเอาไว้อยู่
“ เสียงดังจริง “ ไม่รอให้ผู้เป็นน้าได้ขยับออกจากที่ ร่างเล็กในชุดสีเหลืองทองก็โถมตัวเข้ากอดผู้เป็นน้า
(202) “ ข้าคิดถึงท่านน้า อยากกินแกงรากบัวฝีมือท่านน้าด้วย “
“ คิดถึงข้าหรือเห็นแก่กินกันแน่ห้ะ “
“ ทั้งสองอย่างเลย ว่าแต่เจ้าหมายังไม่กลับป่าไปอีกหรือท่านน้า “ จินหลิงหันมองหมาป่าตัวโตที่นอนอยู่ข้างหมาของตน ถ้าไม่บอกเขาว่าเป็นหมาป่าเขาจะคิดว่ามันเป็นหมาบ้านแล้ว
(203) “ มันอยากไปเมื่อไหร่ก็คงไปเองล่ะมั้ง “ เจียงเฉิงไม่พูดเปล่า พลางเอามือลูบขนนุ่มสีขาวเบาๆ
ดูจากหน้าของมันที่เคลิ้มกับมือของท่านน้าขนาดนั้นจินหลิงคิดว่าเจ้าหมาป่าตัวนี้มันคงไม่อยากจะกลับแล้วล่ะ
“ เออ ข้าพาคนมาหาท่านด้วยล่ะ “
(204) “ ใครกัน “ เจียงเฉิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ ท่านน้าเว่ยบอกว่าท่านรู้จักเขาดีทีเดียวและเห็นว่าข้ากำลังจะมาท่าเรือสัตตบงกชพอดีเลยฝากเขามาด้วยน่ะ มีจดหมายที่ท่านน้าเว่ยฝากข้ามาด้วยนะ “ จินหลิงหยิบแผ่นกระดาษที่ใส่ไว้ในอกเสื้อออกมายื่นให้กับผู้เป็นน้า
(205) ‘ อาเฉิงคนดีของข้า
ไม่ต้องขอบคุณพี่ชายคนนี้หรอกนะ แต่ข้าเตรียมของขวัญที่เจ้าจะถูกใจมากๆส่งให้ถึงที่เชียวล่ะ หวังว่าเจ้าจะชอบนะ คนนี้น่ะ ตรงกับคุณสมบัติที่เจ้าตั้งที่สุดที่ข้าเคยเจอแล้ว ‘
เจ้าบ้าเว่ยอู๋เซี่ยนคิดจะทำอะไรแผลงๆกับเขาอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย
(206) “แล้วอยู่ไหนล่ะ คนที่เจ้าพามา”
“ ข้าให้เล่นกับเซียนจื่อรออยู่ที่ศาลาริมน้ำน่ะท่านน้า “ เมื่อได้ฟังเจียงเฉิงก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานพลันเจ้าหมาก็ลุกขึ้นตามไปด้วย
“ งั้นไปกันเถอะ อย่าปล่อยให้นางต้องรอเลย”
(207) “ เออ แต่ ... “ เจียงเฉิงไม่ได้คิดสิ่งใดมาก หากคนที่เว่ยอู๋เซี่ยนหามาเป็นผู้หญิงที่ดีตรงตามคุณสมบัติ การดูตัวอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่สักเท่าไหร่
“ ชักช้าอยู่นั่นแหละเจ้าลูกกระต่ายมาเร็ว “ ไม่มีเวลาพอให้จินหลิงได้ถกเถียงผู้เป็นน้าก็ลากจูงมือเขาไปก่อน
(208) ร่างสูงในอาภรณ์สีเทาสลับน้ำเงินนั่งหันหลังเล่นกับเจ้าหมาน้อยเซียนจื่อ บนศรีษะประดังกวานที่ไม่คุ้นตาอยู่
บุรุษอย่างนั้นหรือ
เว่ยอู๋เซี่ยน เล่นอะไรแผลงๆอีกแล้วสินะ ถ้าเจอเจ้าครั้งหน้าข้าจะฟาดเจ้าให้ตาย
(209) เสียงฝีเท้าเรียกให้คนที่นั่งอยู่ผินหน้าไปตามเสียง ก่อนที่จะลุกขึ้นมาทำความเคารพผู้เป็นเจ้าบ้าน ชายผุ้นั้นถือว่าลักษณะดี ใบหน้าคมงดงามตามธรรมชาติ ถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม มีเค้าลางของใครบางคนจากอดีตแต่เขาไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่
“ คารวะประมุขเจียง “
(210) ชายหนุ่มผู้มาเยือนทอดสายตาอบอุ่นมองประมุขเจ้าบ้าน บัดนี้ควานที่สวมบนผมงามแปรเปลี่ยนบ่งบอกวัยผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว(รูปที่ใส่ควานไม่ถูกนะคะแต่อยากได้ชุด) อาภรณ์แปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มทะมึน แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์สีม่วงประจำตระกูล ดวงหน้าหวานนั้นเคร่งขรึมขึ้นมากเหลือเกิน
(211) “ หรือเกอเรียกว่า ‘เสี่ยวเฉิง’ เช่นเดิมได้หรือไม่ “
เสี่ยวเฉิงงั้นหรือ
ผู้ที่เรียกเขาอย่างนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ใครคนนั้นที่นานมาแล้วไม่ได้พบ พี่ชายผู้แสนใจดีคนนั้น บัดนี้สง่างามขึ้นมากเหลือเกิน
“ จื้อเว่ยเกอ “
(212) เสี่ยวเฉิง? จื้อเว่ยเกอ?
หลานซีเฉินกำลังสับสนว่าชายตรงหน้าผู้นี้คือใครกันแน่ ชายที่กล้าเรียกอาเฉิงอย่างนั้น และอาเฉิงก็ไม่ได้โกรธเคืองซำ้ยังเรียกกลับว่าเกออีก ขนาดเว่ยอู๋เซี่ยนที่เป็นพี่ชายบุญธรรมเขายังไม่เคยได้ยินอีกคนเรียกด้วยความสนิทสนมเช่นนี้เลย
(213) “ ดีใจเหลือเกินที่เจ้ายังจำเกอได้ นานเหลือเกินที่ไม่ได้เจอกัน ยามนั้นเจ้ายังเป็นหนุ่มน้อยอยู่เลย บัดนี้เติบใหญ่จนเป็นประมุขสกุลเสียแล้ว” จ้าวจื้อเว่ยอดยิ้มออกมาไม่ได้ยามนึกถึงภาพของเด็กหนุ่มแรกรุ่นตอนยังไม่ได้ไปเข้าศึกษาเล่าเรียนที่กูซูด้วยซ้ำ
(214) “ แล้วท่านเล่าเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้อยู่ที่ใดหรือ “ เจียงเฉิงเอ่ยถามอีกฝ่าย สกุลจ้าวไม่ใช่สกุลเซียน แต่เป็นสกุลพ่อค้า ที่ตั้งอยู่ใกล้กับอวิ๋นเมิ่ง จ้าวจื่อเว่ยเป็นพี่ชายที่แสนใจดีที่มักมาเล่นกับเขาตั้งแต่เด็ก จวบจนวันหนึ่งที่ประมุขจ้าว ตัดสินใจส่งลูกชายคนโตออกเดินทาง
(215) ไปเพื่อเปิดเส้นทางการค้าขายใหม่และศึกษาหาความรู้ที่ต่างแดน ด้วยความที่อีกฝ่ายรักอิสระและสนใจโลกที่กว้างใบนี้อยู่แล้วจึงยินดีอย่างยิ่ง
“ ตอนนี้เกอกลับมารับตำแหน่งประมุขตระกูลต่อจากท่านพ่อแล้วล่ะ “
“ แล้วท่านไม่เดินทางต่อแล้วหรือ ท่านเล่าให้ข้าฟังนี่ว่า—“
(216) “—ความฝันของท่านคือการเดินทางไปให้ทั่ว ค้นพบสิ่งที่ยังไม่เคยพบ เจอในสิ่งที่ไม่เคยเห็นไม่ใช่รึ”
“ การเดินทางที่ผ่านมาเกอเจอหลายสิ่งหลายอย่างมากเหลือเกิน หากแต่วันหนึ่ง เกอก็รู้สึกว่าถึงเวลาที่เกอควรจะกลับบ้าน “ เส้นทางการค้าในต่างแดน
(217) เขาได้ติดต่อและวางเครือข่ายไว้อย่างมั่นคง ตลอดเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมาการเดินทางของเขาช่างแสนยาวไกล จวบจนวันหนึ่งที่เริ่มรู้สึกว่าเป้าหมายชีวิตนั้นค่อยๆเปลี่ยนไปทุกที
เขาไม่ได้อยากมีชีวิตที่เดินทางไปเรื่อยๆอีกต่อไป แต่อยากมีชีวิตที่กลับบ้านเพื่อได้เจอใครสักคน
(218) กินข้าวพร้อมหน้า บอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านไปในแต่ละวัน เมื่อยามนอนได้เจอหน้าเขาเป็นคนสุดท้าย และคนแรกยามตื่น
การเดินทางที่แสนยาวนานทำให้เขาได้พบเจอคนมากมาย แต่เมื่อนึกถึงคำว่า ‘ บ้าน ‘ในจินตนาการของเขาแล้ว กลับนึกออกแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
‘ เจียงหวั่นอิ๋น ‘
(219) ใบไม้ใบเล็กร่วงหล่นจากต้นสูงใหญ่ลงมาบนเรือนผมสีดำขลับของประมุขแห่งท่าเรือสัตตบงกช พลันมือของชายผู้มาเยือนเอื้อมปัดทันทีที่เห็น นิ้วเรียวต้องผ้าไหมเนื้อดีสีม่วงที่คลออยู่ในกลุ่มผมนิ่ม ก่อนใช้นิ้วไล่ชมความงามของมันอย่างทะนุถนอม
“ ขออภัยที่ล่วงเกินเจ้า “
(220) จ้าวจื้อเว่ยรีบเอ่ยขึ้นมาเมื่อรู้ว่าตนเผลอทำสิ่งที่ไม่สมควรออกไป
“ เกอเห็นใบไม้ตกใส่ผมเจ้าจึงมือไวปัดออกไปก่อน ขออภัยด้วยจริงๆ”
“ ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย ก่อนนี้จับต้องตัวกันยิ่งกว่านี้ก็มี เพียงเท่านี้ไม่ถือสา “ เจียงเฉียงยังคงระบายยิ้มให้กับผู้มาเยือน
(221) ท่าทีที่อ่อนลงถึงเพียงนี้ เขาไม่เคยเห็นจริงๆ แม้จะจับต้องศีรษะของอีกฝ่ายก็ไม่โกรธเคืองอย่างนั้นหรือ
ถึงปากจะขอโทษแล้วแต่มือนั่นน่ะยังคงวางอยู่บนผมของอาเฉิงไม่ใช่หรือไง
หลานซีเฉินเริ่มเห่าประท้วงชายแปลกหน้าที่ชักจะทำตัวรุ่มร่ามกับอาเฉิงมากจนเกินงาม
(222) ในยามนี้เขาเป็นเพียงหมาป่าทำสิ่งใดได้ไม่มาก พลางหันไปมองจินหลิงที่เผื่อจะหวงผู้เป็นน้าและช่วยกันท่าได้บ้าง
แต่เหตุการณ์ตรงกันข้ามกับที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง เจ้าหนูนั่นนั่งลูบหัวหมาน้อยมองผู้เป็นน้ากับชายคนนั้นด้วยสายตาปิติยินดีเสียด้วยซ้ำ
(223) เสียงเห่าที่เริ่มดังและถี่ขึ้นพร้อมกับท่าที่ตะกุยชายเสื้อของผู้เป็นเจ้าของเบาๆ เรียกความสนใจของทั้งสองคนที่เหมือนจะหลุดออกจากโลกตรงหน้า เข้าสู่โลกส่วนตัวไปชั่วขณะ
เจียงเฉิงก้มตัวลงเท่ากับเจ้าหมาป่า ปกติไม่เคยเห็นจะดื้อถึงเพียงนี้ เจ้าหมาจัดเป็นหมาที่สงบเสงี่ยมมาก
(224) ไม่เห่าพร่ำเพรื่อ ไม่วิ่งวุ่นวาย สั่งง่ายพูดจาฟังรู้เรื่อง แต่ยามนี้อยู่ดีๆก็เป็นแบบนี้ไปเสียได้
“ เป็นอะไรเจ้าหมา ปกติเจ้าไม่เป็นแบบนี้นี่ เด็กดี” มือเรียววางบนหัวก่อนลูบปลอบให้มันสงบลง ซึ่งก็ดูเหมือนจะสงบลงได้บ้าง ก่อนที่คุณชายจ้าวจะถามขึ้นมา
(225) “ หมาตัวนี้ดูเหมือนจะเป็นหมาป่าใช่หรือไม่ เสี่ยวเฉิงได้มันมาจากที่ใดหรือ”
“ ข้าเก็บมันได้เมื่อประมาณเกือบสี่เดือนก่อน ตอนไปออกเยี่ยเลี่ยเจอมันบาดเจ็บอยู่ก็เลยพามันกลับมารักษาน่ะ” เจียงเฉิงตอบไปตามตรง ส่วนเจ้าหมาก็ตวัดสายตามองผู้ถามอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ
(226) “ เสี่ยวเฉิงจึงเลี้ยงมันเอาไว้หรือ เกอรู้นะว่าเจ้ารักหมามาก แต่นี่ไม่ใช่หมาบ้านเกอเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยกับเจ้าและศิษย์สกุลเจียง อย่างไรสัตว์ป่าก็คือสัตว์ป่า” เจ้าหมาป่าได้ยินดังนั้นก็รีบหันไปเห่าอย่างเอาเรื่องใส่ชายหนุ่ม ทั้งยังแผ่จิตสังหารออกมาอย่างปิดไม่มิด
(227) “ ปกติเจ้าหมาไม่เป็นแบบนี้นะ วันนี้เกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ปกติมันเป็นมิตรกับศิษย์มากว่านอนสอนง่ายอย่างกับฟังภาษาคนรู้เรื่อง หมิงเจ๋อมาพามันออกไปก่อน” เจียงเฉิงเรียกศิษย์ที่ยืนอยู่ใกล้บริเวณนั้นให้มาพาเจ้าหมาที่ดื้อมากกว่าปกติออกไปก่อนที่มันจะไปกัดแขกเข้าเสียก่อน
(228) หลังเจ้าหมาคล้อยหลังไปแต่โดยดี เพราะเจอสายตาดุจากเจ้าของ เจียงเฉิงก็หันมาสนใจคู่สนทนาต่อ
“ ผ้าผูกผมของเจ้า เกอไม่คิดว่าเจ้าจะยังใช้อันนี้ “ **สมมติว่าน้องผูกละกันนะคะ อารมณ์แบบในรูปเลย เกล้าผมครึ่งหนึ่งแต่ผูกผ้า**
(229) ประมุขคนงามแห่งเหลียนฮวาอู้ เผลอเอามือลูบไปที่ผ้าผูกผมยามที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดถึง อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไหร่นักที่จะเปลี่ยน ผ้าไหมสีม่วงผืนนี้เนื้อดี ทนทาน สีสันก็งดงามเป็นหนึ่ง เขาจึงใช้มันมาตลอด จะว่าไปก็เป็นพี่ชายคนนี้ที่ให้เขามาก่อนที่อีกคนจะออกเดินทาง
(230) กล่องไม้สลักลายวิจิตรถูกยื่นให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งกลับมาถึงเรือน
“ อาเฉิง จื้อเว่ยเกอให้เอามาให้เจ้า “ เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ยขึ้นพร้อมทำหน้าทะเล้น
“ แล้วเหตุใดเขาจึงต้องฝากเจ้ามาเล่า ทำไมเขาถึงไม่มาให้ด้วยตัวเอง “
(231) “ เขาจะต้องออกเดินทางแล้ว หากรอเจ้ากลับมาจะไม่ทัน เขาจึงฝากข้าเอาไว้ให้เจ้า “ บุตรชายคนเล็กของประมุขเจียงชักสีหน้าขึ้นมาเมื่อรู้ว่าพี่ชายคนสนิทที่กำลังจะไปไกลถึงไหนต่อไหนไม่รู้แถมยังไม่มีกำหนดการกลับ ยังไม่แม้แต่จะมาร่ำลาเขาด้วยตัวเอง แต่กลับฝากมากับเว่ยอู๋เซี่ยน
(232) เขามันคงไม่สำคัญเท่าสินะ
“ ไม่เปิดดูหรือว่ามันคือสิ่งใด” เมื่อได้ยินดังนั้นเจียงเฉิงก็เปิดกล่องอย่างไม่ทะนุถนอมเท่าไหร่นัก ภายในเป็นผ้าไหมสีม่วงเข้มเส้นยาวปักลายดอกบัวสัญลักษณ์สกุลเจียงเอาไว้ภายใน ไม่เหมือนเครื่องประดับหญิงสาว แต่ก็งดงามไม่น้อย
(233) ในนั้นมีกระดาษจดหมายเขียนอยู่ใจความเป็นเพียงการร่ำลาและขอโทษพร้อมทั้งบอกว่าของขวัญชิ้นนี้น่าจะเหมาะกับเรือนผมของเขามากที่สุด เสียดายเหลือเกินที่ไม่มีเวลาพอที่จะได้ประดับมันให้เขาด้วยตัวของตัวเอง
(234) ถึงแม้จะเขียนว่าสำคัญเพียงใด แต่จ้าวจื้อเว่ยก็มอบของชิ้นอื่นให้กับทั้งพี่หญิงและเว่ยอู๋เซี่ยนเช่นกัน
“ มันสวยมากเลยอาเฉิง และเข้ากับเจ้ามากๆ “ เว่ยอิงเอ่ยชมออกมาจากใจเพียงปราดตามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าของชิ้นนี้มูลค่าไม่น้อยอันที่จริงมันน่าจะเป็นของสั่งทำ
(235) ที่มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น สายตาพ่อค้าอย่างจ้าวจื้อเว่ยช่างแหลมคม มันเข้ากับอาเฉิงมาก คงจะเสียดายเหลือเกินที่ต้องฝากเขามาให้แทนที่จะได้เป็นผู้มอบให้ด้วยตนเอง
“ ก็ไม่เท่าไหร่หรอก ที่เจ้ากับพี่หญิงได้ก็งดงามไม่แพ้กันไม่ใช่หรือ”
(236) จริงอยู่ที่เขาก็ได้ผ้ามัดผมและพี่หญิงก็ได้ปิ่นปักผม แต่อีกคนไม่ได้พิจารณาดูให้ดีเลยด้วยซ้ำว่ามูลค่านั้นมันเทียบกันไม่ติดเลย
“ แต่ไม่มีอันไหนงามเท่าของเจ้าหรอก” เจียงเฉิงทำหน้างุนงงใส่คนเป็นพี่
“ไว้โตกว่านี้เจ้าจะเข้าใจ” เว่ยอิงตบบ่าน้องชายเบาๆ
(237) เมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้นก็เรียกรอยยิ้มขึ้นมาบนดวงหน้างาม สมัยเด็กนี่เขาช่างเอาแต่ใจเหลือเกิน
“ มันเป็นอันที่งามถูกใจข้ามากที่สุด “
เจียงเฉิงพูดออกมาอย่างไม่คิดอะไรหากแต่ทำให้ใครอีกคนใจเต้นจนแทบจะหลุดออกจากอก
**** แจ้งข่าวนะคะ555 เรื่องนี้น่าจะกลับมาอัพอีกทีอาจจะช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 13 ธ.ค.62 ตอนนี้มาคอมเมดอยู่ที่ต่างจังหวัด กิจกรรมค่อนข้างเต็มวัน😂😂😂 แต่ถ้ามีเวลาว่างจะมาต่อเรื่อยๆ****
(238) หลานซีเฉินถูกลูกศิษย์สกุลเจียงลากออกมา แม้จะพยายามแข็งขืนแต่เมื่อยามเห็นสายตาดุๆนั้น เขาก็ต้องยอมไปเสียทุกที ถึงจะเดินห่างออกไป แต่ประสาทสัมผัสการได้ยินของเขาก็ดีมากพอที่จะได้ยินบทสนทนาเรื่องผ้าผูกผมของเจียงเฉิง
(239) เหอะ ก็แค่ผ้าผูกผม ถ้าเขาคืนร่างจะซื้อมาให้อาเฉิงอีกเป็นร้อย เป็นพันอันก็ย่อมได้ งามกว่านี้ก็ย่อมได้
แค่คืนร่างเท่านั้น
แต่นั่นแหละปัญหา จะคืนร่างได้ยังไง เขาไม่เข้าใจในเงื่อนไขของคำสาปเลยด้วยซ้ำ เขามีความรู้มาว่าสัตว์ปีศาจ
(240) จะร่ายคำสาปได้ก็ต่อเมื่อมันบำเพ็ญเพียรมาเนิ่นนานกอปรกับแรงอธิษฐานอันแรงกล้า แต่ในโลกใบนี้ก็ไม่มีคำสาปที่จะแก้ไม่ได้ เจ้าหมาป่าปีศาจตนนั้นพูดออกมาเองว่ามันแก้ไขได้
ถ้ามีใครรักใครเมตตาแม้ว่าจะอยู่ในร่างสัตว์เดรัจฉานหรือ
(241) แล้วที่อาเฉิงและลูกศิษย์สกุลเจียงปฏิบัติต่อเขานี่ไม่ได้เรียกว่ารักและเมตตาแล้วหรือ เช่นนั้นเขาต้องทำอย่างไรกัน ถึงจะกลับคืนไปเป็นคนเช่นเดิมได้
หรือว่าภายในคำสาปนั้นมีเงื่อนไขที่แอบแฝงอยู่ที่เขายังคิดไม่ออก
