, 76 tweets, 3 min read
My Authors
Read all threads
[Fanfic] #ซีเฉิง
เร้นสัตตบรรณ
Warning: OOC, Fem!JiangCheng, Misogyny, Self-hatred
Rate: 15+

...เหลียนฮวาอู้แห่งนี้ยังมีความลับ...
...ความลับที่ถูกปกปิดมากว่าสามสิบปี...
...ว่าแท้จริงประมุขเจียงหวั่นอั๋นนั้นเป็นอิสตรี...
คำเตือน: เรื่องนี้ OOCอย่างมากค่ะ มีการพูดถึงการเหยียดเพศตามบริบทของยุคสมัย มีการกล่าวถึงตัวละครในทางไม่ดี เนื้อเรื่องจะอ้างอิงจากซีรีย์เป็นหลัก
ถ้ามีtrigger warningอื่นๆ เราจะใส่ในบทนั้นๆ ค่ะ
(1)
อวิ่นเมิ่งคือดินแดนแห่งสายน้ำ ศูนย์กลางการค้าขายสินค้ามากมาย ทั้งยังเป็นที่ตั้งสำนักเซียนของสกุลเจียงคอยปกครองและปัดป้องสิ่งชั่วร้าย ความสามารถมิเป็นรองตระกูลใหญ่อื่น ทั้งยังรักอิสระเสรี เป็นที่รักของชาวเมือง แม้ประมุขเจียงคนปัจจุบันนั้นจะวาจาจัดจ้านไปบ้างก็ตาม
(2)
พวกเขาเหล่านั้นพำนักอยู่ที่จวนใหญ่ติดทะเลสาบดอกบัว ถูกเรียกกันว่าท่าเรือสัตบงกชหรือเหลียนฮวาอู้
...แต่ทว่าเหลียนฮวาอู้แห่งนี้ยังมีความลับอย่างหนึ่ง ความลับที่ถูกปกปิดมากว่าสามสิบปี...
(3)
แสงแดดยามเหม่า (05.00-06.59 น.) ส่องสาดเข้ามายังห้องทำงานของท่านประมุขแดนบัว เจียงเฉิงลืมตาตื่นมาด้วยความครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูก ครั้นเมื่อหันมองรอบกาย แทนที่ตนจะตื่นมาบนเตียงนอนในเรือนประมุข เขากลับผล็อยหลับคากองเอกสารบนโต๊ะทำงานอีกครั้ง
(4)
ด้วยเมื่อคืนก่อนหลังกลับจากพาศิษย์ไปเยี่ยเลี่ย ประมุขเจียงก็คร่ำเคร่งกับการจัดการบัญชีต่างๆ ของสกุลอยู่ทั้งคืน จนเข้ายามโฉ่ว (01.00-02.59 น.) ได้กระมังจึงเผลอหลับไป
"อาผิง" เจียงเฉิงเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท "เตรียมน้ำอุ่นให้ข้าหน่อย"
(5)
ว่าแล้วร่างบางของเจียงเฉิงก็เดินตรงกลับไปที่เรือนประมุข พลางยกมือบีบนวดไหล่แขนที่ปวดไปเรื่อยๆ เมื่อคืนคงจะนอนทับแขนกระมังถึงได้เมื่อยตึงเช่นนี้ ก่อนจะยกมืออีกข้างป้องปาก แล้วหาววอดอีกทีด้วยความง่วงงุน
(6)
เมื่อถึงเรือนประมุข เจียงเฉิงก็ตรงไปยังห้องอาบน้ำทันที ภายในอ่างนั้นมีน้ำอุ่นลอยกลีบกุหลาบส่งกลิ่นหอมรอเขาอยู่ เขาพยักหน้าให้อาผิงออกไปเฝ้าด้านหน้าห้องเช่นทุกที ก่อนจะลั่นกลอนประตูจากด้านใน
(7)
เจียงเฉิงปลดชุดผ้าไหมสีม่วงให้ค่อยๆ หลุดจากไหล่บางลงกองกับพื้นไม้ ตามชุดซับในสีอ่อนหลายชั้นนั้นร่วงหล่นลงพื้นราวกลีบดอกไม้ เหลือเพียงแถบผ้าสีขาวที่พันหน้าอกราวกับผ้าพันแผล เขาค่อยๆ แก้แถบผ้านั้นออกจากร่างอย่างชำนาญ เผยให้เห็นหน้าอกเยี่ยงสตรีเพศ ก่อนจะก้าวลงชำระกายในอ่างน้ำ
(8)
นี่แหละคือความลับของเหลียนฮวาอู้แห่งนี้...
ว่าแท้จริงแล้วประมุขแห่งอวิ๋นเมิ่งเจียง เจียงหวั่นอิ๋นนั้นเป็นอิสตรี...
(9)
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ เจียงเฉิงหลับตาพริ้มแช่น้ำอุ่นคลายความเหนื่อยล้า
เสียงเคาะประตูของห้องอาบน้ำก็ดังขึ้นทำเอาตัวเขาแทบสะดุ้ง