(242) ผ่านไปเป็นอาทิตย์คุณชายจ้าวผู้นั้นก็ยังคงแวะเวียนมาหาอาเฉิงอย่างต่อเนื่อง เขาล่ะรำคาญเสียจริง ชอบเอาของฝากอะไรก็ไม่รู้มาให้อาเฉิงเกะกะสายตา อาเฉิงไม่ชอบถ้วยชามเครื่องกระเบื้องพวกนั้นหรอกนะ ที่เอามาใช้ก็คงจะเห็นแก่มารยาทเท่านั้นแหละ
(243) แล้วเจ้าคุณชายนั่นทำไมถึงชอบส่งสายตาแปลกๆมาที่เขาบ่อยๆด้วย มันไม่ใช่สายตาหวาดกลัวอย่างที่คนชอบทำ หรือแบบที่อยากเข้ามาเล่นกับเขา มันเป็นสายตาที่ค่อนข้างฉงน สงสัยในอะไรบางอย่างเขาคิดเช่นนั้น หลานซีเฉินได้เรียนรู้แล้วเขาก็พยายามที่จะอดกลั้นไม่ให้ทำตัวนิสัยไม่ดี
(244) ในสายตาอาเฉิงเขาควรจะทำตัวดีๆไว้ก่อนไม่เช่นนั้นก็จะถูกไล่ออกไปอย่างเช่นวันนั้น นั่นทำกับว่าเขายิ่งเสียเปรียบศัตรูหัวใจคนนี้ยิ่งขึ้นไปอีก
“ เสี่ยวเฉิงเจ้าลองชิมนี่หน่อยสิ เกอสั่งทำมาเพื่อเจ้าเลยนะ เห็นว่าช่วงนี้เจ้าดูอ่อนเพลียไม่น้อย ”
(245) จ้าวจื้อเว่ยถือถาดถ้วยชามที่ใส่ข้าวต้มเห็ดหลินจือร้อนๆที่ตนสั่งให้คนรับใช้ทำมา มาให้ประมุขแดนบัวถึงที่ด้วยตนเอง
สำหรับหลานซีเฉินแล้วมันช่างน่าหมั่นไส้เสียจริง
“ ลำบากจื้อเว่ยเกอแล้ว “ เจียงเฉิงพับม้วนกระดาษเก็บเหลือพื้นที่ว่างบนโต๊ะสำหรับวางถาดอาหาร
(246) ละความสนใจจากงานและเจ้าก้อนขนที่นอนอยู่ข้างเคียง ไปสนใจข้าวต้มหอมกรุ่นตรงหน้าแทน แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าเป็นวัตถุดิบชั้นดี
“ ไม่ลำบากเลยเกอยินดีทำให้เสี่ยวเฉิง เกอยังรู้จักสมุนไพรช่วยผ่อนคลายได้ดีอีกหลายตัว ไว้เกอจะสั่งคนตุ๋นมาให้เจ้าอีก”
(247) บทสนทนาดำเนินไปอย่างราบเรียบท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะขอทั้งสองคนคงจะมีเพียงเขาที่ขุ่นเคืองใจ ความสนใจทั้งหมดของเจียงหวั่นอิ๋นไปอยู่ที่คู่สนทนา คล้ายว่าจะลืมไปเสียสนิทว่ามีเขาที่อยู่ตรงนี้ด้วย
หลานซีเฉินขยับหัวขึ้นไปเกยบนตักของอีกคนก่อนจะไถไปมาเรียกความสนใจ
(248) ซึ่งนั่นก็สำเร็จ ประมุขคนงามละสายตาจากคู่สนทนาลงมาให้เจ้าก้อนขนที่คลอเคลียอยู่ที่ตัก
“ ว่าไงเจ้าหมา อยากกินมั่งรึ “
‘ ข้าไม่ได้อยากกิน ข้าเพียงอยากให้เจ้าสนใจข้าบ้างเท่านั้น ‘
มือเรียวลูบหัวสีขาวอย่างเบามือ หางของเจ้าหมาป่าก็สั่นตามไม่หยุด
(249) คุณชายจ้าวมองเจ้าหมาป่าตัวโตด้วยสายตาอ่านยากบางอย่าง
เจียงเฉิงกินข้าวต้มเห็ดหลินจือร้อนๆที่เขาเอามาเสร็จ ลูกศิษย์ก็มาแจ้งข่าวถึงการมาเยือนอย่างกะทันหันของเรือสำเภาจากตะวันตก อีกฝ่ายจึงรีบขอตัวออกไปก่อน โดยให้เขารออยู่ในห้องกับเจ้าหมาป่าสีขาวที่โดนสั่งห้ามไม่ให้ตามไปเช่นกัน
(250) “ ท่านคือผู้ใดกัน ทำอย่างนี้ต้องการสิ่งใดจากเสี่ยวเฉิง “ จ้าวจื้อเว่ยหยุดยืนจ้องหมาป่าสีขาวที่ก็ยืนขึ้นประจันหน้ากับอีกฝ่ายเช่นกัน
ความลับที่ไม่เคยมีใครรู้ของเขา ความสามารถพิเศษของจ้าวจื้อเว่ย ดวงตาแห่งสวรรค์ ดวงตาที่มองเห็นจิตวิญญาณ
(251) ภูติผี เทพเซียนสิ่งรอบตัว เหตุผลที่ทุกคนทราบเรื่องการเดินทางของเขานั้นก็ใช่ส่วนหนึ่ง แต่ความจริงอีกส่วนคือต้องการหาทางรักษาไม่ให้มันเข้ามารบ กวนชีวิตประจำวันของเขา
แต่อย่างไรก็รักษาไม่หาย จนสุดท้ายเขาก็ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ และในหลายครั้งมันก็มีประโยชน์
(252) ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาเห็นตั้งแต่วันนั้น หมาป่าสีขาวที่เดินเคียงมากับเสี่ยวเฉิง ร่างจิตวิญญาณของบุรุษรูปงามในอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์สลับฟ้า อย่างคนชั้นสูงซ้อนทับกับหมาป่าตัวนั้น เขาไม่คุ้นหน้า เขาถึงบอกและเตือนกับอีกฝ่าย คนนี้ไม่น่าไว้วางใจ เหตุใดจึงเข้ามาอยู่กับเสี่ยวเฉิง
(253) และเขาคือตัวอะไรกันแน่ มีร่างกายเป็นหมาป่าแต่มีจิตวิญญาณเป็นมนุษย์ ไม่เคยพบเห็น ก่อนหน้าเค้าเคยเจออยู่บ้างที่สัตว์ปีศาจบำเพ็ญเพียรหลายพันปีจะจำแลงกายเป็นมนุษย์ แต่เจ้าหมาป่าตัวนี้ไม่ใช่
ยามนี้ที่ได้อยู่เพียงลำพังเขาจึงได้โอกาสถาม
(254) เจ๋ออู๋จวินอึ้งไปกับคำถามของอีกฝ่าย เขาไม่รู้ว่าอีกคนจะมาไม้ไหนเหตุใดจึงเอ่ยถามคำถามแปลกๆออกมาเช่นนี้ เหมือนกับว่ารู้เห็นสิ่งใด
“ ท่านไม่ใช่หมาป่าอย่างที่รูปกายท่านเป็น ท่านมีจิตวิญญาณเป็นมนุษย์ ท่านคือสิ่งใดกันแน่ “
(255) คุณชายจ้าวผู้นี้ไม่ใช่พ่อค้าธรรมดา แววตาคมที่ปราดมองมานั้นแสดงให้เห็นได้ดี เขาเคยได้ยินอาเฉิงคุยกับคุณชายจ้าว อีกฝ่ายพยายามจะทำตัวว่าเป็นเพียงบัณฑิตและพ่อค้าไม่ยุ่งกับวิชาเซียน อาวุธและพลังใดๆ แต่ปราณของอีกฝ่ายที่แผ่มากดดันเขาก็ชัดเหลือเกิน แสร้งทำได้เก่งดี
(256) “ ข้าจะเป็นผู้ใดก็มิใช่กงการใดๆของท่าน แต่ขอให้รู้ไว้ว่าข้าไม่ได้มีจิตคิดร้ายกับอาเฉิง “
จ้าวจื้อเว่ยได้ยินคำของหมาป่าผ่านเสียงเห่า เล่นแง่เสียจริงนะเจ้าหมา หลังจากเจอกันหลายคราเขาก็พอรู้ล่ะว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะทำร้ายเสี่ยวเฉิง น่าจะตรงกันข้ามเสียมากกว่า
(257) แต่มันก็น่าประหลาดใจไม่ใช่หรือที่อยู่ดีๆกลับจำแลงมาเป็นหมาข้างกายเสี่ยวเฉิง
ยังไม่ทันที่จะได้สนทนากันต่อเจียงเฉิงก็เดินกลับเข้ามาพอดีทั้งสองจึงต้องกลับไปทำตัวอย่างเดิมเหมือนตอนที่อีกฝ่ายจากไป
(258) จันทร์เพ็ญครั้งที่หก ฉายเด่นอยู่บนฝากฟ้า ร่างของสุนัขป่าสีขาวตัวใหญ่เดินกระวนกระวายไม่เป็นสุข หลังประตูบานใหญ่เขาไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง เสียงอื้ออึงของศิษย์สกุลเจียงต่างพูดคุยกันเรื่องประมุขล้มป่วย เขาพอรู้ว่าเจียงเฉิงไม่สบายจากไอร้อนกว่าปกติของฝ่ามือที่ลูบหัวเขา
(259) ตั้งแต่เมื่อวาน หากแต่อีกคนยังคงโหมงานหนักไม่หยุดทำให้อาการยิ่งแย่ลงจนต้องล้มหมอนนอนเสื่ออย่างนี้ ตอนนี้ท่านหมอกำลังตรวจอยู่ เสียงที่เล็ดลอดมาเข้าหูบอกว่าเจียงเฉิงไม่ได้เป็นอะไรมากแค่เป็นไข้หวัด แต่ต้องหยุดงานก่อนและดูแลตัวเองให้ดีเท่านั้น ทานยาให้ครบตามเวลา
(260) พลันประตูเปิดออกมา ร่างของหมอเฒ่าเดินตามหลังศิษย์สกุลเจียงออกมา หลานซีเฉินใช้โอกาสตอนที่ประตูยังเปิดนี้เดินสวนกลับเข้าไปในห้อง
“ เห้ย เจ้าหมาหยุดก่อน อย่าเข้าไปรบกวนท่านประมุข ออกมา” ศิษย์สกุลเจียงที่นำท่านหมอหันหลังขวับร้องเสียงหลง
(261) “ ไม่เป็นไรหรอก ให้มันเข้ามาเถอะ” เสียงแหบพร่าของคนป่วยดังออกมา ไม่ดังอย่างเคยแต่ก็พอที่จะได้ยินอย่างชัดเจน
“ ว่าไงเจ้าหนู “ เจียงเฉิงเอื้อมมือมาแตะกลุ่มขนสีขาวฟูที่สูงเลยขอบเตียงมาไม่มาก ขณะที่ยืนสี่ขา ใบหน้าคนงามซีดเซียวลงจากพิษไข้
(262) อุณหภูมิจากฝ่ามือของอีกคนยังคงมากกว่าปกติ ดวงตานั้นปรือเสียเต็มทนคงจะเพราะจากฤทธิ์ยาที่เพิ่งกินไปเมื่อสักครู่ อีกฝ่ายไม่ได้พูดสิ่งใดอีก เปลือกตาค่อยปิดลงพร้อมกับลมหายใจสม่ำเสมอ เข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว
(263) เสียงครางไม่ได้ศัพท์พร้อมกับร่างที่กระสับกระส่ายไปมาอยู่บนเตียงจากพิษไข้ ปลุกให้หมาป่าตัวใหญ่ที่นอนอยู่บนพื้นข้างเตียงตื่นขึ้น
“ อาเตี่ย... อาเหนียง ... อาเจี่ย อย่าทิ้งข้าไป “ เสียงแหบพร่าพูดออกมาอย่าไม่ได้สติ แขนทั้งสองพยายามโอบกอดให้ความอบอุ่น
(264) ร่างกายที่หนาวสั่นจากอาการไข้ ใบหน้างามนั้นขมวดคิ้วด้วยความตึงเครียด คงกำลังฝันร้ายอยู่สินะ
หลานซีเฉินไม่รู้จะทำเช่นไร หากในยามนี้เขาเป็นคนก็คงจะทำอะไรได้มากกว่านี้ การติดอยู่ในร่างนี้ทำให้จะทำสิ่งใดก็ยากลำบาก
(265) ร่างนั้นยังคงสั่นและเรียกร้องหาความอบอุ่นพลันหมาป่าก็คิดอะไรบางอย่างได้ เจียงเฉิงพลิกตัวไปอีกฝั่งของเตียงทำให้พอเหลือพื้นที่ว่าง หมาป่าตัวใหญ่วางสองขาหน้าไว้บนเตียงให้เบามากพอที่จะไม่ทำให้ผ้านั้นเกิดรอยจากกรงเล็บ ก่อนจะใช้แรงยันตัวขึ้นไปนอนเคียงกับคนป่วย
(266) เบียดร่างที่เต็มไปด้วยขนฟูนุ่มเข้าใกล้ให้ความอบอุ่นกับคนที่กำลังหนาวสั่น ซึ่งแขนนั้นก็พาดมาโอบรอบเขาเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ ดวงหน้างามซุกไซ้ไปตามกลุ่มขนนิ่ม เหมือนว่าพอมีสิ่งใดให้พักพิงแล้ว คนงามก็เริ่มที่จะสงบลงอีกครั้ง บางทีร่างนี้ก็อาจจะมีประโยชน์บ้างเหมือนกัน
(267) ดวงตาสีสว่างของหมาป่าทอดมองร่างโปร่งที่กำลังโอบกอดตนอยู่ รู้ดีว่ายามนี้มันดีแค่ไหนที่ได้อยู่ข้างกาย แต่ก็อยากเป็นมากกว่านี้ อยากทำได้มากกว่านี้ อยากกอดปลอบยามที่เจ้าต้องฝันร้าย อยากกุมมือของเจ้าเอาไว้ อยากพูดบอกกับเจ้าว่าเจ้าเก่งและเข้มแข็งมากแค่ไหน
(268) อยากคอยปลอบยามที่เจ้ารู้สึกไม่ดี อยากให้คำแนะนำในยามที่เจ้าต้องมีปัญหา อยากปรนนิบัติดูแลเจ้ายามที่เหนื่อยล้าจากงาน ยามเจ้าป่วยไข้
แต่มันก็ทำสิ่งใดไม่ได้เลยในยามที่ยังเป็นแบบนี้อยู่ ต้องทำอย่างไรกันถึงจะได้กลับคืนร่างมาเป็นเช่นเดิม
(269) แสงแรกของวันฉายสาดเข้ามาทางบานหน้าต่างที่เปิดแง้มเอาไว้ให้ลมถ่ายเท
ปลุกร่างที่นอนอยู่บนเตียงให้ตื่นขึ้น เปลือกตายังคงหนักอึ้งแต่ก็พยายามจะลืมขึ้นมา สิ่งแรกที่รู้สึกคือสัมผัสนุ่มนิ่มจากอะไรบางอย่างในอ้อมแขน ก้อนขนสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏแก่สายตา
(270) เป็นเจ้าหมาอย่างนั้นเองหรือ สงสัยเพราะสัมผัสนุ่มนิ่มของเจ้าหมาบวกกับพิษไข้จึงทำให้เกิดความฝันประหลาดขึ้นมา
ภาพอาเตี่ย อาเหนียง อาเจี่ย ที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆวิ่งตามเท่าใดก็ไม่อาจไขว่คว้าเอาไว้ สุดท้ายก็เหลือเพียงเขาแค่คนเดียว ภาพฝันที่มันเกิดขึ้นกับเขา
(271) แต่ครานี้มันต่างออกไป ขณะที่กำลังล้มลงร้องไห้อ้อนวอนกลับมีมือของใครบางคนที่โอบกอดเขาเอาไว้ ไม่ทันเห็นว่าคนในฝันผู้นั้นคือใคร เพียงแต่รู้สึกคุ้นเคย เห็นเพียงอาภรณ์สีขาวเท่านั้น รายละเอียดเลือนลางแต่ความอุ่นที่ได้รับจากสัมผัสนั้นช่างชัดเจน ความรู้สึกเหมือนถูกปลอบประโลม
(272) คงจะเป็นความอบอุ่นและนุ่มนิ่มของเจ้าหมาสินะที่ทำให้เขารู้สึกได้ในฝัน เจ้าหนูนี่น่ารักเสียจริงๆ เจียงเฉิงเห็นเจ้าก้อนขนตัวใหญ่ข้างกายหลับสนิทดูน่าเอ็นดูก็อดไม่ได้ที่จะจรดริมฝีปากลงบนส่วนหัวของมันที่ห่างจากเขาไม่ถึงหนึ่งชุ่น
(273) หลานซีเฉินตื่นแล้ว จริงๆเขาตื่นนานแล้ว คนสกุลหลานตื่นเช้าเสมอ เขาแค่ไม่ขยับตัวไปไหนเพราะเห็นว่าคนข้างกายกำลังหลับสบาย แต่เมื่อเห็นอีกคนค่อยๆขยับตัวจึงทำเป็นหลับตาไป เขาก็โง่จริง ต่อให้จะลืมตาอาเฉิงก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ก็อาจจะว่าก็ได้จริงไหมที่เขาปีนขึ้นมานอนด้วย
(274) และข้อสันนิษฐานของเขาก็ผิดทั้งหมด อาเฉิง ไม่ได้ว่า ไม่ได้ไล่ แต่อาเฉิงกลับจุมพิตเขา ตอนนี้หลานซีเฉินไม่รู้ว่าตัวเขายังเป็นสีขาวหรือตอนนี้มันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้ว ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยมีใครทำเช่นนี้กับเขา นอกจากท่านแม่ซึ่งมันก็แสนนานมาแล้ว
(275) เจ้าทำเช่นไม่อ่อนโยนกับจิตใจข้าเลยสักนิดเดียว
ข้าเสียครั้งแรกให้เจ้าหลายอย่างเหลือเกินอาเฉิง หากข้าได้กลับเป็นคนเห็นทีข้าคงต้องมาสู่ขอเจ้าเป็นจริงเป็นจังเสียแล้ว
หลานซีเฉินลอบคิดในใจ
(276) “ เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าประมุขเจียงไม่สบายอยู่ ยังจะไปรบกวนท่านอีก”
“ ใช่ๆ ปัญหาแค่เพียงนี้พวกเราจัดการเองก็ได้อย่าไปรบกวนท่านประมุข”
เสียงจอกแจกจอแจที่อีกฝากของบานประตูเรียกให้คนที่อยู่ด้านในซึ่งมีชื่อในบทสนทนานี้เดินออกมาดู
(277) “ พวกเจ้ามีเรื่องอะไรก็ว่ามา “ เสียงแหบพร่าแต่ทรงอำนาจของประมุขท่าเรือดังขึ้น
“ เออ คือ ... “
“ ชักช้าจริงมีอะไรก็รีบๆว่ามา” เสียงหงุดหงิดทำให้ลูกศิษย์รีบแจ้งข่าวไปอย่างรวดเร็ว มีการวิวาทกันของคุณชายสกุลหลี่ ลูกชายคหบดีที่เป็นคู่ค้าประจำของสกุลเจียงมายาวนาน
(278) ส่วนอีกฝ่ายก็เป็นสำเภาจากคาบสมุทรตะวันออก คู่ค้าคนสำคัญเช่นกัน ดีแล้วที่เขาออกมาก่อน เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้เขาเป็นก็ควรเป็นผู้จัดการทั้งหมดด้วยตนเอง
ร่างโปร่งรีบเข้ามาผลัดผ้าให้เป็นชุดออกทำงานก่อนรีบออกจากเรือนไปทันที
(279) เวลาล่วงเลยหลายชั่วยามปัญหาจึงเริ่มคลี่คลาย ร่างโปร่งผุดลุกยืนขึ้นแต่ความวิงเวียนที่มีอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมาคล้ายจะทวีขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ไม่อาจประคองตัวเดินตรงได้
พลันแขนของใครบางคนที่คุ้นเคยก็เอื้อมมาโอบประคองไว้ พร้อมเสียงน่ารำคาญหูที่ตามมา
(280) “ อาเฉิงทำไมเจ้าไม่ดูแลตัวเองเลย ไม่สบายเพียงนี้ยังจะดื้อดึงออกมาทำงาน” เว่ยอู๋เซี่ยนพูดขึ้นอย่างหัวเสียขณะประคองอีกคนกลับเรือน ทันทีที่ได้ข่าวว่าน้องชายป่วยเขาก็รีบมาท่าเรือสัตตบงกช ไม่คิดว่าจะเห็นอีกคนฝืนออกมาทำงานเช่นนี้ น่าตีเสียจริง
“ ข้าไม่เป็นไรหรอกน่า”
(281) “ ไม่เป็นไรอะไรกันไข้ขึ้นสูงขนาดนี้ เจ้าแทบจะเดินไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ” ใบหน้าขาวบัดนี้แดงก่ำ ตัวก็ร้อนจี๋ไปหมด ต้องกลับไปกินยาและนอนพักสถานเดียวแล้ว
เจียงเฉิงไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก ยามนี้เขาปวดหัวจนไม่มีแรงจะเถียงแล้ว ได้แต่ปล่อยให้พี่ชายบุญธรรมพากลับห้อง
(282) หลานซีเฉินที่วันนี้ทำตัวเป็นหมาที่ดี ไม่ได้ตามออกไปทำงานแม้จะห่วงคนป่วยมากเพียงใด แต่หากติดตามไปก็คงจะดูไปรบกวนจึงรออยู่ที่ห้อง ทันทีที่ได้ยินเสียงของผู้เป็นน้องสะใภ้ เขาจึงรีบหลบไปก่อน เพื่อป้องกันความวุ่นวายหากเว่ยอู๋เซี่ยนเจอเขาคงต้องโวยวายร้องแรกแหกกระเชอแน่ๆ
(283) “ อี่หลิงเหล่าจูขอรับ มีเรื่องแล้วขอรับ” ยังไม่ทันจะถึงห้องดีก็มีศิษย์เจียงวิ่งหน้าตื่นตามมา ซี่งก็ได้รับสายตาดุๆจากเว่ยอิงไปตามระเบียบ พูดว่าเกิดเรื่องให้อาเฉิงได้ยินอีกคนก็ไม่ต้องพักกันพอดี
“ มีเรื่องอะไร “ เป็นเสียงของคนป่วยที่พูดขึ้นมาแทน
(284) “ ช่างเถิดอาเฉิง เดี๋ยวข้าออกมาจัดการให้เอง เจ้าวางใจและเข้าไปพักผ่อนเถิด “ ปรมาจารย์อี๋หลิงส่งสัญญาณให้ศิษย์เจียงออกไปก่อน ก่อนจะเดินพาอีกคนเข้าไปยังห้องนอน
“ นั่งลงก่อนนะอาเฉิง เดี๋ยวข้าจะไปเอาผ้ากับน้ำมาเช็ดตัวให้เจ้า”
(285) “ ไม่ต้องหรอก เจ้ารีบออกไปดูข้างนอกเถิด เผื่อเกิดเรื่องเร่งด้วย “
“ แต่ว่า...”
“ ไม่มีแต่ หรือจะให้ข้าออกไปเอง” เสียงแหบพร่าพูดขู่ออกมา จนทำให้คนพี่จำต้องยอม แย่จริงที่ต้องรีบไปจัดการเรื่องข้างนอกก่อน จึงยังไม่ได้ดูแลคนป่วยเลย
(286) เว่ยอิงรีบออกไปตามคำสั่งผู้เป็นน้อง หวังว่าคงจะไม่มีเรื่องอะไรมากนัก เขาจะได้กลับมาดูแลอาเฉิงต่อ
“ อาอิง “
“ จื้อเว่ยเกอ” เว่ยอิงหันมองผู้ที่มาเยือน ช่างมาทันเวลาที่เขาต้องการพอดีเลย
“ ท่านมีธุระอันใดหรือไม่ “
(287) “ ข้าเพียงแค่มาเยี่ยมเสี่ยวเฉิง “
“ ถ้าอย่างนั้นช่วยดูแลอาเฉิงแทนข้าสักครู่ได้หรือไม่ ข้าต้องรีบออกไปทำธุระ เสร็จแล้วจะรีบกลับมา “ เว่ยอิงรีบฝากฝังให้กับคุณชายจ้าว ที่ดูเหมือนจะดีใจกับหน้าที่ที่ตนได้รับเสียเต็มประดา
(288) “ เกอยินดี “
“ ข้าสั่งให้คนต้มยาและข้าวต้มไปแล้วอีกไม่นานคงเอาขึ้นมาให้ ท่านเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนอาเฉิงก่อนเถิด” เว่ยอิงรีบพูดฝากฝังก่อนจะรีบเดินไปหาศิษย์สกุลเจียงที่ยืนรอด้วยสีหน้าไม่สู้เท่าไหร่นัก เรื่องคงจะเร่งร้อนน่าดู
(289) จ้าวจื้อเว่ยเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของประมุขเจ้าบ้าน ในคราแรกคิดจะมาพูดคุยเป็นเพื่อนคนป่วย แต่ยามนี้ร่างโปร่งนอนหลับอยู่บนเตียง ดวงหน้างามแดงก่ำด้วยพิษไข้ ตาที่หลับอยู่นั้นมีหยาดน้ำใสไหลออกมาเล็กน้อยจากความร้อนในร่างกาย
(290) เห็นดังนั้นจึงเดินออกไปเรียกให้เด็กรับใช้นำผ้ากับน้ำมาเผื่อจะเช็ดตัวระบายความร้อนให้อีกคนก่อน เพียงไม่นานเขาก็กลับเข้าห้องมาใหม่ พร้อมกับอุปกรณ์เช็ดตัว และบัดนี้ข้าวกับยาก็ได้ถูกยกเข้ามาวางไว้แล้ว ไว้เช็ดเนื้อเช็ดตัวเสร็จค่อยปลุกขึ้นมากินก็แล้วกัน
(291) ทันทีที่จะไปยังเตียงเพื่อเช็ดตัวคนป่วยก็กลับพบว่ายามนี้อีกคนไม่ได้อยู่เพียงผู้เดียวแต่เจ้าหมาป่าตัวนั้น ก็นั่งอยู่ข้างๆเตียงด้วย ซึ่งจากสีหน้าและแววตาที่หันมาทางเขาก็ดูไม่เป็นมิตรเลยแม้เพียงนิด
“ โปรดหลบไปด้วย “
จ้าวจื้อเว่ยพูดกับหมาป่าที่เขาเห็นร่างวิญญาณ
(292) ‘ ท่านจะทำสิ่งใด ‘
“ ข้าจะเช็ดตัวให้เสี่ยวเฉิง “
‘ ท่านไม่มีสิทธิ์แตะต้องตัวอาเฉิง ‘ หมาป่าขู่อย่างเอาเรื่อง
“ จะไม่มีได้อย่างไร พี่เขาเป็นคนให้ข้าเข้ามาดูแลเขา หลบไปเสียเถิดมันเสียเวลา “
หลานซีเฉินยังคงไม่ไว้วางใจหลบให้อีกฝ่าย
(293) “ ถ้าไม่ให้ข้าทำแล้วใครจะทำ ท่านทำได้หรือ ท่านมีมือหรือไม่ ถ้าท่านเป็นห่วงเสี่ยวเฉิงจริงก็โปรดถอยออกไป “ เหตุผลที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นเป็นความจริงที่น่าเจ็บใจ ใช่ เพราะ เขาทำไม่ได้ ในยามนี้แม้แต่มือก็ไม่มีด้วยซ้ำ เผื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอาเฉิงจึงต้องจำใจยอมถอย
(294) จ้าวจื้อเว่ยวางถังใบเล็กที่ใส่น้ำลงบนโต๊ะหัวเตียงเจียงเฉิง หยิบผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ ก่อนจะเช็ดไปตามใบหน้างามที่ยามนี้ดูอ่อนล้าและแดงก่ำ ต่อมาที่ลำคอระหงส์ของเจียงเฉิง จากนั้นก็เลิกแขนเสื้ออีกฝ่ายขึ้นก่อนจะเช็ดไล่ไปตามแขนเพื่อระบายความร้อน
(295) หมาป่าสีขาวมองภาพนั้นด้วยความไม่พอใจเท่าใดนัก แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่พยายามทนข่มความไม่พอใจไว้ และคิดว่ามันเป็นประโยชน์กับอาเฉิง
มือของคุณชายพ่อค้า วางผ้าลงข้างๆตัวคนป่วยก่อนจะปลดผ้าคาดเอวบางนั้นออก พร้อมแหวกสาบเสื้อเพื่อที่จะได้เช็ดตัวบริเวณที่ซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์
(296) ผ้าผืนเล็กค่อยๆไล้ไปตามแผ่นอกสวยของผู้เป็นประมุขเจ้าบ้าน ภาพตรงหน้าคล้ายว่าจะฉีกกระชากขีดความอดทนของหลานซีเฉินให้ขาดสะบั้นไม่มีชิ้นดี
ฟันคมของหมาป่างับลงไปที่ท่อนแขนแกร่งผู้มาเยือนอย่างไม่ปราณี
“ โอ๊ย นี่ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือไร “
(297) ความเจ็บที่แล่นผ่านเรียกเสียงร้องของคนที่ถูกกัดออกมาไม่ยาก
หมาป่าไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำรุ่มร่ามกับอาเฉิงรวมถึงคนผู้นี้ด้วย
เสียงร้องของอีกฝ่ายเรียกให้ใครอีกคนที่จมในห้วงนิทราลืมตาตื่นขึ้น
(298) คนคุ้นเคยผู้มาเยือนในยามนี้กลับโดนเจ้าหมาทำร้ายอยู่ หยาดโลหิตเริ่มซึมออกมาตามอาภรณ์สีเทา
“ ปล่อยข้านะ “ จ้าวจื้อเว่ยสะบัดแขนออกแต่เจ้าหมาก็ยังคงงับค้างไว้
เจียงเฉิงสลัดความง่วงออกได้เต็มตาก่อนจะผุดลุกขึ้นมาจากเตียง
(299) “ เจ้าหมาปล่อยจื้อเว่ยเกอ “ ดวงตาสีอ่อนของหมาป่า ทอดมองอาเฉิงอย่างไม่ฟังคำสั่ง เขาไม่ปล่อยคนที่ทำรุ่มร่ามกับอาเฉิงแน่ๆ
“ เสี่ยวเฉิงช่วยเกอด้วย “ ฟันคมเพิ่มแรงฝังคมเขี้ยวเข้าไปอีกเมื่อได้ยินอีกฝ่ายทำตัวออเซาะใส่เจียงเฉิง
“ เจ้าหมาปล่อยเดี๋ยวนี้”
(300) หมาป่าสีขาวตัวใหญ่ยังคงแสดงความดุร้ายของมันอย่างไม่ยอมลดละ แม้เพียงนิดถึงผู้เป็นนายจะสั่งแล้วก็ยังคงไม่ยอมปล่อย
วชิระสีม่วงบนนิ้วเปล่งประกายตอบรับกับความโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นนาย แปรเปลี่ยนสภาพเป็นแส้ยาวตวัดฟาดเจ้าหมาป่าอย่าแรง
“ ข้าบอกให้เจ้าปล่อย!!!”
(301) ร่างหมาป่ากระดอนไปอีกฝากของห้องกระแทกกับผนังด้วยแรงเหวี่ยงของแส้จื่อเต้น ถึงจะไม่ได้ใช้พลังมากเพียงนั้น เพราะไม่ต้องการทำร้าย แต่ยามนี้หัวที่ปวดยิ่งกว่าสิ่งใดก็ทำให้คุมพลังได้ไม่ดีนักจนเกิดรอยไหม้ทางยาวบนกลุ่มขนสีขาว
“ จื้อเว่ยเกอ ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่
(302) เจียงเฉิงละสายตาจากเจ้าหมาที่ถึงตอนนี้จะสงสารมันเพียงใด แต่มันก็ทำผิดและทำร้ายคนอื่น
ผ้าไหมสีเทาชั้นดีถูกฟันกัดจนแหว่งวิ่นเผยให้เห็นเนื้อภายในที่เป็นรอยกัดและเลือดที่ไหลออกมา มือเรียวเอื้อมเปิดลิ้นชักของโต๊ะข้างเตียงหยิบผ้าฝ้ายสีม่วงผืนไม่ใหญ่นักออกมา
(303) ก่อนจะซับเลือดที่บาดแผลนั้นและกดเอาไว้
หลานซีเฉินพยายามลุกขึ้นความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างแต่ภาพที่เห็นตอนนี้ก็เจ็บไม่แพ้กันเลยสักนิด อาเฉิงอ่อนโยนกับเจ้าหมอนั่นเหลือเกิน หมาป่าตัวโตค่อยๆเดินเข้ามาหาผู้เป็นเจ้าของของมันอีกครั้ง
(304) “ ใครที่อยู่ข้างนอก มานำเจ้าหมาออกไป เมื่อไม่สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ ข้าก็คงไม่สามารถเลี้ยงเจ้าได้” เสียงนั้นแม้แหบพร่าจากอาการหวัดแต่ก็ยังทรงอำนาจไว้ไม่เปลี่ยน เมื่อยามเห็นเจ้าหมาพยายามเดินเข้ามาใกล้อีกครั้งเขาจึงออกปากสั่ง
(305) ‘ ไม่นะ อาเฉิง ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลยนะ ‘ หลานซีเฉินพยายามพูดประท้วง แต่ยิ่งพูดมันก็ยิ่งกลายเป็นเสียงเห่าที่ดังขึ้น ศิษย์ตระกูลเจียงที่เข้ามาจับตัวเอาไว้ก็โดนเจ้าหมาป่าตัวโตสะบัดออก ไม่ให้จับเอาไว้ได้
ในสายตาของเจียงเฉิงหมาป่าตัวนี้ช่างดุร้าย
(306) เป็นอย่างที่จ้าวจื้อเว่ยเคยบอกไว้จริงๆ อย่างไรสัตว์ป่าก็ย่อมไม่อาจละทิ้งสัญชาตญาณสัตว์ป่าลงไปได้
“ หยุดบ้าเดี๋ยวนี้ หากเจ้าทำร้ายศิษย์สกุลเจียงข้าจะไม่จบแค่ฟาดทีเดียวแน่ๆ” เจียงเฉิงลุกขึ้นฟาดจื่อเตี้ยนลงกับพื้นเพื่อขู่เจ้าหมาป่าที่กำลังคุ้มคลั่งอีกทีหนึ่งจนมันยอมสงบลง
(307) ศิษย์เจียงจึงสามารถจับตัวเอาไว้ได้
“ พวกเจ้าจงนำมันออกไปรักษาแผลให้หายดีแล้วจงเอามันออกไปปล่อย” ดวงตาเรียวรีเหยียดมองหมาป่าขาวที่ตนเก็บมาเลี้ยงด้วยความผิดหวัง
“ แล้วก็ให้ใครเอาอุปกรณ์ทำแผลมา ข้าจะทำแผลให้คุณชายจ้าว “
(308) ร่างโปร่งเซไปเล็กน้อยก็แต่โดนคนข้างกายประคองเอาไว้
“ เสี่ยวเฉิงพักก่อนเถิดเดี๋ยวเกอไปจัดการทำแผลแล้วจะกลับมาเฝ้าเจ้าใหม่นะ “
“ ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านต้องลำบาก ข้าควรจะเชื่อท่านตั้งแต่แรกว่ามันเป็นสัตว์ป่า อย่างไรก็ไม่สามารถทำให้มันเป็นสัตว์เลี้ยงได้”
(309) ลูกศิษย์สกุลเจียงสี่คนกึ่งลากกึ่งจูงหมาป่าตัวโตกลับห้องของมัน พวกเขาเห็นเจ้าหมามาตั้งแต่ที่ประมุขพามันกลับมาที่นี่ ถึงจะตัวใหญ่น่ากลัว แต่ก็ไม่เคยเห็นจะดุร้าย ดูเป็นมันดูเหมือนจะฟังภาษามนุษย์ออกและเข้าใจเสียด้วยซ้ำ แต่จากแผลของคุณชายจ้าวแล้วคงต้องคิดใหม่
(310) แถมประมุขเจียงก็ยังโมโหมาก สงสัยเจ้าหมานี่จะชะตาขาดเสียแล้ว ศิษย์ทั้งสี่ใช้โซ่ล่ามมันเอาไว้กับเสา เพื่อป้องกันมันออกไปอาละวาดแล้วจับได้ยากเหมือนตอนอยู่ในห้องนอนประมุขเจียง ก่อนจะช่วยทำแผลไหม้ตรงลำตัวที่เกิดจากจื่อเตี้ยนของประมุขเจียง
(311) ยามนี้เจ้าหมาสงบลงราวกับว่ามันไม่เคยเกรี้ยวกราดดุร้ายมาก่อนอย่างสถานการณ์ในห้องนั้น มันยอมให้ล่ามโซ่แต่โดยดีและนอนนิ่งๆให้พวกเขาทำแผล
ศิษย์สกุลเจียงออกไปแล้ว เขามันโง่เต็มทนที่ไม่หักห้ามใจตนเอง แล้วตอนนี้เขาเหลือสิ่งใดบ้าง
(312) รอยแผลที่ฝากไว้บนร่างนี้เป็นของเจียงเฉิง ยังดีที่มีเมตตาให้ลูกศิษย์มาทำแผลให้ ส่วนอีกคนกำลังทำแผลให้ไอ้คุณชายนั่น
อันที่จริงจ้าวจื้อเว่ยก็ไม่ได้ทำเกินเลย แต่ทำไมเขาถึงยั้งตัวเองไว้ไม่ได้ ทำอะไรไปตามอารมณ์จนมันเกิดผลเสีย ได้ความสะใจแต่เขาไม่เหลือสิ่งใดเลย
(313) อาเฉิงตีเขา ด่าเขา ไล่เขาออกจากบ้าน ในขณะที่คุณชายนั่นยังอยู่ดีมีสุข มีอาเฉิงข้างกาย เขามันโง่งมเหลือเกิน
เมื่อเจ้าออกปากไล่ก็จะไม่อยู่ให้เจ้าลำบากใจ หลานซีเฉินออกแรงรั้งโซ่ที่ล่ามไว้จนขาดออก ก่อนก้มลงคาบผ้าคาดหัวที่ยามนี้มันเปื้อนจนแทบดูไม่ออกว่าเป็นอะไร
(314) ในยามนี้ทุกคนในเรือนหลับกันหมดแล้ว จ้าวจื้อเว่ยกลับเรือนไปตามคำสั่งของอาเฉิงที่อยากให้อีกคนดูแลตนเองก่อน ส่วนอี๋หลิงเหล่าจู เมื่อเห็นว่าอาเฉิงเช็ดตัว กินข้าว กินยา และนอนพักเรียบร้อยก็กลับเรือนไปพักผ่อนบ้าง
เวลานี้มีเพียงหมาป่าตัวหนึ่งที่ยังคงไม่หลับ
(315) หลานซีเฉินลอบเข้าไปในห้องนอนประมุข ดีที่เว่ยอู๋เซี่ยนไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ เพื่อให้ลูกศิษย์เข้าไปดูแล นำของไปให้ได้โดยง่าย โดยไม่ตัองให้คนด้านในออกมาเปิด เขาถึงผลักเข้ามาได้ง่ายๆ
ประมุขแห่งท่าเรือสัตตบงกชยามนี้อยู่ในห้วงนิทรา คล้ายจะหลับสนิทกว่าเคยด้วยฤทธิ์ยา
(316) จึงไม่รู้ว่าเขาเข้ามาอยู่ที่นี่ แม้ยามหลับก็ยังคงงาม หลานซีเฉินอยากจะเก็บภาพความทรงจำนี้ไว้ให้นานที่สุด เก็บรายละเอียดทุกอย่างของคนตรงหน้า กลิ่นกายหอมหวานที่เขาไม่อาจได้สัมผัส
เสียงนกเริ่มร้องบอกเวลาของวันใหม่ที่กำลังจะเริ่ม
(317) ใกล้หมดเวลาเต็มที หลานซีเฉินวางผ้าคาดหัวเอาไว้บนเตียงข้างกายของอีกคน สิ่งที่มีความหมายสำคัญมากที่สุดของสกุลหลาน ชีวิตที่ฝากมอบไว้ให้ในมือของใครอีกคนถึงแม้เขาจะไม่รู้ตัวและไม่อยากรับไว้ก็ตาม
หมาป่าตัวใหญ่หันหลังเดินกลับผ่านประตุออกไปโดยพยายามไม่หันกลับมามอง
(318) แสงแดดส่องลอดผ่านจากหน้าต่างที่แง้มไว้เข้ามาปลุกเจ้าของห้องให้ตื่นขึ้น อาการปวดหัวบรรเทาลงไปมาก เพราะการเช็ดตัวและยาของคนเป็นพี่ชายที่มาทำให้แทนหลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น หลังจากนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็ดีขึ้นมากทีเดียว
มือเรียวยันเตียงก่อนผุดลุกขึ้น
(319) แต่ก็สัมผัสถึงสิ่งแปลกปลอมบางอย่าง เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นผ้าอะไรสักอย่างที่เขาจำได้ว่ามันเป็นของรักของหวงของเจ้าหมาป่าที่ไม่ยอมให้ใครแตะต้อง ถึงจะเปื้อนอยู่มากแต่เมื่อมองกลับคลับคล้ายคลับคลากับอะไรบางอย่างแต่เขาคิดไม่ออก
(320) พลันหันไปเห็นถังใส่น้ำใบเล็กสำหรับเช็ดตัวเขาที่ยังไม่มีคนนำไปเก็บ ก็มีความคิดแล่นมาในหัวว่าถ้าหากนำมันไปซักคงจะรู้มากขึ้นว่ามันคือสิ่งใดกันแน่
สายน้ำชะล้างความสกปรกจากฝุ่นได้บ้างแต่คงเหลือร่องรอยคราบเลือดนิดหน่อยหากใช้ผงขี้เถ้าล้างคงจะสะอาดได้ไม่ยาก
(321) ถึงจะไม่สะอาดสมบูรณ์แต่ก็เห็นได้ว่าสิ่งของนี้คือ ‘ ผ้าคาดหัวของสกุลหลาน ‘
แต่เขาก็ยังไม่อาจด่วนสรุปควรไถ่ถามให้แน่ใจเสียก่อน อาจจะเป็นเพียงสิ่งที่คล้ายกันก็ได้ แต่หากใช่จริงมันเป็นของใครและเจ้าหมาเอามันมาจากไหน
(322) เมื่อคิดได้ดังนั้นเจียงเฉิงก็รีบลุกขึ้นจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินตามหาพี่ชายบุญธรรม ซึ่งอีกฝ่ายก็นั่งกินข้าวเช้าอยู่กับฟูจวินของตน
“ เว่ยอู๋เซี่ยน “
“ เจ้าดีขึ้นแล้วหรืออาเฉิงถึงออกมาแบบนี้ ทำไมไม่ให้คนยกสำรับและยาเข้าไปให้ที่ห้อง”
(323) คนพี่ออกปากดุคนน้องทันทีที่เห็นว่าอีกคนไม่ยอมพักผ่อนอยู่ในห้อง
“ ข้าดีขึ้นมากแล้ว เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถิดข้ามีเรื่องต้องคุยกับหานกวงจวิน”
เจ้าของฉายาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินนามฉายาของตนแต่สีหน้าคงเรียบนิ่ง
“ เจ้ามีอะไรจะคุยกับหลานจ้านเหรอ”
(324) “ ข้าอยากให้ท่านดูของสิ่งนี้ให้ข้าหน่อย “ เจียงเฉิงวางเศษผ้าที่เขาหยิบมาจากห้องลงบนโต๊ะให้ทั้งพี่ชายและพี่เขยได้เห็น
“ มันใช่ผ้าคาดหัวสกุลหลานหรือไม่”
หานกวงจวินพยักหน้าตอบรับทันทีอย่างไม่ต้องคิด
“ ได้มันมาจากไหน”
(325) อีกฝ่ายถามไปขณะลองเอามือแตะมัน
“ จากเจ้าหมาป่าที่ข้าเลี้ยงไว้ “
“ น่าแปลกจริงอาเฉิง หมาป่าที่เจ้าเก็บมาเลี้ยงมีผ้าคาดหัวสกุลหลานได้อย่างไร มันคือของใครหรือหลานจ้าน “ เว่ยอิงเอ่ยถามคนรัก ถึงแม้สีหน้าของอีกฝ่ายจะไม่เปลี่ยนแต่เขาก็สัมผัสได้ว่ามันไม่ดีนัก
(326) กระแสพลังเวทย์ที่สัมผัสได้จากผ้าคาดหัวคุ้ยเคยมากจนไม่อยากเชื่อ แต่เหมือนกับว่าพลังเวทย์มหาศาลของผู้เป็นเจ้าของถูกกดไว้ด้วยบางสิ่ง แต่เขาไม่มีวันจำผิดแน่นอน ปราณอบอุ่นที่คอยอุ้มชูเขามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย

“ เป็นของต้าเกอ “
(327) “ คารวะเซียนตู ประมุขเจียง อี๋หลิงเหล่าจู ขออภัยที่ผู้น้อยมาขัดจังหวะการสนทนา แต่เรื่องในครานี้ไม่อาจรีรอได้ “ ศิษย์สกุลหลานผู้นอบน้อมที่เร่งเดินเข้ามาที่ศาลารีบคารวะผู้อาวุโสทุกท่านและขออภัยที่เสียมารยาท
“ ไม่ต้องมากพิธี มีเรื่องอันใดก็ว่ามาเถิด”
(328) เป็นผู้อาวุโสเว่ยที่พูดเปิดโอกาสให้ผู้น้อยได้แจ้งข่าว
“ มีศิษย์สกุลหลานได้รับการขอความช่วยเหลือให้ไปปราบปีศาจร่วมกับสกุลอื่นๆทางป่าด้านตะวันตก และมีคนพบกับอาภรณ์ชุดนี้โดยบังเอิญ มันฝังอยู่ใต้หิมะ ดูแล้วน่าจะเป็นของเจ๋ออู๋จวินขอรับ “
(329) ศิษย์น้อยยื่นอาภรณ์คุ้นตาใส่ให้กับหยกผู้น้อง สภาพยังดีน่าจะเป็นเพราะอยู่ในชั้นหิมะ ป่าทางตะวันตกห่างจากอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่นักไม่ใช่เขตการรับผิดชอบของสกุลหลาน เหตุใดอาภรณ์ของหลานซีเฉินจึงไปอยู่ที่นั่น และอาวุธเซียนทั้งคู่ก็ถูกนำมาขายที่ตลาดซึ่งห่างไกลจากจุดภพเสื้อผ้ามาก
(330) ไหนจะผ้าคาดหัว ของสำคัญมากที่สุดที่คนสกุลหลานไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ทิ้งขว้างเป็นแน่ แต่กลับไปอยู่กับหมาป่าที่ไหนก็ไม่รู้ และพี่ชายของเขาก็หายไปนานหลายเดือนอย่างขาดการติดต่อ ทุกสิ่งบ่งชี้ถึงเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้นได้กับหลานซีเฉิน
*** แวะมาบอกว่า ช่วงนี้จะติดสอบและpresent งานจะหายไปและกลับมาอัพในเย็นวันที่ 27 ธ.ค.นะคะ ขอบคุณมากๆสำหรับคอมเม้น ฟีดแบ็ค ไลค์ และรีทวิตนะค้า อ่านทุกอันเลยและพยายามจะตอบทุกอันถ้าอันไหนตกหล่นก็ขอโทษด้วยแต่ขอบคุณสำหรับกำลังใจจริงๆนะคะ****
(331) “ พวกเจ้าจงเร่งนำข้ากับหานกวงจวินไปที่ที่พบอาภรณ์ของเจ๋ออู๋จวินเถิด “ เป็นเว่ยอิงที่เอ่ยขึ้นมา ถึงภายนอกของหลานจ้านจะดูนิ่งสงบเพียงใด แต่เขาก็พอดูออกว่ายามนี้อีกฝ่ายเป็นกังวลอย่างมาก ซึ่งเจียงเฉิงก็เข้าใจเช่นกันอีกฝ่ายจึงเพียงพยักหน้าให้
(332) หลังจากที่พี่ชายและพี่เขยออกไปเรียบร้อยแล้ว เจียงเฉิงก็เลือกจะกลับไปพักผ่อน การฝืนตัวเองยิ่งทำให้แย่และคงไม่หายกลับมาทำงานได้ในเร็ววัน หากพักให้หายดีก่อนคงจะดีเสียกว่า
แต่ก็ยังอดคิดไม่ตกไม่ได้ เรื่องของเจ้าหมา เหตุใดมันจึงมีผ้าคาดหัวของเจ๋ออู๋จวิน
(333) หรือจะเกิดเรื่องราวไม่ดีจริงๆ ใครกันมันจะบ้าละทิ้งอาวุธเซียนของตน แต่ก็อาจจะเป็นได้หากต้องการละทิ้งอดีต แต่คนผู้นั้นจะถึงกับละทิ้งผ้าคาดหัวสกุลหลานเชียวหรือ
แล้วถ้าทิ้งจริงแล้วเจ้าหมาไปเอามาได้เช่นไร
หรือเจ้าหมาทำร้ายเจ๋ออู๋จวินและแย่งชิงมา
(334) เพราะ บนผ้านี้ก็มีคราบเลือด แต่วันที่พบมันสภาพของมันก็สะบักสะบอมเหลือเกิน อาจจะไม่ใช่เลือดเจ้าของผ้าแต่เป็นเลือดของมันก็ได้ ซ้ำมันยังมีร่องรอยการต่อสู้
แต่หลังจากที่เขาเก็บมาเลี้ยงนอกจากที่กัดจ้าวจื้อเว่ยแล้ว มันก็ไม่มีแววดุร้ายใดๆ มันจะทำจริงๆหรือ
(335) สามวันแล้วแต่ยังไม่มีข่าวคราวกลับมาจากเว่ยอู๋เซี่ยน ไม่รู้ว่าทางนั้นเป็นเช่นไรบ้าง ช่วงนี้เขาก็ได้แต่รักษาตัวเองให้กลับมาหายดีเหมือนเดิม ไม่ได้ออกมาทำงานเท่าไหร่นัก จะมีก็แต่จินหลิงที่มาก่อกวนบ้าง กับจื้อเว่ยเกอที่แวะเอาของเยี่ยมยาบำรุงมาให้
(336) ส่วนใหญ่เวลาในแต่ละวันก็ใช้ไปกับการนอนรักษาตัว จนเหมือนลืมอะไรบางอย่างไป
“ นี่เจ้า เห็นเจ้าหมามันบ้างหรือเปล่าหายดีหรือยัง “
เจียงเฉิงที่ออกมาทำงานวันแรกหลังจากที่พักไปเอ่ยถามศิษย์
“ เออ ... มันหนีไปตั้งแต่สามวันก่อนแล้วขอรับ “
(337) “ แล้วทำไมพวกเจ้าไม่บอกข้า”
“ คือ... พวกข้าเห็นว่าท่านประมุขกำลังป่วยอยู่จึงไม่ควรไปกวนท่านด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะขอรับ “
“ อืม เอาเถอะ ช่างมัน อย่างไรเสียข้าก็จะไล่มันออกไปอยู่แล้ว “ เจียงเฉิงหันกลับมาทำงานเอกสารต่อ ถึงจะพูดไปอย่างนั้น
(338) แต่เมื่อมันต้องจากไปจริงๆ ก็รู้สึกแปลกๆไม่น้อย อยู่กับมันมาก็หลายเดือน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาก็ชอบเวลาที่ได้กอด ได้เล่นกับเจ้าก้อนขนนุ่มฟูนั่น ถึงแม้จะเป็นหมาป่าแต่ก็แทบไม่ต่างกับหมาบ้านเท่าไหร่
แต่ถ้าหากมันดุร้ายและเป็นอันตรายเขาก็ไม่ควรเก็บมันเอาไว้
(339) เจียงเฉิงจรดปากกาเขียนบรรทัดสุดท้ายของย่อหน้าบนผืนกระดาษ จากนั้นก็ม้วนมันเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ ก่อนที่จะลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานที่เขานั่งอยู่เกือบจะทั้งครึ่งบ่ายจวบค่ำ
แต่แล้วความเงียบสงบของยามราตรีก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงของฝีเท้าและเสียงคนพูดที่อยู่ด้านนอกประตู
(340) “ ใครรีบไปตามหมอมาเร็ว!!! “ เสียงตะโกนลั่นด้านนอกเรียกให้ประมุขที่กำลังจะเตรียมตัวเข้านอนต้องลุกออกมาให้ความสนใจ
บานประตูถูกผลักให้เปิดออก เผยให้เห็นบริเวณลานฝึก ดวงตาคมทอดมองเห็นร่างของลูกศิษย์สกุลเจียงนอนขดแข็งอย่างผิดธรรมชาติ คนที่มีสติอยู่ก็พยายามให้การช่วยเหลือ
(341) ประมุขหนุ่มไม่รอช้ารีบเดินออกมาจากเรือนนอนมาดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้
เมื่อเข้ามาใกล้ก็พบลูกศิษย์สกุลเจียงซึ่งเขาจำหน้าได้ดีว่าเป็นคณะที่มีเวรออกเยี่ยเลี่ยของเมื่อวาน สองร่างไร้ชีวิตที่นอนอยู่ฝากหนึ่งเป็นศิษย์ที่ถึงจะยังอ่อนประสบการณ์
(342) แต่ก็มีความสามารถมากพอที่จะติดตามออกเยี่ยเลี่ยได้ ส่วนศิษย์อาวุโสกว่าอีกสามคนถึงจะยังมีชีวิตแต่ก็นอนขดแข็งครางไม่ได้ความออกมา คนที่พอจะมีสติเหลืออยู่มากที่สุดก็เห็นจะเป็นผู้นำคณะออกล่าราตรีครั้งนี้ ถึงอาการจะทรุดหนักแต่ก็ยังพอมีสติให้คุยได้บ้าง
(343) “ ปะ ประ มุข เจียง “ เสียงสั่นเครือนั้นเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก
“ เกิดเหตุอันใดขึ้น ต้าเฟิน”
“ มะ มะ มี ผู้ ศึก ษา วิชา มาร ออก อาละวาด ขอรับ” ต้าเฟินพยายามรวบรวมสติและกำลังที่มีตอบออกไป
ใช้เวลาเพียงอึดใจศิษย์เจียงที่ไปตามหมอก็กลับมา
(345) “ ใครเป็นผู้ไปช่วยพวกเขามา “
“ เป็นพวกข้าขอรับ “ เหล่าศิษย์หนุ่มที่เป็นเวรออกเยี่ยเลี่ยวันนี้ตอบผู้เป็นประมุข
“ จางหมิน เจ้าจงเล่าให้ข้าฟังว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น “ เจียงเฉิงกล่าวกับศิษย์อาวุโสที่สุดในกลุ่ม
(346) ไม่นานนักก็ได้ความว่า เหล่าคณะที่ออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับมา อีกทั้งยังมีชาวบ้านมาแจ้งเรื่องร้ายว่า มีชายประหลาดสวมผ้าคลุมแปลกตามาหมู่บุกรุก และทำร้ายชาวบ้าน ซึ่งก็เป็นบริเวณเดียวกันกับที่กลุ่มเมื่อวานไปออกเยี่ยเลี่ย จึงรีบตามไปดูเหตุการณ์
(347) เมื่อไปถึงศิษย์น้องเล็กสองคนก็สิ้นชีวิตแล้ว ยังเหลือเพียงศิษย์พี่อีกสามคนที่พยายามใช้พลังปราณประคองชีพไว้เท่าที่ได้ จนคณะที่ออกไปวันนี้ไปพบเข้าและพากลับมา แต่เมื่อดูจากภายนอกแล้วก็แทบไม่มีบาดแผลใหญ่อะไร นอกจากร่องรอยกระบี่ที่ก็ไม่ลึกจนคร่าชีวิตได้ แล้วก็รอยฝกช้ำจากการต่อสู้
(348) แต่อาการแปลกๆที่เกิดขึ้นกับศิษย์ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่ามาจากพิษ คำสาป หรือวิชาอันใดกันแน่ คงต้องให้ท่านหมอวินิจฉัยและต้องไปหาข้อมูลเกี่ยวกับชายประหลาดคนนั้นจากชาวบ้านเผื่อจะพอเชื่อมโยงสิ่งใดกันได้บ้าง และเขาก็ควรจะออกจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
(349) ต้าเฟินกล่าวว่าคนผู้นั้นใช้วิชามาร เรื่องวิชามารคงไม่มีใครรู้แจ้งไปกว่าเว่ยอู๋เซี่ยน แต่ยามนี้ถ้าหากรอให้อีกฝ่ายกลับมาคงจะไม่ทันการณ์ เดี๋ยวชาวบ้านจะยิ่งโดนลูกหลงไปกันใหญ่
ประมุขแดนดอกบัวเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นทั้งให้ศิษย์นำไปส่งแก่พี่ชาย
(350) ส่วนตนเองเลือกที่จะล่วงหน้าออกไปดูสถานการณ์ก่อน ทั้งพาคณะศิษย์บาวส่วนออกไปและให้อีกส่วนอยู่คอยดูแลท่าเรือสัตตบงกชเอาไว้และคอยดูแลผู้ที่ยังรอดชีวิต เผื่อว่าเจ้าคนประหลาดนั่นคิดจะมาทางแถวนี้แทน จากคำบอกเล่าของชาวบ้านมันยังอยู่ทางฝากโน้นแต่ก็ควรระวังไว้ก่อน
(351) “ รีบเก็บของสิ จิ่งเอ๋อร์ เราควรจะรีบออกเดินทางได้แล้วเดี๋ยวจะค่ำ ตอนนี้แถวนี้หาได้ปลอดภัยไม่ “
“ เราต้องไปจริงๆหรือท่านพี่ ข้าได้ข่าวมาจากป้าอี้ ว่าเรื่องครานี้ประมุขเจียงลงมาจัดการด้วยตนเองเลยทีเดียวนะ “
“ ถึงอย่างนั้นก็เถิดอย่างไรก็ไม่ปลอดภัย”
(352) เสียงคุยของสองพี่น้องเรียกความสนใจจากหลานซีเฉิน หลังจากหลบออกมาจากอวิ๋นเมิ่งตนก็เดินทางขึ้นมาอยู่แถวป่าทางตอนเหนือ คราแรกก็สงบดีแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ก็ได้ยินชาวบ้านพูดกันหนาหูถึงชายประหลาดที่ใช้วิชามาร มันบุกรุกหมู่บ้านซิงซีไปแล้วเมื่อวานนี้(แต่งเองนะคะไม่มีความหมาย)
(353) และศิษย์สกุลเจียงที่ไปช่วยก็ทั้งเจ็บหนักบ้างก็ตาย เขาก็กำลังจะมุ่งหน้าไปทางนั้นเช่นกัน ถึงกายจะเป็นเช่นนี้แต่จิตวิญญาณเซียนก็ไม่อาจละทิ้ง เมื่อมีผู้เดือดร้อนก็ย่อมต้องอยากช่วยเหลือเท่าที่ได้ และยิ่งร้อนรนไปกว่าเก่าเมื่อรู้ว่าครานี้เจียงเฉิงออกมาเอง
(354) เวลาแค่เพียงสี่วัน ไม่รู้ว่าอีกคนจะหายดีหรือยัง แต่เรื่องครานี้ก็หนักหนา ศิษย์เจียงผู้ได้ชื่อว่าฝึกฝนตนอย่างหนัก และมีวิชาไม่น้อยหน้าผู้ใดกลับบาดเจ็บล้มตายแสดงให้เห็นว่าคู่ต่อสู้ที่ต้องประมือครานี้มีความสามารถไม่น้อย ยิ่งทำให้เป็นห่วงเจียงเฉิงมากขึ้นอีก
(355) คณะสกุลเจียงออกเดินทางตั้งแต่ตอนบ่ายจึงถึงหมู่บ้านช่วงเย็น หมู่บ้านชิงซีมีอากาศเย็นกว่าแถวๆท่าเรือสัตตบงกชก็จริงเพราะอยู่ทางตอนเหนือขึ้นมา แต่ก็เพียงเย็นสบายเพราะยังอยู่ในเขตร้อน หาใช่หมู่บ้านที่จะมีหิมะขาวโพลนปกคลุมอยู่เช่นนี้
(356) ไก่กับเป็ดที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ก็ตายคาเล้าอาจจะเพราะอากาศที่แปรเปลี่ยนฉับพลัน ทางเดินในหมู่บ้านไร้ผู้คน แต่เมื่อเหล่าสกุลเจียงมาถึงก็มีชาวบ้านบางบ้านแง้มบานหน้าต่างออกมาดูเมื่อพบว่าไม่ใช่ศัตรู ก็รีบควักมือเรียกให้เข้ามาหลบลมหนาวที่ด้านในตัวบ้านก่อน
(357) “ เกิดเหตุอันใดขึ้นที่นี่ ท่านยายพอจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่” เจียงเฉิงเอ่ยถามหญิงชราผู้หนึ่งที่เชื้อเชิญให้พวกเขาเข้ามาในบ้านก่อน บ้านของนางหลังใหญ่แทบจะที่สุดในหมู่บ้าน จึงมีหลายคนที่มานั่งรวมหลบหนาวก่อกองไฟกันอยู่
(358) “ ได้เจ้าค่ะท่านประมุข คนที่บุกมามีนามว่า หานปิง เจ้าค่ะ ก่อนนั้นเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของเรา เป็นคนหนุ่มอารมณ์ร้อน ชอบใช้วิชาแปลกๆ แต่ก็ไม่ถึงกับทำร้ายใคร หานปิงหลงรัก น่าหลัน ลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน แต่พ่อของนางไม่พอใจเลยส่งคนไปทำร้ายและขับไล่ออกจากหมู่บ้านไปเจ้าค่ะ—“
(359) “ — ก่อนไปเขาก็ได้พูดเอาไว้ว่าวันหนึ่งจะกลับมาแก้แค้นทุกคน คืนวานนี้จู่ๆเขาก็บุกมา เข่นฆ่าผู้ใหญ่บ้านและคนของผู้ใหญ่บ้านทั้งหมด และลักพาน่าหลันไปด้วยเจ้าค่ะ “
หญิงชราเอ่ยเล่าเรื่องราวอย่างละเอียดตามประสาคนทันเหตุการณ์
(360) “แล้วเขาทำให้หมู่บ้านนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ ใช่เจ้าค่ะ อาซ่ง เจ้ากลับมาแล้วรึ ”
หญิงชราหันไปทักชายหนุ่มที่เปิดประตูเข้ามา ดูจากลักษณะแล้วชายผู้นี้คงจะเป็นพรานป่า เมื่อเห็นแขกผู้มาเยือนในชุดสีม่วงและตราสัตตบงกชเก้ากลีบ
(361) อีกฝ่ายก็รีบทำความเคารพทันที
“ เป็นอย่างไรบ้าง น่าหลันปลอดภัยดีหรือไม่ “
“ ข้าตามมันไปถึงแค่เชิงเขาจ้ะยาย คล้ายว่ามันจะรู้ตัวจึงรีบกลับมาก่อน “
“ แล้วเจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าหานปิงอยู่ที่ใด” เป็นศิษย์สกุลเจียงเอ่ยถาม
(362) “ จากทางที่มันมุ่งไปเป็นป่า มีที่พอพำนักได้เพียงที่เดียว ข้าว่ามันน่าจะไปที่ถ้ำเหอหลิงขอรับ “
“ เช่นนั้น เจ้านำทางพวกเราไปได้หรือไม่” ประมุขสกุลออกปากถาม
“ ย่อมได้ขอรับ”
“ อย่างนั้นพวกเจ้าส่วนหนึ่งอยู่เฝ้าชาวบ้านที่นี่ ส่วนพวกเจ้าที่เหลือไปกับข้า”
(363) เจียงเฉิงและศิษย์สกุลเจียงเดินทางตามพรานหนุ่มไป ป่ารอบข้างถูกปกคลุมด้วยหิมะแต่เป็นแค่บางบริเวณเท่านั้น มันน่าจะปลาด เท่ากับบอกเลยไม่ใช่หรือว่าเจ้าคนที่ใช้วิชามารนั่นเดินทางมาทางไหน จะไม่ผิดวิสัยไปหน่อยหรือไร ทั้งหมดเดินตามเส้นทางมาจนถึงถ้ำที่พรานหนุ่มบอก
(364) จู่ๆก็มีร่างของแม่หญิงน้อยนางหนึ่งที่วิ่งถลาออกมาจากปากถ้ำ
“ ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย “ นางรีบร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเห็นคนที่ยืนรออยู่ข้างหน้า