"นั่นใคร" เจียงเฉิงกดเสียงต่ำถามก่อนชะโงกหน้าออกไป มือเตรียมคว้ากระบี่ซานตู๋บนชั้นข้างอ่าง
(10)
"อาผิงเองเจ้าค่ะ ข้านำชุดของท่านมาให้" เมื่อรู้ว่าเป็นเสียงของบ่าวคนสนิทที่เอ่ยขึ้น มือนั้นจึงปล่อยซานตู๋ไว้ที่เดิม
"เข้ามาได้" อาผิงเปิดประตูมาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่อบร่ำส่งกลิ่นดอกบัวอ่อนๆ ด้านบนคือเสื้อคลุมผ้าไหมตัวนอกสีม่วงเข้มปักลายกลีบบัวที่สาบเสื้อวางอยู่บนถาดไม้
(11)
"แถบผ้าล่ะ" ร่างบางเอ่ยถาม
"นี่เจ้าค่ะ" อาผิงว่าพลางเลิกเสื้อนอกที่วางบนถาดขึ้นให้เห็นแถบผ้ายาวสีขาวอีกชิ้นที่ซ่อนไว้ข้างใต้ "ให้ข้าช่วยนะเจ้าคะ ท่านประมุข"
"ไม่ต้อง เจ้าออกไปเถิด" สิ้นคำสั่งของผู้เป็นนาย อาผิงจึงเดินออกไปรอด้านนอกตามเดิม
(12)
เจียงเฉิงวักน้ำล้างหน้าเรียกความสดชื่นอีกครั้ง ก่อนจะลุกออกจากอ่าง หยิบแถบผ้ายาวพันรอบอกตามเดิม ก่อนจะหยิบชุดในถาดมาสวม แล้วเกล้าผมสวมกวาน เมื่อเสร็จก็ตรวจความเรียบร้อยของตนจากเงาในกระจก สิ่งเดิมๆ ที่ทำจนเป็นกิจวัตร
(13)
"ท่านประมุขเจ้าคะ จะให้ตั้งสำรับเช้าเลยหรือไม่เจ้าคะ" อาผิงเลื่อนบานประตูก่อนชะโงกตัวเข้ามาถาม
"ยกไปที่ศาลากลางน้ำแล้วกัน วันนี้ข้าจะกินมื้อเช้าที่นั่น"
"เจ้าค่ะ" เมื่อได้คำตอบแล้วนางก็เลื่อนประตูปิด ก่อนเดินไปยังโรงครัว
(14)
อาผิงเป็นบ่าวคนสนิทเพียงคนเดียวที่ล่วงรู้ความลับของเขา นางเป็นลูกสาวของคนครัวที่ทำงานที่เหลียนฮวาอู้มาหลายชั่วอายุคน อายุแก่กว่าเจียงเฉิงราวหนึ่งปี เมื่อยามสกุลเจียงถูกกวาดล้าง นางกลับรอดตายมาอย่างฉิวเฉียดพร้อมกับศิษย์ในสำนักอีกเพียงไม่กี่คน
(15)
ยามฟื้นฟูสกุลเจียง บูรณะเหลียนฮวาอู้ก็ได้นางคอยช่วยงานต่างๆ อยู่ไม่น้อยทั้งยังช่วยเขาปกปิดความลับ จนอาผิงกลายเป็นคนสนิทของเขาไปในที่สุด
(16)
เจียงเฉิงเดินไปยังศาลากลางน้ำ สำรับเช้าถูกยกมารอเขาไว้แล้ว มื้อเช้าของวันนี้เป็นข้าวต้มเม็ดบัว และกับข้าวอีกสองสามอย่าง ก่อนอาผิงจะยกชาดอกบัวมาให้ ประมุขแห่งอวิ๋นเมิ่งเหม่อมองไปยังผืนน้ำกว้าง
(17)
ศาลากลางน้ำถูกสร้างขึ้นจากคำสั่งของอาเตี่ย มันเป็นเรือนไม้ขนาดเล็กยื่นเข้าไปกลางบึงสัตบงกช เมื่อยามเด็ก เขา อาเจี่ย กับเว่ยอู๋เซี่ยนมักผูกเรือลำเล็กไว้พายออกไปเก็บฝักบัวมากินเล่น พร้อมกับเสียงหัวเราะร่าของเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่พากันล่องเรือพักผ่อนจากการฝึกวิชา
(18)
ทว่าในยามนี้ เหลียนฮวาอู้ช่างเงียบเหงาเหลือเกิน อาเตี่ยอาเหนียงรวมทั้งอาเจี่ยต่างตายจากไป เว่ยอู๋เซี่ยนก็กลายเป็นปรมาจารย์อี๋หลิงที่ผู้คนต่างสาปส่ง และตัวเขาก็กลายเป็นประมุขที่น่าหวาดหวั่น ทั้งปากร้ายผู้คนไม่อยากเข้าหา ยามไปดูตัวก็กลับถูกขึ้นบัญชีดำของพ่อสื่อแม่ชักทั่วยุทธภพ
(19)
จะมีก็แต่จินหลิง หลานชายคนเดียวที่มักจะมาเยี่ยมเขาบ้างพอให้คลายเหงาได้
"จิ้วจิ่ว" เสียงดังจองเจ้าตัวดีนั้นลอยนำหน้าร่างมาหาเขา