“ น่าหลัน “ เป็นพรานหนุ่มที่รีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยประคองนางเอาไว้
“ รีบหนีกันเถิด หานปิงเสียสติไปแล้ว”
(365) หญิงสาวรีบบอกทุกคน แต่ก็คงไม่ทันเสียแล้ว เมื่อชายสวมผ้าคลุมประหลาดตามออกมาทัน
“ น่าหลัน “ เสียงแข็งกร้าวนั้นเอ่ยเรียกนามหญิงที่ตนหลงรัก ซึ่งพรานหนุ่มและศิษย์สกุลเจียงก็ต่างดันนางไปอยู่ที่ข้างหลังแทน
(366) “ เจ้าพานางหนีไปก่อน ทางนี้พวกเราจัดการเอง “ เซียนหนุ่มสกุลเจียงตะโกนสั่งนายพราน
“ ใครจะพานางไปไม่ได้ทั้งนั้น !!! “ หุ่นเชิดขนาดเท่าตัวคนปรากฎขึ้นล้อมทุกคนเอาไว้ภายใน ก่อนที่พวกมันจะเริ่มโจมตี
(367) จื่อเตี้ยน ฟาดตัดร่างพวกมันขาดเป็นสองส่วน เพื่อฝ่าวงล้อมออกไปให้ถึงตัวของผู้สั่งการพวกมัน แต่ดูเหมือนว่ามันจะเพิ่มมากขึ้น
ศิษย์สกุลเจียงเมื่อเห็นดังนั้นก็เร่งช่วยกันต้านเอาไว้เพื่อช่วยสร้างโอกาสให้กับประมุขของตน และอีกส่วนพยายามพาพรานหนุ่มกับหญิงสาว
(368) ให้หลบออกไปให้พ้นจากการโจมตีของเหล่าหุ่นเชิด ถึงอย่างไรสองคนนี้ก็เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้มีวิชาอะไร
ลมหนาวที่แผ่ออกมาไม่หยุดยิ่งทำให้การต่อสู้ยากลำบากกับชาวเขตร้อนอย่างมาก
(369) ผู้เป็นประมุขฝ่าวงล้อมออกมาได้จนยามนี้มีเขาที่ประจัญหน้ากับผู้ใช้วิชามาร ลิ่มน้ำแข็งจำนวนมากพุ่งเข้าใส่ร่างโปร่งทันที แต่ก็ถูกจื่อเตี้ยนตวัดปัดป้องเอาไว้ได้ ไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้โจมตีได้ใหม่อีกครั้ง แส้สายฟ้ายืดความยาวออกไปถึงตัวของหานปิง
(370) เมื่อเห็นอาวุธอีกฝ่ายใกล้ถึงตัว หานปิงก็เร่งกระโดดหลบ แส้จึงตวัดโดนผ้าคลุมผืนนั้นให้หลุดออกไป เผยให้เห็นดวงตาแข็งกร้าวสีดำในแววตาแผ่ซ่านไปจนเกือบกลืนกินตาขาวไปจวนหมด เส้นเลือดสีดำปูดโปนปรากฎขึ้นบนลำคอ อย่างน่าหวาดกลัว
(371) ศิษย์เจียงเริ่มคุ้นชินกับการต่อสู้ หุ่นเชิดลดจำนวนลงถนัดตาเมื่อเห็นอนุชนเซียนเริ่มจะฝ่าวงล้อมออกมาได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดี จึงเริ่มเพิ่มกำลังสร้างพายุหิมะกั้นเป็นกำแพง
ลิ่มเกล็ดน้ำแข็งพัดวนสร้างเป็นพายุ กรีดร่างของอนุชนสกุลเจียง ที่พยายามจะฝ่ากำแพงพายุเข้ามา
(372) เสียงกรีดร้องของเซียนหนุ่มเรียกความสนใจของผู้เป็นประมุข จื่อเตี้ยนพยายามทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มกำลังพยายามปัดป้องให้กับลูกศิษย์
เมื่อเห็นคู่ต่อสู้เบี่ยงความสนใจไปจากตน หานปิงก็ส่งแท่งน้ำแข็งคมเข้าหาร่างโปร่ง
(373) เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดอยู่ในสายตาของหมาป่าสีขาวบริสุทธิ์ เมื่อเห็นว่าเจียงเฉิงตกอยู่ในอันตราย ร่างของหมาป่าก็กระโจนเข้ามาเอาร่างของตนบัง แท่งน้ำแข็งไปให้ต้องโดนตัวของคนงาม
(374) **ไม่**
“ เจ้าหมา!!!” ความสนใจของเจียงเฉิงถูกเบี่ยงเบนอีกครั้ง เมื่อเห็นสีขาวที่คุ้นเคยเปื้อนหยาดโลหิต
จื่อเตี้ยนโดนกำแพงพายุสะท้อนกลับมา ยามนี้อาณาเขตถูกกั้นแบ่งด้วยลมพายุรุนแรง หิมะขาวพัดวนจนมองไม่เห็นลูกศิษย์ที่อยู่อีกฝากหนึ่ง
(375) เจียงเฉิงรุดไปดูร่างของหมาป่าตัวใหญ่ ที่โดนแท่งน้ำแข็งแทงผ่านเหนือขาหน้าข้างกว่า ในยามนี้แท่งน้ำแข็งที่เกิดจากเวทมนตร์ได้สลายไปแล้ว เลือดจึงยิ่งไหลทะลักออกมาจากปากแผล
ไม่มีเวลามากมาย ประมุขแห่งท่าเรือสัตตบงกช รีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนออก
(376) ก่อนนำมันกดไว้ที่ปากแผลของเจ้าหมาป่า ไม่คิดเลยว่าจะเป็นมันที่มาปกป้องเขาทั้งๆที่เขาก็เป็นฝ่ายออกปากไล่มันออกไปแท้ๆ
หมาป่าพยายามหยัดกายฝืนความเจ็บเพื่อยืนขวางหน้าผู้เป็นเจ้านาย
“ แส่ไม่เข้าเรื่อง ทั้งคนทั้งหมา “
(377) ลมพายุรุนแรงขึ้นตามอารมณ์ของผู้ร่ายเวทย์ หากมองไม่ผิดคล้ายเส้นเลือดสีดำนั้นจะเพิ่มขึ้นถนัดตา
“ ทำไมพวกเจ้าทุกคนต้องแส่หาเรื่อง ข้าแค่อยากอยู่กับคนที่ข้ารัก “ เสียงแข็งกร้าวตะโกนขึ้นมาราวกับคนเสียสติ ยันต์มารปรากฎขึ้นเรียกลิ่มน้ำแข็งจำนวนมากพุ่งเข้าใส่เจียงเฉิง
(378) จื่อเตี้ยนตวัดปัดป้องให้มันแตกสลายร่วงลงพื้นก่อนที่จะถึงตัวทั้งเขาและเจ้าหมาป่า พายุสีขาวพัดมาจนบดบังทัศนวิสัย ความหนาวยิ่งโหมกระหน่ำเมื่อตนได้สละเสื้อนอกไปห้ามเลือดให้เจ้าหมา กระแสลมรุนแรงทำให้หยัดยืนได้ยากลำบากขึ้นทุกที
(379) ใบหน้าผู้ใช้วิชามารบิดเบี้ยว โลหิตสีแดงเข้มจนถึงดำ ไหลออกจากช่องจมูกและดวงตา พลังที่อีกฝ่ายส่งมาในรูปพายุลิ่มน้ำแข็ง กำแพงหิมะ และหุ่นเชิดด้านนอก คล้ายว่าในยามนี้ผู้ใช้มันกำลังดึงพลังชีวิตของตนมาแปรเป็นเวทย์ต่างๆ ที่กระหน่ำใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง
ข้างขวานะคะ555 แง้ พิมพ์ผิดเยอะมากเซทนี้
(380) เขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย
หากตอนนี้เขาคือเจ๋ออู๋จวิน เซียนผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น เขาคงได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนตรงหน้า
ยามนี้เขาเป็นเพียงแค่สัตว์ตัวหนึ่งที่แค่เพียงจะหยัดยืนต้านลมพายุหิมะให้ได้ยังยากลำบาก
(381) ร่างโปร่งเริ่มหอบเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ปัดป้องลิ่มน้ำแข็งได้ทั้งหมด และอีกฝ่ายก็เริ่มจะปล่อยลิ่มน้ำแข็งออกมาได้น้อยลง จื่อเตี้ยนจึงซัดเข้าถึงร่างของอีกฝ่ายจนกระเด็นไปอีกทาง
เรียกเสียงคำรามด้วยความบ้าคลั่งออกมาจากผู้ใช้วิชามาร
(382) “ ข้าต้องการพลังอีก พลัง แค่นี้ยังไม่พอ “ หานปิงพร่ำพูดกับตนเองอย่างคนเสียสติ พายุหิมะโหมกระหน่ำขึ้นเรื่อย สภาพของเขาตอนนี้ดูเหมือนซากศพก็ไม่ปาน
“ พวกเจ้าอย่ามาขวางทางข้า “ กระแสพลังสีดำพุ่งออกมาจากร่างของผู้ร่ายเวทย์ เส้นสายพลังสีดำนั้นกำลังจะพุ่งใส่เจียงเฉิง
(383) หลานซีเฉินเห็นดังนั้นจึงเห่าร้องเรียกคนข้างกาย ก้อนพลังสีดำนั้นพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วอาเฉิงไม่มีทางหลบได้ทัน
อีกฝ่ายอ่อนล้าจากการต่อสู้ที่หนักหน่วงจากเมื่อครู่ ทั้งสภาพอากาศที่เลงร้ายไม่เป็นใจต่อการต่อสู้ทำให้ความเร็วลดลงมากโข หากได้รับกระแสพลังนี้ไปเต็มๆคงแยา
(384) หรือถึงแม้เป็นร่างเซียนของเขา พลังมารที่ผู้ร่ายใส่พลังชีวิตและความแค้นของตนจนเข้มข้นถึงเพียงนี้ก็ไม่แน่ว่าจะรอด หากแต่อยู่ในร่างหมาป่าธรรมดาตัวนี้ ไม่มีทางรอดชีวิต
‘ ข้าไร้ประโยชน์ไม่อาจสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้า หวังว่าร่างไร้ประโยชน์นี้จะพอ—‘
(385) ‘ — ช่วยรับอันตรายแทนเจ้าได้บ้าง หากภพชาติหน้ามีจริง ข้าขอให้ดวงตาข้าไม่มืดบอด และมองเห็นเจ้าเร็วกว่านี้ ขอให้ข้ามีโอกาสได้ใช้ชีวิตรักเจ้าอย่างคนปกติ ‘
หมาป่าหลับตาลงก่อนกระโดดเข้าขวางผู้เป็นนายเอาไว้
(386) เจียงเฉิงเห็นเจ้าก้อนขาวกำลังจะพุ่งเข้ามาขวางวิถีกระแสพลัง ชั่ววินาทีนั้นซานตู๋ที่อยู่ข้างกายก็ถูกส่งผ่ากระแสสีดำออกไป
กระแสพลังสีดำหักเหออกตามแนวกระบี่ แต่กระนั้นเส้นสายเส้นหนึ่งยังคงพุ่งเข้ามา ไวกว่าความคิดร่างโปร่งกระโดดขวางเจ้าก้อนสีขาวเอาไว้
(387) แสงสีดำพุ่งเข้ากลางอกของเจียงเฉิง ความรู้สึกแปลกปลอมแทรกเข้ามาในกายจนปั่นป่วน ความหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้ามาจนคล้ายว่า ไม่สามารถคลายความหนาวได้จากภายนอก เพราะแหล่งกำเนิดความเย็นเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในกายของเขา
(385) แต่ถึงอย่างนั้นเจียงเฉิงก็ยังใช้กำลังและสติที่คงเหลือ ควบคุมซานตู๋ให้พุ่งตรงไปยังศัตรูที่ยามนี้คุ้มคลั่งแผ่พลังชีวิตไหลออกมารอบตัวอย่างควบคุมไม่ได้
กระบี่เซียนปักเข้าที่กลางลำตัวของผู้ใช้วิชามารที่ยามนี้ไม่หลงเหลือสติใดๆจึงไม่อาจป้องกัน
(386) ปราณสีม่วงที่ส่งมาควบคุมซานตู๋ผลักร่างของหานปิงให้ลอยไปปักอยู่กับต้นสนใหญ่ โลหิตสีดำหลั่งไหลออกมาจากทหารทั้ง 9 พลังชีวิตไหลออกมารอบๆราวกับภาชนะที่แตกร้างจนของที่เก็บไว้ภายในรั่วซึมออกมา
(387) ร่างโปร่งทรุดลงพื้นอาการปั่นป่วนในอกจากกระแสพลังแปลกปลอมยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไป ความหนาวเย็นค่อยๆแผ่ซ่านออกมาจากในกาย
หมาป่าสีขาวเดินเข้ามาเคียงกายผู้เป็นนาย นอกจากเขาจะไร้ประโยชน์แล้วยังต้องให้อาเฉิงมาปกป้องจนชีวิตตัวเองตกอยู่ในอันตรายอีกหรือ
** ทวาร ดิ555 อะไรคือทหาร😢😢😢
(388) มือเรียวพยายามยกขึ้นมาผลักเจ้าหมาที่อยู่ข้างตัวตนออกไป
“ หนี หนีไปเจ้าหมา มันอันตราย “ เสียงของอีกฝ่ายอ่อนแรงลงเต็มทีแต่ก็พยายามไล่เจ้าหมาป่าออกไปให้พ้นเขตอันตราย ถึงศัตรูจะอยู่ในสภาพนั้นแล้วแต่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัย เขาในตอนนี้ปกป้องมันไม่ได้
(389) ร่างของสุนัขป่าแข็งขืนต่อการผลักไส
ในยามนี้อาเฉิงกำลังทรมาน ข้าทำสิ่งใดไม่ได้เลยหรือ หากอยากขอคืนพลังได้หรือไม่ ต่อให้ไม่ได้กลับร่าง แต่ก็อยากขอคืนพลังที่มีเผื่อเอามาช่วยคนตรงหน้าเอาไว้ ถึงเขาไม่ได้รักข้า ถึงคำสาปจะไม่ได้ถูกแก้ไข
(390) แต่ขอเถิดหากฟ้าดินเมตตา โปรดคืนพลังให้แก่ข้า เพื่อช่วยเขาให้พ้นจากภัยอันตราย
ร่างของเจียงเฉิงบิดเร่าด้วยความทรมาน ความหนาวเย็นกัดกินจากภายใน ปราณในกายปั่นป่วน พลังวิญญาณนั้นแทรกแซงการทำงานของร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นปราณลดลงฮวบฮาบจากการใช้พลังควบคุมซานตู๋
(391) ดวงเนตรสวยใกล้จะดับลง อย่างไรเสียเขาก็คงไม่รอดพ้น จู่ๆคำพูดของเจ๋ออู๋จวินก็ดังขึ้นในความทรงจำ ที่ว่าเขาต้องตายอย่างโดดเดี่ยว เห็นทีว่าคงจะผิดเสียแล้ว หากเขาจะต้องตายไปในวันนี้ อย่างน้อยก็มีเจ้าหมาป่าสีขาวนี่อยู่เคียงข้าง
(392) มือเรียวที่พยายามผลักไส แปรเปลี่ยนเป็นลูบขนนุ่มนั้นแทน ดวงตาพร่าเบลอฉายภาพสุนัขป่าสีขาวที่ยื่นหน้าเข้ามาคลอเคลียเขา นัยน์ตาของมันเศร้าหมองเหลือเกิน พลันรอบตัวรู้สึกถึงแสงสีฟ้าอุ่นจางๆปรากฎขึ้น คงจะถึงเวลาที่เขาต้องไปแล้วจริงๆสินะ คิดเช่นนั้นเนตรงามก็ปิดลงด้วยความอ่อนล้า
(393) พายุหิมะค่อยเบาลงจากพลังชีวิตที่ใกล้จะหมดลงของหานปิง เผยให้เห็นแผ่นฟ้ากว้างเบื้องบน หมู่เมฆลอยเลื่อนออกไม่ให้บดบังเสี้ยวจันทร์แรมที่ส่องฉายอยู่บนนั้น แสงเหลืองนวลจากเสี้ยวหนึ่งของจันทร์ ฉายสาดลงบนร่างสีขาวพิสุทธิ์ของหมาป่า
(394) สัญลักษณ์ยันต์ซับซ้อนขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศล้อมรอบตัวของหลานซีเฉิน ผนึกสีทองตามตัวอักขระโบราณ ค่อยๆปริแตกออกทีละน้อย ปราณสีฟ้าของผู้เป็นเจ้าของค่อยๆแผ่ออกมารอบตัวก่อนจะกลืนกินร่างหมาป่าสีขาวเข้าไป ขนสีขาวนุ่มหดหายเข้าไปในกายหลงเหลือเพียงผิวขาวและมัดกล้ามเนื้อ
(395) ศีรษะแปรเปลี่ยนรูปร่าง เกศาสีดำค่อยๆผุดงอกออกมายาวแผ่เต็มกลางหลัง นิ้วสั้นๆบนอุ้งมืออุ้งเท้ายืดขยายออกจนกลายเป็นนิ้วเรียวยาวเฉกเช่นเดิม ร่างสูงหยัดกายยืนขึ้นเพียงมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเอง แผลบนไหล่ยังไม่หายดีแต่ก็ยังดีที่ความเย็นรอบกายนี้คล้ายจะช่วยห้ามเลือด
(396) ร่างสูงสะบัดเสื้อคลุมตัวนอกของอีกคนก่อนสวมมันไว้ลวกๆยามนี้เขาไม่มีเวลาคิดสิ่งใดมากกว่าเรื่องของคนตรงหน้า
ปราณในร่างกายของอีกคนกำลังปั่นป่วนและมันกำลังลดลง รวมถึงพลังชีวิตของอีกฝ่ายที่เบาลงทุกทีจนแทบจะจับสัมผัสไม่ได้
(397) หลานซีเฉินโอบกอดร่างไร้สติของอีกคนไว้ในอ้อมแขน ถ่ายเทพลังปราณสีฟ้าครามของตนเองเข้าไปแทนที่ พยายามผลักไสไอมารที่ก่อกวนอยู่ในร่างกายของอาเฉิงออก คลื่นพลังแปลกปลอมถูกขับออกมาในรูปก้อนเลือดสีดำสำลักออกมาทางริมฝีปากบางนั้น
(398) หยาดโลหิตสีข้นทะลักออกมาจากข้างในกาย ส่งกลิ่นคาวคลุ้งอยู่ภายในช่องปาก แต่หลานซีเฉินก็หาได้สนใจไม่ จริงอยู่ที่ปราณที่ไหลเวียนในกายนั้นส่วนเกินที่เกิดจากการฝึกฝนสามารถฟื้นฟูขึ้นใหม่ได้ แต่ถ้าหากใช้มากเกินขีดที่ฟื้นฟูได้
(399) ก็คือการนำพลังที่ใช้ในการหล่อเลี้ยงกายของตนออกมาใช้ พลังที่อาจไม่ฟื้นคืนได้อีกแล้ว แต่เรื่องนั้นก็ไม่สลักสำคัญเท่าชีวิตคนตรงหน้า จะมีพลังมหาศาลไปเพื่อเหตุใดหากไม่สามารถช่วยชีวิตคนสำคัญของตนเอาไว้ได้
ปราณสีฟ้าถูกถ่ายออกจากร่างกายของหลานซีเฉิน
(400) สู่ร่างของคนในอ้อมแขนอย่างต่อเนื่อง ดวงหน้างามที่หม่นสีค่อยๆมีเลือดฝาดขึ้นทีละน้อย อุณหภูมิร่างกายเย็นเยียบก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นจนอุ่น ร่างกายของเจียงเฉิงไม่ต่อต้านพลังของเขา ปราณในกายของเขาและเจียงเฉิงผสานกันได้เป็นอย่างดี
(401) กำแพงน้ำแข็งถูกทำให้แตกลงด้วยคมกระบี่ของใครบางคน ร่างนั้นหอบเหนื่อยจากการฟาดฟันกับเหล่าหุ่นเชิดและไอมารที่แผ่ออกมากดดันบรรยากาศรอบๆจนหนักอึ้ง

“ เสี่ยวเฉิง “

เสียงคุ้นเคยเรียกคนในอ้อมแขนเรียกให้หลานซีเฉินเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้มาเยือน
*** คั่นนิดนึง ถึงทวิตที่ 401 แล้วววว คือบ้าพลังมากๆวันปีใหม่ ขอบคุณที่คนอ่านทุกคนยังติดตามเรื่องนี้อยู่นะคะ ใช้เวลานานมากและยังไม่จบ ช่วงหลังพิมพ์ผิดบ่อยนิดนึงขอโทษด้วยจริงๆ บางทีแบบตอนพิมพ์คุยเรื่องอื่นอยู่555 ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกไลค์ทุกรีนะคะ ที่ตอบช้าคือบางทีมันจะสปอยตอนถัดไป**
(402) “ อาเฉิง เจ้าตื่นแล้วหรือ “ เจียงเฉิงกระพริบตาถี่ๆปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างจากโคมตะเกียง สัมผัสนุ่มหยุ่นอบอุ่นจากแพรไหมบนเตียง ต่างจากพื้นหิมะที่ตนสัมผัสได้ก่อนที่จะหมดสติลง
ใบหน้าของจ้าวจื้อเว่ยส่งยิ้มมาให้ฉายชัดในสายตา

#ซีเฉิง

(403) “ น้ำ ข้าขอน้ำหน่อย “ ได้ยินดังนั้นคนเฝ้าไข้จึงเดินไปหยิบกาน้ำชารินน้ำชาอุ่นให้ถ้วย แล้วจึงมาประคองคนป่วยให้กึ่งนั่งกึ่งนอนกินน้ำชานั้น
“ เจ้าฟื้นแล้ว เกอจะไปบอกคุณชายเว่ย เขาเป็นห่วงเจ้ามากนี่เกอเพิ่งมาผลัดเปลี่ยนแทนให้เขาไปพักผ่อนก่อน “
(404) เจียงเฉิงเหนื่อยล้าเกินกว่าจะตอบสิ่งใดกลับไป เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น ชายหนุ่มจึงประคองคนป่วยให้นอนราบไปเหมือนเดิมพร้อมลากผ้าห่มขึ้นมาห่มให้
ไม่นานนักเสียงโหวกเหวกของพี่ชายก็ดีงเข้ามาในโสตประสาท
“ อาเฉิง เจ้าฟื้นแล้ว ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ “
(405) เว่ยอู๋เซี่ยนพุ่งตัวเข้ามากอดน้องชายแน่น
“ ใจเย็นๆ ข้าหายใจไม่ออก “ เจียงเฉิงใช้มือดันตัวพี่ชายที่โถมทับลงมาบนตัวเขา
“ ข้าขอโทษๆ เมื่อครู่ข้าตื่นเต้นดีใจไปหน่อย “
“ เกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าจำได้ว่าข้าโดนกระแสพลังของเจ้านั่น—“
(406) “—จนทำให้ปราณในตัวข้าปั่นป่วน คิดว่าจะไม่รอดแล้วเสียอีก”
“ มีคนช่วยเจ้าไว้ ตอนที่จื้อเว่ยเกออุ้มพาเจ้ากลับมา ในกายเจ้ายามมีปราณของผู้อื่นปะปน ข้าสัมผัสได้ตั้งแต่คราแรก แต่ไม่รู้ได้ว่าเป็นปราณของผู้ใด จื้อเว่ยเกอก็เป็นเพียงพ่อค้าวาณิช ไม่ได้ศึกษาวิชาเซียน—“
(407) “ — แต่หลังจากศิษย์ฟื้นคืนกลับมาก็ได้ความว่าคุณชายจ้าวเป็นผู้ที่ตามมาช่วย เขามีฝีมือมากกว่าศิษย์เอกของเราเสียอีก เทียบเคียงกับเซียนระดับสูงเลยก็ว่าได้ พอข้าถามเขาเขาก็ทำเหมือนเพียงว่าตนไม่ได้มีวิชาอะไร ข้าว่าเป็นไปไม่ได้ หากฟังจากเจ้าว่า เจ้าไม่มีทางรอด—“
(408) “ — ถ้าไม่มีผู้ใดถ่ายปราณให้ และโชคดีนัก ที่ร่างกายของเจ้าตอบสนองต่อปราณนั้นเป็นอย่างดี มันกลืนจนแทบเหมือนจะเป็นของเจ้าเอง จากการวิเคราะห์ของข้า ข้าว่าเป็นจ้าวจื้อเว่ย” เว่ยอู๋เซี่ยนพูดข้อสันนิษฐานของตนออกมาทั้งหมดให้น้องชายฟัง
(409) “ อิง “ คุณชายรองหลานที่บัดนี้ดำรงตำแหน่งเซียนตู เลื่อนบานประตูเปิดเข้ามาในห้องเจียงเฉิง เรียกความสนใจจากทั้งสองพี่น้องบ้านบัว ถึงแม้สีหน้าจะคงเดิมแต่ต้องมีสิ่งใดผิดเพี้ยนไปแน่ๆ
“ มีสิ่งใดหรือเปล่าหลานจ้าน “
“ ข้าจะกลับกูซูก่อน ได้จดหมายว่าต้าเกอกลับมาแล้ว”
(410) เว่ยอู๋เซี่ยนยิ้มออกมากับข่าวดีที่ได้ยินส่วนอีกคนแค่เพียงถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ได้เกิดเรื่องร้ายกับประมุขหลาน ถึงเขาทั้งสองจะไม่ได้ญาติดีกันขนาดนั้น แต่เจียงเฉิงก็ไม่หวังให้ใครตาย
“ งั้นเจ้าจงล่วงหน้ากลับก่อนเถิดข้าขอดูแลอาเฉิงต่อที่นี่สักพัก “
(411) หลานซีเฉินไม่เคยประหม่าเช่นนี้มาก่อน อาภรณ์ที่เขาสวมใส่นี้เป็นตัวที่สี่แล้วที่เขาหยิบมาผลัดเปลี่ยน เขาไม่ต้องการให้มันดูน้อยเกินไป แต่บ้างก็เป็นทางการมากเกินไป บ้างสีทะมึนเกินไปอีก จนได้ตัวนี้มา อาภรณ์สีฟ้าสดใสสลับกับขาวที่พิมพ์ลายเมฆ ไม่ทางการแต่ก็ยังดูดี
(412) เกศาที่ปกติก็เกล้าเรียบร้อยอยู่แล้ววันนี้ยิ่งเรียบร้อยขึ้นไปอีกด้วยความตั้งใจที่จะให้มันออกมาอย่างไร้ที่ติ เมื่อตรวจสอบจนรู้สึกว่าพอใจแล้วก็หยิบอาวุธเซียนมา โดนไม่ลืมหยิบกล่องไม้อันหนึ่งใส่ถุงเฉียนคุนมาด้วย แล้วจึงก้าวออกจากเรือน
“ ต้าเกอ “
(413) หลานวั่งจีคารวะพี่ชายใหญ่ของตนที่ดูมีท่าทีแปลกไปตั้งแต่กลับมา ไม่บอกเล่าว่าเกิดเหตุอันใดบ้างในช่วงที่หายไป หากแต่พยายามรักษาตัวอย่างดี ไม่เหม่อลอย ไร้แววสิ้นหวัง และสิ่งที่ทำให้แปลกใจคือการไถ่ถามถึงประมุขเจียงอยู่ตลอด ซึ่งอีกคนให้เหตุผลว่าได้ยินข่าวมาตอนออกเดินทาง
(414) แต่ในวันนี้ท่าทีพี่ใหญ่ยิ่งดูแปลกจนสังเกตได้ ถึงแม้ทุกคนจะมองว่าเหมือนเดิม แต่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เพียงเท่านั้น นัยน์ตาของพี่ชายเป็นประกายเมื่อจะได้ไปท่าเรือสัตตบงกช
“ ไปกันเถิดวั่งจี “
หลานวั่งจีพยักหน้ารับแล้วหยกคู่สกุลหลานจึงเรียกกระบี่ประจำกายตนออกมา
(415) ใช้เวลาไม่นานชั่วเยว่และปี้เฉินก็จอดลงตรงที่หมาย หลานวั่งจีเดินนำพี่ชายเข้าไปในเรือน เขาคิดถึงคนรักจะตายอยู่แล้ว ช่วงนี้เว่ยอิงก็มาอยู่ที่นี่ช่วยน้องชายจัดงานประจำปีที่จะเกิดขึ้นในอาทิตย์นี้ ซึ่งเขาก็ไม่ขัดอะไร ด้วยว่าต้องดูแลพี่ชายเช่นกัน
(416) “ หลานจ้านนนน “ เสียงแว่วหวานดังมาจากศาลาริมน้ำ เรียกคนรักมาแต่ไกล
“ เบาหน่อยสิเว่ยอู๋เซี่ยน เจ้าจะเรียกให้คนทั้งท่าเรือได้ยินเลยหรือไร “ ประมุขหนุ่มตีหน้าขาพี่ชาย โดยไม่หันหลังไปมองแขกผู้มาเยือน
คู่นกยวนยางเขาเรียกหากันถึงเพียงนี้เห็นทีคงจะไม่เป็นก้างขวางคอ
(417) ร่างโปร่งผุดลุกขึ้น เขาจะไปดูความเรียบร้อยของงานต่อ ปล่อยให้พี่ชายกับคนรักได้มีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง หลังจากที่เขาบาดเจ็บครานั้น เว่ยอิงก็ตามติดหนึบเขาประหนึ่งปลิงทะเลเกาะโขดหิน ไม่ได้ใช้เวลากับคนรักเลย
“ ข้าไปก่อนตรวจตราที่ตลาดก่อนแล้วกัน เจ้าค่อยตามมา”
(418) ว่าจบเจียงเฉิงก็กลับหลังไป แต่แทนที่จะพบกับหยกน้องหน้านิ่งเพียงคนเดียวกลับพบหยกพี่ที่หน้ายิ้มราวกับจะฉายโลกใบนี้ให้สดใสตามมาด้วย
เห็นดังนั้น มือทั้งสองจึงรีบทำความเคารพผู้อาวุโสกว่าทันที
(419) “ คารวะประมุขหลาน ไม่คิดว่าท่านจะมาด้วย ผู้แซ่เจียงจึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับ “
“ ข้าขออภัยด้วยจริงๆที่ไม่ได้แจ้งก่อนว่าจะมา ผู้แซ่หลานต้องรบกวนประมุขเจียงแล้ว “ ใบหน้างามนั้นแค่เพียงเงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่ได้สนใจสิ่งใดมากนัก
(420) แค่เพียงเรียกคนรับใช้ให้จัดห้องหับให้ ส่วนตัวเองจะขอตัวไปทำงานต่อ
เจียงเฉิงแทบจะไม่มองหน้าเขาตรงๆเลยเสียด้วยซ้ำ มันไม่ใช่เพราะความขวยเขินอย่างที่เคยอ่านมาบ้างในนิยายประโลมโลก แต่เขารู้ว่าเป็นเพราะอีกคนไม่ได้ใส่ใจที่จะพบหน้า แค่เพียงต้อนรับตามมารยาทเท่านั้น
(421) เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะขอตัวเพื่อออกเดินไป บุรุษรูปงามอันดับหนึ่งก็รวบรวมความกล้าถามคนตรงหน้าออกไป
“ ได้ยินว่าประมุขเจียงจะไปตรวจตราความเรียบร้อยของงาน เออ ผู้แซ่หลานขอติดตามไปด้วยได้หรือไม่ “
“ อ่า นั่นสิอาเฉิงพาต้าเกอไปเปิดหูเปิดตาก็ดีนะ “
(422) เสียงเว่ยอู๋เซี่ยนดังมาสมทบ และเจียงเฉิงก็หาใช่คนใจร้ายใจดำขนาดนั้น อีกฝ่ายน่าจะแค่อยากเดินชมงาน คนสกุลหลานนั้นรู้จักงานรื่นเริงเสียที่ไหนกัน ใช้ชีวิตราวกับอยู่ในอาศรม งานที่สนุกที่สุดเห็นจะเป็นงานชุมนุมเซียน
“ งั้นก็เชิญตามมาเถิด”
(423) “ ลำบากประมุขเจียงแล้ว “ หลานซีเฉินระบายยิ้มออกมาอีกคราก่อนจะก้าวเดินตามอีกคนไป ถึงจะคุ้นเคยกับการเดินเคียงกันเช่นนี้แต่มุมมองเปลี่ยนไปมาก ครานั้นเขาตัวเพียงแค่ครึ่งเอวของเจียงเฉิง ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่เขาไม่ได้มองสิ่งรอบกายเพียงแต่พิศมองคนที่เดินข้างกัน
(424) อาจจะจนเสียงหงุดหงิดเอ่ยขึ้นมาก็ได้ละมั้ง
“ ท่านมีเรื่องข้องใจอันใดกับข้าหรือไม่ประมุขหลาน “ หลานซีเฉินตกใจกับท่าทีไม่เป็นมิตรอย่างมากของอีกคน เขาเผลอไปทำให้เจ้าตัวไม่พอใจอะไรหรือเปล่า
“ เหตุใดประมุขเจียงจึงคิดเช่นนั้น”
(425) “ ก็ท่านมองข้าราวกับจะหาเรื่องกัน มีอะไรขุ่นเคืองใจก็บอกมาเถิด ข้าขี้คร้านจะมานั่งเดา “
เจียงเฉิงขุ่นเคืองใจกว่าที่เคยเป็น เพราะเขารู้สึกว่าโดนคนผู้นี้จดจ้องมานานมากเกินไปแล้ว เป็นบ้าหรือไร เรื่องคราก่อนยังไม่จบไปอีกหรือ อันที่จริงเขาควรจะเป็นคนโมโหดสียด้วย
(426) “ ข้าไม่ได้ขุ่นเคืองใจเจ้าแต่อย่างใดเลยอาเฉิงได้โปรดอย่าเข้าใจผิด “
หลานซีเฉินรีบลนลานแก้ตัว เมื่อเห็นอีกคนไม่พอใจ
“ อาเฉิง ? “ เจียงเฉิงทวนคำของหลานซีเฉินขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง
“ ขออภัย แต่เราสนิทกันถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อใดหรือประมุขหลาน”
(427) นั่นสินะ เราสนิทกันถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อใด คำพูดของเจียงเฉิงดังชัดในหูของเขา
ยามนี้เขาไม่ได้เป็นเจ้าหมาป่าของอาเฉิง
ประมุขหลานกับประมุขเจียงไม่เคยสนิทสนมกัน รู้จักกันแค่เพียงหน้าที่เท่านั้น ยิ่งคราวที่เกิดเรื่อง ยิ่งไม่อยากจะพบหน้ากันเลยด้วยซ้ำ
(428) เขาไม่สามารถอยู่ข้างกายเจียงเฉิงในฐานะเจ้าหมาได้อีกแล้ว แต่ถ้าหากเขาอยากอยู่เคียงข้างเจียงเฉิง ในฐานะหลานซีเฉิน เขาก็คงจะต้องพยายามให้มากกว่านี้
“ ขออภัยประมุขเจียง ผู้แซ่หลานมิได้มีเจตนาล่วงเกิน “
เจียงเฉิงรับคำขอโทษนั้น
(429) อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ไม่ชอบให้ใครเรียกว่าอาเฉิง แต่พอมันเป็นคนผู้นี้แล้วกลับรู้สึกไม่ชอบอย่างน่าประหลาด
แต่เมื่อครู่ที่เขาพูดไปอย่างนั้น เหมือนว่าหลานซีเฉินจะซึมลงไปอย่างไรไม่รู้ ดูแล้วคล้ายกับเจ้าหมาตอนที่โดนเขาดุ
(430) เมื่อคิดถึงเรื่องเจ้าหมา หลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครพบมันอีกเลย จ้าวจื้อเว่ยบอกว่าในตอนนั้นพบเขาแค่เพียงคนเดียว ไม่มีเจ้าหมาอยู่ แม้เขาจะส่งคนออกไปถามหา เพราะ มันก็บาดเจ็บอยู่เช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครพบว่ามันหายไปอยู่ที่ใด ไม่มีเบาะแสเลย ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง
(431) เจียงเฉิงมุ่งหน้าเดินไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจคนข้างตัวเท่าใดนัก อีกฝ่ายไม่ได้อยากญาติดีกับเขาและเขาก็ไม่ค่อยจะอยากญาติดีด้วยเสียเท่าไหร่ รีบๆพาไปชมเดี๋ยวเบื่อก็คงขอตัวกลับไปพักในเรือนเองนั่นแหละ
“ จื้อเว่ยเกอ !!! “
(432) ประมุขแห่งท่าเรือสัตตบงกช ตะโกนเรียกพี่ชายคนสนิทที่ตอนนี้ปีนขึ้นไปอยู่บนนั่งร้านสูงช่วยผูกผ้าสีม่วงงดงามประดับประดาอยู่ที่หน้าจวนของตน