พอพูดถึงก็มาเลยทีเดียว... หลังๆ นี่ชักจะมาบ่อยเกินไปแล้วหนา เดือนนี้เจ้าอยู่จินหลินไถถึงสัปดาห์หรือยัง
(20)
จินหลิงวิ่งเข้ามากอดตัวเขาก่อนจะนั่งลงข้างๆ
"เจ้ามีอะไรถึงถ่อมาที่นี่เช้านัก" เมื่อเห็นใบหน้าของหลานชายที่มองชามข้าวต้มเป็นมัน ก็รู้ว่าจินหลิงคงรีบมาหาโดยไม่ได้กินมื้อเช้าเช่นเคย มือเรียวจึงยื่นชามข้าวต้มของตนให้
"อาผิง บอกครัวให้ยกสำรับมาอีกที่ แล้วก็ซาลาเปาอีกเข่งด้วย"
(21)
คุณชายน้อยสกุลจินไม่รอช้า ตักข้าวใส่ปากอย่างหิวโหย
"กินดีๆ สกุลจินเลี้ยงเจ้าให้อดอยากหรือไรกัน"
"ก็ข้าหิวนี่นา จิ้วจิ่ว" อีกฝ่ายตอบก่อยจะพุ้ยข้าวคำโตเข้าปากไป
"ตอบมาได้หรือยัง เจ้ามาทำอะไรที่นี่แต่เช้า"
(22)
"ข้าแค่อยากมาเฉยๆ "
"อยู่สกุลจินเจ้าว่างนักหรือ"
"ข้าบอกแล้ว ว่าข้าแค่อยากมา!"
เจียงเฉิงรู้อยู่แก่ใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงมาที่นี่ สกุลจินไม่ใช่ที่ที่น่าอภิรมย์เท่าไหร่หรอก ญาติๆ ที่ต่างโป้ปดกลับกลอกแย่งชิงความชอบ หน้ากากของคำโกหกถูกซ้อนไปมาจนไม่อาจแยกว่าสิ่งใดเป็นความจริง
(23)
ฉะนั้นเด็กน้อยอย่างจินหลิงที่ยังยึดมั่นในความจริงย่อมไม่อาจทนกับสิ่งตรงหน้าได้หรอก
แล้วคำโกหกของเขาเล่า หากจินหลิงรู้ จะเป็นอย่างไร...
"จิ้วจิ่ว..." เสียงจินหลิงเอ่ยขึ้น
"อะไร"
"สำรับท่านมาแล้ว" ก่อนจะชี้ไปที่ถ้วยตรงหน้าตน
"อา... เจ้ากินข้าวต่อเถิด"
(24)
“แล้วเจ้าจะอยู่ที่นี่กี่วัน ข้าจะได้เตรียมห้องไว้”
“ไม่ต้องๆ ข้านัดกับพวกซือจุยจะไปออกเยี่ยเลี่ยกันตอนยามซื่อ(9.00-10.00น.) น่ะ เดี๋ยวข้าก็ต้องไปแล้ว” หลานชายว่า
“งั้นรึ จะมาก็มา จะไปก็ไป"
"หน่า... เดี๋ยวข้าจะมาหาอีกนะ จิ้วจิ่ว" จินหลิงยิ้มออดอ้อนเมื่อเห็นหน้าบึ้งตึงของตน
(25)
ผ่านไปราวสองวันหลังจากที่จินหลิงมาหา สาส์นก็ถูกส่งมาถึงเขาให้ร่วมไปล้อมจับเว่ยอู๋เซี่ยนที่ล่วนจั้งกั่ง เจียงเฉิงรีบรุดพาศิษย์ออกไปโดยไม่ลังเล อี๋หลิงคือที่ที่จินหลิงกับพวกไปออกเยี่ยเลี่ยกันก่อนจะขาดการติดต่อไป เขาไม่อาจจะเสี่ยงได้
(26)
แต่แล้วเหตุการณ์กับพลิกจากหน้าเป็นหลังมือ กลายเป็นจินกวงเหยาที่อยู่เบื้องหลังเรื่องหุ่นเชิดทั้งยังลวงพวกเขาให้มาตายแล้วใส่ความปรมาจารย์อี๋หลิง เขากลับทำอะไรไม่ได้เลย พลังวิญญาณหดหาย ได้แต่วิ่งหนีตามที่เหลือราวคนขี้ขลาด
(27)
ยิ่งเมื่อเห็นเว่ยอู๋เซี่ยนที่เสนอตนเป็นเหยื่อล่อ เขายังมิอาจยื่นมือช่วยเหลือ ได้แต่มองร่างพี่บุญธรรมล้มลงในอ้อมกอดหลานวั่งจี พลันนึกสมเพชตนเอง
เขาไม่อาจเป็นได้เหมือนเว่ยอู๋เซี่ยน…
วีรบุรุษคู่แห่งอวิ๋นเมิ่งคงไม่มีทางเป็นเจียงเฉิงได้หรอก
(28)
การประชุมที่เหลียนฮวาอู้ผ่านไปแล้ว เขาจำได้ลางเลือนนักเมื่อความคิดลอยล่องมิได้จดจ้องตรงหน้า ร่างกายเดินตามเว่ยอู๋เซี่ยนไป ก่อนจะพบอีกฝ่ายกับหานกวงจวินนั่งเคารพป้ายชื่อของอาเตี่ยอาเหนียงอาเจี่ยที่หอบรรพชน
(29)
ความโกรธที่สะสมมาสิบหกปีพลุ่งพล่านจนเลือดขึ้นหน้า
กล้าดียังไงกัน…
กล้าดียังไงมาเสนอหน้าให้กับคนที่เจ้าพาให้พวกเขาไปตาย
โทสะเข้าครอบงำ เขาหน้ามืดตามัว รู้ตัวอีกแส้จื่อเตี้ยนก็สะบัดใส่ร่างเวินหนิงที่เอาตัวเข้าขวางไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
(29)
ก่อนเสี้ยวความโกรธนั้นจะสลายเป็นควัน
ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกผิดเต็มอก พร้อมกับสุยเปี้ยนที่ถูกชักออกจากฝักในมือเขา
“ที่ท่านคิดว่าจินตานฟื้นฟูกลับมาได้”
“ก็เพราะคุณชายเว่ยยอมให้พี่ข้าผ่าจินตานออกมาให้ท่านนั่นแหละ”
ไม่จริง!
ไม่มีทาง!
"เจ้าโกหก"
(30)
มือนั้นอยากจะสะบัดจื่อเตี้ยนออกไปอีกครา แต่กลับถูกหยุดไว้ด้วยคำสามคำ
"แม่นางเจียง"
นี่มันอะไรกัน เวินหนิงรู้แล้วอย่างนั้นหรือ
หรือเว่ยอู๋เซี่ยน...
"โกหก!"
สายตากลับมองเลยไปยังร่างในอ้อมกอดของหลานวั่งจี
นี่เขารู้มาตลอดอย่างนั้นหรือ…
"เจ้าโกหก!"
แก้เลขตอนข้างบนเป็น (30)กับ(31)นะคะ เราเมาเองค่า😞😞
(32)
"ถ้าท่านยังว่าข้าโกหกก็เอาสุยเปี้ยนไปให้ผู้อื่นลองชักออกดูก็ย่อมได้"
โกหก…
แววตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสงสัยยามเขายื่นกระบี่ในมือให้ชักออก
โกหกทั้งเพ…
(33)
“ท่านประมุขเจียง…”
น้ำเสียงเจือความเป็นห่วงของเหล่าอนุชนเมื่อเห็นเขาวิ่งถือสุยเปี้ยนไปมาราวกับคนบ้า
ไม่จริง...
ลมหายใจที่ขาดหายเมื่อรู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีใครที่จะชักสุยเปี้ยนจากฝักได้
มันต้องเป็นเรื่องโกหกสิ!!
(34)
เสียงประตูกระแทกปิดดังลั่นห้องนอนประมุขพร้อมกับกระบี่สุยเปี้ยนที่ร่วงจากมือ ราวกับร่างของตนไร้เรี่ยวแรงจะประคองตนให้ยืนได้
เจียงเฉิงทรุดลงนั่งกอดเข่ากับพื้นไม้
หยดน้ำเปียกร่วงลงเป็นวงบนผืนผ้าสีม่วง
ร่างของเจียงหวั่นอิ๋นสั่นสะอื้นไห้
ขอสอบถามคนอ่านหน่อยค่า
เราวางพล็อตแล้วรู้สึกว่ามันจะปวดตับมากเกินไป เราอยากรู้ว่าคนอ่านจะไปแนวไหนดี
(35)
“ทำไมเจ้าจึงยังปกป้องพวกเขา”
“ตระกูลเวินไปทำอะไรให้เจ้ากัน”
เจียงเฉิงแค่นหัวเราะ
ข้ามีสิทธิอันใดถึงพูดอย่างนั้น...
รอยยิ้มฝืดที่เว่ยอู๋เซี่ยนมอบให้เขาที่ล่วนจั้งกั่ง
ครานั้นเขาไม่อาจเข้าใจการกระทำของอีกฝ่ายได้เลย
ยามนี้เมื่อได้รู้ความหมายแล้วกลับมีแต่ความเจ็บปวดเหลือทน
(36)
หากเขายื่นมือออกไป…
จะมีผู้คนล้มตายมากมายเช่นนี้หรือไม่
แม่นางเวิน
ขุนพลผี
หานกวงจวิน
เว่ยอิง
เสียงสะอื้นนั้นกลับมาอีกครา
ริมฝีปากพร่ำเอ่ยคำที่ไม่อาจบอกใครได้ผ่านม่านน้ำตา
"ขอโทษ…"
"ข้าขอโทษ"
(37)
ตั้งแต่จำความได้ เจียงเฉิงก็จำต้องกำความลับอันใหญ่โตไว้ในมือ ในยามแรกเขาก็ไม่อาจเข้าใจ
เขาเป็นเด็กผู้หญิงเช่นเดียวกับเจียงเยี่ยนหลี่
แต่ทุกวันอาเหนียงกลับจับเขาใส่ชุดบุรุษ ต่างจากชุดกระโปรงพริ้วๆ ของอาเจี่ย อาเตี่ยกลับจัดให้เขาร่ำเรียนวิทยายุทธและศาสตร์อีกมากมาย
(38)