“ อ้าว เสี่ยวเฉิง เดี๋ยวเกอลงไปนะ “ คุณชายรูปงามรีบผูกปมผ้าให้เสร็จเรียบร้อยก่อนจะกระโดดลงมาอย่างคล่องแคล่ว
(433) “ เหตุใดจึงไม่ให้ศิษย์สกุลเจียงทำแทนเล่า “ ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยยกขึ้นเช็ดเช็ดเหงื่อที่ผุดพราวอยู่บนหน้า
“ เกอตรวจดูซุ้มตระกูลจ้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงมาหาเจ้าและเห็นว่าศิษย์สกุลเจียงนั้นงานล้นมือทีเดียวจึงมาช่วย “
(434) “ ท่านนี่น้า ท่านลุงจ้าวไม่ดุข้าตายหรือไร ที่ใช้ว่าที่ประมุขสกุลมาทำงานแบกหามเช่นนี้ “
“ ท่านพ่อไม่ว่าเจ้าหรอก ท่านพ่อรักเจ้ากว่าเกอเสียอีก คงจะมาตีเกอแทนที่ทำให้หลานรักขุ่นเคืองใจ”
สองคนหยอกล้อกันราวกับว่าเขาเป็นอากาศธาตุไม่ได้อยู่ตรงนี้
(435) จ้าวจื้อเว่ยละสายตาจากคนงาม หันไปมองชายชุดขาวที่เดินเคียงมากับเจียงเฉิง ชายที่เขาคุ้นหน้าดีแต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นผู้ใด ในครานี้ไม่ได้มาในรูปลักษณ์ของสุนัขป่าสีขาวเช่นเดิม
“ อ่า เสี่ยวเฉิง คุณชายผู้นี้คือใครกันหรือ”
“ อือ ข้าลืมแนะนำไปเลย—“
(436) “ ท่านนี้คือเจ๋ออู๋จวิน คุณชายใหญ่หลาน ประมุขหลาน ส่วนท่านนี้คือ จ้าวจื้อเว่ย ว่าที่ประมุขสกุลจ้าว” เจียงเฉิงเอ่ยแนะนำทั้งสองคนให้กันและกันฟัง
“ ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหยกผู้พี่สกุลหลานมานาน ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการเสียที ประมุขหลาน”
(437) “ เช่นกันคุณชายจ้าว “ ทั้งสองคำนับกันตามมารยาท
คุณชายใหญ่หลานเช่นนั้นหรือ
หนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งของยุทธภพ
แล้วเหตุใดจึงมาทำตัวพิกลเป็นหมาป่าสีขาวตัวนั้นอยู่ข้างกายเสี่ยวเฉิงกันเล่า
(438) “ คุณชายจ้าวขอรับ ท่านประมุขให้มาตามขอรับ “ คนรับใช้สกุลจ้าว วิ่งมาเรียกผู้เป็นนาย
“ เช่นนั้น เกอขอตัวก่อนนะเสี่ยวเฉิง ประเดี๋ยวคงจะได้เจอกันในงาน “
“ ตามสบายเถิด เดี๋ยวท่านลุงจะรอนาน “ จ้าวจื้อเว่ยจัดเสื้อผ้าตนให้เรียบร้อย ก่อนจะออกเดินตามคนรับใช้ไป
(439) “ท่านอยากชมสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่ “ เจียงเฉิงหันกลับมาถามคนข้างตัว
“ ตามแต่ประมุขเจียงเถิด “ อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจงานอะไรสักนิด แค่เพียงได้ใช้เวลาอยู่กับคนข้างตัวก็เท่านั้น
เมื่อได้ยินดังนั้นเจียงเฉิงจึงเดินไปตรวจตราตามสถานที่ต่างๆเพื่อเตรียมความพร้อมของงาน
(440) ผ้าสี โคมกระดาษ ถูกแขวนประดับประดาแทบจะทั้งท่าเรือสัตตบงกช ตระกูลพ่อค้าใหญ่ๆ หรือสำเภาต่างแดนต่างมีพื้นที่ให้จัดแสดงสินค้าของตนเอง โดยคนท้องถิ่นอวิ๋นเมิ่งก็มีบริเวณที่ได้ขายของ โรงเตี๊ยมรอบเมืองไม่มีที่ใดเหลือว่าง
(441) งานประจำปีของท่าเรือสัตตบงกช (*แต่งขึ้นมาเองนะคะ) จะมีอยู่ราว 7 วัน เริ่มต้นวันขึ้น 15 ค่ำแดน 7 ต่อไปอีก 7 วัน เป็นมหกรรมการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลยก็วาได้ งานที่เต็มไปด้วยผู้ขายจากหลายสารทิศ และผู้ที่มาซื้อหาสินค้าแปลกตาที่อาจจะไม่พบที่ไหนอีกแล้ว
(442) “งานนี้เป็นงานเกี่ยวกับอะไรหรือ” หลานซีเฉินเอ่ยถามขึ้นมา
“ เป็นงานที่ผู้ค้าทั้งหลานสกุลพ่อค้าต่างๆหรือเรือสำเภาจะนำของมาลงเพื่อให้ผู้ซื้อต่างมาเลือกซื้อหาของกัน”
“ มีมานานแล้วหรือ ข้าไม่เคยได้ยินเลย “
(443) “ หลายสิบปีแล้ว ท่านคงไม่ได้ยินหรอก สกุลหลานมิได้ฝักใฝ่ทางการค้า ในคราแรกมันก็ไม่ใหญ่มากหรอก ต่อมาพอมีคนสนใจมีของมาขายมากขึ้น ก็มีคนมาซื้อมาก งานก็ใหญ่ขึ้น “ ประมุขหนุ่มเอ่ยขึ้น ในช่วงที่เขาต้องฟื้นฟูสกุลนั้น ก็มีแนวคิดนี้ขึ้นมา จนสืบต่อจัดงานกันมาหลายปี
(444) เจียงเฉิงตอบคำถามหลานซีเฉินพลางหันทักทายกับเหล่าพ่อค้าต่างๆ บ้างก็ชาวบ้าน ซึ่งได้ของติดไม้ติดมือมาไม่น้อย จะปฏิเสธก็กลัวเสียน้ำใจคนให้
“ มาให้ข้าช่วยถือบ้างดีกว่า “
ดวงตางามเงยมองอีกคนอย่างแปลกใจ แต่ก็นั่นล่ะ สกุลหลานมีจิตใจดีงามย่อมยื่นมือมาช่วยเหลือผู้อื่น
(445) ในยามนี้ก็ดูคล้ายอีกคนจะกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว น่าสงสัยเสียจริงว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่หายไป
ครานั้น เหม่อลอยราวกับผีตายซาก ปล่อยเนื้อปล่อยตัว พูดจาไม่รู้ความ
ถึงเขาจะไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแต่ก็น่าดีใจแทนท่านอาจารย์หลานและหานกวงจวิน
(446) “ รบกวนท่านแล้ว ประเดี๋ยวเจอศิษย์สกุลเจียงเราค่อยฝากเขากลับไปเก็บที่เรือน” เจียงเฉิงแบ่งของในมือส่วนที่ดูพะรุงพะรังเกินตัวให้กับหลานซีเฉินถือ
“ ท่านประมุข เกิดปัญหาระหว่างซุ้มตระกูลซ่งกับสำเภาจากเปอร์เซีย ขอรับ” ศิษย์น้อยวิ่งหน้าตื่นมารายงานประมุข
(447) “ อย่างนั้นหรือเดี๋ยวข้ารีบไป ประมุขหลานข้าขอฝากของไว้ ท่านเข้าไปนั่งรอในโรงน้ำชาก่อนเถิดขอข้าไปจัดการปัญหาที่เกิดก่อน”
“ ย่อมได้ ท่านรีบไปเถิด ข้าจะรออยู่ที่นี่แหละ “ หลานซีเฉินรีบรับของจากมือคนงามมา พร้อมชี้ไปยังป้ายร้านน้ำชาที่ตนจะอยู่
(448) หลังจากประมุขท่าบัวเร่งรีบออกไป หลานซีเฉินก็เดินเข้าร้านน้ำชาที่บอกอีกฝ่ายไว้ คนไม่น้อยแต่ก็ยังโชคดีที่พอมีโต๊ะเหลือว่าง
“ เคยได้ยินว่างานประจำปีที่นี่ยิ่งใหญ่แต่ไม่คิดเลยว่าจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้”
“ ท่านเพิ่งเคยมาครั้งแรกล่ะสิ—“
(449) “ —นี่เพียงวันแรกเท่านั้นนะ ซุ้มต่างๆยังจัดกันไม่เสร็จเรียบร้อยเลย ไหนจะโรงมหรสพอีก “
“ สมแล้วที่เป็นอวิ๋นเมิ่งเจียง “
“ ใช่น่ะสิ ประมุขเจียงของเราน่ะเก่งเป็นที่สุด ตอนเข้ารับตำแหน่งก็ยังเยาว์วัยนัก แต่ฟื้นฟูที่นี่ขึ้นมาได้ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้—“
(450) “ — งานนี่น่ะประมุขเจียงก็เป็นคนริเริ่มขึ้นมา ทำให้การค้าขายของท่าเรือยิ่งคึกคักกว่าเดิมเสียอีก “ เสียงบทสนทนาจากทั้งนักเดินทางรวมถึงคนท้องถิ่น ไหนจะเถ้าแก่เนี้ยที่มาพูดคุยนั่น ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตนนั้นโง่เขลาด้อยค่าเสียยิ่งกว่าเดิม
(451) เจียงหวั่นอิ๋นสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ด้วยมือตนเอง แม้จะเผชิญความเศร้าและเรื่องเลวร้าย แต่เมื่อเขาเจอเสียเองกลับทำตัวเหลวแหลกไร้ค่า ซ้ำยังพูดจาไม่ดีใส่อีกฝ่ายอีก
“ แต่น่าเสียดายจริงๆที่ยังไร้คู่ครอง”
“ ไม่แปลกหรอก คุณสมบัติฟูเหรินเลิศเลอราว—“
(452) “—นางฟ้านางสวรรค์ขนาดนั้น คงจะหาได้หรอก” สิ่งที่ได้ฟังเรียกความสนใจจากหลานซีเฉินได้ไม่ยาก คุณสมบัติที่เจียงเฉิงต้องการเช่นนั้นหรือ
“ คุณสมบัติสิ่งใดกันหรือท่านป้า” บุรุษงามอันดับหนึ่งลุกขึ้นเพื่อไปร่วมวงสนทนา
(453) “ ก็งามอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งสิ่งใดมาก สุภาพ อ่อนหวาน สง่างาม มาจากชาติตระกูลที่ดี ขยันขันแข็งมัธยัสถ์อดออม งานบ้านงานเรือนไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่พูดมากโหวกเหวกโวยวาย และรักเอ็นดูประมุขจินหลานท่านน่ะ เพียบพร้อมขนาดนี้เห็นทีจะต้องเป็นนางฟ้านางสวรรค์แล้วล่ะ”
(454) “ อืม แต่ดูไปพ่อหนุ่มเจ้าก็งดงาม ทั้งสุภาพเรียบร้อย น่าเสียดายที่เป็นบุรุษ ไม่เช่นนั้นคงต้องตาประมุขเจียงเป็นแน่ “ เถ้าแก่เนี้ยพิศหน้าหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีขาว งดงามหมดจด ท่าทีก็ดูสุภาพ ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์แล้วย่อมมาจากสกุลร่ำรวยเป็นแน่
(455) หลานซีเฉินหน้าขึ้นสีไปเมื่อได้ฟังคำจากหญิงวัยกลางคน ตัวเขาพอจะเข้าเค้าคุณสมบัติของเจียงเฉิงอยู่บ้างงั้นหรือ
เมื่อลองทบทวนจากคำบอกเล่า
งามธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง มีคนจัดให้เขาเป็นถึงหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งของยุทธภพ ก็คงจะไม่ขี้ริ้วขี้เหร่
(456) มาจากสกุลที่ดี เขาก็เป็นถึงประมุขสกุลหลาน
สุภาพ อ่อนโยน มีมารยาท เขาก็ว่าเขาไม่ด้อยไปกว่าใครในด้านนี้
ไม่พูดจากโหวกเหวกโวยวาย ใช้เงินมัธยัสถ์อดออมก็เป็นกฎของสกุลที่ยึดถือปฏิบัติมาแต่จำความได้ ยกเว้นก็แต่อยากใช้เงินเพื่อซื้อของกำนัลให้อีกคนเท่านั้น
(457) ขยันขันแข็ง ก่อนหน้าที่เขาจะเสียสติไปช่วงนั้นก็ทำงานทั้งในฐานะประมุขสกุลและอาจารย์อย่างขยันขันแข็งดี และตอนนี้ก็เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งแล้วด้วย
คงมีแต่งานบ้านที่เขาทำได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ของแบบนี้มันฝึกปรือกันได้ไม่ใช่หรือ
(458) ส่วนข้อรักเอ็นดูประมุขจิน เด็กหนุ่มก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของเขา คุ้นหน้าค่าตากันมาแต่เล็กก็เอ็นดูตามประสาอยู่แล้ว
คุณสมบัติคู่ครองของเจียงเฉิงเมื่อคิดดูแล้วเขาก็เข้าเค้าไปเก้าในสิบส่วนแล้ว คงยังพอมีหวังอยู่บ้าง
(459) “ แล้วพ่อหนุ่มรูปงามสนใจจะหาฟูเหรินบ้างไหมล่ะ ข้าพอแนะนำให้ได้นะ “ เถ้าแก่เนี้ยเสนอขึ้นมา
“ ก็สนใจอยู่บ้าง ขอบใจท่านน้ามาก แต่ข้ามีคนในใจอยู่แล้วล่ะ “ หยกผู้พี่ระบายยิ้มอ่อนโยนพร้อมตอบกลับ
“ ว้า น่าเสียดายจริงเชียว “
“ รอข้านานหรือไม่ประมุขหลาน”
(460) ร่างโปร่งในอาภรณ์สีม่วงสัตตบงกช เดินเข้ามาในโรงน้ำชา
“ คารวะเจ้าค่ะประมุขเจียง อ้าว นี่ท่านประมุขหลานเองหรือ ข้านี่มีตาหามีแววไม่จริงๆ “ เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยขึ้นมา
“ กำลังจะเป็นแม่สื่อแม่ชักอีกแล้วหรือไรท่านป้าอี้ “
(461) “ ประมุขเจียงรู้ใจข้าเสียจริง ใช่เจ้าค่ะ แต่เผอิญว่าประมุขหลานบอกว่าเขามีคนในใจอยู่แล้ว น่าเสียดายจริงๆ “
คงจะเป็นจินกวงเหยา
เจียงเฉิงเผลอตอบตัวเองในใจ
สองประมุขสนทนากับป้าอี้เจ้าของโรงน้ำชาอีกสักพักก่อนขอตัวออกไปชมงานต่อ
(462) “ เพิ่งเคยได้ยินเรื่องประมุขเจียงจะหาฟูเหริน ตอนนี้ยังเสาะหาอยู่หรือไม่ “ หลานซีเฉินรวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไป
“ หืม ท่านคงไปฟังพวกในตลาดพูดกันมามากสินะ เรื่องคุณสมบัติฟูเหรินของข้า เล่ากันจนเหมือนเป็นตำนานเมืองไปเสียแล้ว— “
(463) “ — จริงอย่างว่า เคยเสาะหาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ “ เจียงเฉิงเดินนำไป ซุ้มต่างๆก็จัดวางของแปลกตา เวลานี้คนเริ่มแห่แหนมากันแล้ว
เรื่องฟูเหรินของเขาเล่ากันเป็นเรื่องตลกขบขันไปเสียแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจสิ่งใด อายุก็ปูนนี้แล้ว เรื่องรักๆใคร่ๆก็เลิกสนใจไปนานแล้ว
(464) “ เหตุใดท่านจึงเลิกหาแล้วล่ะ “ เจียงเฉิงหันขวับไปมองคนถาม เหตุใดวันนี้เจ๋ออู๋จวินจึงถามคำถามเขาเฉกเช่นเจ้าหนูจำไมอย่างนี้เล่า เขาตอบจนเหนื่อยแล้ว คราแรกก็คิดว่าถามเป็นพิธีไม่ให้บรรยากาศเงียบอึดอัด แต่หลังๆนี่เจียงเฉิงเริ่มรู้สึกราวกับโดนซักประวัติอย่างไรอย่างนั้น