ต่างจากอาเจี่ยที่จำต้องเรียนวิชาการบ้านการเรือน ทุกคนในเหลียนฮวาอู้กลับเรียกเขาว่า "คุณชายเจียง" ต่างจากอาเจี่ยที่ถูกเรียกว่า "คุณหนูเจียง" ทุกคนไว้ใจเขามากกว่าอาเจี่ยเพียงเพราะเขาเป็น 'บุตรชาย' ของประมุขเจียง
(39)
เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าใด แต่เจียงเฉิงเมื่อค่อยๆ เติบโตขึ้น ทุกคนต่างปฏิบัติกับเขาราวกับเขาเป็นบุตรชายคนเล็กของประมุขเจียง เป็นว่าที่ประมุขของเหลียนฮวาอู้
(40)
มีเพียงภายในเรือนข้างทะเลสาบนั้นคือที่เดียวที่เขาจะเป็นลูกสาวของอาเตี่ยอาเหนียง เป็นน้องสาวของอาเจี่ย เป็นเด็กสาวที่มารดาและพี่สาวคอยพร่ำสอนเรื่องต่างๆ ของสตรีให้เขาเช่นครอบครัวอื่น
(41)
เพราะภายนอกประตูนี้เขาคือคุณชายเล็กสกุลเจียง
เพราะเขาคือทางเลือกสุดท้ายที่อาเตี่ยเลือก
เพราะหลังคลอดเขาแล้ว อาเหนียงก็ไม่อาจมีบุตรได้อีก
เพราะการมีเพียงบุตรสาวสองคนไม่อาจประกันความมั่นคงของสกุลเจียงได้
(42)
ดังนั้นเมื่อข่าวงานครบรอบสามเดือนของเขาแพร่ออกไป
เขาจึงกลายเป็นเจียงเฉิง บุตรชายคนเล็กของประมุขเจียงเฟิงเหมียน กับฟูเหริน อวี๋จื่อเยวียน ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
(43)
จนเมื่ออายุราวแปดขวบ อาเตี่ยก็รับเด็กชายคนหนึ่งเข้ามาในบ้าน อาเตี่ยบอกเขาเพียงว่า เด็กชายที่โตกว่านั้นเป็นลูกชายของเพื่อนผู้ล่วงลับ เมื่อเด็กชายไม่มีที่ไปจึงรับมาเลี้ยงให้เป็นเพื่อนเล่นกับเขา
ส่วนโม่ลี่ เฟยเฟย เสี่ยวอ้ายก็โดนอาเตี่ยยกให้ผู้อื่นไปโดยไม่ทันได้ร่ำลา
(44)
เพราะอีกฝ่ายกลัวสุนัขยิ่งกว่าสิ่งใด เมื่อเขารู้ต้นเหตุที่ทำให้เสียสัตว์เลี้ยงไปสามตัว เขาก็สาบานกับตัวเองในใจ ว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีวันเป็นมิตรกับเด็กชายสกุลเว่ยนี้เด็ดขาด
(45)
"ข้าชื่อเว่ยอิงนะ"
"เจ้าคือเจียงเฉิงเหรอ" เด็กชายสกุลเว่ยเอ่ยกับเขาในคืนแรกที่พบกัน
"ใช่ แล้วจะทำไม" เขาเอ่ยออกไปอย่างไม่สบอารมณ์
"งั้นเจ้าก็คือเม่ยเหม่ยของข้าสินะ" ดวงตาของเว่ยอิงลุกวาวเมื่อรู้ว่าตนมีเพื่อนเล่นวัยเดียวกัน
(46)
"ไม่ใช่ ใครเขาจะนับญาติกับเจ้ากัน" เขาสะบัดหน้าหนี เพื่อนเล่น พี่ชายอะไรกัน ไยอาเตี่ยไม่เคยถามข้าสักคำ
"อีกอย่างนะ
ข้า!
เป็น!
ผู้!
ชาย!"
เจียงเฉิงเน้นทุกคำให้อีกฝ่ายได้ยินชัด เพราะคำสั่งอาเหนียงว่าไว้ ว่าอย่าได้แพร่งพรายความลับให้คนนอก เจ้านี่มันก็คนนอกไง!
(47)
"ถ้าอย่างนั้น..." เว่ยอู๋เซี่ยนยังคงยิ้มร่าให้เขา "เจ้าก็เป็นตี้ตี่ของข้า"
กาลเวลาค่อยๆ ถักทอสายสัมพันธ์ของเขากับเว่ยอู๋เซี่ยน จนเขาทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นสหายสนิท ถึงแม้เขาจะติดรำคาญทุกย่างก้าวการกระทำโลดโผนของพี่ชายคนใหม่นี้ แต่เว่ยอิงกลับเป็นคนเดียวที่ยอมเข้ามาเป็นเพื่อน
(48)
คอยพาเขาแอบแหกกฏหนีเที่ยวหลายครั้ง เจียงเฉิงได้สัมผัสความสนุกสนานวัยเด็กที่ถูกละเลยเพราะความรับผิดชอบของว่าที่ประมุข แม้เมื่อกลับมาที่เหลียนฮวาอู้กลับเป็นเขาเพียงคนเดียวที่โดนลงโทษ
แต่เว่ยอิงก็ปกป้องเขาหลายครา
(49)

เพราะในท้ายที่สุด ถึงจะน่ารำคาญเพียงใดก็ตาม เว่ยอู๋เซี่ยนก็คือพี่ชายของเขาอยู่ดี...
พี่ซียังไม่ออกมาเลย สาบานว่านี่คือฟิคซีเฉิง พระเอกค่าตัวแพงเหลือเกิน อิอิ
วันนี้ลงเท่านี้ก่อนนะคะ เจอกันใหม่ปี2020
ขอให้คนอ่านทุกคนมีความสุขนะคะ
หวังว่าจะอยู่กันไปจนตอนจบนะคะ🥰🥰
(50)
คืนหนึ่งก่อนพวกเขาจะไปที่ศึกษาที่กูซูหลาน เจียงเฉิงเดินผ่านห้องทำงานของเรือนประมุขที่ปกตินั้นมักจะดับไฟไปตั้งแต่ยังไม่ถึงยามไฮ่(21.00-22.59น.) แต่วันนี้กลับจุดตะเกียงสว่างโร่ เมื่อมองเข้าไปก็พบเงาของอาเตี่ยอาเหนียง เสียงของมารดาดังออกมาจากในห้อง คงจะทะเลาะกันอีกตามเคย
(51)
เขาจึงเลือกเดินเลี่ยงๆออกไป แต่เสียงที่เบากว่าของอาเตี่ยกลับดึงเขาไว้ตรงนั้น
"ข้ารับเขามาที่นี่ เพราะเขาเป็นลูกของสหายข้า" เสียงหนักแน่นนั้นเอ่ย
"หึ…" สายฟ้าสีม่วงลุกวาบในมืออาเหนียง
"อีกอย่าง ก็เพื่อเป็นฟูจวินของอาเฉิง"
เจียงเฉิงแทบไม่เชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน
ฟูจวินหรือ…
(52)
เสียงจื่อเตี้ยนตวัดดังลากสติเขากลับมาจดจ่อที่บทสนทนาตรงหน้า
“แม่นางสาม ถึงอย่างไรอาเฉิงก็เป็นสตรี มิอาจปกครองสกุลเจียงเพียงลำพังได้” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ย
“ถึงอาเฉิงจะเป็นหญ…” คำพูดนั้นแผ่วหายราวกับว่าอวี๋ฟูเหรินรู้ตัวว่าจะเปิดเผยความลับ “แล้วอย่างไร… ทำไมจึงจะไม่ได้"
(53)
"ไยต้องเอาลูกบ่าวไพร่มาแต่งกับลูกของข้า”
“บิดามารดาของอาเซี่ยนไม่ใช่บ่าวไพร่” เสียงนั้นเย็นเยียบราวน้ำแข็งของเตี่ยนั้นน่าสะพรึงกว่าสิ่งใด ทำอีกฝ่ายต้องหยุดคำพูดไปพร้อมกับแสงของจื่อเตี้ยนที่จางลง
(54)
“แม่นางสาม แล้วเรื่องฟูเหรินเล่า คนจะไม่สงสัยหรือหากอาเฉิงไม่แต่งฟูเหรินเข้าสกุลเจียง ถึงแม้แต่งงานแล้วอย่างไรก็ไม่พ้นข้อครหาว่าทำไมอาเฉิงจึงไม่มีบุตร แล้วเจ้าจะให้เขาปิดเรื่องนี้กับแม่นางที่แต่งงานด้วยหรือ สุดท้ายก็ต้องมีคนรู้อยู่ดี อย่างไรความลับนี้ก็ไม่อาจปิดได้ตลอดไป”
(55)
“สู้เปิดเผยความจริง แล้วแต่งเว่ยอู๋เซี่ยนเข้าสกุล มาแบ่งเบาภาระงาน พอข้าวางมือก็ให้เขาขึ้นเป็นเจียงฟูเหริน เป็นนายหญิงแห่งเหลียนฮวาอู้”
“แล้วไยให้เขาขึ้นเป็นประมุขไม่ได้กัน” เสียงเบาของอาเหนียงสั่นเครือ
(56)
“แม่นางสาม สกุลเจียงเราหาให้มีอำนาจเช่นสกุลเวิน สกุลจินไม่ ยิ่งให้สตรีขึ้นเป็นประมุขอำนาจของสกุลจะยิ่งระส่ำระสาย สู้ให้อาเซี่ยนออกหน้ารับแทนไม่ดีกว่าหรือ”