(465) “ แล้วคุณสมบัติที่ท่านฟังไปท่านคิดว่ามันจะมีไหมเล่า “ แต่ก็ยังตอบไปแม้เสียงจะเจือหงุดหงิดไปหลายๆส่วน
“ บางทีหากเจ้าลองมองหาดีๆอาจจะมีอยู่ก็ได้นะ “ อันที่จริงมันมีหญิงที่ตรงต้องตามคุณสมบัติของเขา ก็คือพี่สาวเจียงเยี่ยนหลี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหาได้อีกแล้ว
(466) “ ไม่มีหรอก ท่านเลิกสนใจเรื่องคุณสมบัติฟูเหรินของข้าเถิด ข้าไม่ได้อยากจะมีแล้ว ชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ก็ดีไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง และข้าก็เป็นคนอย่างนี้ใครจะอยากมาเป็นฟูเหรินข้า บางทีข้าก็อาจจะเหมาะกับการอยู่คนเดียวอย่างที่ท่านเคยว่าไว้ก็ได้ “
(467) ประมุขคนงามตอบออกไป หวังว่าคำตอบคงจะเป็นที่พึงพอใจของประมุขหลาน ดูเหมือนอยากจะย้ำเรื่องเขาจะไม่มีผู้ใดอยู่ด้วยในบั้นปลายชีวิตซะเหลือเกิน
ได้แต่หวังว่าให้อีกคนพอใจในคำตอบที่จะได้เย้ยหยันเขาแล้วจะได้หยุดถามเสียที
(468) “ ประมุขเจียง ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น “
“ ไม่ต้องเวทนาข้าหรอกประมุขหลาน ข้าก็พอรู้ตัวดี และสิ่งที่ท่านพูดมันก็ถูก ข้าไม่ได้ถือสาสิ่งใด “ สายตาที่มองมานั้นแลดูเวทนาสงสาร ช่างน่ารำคาญตาเสียจริง ราวกับเป็นพระโพธิสัตว์จะมาโปรดคนทั้งโลก แต่มันไม่ใช่สำหรับเขา
(469) เจียงเฉิงกระแทกเท้าออกไปไม่สนใจต่อบทสนทนาอีก คราแรกก็เห็นใจอยู่หรอกแต่ครานี้เหมือนคิดผิดที่เอาตัวน่ารำคาญออกมาด้วย
“ ประมุขเจียงเดี๋ยวก่อนท่านจะไปที่ใด”
“ ไปทำการทำงานของข้าน่ะสิ เชิญประมุขหลานเดินชมงานตามสบายเถิด ผู้แซ่เจียงขอตัว”
(470) เวทนาอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ หากจะว่ากันตามจริงผู้ที่ควรจะต้องเวทนาคือตัวเขาเองมากกว่า
สิ่งที่เคยพูด เคยทำไว้ล้วนกลับมาทำร้ายตนเองทั้งนั้น
ในยามนี้อย่าว่าแต่เป็นคนรักอย่างที่หวังเลย แม้แต่ความเป็นมิตรอีกคนก็ยังไม่อยากมีให้
(471) แสงสี มหรสพสวยงามไม่ได้ดึงความสนใจของเขาแม้แต่น้อย หลานซีเฉินไม่ได้ใช้เวลานานนักในการพาตนเองกลับจวนประมุข
อดไม่ได้ที่จะเดินไปยังที่ที่เขาพักอาศัยเป็นเวลาหลายเดือน ตอนนี้ห้องนั้นถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นห้องเก็บของเช่นเดิมแล้ว
(472) “ หลงทางอย่างนั้นหรือ “ เสียงคุ้นเคยเอ่ยขึ้นมา
เจียงเฉิงใช้เวลาในงานไม่นานนักคาดหวังจะกลับมาพักผ่อนเสียหน่อย หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเตรียมงานมาหลายวัน ขณะนั้นก็เห็นแผ่นหลังกว้างของประมุขแดนเร้นเมฆาที่คล้ายว่าจะเดินไปผิดทางจากเรือนนอนแขกเขาจึงตามมา
(473) “ คงจะเป็นเช่นนั้น “
กฎสกุลหลานว่าไว้ห้ามโกหก ซึ่งเขาก็ทำผิดกฎไปแล้วด้วยการโกหกคำโต
หลานซีเฉินจดจำได้ทุกเรือนทุกห้องของอวิ๋นเมิ่งเจียง หลับตาเดินยังไปถูก
“ ไปเถิด นั่นไม่ใช่เรือนรับรองแขก มันเป็นห้องที่ข้าเอาไว้เลี้ยงหมา”
(474) “ แล้วตอนนี้มันไปไหนแล้วล่ะ “ ถึงจะรู้ดีแค่ก็ยังถามออกไปแบบนั้น
“ มันไม่อยู่แล้วล่ะ ธรรมชาติของหมาป่าก็คงอยากจะอยู่ตามธรรมชาติไม่ใช่ถูกกักขังอยู่ที่นี่” เจียงเฉิงยิ้มบางๆตอนเล่าเรื่องราว ป่านนี้เจ้าหมาคงจะได้กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวแล้วก็ได้
(475) “ ท่านรู้ได้อย่าง มันอาจจะไม่อยากจากท่านไป แต่มันมีเหตุผลบางอย่าง “ หลานซีเฉินเร่งโต้แย้งตอบออกมาทันทีที่ได้ยินคำของอีกฝ่าย
“ ท่านตอบราวกับเป็นมันเสียเอง มันจะไปมีเหตุผลมากมายขนาดนั้นได้เช่นไร “
“ แล้วถ้า...ข้าบอกว่าข้าเป็นมันล่ะ”
(476) สุดท้ายเขาก็เผลอพลั้งปากออกไป
“ ข้าก็จะคิดว่าท่านประสาทกลับไปเสียแล้ว คนอะไรจะไปเป็นหมา ประหลาดนัก” ใบหน้างดงามซีดเซียวลงทันตาเมื่อได้ฟังคำกล่าวของประมุขเจ้าบ้าน แค่เป็นมิตรยังแทบจะไม่นับ หากโดนคิดว่าเป็นบ้าอีกคงจะแย่กว่าเดิม
(477) เสียงเครื่องดนตรีบรรเลงบทเพลง จากโรงมหรสพดังคลอเบาๆแสดงถึงความสนุกสนานครื้นเครงจากด้านนอก ตรงกันข้ามกับด้านในนี้ที่เงียบสงบแทบจะไม่มีคนประจำอยู่เท่าใด เนื่องจากต้องไปดูแลความเรียบร้อยของการจัดงานด้านนอกเสียเป็นส่วนใหญ่
(478) “ประมุขเจียง” ความเงียบระหว่างคนสองคนสิ้นสุดลงโดยเสียงของหลานซีเฉิน ซึ่งอีกคนก็หันไปหาคนที่เดินตามหลัง ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจะหงุดหงิด
“ มีอะไรรึ “
“ ข้าอยากจะขอโทษเรื่องที่เคยพูดไม่ดีกับท่าน ไม่มีผู้ใดสมควรจะโดนพูดใส่แบบนั้น—“
(479) “— และข้าไม่สมควรตัดสินท่านจากอารมณ์ชั่ววูบ ข้าขอโทษท่านจริงๆ”
หลานซีเฉินพยายามเรียบเรียงคำพูดเอ่ยออกมา ในใจมีถ้อยคำมากมาย แต่กลับพูดออกมาได้แค่เพียงไม่กี่คำอย่างยากลำบาก
“ ช่างเถอะ ก็ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ถือสา “ เจียงเฉิงลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
(480) “ ถึงเรือนรับรองแล้ว เชิญตามสบายเถิด ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน “ เจียงเฉิงรีบขอตัวลาและเดินกลับไปโดยไม่รอให้อีกคนพูดสิ่งใดอีก วันนี้หลานซีเฉินดูแปลกไปมากจริงๆ แต่เขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะมาสนใจเรื่องแปลกๆของคนอื่น รีบกลับไปนอนพักผ่อนดีกว่า
(481) รุ่งอรุณ ณ เหลียนฮวาอู้ เมื่อคืนเจียงเฉิงหลับสบายกว่าปกติ จึงทำให้เช้านี้ค่อนข้างจะสดชื่น และเขาคงจะอารมณ์ดีกว่านี้ หากยามนี้สำรับอาหารตั้งเสียที จวนจะยามซื่อแล้วสำรับอาหารยังไม่มา (~9โมง)
ปกติแล้วหากเจ้าคู่ยวนยางมาสำรับจะตั้งสองครั้ง หรือสายขึ้นหน่อย
(482) แต่วันนี้ยังไม่มีสิ่งใดมาเลย แม้แต่เว่ยอู๋เซี่ยนที่ไม่ตื่นเร็วนักยังมานั่งรอและเริ่มส่งเสียงโวยวาย
“ เหตุใดสำรับวันนี้จึงไม่ตั้งเสียทีเล่า ข้าหิวจนไส้จะขาดแล้วเนี่ย “
“ นั่นสิ อาฮง ไปตามทีซิ” เจียงเฉิงสั่งให้ศิษย์เจียงที่เดินผ่านมาไปตามคนครัว
(483) แต่ยังไม่ทันจะได้ไป ถาดอาหารก็ถูกยกออกมา พร้อมกับใครอีกคนที่เดินมาถึงพอดี
“ อ้าว ต้าเกอมาพอดี เชิญเถิดๆ มากินอาหารเช้ากัน” เว่ยอิงเรียกพี่เขยที่เพิ่งมาถึงซึ่งอีกคนก็ยิ้มตอบและนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆเจียงเฉิง
(484) ถาดอาหารถูกยกมาตั้ง ซึ่งก็ประกอบไปด้วยผัดผักกาดขาว ปลาย่าง และ ซุปหัวไชเท้ากระดูกหมู สีสันของอาหาร ทำให้เว่ยอิงกับเจียงเฉิงแปลกใจไปไม่น้อย มันดูขาวใสผิดหูผิดตาอย่างไรไม่รู้ แต่ความหิวในยามนี้ก็ทำให้ไม่มีเวลามาใส่ใจสิ่งใดมาก
สองบงกชรีบตักอาหารเข้าปากรับประทาน
(485) โดยไม่ได้สังเกตสายตาคาดหวังที่จับจ้องบัวงามคนน้องในยามกินอาหารนั้น แต่อีกหนึ่งหยกกำลังสังเกตพี่ชายตนอยู่เงียบๆ
ผัดผักกาดขาวถูกตักเข้าปากบัวคนพี่ ส่วนซุปกระดูกหมูถูกก็ตักเข้าปากบัวคนน้อง
“ใครทำอาหารนี่รึ / วันนี้แม่ครัวคือใคร “
(486) สองบัวเอ่ยปากถามออกมาพร้อมกันซึ่งเรียกรอยยิ้มจางๆจากหยกผู้พี่ยามที่ได้ยินคำถาม ซึ่งก็มีศิษย์เอ่ยตอบขึ้นมา
“ เป็นเจ๋ออู๋จวินขอรับ “
เว่ยอู๋เซี่ยนเหงื่อตกเมื่อรู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ เกิดอะไรขึ้นกับพี่เขยเขาที่อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นมาทำอาหารเสียอย่างนั้น
(487) “ พอจะทานได้บ้างหรือไม่คุณชายเว่ย ประมุขเจียง “ สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก อาหารตรงหน้ามันห่างไกลจากคำว่ากินได้
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของคนรักและประมุขเจียงไม่ดีเท่าไหร่ และพี่ชายก็ดูคาดหวังเป็นอย่างมาก หลานวั่งจีจึงพูดตอบแทน
(488) “ วั่งจีว่าดีมากแล้วสำหรับการทำอาหารครั้งแรกของต้าเกอ “
“ อือ ใช่ๆ มากินปลากันต่อดีกว่า เดี๋ยวข้าแกะให้นะอาเฉิง “ เว่ยอู๋เซี่ยนลอบมองหน้าขอบคุณคนรักที่ช่วยแก้สถานการณ์
“ แล้วประมุขเจียงเล่า ว่าอย่างไร”
(489) เจียงเฉิงตั้งใจจะเลี่ยงไม่ตอบตนไม่อยากโกหก แต่ว่าน้ำเสียงคาดหวังของอีกคนก็ทำให้เขาสงสาร หากพูดไปตรงๆก็กลัวว่าจะทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายเกินไป เขาไม่ชอบที่อีกคนทำเช่นนั้น เขาก็ไม่ควรทำใส่หลานซีเฉินเช่นกัน
“ มันก็ไม่ได้เลวร้าย “
เจียงเฉิงตอบไปเรียบๆ
(490) ซึ่งก็เรียกยิ้มกว้างบนใบหน้าของอีกคนได้ไม่ยากนัก
ตะเกียบของปรมาจารย์อี๋หลิง ปักลงไปในปลา ก่อนจะแหวกออกและพบว่าเนื้อของปลาตัวโต ยังไม่สุกเลยด้วยซ้ำ
“ อ่า ข้าว่าปลาน่าจะยังกินไม่ได้มันไม่ค่อยสุกสักเท่าไหร่ “
“ เช่นนั้นหรือ เดี๋ยวข้าไปทำให้ใหม่”
(491) “ ไม่เป็นไรๆ ท่านไม่ต้องลำบากหรอก” เจียงเฉิงพูดยั้งอีกคนไว้ ก่อนที่จะหาทางที่ไม่ต้องกินอาหารตรงหน้าอีก
“ ประมุขเจียงขอรับ พ่อค้าวังที่นัดพบท่านประมุขไว้มาแล้วขอรับ “ เสียงศิษย์เหมือนระฆังสวรรค์ช่วยชีวิต
“ อ่า งั้นรึ งั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน “
(492) “ อาเฉิงเจ้าไม่อยู่กินอาหารด้วยกันก่อนหรือ “ เว่ยอู๋เซี่ยนเรียกน้องชายที่ตอนนี้กำลังจะลุกไปจากโต๊ะอาหารเอาไว้
“ ไม่ดีกว่า ข้าต้องรีบไปทำงานเชิญเจ้ากับคุณชายรองหลานกินให้อร่อยเถิด” บัวคนน้องยิ้มใส่คนพี่อย่างคนมีชัยที่ไม่ต้องกินอาหารตรงหน้า
Missing some Tweet in this thread? You can try to force a refresh.

Enjoying this thread?

Keep Current with 🤫 May🤫

Profile picture

Stay in touch and get notified when new unrolls are available from this author!

Read all threads

This Thread may be Removed Anytime!

Twitter may remove this content at anytime, convert it as a PDF, save and print for later use!

Try unrolling a thread yourself!

how to unroll video

1) Follow Thread Reader App on Twitter so you can easily mention us!

2) Go to a Twitter thread (series of Tweets by the same owner) and mention us with a keyword "unroll" @threadreaderapp unroll

You can practice here first or read more on our help page!

Follow Us on Twitter!

Did Thread Reader help you today?

Support us! We are indie developers!


This site is made by just three indie developers on a laptop doing marketing, support and development! Read more about the story.

Become a Premium Member ($3.00/month or $30.00/year) and get exclusive features!

Become Premium

Too expensive? Make a small donation by buying us coffee ($5) or help with server cost ($10)

Donate via Paypal Become our Patreon

Thank you for your support!