“ท่านจะให้อาเฉิงควบคุมเขาจากหลังม่านสินะ...” มีเพียงเสียงอวี๋ฟูเหรินทอดถอนหายใจ
(57)
บทสนทนาของคนทั้งสองยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่เขามิอาจทนฟังต่อได้อีกแล้ว ร่างบางสาวเท้าออกจากเรือนประมุขตรงไปที่ห้องนอนของตน สายตาถูกบดบังด้วยหยดน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอ เจียงหวั่นอิ๋นกำหมัดแน่น รู้สึกราวกับกลืนก้อนเนื้อบางอย่างที่จุกอยู่ที่ลำคอ
(58)
ทำไมกันเล่า
เขาไม่ดีพอหรอกหรือ
ให้ร่ำเรียนทุกสิ่งอย่าง กลับเพื่อไปปรนนิบัติฟูจวิน
พร่ำบอกว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นประมุข
แต่ก็ไม่เคยคิดจะยกตำแหน่งนั้นให้
เพียงเพราะเขาเป็นหญิงน่ะหรือ
(59)
เขาเดินมาจนเกือบถึงเรือนแล้ว ก่อนสายตาจะพบร่างโปร่งในชุดดำแดงนั่นยืนรออยู่ตรงระเบียงข้างหน้า เขาจึงวกกลับในทันที ไม่อยากเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายในตอนนี้
"เจียงเฉิงเจ้าเป็นอะไร" เสียงเจ้าตัวไล่หลังเขามา "เจ้าเดินหนีข้าทำไม"
ร่างบางรีบสาวเท้าให้เร็วขึ้น ยกแขนเสื้อมาปาดน้ำตาออกลวกๆ ก่อนอีกฝ่ายจะวิ่งมาดักหน้า
"เจียงเฉิงเจ้า..." เว่ยอู๋เซี่ยนเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นสีหน้าของน้องชาย หลั่งน้ำตาต่อหน้าผู้อื่นไม่ใช่วิสัยของคุณชายเล็กสกุลเจียงเลย "อาเฉิง เจ้าเป็นอะไร"
(61)
"เว่ยอู๋เซี่ยน เจ้าสัญญากับข้า…" น้ำตาที่ถูกเช็ดไปแล้วรื้นขึ้นอีกครั้ง ร่างของเจียงเฉิงเริ่มสะอื้น
“เจียงเฉิง เจ้าเป็นอะไรกัน”
“สัญญากับข้าได้หรือไม่ ที่เจ้าพูดเรื่องวีรบุรุษคู่แห่งอวิ๋นเมิ่ง ว่าเราจะยืนข้างกันอย่างเท่าเทียม” ก่อนจะจับคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้เป็นหลักยึด
(62)
“ใจเย็นก่อนอาเฉิง เรื่องนั้นข้าพูดไม่คืนคำ" เว่ยอู๋เซี่ยนดูตกใจไม่น้อยจากท่าทีที่แปลกไปของเจียงเฉิง
“แต่ข้าจะยืนเทียบเท่าเจ้าได้ไง เจ้าน่ะต้องเป็นนายข้าต่างหากอาเฉิง”
“ให้เจ้ายืนเคียงข้างเมื่อข้าเป็นประมุข ในฐานะคนสนิท ในฐานะพี่ชาย ในฐานะเพื่อน ให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ได้ไหม”
(63)
“สัญญาสิ”
“ได้อยู่แล้ว” เว่ยอิงพูดพลางยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ "โอ๋ๆ อย่าร้องไห้สิอาเฉิง"
"ใครว่าข้าร้องไห้กัน" ทั้งที่พูดอย่างนั้นแต่สภาพกลับตรงกันข้าม
"อ่า ไม่ร้องก็ไม่ร้อง"
(64)
"จริงสิ ซือเจี่ยเพิ่งทำแกงรากบัวซี่โครงตุ๋นไปเมื่อเย็น น่าจะยังเหลือ แถมข้าเพิ่งได้สุรามาอีกหลายไห ไปกินกันเถอะ"
"อืม" เขาตอบตกลงก่อนเช็ดน้ำตาอีกครั้ง แล้วเจียงเฉิงก็ปล่อยให้พี่ชายบุญธรรมลากตัวเขาไป
(65)
ประมุขเจียงลืมตาตื่นอีกครั้งเมื่อแสงแดดส่องจ้าลงบนใบหน้า มือบางปาดคราบน้ำตาแห้งกรังที่เคยไหลอาบแก้มออก
"อาผิง" ก่อนเอ่ยเรียกบ่าวคนสนิทที่เพิ่งแง้มประตูเข้ามาพร้อมอ่างน้ำใบเล็ก "นี่มันยามใดแล้ว"
"นี่เที่ยงวันแล้วเจ้าค่ะ" อาผิงส่งผ้าชุบน้ำให้อีกฝ่ายเช็ดหน้าตา
(66)
"สายขนาดนี้ไยไม่ปลุกข้า"
"ข้าได้ยินท่านร้องไห้ทั้งคืน ดูเหมือนท่านจะเป็นไข้อ่อนๆ ด้วย เลยไม่ได้ปลุกเจ้าค่ะ" อาผิงใช้หลังมือนาบกับหน้าผากของผู้เป็นนาย "ดูเหมือนจะไข้ลดแล้วนะเจ้าคะ"
เจียงเฉิงนิ่งเงียบ เขาไม่อยากให้ผู้ใดมารับรู้ความเศร้าเหล่า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
(67)
"ว่าแต่ เจ้าเห็นเว่ยอู๋เซี่ยนหรือไม่"
"คุณชายเว่ยออกไปกับหานกวงจวินแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ"
"แล้วเขาได้บอกหรือไม่ว่าไปที่ไหน"
"อวิ๋นผิงเจ้าค่ะ"
"งั้นข้าจะไปหาพวกเขา"
"แต่ท่านเพิ่งไข้ลด.."
"ข้าแค่บอกเจ้า ไม่ได้ขออนุญาต"
(68)
"เช่นนั้นท่านประมุข ให้ข้าตามไปด้วย…"
"ไม่ต้อง ข้าจะไปคนเดียว เจ้ากับเหล่าศิษย์อยู่รับรองแขกที่นี่ก่อน"
"เจ้าค่ะ" อาผิงโค้งคำนับก่อนจะกลับออกไปจากห้อง
(69)
เจียงเฉิงคว้าซานตู๋และสุยเปี้ยนก่อนจะรีบออกเดินทาง ก่อนเจ้าตัวจะนึกบางอย่างขึ้นได้ เขาตรงไปเปิดหีบปลายเตียง ล้วงเอาซองผ้าสีดำที่ซ่อนไว้ก้นหีบขึ้นมา
หยิบสิ่งที่อยู่ภายในออกมาวางบนเตียง
ขลุ่ยสีดำเลาหนึ่งกับพู่ห้อยสีแดงชาด
ยังคงสภาพเช่นครั้งสุดท้ายที่นายของมันได้หยิบใช้
เฉินฉิง
จบตอนแรกไว้เท่านี้ก่อนนะคะ
ที่ตอนนี้โฟกัสเรื่องของอาเฉิงกับพี่เว่ยเยอะมากเพราะ เราอยากเน้นความสัมพันธ์ของสองคนนี้มากๆ เราอยากเห็นเขาคืนดีกันQwQ อย่างน้อยอาเฉิงจะได้มีคนที่พึ่งพาได้บ้าง เพราะพี่ซีเรายังไม่มาปิ๊งน้องง่ายๆหรอก ต้องมีอุปสรรคอีกเยอะเลย
แล้วก็ฉากวัดกวนอิมเรายังเขียนไม่เสร็จเลย ต้องกลับไปดูอีกหลายรอบ เพราะลืมเกลี้ยงเลยค่ะ
สุดท้ายนี้ขอไปปั่นessayก่อนนะคะ คงไม่ได้มาลงจนถึงกลางเดือนเลยTT-TT
ไว้เจอกันอีกทีนะคะ โชคดีนะคะทุกคน
Missing some Tweet in this thread? You can try to force a refresh.

Enjoying this thread?

Keep Current with ฟี่

Profile picture

Stay in touch and get notified when new unrolls are available from this author!

Read all threads

This Thread may be Removed Anytime!

Twitter may remove this content at anytime, convert it as a PDF, save and print for later use!

Try unrolling a thread yourself!

how to unroll video

1) Follow Thread Reader App on Twitter so you can easily mention us!

2) Go to a Twitter thread (series of Tweets by the same owner) and mention us with a keyword "unroll" @threadreaderapp unroll

You can practice here first or read more on our help page!

Follow Us on Twitter!

Did Thread Reader help you today?

Support us! We are indie developers!


This site is made by just three indie developers on a laptop doing marketing, support and development! Read more about the story.

Become a Premium Member ($3.00/month or $30.00/year) and get exclusive features!

Become Premium

Too expensive? Make a small donation by buying us coffee ($5) or help with server cost ($10)

Donate via Paypal Become our Patreon

Thank you for your support!